หมูพูห์ อ่านไหวป่าว ไม่ไหวบอกนะ เอิ้กๆ เพราะคุณแอนเดรีย ก็ป่วยอยู่เพิ่งฟื้น แถมเร่ง rewrite ให้เพื่อนๆอ่านที่นี่ที่เดียวเลยนะครับนี่
ผมเกรงใจสุดๆเลย
][GobGab][ ความรักก็ต้องมีมุมที่สวยงาม เพียงแต่หาให้เจอคนที่เรารักเขา และเขารักเรา
มูมู่น้อย ความรัก ก็ต้องการความเข้าใจกันเพื่อรักษามันไว้ให้ยืนนาน มีอะไรก็คุยแบบดีๆเปิดใจคุยกันดีกว่าเนอะ
บทที่ 14 ครอบครัว....คือรักและเข้าใจ
“อ้าว...ฟ้าลั่น.......ทำไมลูกกลับบ้านกะทันหันแบบนี้ล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว....ไม่เห็นโทรมาบอกพ่อกับแม่ก่อนเลย” เสียงของบิดาเอ่ยทักทายบุตรชายที่เดินเข้ามาในห้องรับแขก ด้วยอาการแปลกใจในการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้
บิดาของฟ้าลั่น หรือ นายแพทย์ศิลป์กวี เป็นชายในวัยเกือบห้าสิบที่ยังดูหนุ่ม ผู้มีเรือนร่างที่แข็งแรง สูงใหญ่ ปราศจากไขมันพอกพูนตามลำตัวแต่อย่างใด
เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากบิดาที่มีเชื้อสายแขกขาวจึงทำให้โครงหน้าและรูปร่างของนายแพทย์ศิลป์กวีมีลักษณะที่คมคายและโดดเด่นกว่าบุคคลทั่วๆไป ประกอบกับผมสั้นสีดำสนิทที่แม้แต่กาลเวลาที่ผ่านเลยมาหลายสิบปีก็ไม่อาจทำให้เปลี่ยนเป็นสีอื่นได้ จึงทำให้ผิวหน้าที่ขาวอยู่แล้วกลับขาวจัดขึ้นดูจับตายิ่งนัก
“พาเพื่อนมาด้วยเหรอลูก...ฟ้าลั่น” คุณศิลป์กวีเพิ่งสังเกตว่าลูกชายตนเองไม่ได้กลับมาเพียงคนเดียว เพราะเห็นว่าฟ้าลั่นกำลังเดินจูงมือชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เพียงแต่รูปร่างเล็กกว่า เดินตามเข้ามาในบ้านด้วย
“สวัสดีครับพ่อ” ฟ้าลั่นปล่อยมือจากภูผา แล้วยกมือไหว้บิดาของตน
“สวัสดีครับ” ภูผากล่าวสวัสดี พร้อมยกมือไหว้ตามมาติดๆ
“นั่งก่อนซิลูก” บิดารับไหว้ หลังจากนั้นจึงบอกให้ทั้งสองนั่งลงบนโซฟาชุดเดียวกัน เพื่อเตรียมไต่ถามถึงสาเหตุของการปรากฏตัวอย่างผิดปกติในครั้งนี้ นายแพทย์ศิลป์กวีรับรู้ได้ว่าลูกชายคนเดียวของตนกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอย่างแน่นอน เพราะสีหน้าและแววตากังวลนั้นฉายชัดเจน
“ขอบคุณครับ” ทั้งสองพูดพร้อมกันแล้วจึงนั่งลงที่โซฟาสีน้ำตาลเข้มเข้าชุดกับโซฟาขนาดใหญ่ที่บิดานั่งอยู่ก่อนหน้า ในบริเวณห้องรับแขกที่จัดตกแต่งอย่างทันสมัยและเรียบร้อย สะอาดตา โดยเน้นโทนสีน้ำตาล ดำ ขาวและครีมเป็นหลัก
“พ่อครับ....แม่อยู่ที่ไหนเหรอครับ” น้ำเสียงของฟ้าลั่นอ่อนนุ่มยามพูดคุยกับบิดา ความกังวลใจที่เกิดขึ้นทำให้เขาลืมแนะนำหนุ่มหน้าหวานข้างตัวของเขาให้บิดาได้รู้จักเสียสนิท
“แม่เค้าขึ้นไปเอาหนังสือลูก...เดี๋ยวก็ลงมา......ลูกมีธุระหรือมีปัญหาอะไรหรือเปล่า..ฟ้าลั่น” น้ำสียงยามเอ่ยถึงชื่อลูกชาย...ดูอบอุ่น....และเต็มไปด้วยความรัก ยิ่งรู้สึกได้ว่าลูกชายกำลังไม่สบายใจอะไรบางอย่าง กระแสเสียงของผู้เป็นบิดา จึงดูเหมือนจะอบอุ่นขึ้นไปยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ทำไมถึงรีบกลับบ้าน...และก็มาเสียดึกขนาดนี้ล่ะลูก” คุณศิลป์กวียังคงซักไซ้บุตรชายของตน ก่อนจะเหลือบไปเห็นคุณพิมพิมล ผู้เป็นภรรยาเดินเข้ามา
“นั่นไง...แม่เค้าลงมาแล้ว” คุณศิลป์กวีพูดพลางหันหน้าไปมองผู้หญิงวัยกลางคน รูปร่างสูงสง่าที่กำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขก โดยตลอดลำตัวสวมเสื้อคลุมทับชุดนอนสีชมพูอ่อนข้างในอย่างเรียบร้อย
คุณพิมพิมลหรือมารดาของฟ้าลั่น เป็นผู้หญิงผมผมยาวประบ่า ที่มีใบหน้าสวยงดงาม แม้ว่าจะล่วงเลยเข้าสู่วัยห้าสิบปีในไม่ช้าเช่นเดียวกับสามีของตน แต่ก็ยังคงรักษาความงดงามของร่างกายและหน้าตาได้อย่างไม่มีที่ติ อาจเป็นเพราะเป็นคนชอบออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อยู่ตลอดเวลาตามแบบสามี จึงทำให้สามารถรักษาสุขภาพและผิวพรรณให้ดีอยู่ไม่เสื่อมไปตามกาลเวลา
“อ้าว....ฟ้าลั่นทำไมกลับมาบ้านละลูก...ยังไม่ปิดเทอมไม่ใช่เหรอ.....มีธุระหรือปัญหาอะไรหรือเปล่าลูก” คุณพิมพิมลซักถามด้วยความสงสัยปนความห่วงใย....น้ำเสียงที่ประกอบไปด้วยความรัก...ความกรุณาเช่นเดียวกับผู้เป็นบิดา ทำให้ฟ้าลั่นเกิดอาการลำบากใจอย่างยิ่ง ที่จะเล่าเหตุผลของการกลับบ้านของตนให้ฟัง
เพราะสุดท้ายแล้ว....เขาอาจต้องทำให้คนที่รักเขาทั้งสองคนเสียใจไปกับการกระทำและการตัดสินใจเลือกอนาคตของตนเอง
“พาเพื่อนมาด้วยเหรอลูก..........” คุณพิมพิมลหันหน้าไปยังภูผาที่ยังนิ่งเงียบอยู่
“สวัสดีครับ” ฟ้าลั่นและภูผายกมือขึ้นไหว้กล่าวสวัสดีพร้อมกัน
“หิวมั้ยทั้งสองคนน่ะ.....ทานอะไรมาหรือยังล่ะลูก” มารดาถามด้วยความห่วงใย ก่อนจะเดินอ้อมมานั่งลงบนโซฟาข้างๆสามีของตน ในจังหวะเดียวกับคำปฏิเสธอย่างสุภาพจากทั้งสองหนุ่มจะถูกเปล่งออกมา
ด้วยสีหน้าผิดปกติของบุตรชายที่รัก...บุตรชายที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดจนบัดนี้อายุก็เกือบจะยี่สิบสองในอีกเดือนข้างหน้าแล้ว.......คนเป็นบิดาและมารดาจึงรับรู้ได้ทันทีว่าลูกชายคงมีปัญหาในใจ...และคงเป็นปัญหาที่ใหญ่พอสมควร
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฟ้าลั่นเป็นเด็กดีและมักจะแก้ปัญหาหรือตัดสินใจสิ่งต่างๆด้วยตัวเองเสมอ.....โดยที่การตัดสินใจแต่ละครั้งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องและไว้ใจได้ทุกครั้งไป.......
คุณศิลป์กวีและคุณพิมพิมลหันมาสบตาซึ่งกันและกัน พลางคิดว่าฟ้าลั่นคงกำลังมีปัญหาบางอย่างที่ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ทั้งหมด
ทั้งคู่หันหน้ากลับไปหาลูกชายที่ยังนั่งเงียบอยู่ และสงบนิ่งเพื่อรอฟังสิ่งที่ฟ้าลั่นจะกล่าวออกมา......แม้จะเป็นเรื่องยากเย็นขนาดไหน..... ทั้งคู่ก็พร้อมจะช่วยเหลือ.....ช่วยแก้ไขปัญหา และช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคไปพร้อมๆกันทั้งครอบครัว.....
แม้จะกังวลถึงปัญหาของลูกชาย....แต่คุณศิลป์กวีและคุณพิมพิมลก็มิได้คิดถึงเรื่องร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย ยาเสพติด หรือเรื่องรุนแรงในชีวิตแต่อย่างใด เนื่องจากไว้ใจฟ้าลั่นมาก ว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นเด็ดขาด.....ทั้งสองมั่นใจการอบรมสั่งสอนของตนเองอย่างเต็มที่
ฟ้าลั่นนั่งสงบสติอารมณ์ซักพัก.......หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืนเดินเข้ามาหาบิดามารดาของตนอย่างช้าๆ พร้อมกับค่อยๆทรุดตัวลง ก้มลงทราบแทบเท้าของบิดามารดาที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาสวยสีน้ำตาลเข้ม เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกล่าวว่า
“พ่อครับ แม่ครับ........ผมต้องกราบขอโทษ.........สิ่งที่ผมจะพูดออกมามันอาจทำให้พ่อและแม่เสียใจครับ.....” ฟ้าลั่นหยุดสักพัก ก่อนจะพูดประโยคถัดไปอย่างช้าๆ
“ผมไม่อาจเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่...ที่จะสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อไปได้อีกแล้วครับ” สิ้นประโยคนี้....น้ำตาก็เอ่อล้นปริ่มออกมาจากดวงตาคู่สวยนั้น
“ผมไม่อาจแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนได้แล้วครับ......เพราะตอนนี้หัวใจของผมมันไม่เหลือที่ว่างให้ใครนอกจากหมอก......คนที่ผมพามาหาพ่อและแม่ในวันนี้ครับ......ผมรักหมอกมากครับ......และผมขอร้องให้พ่อและแม่กรุณาเข้าใจเราด้วยครับ”
“พ่อและแม่กรุณาอย่าโทษตัวเองว่าเลี้ยงผมมาไม่ดีเลยครับ.....ผมต่างหากครับที่ผิดเอง......ผมขอยอมรับผิดครับ”
“ผมผิดเอง.....ผิดที่ไม่สามารถห้ามหัวใจตนเองให้รักหมอกได้ครับ...พ่อครับ แม่ครับ.....ผมรักหมอกเท่าชีวิตของผมครับ” น้ำเสียงของฟ้าลั่นสั่นเครือ เพราะพยายามกั้นน้ำตาแห่งความเสียใจให้หยุดไหล
“โปรดอย่าขัดขวางความรักของผมสองคนเลยนะครับ....” ฟ้าลั่นพูดจบประโยคสุดท้าย
ภูผาที่นั่งฟังอยู่ในขณะนี้ ก็ทรุดตัวลงจากเก้าอี้ คลานมากราบแทบเท้าของบิดามารดาของฟ้าลั่นเช่นกัน ด้วยความสำนึกผิดและความเคารพในบุพการีของคนที่ตนเองก็รักหมดใจ เขากล่าวคำขอโทษออกมาเช่นกัน
“ผมขอโทษครับ คุณพ่อคุณแม่.....ผมขอโทษที่ทำให้คุณพ่อและคุณแม่ต้องผิดหวังในตัวฟ้าลั่นครับ”
“ผมอยากเรียนคุณพ่อและคุณแม่ว่า....ผมก็รักฟ้าลั่นเท่าชีวิตของผมเช่นเดียวกันครับ”
การรับรู้ความเป็นจริงของหัวใจลูกชายคนเดียวอย่างกะทันหันและค่อนข้างผิดไปจากสิ่งที่คาดหวัง ทำให้คุณศิลป์กวีและคุณพิมพิมลนิ่งไปชั่วขณะ คงมีแต่ดวงตาของทั้งคู่ที่ไม่เรียบเฉยอย่างกิริยาท่าทาง เพราะกำลังฉายแววรักและกรุณาอยู่เต็มเปี่ยม
ถ้าเป็นครอบครัวอื่นที่ยังยึดถือทำเนียมปฏิบัติเก่าๆ ขณะที่ลูกชายคนเดียวของครอบครัวกำลังนำความจริงที่ว่าเขากำลังหลงรักผู้ชายด้วยกันเป็นหัวข้อสนทนาแล้ว ส่วนใหญ่ผลลัพธ์ที่ตามมาคงกลายเป็นเรื่องราวที่ร้อนแรง และคงได้รับการต่อต้านจากผู้เป็นบิดาและมารดาเป็นอย่างแน่แท้
แต่สำหรับครอบครัวศรีสิริโชคชัย...ครอบครัวที่ทันสมัย..... สมาชิกแต่ละคนต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน รวมถึงไว้ใจและให้เกียรติการตัดสินใจที่อยู่บนบรรทัดฐานของความดีงาม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นแล้ว การต่อต้านของผู้เป็นบิดาและมารดาย่อมไม่มี แม้ว่าจะผิดหวังอยู่บ้างตามปกติของบุพการี ที่มักจะคาดหวังให้ลูกชายสืบทอดวงศ์ตระกูล แต่ทว่าในกรณีนี้ ความสุขของฟ้าลั่นกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ผู้เป็นบิดาและมารดายึดถือเป็นหลัก
คุณศิลป์กวีและคุณพิมพิมลตระหนักดีว่า ฟ้าลั่นมีวัยวุฒิพอสมควรแล้วที่จะตัดสินใจอนาคตทุกอย่างด้วยตนเอง ทั้งสองคนกระทำได้เพียงแต่คอยดูแลอยู่ห่างๆ และช่วยสนับสนุนการเดินทางของชีวิตให้บรรลุเป้าหมายที่สมหวังและมีความสุข....โดยที่สมหวังของชีวิตนั้น ขึ้นอยู่กับความคิดของลูกชายเป็นหลัก ไม่มีใครแม้กระทั่งตนเองทั้งคู่สามารถคิดแทนได้
“คนเป็นพ่อแม่....ย่อมยอมรับลูกของตนได้เสมอนั่นแหละ.....ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร” นี่คือสิ่งที่บิดามารดาของฟ้าลั่นนิ่งคิดขณะมองมาที่ลูกชายและคนรักที่นั่งหมอบอยู่ปลายเท้า....ทั้งคู่กำลังรอปฏิกิริยาของผู้เป็นผู้ใหญ่ทั้งสองคน
เพราะเข้าใจในความรู้สึกผิด...ความกังวล....และความเจ็บปวดในหัวใจ ยามกล่าวถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นของฟ้าลั่นผู้เป็นบุตรชาย น้ำตาก็พลันไหลรินออกมาจากดวงตาคู่งามของคุณพิมพิมล....เธอโน้มตัวลงมาคว้าร่างของฟ้าลั่นเข้าไปกอดแนบอก
“ขอโทษทำไมลูก...ฟ้าลั่น”
“ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด.......ตลอดมา จนแม้กระทั่งบัดนี้”
“แม่รับได้เสมอลูก......แม่รับความรักของลูกชายที่แม่รักได้เสมอ......แม่เลี้ยงเราได้แค่เพียงร่างกาย...แต่แม่บังคับหรือหล่อเลี้ยงหัวใจของลูกไม่ได้หรอก......ลูกจงทำตามที่หัวใจตนเองเรียกร้องเถอะจ้ะ......แม่ไม่ขัดขวางหรอก”
หลังจากกระซิบเบาๆที่ข้างหูของลูกชาย คุณพิมพิมลจึงปล่อยฟ้าลั่นออกจากอ้อมกอด โน้มตัวลงมาคว้าร่างของภูผาเข้ามากอด และบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มของตนว่า
“หมอก......ลูกก็จะเป็นลูกของแม่อีกคนหนึ่งนะ.......แม่ดีใจที่จะได้ลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีกคน.....ขอบใจที่รักฟ้าลั่นของแม่ เท่ากับที่เค้ารักลูกนะจ้ะ ........ หมอกไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น.....แม่รับได้เสมอในความรักของลูกแม่ทั้งสองคน”
บิดาของฟ้าลั่นที่ยังคงแสดงสีหน้าสงบนิ่งอยู่บนโซฟาเดียวกันกับมารดา เขาก้มลงมา มองร่างของทั้งคู่ที่นั่งอยู่เบื้องล่าง หลังจากที่ภรรยาของตนปล่อยร่างของภูผาให้นั่งลงเรียบร้อย
“ฟ้าลั่น........” น้ำเสียงแฝงความปราณีดังออกมาจากผู้เป็นบิดา ฝ่ามือใหญ่แข็งแรงเอื้อมมาลูบศีรษะของลูกชายเบาๆ อย่างอ่อนโยน
“ทำไมลูกถึงคิดว่าพ่อและแม่จะขัดขวางความรักของลูกล่ะ”
“พ่อกับแม่ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นหรอกนะ....ความรักมันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายหรอกลูก”
“มันคือสิ่งที่สวยงาม......คือสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตคนเรา......พ่อไม่เคยยึดว่าความรักต้องเกิดขึ้นกับเพศไหนๆ......
สำหรับพ่อแล้ว....ความรักคือนิยามชีวิตของคนสองคน.....คือความผูกพันของคนสองคนนะลูก....พ่อดีใจที่ลูกหาความรักของลูกเจอ......พ่อมั่นใจว่าลูกของพ่อมีเหตุผล.....และโตพอที่จะรับรู้และเลือกที่จะรักได้แล้ว”
“ถ้าหมอกคือคนที่ลูกเลือกที่จะรัก.....พ่อก็จะสนับสนุน.....พ่อไม่ขัดขวางหรอกลูก” บิดาของฟ้าลั่นพูดเสร็จ และหันหน้ามาทางภูผา พลางพูดกับภูผาด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า
“หมอก.....พ่อขอบใจลูกมากนะที่รักฟ้าลั่นลูกของพ่อ......ขอบใจในกำลังใจที่มอบให้ลูกของพ่อ....ให้เขากล้าที่จะบอกความรู้สึกของตนให้พ่อและแม่ได้รับรู้”
หลังจากที่บิดาของฟ้าลั่นพูดจบ ทั้งภูผาและฟ้าลั่นก็ก้มลงกราบแทบเท้าท่านอีกครั้ง โดยไม่ลืมที่จะหันมากราบมารดาเช่นกัน
“ลุกขึ้นนั่งบนโซฟาเถอะลูก......เราคงต้องคุยกันอีกซักหน่อย” หลังจากได้ยินคำอนุญาตของผู้เป็นมารดา ทั้งสองหนุ่มจึงลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาตัวเดิม
“นอกจากจะมาสารภาพกับพ่อและแม่แล้ว.....ลมอะไรถึงหอบลูกชายตัวดีของพ่อบินด่วนมาจากเชียงใหม่ได้นี่” คุณศิลป์กวีตั้งคำถาม รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าที่หล่อเหลาสมวัยเกือบห้าสิบปี
“ผมจะมาขออนุญาตคุณพ่อกับคุณแม่ไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่อังกฤษกับหมอกครับ” ฟ้าลั่นตอบกลับบิดาด้วยสีหน้าเบิกบาน.....ความทุกข์ที่มีในใจได้มลายหายไปจนหมด.....เพราะความรักและความเข้าใจของบิดามารดาที่เลี้ยงดูมา......ฟ้าลั่นนึกขอบคุณในโชคชะตาของตนที่ทำให้เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นและเข้าใจซึ่งกันและกัน
“ตอนแรกหมอกเค้าไม่กล้าบอกผม...เพราะกลัวว่าพ่อกับแม่จะรับความรักของเราไม่ได้ครับ...หมอกเค้าก็เลยจะหนีผมไปคนเดียวครับ” ฟ้าลั่นได้ที จึงกล่าวฟ้องบิดาและมารดา
“ผมเลยต้องบินด่วนกลับบ้านมาพร้อมกับหมอก แล้วก็มาบอกพ่อกับแม่นี่แหละครับ....รวมถึงมาขออนุญาตเรื่องไปเรียนด้วยครับ เพราะผมคงต้องเตรียมตัวหลายอย่างครับ.....”
“หมอกเค้าเตรียมตัวล่วงหน้าไปก่อนผมตั้งเยอะแล้วครับ” ฟ้าลั่นสารภาพ และมอบรอยยิ้มกว้างให้กับผู้เป็นบุพการีอย่างประจบประแจง
“หมอกจะหนีฟ้าลั่นไปเลยเหรอลูก.....” คุณพิมพิมลหันหน้ามาถามภูผา
“ครับ....ตอนแรก....ผมไม่อยากให้ฟ้าลั่นเค้าทิ้งอนาคตมาอยู่กับผมครับ” ภูผาตอบตามความเป็นจริง
“อ้าว....แล้วลูกไม่รักฟ้าลั่นหรือครับ” คราวนี้คุณศิลป์กวีเป็นฝ่ายถามขึ้นเพราะความสงสัยบ้าง
“ผมรักฟ้าลั่นมากครับ คุณพ่อ.....แต่ถ้าผมสามารถทำให้คนที่ผมรักมีอนาคตที่ดีกว่า ผมก็ยอมครับ”
“แล้วลูกรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าฟ้าลั่นของพ่อนี่...เค้าจะมีอนาคตที่ดีกับคนอื่นที่ไม่ใช่หมอกล่ะลูก” คุณศิลป์กวีถามต่อ
“ผมไม่ทราบครับ” ภูผาตอบคำถามอย่างจนใจ
“เมื่อไม่ทราบก็อย่าทั้งเค้าไปซิครับ......พ่อเชื่อว่าลูกของพ่อทั้งสองคนจะสร้างอนาคตที่ดีด้วยตัวเองได้.....อย่าคาดการณ์อะไรล่วงหน้าเลยสำหรับความรักและหัวใจ.....อยู่กับปัจจุบันดีที่สุดนะลูก” คุณศิลป์กวีให้คำแนะนำอย่างกรุณา
“แม่ดีใจนะที่ลูกของแม่ทั้งสองคนคิดจะไปเรียนต่อ เพื่อพัฒนาความรู้ของตนเอง.....อย่างนี้แม่สนับสนุน......แต่ขออย่าให้ต้องทิ้งกันไปกลางทางเลยนะลูก.......ความรักที่สวยงาม...มันต้องมั่นคงด้วย ถึงจะทำให้อนาคตของทั้งคู่ประสบความสำเร็จ” คุณพิมพิมลสั่งสอนอย่างห่วงใยตามผู้เป็นสามี
“ขอบคุณครับ..คุณพ่อคุณแม่” ทั้งสองหนุ่มกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“ผมจะพยายามหาทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่โน่นครับ.....หมอกเค้าได้ทุนจากทางอาจารย์ที่นั่นครับ....ส่วนผมคงต้องรบกวนพ่อและแม่ในช่วงเทอมแรกเท่านั้นครับ....เทอมต่อๆไปผมจะหาทุนให้ได้ครับ”
“แหม.......ไอ้ลูกคนนี้ คิดว่าพ่อกับแม่ไม่มีเงินส่งเราเรียนเหรอไง......ถ้าจนปัญญานักก็ขอเศษเงินจากคุณตาที่อเมริกามาให้......ใช่มั้ยแม่” บิดาของฟ้าลั่นกล่าว พร้อมหันมาส่งคำถามให้ภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ค่ะ.....คุณตาลูกเค้าสนับสนุนอยู่แล้ว.....คุณตาเค้ายังบอกแม่ว่าจะให้เราไปเรียนต่อที่อเมริกาเลย แต่ว่าลูกมาขอไปอังกฤษเสียก่อน.....คุณตาท่านใจดี ยิ่งเรื่องการศึกษาแล้วท่านสนับสนุนเต็มที่”
“หมอกด้วย......พ่อกับแม่ก็จะช่วยสนับสนุนลูกด้วย” คุณพิมพิมลถ่ายทอดความปรารถนาดีผ่านมายังภูผา...ลูกชายคนใหม่อีกด้วย
“ขอบคุณในความกรุณาครับ.....แต่ว่า...เอ่อ.......” คนพูดยังพูดไม่จบ แต่ฟ้าลั่นก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“หมอกเค้ารวยครับแม่.......คุณยายของหมอกเป็นถึงท่านผู้หญิงเลยนะครับ” ฟ้าลั่นบอกคุณสมบัติของคนรักของตนอย่างภูมิใจ
“ว๊ะ....ไอ้ลูกคนนี้มันตาถึงแฮะ........ เอาลูกชายมาให้พ่ออีกคน .....รวยซะด้วย” นายแพทย์ศิลป์กวีหัวเราะชอบใจ ส่งผลให้เจ้าลูกชายตัวดีต้องบอกออกมาว่า
“เห็นมั้ยครับพ่อ....เชื้อไม่ทิ้งแถว.....ที่คุณพ่อยังไปคว้าลูกสาวประธานบริษัทก่อสร้างชื่อดังของอเมริกามาเลยนี่ครับ.....ถึงคราวผม.....ผมก็ต้องหาให้ดีเหมือนกันครับ” ฟ้าลั่นพูดประจบ พร้อมยิ้มให้บิดามารดาและคนรักของตนอย่างอารมณ์ดี
“แล้วคุณแม่กับคุณยายของหมอกเค้ารู้เรื่องหรือยังล่ะลูก” ประโยคของบิดาที่กล่าวออกมา ทำให้ฟ้าลั่นหุบยิ้มลงทันที พร้อมกับถอนหายใจออกมาช้าๆ
“ผมก็จะไปหาคุณแม่และคุณยายของหมอกพรุ่งนี้ครับ........” ฟ้าลั่นกล่าวออกมาอย่างกังวล
“ดีแล้วลูก......ไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วจะได้ลูกเสืออย่างไร” บิดากล่าวสนับสนุนพร้อมรอยยิ้ม
“เอ้.....คุณนี่......มันผิดนะคะ...ต้องบอกลูกว่า เข้าทางผู้หลักผู้ใหญ่ดีที่สุดนะลูก......ไม่ใช่สุภาษิตเข้าถ้ำเสือ” มารดากล่าวขัดออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะหันหน้ามามองลูกชายคนแรกที่ยังคงแสดงสีหน้ากังวลอยู่ พลางพูดปลอบใจ
“ไม่ต้องกังวลหรอกลูก..... คุณยายและคุณแม่ของหมอกคงเป็นคนทันสมัยและน่าจะเข้าใจลูกทั้งสองคนอย่างดี....”
“ถ้าเค้าไม่ยกให้...เราก็พาหนีเลยไอ้ลูกพ่อ.......”บิดาแหย่ลูกชายเล่นเบาๆ ทำให้ฟ้าลั่นมีความหวัง....ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
“เอ...คุณนี่.....แนะนำลูกแต่ละอย่าง.....ฟ้าลั่นก็อย่าบ้าไปตามพ่อเค้านะลูก.....ทำให้มันถูกต้อง” มารดาติงเบาๆ ไม่วายฟาดมือไปตีแขนคุณพ่อช่างแนะนำเสียหนึ่งที
“ครับ” ฟ้าลั่นรับคำ แต่ก็ยังไม่หายกังวลนัก
“จะให้พ่อและแม่ไปเป็นเพื่อนในวันพรุ่งนี้มั้ยลูก.....”คุณพิมพิมลเปิดช่องทางด้วยคำถามอย่างเอ็นดู
“ตอนแรกกะจะบอกว่าไม่ครับ....แต่คิดไปคิดมา....พ่อกับแม่ไปให้กำลังใจผมดีกว่าครับ” ฟ้าลั่นพูดพร้อมส่งยิ้มให้ทุกๆคน
“หมอกจ๊ะ” คุณพิมพิมลหันมาถามข้อมูลเพิ่มเติมจากภูผา
“เอ่อ......แม่ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยจ๊ะ”
“ครับ” ภูผารับคำอย่างสุภาพ
“เอ่อ......คุณยายกับคุณแม่หมอก.....ท่านพอจะคาดการว่าในอนาคตหมอกอาจพาคนอย่างฟ้าลั่นลูกแม่เข้าไปแนะนำว่าเป็น เอ่อ......เอ่อ...คนรักหรือเปล่าจ๊ะ” คุณพิมพิมลพยายามใช้คำถามที่สุภาพแต่ก็ตรงไปตรงมาอย่างที่สุดกับภูผา
“เอ่อ.....คุณแม่ทราบครับว่าผม...เอ่อ...เอ่อ....อาจจะพาไปครับ...แต่สำหรับคุณยาย ผมไม่แน่ใจครับ” ภูผาตอบอย่างไม่ปิดบัง เนื่องจากมารดารับทราบมาโดยตลอดว่าเขาเป็นผู้ชายที่รักผู้ชายด้วยกัน แต่กระนั้นท่านก็มิได้ต่อว่าหรือห้ามปรามแต่อย่างใด กลับแสดงความเข้าใจและยังคงรักและเอาใจใส่เขาอย่างดีเสมอมา
“อืม.....อย่างนั้นก็ดีไปอย่างหนึ่ง เราก็เข้าทางคุณแม่ของหมอกก่อนดีกว่า.... แล้วก็ค่อยไปเข้าทางคุณยาย” บิดาของฟ้าลั่นที่นั่งฟังอยู่กล่าวถึงแผนการที่เพิ่งคิดได้
“ครับ...ก็ดีครับคุณพ่อ” ฟ้าลั่นเห็นด้วยกับบิดา
“อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกันนะจ๊ะ.....แต่ตอนนี้ก็ดึกแล้ว.....แม่ว่า...เราสองคนขึ้นไปอาบน้ำ พักผ่อนกันก่อนดีกว่า....พรุ่งนี้วันเสาร์ จะได้ไปหาคุณยายและคุณแม่ของหมอกพร้อมกันในตอนเช้า”
“หมอกเอาเสื้อผ้ามาหรือเปล่าลูก....ถ้าไม่ได้เอามา ให้ฟ้าลั่นจัดการให้นะลูก” คุณพิมพิมลเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เลยซักถามและให้คำแนะนำลูกชายคนใหม่อย่างเอาใจ
“ขอบคุณครับ...คุณแม่....คุณพ่อ” ภูผาหันมากล่าวขอบคุณพร้อมยกมือไหว้อีกครั้ง ก่อนที่จะถูกคนรักฉุดให้ลุกขึ้น เดินตามไปยังห้องนอนของตน
“Good night ครับพ่อ, mom” ฟ้าลั่นกล่าวราตรีสวัสดิ์กับบิดามารดา พร้อมกับฉุดมือภูผาให้เดินตามออกไปทันที
“ดูท่าเราแล้ว....ไอ้ลูกชายมันหวงแฟนมันจริงๆ......ดูซิตามประกบไม่ปล่อยเลย” คุณศิลป์กวีหันมาพูดกับภรรยาหลังจากที่ลูกชายทั้งสองคนเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้านแล้ว
“ค่ะ.....ลูกหมอกเค้าก็หน้าตาน่ารักมากนี่ค่ะ......หน้าหวานกว่าผู้หญิงเสียอีก....มารยาทก็ดี แถมบุคลิกก็เหมาะแล้วที่จะมีคุณยายเป็นถึงท่านผู้หญิง..... พิมเองยังแอบรักตั้งแต่แรกพบเลยค่ะ” คุณพิมพิมลกล่าวแสดงความเห็นด้วย พร้อมเปิดเผยความในใจเกี่ยวกับลูกชายคนใหม่ออกมาให้สามีได้รับรู้
“ผมก็ชอบลูกชายคนใหม่เหมือนกัน......ต้องยอมรับว่าไอ้ลูกชายตัวดีเรามันตาถึง.....” คุณศิลป์กวีหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินแยกจากผู้เป็นภรรยา เข้าห้องสมุดเพื่อทำกิจวัตรประจำวันคือการอ่านหนังสือก่อนนอน