Chapter 10 บทลงโทษของตรีเพชร
Part 1 ถ้าไม่พูดเกินไป คืนนี้ผมคงพลิกตัวเป็นรอบที่หมื่น ถอนหายใจรอบที่แสน และลุกขึ้นคว้ากุญแจรถเป็นรอบที่ล้านแล้วละมั้ง ผมนอนก่ายหน้าผากในความมืดอย่างจนใจ หูยังคงได้ยินเสียงกระดิกของเข็มนาฬิกา ผมลืมตาโพลงมองแสงสว่างจากด้านนอกที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา เพราะถ้าหลับตา สมองจะวกกลับไปคิดเรื่องเดิมๆให้ผมร้อนใจเล่น
นาวาจูบไอ้จอม หรือไอ้จอมจูบนาวา ผมไม่รู้หรอกว่าใครเริ่มก่อน แต่ที่แน่ๆคือเพื่อนรักกับคู่หมั้นของผมกำลังพลอดรักกัน แม้จะรู้ว่าทำเกินไป แต่จะให้ผมวางเฉยก็คงเป็นไปไม่ได้ คู่หมั้นผมทั้งคนนะ ผมเป็นคนทื่อๆที่ยังไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่ผมมีให้นาวาคืออะไร ผมรู้เพียงแค่ว่าตอนที่เห็นเจ้าเด็กเฉิ่มของผมกำลังประกบปากกับคนอื่น หน้าอกผมร้อนผ่าว และหัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนมันหยุดเต้นไปหนึ่งวินาทีแล้วกลับมาสูบฉีดเลือดใหม่อีกครั้งด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม เป็นผลให้หมัดของผมส่งไปเร็วกว่าความคิด
ผมควานหามือถือที่ซุกไว้ใต้หมอนมากดดูเวลา ตีสามยี่สิบสองนาที ผมยังไม่หลับเพราะมัวคิดวกวนแต่เรื่องของนาวากับจอมทัพจนไม่เป็นอันหลับนอน ไอ้เพื่อนรักประกาศชัดว่ามันแอบรักเจ้าเด็กเฉิ่ม ผมก็ประกาศให้รู้กันว่าไอ้เฉิ่มนั่นคู่หมั้นผม ห้ามมันหรือใครหน้าไหนมายุ่มย่าม ผมไม่อยากเสียเพื่อนหรอก แต่ถ้าให้เสียนาวาไปผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน
เรา ผมหมายถึงผมกับจอมทัพ คบกันมานานจนเรื่องชกต่อยแค่นี้ไม่ทำให้บาดหมางกันได้ แต่ถ้ามันคิดจะแย่งคนของผมไปแบบไม่แฟร์ละก็ คงต้องมีคางแตกกันบ้าง
เรา ผมหมายถึงผมกับนาวา รู้จักกันในเวลาไม่นานก็จริง แต่ผมไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าระหว่างเรามีบางอย่างเกิดขึ้น มันมีอะไรระหว่างเราตั้งแต่แรกเห็น ความรู้สึกนั้นเหมือนอากาศ สัมผัสได้ว่ามีอยู่จริงแต่กลับจับต้องไม่ได้
ผมโทษเตียงกว้างในคอนโดที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ ทั้งๆที่รู้ว่าสาเหตุจริงๆคืออะไรแต่ผมไม่อยากจะคิดถึงเจ้าคนต้นเรื่องมากเกินไปนัก ผมนอนไม่หลับเสียแล้วถ้าไม่ได้นอนกอดเจ้าเด็กตัวอุ่นคนนั้น แต่ผมยังงอนไอ้เตี้ยอยู่ เรื่องอะไรจะให้ผมบากหน้าไปเคาะห้องมันตอนดึกๆ จะว่าไปตอนนี้มันอาจจะหลับไม่รู้เรื่องแล้วละมั้ง เมาซะขนาดนั้น
ถ้าไปตอนนี้จะใช้เหตุผลอะไรดีวะ
ตอนนั้นโมโหมันมาก เลยขับรถออกมาซะเลย ต่อให้ผมไม่โมโหจนทิ้งนาวาไว้ ดูท่าเพื่อนมันคงไม่ปล่อยให้ผมพามันกลับหรอก แต่ละคนหวงนาวาเสียจนผมคิดว่าพวกมันเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของคู่หมั้นผม
ดูสิเนี่ย ผมโมโหจนลืมเอาของที่ซื้อกับเจ้าตัวดีไปเก็บให้มันที่ห้อง
อืม… ไหนๆก็นอนไม่หลับ ของก็ยังอยู่ในรถ
ผมว่าผมเอาของไปคืนไอ้เตี้ยดีกว่า
ไม่อยากเห็นหน้าหรอก ยังงอนอยู่ แค่ไม่อยากให้ของๆมันมารกรถผมเท่านั้นเอง
เมื่อได้เหตุผลที่จะบุกไปหา ผมจึงไม่รอช้า รีบคว้ากุญแจ สวมเสว็ตเตอร์เนื้อบางทับเสื้อกล้ามที่ใส่นอน ไม่สนใจเปลี่ยนชุดอะไรทั้งนั้นแหละ ตอนนี้อยากจะไปถึงห้องนาวาใจจะขาดแล้ว
ถนนตอนตีสามครึ่งโล่งจนน่าใจหาย ต่างกับท้องถนนตอนกลางวันราวกับความฝัน แต่ผมจะบ่นถึงความโล่งของถนนไปทำไม ผมต้องขอบคุณมันต่างหาก เพราะมันทำให้ผมไปถึงที่หมายได้เร็วยิ่งขึ้น ผมเปิดเพลงฟังเพื่อดึงสติตัวเองไม่ให้จมอยู่ในความคิดมากเกินไป กลัวว่าถ้ามัวแต่จดจ่อกับเสียงตัวเองที่สะกดจิตอยู่ในหัว ผมอาจจะชนเสาไฟฟ้าที่ไหนสักแห่งโทษฐานขับรถประมาทด้วยความใจเร็วของผมก็ได้ เพลงช้าๆจึงพอคลายความตึงเครียดและความรีบเร่งของผมลงได้บ้าง
อันที่จริงผมควรขับรถช้าลงกว่านี้ เพื่อที่จะได้มีเวลาคิดคำตอบ เพราะถ้าไอ้เตี้ยถามว่าผมไปหามันทำไม การเอาของไปคืนในเวลาดึกดื่นขนาดนี้คนดีๆที่ไหนเค้าทำกัน แต่ก็นะ มันเป็นเพียงเหตุผลเดียวของผมนี่นา… หรือผมมีเหตุผลอื่น? (ผมเองก็ไม่แน่ใจ)
ผมเหยียบคันเร่งไวจนเหมือนโกหก เท้าของผมไต่บันใดขึ้นมาเร็วเสียจนผมตั้งตัวแทบไม่ทัน รู้ตัวอีกทีผมยืนอยู่หน้าห้องของนาวา สองมือถือถุงพลาสติกบรรจุข้าวของเครื่องใช้ที่เราซื้อด้วยกัน ผมรวบถุงพวกนั้นไว้ในมือข้างหนึ่ง ก่อนที่มืออีกข้างจะชะงักค้างอยู่หน้าประตู ใครเดินผ่านไปผ่านมาคงจะคิดว่าทำไมผมถึงค้างอยู่อย่างนั้น จะเคาะก็เคาะลงไปสิวะ
แต่คุณไม่เป็นผมคุณไม่รู้หรอก
ความกล้าที่จะสะบัดข้อมือเคาะประตูเหือดหายไปไม่มีเหลือ ถ้าเกิดผมโดนไอ้ตัวเล็กโมโหเข้าให้ล่ะ มันอาจจะโวยวายที่ผมมาปลุกมันไม่ดูเวล่ำเวลา แล้วถ้าเกิดมันกำลังอยู่กับไอ้จอมล่ะ หืม? ถ้านาวาอยู่ในห้องกับไอ้จอม เกิดผมเคาะไป พวกนั้นก็ต้องรู้ตัว ผมคงจับไม่ได้คาหนังคาเขาว่าเพื่อนรักเป็นชู้กับคู่หมั้นของผม ผมต้องไขกุญแจเข้าไป ใช่ ใช่แล้ว ผมแอบทำกุญแจสำรองห้องนาวาเอาไว้นี่หว่า ใช้เจ้านั่นแหละ
แปะ
ผมตบหน้าผากตัวเอง
มึงมันบ้าไอ้เพชร คิดเอาเองทั้งนั้น เลิกคิดเว้ยเลิกคิด ให้รู้ไปสิว่ามึงจะโดนด่าเพราะบุกมานอนกอด… เอ้ย บุกเอาของมาคืนคู่หมั้นตอนดึกๆ ยิ่งถ้าไอ้จอมอยู่ในห้องก็ได้รู้กันไปเลยว่ามันจะล้ำเส้นกันเกินไปหน่อยแล้ว
แปะ
ผมตบหน้าผากตัวเองอีกที
ไหนมึงบอกว่าจะไม่คิดเองเออเองแล้วไงไอ้เพชร?
มือที่เคยค้างอยู่ตรงประตูของผมกำลังควานหาพวงกุญแจที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง เมื่อคว้าพวกกุญแจที่เก็บกุญแจประดามีของผมได้แล้ว ผมไม่ลังเลที่จะไขประตูเข้าไป
มืด
ผมปิดประตูและวางของลง กระพริบตาสองสามครั้งเพื่อให้สายตาคุ้นชินกับความมืด ในความมืดของค่ำคืนผมเห็นร่างบางร่างหนึ่งนอนหลับอยู่บนเตียง ผมเดินเข้าไป เปิดโคมไฟตรงโต๊ะหนังสือของเขา ห้องทั้งห้องจึงสว่างขึ้นมาบ้าง
นาวาหลับสนิท ผมถอนหายใจโมโห
โมโหไอ้คนที่เอานาวามาส่ง นาวาหลับอยู่ในชุดเดิม เหงื่อเม็ดเล็กๆซึมตามไรผม ในห้องไม่ได้เปิดแอร์หรือเปิดพัดลมเอาไว้ เด็กขี้เมาคงจะร้อนแต่เพราะเมาเลยหลับลงไปทั้งอย่างนั้น ผมถอดเสว็ตเตอร์แขวนไว้ตรงเก้าอี้โต๊ะหนังสือ ขาผมไม่รักดี มันก้าวเข้าไปชิดเตียง มือที่อยู่ไม่นิ่งของผมกำลังเกลี่ยปอยผมที่ปิดหน้านาวาออก สายตาดื้อดึงไม่ยอมทำตามสมองผู้เป็นนายพยายามมองหาอะไรที่พอจะซับเม็ดเหงื่อของคนตัวเล็กได้บ้าง
ผมถอนหายใจ
มึงมันใจอ่อนไอ้เพชร
เสียงผมถากถางตัวเองในใจ แต่ก็มีเสียงผมอีกเสียงคอยแก้ตัวให้
เปล่ากูไม่ได้ใจอ่อน แค่ไม่ชอบคนเหม็นเหงื่อ กูนอนกับคนเหม็นเหงื่อไม่ได้เว้ย
ผมเปิดตู้เสื้อผ้าของนาวา คว้าผ้าขนหนูผืนเล็กและเตรียมชุดนอนออกมาวางไว้ แต่พอสายตาผมเหลือบไปเห็นชุดนอน ความงอนก็กลับมาหาผมอีกครั้ง
เช็ดตัวให้ก็เยอะแล้ว มึงยังจะเปลี่ยนชุดนอนให้เตี้ยอีกเหรอ ลืมไปแล้วหรือไงมันจูบกับไอ้จอม!
ผมยัดชุดนอนใส่ตู้เสื้อผ้าอย่างไม่ใยดี มือกำผ้าขนหนูแน่น เดินเขาห้องน้ำไป ผมกลับออกมาพร้อมขันน้ำและผ้าขนหนูที่เปียกหมาดๆ ยอมรับว่าผมปั้นปากเป็นรูปสระอิก่อนที่จะขยับตัวลงนั่งใกล้เด็กใจแตกบางคน นาวาครางเครือเบาๆในคอเมื่อผมปลดกระดุมเสื้อของเขาออก
เชอะ ร้องยั่วเหรอเตี้ย ไม่มีทาง ฉันไม่ใจอ่อนหรอก โกรธอยู่นะโกรธอยู่
ผมถอดเสื้อนาวา เหงื่อบนหน้าอกขาวสะท้อนกับแสงไฟดูยั่วเย้า ผมสะบัดหัวเรียกสติตัวเอง ก่อนจะถอดกางเกงของนาวาออกมาอย่างทุลักทุเล ไอ้คนเมายอมให้ความร่วมมือซะที่ไหน นอนดิ้นเสียอีก น่าตีชะมัด หลังจากสู้รบปรบมือกับเสื้อผ้าอยู่นาน ในที่สุดผมก็เปลือยเรือนร่างของไอ้เฉิ่มจนเหลือแค่กางเกงในได้สำเร็จ ถึงตอนนี้ใจผมเต้นแรงจนจับจังหวะไม่ถูก ใช่ว่าจะไม่เคยถอดเสื้อผ้าของเด็กคนนี้ ใช่ว่าเรือนร่างนี้ผมจะไม่เคยสัมผัส ใช่ว่าผมจะไม่เคยซุกไซร้ซอกคอนิ่มๆนั่น แต่ใช่ว่าความตื่นเต้นทั้งหมดจะหายไป ทุกครั้งที่เข้าใกล้นาวาความตื่นเต้นกลับเหมือนใหม่แทบทุกครั้ง ยิ่งได้จับต้องหรือเมียงมอง ยิ่งทำให้ใจผมสูบฉีดเลือดจนแทบจะตาลายวันละหลายสิบหน จะว่าไปผมได้เห็นรูปร่างนาวาชัดๆก็ตอนนี้นี่แหละ
หึ ตอนอื่นๆมึงจะเอาเวลาไหนมานั่งดู ซุกเขาซะขนาดนั้น
กูเปล่า แค่.. แค่ ลองดมดูต่างหาก
โถ่ไอ้ใจอ่อน ยอมรับมาเถอะมึงใจอ่อนกับไอ้เด็กเลี้ยงไม่เชื่องแล้วใช่ไหม
ไม่โว้ย กูงอนอยู่!
นาวามีกล้ามอก แม้จะไม่มากแต่พอสวย น่าสัมผั…. เอ่อ ก็มีเหมือนคนทั่วไป งั้นๆแหละ เด็กคนนี้แค่เอวคอด หน้าท้องแบนราบคล้ายว่าจะมีกล้ามท้องนิดๆ ถ้าเลื่อนลงมาจับก้นก็จะรู้ว่าก้นงอนกลมกลึง แถมเด็กนี่ต้นขาสวยอีกต่างหาก ผมน่ะชอบ เอ้ย ชัง… ชิงชังในความธรรมดานี่เหลือเกิน
แน่ะดูสิ ขนาดผมบอกกับตัวเองว่าเขาไม่มีอะไรสะดุดตาเลย แต่เหมือนมือไม้ของผมกลับหยุดอ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้าอกของเขานานสองนาน หน้าอกของคนตัวเล็กกระเพื่อมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผมเรียกสติตัวเองกลับมา และลงมือซับหน้าให้เขาอย่างเบามือเพราะไม่อยากทำให้เขาตื่น เลื่อนลงมาเช็ดตรงซอกคอ เช็ดแขน ลำตัว ขาอ่อน และเช็ดให้ทั้งขา ผมพยายามจับเด็กขี้เมานอนคว่ำเพื่อจะเช็ดหลังให้เขาได้สะดวก แต่นาวาคงอึดอัดเลยพลิกตัวนอนหงายซะดื้อๆ ผมเลยต้องจับให้เขานอนตะแคงหนุนตักผม แต่เพราะจับนาวาให้นอนท่านี้ ผมยิ่งไม่มั่นใจว่าผมจะใจแข็งกับเขาไปได้สักกี่น้ำ เพราะศีรษะเขาอยู่ในตำแหน่งที่มันล่อแหลมเกินไปน่ะสิ
ทำไม จะห้ามตัวเองทำไม ทีมันเอาปากที่มอบจูบแรกให้มึงไปจูบไอ้จอมเลย
ใช่ ผมยังโกรธอยู่ ผมว่าตอนนี้ผมกำลังปั้นหน้ายักษ์ใส่คนที่กำลังนอนหลับปุ๋ยไม่รู้เนื้อรู้ตัว มือผมกำผ้าขนหนูแน่น ผมกระชากถอดกางเกงในของนาวาออก ทำไมล่ะ ก็กำลังเช็ดตัว เช็ดให้หมดทุกส่วนสิ
ผมจดจ้องความเปลือยเปล่าของเด็กในอ้อมแขน ก่อนจะทำหน้างอ วางนาวาไว้กับเตียง ผมเอาผ้าขนหนูไปตากและเก็บขันน้ำไว้ที่เดิม ผมคว้ากระป๋องแป้งเด็กที่ไอ้เตี้ยมีไว้ติดห้อง โรยตัวให้เพื่อให้ไอ้คนนอกใจได้นอนหลับอย่างสบายเนื้อสบายตัว แถมยังใจดีให้มันสวมสเว็ตเตอร์ของผมจากที่คิดว่าจะปล่อยให้มันนอนแก้ผ้าตากแอร์ไปทั้งคืน ผมปรับแอร์ในอุณหภูมิที่ตัวเองชอบ ปิดโคมไฟตรงโต๊ะหนังสือ ล้มตัวลงนอนข้างๆคนที่หลับไม่ได้สติ ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม นอนหันหน้าเข้าหาผนัง คิ้วผมขมวดเข้าหากันอยู่อย่างนั้น
ผมกำลังค้อนลมค้อนแล้งคนที่หลับไม่รู้ตัว คนที่ไม่รู้ว่าใครหวง ไม่รู้ว่าใครเป็นห่วง ไม่รู้ว่าใครเช็ดตัวให้ ไม่รู้ว่าใครนอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าใครอยากกอด และ ไม่รู้ว่าใครเสียใจ…
“วาไม่รู้อะไรเลย” ผมพูดออกมา
ศีรษะเล็กๆของนาวาซุกอยู่กับแผ่นหลังผม แขนของเขาสวมกอดผมจากด้านหลัง แอร์เย็นจนทำให้เด็กดื้อขยับตัวเข้าหาคนที่ปกติเขาจะไม่ยอมเข้าใกล้… ใช่สิผมไม่พี่จอมของมันนิ ผมเพิ่งรู้ว่าความโมโหก็ทำให้เกิดความน้อยใจ ตอนนี้ความรู้สึกของผมตีกันมั่วไปหมด
“อย่ากอด ถอยออกไป นอนดีๆ” ผมดึงแขนที่โอบผมออกไป ทำแก้มป่องใส่ผนัง นอนหันหลังให้เด็กใจร้ายที่ทำผมเสียใจ
“อย่าซุกด้วย หลังนี้ไม่ได้มีไว้ให้มาพักแค่ชั่วครั้งชั่วคราวนะ” ผมขยับตัวออกห่าง แต่เหมือนไอ้เตี้ยจะกลิ้งตามมา
“เอ๊ะ บอกว่าอย่าเข้ามา พูดไม่เชื่อหรือไงวะเตี้ย” ผมบ่น
ผมหันหลังกลับไป เห็นนาวากำลังขยี้ตางัวเงียสงสัยจะตื่นเพราะผมพูดเสียงดัง เพราะงั้นผมเลยพลิกตัวตะแคงไปทางไอ้คนขี้เมา อยากรู้นักว่ามันเห็นผมแล้วมันจะทำยังไง
“… พี่เพชร” นาวาเรียกผม แน่ะทำเป็นมาพูดเพราะเสียงออดเสียงอ้อน กูไม่ใจอ่อนหรอก
“หนาว…” เด็กน้อยโผเข้ามาซุกกับอกผม
“ออกไป อึดอัด” ผมทำเสียงให้เรียบที่สุด
“อื้อ ผลักทำไม” นาวาประท้วง
“ยุ่ง”
“ขอผ้าห่มหน่อย” เขาเขย่าแขนผมเบาๆ
“ไม่ให้ ไม่ต้องเรียก จะนอน” ผมหลับตา ทำเมินไม่สนใจ
ไอ้เด็กดื้อมันเชื่อผมที่ไหน มุดเข้าผ้าห่มมาอย่างไม่ใยดีต่อคำสั่งของผม
“เอ๊ะ พูดไม่รู้เรื่องเหรอวะเตี้ย ออกไป ไม่ต้องมากอด อึดอัดโว้ย”
“วาหนาว แอร์เย็น”
“เรื่องของมึง”
“ใจร้าย” นาวาบ่นผม
“ถึงจะใจร้ายแต่ก็ไม่ได้ไปจูบกับคนอื่นเว้ย” ผมเถียงคนที่กำลังงัวเงีย
“อื้อ” นาวาหลับตา ยื่นหน้าเข้าหาผม
“อะไร”
“จูบคืนสิ”
“อย่ามายั่วนะ!” ผมเคือง
“เร็วๆสิหนาว จะนอนแล้ว” นาวายังคงหลับตา ยื่นหน้าให้ผมอยู่อย่างนั้น
“อย่าหาว่าไม่เตือนนะเตี้ย จะทำให้ร้องจนไม่เหลือน้ำตาเลย!”
รักพี่เพชรจังเลยอ่ะ วู้คนอาร๊าย ถึงจะงอนก็ยังน่ารัก