ตอนที่ ๗๗ คนข้างกาย
“เฮ้ยทหาร มาช่วยเก็บข้าวของก่อน ใครที่ยังว่างๆอยู่มาช่วยกันก่อน”
“แยกส่วนไว้นะ ส่วนไหนจะไปคืนที่ไหน เอานี่เครื่องครัวของกองร้อย”
“อู๊ดๆ ขึ้นไปแก้เชือกให้จ่าหน่อยซิ”
“ไอ้กุ๊ก ไอ้ห่า โยนเบาๆสิวะ โยนแบบนี้ข้าวของก็พังพอดี”
“อีหนู ไหนลังเมื่อกี้เอาไปไหนแล้ว”
“เฮ้ยทหาร ไปเรียกเพื่อนมาอีกสัก ๕ คนซิ”
เสียงดังจากหน้ากองร้อยที่ต่างคนต่างสั่ง ตางคนต่างช่วยเหลือเจอจานซึ่งกันและกัน กลับมาถึงกองพันก็บ่าย ๓ แล้ว จากนั้นเอาปืนไปคืนเอาของไป ยังไม่ได้ทำอะไรเลยครับ เราก็มาช่วยกันเก็บข้าวของอุปกรณ์ที่ออกฝึก
เราจัดการเคลียร์ของกันอยู่ ๓ วันเหมือนที่เคยทำครับ จากนั้นก็ปล่อยให้ลาพักผ่อนจัดลำดับล็อก ใครได้ล็อกลาล็อกแรกก็ดีใจกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้องก็ต้องรอล็อกที่ ๒ ส่วนผมผู้กองไม่ถามครับ อยากจะไปก็ไป อยากกลับวันไหนก็บอก แต่ผมก็ไม่ได้เอารัดเอาเปรียบใครหรอกครับ แค่ขอลาล็อกแรก ซึ่งได้คนละ ๑๕ วันเท่ากัน ผมคงเอาแค่นี้ ตอนเย็นผมเลยรีบแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วลากลับบ้าน
“เฮ้ย ไอ้ตัวเล็กมาเมื่อไหร่อ่ะ”ไปถึงบ้านพี่เบิ้ลผมตกใจเลยครับเพราะลูกชายตัวดีของผมนั่งเล่นของเล่นหน้าสลอนอยู่ที่ห้องรับแขก โดยมีไอ้ภีมเป็นคนชวนเล่น เจ้าตัวเล็กเจอหน้าผมก็กระดี๊กระด๊า
“อ๊า”เจ้าแสบโยนลูกบอลใส่ผมแล้วรีบลุกขึ้นมาตบไม้ตบมือวิ่งมาหาผม
“หูย มาเมื่อไหร่อ่ะ มาให้พ่อหอมแก้มหน่อย”ผมคว้าเจ้า ๒ ลิงมากอดรัดฟัดเหวี่ยงหอมแก้มกะเอาให้ช้ำเลยทีเดียว
“บำๆ”ยังบำๆเหมือนเดิมเลยครับ ตอนนี้ลูกผม ๑ ขวบแล้ว เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันนี่เอง เสียดายไม่ได้จัดงานวันเกิดให้
“คิดถึงอ่ะ คิดถึงพ่อไหม”ผมมองหน้าลูก เจ้าแสบวิ่งไปหาไอ้ภีมที่นั่งพิงกับโซฟา บนตัวโซฟามันไม่นั่งนะครับ มันนั่งกับพื้นแล้วพิง “อ้าว ไม่คิดถึงกันเหรอ”
“ฮ่าๆๆ โดนลูกเมินซะแล้ว”ไอ้ภีมมันหัวเราะเสียงดัง
“บี”เจ้าซ่าตบไม้ตบมือแล้วเดินไปไต่ไอ้ภีม ส่วนไอ้พี่ชายตัวดีก็หยอกน้องงุ้งงิ้ง หัวเราะถูกอกถูกใจเชียว
“แม่ สวัสดีครับ”ผมเดินไปที่ครัวเพราะได้กลิ่นหอมๆของกับข้าว ว้าว แกงขี้เหล็ก นานๆได้กินที แกงขี้เหล็กนี่ใส่ปลาแห้งหรือไม่ก็หมูแดดเดียวมันจะอร่อย เพราะปลาหรือหมูมันจะออกเค็มๆ ที่จริงใส่อะไรก็อร่อยนะครับ มันอยู่ที่ฝีมือ
“อืม เป็นไงบ้างลูก เหนื่อยไหมไปฝึกคราวนี้”
“สนุกดีแม่ ไม่ค่อยหนักมาก แล้วนี่ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอแม่”
“พี่ภากับพี่เบิ้ลของแกไปงานอะไรสักอย่างนี่แหละ แม่จำไม่ได้ ดูอ้วนขึ้นไปไหมลูก”แม่มองผมตั้งแต่หัวยันปลายเท้าเลยทีเดียว
“เหรอแม่ ยังไม่ได้ชั่งเลย คราวทีแล้วชั่งไปหนัก ๘๐ กว่าๆ ตอนนี้ไม่รู้เหลือสักเท่าไหร่ อ้วนจริงเหรอแม่ บอมบ์ว่าเนื้อแน่นขึ้นมั้ง”
“อื้ม แม่ก็ไม่รู้สิ เห็นตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแม่ก็ว่าอ้วนแหละ ไปเปลี่ยนชุดเชิ๊ดให้เรียบร้อยไป หรือจะอาบน้ำอาบท่าเลยก็ได้”
“อาบมาแล้วแม่ งั้นเดี๋ยวบอมบ์ไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ ภีม มีเสื้อให้ยืมใส่ไหม”
“เข้าไปในห้องไอ้ภูมิอ่ะอา เสื้อผ้าอาอยู่ในตู้มันไม่ใช่เหรอ”
“เออๆ แล้วนี่ไอ้ภูมิยังไม่กลับมาเหรอ”
“ยัง พาแฟนไปกินข้าวมั้ง กลับดึกๆนู้นแหละ”
ผมขึ้นไปเปลี่ยนชุดที่ห้องไอ้ภูมิ หยิบเสื้อผ้ามาใส่ เสื้อยืด กางเกงขาสั้น แล้วลงมาด้านล่าง มาดูลูกแปบนึงแล้วไปช่วยแม่ทำกับข้าว ลูกไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก มีพี่ชายแสนรักคอยดูแลอยู่แล้ว พอถึงเวลากินข้าวเราก็มาตั้งโต๊ะ เจ้า ๒ ลิงนี่มาป่วนผมทันทีเลยครับ ผมจะกินข้าวก็ร้องขอกินกับผมด้วย ผมเลยต้องป้อน ไม่น่าเชื่อว่าลูกจะกินแกงขี้เหล็กเป็นครับ
“ลูกกินได้เหรอแม่”
“อือ ให้กินเถอะ อยู่บ้านแม่ทำอะไรกินก็กินตามแม่ นี่ยังกินน้ำพริกไม่ได้ ถ้ากินได้นี่กับข้าวไม่เหลือแน่นอน”
“ชอบฝีมือย่าทำกับข้าวอ่ะ ภีมอยากกลับไปอยู่ที่ต่างจังหวัดเลยนะเนี่ย”ไอ้ภีมชมฝีมือทำกับข้าวแม่ผม ไอ้ภีมไอ้ภูมิ ๒ พี่น้องมันกินได้ทุกอย่าง จิ้งหรีด ตั๊กแตน ปลาร้าปลาจ่อม มันกินหมดครับถึงแม้ชีวิตส่วนใหญ่มันจะโตมากลับเมืองหลวงก็ตามที ที่มันกินอาหารพวกนี้เป็น เพราะตั้งแต่มันเด็กเล็กๆ พี่เบิ้ลชอบเอาลูกไปให้แม่ผมเลี้ยงช่วงปิดเทอมครับ ไม่เฉพาะพี่เบิ้ล พี่น้อยพี่นิดก็เอาลูกๆไปให้แม่ผมเลี้ยงช่วงปิดเทอม ตอนนั้นบ้านผมครึกครื้นมาก พอเขาเปิดเทอมผมก็เหงาครับ เพราะทุกคนต้องมาเรียนที่กรุงเทพ พี่เบิ้ลเคยจะพาผมมาเรียนที่กรุงเทพนะ แต่ผมติดพ่อกับแม่มากกว่าครับ เลยเรียนที่บ้าน แต่ญาติๆเราไม่ค่อยห่างกันหรอกครับ จะมีปฏิสัมพันธ์กันตลอด กินนอนด้วยกัน พ่อแม่ผมนี่ขี้คร้านจะเลี้ยงลูกๆหลานๆเลยครับ มันเจี๊ยวจ๊าวจริงๆ
กินข้าวอิ่มแล้วผมเก็บกวาดแล้วก็มานั่งหยอกกับลูก คุยกับแม่ไปด้วยครับเล่าเรื่องไปฝึกในป่า ส่วนไอ้ภีมก็นั่งดูทีวีไป หยอกน้องไป บางทีก็หันมาคุยกับผม จนเวลา ๓ ทุ่ม เจ้าแสบเจ้าซ่าดูท่าจะไม่ไหวแล้วผมจึงอุ้มไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวอีกครั้งหนึ่ง ไม่ได้อาบน้ำให้เพราะแม่บอกว่าอาบน้ำให้ลูกผมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นแล้ว ผมอุ้มลูกเข้าไปในห้องนอน เทนมใส่ขวดให้ลูกแล้วก็ไปหยิบนิทานมาอ่านให้ฟัง ผมอ่านไปเรื่อยๆ เอารูปให้ลูกดูบ้าง คุยไปบ้าง ลูกผมก็ไม่ยอมหลับซักที จนนมหมดขวดและนิทานจบพอดี พอนิทานจบเท่านั้นแหละครับ เจ้าตัวเล็กเอาขวดนมออกจากปากแล้วก็หลับไปทันที เออ เก่งจริงลูกกู
ผมต้องตื่นแต่เช้าเพราะเจ้าลูกชายขึ้นมาปีนป่ายที่ตัวผม ตื่นก่อนผมซะอีก ผมจะนอนต่อก็ไม่ไหวเจ้าลูกชายไม่ยอมเลยต้องลุกขึ้นมานั่งหยอกล้อแล้วก็ผลัดเปลี่ยนผ้าอ้อม จนเวลา ๖ โมงพาไปอาบน้ำ ตอนอาบน้ำนี่อาบน้ำอุ่นให้ครับ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงหน้าร้อนก็ตามแต่ไว้ใจกับฟ้าฝนไม่ได้หรอก อาบน้ำอาบท่าให้ลูกเสร็จผมก็อุ้มออกนอกบ้าน วันนี้จะพาลูกไปเดินเล่นครับ
“จะพาลูกไปไหนแต่เช้าอ่ะลูก”แม่ผมถาม
“พาไปสวนสาธารณะอ่ะแม่”
“อือ อย่ากลับมาสายแล้วกัน จะได้กินข้าวกินปลา”
“ตัวเล็กรีบตื่นจัง จะไปไหนเหรอ”ไอ้ภูมิลงมาจากห้องของตัวเอง
“บู”เจ้าซ่าชี้นิ้วไปที่ไอ้ภูมิ
“พาไปเดินเล่นน่ะ ไปด้วยกันไหม”
“ไม่ทันแล้วละอา ฮึ่บ ย่าให้ภูมิช่วยอะไรไหม”
“ไม่ต้องหรอกลูก ไปอาบน้ำอาบท่าไป จะได้รีบไปทำงาน”แม่ผมตื่นแต่เช้ามาก็เข้าครัวเลยครับ แต่ไม่ได้ทำคนเดียวนะ มีพี่ภาคอยมาช่วยครับ ผมอุ้มเจ้าตัวเล็กไปที่ลานจอดรถ แล้วเดินเอาคาร์ชีทมาติดตั้งที่เบาะหลัง จับเจ้าตัวเล็กนั่งแล้วรัดเข็มขัด ดีนะที่ลูกไม่งอแงไม่ค่อยดิ้น ขับรถประมาณ ๓๐ นาทีก็มาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง หาที่จอดรถได้แล้วก็อุ้มลูกพาไปเดินเล่น
ตอนเช้าๆแบบนี้มีผู้คนหลากหลายมาวิ่งออกกำลังกายกันครับ ตั้งแต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นจนถึงคนแก่หัวหงอกหัวดำเลยทีเดียว เสียงนกเสียงกาดังแว่วมาบวกกับอากาศที่สบายๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นมาก เจ้าตัวเล็กพอผมวางลงกับพื้นดินนี่ร่าเริงกันเชียวครับ วิ่งตบไม้ตบมืออย่างมีความสุข ผมเลยเก็บโอกาสเล็กๆถ่ายรูปเจ้าลูกชายแล้วก็พาเดินเล่น ชี้นกชี้ไม้พาดูนู้นนี่ตลอด ไม่รู้ว่าลูกถามอะไรบ้างแต่ก็พูดให้ลูกฟังว่ามันเป็นแบบนั้นแบบนี้ แล้วเจ้าตัวดีก็เหมือนจะรู้เรื่องด้วยครับ
“หิวข้าวยัง”ผมถามเจ้าตัวเล็กที่นั่งยองๆอยู่ริมคูน้ำ
“อือ”อือแต่ส่ายหน้านี่นะ
“ไม่หิวเหรอ”
“อ๊า”แล้วก็ไม่สนใจผมครับ พากันลุกขึ้นแล้วไปวิ่งเล่น ผมก็เดินตามแบบใกล้ชิด บางทีก็จับตัวไม่ทันบ้างเพราะจับคนพี่ แต่คนน้องก็แผล็วไปนู้นแล้ว วุ่นวายกันพอสมควรครับ แต่สนุกดี ผมชอบที่ลูกซน ถึงจะเหนื่อยก็ตามทีเถอะ แต่เขาว่าเด็กซนคือเด็กฉลาด
เราเดินเล่นกันจนแดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกหิวข้าวแล้วล่ะสิเพราะตอนนี้มันก็ ๗ โมงกว่าๆแล้ว แต่ลูกผมยังร่าเริงบันเทองใจวิ่งเล่นแบบไม่มีเหน็ดมีเหนื่อย ผมนี่เหงื่อชุ่มหลังแล้วครับ
“แสบ ซ่า พอก่อนได้แล้วไหมลูก ไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวคุณย่ารอนานนะ”ผมพูดกับลูกที่กำลังดึงใบไม้เล่น
“บำๆ”
“ครับ ไปกินข้าวก่อนนะ หม่ำๆข้าวก่อน”
“บี”
“อื้ม ป่ะๆ ไปกินข้าวก่อน”
“อา วาๆๆๆ”อะไรของเขาก็ไม่รู้ครับผมคว้าคนพี่ได้แล้วก็คว้าคนน้องขึ้นมาอุ้ม เจ้าตัวเล็กยังซนชี้นกชี้ไม้ไป ผมเองก็อุ้มแล้วพาเดินกลับมาที่รถ
“ตัวเล็กไปเที่ยวไหนมา”พี่ภาถามเจ้าแสบเจ้าซ่า
“หือ บำๆ อ๊า”เจ้าตัวแสบส่งเสียง พี่ภารับไปอุ้มคนหนึ่ง ส่วนอีกคนอยู่กับผม จากนั้นแม่ผมก็เดินมาจากหลังบ้าน
“กว่าจะกลับมานะ แม่โทรหาก็ไม่รับโทรศัพท์อีก มันน่าตีเชียว แสบ ซ่า กินข้าวลูก”แม่เอ็ดผมแล้วหันไปสนใจหลาน จากนั้นก็ป้อนข้าวลูก แม่ป้อนก็ไม่ยอมกิน พี่ภาป้อนก็ไม่ยอม ส่ายหน้าอย่างเดียว มีการเดินมานั่งตักผมแล้วตีที่หน้าอกผม สุดท้ายผมเลยต้องมานั่งป้อนขาวลูก แต่เจ้าตัวเล็กไม่ได้นั่งนิ่งๆนะครับ เดินไปเดินมา พอกลืนข้าวเสร็จแล้วก็เดินมาหาผม
“แสบ ซ่า นั่งนิ่งๆก่อนสิ กินข้าวให้อิ่มก่อนค่อยเล่น”
“อำๆ”ฟังผมบ้างไม่ฟังบ้าง พอนั่งอยู่กับที่ก็จะแย่งช้อนแย่งชาม
“ตัวเล็ก ถ้าไม่นิ่งพอไม่พาไปเที่ยวนะ”ผมพูดขู่ เจ้าตัวดีมองผมหน้าแป๋วเหมือนจะรู้เรื่องแล้วยิ้มให้ผม ลุกขึ้นยืนอ้าปากจะกินข้าว เฮ้อ เหนื่อยจริงครับ เลี้ยงลูกนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย “ทำไมลูกซนแบบนี้อะแม่”หลังจากป้อนข้าวอิ่มแล้วผมมานั่งถามแม่
“แค่นี้ยังน้อยไป แกตอนเด็กๆนี่พ่อแกยังเอาไม่อยู่เลย ซนกว่าลิงอีก”แม่พูด
“อย่าว่าแต่ลิงเลยแม่ ภาว่าฝูงลิงต่างหาก เจ้าฉัตร เจ้าอ้วน เจ้าอั้ม เจ้าโด่ง โอ๊ย คนโตก็พอคนโต คนเล็กนี่ก็วุ่นกันจริง เรียกว่าบ้านแตก”พี่ภาพูด
“จริงเหรอพี่ภา”
“พี่จะโกหกทำไมล่ะ เจ้าภูมิก็ยังเล็กๆเพิ่งจะ ๕ เดือน เจ้าภีมก็ขวบแล้ว บอมบ์กับเจ้าภีมนี่ตัวแสบ ทั้งอาทั้งหลาน ถ้ามารวมตัวกันเมื่อไหร่นะไม่ต้องเรียกว่าบ้านหรอก”
“ถูกของภา ทั้งดื้อทั้งซน บอกให้นั่งก็ไม่อยู่ บอกให้นอนก็ไม่เอา หยอกล้อกันฮาเฮกันไป”
“ฮ่าๆๆ จริงเหรอแม่”
“จริงสิ นี่ถ้ามีโอลิโอ”
“วีดีโอแม่”
“เออ ไอ้นั่นแหละ ลิโอลิเอออะไรของแกนั่นแหละ ถ้ามีนะแม่จะถ่ายไว้มาให้ดูเลยเชียว”นั่งฟังแม่เล่าถึงเรื่องราวตอนเด็กๆ แล้วจินตนาการตามไปด้วย ผมคงจะซนจริงอย่างที่แม่ว่าแหละครับ เพราะลูกผมนี่ก็ซนเอาการอยู่เหมือนกัน
สายๆไม่มีอะไรทำ ผมเลยชวนแม่กับพี่ภาไปเดินห้าง แม่ผมก็ใส่ผ้าถุงกับเสื้อแขนสั้นตามสไตล์คนแก่นะครับ ผมเคยสั่งตัดชุดดีๆให้แม่ แต่แม่จะใส่เฉพาะวันไปทำบุญเท่านั้น ไม่ค่อยเอามาใส่อยู่บ้าน ผมตัดไปเยอะนะครับ ชุดไหมทั้งนั้น แต่อยู่บ้านนี่แม่ผมนุ่งผ้าถุงกับเสื้อคอกระเช้า
มาที่ห้างใหญ่ใจกลางเมือง ผมอุ้มเจ้าตัวเล็กทั้ง ๒ ข้าง ไม่กล้าปล่อยลง เดี๋ยวเมื่อยค่อยวางลงแล้วกัน เราเดินกันอยู่พักหนึ่ง พี่พรพี่สะใภ้ของผมก็โทรหาพี่ภาแล้วชวนพี่ภากับแม่ไปไหนไม่รู้ครับ ผมเองด้วยความที่เจ้าตัวเล็กกำลังเพลินกับการดูข้าวของเลยไม่ได้ตามไปด้วย
ผมอุ้มลูกมาที่แผนกของเล่นเด็ก เจ้าตัวเล็กชี้นู้นชี้นี้ไปเรื่อยเลยครับ แต่ดีหน่อยที่ไม่ซนและไม่งอแง คงเห็นว่ามีคนเยอะมั้งเลยไม่กล้างอแงและซนกับผมมากเท่าไหร่ ผมมายืนดูของก็สเต็ปเดิมมีพนักงานมองผมแบบเหยียดๆ แหม ไอ้เราก็หัวเกรียนเพิ่งกลับมาจากการฝึก หน้าดำตัวดำ ล่ำยิ่งกว่ากรรมกรก่อสร้างซะอีก แต่มีบางคนที่ชอบหนุ่มล่ำสไตล์กรรมกรจะมาโฉบเฉี่ยว และก็มีครอบครัวพ่อแม่ลูกอ่อนมายืนซื้อของเลือกของให้ลูก
“ลูกชายหล่อนะครับ กี่ขวบแล้วเอ่ย”คุณพ่อมือใหม่วัยน่าจะเข้า ๔๐ แล้วล่ะกับภรรยาที่อายุมากกว่าผม อุ้มลูกสาววัยน่าจะ ๒ ขวบ คุณพ่อมือใหม่เดินมาทักทาย
“เพิ่งจะ ๑ ขวบได้ไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เองครับ มาซื้อของเหรอครับ”
“อื้ม ใช่ครับ มาดูของให้ลูกสาวน่ะ เห็นเขาอยากได้ตุ๊กตา ว่าแต่คุณแม่ไม่ได้มาด้วยเหรอครับ”
“แฮะๆ เราแยกทางกันน่ะ”ผมยิ้มกว้าง ใครจะว่าเมียทิ้งผมก็ไม่อายหรอกครับ โดนเขาทิ้งเพราะทำเขาท้อง
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ ว่าไงหนุ่มน้อย มาซื้อของกับคุณพ่อเหรอ”
“บำๆ”เข้าตัวเล็กชี้มาที่ผม ส่วนเจ้าซ่าที่ทำตาใสแจ๋ว
“ตอบคุณลุงสิว่า มาซื้อของเล่นคับ”
“อั๊บ”เจ้าซ่าพูดได้แค่นี้แล้วก็ยิ้ม ส่วนเจ้าแสบก็พูดอะไรไม่รู้
“ลูกชายหล่อเชียวนะครับ นี่ผมก็ฝันนะว่าอยากจะมีน้องอีกสักคน ครอบครัวจะได้ดูครึกครื้น”
“งั้นก็ปั้มลูกดูสิครับ”
“เฮ้อ ก็คงได้แค่คิดแหละครับ นี่แฟนผมอายุ ๓๘ แล้ว ผมก็ ๔๕ ไปแล้วละ กว่าผมจะมีลูกสาวที่แสนจะน่ารักคนนี้ผมต้องรอมาตั้ง ๑๕ ปี”
“ขนาดนั้นเชียวเหรอครับ”
“ใช่แล้ว ผมกับแฟนเราแต่งงานกันมาปีนี้ก็ปีที่ ๑๖ แล้ว แฟนผมจบปริญญาตรีปั๊บ ผมก็รีบไปสู่ขอแล้วแต่งงาน ๔ ปีแรกเราก็ไม่ได้รีบเร่งจะมีลูกมีเต้านะครับ ก็คิดว่าคุมไว้ก่อนรอทุกอย่างให้มันพร้อม จนเข้าปีที่ ๕ การงานของผมเริ่มลงตัวผมกับแฟนเลยตัดสินใจจะมีลูก แต่เหมือนผมจะไร้น้ำยายังไงไม่รู้ ๑๐ กว่าปีเรียกว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าลุ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ไปบนก็แล้ว ไปหาหมอหลายโรงบาล ทำหลอดแก้ว ทำกิฟท์ ทำทุกอย่าง แต่ลูกไม่ยอมมาเกิดกับครอบครัวเราสักที จนผมกับแฟนนั่งกอดคอร้องไห้ คิดว่าชาตินี้คงไม่มีลูกแล้วละ จนวันที่เรารอคอยมาถึง นางฟ้าตัวน้อยคงเห็นใจพวกเรามั้งครับ เลยมาอยู่กับเรา ๒ คน จริงไหมครับคนสวยของปะป๊า”
“ค่ะ”ลูกสาวที่อยู่ในอ้อมแขนรับคำแบบไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ผมเห็นแล้วก็ยิ้มดีใจกับครอบครัวเขาไปด้วยครับ “ปะป๊า ตุ๊กตา”นิ้วน้อยๆชี้ไปที่ตุ๊กตา คนเป็นแม่ก็หยิบมาให้
“ลูกนี่เปรียบเสมือนของขวัญชิ้นวิเศษนะครับ ในใจผมอยากมีลูกชาย แต่แฟนผมก็อายุจะเข้าเลข ๔ แล้ว อะไรต่างๆมันก็เสี่ยงตามไปด้วย”
“ครับ น่าเห็นใจนะครับ ผมนี่เรียกว่าไม่ได้ตั้งใจ ไปทำเขาท้อง แล้วแม่ของลูกผมก็ไม่ยอมบอก มาบอกอีกทีตอนจะหนีไปต่างประเทศซะแล้ว ผมเลยจำใจรับลูกมาเลี้ยง ต้องเรียกว่าจำใจจริงๆครับ แต่พอยิ่งลูกโตนี่ผมเต็มใจ ไปไหนก็มีแต่หน้าลูก”
“ใช่แล้ว ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ จะอยู่ที่ไหน จะคิดถึงหน้าลูกเสมอ นี่แหละมั้งท่เขาเรียกว่าหยาดฝนมาชโลมหัวใจ ฮ่าๆๆ”
“แล้วนี่หยาดอะไรหืม หยาดพายุหรือเปล่า อยู่บ้านนี่ซนกับพ่อเชียว”ผมหันมามองหน้าลูก
“อิ๊ บำๆ อ๊า บู”อะไรของเขาก็ไม่รู้ครับ ชี้นิ้วไปตรงนั้นตรงนี้ ผมเริ่มเมื่อยกับการอุ้มลูกเลยวางลง เจ้าตัวดีก็ไม่ซนครับมายืนเกาะขาผมไว้ คงเป็นเพราะว่ากลัวคนอื่นมั้ง แต่อย่าให้อยู่กับคนที่รู้จักเลย วิ่งเล่นแทบจะเหยียบหัวเหยียบหางกันเลยทีเดียว
“เล่นกับน้องไหมลูก”คุณพ่อมือใหม่ถามลูกสาว ลูกสาวพยักหน้า แล้วจากนั้นก็วางลง จากนั้น ๓ คนก็งุ้งงิ้งกันครับ ลูกผมขอดูตุ๊กตา
“ถ้ามีลูกชายอีกสักคนคงจะดีนะคะ”คุณแม่มือใหม่ออกความเห็น
“ลองดูสักตั้งสิครับ เผื่อโอกาสยังมีอยู่”
“ก็พยายามอยู่นะคะ แต่พี่จะเข้าเลข ๔ แล้ว กลัวว่าลูกที่เกิดมาจะไม่สมบูรณ์”
“แฮะๆ ที่จริงแม่ผมท้องผมก็ตอนอายุจะ ๕๐ แล้วมั้งครับ อืม อายุ ๔๘ สิ”
“จริงเหรอคะ ไม่น่าเชื่อ”
“ใช่ครับ ผมมันลูกหลง พี่ของผมตอนนี้อายุ ๕๔ จะเข้า ๕๕ แล้วครับ ห่างกันหลายปี ผมเกิดพร้อมกับลูกชายคนโตของพี่ชายผมแน่ะ”
“ค่ะ ดีจังเลยนะคะที่เกิดมาแล้วแข็งแรง แต่พูดจริงๆนะ พี่อายุเยอะแล้ว พี่เองก็ไม่อยากจะเสี่ยงเท่าไหร่ คิดว่าถ้าปีนี้ไม่มีโอกาสก็คงจะปิดอู่ถาวรล่ะค่ะ”
“ครับ ผมก็อยากจะมีเพิ่มอีกนะ คงจะมันส์น่าดู”
“บำๆ”
“ครับผม ตัวเล็กอยากได้ตุ๊กตาเหรอ จะเอาป่ะล่ะ เดี๋ยวพ่อซื้อให้ ฮ่าๆๆ”ผมแหย่ลูกขำๆ
“อ๊า บำๆ”เข้าซ่าเข้ามาตีที่ขาผมทีหนึ่งแล้วทำท่าจะให้ผมอุ้ม
“มะม๊า น้องเล่นอุลต้าแมน”ลูกสาวตัวเล็กพูดกับแม่ของตัวเอง
“จ๊ะ”