ตอนที่ ๗๕ มุมมอง
หยิบกระดาษสะอาดสีขาว มองดูดาวเคลื่อนคล้อยลอยต่ำ หยดน้ำหมึกบันทึกถ้อยคำ คนใจดำฟังคำบรรยาย เขียนจากชายที่ค่ายทหาร จากมานานคิดถึงแทบตาย ฝึกน่ะหรือเหงื่อไหลโทรมกาย ลูกผู้ชายขอตายยอมพลี เอ้า ฝึกๆๆๆๆ ฝึกฝน ให้คนแข็งแกร่ง มีแรงต่อสู้ไพรีน้อยใจนักคนรักเราซี เจ้าช่างมีน้ำใจแสนดำ ยอดชีวีนี่คือจดหมาย เขียนจากชายดุสิตธานี ส่งไปแล้วส่งถึงคนดี อยากจะถามมีแฟนแล้วบ่ อยากจะถามมีแฟนแล้วบ่ จำจากมานะกานดา จากมาอุราพี่เจ็บ ถึงจะเจ็บพี่ก็ต้องฝืนทน คนจนไม่มีคนเป็นห่วง ช้ำรักจากสาวกระทรวง สาวกระทรวงศึกษาธิการ ไอ้หนุ่มกระทรวงกลาโหม เอวกลมเห็นพี่เป็นทางผ่าน เจ็บนี้ เจ็บนี้อีกนาน ไอ้หนุ่มทหารไปรักกันกับสาวครู ไอ้หนุ่มทหารไปรักกันกับสาวครู ความรัก เมื่อครั้งน้องเรียนวค. ปวช. น้องบอกให้รอ รอก่อนน้องเรียนจบครู ไอ้หนุ่มทหาร คิดอยากแต่งงานกับสาวครู วิมานวาดไว้สวยหรู แต่แล้วโฉมตรู สาวครูมาหลอกลวง ถึงจะเจ็บพี่ก็ต้องทนเจ็บ เจ๊บเจ๊บ เจ็บชอกช้ำระกำทรวง อดีตคือฉันเป็นแฟน เจ็บแสนเมื่อรักโรยร่วง วันหนึ่งสาวครูมาหลอกลวง ไอ้หนุ่มกระทรวงกลาโหมขอลา ไอ้หนุ่มกระทรวงกลาโหมขอลา
เนื้อเพลงร้องปลุกใจหรือตอกย้ำให้ช้ำใจก็ไม่รู้ที่เราร้องกันในช่วงเช้า เป็นการฟิตร่างกายเป็นประจำ เท่ากับว่า ผมต้องตื่นตี ๕ มาวิ่งกับสุดที่รัก ๑ ครั้ง แล้ว ๙ โมงก็ต้องมาวิ่งอีกครั้งครับ แล้วตอนเย็นอีกครั้ง จากนั้นก็วิ่งกับผู้หมวดอีกครั้ง รวมแล้วในวันหนึ่งผมต้องวิ่ง ๔ ครั้ง วิ่งกับผู้หมวดจะเหนื่อยที่สุดครับ ส่วนช่วงที่วิ่ง ๙ โมง กับบ่าย ๓ นี่เป็นการวิ่งรวมกันของการฝึกในหน่วยครับ เพราะว่าช่วงนี้ในแต่ละกองพันมาสมทบและฝึกพร้อมกันแล้วครับ
การฝึกภาคกองพันจะจัดกำลังพลเยอะมากเลยครับ แต่ละกองพันจะจัดกำลังมาในรูปของกองร้อย กองพันละ ๓ กองร้อย กองร้อยละ ๓ หมวด ซึ่งจะเป็นหมวดปืนเล็ก นอกจากนี้ยังมีหมวดปืน ค. ด้วยครับ และก็จัดกำลังพลเยอะมากเลยครับ แต่ละหน่วยมาฝึกรวมกันที่กองพันที่ผมสังกัดอยู่ ในวันแรกมาถึงก็ฝึกกันเลยครับ ฝึกท่าอาวุธ ฝึกการตรวจสภาพความพร้อมรบ พอวันถัดมาก็ฝึกแพ็คของ เราต้องแพ็คของทุกอย่างให้เหมือนกัน จะพับผ้าห่มยังไง พับเสื้อยังไง เอาอะไรพัน กล่องสบู่ ช้อนส้อม มีดโกนหนวด แล้วตอนตรวจสภาพ เราจะวางสิ่งของเหล่านี้ยังไง ก็ฝึกอยู่หลายวันพร้อมกับฝึกท่าตรวจอาวุธและการเคลื่อนกระบวนพลทางยุทธวิธี
“ลำกล้อง ๑ ๒ ๓ เรียบร้อย เครื่องลั่นไก ๑ ๒ ๓ เรียบร้อย ศูนย์หน้า ๑ ๒ ๓ เรียบร้อย......”การขานชิ้นส่วนปืนเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสภาพความพร้อมรบ ตอนนี้หมู่ปืนกลแต่ละหมู่มารวมตัวกันแล้วหัดขานชิ้นส่วนปืนให้พร้อมๆกัน แดดร้อนเปรี้ยงๆ เราก็ฝึกกันกลางแดด ฝึกแบบไม่ต้องคิดว่าชาตินี้หน้ากูจะขาวหรือเปล่า เพราะมันไหม้เกรียมดำเมี่ยงกันไปพอสมควรแล้ว
“ตั้งใจหน่อยทหาร ตั้งใจหน่อย อย่าเหม่อ”เสียงผู้หมวดที่ควบคุมการฝึกของหมู่ปืนกลเตือนเป็นระยะๆ มันก็มีคนมึนบ้างอะไรบ้าง ส่วนผมกับมหามันขั้นเทพอยู่แล้ว ก็ไปฝึกตั้ง ๒ รอบแล้ว ตำแหน่งก็ตำแหน่งเดิมทำไมจะจำท่าไม่ได้ล่ะ
“๑ ๒ ๓ เรียบร้อย”
“เรียบ อาวุธ”พวกผมต้องลุกขึ้นจากนั้นก็วิ่งวนกลับเข้าตำแหน่งที่ยืน
การฝึกรอบแรกผ่านไปด้วยความมึน ทั้งที่เมื่อวานก็ฝึกไปแล้วแต่มีคนไม่ได้ ไอ้คนที่ได้แล้วก็พลอยเสียไปด้วย เพราะกลัวคนอื่นเขาไม่ทัน ผมก็พยายามใจเย็นครับทั้งที่อากาศก็ร้อน แถวยังให้ฝึกกลางแดดอีก ใต้ร่มไม้ก็มีอยู่นะครับ น่าจะให้ฝึกใต้ร่มไม้ ฝึกกลางแดดนานๆเดี๋ยวหน้ามืด
“ร้อนว่ะ”ผมถือปืนมานั่งหลบที่ใต้ร่มไม้หลังจากที่เขาปล่อยพัก บ่นหน่อยครับ ฮ่าๆๆ
“เออดิ ทำไมพวกปืนเล็กได้ไปฝึกในร่มวะ ทำไมปืนกลต้องฝึกตากแดดด้วยก็ไม่รู้”ไอ้มหาเปิดกระติกน้ำกระดกเอื้อกๆ
“กูก็ไม่เข้าใจคนสั่งเหมือนกัน ตรงนี้มันก็พอสำหรับปืนกลนะ”ไอ้มหาส่ายหน้าแล้วเอามือค้ำเหยียดขาสบายๆ อยากอาบน้ำมากๆเลยครับ
“ก็ได้แค่บ่นละวะมหา ใช่ไหม”
“อือ บ่น และบ่น และก็บ่น ฮ่าๆๆๆ ผู้ชายขี้บ่นนี่ไม่ค่อยดีเลยแฮะ”
“อือ จะชาย จะหญิง ก็แล้วแต่ ถ้าขี้บ่นนี่ไม่น่าดูเลย หึหึ บ่นพอเป็นพิธีก็แล้วกัน”
“พี่บอมบ์ ผู้หมวดให้เอามาให้”รุ่นน้องยื่นน้ำแดงเย็นเจี๊ยบ ๒ ขวดพร้อมหลอดมาให้ผม ผมรับมาแล้วยื่นให้มหาขวดหนึ่ง หึหึ ที่รักกลัวผมเหนื่อย
“เหมือนจะรู้ว่าเราเหนื่อย กลับไปหอมแก้มสักฟอดดีไหม”ไอ้มหายิ้มแล้วเปิดขวดน้ำแดงยกขึ้นกระดก
“ฟอดเดียวพอเหรอ”
“หึหึ อาการหลงเมียนี่อันตรายจริงว่ะ ไม่ไหวๆ อ่า เออะ”มีเรอตบท้ายด้วย ฮ่าๆๆ
“เออะ”มันเรอ ผมก็เรอ หึหึ เรานั่งกินลมชมวิวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถูกเรียกไปฝึกรอบสุดท้ายก่อนพักกลางวัน
มาฝึกต่อกันอีกยกหนึ่ง คราวนี้เริ่มดีขึ้นกว่าเมื่อครั้งก่อนหน้านิดหน่อยครับ ทุกคนเริ่มเป็นงานบ้างแล้ว เราก็ฝึกกันด้วยความอดทน พอมีท้องฟ้ามาบังแดดบ้างเลยไม่ค่อยร้อนมากเท่าไหร่นัก
“กินข้าวเว้ย กินข้าว”เสียงตะโกนจากรุ่นพี่ดังขึ้นหน้ากองร้อย พวกผมต้องรีบทำอย่างรวดเร็ว ถอดชุดครึ่งท่อนแล้วลงมารวมที่ด้านล่าง ไอ้มหาไม่ได้ไปกินข้าวมื้อกลางวันเพราะต้องเฝ้าปืนที่วางเรียงรายหน้าคลัง
“ซัน บุหรี่มวนดิ”ไอ้เฉินเดินมาหาไอ้ซันที่หน้าคลังเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
“ไม่มี กูไม่ได้ดูดนานแล้ว”ไอ้ซันยกฝ่ายมือทั้ง ๒ ข้างขึ้นส่ายไปมา
“อ้าวเหรอ ใครมีบุหรี่บ้างวะ บอมบ์มีไหม”
“ไม่มี ในนี้ไม่มีใครมีสักคนหรอก”ผมหมายถึงในแก๊งผม ไม่มีใครมีบุหรี่
“เฮ้อ เสี้ยนยาสูบเด้วะ ผู้ใด๋มียาสูบแน่ ให้อ้ายจักมวนแน่น้อง”ไอ้เฉินมันเดินลงไป เป็นรุ่นพี่แล้วเริ่มเสียงดังขึ้นครับ
“มึงไม่สูบยาแล้วเหรอวะซัน”ผมหันมามองหน้าไอ้หลานชายตัวดี
“ไม่แล้วอ่ะอา”มันส่ายหน้า
“คนกลัวเมียก็แบบนี้แหละ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้”ไอ้ศักดิ์พูด
“ไม่ได้เรียกว่ากลัว แค่ไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ”ไอ้ซันแก้คำครหา
“ฟางบอกให้หยุดสูบเหรอ”ผมถามไอ้ซัน
“ใช่ ก็ตั้งแต่ที่ตกลงเป็นแฟนกันใหม่ๆนะอาบอมบ์ ฟางบอกว่าไม่ชอบคนสูบบุหรี่ แล้วก็ถามผมว่า ผมสูบไหม ถ้าสูบก็เลิกสูบ หรือถ้าอยากสูบต่อก็เลิกจีบฟาง ได้ยินคำนี้แล้วแทบอ้วก”
“หึหึ เลิกก็ดีแล้ว ประหยัดตังค์ ยิ่งตอนนี้เขาขึ้นภาษีมาเป็นเท่าตัว แพงกว่าเดิมแต่ปริมาณเหมือนเดิม”
“อืม ผมก็เคยคิดจะเลิกสูบนะ แต่ไม่มีแรงบันดาลใจ”
“ข้อดีของการมีแฟนอย่างหนึ่งก็แบบนี้ละ อะไรที่เราไม่ดีมันก็จะมีเงื่อนไข เราไม่ปรับตัวเข้าหากันก็อยู่ลำบาก ดีแล้ว นี่กูก็เพิ่งมาคิดได้นะ ไม่ใช่คิดได้ตอนมีแฟนนะ คิดได้ตอนไอ้มหาพูดว่ะ แล้วกูมานั่งคิดดู เออว่ะ เงินที่เราเสียไปในแต่ละเดือนกับสิ่งของเหล่านี้ แทบจะสร้างบ้านได้ทั้งหลังเลยนะ”
“จริงเหรออา”
“เออดิ มึงลองคิดดูนะ บุหรี่ตีไปซองละ ๖๐ พวกมึงเล่นดูดกันวันละซอง เอา ๖๐ คูณ ๓๐ วันเข้าไปก็ได้ตั้ง ๑๘๐๐ บาท ตีไปซะเป็น ๒๐๐๐ เอา ๒๐๐๐ คูณ ๑๒ เข้าไป ก็ได้ตั้ง ๒๔๐๐๐ นี่แค่ค่าบุหรี่นะ ปีหนึ่งตั้ง ๒๔๐๐๐ แล้วค่าเหล้าล่ะ อ่ะ สมมติเดือนหนึ่ง เรากินเหล้าเดือน ๑๐ กลม ตีไปกลมละ ๓๐๐ แล้วกัน เดือนหนึ่ง ๓๐๐๐ ปีหนึ่ง ๓๖๐๐๐ บาทแล้วละ มึงรวมค่าเหล้าค่าบุหรี่ปีหนึ่งเราเสียกับมันไปตั้งปีละ ๖๐๐๐๐ บาท เงินไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลยนะเว้ย ปีหนึ่งเราเก็บเงินกันได้เท่าไหร่เชียว สมมติว่าเราเอาค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาออม เอาไปลงทุนอย่างอื่น เงินมันงอกเงยมากขึ้นกว่าเดิมนะ มึงเคยสงสัยไหมว่าทำไมคนแถวบ้านเราถึงไม่มีวันรวย”
“ทำไมล่ะอา มีหนี้เยอะมั้ง แต่ละบ้านหนี้บานเบอะ”
“อืม นั่นปลายเหตุ แต่ต้นเหตุก็เพราะว่ามัวแต่เสียค่าใช้จ่ายกับสิ่งเหล่านี้ไปน่ะสิ เพราะกินแล้วติด พอติดแล้วความต้องการมันก็จะเพิ่มขึ้น มันไม่เหมือนข้าวไง ข้าวมันก็กินแล้วติด แต่เราก็ไม่ได้ต้องการเพิ่มไปมากกว่านี้ เพราะมันพอกับความต้องการ แต่เหล้าเบียร์มันอิ่มยาก กินทีเนี่ยเหมือนกับอาบกันเลยทีเดียว”
“โห คิดไม่ถึงเลยนะอา แต่มันก็จริงของอานะ กินที ๓ ขวดนะพอเหรอ อย่างน้อยก็ลังหนึ่ง”
“เออน่ะสิ กูก็ไม่เคยฉุกคิดมาก่อน ทั้งที่กูเรียนเศรษฐศาสตร์มานะ เรากินของพวกนี้มีแต่จะจนลง แล้วใครรวยขึ้น มึงคิดเอาเองนะ แล้วอีกอย่าง มึงเคยเป็นป่ะ พอสร่างเมาแล้วไปทำงานร้อนๆ มันจะรู้สึกร้อนรุ่มข้างใน หรือไม่บางทีก็แฮงค์ ลุกไปทำงานไม่ไหว”
“เคยสิอา เป็นบ่อย ฮ่าๆๆ”
“เออ พอกินแล้วทำงานไม่ได้ พอทำงานไม่ได้ก็ไม่มีตังค์มาใช้จ่าย แล้วก็ต้องไปกู้เขา กู้มาแล้วแทนที่จะเอาไปลงทุนกับเรือกสวนไร่นา เสียไปกับเหล้ายาปลาปิ้งไปซะครึ่ง เหลือเอาไปทำไร่ไถนาจริงๆไม่กี่ตังค์ พอเงินลงทุนน้อย ผลผลิตก็ออกมาน้อย พอผลผลิตน้อยเราขายได้น้อยแล้วเกิดอะไรขึ้นรู้ป่ะ”
“ไปยืมนอกระบบ”
“อืม เราก็ไปยืมจากตรงนั้นตรงนี้มาโปะหนี้ โปะไปโปะมาถามว่ามันลดบ้างได้ไหม มันก็ไม่ได้ลดนะ มันแค่เปลี่ยนเจ้าหนี้เท่านั้นเอง แล้วสุดท้ายคือมาบ่นว่าเป็นหนี้ตรงนั้นตรงนี้ หาเงินไปใช้ดอกเขาอย่างเดียว ไม่มีเงินต้นใช้ แล้วใครรวย คนปล่อยกู้สิรวยใช่ไหม เสือนอนกินเลยนะมึงเป็นเจ้าหนี้เขาเนี่ย”
“โห มันขนาดนี้เชียวเหรอ”ไอ้ซันทำหน้าตกใจ
“เออ นี่กูเพิ่งมาคิดได้เหมือนกัน แต่กูมันดีหน่อยตรงที่ไม่ค่อยเดือดร้อนเรื่องเงินทองเท่านั้นเอง กูก็หมดไปกับพวกนี้เยอะนะ พอมันรู้อีกมุมมองหนึ่ง มันจะมาคิดเว้ยซันว่าเราเสียอะไรไปบ้าง แล้วที่สำคัญนะ สิ่งที่เราเสียแน่ๆคือชีวิต สมมตินะ มึงทำงานไปด้วย กินเหล้าสูบบุหรี่ไปปกติ เงินพอกินพอใช้ มีเก็บเดือนละ ๕ พันบาท มึงไม่มีภาระที่จะต้องรับผิดชอบ มึงไม่ต้องเสียภาษีสังคมอะไร คือเก็บเหนาะๆ เดือนละ ๕ พันบาท ปีหนึ่ง มึงเก็บได้ ๖ หมื่นบาท ตอนนี้มึง ๒๒ แล้วใช่ไหม สมมติ มึงอัดเหล้าบุหรี่เต็มที่ทุกวัน กูให้เวลา ๒๐ ปี พอถึงอายุ ๔๐ ปี มึงจะมีเงินเก็บ กูตีไปว่ามันมีดอกเบี้ยธนาคารรวมแล้วก็ได้ประมาณ ๒ ล้านกว่าบาท แล้ววันหนึ่งมึงล้มป่วย มึงเข้าโรงพยาบาล เขาเอ็กซเรย์ปอดมึง ปรากฏว่ามันดำไปทั้ง ๒ ข้างแล้ว เขาตรวจดูตับมึง มันก็แข็งไปซะแล้ว เขาตรวจดูทุกอย่างของมึง ปรากฏว่ามันแทบจะทำงานไม่ได้แล้ว มึงเอาเงินที่มึงขยันเก็บ ๒๐ ปี ได้มา ๒ ล้านกว่าๆ มึงเอามารักษา มึงคิดว่ามึงจะเสียค่ารักษาไปเท่าไหร่”
“เป็นหมื่นนะอา”
“น้อยไปซัน เป็นแสน มึงไปนอนโรงพยาบาลครั้งหนึ่ง ตีไปครั้งละ แสน มึงป่วยขนาดนั้น มึงให้หมอพยายามยื้อชีวิตมึงไว้ มึงยอมทุกอย่างเพื่อที่มึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไป มึงว่าเราต้องใช่เงินกี่ล้าน”
“เยอะสิอา ไม่รู้สิ ผมว่ามันคงจะหลายล้านแหละอา”
“อืม แล้วมึงคิดว่า ตลอด ๒๐ ปีที่มึงทำงานมึงเก็บเงินมาได้ ๒ ล้านกว่าบาทมันพอค่ารักษาไหม”
“โห จะพอเหรอ มันก็ไม่พอนะสิอา”
“อือ เห็นไหม นี่แค่สมมตินะ แล้วถ้าความเป็นจริงล่ะ มึงมีเงินซื้อเหล้าเบียร์บุหรี่ทุกวัน แต่มึงคิดเหรอว่ามึงจะมีเงินเหลือเก็บเดือนละ ๕ พันบาททุกเดือน บางทีแทบจะเดือนชนเดือนไปด้วยซ้ำ แล้ววันหนึ่ง มึงแต่งงาน มึงมีเมีย มึงมีลูก ที่มึงต้องรับผิดชอบ มึงคิดว่ามึงทำงานแล้วมึงจะมีเงินเก็บไหม เราต้องกินต้องใช้ทุกวัน แล้ววันหนึ่ง พ่อแม่มึงแก่ ทำงานไม่ไหว มึงจะมีเงินที่ไหนไปดูแลเลี้ยงดูท่าน รอเงินผู้สูงอายุเดือนละไม่ถึงพันเหรอ แล้วมึงต้องทำงานเพิ่มวันละกี่ชั่วโมงมึงถึงจะมีเงินเหลือ เมียมึงต้องทำงานมากกว่าเดิมอีกเท่าไหร่ ลูกของมึงต้องอดข้าวกี่มื้อ มึงลองชั่งตวงดูสิ”
“อืม ก็เยอะอยู่นะอา ค่าจ้างก็ไม่เท่าไหร่ ทำนาขายข้าวได้ปีหนึ่งก็ไม่กี่ตังค์ อืม ฟางก็มีเงินเดือนนะ เห็นว่าเล่นหุ้น แต่เงินฟางไม่ใช่เงินผม ผมเป็นผู้ชายต้องรับผิดชอบครอบครัว งี้ผมก็ต้องเหนื่อยเยอะเลยนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่ะอา”ไอ้ซันเกาคาง
“เออ กูก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน นี่กูเพิ่งมาคิดได้ กูมานั่งคำนวณดู โห ปีหนึ่งๆ กูจ่ายไปกับพวกนี้เยอะมาก บางทีใจดีเลี้ยงเหล้ารุ่นน้องบ้าง เพื่อนบ้าง คนรู้จักบ้าง แล้วมึงคิดดูนะซัน ปีหนึ่งกูทำเงินได้ไม่ต่ำกว่า ๙ หลัก มึงคิดว่ากูจะไปกินเหล้าขาวไหม หรือซื้อเหล้าต้มกินดี ไม่หรอกว่ะ มันต้องนอกชั้นดี กลมละไม่ต่ำกว่าพัน กูหมดไปปีละหลายแสน”
“แต่อาเงินเยอะอยู่นะ จะไปห่วงอะไร เงินเหลือเฟือ ต่อให้นอนโรงพยาบาลคืนละ ๒ ล้าน ขนหน้าแข้งก็ไม่ร่วงหรอกมั้งอา”
“เออ ไม่ร่วงหรอกขนหน้าแข้งกูอ่ะ แต่หมอยกูนี่จะร่วง แต่มึงลองคิดดูนะ กูมารู้ซึ้งตอนที่กูนอนโรงพยาบาล ตอนที่กูลุกไม่ไหว ตอนที่กูอยากหยอกล้อกับลูกมากๆ แต่กูทำได้แค่กอดกับหอม โอเคว่าการนอนโรงพยาบาลครั้งที่แล้วมันไม่ใช่เพราะเกิดจากโรคร้าย แต่เพราะเกิดจากกูโดนเขายำตีน แต่ถ้าตัวแปรมันเปลี่ยนไปล่ะ สมมติวันนั้นกูเป็นถุงลมโป่งพองระยะสุดท้าย อีกไม่กี่วันกูตาย กูเศร้านะซัน ลูกกูกำลังโต กูเพิ่งจะทะเลาะกับแฟน แม่กูก็อยู่บ้านคนเดียว ถ้าเกิดวันนั้นกูตายไปเพราะโรคที่เกิดจากเหล้ายา จะเป็นยังไง ตอนนั้นกูไม่เคยคิดหรอกว่ามันจะผลกระทบเท่านี้ จนกูคิดได้ แล้วกูมาคำนวณดูแบบจริงจัง กูอึ้งกับตัวเองว่ะซัน ทำไมกูโง่แบบนี้วะ กูเคยไปเยี่ยมพี่พร้อมที่เป็นโรคตับแข็ง เขาพะงาบๆใกล้ตาย กูก็ไม่สำนึก กูเคยขับรถไปส่งน้าอุ่นแกเป็นโรคถุงลมโป่งพอง ไปไม่ถึงโรงพยาบาลด้วยซ้ำ แกตายคารถ กูก็แค่ทำหน้างง แล้วช่วยงานศพเขา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แล้ววันหนึ่งกูมานั่งคิดกับตัวเองว่าทำไม ทำไม และทำไม จนกูได้คำตอบ คำตอบหนึ่งว่ะ”
“อะไรเหรออา”
“คนเรามักจะมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งใกล้ตัว”
“เป็นไปได้เหรอ เงินทอง พ่อแม่พี่น้องก็สำคัญนะอา”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ก็มันเป็นไปแล้วน่ะสิ ถึงได้พูดได้”
“ยังไงอ่ะอาบอมบ์ อาบอมบ์ชอบคิดอะไรยากๆว่ะ”
“ก็ที่เห็นทั่วๆไปนั่นแหละ มึงคิดว่าปอดมันสำคัญไหม มึงคิดว่าตับมันสำคัญไหม มึงคิดว่าเครื่องในทุกชิ้นส่วนของมึงสำคัญไหม”
“อืม มันก็สำคัญนะ ไม่มีมันเราก็อยู่ไม่ได้อ่ะ”
“นั่นแหละ มันสำคัญเว้ยซัน แต่ทำไมเราละเลยที่จะดูแลเครื่องในเราล่ะ มันน่าตลกนะซัน มันสำคัญถึงขนาดนี้ทำไมเรายังละเลย กูนั่งอึ้งกับตัวเองอยู่พักใหญ่เว้ย เฮ้ย กูโง่มาตลอดเลยนี่หว่า กูบ้า กูกำลังคิดอะไรของกูในตอนนั้นวะ แล้วมึงคิดว่า ปอดคนเรามันกำหนดเวลาแน่นอนไหมที่มันจะพังหรือมันจะดี ไม่เลยว่ะ มันไม่ได้กำหนดวันว่าเดือนนี้ของปีนั้นมันจะไม่ไหวนะ เตรียมหาปอดอันใหม่มาเปลี่ยน ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไหล่ มันไม่ได้บอกล่วงหน้า พอมันเป็น มันฟุบไปเลย ยื้อทันก็รอด ยื้อไม่ทันก็ตาย”
“อือ กลัวเลยว่ะอา เหมือนลุงต้อยอ่ะ เห็นอยู่ดีๆ แล้วก็ล้มตึงไปเลย ป้านีบอกว่าเป็นอะไรนะอา มะเร็งปอดใช่ไหม แต่ทำไมมันไม่มีอาการ โห แล้วปอดผมจะดำไหมเนี่ย สูบมาตั้งแต่ ม. ๕ ปีนี้ ๒๒ ตอนนั้น ๑๗ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๕ ปี”
“เออดิ นี่กูก็ยังหวั่นๆอยู่น่ะเว้ย ว่ามันจะพังวันไหน มึงคิดว่ามันดีเหรอกับการที่เราตายก่อนแล้วทิ้งภาระให้คนอื่นไว้ดูแล มันไม่ดีเลยนะซัน มันเป็นการกระทำของคนเห็นแก่ตัวว่ะ ดีแล้วที่มึงเชื่อเมีย มึงอย่าไปอายคำพูดคนอื่นเว้ย ที่เขาดูถูกดูแคลนว่ามึงกลัวเมีย มึงอย่าไปคิด ใครจะว่ายังไง ตอนเรานอนที่โรงพยาบาล มีแค่เมีย พ่อแม่พี่น้องเท่านั้นแหละที่มานั่งเฝ้าป่วยดูไข้มึง ไอ้เพื่อนตัวดีทั้งหลายมันเอากระเช้ามาวางนั่งคุยชั่วโมง ๒ ชั่วโมงมันก็ไปแล้ว”
“อืม ผมเข้าใจที่อาพูดล่ะว่า คนเรามักมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งใกล้ตัว”
“สรุปก็คือ คนเราจะหล่อจะสวยต้องอย่าลืมดูแลภายในใช่ไหมพี่บอมบ์ ภายในนี่คือเครื่องในของเราละอย่างหนึ่ง จิตใจละอย่างหนึ่ง คนจะงาม งามน้ำใจใช่ใบหน้า คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต อิอิ ต่อมาก็คือ อย่าลืมให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราอยู่กับมันทุกวันใช่ไหมพี่บอมบ์ เราอยากมีร่างกายสุขภาพที่แข็งแรงเราก็ต้องดูแลมันก่อนที่จะไม่มีมันให้ดูแล เรามีแฟน มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เราก็ต้องทำดีกับเขาให้มากๆใช่ไหมพี่บอมบ์ เพราะถ้าเขาเหล่านั้นไม่ได้อยู่กับเรา เราก็จะมานั่งเสียใจน้ำตาตกใน แล้วมาถามตัวเองว่าทำไมตอนท่านอยู่ กูไม่ทำให้ดีกว่านี้ แล้วที่สำคัญ เงินทองต้องใช้ให้เป็น รู้จักว่าอะไรมีประโยชน์มาก อะไรมีประโยชน์น้อย อะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น ใช้จ่ายเงินทองอย่างมีสติ พยายามให้ชีวิตของเราเป็นคนควบคุมการใช้เงิน อย่าให้เงินมาควบคุมการใช้ชีวิตของเรา ง่ายๆคือ เป็นเจ้านายของเงิน อย่าให้เงินเป็นเจ้านายใช่ไหมพี่บอมบ์”อีหนูที่นั่งเงียบอยู่นานแสนนานกล่าวบทสรุปทิ้งท้ายไว้ได้น่าประทับใจ ผมมองหน้ามันและก็อึ้ง ไม่นึกว่าอีหนูจะมีความสามารถถึงขั้นนี้
“หูย เก่งว่ะหนู”ไอ้มหาเอ่ยชม พวกนี้ ๒ คนเงียบตั้งแต่ไอ้ซันพูดเรื่องบุหรี่แล้วล่ะ
“อิอิ เขินจัง แหม ก็นิดหนึ่งอ่ะพี่มหา หนูเรียนบริหารนะ หนูอ่ะไม่อยากจะอวดตัวว่าเป็นหนุ่มบริหารไฟแรง”
“เก่งจริง เย็นนี้ให้รางวัลสักครั้งดีไหม”ผมยกนิ้วหัวแม่มือให้อีหนู
“หนุ่มบริหารหรือสาวบริหาร”ไอ้ศักดิ์ถาม
“เป็นตุ๊ดบริหารก็ได้ว่ะ อิอิ ชอบความคิดของพี่บอมบ์จัง เหมือนพี่เจิดเลย พี่เจิดชอบพูดแนวๆนี้แหละ หนูฟังไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะเราอยู่ไกลกัน เฮ้อ คิดถึงสามีจัง อิจฉาตัวเอง ได้ดีมีรวยและจวยใหญ่ เด้าดี มีแรงมาก”ฮ่าๆๆๆ
“มึงกำลังเพ้ออีกแล้วนะหนู”ไอ้ซันตบโต๊ะเบาๆ
“ฮ่าๆๆ ก็นิดหนึ่ง เพ้อบ้าง อยู่ในความจริงบ้าง แต่กูชอบตลกๆแหละ สาระไม่มี...”
“กะหรี่ไปวันๆ”ไอ้ศักดิ์เหน็บแนม
“แรงมากเลยว่ะศักดิ์ ถึงกูกะหรี่ ก็กะหรี่ชั้นดี กะหรี่ส่งออก ไม่ใช่กะหรี่โอทอปแบบเมียมึงแล้วกัน อีปลวกหน้าบ้านๆ สองทะทานข้าวเปลือก”
“ฮ่าๆๆๆ แรงกว่ากูอีก”ไอ้ศักดิ์ขำ
“แต่บางทีมันก็ทำยากนะพี่บอมบ์ มันเห็นแล้วบางทีมันก็เปรี้ยวปาก”
“อืม เราต้องเข้มแข็ง อย่างกูนะ กูหักดิบเอา”ผมหักดิบกับมันเลยครับ กัดฟัน
“ต้องฝึกจิตใจให้เข้มแข็งเว้ยหนู อย่าปล่อยให้อารมณ์ไม่ดีมาครอบงำเราบ่อยๆ ตอนนี้ที่เขาออกมารณรงค์ก็ดี เขาเพิ่มภาษีก็ดี มึงลองมองในอีกแง่มุมหนึ่ง เขากำลังหวังดีกับเรา เขากำลังชี้ทางเลี่ยงให้กับเรา สมมตินะว่า มีคนเขียนป้ายใหญ่ๆ บอกว่าอีก ๑๐ เมตร มีหลุมใหญ่มาก ขอให้คนที่ใช้รถใช้ถนนกรุณาเลี่ยงใช้ทางเลนส์นี้ แต่คนเรามักไม่เชื่อ ก็ยังดึงดันที่จะขับรถต่อไป สุดท้ายก็คือตกหลุมแล้วได้รับบาดเจ็บ พิกลพิการ บางทีก็ถึงตาย เหมือนกันกับที่เขารณรงค์ว่ะหนู เขาบอกว่ากินเหล้าแล้วเป็นตับแข็งนะ สูบบุหรี่แล้วเป็นมะเร็งปอดนะ เหล้ายาปลาปิ้งมันมีผลกระทบแบบนี้ๆๆ นะ แต่ไม่เชื่อ ยังกิน ดื่ม สูบ เหมือนเดิม ใครจะเข้าโรงบาลก็เข้าไปสิ กูไม่ตายง่ายๆหรอก แล้ววันหนึ่ง มึงกำลังรุ่งโรจน์กับชีวิต แต่มึงต้องไปนอนโรงพยาบาล ทรมานกับโรคร้าย มึงมานั่งคิดว่าทำไมกูไม่เชื่อหมอตั้งแต่วันนั้นวะ ถามว่ามันแก้ไขอะไรได้ไหม เวลาไม่อาจจะย้อนคืนกลับมาได้อีกแล้ว สุขภาพที่เสื่อมโทรมไม่สามารถที่ฟื้นฟูให้ได้เหมือนเดิมได้อีกแล้ว มันได้แค่ประทัง แล้วสุดท้าย คือเราจากโลกนี้ไปด้วยคำถามที่ว่า ทำไมกูต้องตาย กูเคยเห็นนะหนู”
“อืม เห็นภาพเลยอ่ะพี่มหา”อีหนูพยักหน้าแล้วเกาคางเบาๆ ช่วงนี้หน้าไม่ใสกันทั้งแก๊งเพราะแดดอ่ะ