ตอนที่ 1 อเล็กเซย์
..............................
ระหว่างที่รออยู่นั้นผมไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้แต่นั่งมองไปรอบๆ ทว่าเสียงท้องร้องมันดังประท้วงไม่ยอมหยุด ทำเอาผมต้องลุกขึ้นไปยังห้องครัวที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรรองท้อง ซึ่งภายในตู้เย็นมีเพียงแค่ไข่สองสามฟอง ฮอตดอก แฮม น้ำ นมสดหนึ่งเหยือก และเบียร์เท่านั้น
“เอาวะ มีแค่ไข่ก็ยังพอทำกินได้เหมือนกัน” ผมพูดพึมพำกับตัวเอง ไหนๆก็มาพักบ้านคนอื่นแล้ว ทำอาหารให้เจ้าของกินด้วยก็ดี ถือซะว่าเป็นการตอบแทนที่อุตส่าห์ให้ผมค้างตั้งหนึ่งคืน พอคิดได้ดังนั้นผมก็รีบลงมือทำอาหารทันที ซึ่งในระหว่างที่ผมทำนั้น ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ “เอ่อ ฉันต้องขอโทษด้วยที่ถือวิสาสะทำอาหารโดยไม่ได้ขออนุญาต พอดีรู้สึกหิวๆนะ”
“ไม่เป็นไรครับ เชิญทำได้ตามสบาย”
อีกฝ่ายตอบกลับมา ซึ่งผมก็ลงมือทำต่อทันที เมื่อทอดไข่เสร็จแล้ว ผมก็ตักฮอตดอก แฮม ไข่ดาวสองฟองลงในจานสองใบพร้อมกับหยิบมีดส้อมมาใส่ด้วย ก่อนจะหันกลับมาเพื่อที่จะนำไปวางไว้บนโต๊ะ แต่ผมก็ต้องผงะเมื่อเห็นอีกฝ่ายมายืนใกล้ผมซะชิด
“เอ่อ ถอยออกไปก่อนได้ไหม ฉันเดินผ่านไปไม่ได้” ผมบอกร่างหนา แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับยืนจ้องผมนิ่ง “อเล็กเซย์ นายถอยไปก่อนได้ไหม ฉันเดินผ่านไปไม่ได้นะ”
ทว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมขยับอยู่ดี จนผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
“อเล็กเซย์”
“ครับผม”
“ขอทางหน่อย”
“ครับๆ” ร่างสูงโปร่งตอบก่อนจะยอมเดินถอยออกไป ครั้นพอผมเดินออกไปบ้าง กลับเดินสะดุดมุมเคาน์เตอร์ ทำให้อีกฝ่ายรีบใช้มือรับผมอย่างรวดเร็ว “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมพีช”
อเล็กเซย์ถามด้วยความเป็นห่วง
“เอ่อ อืม ฉันไม่เป็นอะไร ขอบคุณที่เป็นห่วง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน เพราะอยู่ใกล้กันเกินไป ทำให้ผมได้กลิ่นหอมของสบู่ได้อย่างชัดเจน “ปะ…ปล่อยฉันสิอเล็กเซย์ ฉันยืนของฉันเองได้”
เมื่อผมพูดจบ อีกฝ่ายก็ยอมให้ผมยืนเอง ซึ่งพอผมยืนเองได้ ผมก็รีบเดินกลับไปที่โต๊ะอาหารก่อนจะตามด้วยร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเทาเดินมาทีหลังแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตรงกันข้ามกับผม
“ดูคุณถนัดเรื่องอาหารเหมือนกันนะครับ” อีกฝ่ายถามทันทีที่เห็นไข่ดาว
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก” ผมตอบพลางเดินกลับไปที่ตู้เย็นเพื่อเอานมสด ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับแก้วสองใบ “พอดีอยู่บ้านคนเดียว ก็เลยพอทำเป็นได้บ้างเป็นบางอย่าง”
“อยู่บ้านคนเดียว?”
“ใช่ อยู่บ้านคนเดียว”
“แล้วคนชื่อเจ?”
“อ้อ คนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันนะ พอดีเขามาขอทำงานด้วย ตอนนี้พักอยู่ที่หอพักใกล้ๆร้านดอกไม้นะ” ผมตอบพลางเทนมใส่แก้ว แล้วจึงค่อยส่งให้กับร่างสูง ก่อนจะหันมาเทนมให้กับตัวเองพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับอเล็กเซย์
“แล้วพ่อแม่ของคุณล่ะ”
พอได้ยินคำถาม ผมก็ฝืนยิ้มตอบกลับไปว่า
“พวกท่านเสียไปพร้อมกับเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อห้าปีที่แล้วนะ”
ร่างสูงถึงกับนิ่งเมื่อได้ยินคำตอบของผม
“เอ่อ ผมขอโทษ”
“ไม่เป็นไร ฉันพอรับได้แล้วล่ะ” ผมยิ้มตอบ ก่อนจะลงมือทานไข่ดาว แต่ทานไปได้ซักพักก็วางส้อมลง “ว่าแต่นายทำอาชีพอะไรอยู่หรืออเล็กเซย์ เห็นใส่สูทซะหรูเชียว”
ผมพูดเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งทำเอาอีกฝ่ายฉีกยิ้มหวาน
“ผมหรือ ผมทำงานธุรกิจด้านส่งออกไวน์นะ”
“ไวน์?”
“ใช่ครับไวน์” อเล็กเซย์ตอบก่อนจะพูดต่อ “ผมทำธุรกิจด้านไวน์ที่ทำขึ้นในประเทศไทย ก่อนจะส่งออกไปขายยังต่างประเทศ รายได้ทางนี้ช่วยไทยได้มากเลย เพราะคนต่างชาติชื่นชอบไวน์ไทยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะชาโต เดส์ บรูมส์เป็นไวน์ไทยที่มีรสเยี่ยมเท่าที่เคยผมดื่มมา”
“ถ้างั้นนายก็ได้ดื่มไวน์นี้บ่อยๆนะสิ”
ผมถามด้วยความชื่นชม เพราะตัวผมเองก็เคยสะสมไวน์มาก่อน แต่พอพ่อแม่จากไป ผมก็เลิกสะสมไวน์และหันหน้าทำธุรกิจร้านดอกไม้แทน
“ก็ไม่บ่อยมากถ้าไม่จำเป็น” ร่างหนาตอบยิ้มๆ “แต่ส่วนมากจะได้ดื่มก็ต่อเมื่อผมได้ไปออกงานสังสรรค์พวกนี้นะครับ ถ้าคุณพีชสนใจ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปดูโรงงานดีไหมครับ”
“เอ่อ อย่าเลยดีกว่า ฉันเกรงใจนายนะ” ผมรีบปฏิเสธ เพราะแค่อีกฝ่ายพาผมที่เมาจัดจนกลับบ้านไม่ถูกมาพักค้างคืนด้วยก็มากพออยู่แล้ว
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับคุณพีช เพราะผมต้องไปโรงงานเกือบทุกวันอยู่แล้ว” อีกฝ่ายแย้งมา ซึ่งทำเอาผมพูดไม่ออก “ว่ายังไงครับคุณพีช คุณสนใจจะไปดูโรงงานของผมไหม ผมจะได้พาคุณไปวันนี้เลย”
ห๊ะ! วันนี้เลยหรือ“เอ่อ ฉันว่า…” ผมตอบเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆกลับไป “ไว้วันอื่นดีกว่า เพราะวันนี้ฉันต้องรีบกลับไปที่ร้าน ไม่งั้นเจย์จะเป็นห่วงเอาได้นะ”
อีกฝ่ายได้ยินคำตอบของผมถึงกับมุ่นคิ้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังยิ้มได้อยู่
“ก็ได้ครับ ถ้างั้นตอนกลับ เดี๋ยวผมขอไปส่งคุณเลยแล้วกัน เพราะผมจะได้ตรงดิ่งไปยังที่ทำงานเลย”
“อืม ก็แล้วแต่นายละกัน ฉันยังไงก็ได้” ผมตอบตกลงก่อนจะลงมือรับประทานอาหารต่อ
.....................................
ขากลับอเล็กเซย์พาผมไปส่งที่ร้านดอกไม้ตามที่บอกเอาไว้จริงๆ พอไปถึงผมก็โดนเจย์เขกหัวแรงๆโทษฐานที่ทำให้เป็นห่วง แถมหันมาขอโทษอเล็กเซย์ที่ทำให้เดือดร้อนอีกด้วย ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไร เห็นยืนยิ้มอย่างเดียว
“ถ้างั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ ส่วนเรื่องเสื้อผ้า ถ้าเรียบร้อยแล้วผมจะเอามาคืนให้คุณทีหลัง”
“อะ...อืม” เมื่ออีกฝ่ายขับรถออกไปแล้ว ผมจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าร้านไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจย์กำลังยืนกอดอกพิงเคาน์เตอร์นับเงินปราดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ “มีอะไรเหรอเจย์ ทำไมทำหน้าซีเรียสจัง”
“ฉันเปล่าซีเรียส แต่แค่สงสัยว่าทำไมแกถึงได้ไปนอนค้างบ้านคุณอเล็กเซย์ได้ทั้งๆที่แกเป็นคนพูดกับฉันเองว่าจะไปเลี้ยงฉลองงานวันเกิดยัยเมย์ก็เท่านั้นเอง” คำถามของเจย์ทำเอาผมถึงกับสะอึก ผมว่าผมเกือบลืมไปแล้วถ้าเจย์ไม่พูดย้อนขึ้นมา ภาพเหตุการณ์ของเมื่อวานนี้ทำเอาผมเกือบตายทั้งเป็น ซึ่งผมยืนเงียบจนอีกฝ่ายถึงกับทอดถอนหายใจแรงๆ “ถ้ามันลำบากมากนักล่ะก็ ไม่ต้องตอบก็ได้นะ ฉันก็แค่ถามดูเฉยๆ เอาล่ะ ไปทำงานดีกว่า วันนี้ต้องรดน้ำพรวนปุ๋ยอีกเยอะเลย ส่วนแกอย่าคิดว่าเป็นเจ้าของร้านแล้วจะอู้ได้นะ อ้อแล้วก็ชุดที่ใส่อยู่นะ รีบไปเปลี่ยนเข้า เดี๋ยวลูกค้ามาเห็นแล้วจะตกใจเอาได้นะ”
คำพูดสุดท้ายของเจย์ทำเอาผมถึงกับหน้าแดง เพราะตอนนี้ผมสวมแค่เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่โคร่งกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเท่านั้นจริงๆ
“เออ ไม่ลืมหรอกน่า จะรีบไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้แหละ”
พอผมพูดจบ เจย์ก็เดินกลับไปทำงานของตัวเอง ซึ่งนี่เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของเจย์ที่ผมเห็นมันเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ดีคนหนึ่งในสายตาผม เพราะด้วยเหตุนี้ผมจึงยอมให้มันมาทำงานที่ร้านด้วย จวบจนกระทั่งเย็นร่างสูงโปร่งก็ได้กลับมาตามที่พูดเอาไว้จริงๆ มาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดเมื่อวานที่ผมใส่
“ผมเอาเสื้อผ้ามาคืนคุณแล้วนะครับคุณพีช” อีกฝ่ายพูดในขณะที่เดินเข้ามาในร้านด้วยชุดสูทตัวเมื่อเช้า ซึ่งผมเห็นแล้วจึงรีบเดินเข้าไปรับเสื้อผ้าของตัวเองโดยไม่ลืมพูดขอบคุณด้วย “จะว่าไปร้านดอกไม้ของคุณนี่ก็ดูไม่เลวนะครับ นอกจากจะตกแต่งร้านได้สวยแล้ว ยังมีดอกไม้ที่ผมไม่รู้จักวางอยู่เยอะพอสมควรเลย ไม่ทราบว่าคุณพีชใช้เวลาในการเปิดร้านนี้นานเท่าไหร่หรือครับ”
อีกฝ่ายเริ่มเปิดประเด็นตามนิสัยของคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ
“เกือบจะห้าปีได้นะ ว่าแต่นายอยากรู้เรื่องนี้ไปทำไมหรือ” ผมถามกลับด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมก็แค่อยากรู้เฉยๆ” อเล็กเซย์ยิ้มตอบก่อนจะหันไปมองดอกไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นดอกไม้สีฟ้าห้าแฉกขนาดจิ๋ว “เอ่อ คุณพีช ไม่ทราบว่าดอกไม้ต้นนี้เขาเรียกว่าดอกอะไรหรือครับ ทำไมดูสวยจัง”
“Forget me not”
“ดอกอะไรนะครับ?” ร่างสูงถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ
“Forget me not” ผมพูดตอบพลางเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อที่จะอธิบายให้ฟัง “เป็นดอกไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศแคนาดา เป็นพืชเมืองหนาวที่จะต้องปลูกในที่มีอุณหภูมิต่ำกว่ายี่สิบองศาเซลเซียส ถ้านายคิดมาปลูกที่นี่จะต้องรดน้ำวันละสองครั้ง ซึ่งตามหลักภาษาไทยเรียกดอกไม้นี้ว่า อย่าลืมฉัน มันเป็นคำพูดสุดท้ายของผู้ชายคนหนึ่งก่อนที่ความตายจะมาพลัดพรากเขาไปจากคนที่รัก แต่ถ้านายอยากรู้ลึกมากกว่านี้ นายก็สามารถไปหาได้จากหนังสือในห้องสมุดหรือไม่ก็เสิร์จเอนจิ้งจากเว็บกูลเกิ้ลเอาก็ได้นะ”
พอผมพูดจบ อีกฝ่ายก็ยังคงนิ่งเงียบจนผมรู้สึกอึดอัด
“มีอะไร ทำไมนายจ้องหน้าฉันแบบนั้นล่ะ มีอะไรติดอยู่ที่หน้ารึไง”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ร่างสูงตอบพลางส่ายหน้าไปมา “ผมก็แค่รู้สึกทึ่งที่คุณรู้เรื่องดอกไม้เยอะจัง”
“เยอะแยะอะไรกัน ก็แค่ความรู้พื้นๆสำหรับคนขายดอกไม้นะ”
ผมตอบอย่างเขินอาย เพราะน้อยครั้งที่จะมีคนมากล่าวชมต่อหน้าต่อตา
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมไอจากใครบางคนที่ถูกลืมดังขึ้น ทำเอาผมกับร่างหนาสะดุ้งเล็กน้อย “ถ้าอยากจะทานขนมจีบแล้วล่ะก็ โน่นครับ เซเว่นอีเลฟเว่น”
เจย์พูดแซวพลางเหล่ตามองผมกับอเล็กเซย์ไปด้วยพร้อมกัน
“เอ่อ ถ้าไม่สะดวก เดี๋ยวผมไปรอข้างนอกก็ได้นะ”
ร่างสูงโปร่งพูดอย่างเกรงใจ ซึ่งทำเอาผมโบกมือไปมา
“ไม่เป็นไรอเล็กเซย์ เดี๋ยวก็ปิดร้านแล้วล่ะ” แต่ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็เดินออกไปรอข้างนอก ทำให้ผมต้องหันมาถลึงตาใส่เจย์ “เพราะแกคนเดียวไอ้เจย์ ทีหลังอย่าพูดแบบนี้อีกเด็ดขาดนะ”
คนถูกด่ายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ก็มันจริงนิ เห็นถามเรื่องดอกไม้แต่สายตาแม่งมองมาที่แกตลอด แบบนี้ไม่ให้เรียกว่าจีบแล้วจะเรียกว่าอะไรได้ล่ะ” เจย์หลับตาพูดก่อนจะลืมตาแล้วหันมามองผม “ระวังไว้เถอะ สวยๆแบบแก ต่อให้เป็นผู้ชาย มันก็ต้องมีมาแลกันบ้างเข้าซักวันนั่นแหละ”
คำพูดของเจย์ทำเอาผมถึงกับสะอึก เพราะผมเคยโดนผู้ชายเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิง แล้วเข้ามาจีบออกบ่อยอยู่เหมือนกัน
“ฉันว่ามันคงบังเอิญมากกว่ามั้ง” ผมพูดเข้าข้างตัวเอง เพราะอเล็กเซย์ไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น “เขาก็แค่ถามไปตามประสาคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจที่สนใจเรื่องดอกไม้ก็เท่านั้นเอง”
ก็แค่ถามเฉยๆ เท่านั้น…“ตามใจแกแล้วกัน ฉันก็แค่เตือนด้วยความหวังดี”
เจย์บอกก่อนจะเดินออกไปเก็บดอกไม้ที่ตั้งโชว์ที่อยู่นอกร้านเพื่อปิดร้าน ส่วนผมเองก็รีบเคลียร์บัญชีให้เสร็จเพราะไม่อยากให้คนข้างนอกต้องคอยนาน
.................................................
หลังจากปิดร้านเสร็จแล้ว อเล็กเซย์ก็ได้เอ่ยปากชวนผมไปทานข้าวเย็นที่ข้างนอก ซึ่งทีแรกผมบอกปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายกลับคะยั้นคะยอว่าจะพาผมไปชิมไวน์ที่คุยกันเมื่อเช้านี้ให้ได้ แถมยังย้ำว่าจะขอเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทนที่เมื่อเช้าผมได้ทำอาหารให้เขาทานอีกด้วย ซึ่งทำให้ผมไม่กล้าบอกปฏิเสธอีก
“อ่ะ อันนี้เสื้อผ้าของนาย ฉันซักรีดให้เรียบร้อยแล้วนะ” ผมบอกพลางส่งถุงผ้าคืนในขณะที่กำลังนั่งอยู่ในรถเบนซ์สีดำของอเล็กเซย์ “ว่าแต่นายจะพาฉันไปทานอาหารที่ไหนหรือ”
ผมถามด้วยความสงสัย ทว่าอีกฝ่ายกลับหันหน้ายิ้มให้ผม
“ความลับครับ” ร่างสูงตอบเสียงทะเล้นก่อนจะหันหน้ากลับไปดูถนนต่อ “ล้อเล่นนะ ก็แค่ภัตตาคารในโรงแรมที่ผมเคยไปทานอาหารอยู่บ่อยๆ”
“แล้วมันแพงมากหรือเปล่าอาหารนะ” ผมถามต่ออย่างเกรงอกเกรงใจ เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะดูร่ำรวยในสายตาผม แต่ผมก็ไม่ชอบให้เขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเพียงเพื่อเลี้ยงอาหารตอบแทนผมอยู่ดี
“ก็ไม่เท่าไหร่นักหรอกครับ” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ “คุณอย่าไปกังวลมันเลย ผมเต็มใจที่จะเลี้ยงคุณอยู่แล้ว และอีกอย่างโรงแรมที่ผมจะพาคุณไปอยู่นี้ มันเป็นโรงแรมในเครือบริษัทของผม ฉะนั้นเรื่องราคาอาหารคุณไม่ต้องเป็นห่วง”
เมื่อมาถึงที่หมาย ผมกับอเล็กเซย์ก็ลงจากรถก่อนจะเดินเข้าไปในโรงแรม ซึ่งภายในตัวโรงแรมมันดูสะอาดและดูหรูหราจนผมต้องก้มมองเสื้อผ้าตัวเองที่ยังอยู่ในสภาพเลอะดินจากต้นไม้ ต่างจากร่างสูงที่สวมชุดสูทหรูดูมีราคาลิบลับ
“เอ่อ ฉันว่าฉันอิ่มแล้วนะ ไว้ทานวันหลังเถอะอเล็กเซย์” ผมเริ่มถอย ในขณะที่อีกฝ่ายมุ่นคิ้วมองผมอย่างสงสัย
“แต่เจย์บอกผมแล้วนะว่าคุณยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลย” ร่างสูงแย้งทันควัน ซึ่งทำเอาผมนึกอยากจะกลับไปตบกะบาลคนปากมากอย่างมัน “อย่าบอกนะว่าคุณคิดมากเรื่องราคาอาหารอีกนะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ไม่ใช่”
“ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมคุณถึงปฏิเสธที่จะทานอาหารกับผมล่ะ” อีกฝ่ายเริ่มทักท้วงหาความยุติธรรม ซึ่งทำเอาผมไม่รู้จะตอบกลับไปว่ายังไงดี “คุณรังเกียจผมหรือคุณพีช”
“ไม่ใช่ซักหน่อย!” ผมรีบแย้งกลับไปทันที ซึ่งทำเอาอีกฝ่ายกลับมายิ้มได้อีกครั้ง
“ถ้างั้นคุณบอกผมได้หรือเปล่าว่าเป็นเพราะอะไร”
“เป็นเพราะ....”
“เพราะ?” ร่างสูงมุ่นคิ้วพลางเดินเข้ามาใกล้ๆเพื่อเงี่ยหูฟังให้ชัดๆ
“เป็นเพราะ...” อยากจะบอกว่าอายสุดๆครับ ผมไม่เคยรู้สึกอายแบบนี้มาก่อน “...การแต่งตัวของผมมัน...เอ่อ...”
ไม่พูดเปล่าผมยังชี้นิ้วมายังเสื้อผ้าของตัวเองสลับกับชุดสูทของอเล็กเซย์ด้วย ซึ่งทีแรกร่างสูงไม่เข้าใจ แต่พอผมชี้นิ้วไปยังคราบดินโคลนเท่านั้นแหละ อีกฝ่ายถึงกับบางอ้อ
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ผมเข้าใจคุณแล้วล่ะคุณพีช”
แล้วร่างสูงก็คว้ามือของผมก่อนจะพาผมเดินออกนอกโรงแรม
“นี่นายจะพาฉันไปไหนนะ” ผมถามด้วยความสงสัย ซึ่งอีกฝ่ายไม่ตอบ กลับพาผมเดินขึ้นสะพานลอยข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง ก่อนจะพาเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดเดินที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านอาหารที่ติดกระจกใสแลเห็นภายในร้านได้อย่างชัดเจน “เจฟฟรีย์เรสเทอรองก์? หมายความว่ายังไงกันแน่?”
“ก็หมายความว่าผมจะพาคุณเข้าไปทานอาหารที่ร้านนี้ยังไงล่ะครับคุณพีช”
อีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมาก่อนจะดึงผมให้เข้าไปในร้านด้วยกัน
กรุ้งกริ่ง! กรุ้งกริ่ง!เสียงกระดิ่งตอนเปิดร้านดังเบาๆ แลเห็นภายในร้านที่ถูกตกแต่งอย่างทันสมัย พอร่างสูงพาผมเดินเข้าไปข้างในร้านแล้ว ผมก็เห็นชายหนุ่มผมแดงยาวรวบไปด้านหลังสวมหมวกสีขาวทรงสูง นัยน์ตาสีทอง ผิวขาว ร่างกายสูงโปร่งสวมชุดพ่อครัวยืนอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์
“ไฮอเล็กเซย์ เป็นไงมาไงถึงมาที่นี่ได้”
“พอดีเบื่ออาหารที่โรงแรมนะ ก็เลยแวะมาที่นี่” อเล็กเซย์พูดตอบกับอีกฝ่ายเป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งทำเอาผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ลำพังแค่ภาษาอังกฤษก็แทบแย่ เพราะฉะนั้นเรื่องภาษาฝรั่งเศสก็ไม่ต้องพูดถึงกันอีก แล้วร่างหนาก็หันมาทางผม “เจฟฟรีย์นี่คุณพีชเป็นเจ้าของร้านดอกไม้ คุณพีชครับนี่เจฟฟรีย์เป็นเพื่อนสมัยเรียนด้วยกันสมัยมหาวิทยาลัย และเป็นเจ้าของร้านอาหารที่นี่ด้วยครับ”
“เอ่อ ไนซ์ทูมีทยูมิสเตอร์…”
“พูดภาษาไทยกับผมก็ได้นะครับคุณพีช ผมฟังออก” เจฟฟรีย์บอก ซึ่งทำเอาผมยิ้มแห้งๆ
“เจฟฟรีย์ ขอห้องอาหารแบบพิเศษหน่อยได้หรือเปล่า” อเล็กเซย์เอ่ยปากถาม “พอดีอยากทานแบบส่วนตัวนะ”
“ได้สิ มันว่างอยู่พอดี เชิญเลยๆ”
แล้วเจฟฟรีย์ก็พาพวกผมเดินขึ้นไปชั้นสอง ก่อนจะพาเข้าไปในห้องอาหาร ซึ่งดูไม่เล็กไม่ใหญ่ แถมถูกตกแต่งอย่างมีระดับมีสไตล์ มีโต๊ะปูด้วยผ้าสีแดงเข้มวางอยู่กลางห้อง ตามด้วยเก้าอี้พนักพิงคลุมผ้าสีขาวอ่อนทับไว้ทั้งสองตัว และนอกจากนี้ยังมีทีวีจอแบนกับเครื่องสเตริโอไว้สำหรับร้องเพลงตั้งไว้ในห้องอีกด้วย
“เอ่อเจฟฟรีย์ ขออาหารแบบพิเศษสำหรับสองที่ แล้วก็ไวน์แบบเดิมด้วย” อเล็กเซย์สั่งอาหารหลังจากพวกผมนั่งที่เรียบร้อยแล้ว
“ได้เลย เดี๋ยวจัดการให้”
พอเจ้าของร้านเดินออกไปแล้ว ร่างสูงก็หันมาถอดเสื้อสูทออกพร้อมกับดึงเนคไทออกนิดหน่อยเพื่อให้หายใจสะดวก ก่อนจะหันมายิ้มให้กับผม
“เป็นยังไงบ้างครับคุณพีช ร้านของเพื่อนผมถูกใจคุณหรือเปล่า”
“อะ...อืม ก็ถูกใจดีนะ” ผมตอบพลางมองไปรอบๆแก้เขิน เพราะอีกฝ่ายเล่นทำตัวเสมอภาคกับผมจนผมเกือบมองหน้าไม่ติด “จริงสิอเล็กเซย์ นายเคยร้องเพลงคาราโอเกะบ้างหรือเปล่า”
ผมรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง
“เคยครับ” ร่างหนาพยักหน้าตอบก่อนจะพูดต่อ “ผมจะร้องก็ตอนที่มาสังสรรค์กับครอบครัวหรือไม่ก็เพื่อนเท่านั้น ว่าแต่คุณล่ะ คุณชอบร้องเพลงคาราโอเกะหรือเปล่า”
“ก็ชอบนะ แต่ฉันร้องไม่ค่อยเก่งซักเท่าไหร่ ส่วนมากจะฟังเพื่อนๆร้องเสียมากกว่า”
“ถ้างั้นผมจะร้องเพลงให้คุณฟังเอง” ว่าแล้วร่างสูงก็ผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อเลือกเนื้อเพลงที่จะร้อง ไม่นานนักเสียงเพลงก็เริ่มบรรเลง พร้อมกับจอทีวีที่เขียนชื่อเพลงว่า’ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ’ ของดา เอ็นโดรฟิน–ป๊อบ แคลอรี่ บลา บลา แล้วร่างสูงก็รีบคว้าไมค์ก่อนจะเดินกลับมาร้องที่โต๊ะ
หากความรักเกิดในความฝัน เราจุมพิตโดยไม่รู้จักกัน
ปฏิทินไม่บอกคืนและวัน ดังที่ฉันไม่เคยต้องการ
อเล็กเซย์ร้องพลางจ้องมาที่ผมตลอดเวลา ซึ่งทำเอาผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก
อยากให้เธอได้พบกับฉัน เราสมรสโดยไม่มองหน้ากัน
จูบเพื่อล่ำลาในความสัมพันธ์ ก่อนที่ฉันจะปล่อยให้เธอหายไป
โดยไม่รู้จักเธอเพลงจบแต่คนไม่จบ กลับวางไมค์ลงบนโต๊ะแล้วโน้มตัวลงมาหาผมที่นั่งอยู่ ก่อนจะจูบบนริมฝีปากของผมโดยที่ผมได้แต่มองตาค้างเพียงอย่างเดียว
..............................
