เพราะเราต้องรักกัน...วีรกรรมรักของภูผา&ฟ้าลั่น
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เพราะเราต้องรักกัน...วีรกรรมรักของภูผา&ฟ้าลั่น  (อ่าน 168271 ครั้ง)

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
มะเคยทวงเรื่องแต่ชอบกลั่นแกล้งคนเขียน
เหอๆ โดยการโพสยั่วคนอ่านไปเรื่อยๆ  :kikkik:

****************************************************************
“เอ่อ......เราว่า.....เราเปลี่ยนเสื้อผ้า....แล้วไปเดินเล่นกันดีกว่า.....เริ่มเย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะตก...ท่าจะสวยน่าดู” ภูผาพยายามหาทางให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันล่อแหลมเช่นนี้ ก่อนจะปล่อยมือที่โอบกอดลำตัวของฟ้าลั่นออก เขาเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าที่ฟ้าลั่นจัดเสื้อผ้าและสิ่งของต่างๆเข้าไว้อย่างเป็นระเบียบ ภูผาเลือกเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยนเพื่อไปเดินเล่นบนชายหาด

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ทั้งสองหนุ่มจึงเดินออกเดินจากห้องพักออกสู่หาดทรายขาวสวยที่อยู่รออยู่ข้างหน้า

ฟ้าลั่นอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำสนิทตัดกับและกางเกงขาสั้นผ้าลินินสีขาวสะอาด เน้นให้เห็นถึงรูปร่างที่สูงสง่าและแข็งแรง แว่นสายตาของเขาตอนนี้เปลี่ยนเป็นแว่นกันแดดสีดำสนิท รูปทรงทันสมัย ทำให้หน้าตาที่คมคายอยู่แล้วกับดูเข้มขึ้นเป็นทวี

ภูผาอยู่ในชุดผ้าลินินสีขาวทั้งชุดตัดกับเสื้อกล้ามสีดำของฟ้าลั่น เขาสวมเสื้อแขนสั้นปลดกระดุมออกจนถึงเม็ดที่สาม เผยให้เห็นถึงผิวขาวอมชมพูที่ซ่อนอยู่ข้างใน ท่อนล่างสวมกางเกงขาสั้นเช่นเดียวกับฟ้าลั่น .....ภูผาดูบริสุทธิ์และงดงามในสายตาของฟ้าลั่นยิ่งนัก

สองหนุ่มเดินคู่กันบนหาดทรายสีขาวทอดยาวตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าใส สายลมจากท้องทะเลพัดเข้าสู่ชายฝั่งอยู่ตลอดเวลา สร้างความเย็นกายสบายใจแก่ผู้มาเยือนทุกคนบนหาดทรายสวย รวมถึงคู่รักจากกรุงเทพฯคู่นี้ด้วย

แม้ว่าภูผาและฟ้าลั่นจะไม่อาจเดินจูงมือกันในสถานที่สาธารณะแห่งนี้ได้ แต่หัวใจและสายตาของทั้งคู่กลับเชื่อมโยงร่างกายของทั้งสองไว้ด้วยกันตลอดเวลา....ความรักที่บริสุทธิ์ถูกส่งผ่านเข้าหากันโดยสายลมที่พัดพลิ้วอยู่อย่างไม่ขาดสาย 

พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนต่ำจนเกือบจะลับขอบฟ้า ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับภูผาและฟ้าลั่นเดินกลับมานั่งพักชมพระอาทิตย์ตกที่เก้าอี้บริเวณระเบียงบ้านพักพอดี....ยามนี้พระอาทิตย์ดวงโตสีแดง ที่ทอแสงสีทองนวลอบอุ่นสายตา และฉายแสงสะท้อนทาบยาวลงบนแผ่นน้ำทะเล เกิดประกายระยิบระยับ ราวกับจับเอาดวงดาวนับร้อยพันในคืนมืดมิดมาไว้ในทะเลกว้างผืนนี้ กำลังเคลื่อนตัวลงหาขอบฟ้าแสนไกล จนในที่สุดก็หายไปพร้อมกับแสงสุดท้ายแห่งวัน

ราตรีกาลคืบคลานเข้าแทนที่ พร้อมกับแสงสีของโคมไฟ และคบเพลิงรอบๆที่พัก ที่พากันส่งประกายแสงสว่างขับไล่ความมืดมิด......ส่งให้บรรยากาศรอบๆตัวดูโรแมนติกยิ่งนัก

“หมอก.....หิวหรือยังครับ.....ไปกินข้าวเย็นกันดีกว่า” ฟ้าลั่นเป็นห่วงคนรักของตนเสมอ จึงเอ่ยปากถาม

“หิวแล้ว.....แต่เราว่า....ไปกินข้าวที่ร้านอาหารข้างนอกดีกว่า แทนที่จะไปกินที่ห้องอาหารในรีสอร์ท....เผื่อจะได้เดินเที่ยวด้วยงัย” ภูผายื่นข้อเสนอ

“ดีเหมือนกัน....เราจะได้ไปเที่ยวผับที่เค้าเปิดตามชายหาด.........น่าสนใจดี”ฟ้าลั่นสนับสนุน

เมื่อตกลงกันดังนั้น ทั้งคู่จึงกลับเข้าไปในห้องพักอีกครั้งเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะออกเดินมุ่งหน้าไปยังบริเวณถนนที่มีร้านอาหารเรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทาง

ร้านอาหารที่สองหนุ่มตัดสินใจเลือกรับประทานอาหารเย็นเป็นมื้อแรกบนเกาะช้างที่สวยงามแห่งนี้คือ ร้านเกี๊ยวหนองบัว ซึ่งเป็นร้านอาหารขนาดกลางที่เปิดโล่ง รับรองแขกประมาณ 30 โต๊ะ ราคาอาหารที่ปรากฏบนเมนูก็ไม่แพงมากเหมือนห้องอาหารในรีสอร์ทต่างๆ รวมถึงมีอาหารหลากชนิดให้ลูกค้าเลือกรับประทานได้อย่างเต็มที่ โดยเน้นที่อาหารทะเลเป็นหลัก

ภูผาและฟ้าลั่นผลัดกันสั่งอาหารมื้อเย็น โดยต่างฝ่ายก็เลือกอาหารที่อีกคนหนึ่งชอบรับประทาน ซึ่งได้แก่ ยำปูนิ่ม ต้มยำทะเลรวมมิตร ปลาทะเลเผา ปลาหมึกทอดกระเทียมพริกไทย และ กุ้งแก้วกรอบ ที่จัดมาในจานสวยสะดุดตา

หลังจากใช้เวลาไม่นานมากนักในการรับประทานอาหาร ทั้งสองคนจึงเดินเล่นไปตามถนนที่ลาดยาวขนานกับชายหาดที่มีชื่อว่า “หาดทรายขาว” สองข้างถนนเต็มไปด้วยผับ ร้านขายเครื่องดื่ม รวมถึงดิสโก้เทคต่างๆ สลับกับรีสอร์ท ร้านอาหาร ร้านของที่ระลึก และ ร้านอินเตอร์เนทคาเฟ่

บริเวณหาดทรายขาวนี้ถือเป็นพื้นที่ที่มีสีสันที่สุดของเกาะช้าง ดังนั้นจึงมีนักท่องเที่ยวพักอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมผ่อนคลายไปกับแสงสียามค่ำยืน   ส่วนบริเวณที่เหลือของเกาะจะเป็นพื้นที่สำหรับนักท่องเที่ยวที่รักความสงบ โดยเลือกที่จะพักในรีสอร์ทเล็กๆ และทำกิจกรรมต่างๆเช่น ว่ายน้ำ ดำน้ำดูปะการัง และพักผ่อนอิริยาบถอย่างเป็นส่วนตัว

ฟ้าลั่นชวนภูผาเข้าไปในผับติดชายทะเลแห่งหนึ่ง ที่มีบรรยากาศเงียบสงบ เพราะมีลูกค้าไม่มากนัก มีแต่เพียงกลุ่มนักท่องเที่ยวฝรั่งสองสามกลุ่ม และกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ดูเรียบร้อยและแต่งกายสะอาดสะอ้าน จับจองโต๊ะ และดื่มเหล้าและเบียร์ ตลอดจนพูดคุยและฟังเพลงกันอย่างสนุกสนาน

ภายในผับ มีบาร์เครื่องดื่มขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยเหล้าและส่วนผสมหลายชนิด โดยมีเจ้าของร้านซึ่งเป็นชาวต่างชาติและทำหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์ กำลังพูดคุยกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง

นอกจากบาร์เครื่องดื่มขนาดใหญ่ ภายในผับนี้ยังมีโต๊ะสนุ๊กเกอร์แบบมาตรฐานสองตัว ตัวแรกถูกจับจองโดยคนไทยกลุ่มหนึ่ง ส่วนอีกตัวหนึ่งยังคงว่างเปล่าไร้การครอบครอง

ฟ้าลั่นซื้อเบียร์ขวดเล็กให้กับตนเองและภูผา ก่อนจะตกลงกับเจ้าของร้านเพื่อเช่าโต๊ะสนุกเกอร์ที่เหลืออยู่เล่นกับภูผากันสองคน

สนุ๊กเกอร์หรือบิลเลียตก็เป็นหนึ่งในกีฬาหรือเกมส์ที่ทั้งสองคนถนัดเช่นกันนอกเหนือจากกีฬาเทนนิส ทั้งคู่ผลัดการตบ ผลัดกันวางลูก เพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ต่างฝ่ายต่างชิงไหวชิงพริบ จนทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งถึงกลับลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ มายืนล้อมวงดูทั้งสองเล่นเกมส์บิลเลียตอย่างตั้งใจ 

เกมแรกผ่านไป ผลปรากฏว่าฟ้าลั่นเป็นฝ่ายชนะ เล่นเอาภูผาเกิดอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เขาเลยตั้งใจเล่นมากขึ้นในเกมที่สองจนในที่สุดก็สามารถเอาชนะฟ้าลั่นได้ เป็นการเสมอกันหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ก่อนที่จะแข่งรอบตัดสินแพ้ชนะ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ยืนมองอยู่ก็เข้ามาพูดคุยกับทั้งคู่ เพื่อขอปะทะฝีมือกับสองหนุ่ม ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ปฏิเสธไมตรีแต่หยิบยื่นมาให้อย่างใด

ด้วยอัธยาศัยที่สุภาพแต่เป็นกันเองรวมถึงฝีมือการเล่นที่เด็ดขาดของภูผาและฟ้าลั่น ทำให้ทั้งสองหนุ่มเป็นจุดสนใจของคนทั้งหมดภายในร้านค้าในเวลาไม่นาน ซึ่งส่งผลให้ได้รับของขวัญเป็นเครื่องดื่มทั้งเหล้าผสมและเบียร์หลายต่อหลายครั้งจากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่พ่ายแพ้ต่อสองหนุ่ม รวมถึงพวกที่ประทับใจในความน่ารักของทั้งคู่

ประมาณห้าทุ่มกว่าๆ ฟ้าลั่นจึงขอตัวนำภูผาออกจากผับแห่งนั้น เพื่อเข้าที่พักเนื่องจากเห็นว่าภูผาเริ่มจะมีอาการเมาเพราะระดับปริมาณแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่ร่างกาย ฟ้าลั่นไม่ต้องการให้ภูผาเมามากจนไม่ได้สติ เพราะมิเช่นนั้นแผนการที่วางไว้ก็จะพังทลายในทันที

ฟ้าลั่นรู้ดีกว่า....ช่วงเวลาที่เซ็กซี่ที่สุดของภูผา คือ เวลาที่ภูผามีอาการเมาเพียงเล็กน้อย ฟ้าลั่นค่อนข้างมั่นใจว่า ช่วงเวลานี้ภูผาจะไม่ขัดขืนการลุกล้ำของตนเองแต่อย่างใด

ฟ้าลั่นเดินกลับที่พักโดยเลือกที่จะเดินบนชายหาดแทนถนนซีเมนต์เหมือนขามา เนื่องจากเป็นเวลาค่อนข้างดึกแล้ว ทำให้ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านมากนัก ฟ้าลั่นจึงสามารถเดินจูงมือนุ่มของภูผาได้อย่างสบายใจ จนกระทั่งมาถึงที่พัก

หลังจากปิดประตูห้องพักเรียบร้อยแล้ว ฟ้าลั่นก็เดินไปจุดเทียนทุกเล่มที่อยู่ประดับอยู่ภายในบริเวณห้องพัก ก่อนจะถอดแว่นสายตาของตนเองออกวางไว้บนโต๊ะลิ้นชักข้างเตียงนอน และเริ่มดำเนินแผนการต่อไปทันที
 
“หมอกครับ....คืนนี้หมอกน่ารักจังเลย” ฟ้าลั่นเดินหันหน้าเข้าหาตัวของภูผา กอดเอวคนรักไว้อย่างหลวมๆ ก่อน กระซิบเบาๆ ตรงหน้า

“หมอกรู้หรือเปล่า .......เวลาหมอกดื่มเบียร์แล้ว ดูเซ็กซี่มากเลย........” ฟ้าลั่นพูดต่อ มือข้างหนึ่งของเขาลูบเบาๆที่เรือนผมนุ่มของคนรัก

“ไม่เห็นจะเซ็กซี่............ตรงไหนเลยฟ้าลั่น.......เราก็ยังเหมือนเดิม” ภูผากอดตอบฟ้าลั่นพร้อมทั้งเอ่ยปฏิเสธ

“ไม่จริงหรอก.......ตอนนี้หมอกที่รักของฟ้าลั่นน่ารัก และเซ็กซี่ที่สุด”

“จนเราแทบจะอดใจไม่ไหวแล้ว......หมอกใจร้ายจัง......จะให้เรารอถึงเมื่อไหร่” ฟ้าลั่นยังคงพูดต่อ พร้อมทั้งใช้มือข้างหนึ่งจับคางของคนรักให้เงยขึ้นมา จ้องตาหวานฉ่ำของตน ก่อนจะประกบริมฝีปากสวยได้รูปของตนลงบนริมฝีปากบางสีชมพูของภูผา..........มอบจุมพิตที่อ่อนโยนและเนิ่นนาน......

รสจูบที่แสนหวานกับปริมาณแอลกอฮอล์ที่เหมาะสมดั่งที่ฟ้าลั่นคาดการณ์ ได้จุดประกายไฟสิเน่หาของภูผาให้ลุกโชนขึ้นมาอย่างง่ายดาย ประกอบกับบรรยากาศภายในห้องพักที่จัดไว้อย่างสวยงาม เพราะแสงเทียนที่จุดอยู่บนโต๊ะศิลาแลง รวมถึงแสงไฟอ่อนๆจากโคมไฟบนหัวเตียงสีขาวขนาดใหญ่  ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจให้ภูผาคล้อยตามไปกับการลุกล้ำที่อ่อนหวานของฟ้าลั่น

“เอ่อ.....ก็เรากลัวน่ะฟ้าลั่น........เอ่อ.....กลัวเจ็บน่ะ”ในที่สุดภูผาก็ตัดสินใจบอกความจริงแก่ฟ้าลั่น ถึงสาเหตุที่ตนเองบ่ายเบี่ยงมาตลอดเวลา

ฟ้าลั่นยิ้มเบาๆ กระชับอ้อมแขนกอดรัดภูผาให้แน่นขึ้น ก้มหน้าลงสูดความหอมของแก้มและซอกคอของภูผาเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ให้ลุกโชนมากขึ้น ก่อนจะบอกว่า

“ไม่ต้องกลัวหรอกครับหมอก........ ฟ้าลั่นสัญญาว่า.......จะทะนุถนอมดวงใจของฟ้าลั่น....ไม่ทำให้เจ็บปวดแม้แต่นิดเดียว......ไว้ใจฟ้าลั่นนะครับ.....ที่รัก”

ภูผาเลือกที่จะพยักหน้าแทนการกล่าวคำใดๆ เนื่องจากเพราะความเขินอาย และเหนือสิ่งอื่นใดคืออารมณ์ที่คุกรุ่นในอก ที่บัดนี้ร้อนแรงจนเกินที่จะปฏิเสธความรู้สึกต้องการลึกๆในใจได้

ฟ้าลั่นปลดกระดุมเสื้อของภูผาออกช้าๆ ถอดออกทิ้งไว้บนพื้นห่างจากตัวเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงผิวขาวเนียนสะอาดที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างใน  หลังจากนั้นจึงหันมาจัดการกับเสื้อกล้ามของตนเองให้หลุดออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว

ฟ้าลั่นมอบจูบที่แสนหวานให้กับคนรักของตนอีกครั้ง ก่อนจะจูงมือภูผาเดินเข้าหาเตียงนอนนุ่ม ฟ้าลั่นวางร่างที่บอบบางของภูผาลงบนเตียงสีขาวสะอาด แล้วจึงทาบทับร่างกายที่แข็งแรงของตนลงบนร่างของคนรัก........คนที่รักสุดใจ.......

จมูกของฟ้าลั่นเลือกที่จะสูดความหอมตลอดร่างกายส่วนบนของภูผา..........คลุกเคล้าไปทั่วใบหน้า....ซอกคอ....ช่วงไหล่.....หน้าอก ...และหัวนมสีชมพูบริสุทธิ์ .....มือทั้งสองข้างก็ทำหน้าที่ปลดกางเกงและปราการปกปิดความเป็นชายสุดท้ายออกจากลำตัวทั้งคู่

บัดนี้....เวลาแห่งการรอคอยที่นานแสนนาน......เวลาที่ดวงใจสองดวงจะเข้าสลัก..... ผนึกหากันอย่างแนบแน่น........ได้เริ่มดำเนิน.....และเคลื่อนไปอย่างช้าๆ

ร่างที่เปลือยเปล่าของทั้งคู่ที่กอดรัดอยู่บนเตียงสีขาวนวล  ดูงดงามเปรียบดั่งภาพศิลป์ที่จิตรกรบรรจงขีดเขียนลวดลายและลงสี....ร่างที่แข็งแรงกอดรัดตวัดร่างที่บอบบางกว่าอย่างทะนุถนอม.....ทุกส่วนของร่างกาย เปิดเผยสู่การสัมผัสของกันและกัน ผ่านฝ่ามือนุ่ม ริมฝีปากสวย และดวงตาที่ทอประกายความรักอย่างลึกซึ้ง

ภูผาตอบสนองการสัมผัสของฟ้าลั่นอย่างอ่อนโยนเช่นกัน มือบางของภูผาลูบไล้ทั่วแผ่นหลังที่แข็งแรง เคลื่อนลงไปถึงบริเวณบั้นท้ายที่ประกอบด้วยมัดกล้าม ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือทั้งสอง ลงมาข้างหน้า บริเวณส่วนกลางลำตัวของฟ้าลั่น สัมผัสกับความเป็นชายที่ร้อนแรง แข็งแกร่ง และเย้ายวน........

“หมอกครับ.......ฟ้าลั่นรักหมอกที่สุดในโลกเลย......ครับ”ฟ้าลั่นกระซิบเสียงกระเส่า เพราะบัดนี้ความเป็นชายที่แข็งแรงของตนถูกครอบครองโดยสองฝ่ามือนุ่มของภูผา

“หมอกก็รักฟ้าลั่นครับ......รักมากที่สุดในโลกเหมือนกัน”ภูผาตอบเสียงคล้ายกัน เพราะริมฝีปากของฟ้าลั่นที่วนเวียนอยู่ที่บริเวณซอกคอของตน

“ฟ้าลั่นสัญญาว่าจะรักหมอกเพียงคนเดียว....เสมอ.....และตลอดไป”ฟ้าลั่นกระซิบต่อ แต่บัดนี้เปลี่ยนเป้าหมายจากซอกคอของคนรักตน เคลื่อนตัวลงต่ำไปลิ้มรสหัวนมสีชมพูสดคู่นั้นของภูผาอย่างร้อนแรง เพราะอารมณ์รักที่ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป

“หมอกก็สัญญาครับ.......หมอกจะรักฟ้าลั่นเพียงคนเดียว...เสมอและตลอดไป” คำสัญญาออกจากปากของภูผา ก่อนริมฝีปากคู่สวยจะถูกปิดด้วยริมฝีปากได้รูปของคนที่ตนรัก....จูบที่เต็มไปด้วยรัก......จูบที่เนิ่นนาน.......จูบที่ร้อนแรงดั่งลาวาที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ภูเขาไฟ

ช่วงเวลาแห่งความโรแมนติก.........ช่วงเวลาแห่งความสุขของความสัมพันธ์ทางร่างกาย ดำเนินไปอย่างช้าๆนับชั่วโมง .......บางครั้งการสัมผัสก็ดูอ่อนโยน...... แต่บางครั้งการเคลื่อนไหวก็ดูร้อนแรง........เย้ายวน......และหนักแน่น........... ด้วยธรรมชาติแห่งรัก ภูผาตกเป็นของฟ้าลั่นด้วยความเต็มใจ...........

หลังจากปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้น สะสมอยู่ในอกเพราะไฟรักและความสิเน่หา.........ฟ้าลั่นโอบกอดร่างบางของคนที่ตนรักอย่างทะนุถนอม......คนเดียวที่ยอมพลีกายให้เขาได้ตักตวงความสุขครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเต็มใจ......คนเดียวที่แม้จะเจ็บปวด แต่ก็กลับเลือกที่จะทนและนิ่งเสีย เพื่อความสุขของคนที่ตนรัก.......และสุดท้าย คนเดียวที่ฟ้าลั่นสัญญาว่า จะอยู่ข้างกายตลอดไป จนนานเท่านาน

 “หมอกครับ......ไปอาบน้ำกันดีกว่าครับ” ฟ้าลั่นเอ่ยปากชวน เขาลุกขึ้นยืน ก้มตัวลงมาอุ้มภูผาไว้แนบอก แล้วเดินเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำ และวางร่างของภูผาลงในอ่างอาบน้ำ ก่อนที่ก้าวลงมานั่งอยู่ข้างหลังของภูผา เอื้อมมือทั้งสองข้างมาจับมือของภูผาขึ้นไขว้แนบอก.....ปรารถนาจะถ่ายทอดความรัก และความสุขทั้งหมดให้คนรักได้รับรู้

“ขอบคุณครับหมอก.....”ฟ้าลั่นพูดเบาๆข้างหูของภูผา

“เอ.....ทำไมที่รักของผมเงียบจัง........” ฟ้าลั่นอมยิ้ม เนื่องจากเพราะยังเห็นว่าอาการหน้าแดงของภูผาคงอยู่ไม่จางหายไป

“อืม.....ก็มันอายนี่นา.....ไม่รู้จะพูดอะไร.....เงียบดีกว่า”ภูผาตอบคำถาม

ฟ้าลั่นยิ้มกว้างในความน่ารักของคนรักของตน.....คนที่สามารถรักษาความน่ารักไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

“อย่าอายเลยครับ.......ตอนนี้เราก็เป็นของกันและกันแล้วนี่ครับหมอก”

“ฟ้าลั่นไม่เห็นอายเลย........กลับเต็มใจให้หมอก ตักตวงความสุขกับฟ้าลั่นน้อย....... เอ...หรือใหญ่กันแน่......เราคิดว่าใหญ่นะ.....เปลี่ยนเป็นฟ้าลั่นใหญ่ดีกว่า......เสมอและตลอดเวลานะครับ” ฟ้าลั่นพูดอย่างอารมณ์ดี

“อืม......รู้แล้ว....ไม่งั้นไม่เจ็บขนาดนี้หรอก”ภูผาบ่นเบาๆ

“ไหนบอกว่าจะทำเบาๆงัย.......”ประโยคสุดท้าย คนตัวเล็กกว่าหันหน้ามาถาม

“อ้าว......ฟ้าลั่นไม่เห็นหมอกร้องบอกว่าเจ็บนี่นา.....เห็นก็มีความสุขดี”ฟ้าลั่นถือโอกาสแหย่คนรักของตน พร้อมทั้งมอบยิ้มกว้างให้ภูผา

“บ้า.......ไม่เอาไม่พูดเรื่องนี้แล้ว.....ตอนนี้ไม่มีแรง......เจ็บ......นายต้องอาบน้ำเราด้วย....ห้ามมีข้อแม้”ภูผาพูดอย่างงอนๆ

“แล้วก็ห้ามฉวยโอกาสอีกนะ......”ภูผาต้องรีบขู่ มิเช่นนั้นฟ้าลั่นคงต้องฉกฉวยโอกาสสร้างความร้อนแรงให้เขาอีกแน่นอน

“ครับ....ที่รัก......รับรองว่าไม่ฉวยโอกาสในคืนนี้แน่นอน........”ฟ้าลั่นพูดเอาใจ

“แต่พรุ่งนี้....ไม่แน่ใจครับ”ฟ้าลั่นพูดตบท้าย ส่งผลให้คนฟังหันหน้ากลับมา ใช้มือทั้งสองข้างหยิกไปที่หัวนมสีชมพูให้อย่างรวดเร็วเป็นการทำโทษ

“โอ้ย....เจ็บนะครับหมอก......ดุจังเลย......”

“แต่ฟ้าลั่นว่า...เปลี่ยนจากหยิกเป็นจูบได้มั้ยครับ.....ฟ้าลั่นชอบมากกว่าครับ” ฟ้าลั่นกระซิบที่ข้างหูของภูผา ก่อนที่จะอาบน้ำให้คนรักของตนอย่างทะนุถนอม

ก่อนนอนฟ้าลั่นหยิบกีตาร์ขึ้นมาบรรเลงเพลง......มอบให้กับภูผาที่นอนหนุนตักข้างหนึ่งอยู่บนเตียงหนานุ่มกลางห้อง........เสียงนุ่มของฟ้าลั่นเปล่งเนื้อร้องออกมาอย่างไพเราะ....เคล้าคลอไปกับทำนองที่ดังขึ้นมาจากโดยกีตาร์ตัวโปรดที่นำติดตัวมาด้วย....ไล่เลียงไปตามเนื้อเพลง กล่อมให้ภูผานอนหลับสนิท........อย่างมีความสุข

........................................I swear by the moon and the stars in the sky
........................................And I swear like the shadow that's by your side

........................................I see the questions in your eyes
........................................I know what's weighing on your mind
........................................You can be sure I know my heart

........................................`Coz I'll stand beside you through the years
........................................You'll only cry those happy tears
........................................And though I make mist
........................................I'll never break your heart

........................................And I swear, by the moon and the stars in the sky
........................................I'll be there
........................................I swear, like a shadow that's by your side
........................................I'll be there

 ........................................For better or worse, till death do us part
........................................I'll love you with every beat of my heart
........................................And I swear

........................................I'll give you every thing I can
........................................I'll build your dreams with these two hands
........................................We'll hang some memories on the walls

........................................And when just the two of us are there
........................................You won't have to ask if I still care
........................................`Coz as the time turns the page, my love won't age at all

........................................And I swear by the moon and the stars in the sky
........................................I swear (and I swear) like the shadow that's by your side
........................................I'll be there

........................................For better or worse, till death do us part
........................................I'll love you with every beat of my heart
........................................And I swear

........................................I swear (I swear) by the moon and stars in the sky
........................................I'll be there
........................................I swear like the shadow that's by your side
........................................I'll be there

........................................For better or worse, till death do us part
........................................I'll love you with every (single) beat of my heart
........................................I swear, I swear,
........................................Oh... I ... swear...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2007 19:34:20 โดย b|ueBoYhUb »

abcd

  • บุคคลทั่วไป
 :-[  เเน๋วเชื่อแล้วว่าคุณแอนดี้ไม่ถนัดฉากแบบนี้ ตัดฉากไปที่โคมไฟหัวเตียงจิ (เห็นเค้าชอบทำกัน คิกคิก) โรแมนติกจางเร๊ยยย  :like6:

wee

  • บุคคลทั่วไป
ไอ้เราก็อยากรู้เรื่อง....ข้างหลังโคมไฟหัวเตียงอย่างละเอียดจัง...เฮ้อ... :555555 :sad5: :angellaugh2: :monkeycry2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ โรแมนติก  :haun5:

มดขึ้นเต็มจอเลย  :impress:

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 16 สื่อรักแทนใจ......

พฤศจิกายน....เวลาปัจจุบัน

มหานครลอนดอน.....สหราชอาณาจักรอังกฤษ



ภาพบรรยากาศความสวยงามท้องฟ้าและพื้นน้ำยามดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า บริเวณหาดทรายสีเงินของเกาะช้าง และภาพของตนเองนั่งอิงแอบกับภูผาบนโขดหินริมทะเล เพื่อเฝ้ามองดูพระอาทิตย์ดวงโตกลมสีแดง ทอแสงนวลสบายตา เคลื่อนตัวอย่างช้าๆจนลับลงสู่แผ่นน้ำ เพื่อรอเวลาขึ้นมาสู่วันใหม่ ภายหลังดวงจันทราสีเหลืองอ่อน ลาจากรัตติกาล...........   

ทุกๆภาพและความรู้สึกต่างๆ ในวันนั้นยังตราตรึงติดความทรงจำของฟ้าลั่นอยู่มิคลาย ทั้งๆที่ผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม ทุกครั้งที่คิดถึงอดีตที่เกิดขึ้น เขาก็จะมีความสุขเสมอ......ครั้งนี้ก็เช่นกัน

ฟ้าลั่นนอนหลับไปอีกครั้งบนเตียงนุ่มในอพาทเมนต์ เพราะความอ่อนเพลียจากงานเลี้ยงเมื่อคืน ภายหลังจากที่ภูผาออกไปสอบ Comprehensive เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา....จนกระทั่งรู้สึกตัวว่าริมฝีปากของตนถูกครอบครองโดยริมฝีปากที่บางกว่า.....ที่หอมหวานกว่า....และที่สำคัญ.....คือมาพร้อมกับรอยจูบที่เต็มไปด้วยความรักเสมอ

สองแขนที่แข็งแรงโอบตวัดผู้รุกรานริมฝีปากของตนให้นอนทับลงมาบนอกที่แข็งแรงอย่างรวดเร็ว .....ก่อนจะลืมตาขึ้นมา พบดวงหน้าหวานของผู้บุกรุกที่มีรอยยิ้มร่าเริงและสดใสปรากฏอยู่บนใบหน้า

“ไหนว่าจะโทรมาบอกหลังสอบเสร็จงัยครับหมอก......ทำไมต้องเสียเวลาเดินกลับมาด้วย”ฟ้าลั่นถามคนที่อยู่ในอ้อมกอด

“ก็พอดีเลิกสอบเร็ว........จริงๆก็ไม่เร็วเท่าไหร่หรอก....เพราะเกือบบ่ายสามแล้ว” ภูผาตอบเสียงใส เงยหน้าขึ้นสบดวงตาหวานของคนที่ตนรัก

“หมอกมีข่าวดีมาบอกฟ้าลั่นด้วยแหล่ะ......อยากฟังหรือเปล่าครับ.....คุณฟ้าลั่นที่รักของผม” ภูผาเลิกคิ้วถาม

“อยากฟังซิครับ......อยากฟังทุกเรื่องของคนที่ผมรักเสมอครับ”ฟ้าลั่นกล่าวตอบอย่างอ่อนโยน พร้อมส่งสายตาเป็นประกายหวานซึ้งมาให้ภูผา ที่บัดนี้ไม่เขินอายดวงตาคู่งามนี้แล้ว.......

“หลังสอบเสร็จ professor เดินมาบอกว่าหมอกสอบผ่านแล้ว.....ตอนนี้ก็เป็นดอกเตอร์เหมือนฟ้าลั่นแล้วนะครับ” ภูผายิ้มกว้าง เอื้อมมือทั้งสองข้างไปจับแก้มนิ่มของคนรัก พร้อมกับบีบขยำเล่นเบาๆอย่างรักใคร่

“อีกอย่าง คือ หมอกได้รับข้อเสนอให้รับทุน post doct ทำวิจัยต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนด.......” คราวนี้ภูผาลดเสียงลงเล็กน้อย แววตาแห่งความตื่นเต้นหายไป เพราะมีความกังวลเข้ามาแทนที่ เนื่องจากไม่ทราบว่าฟ้าลั่นจะคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

“แต่หมอกยังไม่ได้ตอบรับอะไร.....เพราะต้องมาคุยกับฟ้าลั่นก่อน” ภูผาบอกในตอนสุดท้าย

“ก็ดีนี่ครับหมอก.......ถ้าหมอกอยากอยู่ต่อ ....ฟ้าลั่นก็จะอยู่ด้วย........”ฟ้าลั่นตอบโดยพลัน เพราะอย่างไรเสียเขาเองก็ต้องอยู่เคียงข้างภูผาเสมอ......ไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือที่ไหนๆก็ตาม

“แต่ที่สำคัญ.....หมอกคงต้องเลี้ยงฟ้าลั่นแล้วนะครับ......เพราะตอนนี้ฟ้าลั่นยังตกงานอยู่” ฟ้าลั่นแกล้งทำหน้าเศร้าและส่งสายตาอ้อนวอนเพื่อเรียกคะแนนความสงสารจากภูผา

“อย่ามาหลอกหมอกเสียให้ยากเลยคุณฟ้าลั่น..........professor หมอก บอกต่อว่า professor ของฟ้าลั่นก็ตัดสินใจให้ข้อเสนอเดียวกันนี้กับฟ้าลั่น....... อย่าลืมว่า professor เราทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันนะ” ภูผาใช้นิ้วมือบีบจมูกสวยของฟ้าลั่นเป็นการทำโทษอย่างเบาๆ ก่อนจะถูกเอาคืนโดยคนตัวโตกว่า ด้วยการหอมแก้มไปข้างละที อย่างอดเสียไม่ได้

ฟ้าลั่นหัวเราะเบาๆ เขากอดกระชับร่างของภูผาเข้าหาตนเองให้แน่นขึ้น พร้อมกับบอกว่า

“ก็กะว่าจะบอกหมอกอยู่เหมือนกันครับ.......แต่หมอกบอกข่าวดีของหมอกออกมาก่อนนี่นา” ฟ้าลั่นอมยิ้ม

“ดีเลย.....งั้นเราทั้งสองคนก็ทำงานอยู่ที่อังกฤษนี่ซักพักแล้วก็ค่อยย้ายกลับเมืองไทยดีกว่า.....คุณพ่อคุณแม่และคุณยายคงไม่ว่าอะไรหรอก” ภูผากล่าวอย่างอารมณ์ดี

“อืม.....ดีเหมือนกันครับหมอก......เราจะได้เก็บเงินไว้ปลูกบ้านของเราในเมืองไทยด้วยงัยครับ......บ้านที่เป็นของเราสองคน” ฟ้าลั่นกล่าวสนับสนุน และบอกย้ำความฝันของตนให้ภูผาได้รับรู้อีกครั้ง......บ้านที่เป็นของเขาและภูผา.....บ้านที่จะมีแต่ไอรักของทั้งคู่อบอวลทั่วทุกหนแห่ง

“แล้วหมอกก็จะอยู่กับฟ้าลั่นตลอดไป......หมอกสัญญา” ภูผาให้คำสัญญาหนักแน่นก่อนจะมอบจุมพิตให้ฟ้าลั่น.....คนที่อยู่ในหัวใจมาตลอดเกือบสิบปี.....

ภูผาถอนริมฝีปากออกอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยถามคนรักของตนด้วยความเป็นห่วงว่า

“หิวหรือยังครับ.....เดี๋ยวหมอกทำแซนวิสให้ทาน.......ตอนนี้ฟ้าลั่นไปอาบน้ำก่อนดีกว่าครับ แล้วเดี๋ยวเราไปเดินเล่นที่งาน Oxford Street Fair กันครับ ก่อนที่จะไปรวมกับเพื่อนๆของหมอกที่  Café de London ตอนสองทุ่มครับ” ภูผาบอกฟ้าลั่น ก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมกอดของคนรัก แล้วลุกขึ้นจากเตียงนอนแสนนุ่ม เดินเข้าไปในส่วนที่เป็นห้องครัว เพื่อจัดการเตรียมทำแซนวิสให้ฟ้าลั่นรับประทานหลังจากอาบน้ำเสร็จ

ฟ้าลั่นก็ลุกขึ้นจากเตียง และเดินเปลือยเปล่าเข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำและแต่งตัวตามคำสั่งของภูผาอย่างว่าง่าย.......

Andreas

  • บุคคลทั่วไป

ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อโค๊ทสีดำสนิทเดินเคียงข้างร่างบอบบางแต่ดูแข็งแรงในชุดโค๊ทหนังสีน้ำตาลเข้มอย่างใกล้ชิด ผ่านผู้คนที่เดินไปเดินมาอย่างมากมายบน Oxford Street ในช่วงงาน Oxford Street Fair ในครั้งนี้

บรรดาร้านค้าต่างๆที่ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทางของถนนสายสั้นๆนี้ ถูกประดับประดาร้านด้วยแสงไฟหลากหลายขนาด สลับสีสันงดงาม เพื่องานนี้โดยเฉพาะ และจะอยู่โยงยาวต่อไปเพื่อต้อนรับวันคริตส์มาสที่จะมาเยือนในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าด้วย

ผู้คนหลากหลายวัย หลายเชื้อชาติ พากันจับจ่ายซื้อสินค้าคุณภาพในราคาลดลงจากปกติที่วางขายอยู่แทบทุกร้านตลอดถนน.......บางคู่หรือบางกลุ่ม หลังจากเดินมาเหนื่อยๆก็แวะเข้าผับที่เรียงรายสลับกับร้านขายของ เพื่อสั่งเครื่องดื่ม ตามแต่ความต้องการของแต่ละบุคคล เพื่อทำให้ร่างกายหายจากความเหนื่อยล้า ก่อนจะออกมาเดินดูข้าวของและช้อปปิ้งต่อไป

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ทั้งสองหนุ่มเดินดูผู้คน สินค้าต่างๆ และความสวยงามของแสงไฟที่ประดับประดาอยู่ตลอดสองข้างทาง จนถึงบริเวณลานน้ำพุ ชื่อว่า Trafalgar Fountain” ที่ ณ บัดนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยแสงไฟอย่างลงตัว........แสงหลากสีจากดวงไฟ ส่งให้สายน้ำพุที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ดูงดงาม อ่อนช้อยราว ราวกับว่ากำลังระเริงระบำอย่างเย้ายวน เพื่อดึงดูดสายตาและก่อให้เกิดความตราตรึงใจแก่ผู้พบเห็นทุกคน


ฟ้าลั่นจับมือภูผาให้เดินไปยังเก้าอี้นั่งตัวยาวที่ตั้งอยู่บริเวณรอบๆน้ำพุที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ หลังจากปล่อยให้ภูผานั่งลงบนเก้าอี้ เขาก็คุกเข่าลงกับลานพื้นหินอ่อน สอดมือของตนลงไปในกระเป๋าเสื้อโค๊ทด้านซ้ายแนบสนิทกับหัวใจ  เพื่อหยิบเอากล่องกำมะหยี่สีแดงสดขนาดเล็กออกมาเปิดออก เผยให้เห็นแหวนทองคำขาวฝังเพชรซีกลงไปอย่างเป็นระเบียบและทันสมัย ตั้งเด่นอยู่สองวง  ด้านในแหวนวงหนึ่งสลักคำว่า “Falan” ส่วนอีกวงหนึ่ง สลักคำว่า “Bhupha” 

ฟ้าลั่นหยิบแหวนที่สลักชื่อตนเองออกมา เขารอคอยมานานแสนนาน....รอจนกระทั่งพร้อมที่จะประกาศความสัมพันธ์ของเขากับภูผาอย่างเป็นรูปธรรม 

“ฟ้าลั่นรอวันนี้มาเกือบห้าปีเลยทีเดียวครับหมอก.....รอวันที่เราทั้งคู่จะเรียนจบและสามารถกำหนดอนาคตของเราด้วยตนเอง....ให้ก้าวเดินไปพร้อมๆกับจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ”

“อนาคตของเรา.....ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน....ไม่ว่าหนทางจะเป็นอย่างไร.......เราจะอยู่คู่กันตลอดไปนะครับหมอก”

“ฟ้าลั่นขอมอบแหวนวงนี้ให้กับหมอก.....มันคือตัวแทนของความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุดของฟ้าลั่น......ที่จะมอบให้กับคนที่ฟ้าลั่นรักที่สุด.......รักเสมอ....และจะรักตลอดไปครับ” ฟ้าลั่นเอื้อมมือของตนไปจับมือนุ่มของภูผาขึ้นมา เขาประทับริมฝีปากลงไปที่หลังมือด้วยความรักที่เต็มล้นหัวใจ ก่อนบรรจงสวมแหวนแทนใจลงไปที่นิ้วนางของคนรักตนอย่างช้าๆ

“ส่วนแหวนอีกวงหนึ่งฟ้าลั่นก็จะสวมมันไว้....เพราะมันก็คือตัวแทนของความรักของหมอกที่มอบให้กับฟ้าลั่นตลอดมา” ฟ้าลั่นพูดประโยคถัดไป เขากำลังเอื้อมมือไปหยิบแหวนอีกวงหนึ่งเพื่อจะสวมมันไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของตน แต่ทว่ากลับถูกขวางไว้ด้วยฝ่ามือบางของภูผา เพราะคนรักของเขาหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมาจากกล่องเสียก่อน

ภูผามองสบตาหวานซึ้งของฟ้าลั่น และบอกว่า

“ถ้าแหวนวงนี้คือตัวแทนแห่งความรักของหมอก.....หมอกก็ต้องเป็นคนสวมมันให้กับฟ้าลั่นด้วยมือของหมอกเอง”

“หัวใจของหมอก...อยู่ที่ฟ้าลั่นตลอดมา......และจะตลอดไป......ฟ้าลั่นคือคนที่หมอกรักที่สุด.....”ภูผาพูดช้าๆ เพื่อให้คนฟังซึมซับเอาความรักและความรู้สึกทั้งหมดเข้าสู่หัวใจ ก่อนจะบรรจงสวมแหวนวงที่สลักข้างในว่า Bhupha ลงไปในนิ้วนางข้างซ้ายของฟ้าลั่น

ภูผาฉุดให้ฟ้าลั่นลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกันตน ก่อนจะเอื้อมไปจับมือหนานุ่มขึ้นมาไว้แนบหัวใจของเขา และกล่าวต่อว่า

“หมอกไม่มีสิ่งของที่จะให้ฟ้าลั่นในวันนี้.......หมอกมีแต่คำสัญญา........จะสัญญากับฟ้าลั่นว่า......หมอกจะรักฟ้าลั่นตลอดไป......และหมอกจะพยายามทุกวิถีทางให้ความรักของเรามั่นคงและดำเนินต่อไปบนโลกนี้”

“ขอบคุณครับหมอก.....”น้ำเสียงของฟ้าลั่นอ่อนโยนยิ่งนัก เขากระชับฝ่ามือของตนเข้าหาฝ่ามือของภูผาให้มั่นและมอบจุมพิตลงไปบนหลังมือของภูผาอีกครั้ง

“หมอกรู้มัยครับ....ว่าฟ้าลั่นชอบสัญญาที่หมอกมอบให้ที่สุดเลย.....เพราะต่อไปฟ้าลั่นก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าหมอกจะทิ้งฟ้าลั่นไปมีคนอื่นๆ อย่างเช่น นายคริส เพื่อนของหมอกคนนั้นน่ะ” ฟ้าลั่นยังอารมณ์ดีเสมอจึงกล่าวเย้าคนรักของตน

“ฟ้าลั่นเห็นหมอกใจง่ายขนาดนั้นเชียว” ภูผาแกล้งทำเป็นโมโห เขาหันหน้าไปทางอื่น ส่งผลให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆลุกลี้ลุกลนเพราะความกังวลว่า ภูผาจะโกรธเข้าให้จริงๆ

“โอ๋......หมอกที่รักครับ....อย่าโกรธฟ้าลั่นนะครับ......ฟ้าลั่นล้อเล่นหรอกครับ......หายโกรธนะครับคนดี......”

“ฟ้าลั่นรู้ว่าหมอกรักฟ้าลั่นคนเดียวครับ.......ฟ้าลั่นก็รักหมอกคนเดียวเช่นกันครับ......หายโกรธหรือยังครับ........ถ้ายัง ฟ้าลั่นให้หมอกขออะไรฟ้าลั่นก็ได้ครับ......ฟ้าลั่นจะทำให้ทุกอย่าง.....ไม่เว้นแม้แต่ว่า จะให้มีเซ็กส์ไม่ต่ำกว่าคืนละสองครั้ง...ฟ้าลั่นก็ยอมครับ” ฟ้าลั่นยังคงอดไม่ได้ที่จะแหย่ภูผา แม้ว่าจะเขากำลังง้อภูผาอยู่ก็ตามที

ภูผาหลุดยิ้มออกมาเพราะการง้อที่แปลกๆของฟ้าลั่น ก่อนจะเกิดอาการหน้าแดงเพราะความอาย เนื่องจากข้อความในประโยคสุดท้ายของฟ้าลั่น จึงทำให้เขาต้องแสร้งเอ่ยปากดุคนที่พูดเล่นแต่ทำหน้าทำตาจริงจังอยู่

“บ้า...... แค่นี้ก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว.......ยังจะมาเพิ่มอีก...”

“ว้า.....อดเลย...นึกว่าจะได้เพิ่ม” ฟ้าลั่นทำเป็นถอนหายใจเสียงดัง.....แกล้งทำหน้าเศร้า คล้ายผิดหวังอย่างรุนแรง.....ก่อนจะเหลือบไปเห็นนาฬิกาข้อมือบ่งบอกเวลาสองทุ่มตรง

“เกือบได้เวลานัดพอดีเลยครับ.....สองทุ่มแล้ว.....เราเดินไปที่ Café De London กันดีกว่าครับ” ฟ้าลั่นลุกขึ้นยืนตรง เขาโค้งลำตัวลง ผายมือข้างซ้ายออก เป็นอาการแสดงความเคารพอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวประโยคเชิญชวนออกมาอย่างอารมณ์ดี

“เชิญครับ....คุณภูผาสุดน่ารัก”

ภูผาอดที่จะขำในความช่างเล่นของฟ้าลั่นอย่างช่วยไม่ได้ โดยทุกวันๆ ฟ้าลั่นจะมีมุขมาแกล้งหยอกล้อหรือมาทำให้เขาหัวเราะอยู่เสมอ......  อย่างวันนี้ก็เช่นกัน

Andreas

  • บุคคลทั่วไป


ฟ้าลั่นและภูผาใช้เวลาสังสรรค์กับเพื่อนๆในผับ Café De London อยู่หลายชั่วโมงจนเข้าสู่วันใหม่ๆ

เพื่อนๆ หลายคนไม่ได้สังเกตเห็นแหวนลักษณะเดียวกันที่สวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของทั้งคู่ ยกเว้น คริส หรือ นายแพทย์ คริสโตเฟอร์ แอนเดอร์สัน ทายาทคนกลางของเจ้าของโรงพยาบาลชื่อดังและทันสมัยที่สุดกลางกรุงลอนดอน รวมถึงเป็นนักศึกษาปริญญาเอกในสาขาวิชาเดียวกันกับภูผา ที่มีกำหนดสอบ comprehensive ในอีกสองวันข้างหน้านี้ด้วย

คริสเป็นชายหนุ่มลูกครึ่งระหว่างอังกฤษและอิตาเลี่ยน โดยบิดาเป็นนักธุรกิจชาวอังกฤษที่พบรักกับแพทย์หญิงสาวสวยในประเทศอีตาลี่ หลังจากแต่งงานกันเรียบร้อย ทั้งคู่จึงผันตัวมาเปิดโรงพยาบาลที่ทันสมัยที่สุดในมหานครลอนดอนแห่งนี้

ด้วยคุณลักษณะของลูกครึ่งที่มักปรากฏส่วนผสมที่ลงตัวของโครงร่างและความงดงามทางร่างกาย คริสได้รับส่วนที่ดีที่สุดของทั้งบิดาและมารดามาอยู่กับตนเองทุกด้าน เช่น มีรูปร่างที่สูงใหญ่และแข็งแรง หน้าตาหล่อเหลา คมเข้ม ดวงตาสีฟ้าใสเช่นเดียวกับบิดา มีเรือนผมดำสนิทเช่นเดียวกับมารดา และมีมารยาทและการวางตัวอย่างผู้ดีอังกฤษทุกประการ นอกจากนั้นยังได้รับความชาญฉลาดมาจากทั้งบิดาและมารดามาอย่างล้นเหลือ เนื่องจากคริสจบการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิตมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังคงเรียนต่อเพื่อให้สำเร็จปริญญาเอกอีกหนึ่งใบ ทั้งๆที่อายุเพียงแค่สามสิบต้นๆ เท่านั้น

หลังจากสังเกตเห็นแหวนที่อยู่บนนิ้วนางของทั้งฟ้าลั่นและภูผา.....คริสก็เข้าใจได้ทันทีว่า ฟ้าลั่นและภูผาคงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอย่างแน่นอน

แม้ว่าคริสจะหลงรักภูผามาหลายปี แต่ด้วยคุณธรรมและความเสียสละ จึงทำให้คริสตัดใจจากภูผาในทันที โดยไม่คิดจะกระโจนลงสู่สนามรบ เพื่อต่อสู้แย่งชิงภูผาจากฟ้าลั่นแต่อย่างใด

สิ่งที่คริสบอกกับตนเองได้ในขณะนี้ก็คือ............. เขาจะเป็นเพื่อนที่ดีของภูผาตลอดไป.......

เมื่อตัดใจได้ดังนั้น คริสจึงพูดคุยกับทั้งภูผาและฟ้าลั่นอย่างสนุกสนานตลอดการเลียงสังสรรค์ในครั้งนี้ โดยปราศจากความรู้สึกเสียใจหรือ ผิดหวังแต่อย่างใด

ภายหลังงานเลี้ยงเลิกรา.......ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน คริสก็เข้ามากอดอำลาภูผาด้วยความเคยชินและถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคนอังกฤษ เขาหันมาจับมือกับฟ้าลั่น และพูดว่า

“ผมยินดีกับคุณฟ้าลั่นด้วยนะครับ.....ที่ได้ครอบครองหัวใจของภูผา.........”

“ขอบคุณครับ” ฟ้าลั่นกล่าวตอบอย่างสุภาพ

“แต่ถ้าคุณทิ้งภูผาเมื่อไหร่.....ผมจะขอเป็นคนดูแลหัวใจของภูผาแทนนะครับ” คริสยิ้มให้และพูดอย่างอารมณ์ดี เพื่อหยอกล้อเพื่อนใหม่ของตน

“คงยากหน่อยล่ะครับ....เพราะผมคงไม่ทิ้งภูผาหรอกครับ.....”ฟ้าลั่นตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ด้วยอารมณ์เดียวกัน

“หวังว่าคงได้เจอกันอีกนะครับ” คริสกล่าวอำลา

“เช่นกันครับ” ฟ้าลั่นตอบ โดยไม่คิดเลยว่าอีกไม่นานตนเองจะได้พบกับคริสอีกครั้ง.....ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน




Andreas

  • บุคคลทั่วไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2006 11:44:07 โดย Andreas »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ มีภาพประกอบด้วย  :yeb:

ได้อ่านอีกตอนแล้ว ขอบคุณคุณ andreas มากคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






No_ProMises

  • บุคคลทั่วไป

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
คุณจ๋อมมาโพสเองเลยหรอ............. :angellaugh2: :angellaugh2:

หวานจังเลย................ :impress3:

ภาพก็สวย...............อยากไปอยู่บ้าง..............ต้องพยายามไปซะแล้ว :impress: :impress:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ภาพก็สวยเข้ากับบรรยากาศจังเลย
เครียดๆ ทำไมเราไม่เจอแบบนี้บ้างหวา
 :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
ขำรีข้างบนอะ :kikkik:

โฮ๊ะๆๆๆ

เป็นกำลังใจให้นะครับ คุณAndreas

พูห์ :laugh3:


ปล.

เพิ่งรู้ว่าคุณAndreas ชื่อเล่นป๋อม

 :yeb:


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ซาบซึ้ง โรแมนติคจัง  รูปสวยเข้ากับเทศกาลคริสต์มาสเลย  น่ารักดี  อมยิ้ม  :impress2:

รออ่านต่อนะคะ  เป็นกำลังใจให้แล้วกัน  :yeb:

ปล  หมูพูห์ คุณแอนเดรียชื่อจ๋อมไม่ใช่เหรอ  หรือว่ากลายเป็นตกน้ำป๋อมแป๋มซะแล้น  :kikkik:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
                            พูห์โหมดเบลอ(อีกแระ) หุหุ ทำหลายอย่างพร้อมกันก้อเงี๊ยะ

 ขอบคุณคุณจ๋อม(แอบตีสนิท คิกคิก)มากๆนะจ๊ะ รูปสวยมาก แน๊วเริ่มชอบคริสแล้วอ่ะขอบทคริสเยอะๆนะ  :-[

wee

  • บุคคลทั่วไป
ชักกลัวคำว่าโชคชะตา กะ ความรัก ขึ้นมาแล้วสิ
 :kikkik: :untrust: :interest:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
ขำรีข้างบนอะ :kikkik:

โฮ๊ะๆๆๆ

เป็นกำลังใจให้นะครับ คุณAndreas

พูห์ :laugh3:


ปล.

เพิ่งรู้ว่าคุณAndreas ชื่อเล่นป๋อม

 :yeb:



ขอโทษคร้าาาาบบบบบบ :sad4:

เบลอจิงๆครับ :try2:

หลังปีใหม่คงหายเบลอ










แต่เอ๋อไปเลย


พูห์ :laugh3:

meemewkewkaw

  • บุคคลทั่วไป
ใช้เวลา 3 วัน ในการอ่าน ตอนนี้อ่านทันแล้ว เย้ๆๆ

เป็นความรักในอุดมคติเลยอ่ะ(ซึ่งได้แต่แอบฝันเล็กๆว่าจะเกิดขึ้นกับเรา)

กว่าจะอ่านทัน หมดน้ำตาไปหลายลิตรเลยอ่ะ

เรื่องนี้ใช้ภาษาสวยจังเลยนะครับ เป็นกำลังใจให้คนเขียนน๊า รีบมาต่อไวๆนะครับ :yeb:

ปล.ปลื้มคริสจัง ลูกครึ่งอิตาเลี่ยนซะด้วย :interest:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






abcd

  • บุคคลทั่วไป
[wma=300,50]http://siamcode.com/tanaew/HowDoILive-MAX.mp3[/wma]

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 17 วีรกรรมรัก...ครั้งสุดท้าย



7 ปีผ่านไป............

ศาลาธรรมของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในยามเย็นยังคงสวยงามเสมอเหมือนสิบกว่าปีที่ผ่านมา.......ตัวศาลาสีขาว
บริสุทธิ์ตัดกับหลังคาและประตูหน้าต่างสีส้มสดและแดงเข้ม ตั้งเด่นเป็นสง่าแวดล้อมไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ใหญ่น้อยและสนามหญ้าสีเขียวอ่อนที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี

ทุกสิ่งดูเหมือนจะคงความเป็นเอกลักษณ์ไว้ไม่แตกต่างจากอดีต.........ยกเว้นบนสนามหญ้ากว้างสีเขียวข้างศาลาสวยแห่งนี่ มีเด็กชายน้อยน่ารักวิ่งเล่นอยู่กับสุนัขพันธุ์โกลเดนรีทีฟเวอร์สีทองตัวใหญ่ พร้อมด้วยชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาว ดวงตาเรียวได้รูป วิ่งเล่นอยู่เป็นเพื่อนอย่างสนุกสนาน

นอกจากนั้นยังมีชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบต้นๆ ผิวสีแทนสวยงาม หน้าตาหล่อเหลา และมีรูปร่างสูงใหญ่ ยืนจ้องมองดูทั้งคู่และหนึ่งตัวอยู่อย่างมีความสุข ด้วยสีหน้าเจือด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา

“พ่อเสือคร๊าบ.....มาเล่นด้วยกันกับภูและอาจอมมั้ยคร๊าบ” เด็กน้อยหยุดวิ่ง....และหันหน้ามาที่ชายหนุ่มผิวสีแทน เพื่อรอคำตอบ

“ภูเล่นกับอาจอมเถอะครับ.....พ่อเสือเหนื่อยแล้วครับ” ชายหนุ่มที่ยืนมองอยู่ตอบกลับไป พร้อมรอยยิ้มที่ใจดีเสมอให้กับลูกชายตน

“ภูครับ...อาจอมว่าเรากลับบ้านไปกินข้าวเย็นกันดีกว่านะครับ.....อาจอมเหนื่อยแล้วเหมือนกันครับ” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าคนที่ถูกเรียกว่าพ่อเสือยื่นข้อเสนอให้กับเด็กชายผู้น่ารัก เพราะวิ่งเล่นกับหลานชายมาเกือบชั่วโมงแล้ว

“เบนคงเหนื่อยแล้วเหมือนกัน......ใช่มั้ยเบน”คนที่แทนตัวด้วยคำว่า “อาจอม” หันไปถามพร้อมลูบศีรษะสุนัขตัวใหญ่ที่หยุดนั่งมองดูเจ้านายทั้งสามคนสนทนากันอย่างตั้งใจ

“พ่อเสือก็เห็นด้วยครับ......ภูกลับบ้านดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย เพราะอากาศเริ่มเย็นลงแล้ว” คุณพ่อหนุ่มบอกกับลูกชาย

“ก็ได้คร๊าบ......ภูเป็นเด็กดี....ภูเชื่ออาจอมกับพ่อเสือคร๊าบ” เด็กน้อยตอบกลับพร้อมยิ้มกว้าง....ไม่มีอาการอิดออดแต่อย่างใดที่จะเลิกวิ่งเล่นในสถานที่คุ้นเคยแห่งนี้........สถานที่ที่ตนเองประทับใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ.....และมาเยี่ยมเยือนทุกวัน

“กลับบ้านกันเถอะนะ..... เบน......” เด็กน้อยหันมาบอกกับสุนัขของตน พร้อมกับจูงสุนัขตัวใหญ่ใจดี ตามบิดาและอาจอม เดินขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน


Andreas

  • บุคคลทั่วไป
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ศิวะต้องหยุดพักการตรวจรายงานของนักศึกษาชั่วคราว เขากดปุ่มรับสายและยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ก่อนจะได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดเสียงสั่น คล้ายกับวิตกกังวลอะไรบางอย่างอยู่

“คุณศิวะคะ.......คุณภูฟ้าไม่สบายค่ะ.......อาเจียนและมีไข้ขึ้นสูงค่ะ”

“ดิชั้นโทรศัพท์ตามคุณหมอมาแล้วค่ะ....ตอนนี้คุณหมอกำลังตรวจอาการอยู่ค่ะ.......คุณศิวะรีบกลับมาที่บ้านได้มั้ยคะ........เพราะถ้าต้องเอาคุณภูไปโรงพยาบาล ดิชั้นกลัวว่าคุณภูจะอาการหนักลงค่ะ” คุณภาวดี....พี่เลี้ยงของลูกชายรีบรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ครับ.......เดี๋ยวผมจะรีบกลับบ้าน...คุณภาช่วยโทรไปบอกคุณจอมยุทธ์ด้วยนะครับ....ว่าให้ไปเจอกันที่บ้านเลยครับ” ศิวะรับคำ และสั่งให้ภาวดีโทรศัพท์รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้จอมยุทธ์ได้ทราบ

ศิวะมิได้ตำหนิคุณพี่เลี้ยงแต่อย่างใด กับการที่ไม่เอาตัวลูกชายของตนส่งโรงพยาบาลในตอนแรก เพราะทราบดีว่าภูฟ้าเกลียดและปฎิเสธการไปโรงพยาบาลมาตลอดตั้งแต่จำความได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องไปกับคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เขาเอง หรือ “อาจอมของภู” ...........และถ้าภูฟ้าต้องไปโรงพยาบาลกับคนอื่นๆแล้ว บางครั้งถึงกับช็อคและหมดสติไปเลยทีเดียว

อาจเพราะมีความทรงจำบางอย่างที่แสนเศร้าเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลถ่ายทอดมาสู่ความทรงจำของเด็กน้อย จึงทำให้เกิดอาการฝังใจกับภาพและบรรยากาศ ตลอดจนความรู้สึกเศร้าและหดหู่ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล........ภูฟ้าสูญเสียคนสำคัญในชีวิตถึงสองคนในต่างเวลาและวาระกัน

โชคดีที่ศิวะไม่มีชั่วโมงสอนนักศึกษาในวันนี้ จึงทำให้เขากลับบ้านได้อย่างทันทีทันใด เพื่อดูแลลูกชายที่รักของตน.......ลูกชายที่เฝ้าเลี้ยงดูทะนุถนอมมาตั้งแต่แรกเกิดพร้อมกับจอมยุทธ์......ลูกชายที่มีค่ามากกว่าสิ่งใดในชีวิตของศิวะ.......ทั้งสามชีวิตผูกพันกันอย่างแนบแน่น นับตั้งแต่อยู่บนแผ่นดินเกิดของภูฟ้า.....ประเทศอังกฤษ.....จนถึงบัดนี้ หลังจากเดินทางกลับมาตั้งรกรากที่เมืองไทยในไม่กี่ปีที่ผ่านมา

สี่ปีเต็มที่ศิวะดูแลภูฟ้ามาโดยตลอด เขาเฝ้าป้อนข้าว ป้อนน้ำ อาบน้ำ ดูแลเอาใจใส่เด็กน้อยน่ารักคนนี้ทุกอย่างเท่าที่คนเป็นพ่อและแม่ในเวลาเดียวกันจะทำได้.......วันใดที่ภูฟ้าร้องไห้เสียใจ ศิวะจะเสียใจมากกว่าถึงสิบเท่า....วันใดที่ภูฟ้าเจ็บปวด ศิวะจะเจ็บปวดมากกว่าถึงร้อยเท่า.....และวันใดที่ภูฟ้าความสุข ศิวะจะมีความสุขมากกว่าอีกเช่นกัน

จนกระทั่งภูฟ้าโตพอที่จะปล่อยไห้อยู่กับคุณพี่เลี้ยงและแม่บ้านได้อย่างไม่ต้องกังวล ศิวะจึงตัดสินใจรับเป็นอาจารย์สอนวิชาธรณีวิทยาในคณะวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้......มหาวิทยาลัยแห่งความทรงจำของหลายๆคน.......มหาวิทยาลัยที่ตั้งตระหง่านอยู่เชิงดอยสุเทพอันศักดิ์สิทธ์  “มหาวิทยาลัยเชียงใหม่”

ในขณะที่จอมยุทธ์ผู้เป็นอา จำเป็นต้องเข้าไปบริหารงานโรงเบียร์ของตนอย่างเต็มที่เช่นกัน เพราะผ่อนผันการบริหารงานมาหลายปีแล้วนับตั้งแต่จบการศึกษามาจากประเทศอังกฤษ

ศิวะกลับมาถึงบ้านและพูดคุยกับคุณหมอที่ถึงผลการตรวจวินิจฉัย ทำให้ทราบว่าภูฟ้าไม่สบายเนื่องจากเป็นไข้หวัดใหญ่ รวมกับอาการอ่อนเพลียและผลลัพธ์จากที่ร่างกายเปลี่ยนอุณหภูมิอย่างรวดเร็วเพราะการตากแดดเป็นเวลานานและกลับเข้าสู่ห้องแอร์เย็นเฉียบอย่างรวดเร็ว

การป่วยธรรมดาที่คุณหมอบอกว่าไม่ร้ายแรงแต่อย่างใด มิได้ทำให้ศิวะหายจากอาการกังวลได้ เพราะอาการอาเจียนที่เกิดขึ้นของลูกชายมันบาดลึกเข้าไปในหัวใจของศิวะอย่างรุนแรง........เจ็บปวด......มันคล้ายเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนคนหนึ่ง......คนที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ.......คนที่ศิวะตัดสินใจทิ้งความสุขในชีวิตทุกอย่าง......เพียงเพื่อทำความฝันของคนนั้นให้เป็นจริง.......ในการเลี้ยงดูอุ้มชูชีวิตน้อยๆที่ลืมตาดูโลก.... ให้มีชีวิตที่มีความสุขและสมหวังต่อไปในอนาคต....ตามที่ให้สัญญาไว้

ศิวะพยายามก้าวเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านอย่างช้าๆ  ความกังวลที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ขาทั้งสองข้างสูญเสียเรี่ยวแรงที่เคยมี.....ศิวะจำเป็นต้องฝืนทนเพื่อขึ้นไปดูบุตรชายที่รักยิ่งของตน

ประตูห้องของภูฟ้าถูกผลักออก โดยปราศจากเสียงรบกวนใดๆ ที่อาจทำให้หนูน้อยที่หลับสนิทจะตื่นขึ้นมาได้

ภายในห้องของภูฟ้าถูกจัดตกแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในโทนสีฟ้าใส.......สีน้ำทะเล......สีแห่งความทรงจำอันฝังลึกอยู่ในสายเลือดของภูฟ้า........ ศิวะก็ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายของตนถึงชอบสีของน้ำทะเลมากนัก รวมถึงชอบเฝ้ามองดูพระอาทิตย์ตกดินอย่างตั้งใจ........บางครั้งเวลานอนหลับก็ละเมอถึงความว่า “เกาะช้าง” ออกมาอย่างไม่รู้ตัวเสมอ

ข้าวของทุกชิ้นถูกจัดเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ไม่มีของเล่นแม้ชิ้นเดียวตกอยู่บนพื้นหรือวางอย่างระเกะระกะให้ขวางสายตา.......นี่คือคุณสมบัติที่แปลกอีกอย่างหนึ่งของลูกชายคนเดียวของตน......ภูฟ้ามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยสูงมาก.....เกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

บนเตียงนอนสีขาวสะอาด.......สีเดียวกับหาดทรายขาว.....หาดทรายแห่งความทรงจำของความรักของบุคคลคู่หนึ่งถูกครอบครองโดยร่างที่หลับสนิทของเด็กชายวัยสี่ขวบ ผู้มีผิวขาวตัดกับสีผมดำสนิทค่อนข้างยาวดุจแพรไหม.......หน้าตาคมคาย.....ที่มีเค้าโครงส่วนผสมที่ลงตัวของคนคุ้นเคยสองคน.....ริมฝีปากสีแดงอย่างเป็นธรรมชาติ.....แก้มนวลใสเห็นเลือดฝาดอย่างชัดเจน.....ภูฟ้ากำลังอยู่ในห้วงนิทราภายใต้ผ้าห่มผืนหนาปกคลุมร่างกายอยู่

ศิวะเดินเข้าไปหาลูกชายของตนเองช้าๆ นั่งลงบนเตียงนุ่มอย่างแผ่วเบา ก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าผากของภูฟ้า......และสัมผัสได้ถึงความอุณหภูมิความร้อนของร่างกายส่งผ่านมาที่ริมฝีปากตนเองอย่างชัดเจน......

หลายปีที่ผ่านมา ภูฟ้ามีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีมาตลอด.....ไม่เคยเจ็บไข้ถึงขนาดที่ต้องนอนซมขนาดนี้........ยิ่งคิดศิวะก็ยิ่งกังวล.......อดไม่ได้ที่เกิดความกลัวว่าจะสูญเสียใครไปอีก........ แค่ความสูญเสียในอดีตก็มากเกินพอแล้ว......อย่าให้ต้องสูญเสียหัวใจของตนไปอีกเลย


Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ความทรงจำที่เจ็บปวดย้อนกลับเข้ามาในหัวใจที่ด้านชาของศิวะอีกครั้ง.......ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านๆมา.....เพราะกังวลกับสุขภาพของเจ้าตัวเล็กที่นอนหลับอยู่........เสียง....และภาพแห่งอดีตฉายชัดในมโนสำนึก....แม้จะดูสับสนไปบ้าง.......แต่ก็ชัดเจน.....ราวกับว่าเกิดขึ้นเพียงแค่วันวาน......ทั้งที่ในความเป็นจริงมันกลับผ่านมามากกว่าอายุของภูฟ้าที่นอนป่วยอยู่ในเวลานี้เสียอีก


(อดีต)........ศิวะมองทะลุแผ่นกระจกใสเข้าไปในห้องสีขาวนวล...เห็นร่างที่ไร้ความรู้สึกของหนุ่มผมยาวที่คุ้นเคยนอนอยู่บนเตียงนอนอย่างโดดเดี่ยว.......สายยางหลายสิบเส้นเชื่อมโยงลำตัวเข้ากับอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ......ศีรษะของคนที่นอนอยู่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวบริสุทธิ์ไม่มีรอยสีแดงของหยดเลือดแต่อย่างใด.....ร่างนั้นปราศจากปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ยกเว้นเพียงลมหายใจที่แผ่วเบา.....เบาจนแทบจะไม่เห็นทรวงอกขยับขึ้นลง......ชายคนนี้ดูเหมือนหลับไป....หลับลึก......จมอยู่ในห้วงแห่งความเงียบสงบภายใน

ข้างๆกายของศิวะคือชายหนุ่มร่างบอบบาง.......ยืนนิ่งเงียบ.....เงียบเสียจนราวกับไม่ได้สัมผัสถึงลมหายใจเช่นเดียวกับร่างที่นอนอยู่ในห้อง....... น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาคู่งามนั้นอย่างช้าๆ.....ไม่มีแม้แต่อาการสะอื้นไห้......คร่ำครวญ......แต่กลับยืนนิ่งสนิท.....มองตรงไปข้างหน้า....ทะลุกระจกใส......เข้าไปจับจ้องคนรักของตน...คนที่ตนเองรักสุดใจ.......คนที่โชคชะตากำลังจะพรากชีวิตไปจากโลกใบนี้........

ศิวะเอื้อมมือไปจับมือบางของชายหนุ่มคนนั้น บีบกระชับเบาๆ เพื่อถ่ายเทกำลังใจทั้งหมดที่มีให้กับคนที่อยู่ข้างๆในเวลานี้....คนที่กำลังเสียใจที่สุด....คนที่บอบบาง.....และอ่อนแอ......คนที่หัวใจกำลังแตกสลายลงอย่างช้าๆ.....พร้อมๆกับลมหายใจที่อ่อนแรงและกำลังจะหมดไปของคนที่อยู่ในห้องสีขาวนั้น

“น้องหมอกครับ......เรากลับบ้านกันดีกว่าครับ.....นี่ก็ดึกมากแล้ว...พรุ่งนี้เรามาเยี่ยมฟ้าลั่นใหม่ดีกว่าครับ.....แล้วเราต้องไปรับคุณพ่อคุณแม่ของฟ้าลั่นรวมถึงคุณแม่ของหมอกที่จะมาพร้อมกับจอมที่สนามบินอีกนะครับ” น้ำเสียงของศิวะดูอ่อนโยนและแผ่วเบา  ราวกับไม่ต้องการสร้างความกระทบกระเทือนใดๆกับจิตใจของภูผามากขึ้นไปกว่านี้

ภูผายังคงนิ่งสนิท.....ไม่เอ่ยคำพูดใดๆออกมาจากใบหน้าที่เศร้าสร้อยนั้น.......เพียงแต่เดินตามศิวะออกมาอย่างว่าง่าย........ร่างกายของภูผาปฏิบัติตามคำสั่งของศิวะเท่านั้น เพราะหัวใจที่ควบคุมร่างกายของตนนั้นดูเหมือนจะหยุดลงไปตั้งแต่วันที่ประกาศิตของโชคชะตาถูกประกาศลงมาจากสรวงสวรรค์........วันที่ฟ้าลั่นถูกรถชน......หลังจากมอบแหวนแทนใจให้กับภูผาเพียงแค่สองอาทิตย์กว่าๆ เท่านั้น

หัวใจของภูผาถูกบดขยี้อีกครั้ง หลังจากรับทราบผลการผ่าตัดจากคุณหมอ........แปดชั่วโมงเต็มนับจากวินาทีที่ฟ้าลั่นถูกส่งเข้าห้องผ่าตัด..........การรอคอยด้วยความหวัง.....สูญมลายลงไปในทันที
   
“ผมเสียใจด้วยนะครับ....เราพยายามเต็มที่แล้ว.....สมองของคนไข้ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก......แม้จะผ่าตัดเอาเลือดในสมองออก.....แต่คนไข้ก็จะไม่อาจรู้สึกตัวหรือฟื้นคืนมาได้อีกครับ.......” ศัลยแพทย์มือหนึ่งในทีมการรักษาครั้งนี้เดินมาบอกภูผาด้วยตนเอง ภายหลังพยายามอย่างที่สุดที่จะฉุดชีวิตของฟ้าลั่นให้พ้นจากเอื้อมมือของพญามัจจุราช

เหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางดวงใจของผู้ที่ได้รับฟัง........น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาของภูผาอย่างรวดเร็ว เขาล้มลงหมดสติโดยพลัน โชคดีที่คริสรับร่างไร้สติของภูผาไว้ได้ก่อนที่จะล้มลงกระแทกพื้นโรงพยาบาล

คริสคือคนสนิทที่สุดของภูผาในช่วงเวลานั้น.....เวลาที่โลกแห่งความสุขสมหวังของภูผาและฟ้าลั่นสูญสิ้นไปในพริบตา เขารับรู้เหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดโดยตลอด......เริ่มตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นฟ้าลั่นรีบวิ่งตรงไปกลางถนน เพื่อจับตัวเด็กน้อยไร้เดียงสาที่วิ่งข้ามถนนเพียงคนเดียวโยนมาให้เขาที่วิ่งตามมาและหยุดอยู่ข้างถนนได้รับไว้......จนถึงวินาทีที่ร่างของหนุ่มผมยาวผู้ใจดีถูกรถคันหนึ่งที่วิ่งมาด้วยความเร็วพุ่งเข้าชนอย่างจัง..... ด้วยความรุนแรงของการชน.....ร่างของฟ้าลั่นลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและกระแทกลงพื้นพื้นถนนอย่างรุนแรงและรวดเร็ว

เลือดสีแดงเข้มไหลออกจากศีรษะและใบหน้าที่คมคายของฟ้าลั่น ฉาบพื้นถนนท่ามกลางอุณหภูมิที่หนาวเหน็บของวันคริสมาส........ในปีเดียวที่ทั้งภูผาและฟ้าลั่นสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกในประเทศอังกฤษ.......เพียงแค่สองอาทิตย์กว่าๆ หลังจากทั้งคู่ตกลงสร้างอนาคตร่วมกันที่อังกฤษ.....ตั้งใจจะทำงานเก็บเงินเพื่อกลับไปเมืองไทย และจะสร้างบ้านที่เต็มไปด้วยไออุ่นแห่งรักของทั้งสองคน.....บ้านที่ไม่มีวันจะถูกสร้างขึ้นในโลกที่โหดร้ายใบนี้

คริสรับรู้เหตุการณ์โดยตลอด เขารีบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลจากโรงพยาบาลของครอบครัวมารับร่างที่ไร้สติของฟ้าลั่นเพื่อส่งเข้าทำการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ก่อนจะตรงไปยังอพาทเมนท์ของภูผาเพื่อบอกข่าวร้ายนี้ให้ทราบด้วยตนเอง......

ในเวลานั้นคริสมั่นใจว่าภูผาคงกระวนกระวายใจกับการหายตัวไปนานของฟ้าลั่นอย่างแน่นอน เพราะก่อนหน้าที่ฟ้าลั่นจะถูกรถชน......คริสพบและพูดคุยกับฟ้าลั่นทำให้ทราบว่า ฟ้าลั่นทำเป็นขออนุญาตภูผาออกมาหาเพื่อน แต่จริงๆแล้ว กลับต้องการออกมาซื้อดอกไม้ช่อสวยเพื่อมอบให้กับภูผาในคืนวันคริสมาสนี้.....โดยบอกให้ภูผารออยู่ที่ห้องเพราะเขาจะใช้เวลาไม่นานนัก

คริสมาถึงห้องของภูผาอย่างรีบเร่ง เขาบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับภูผาได้รับฟัง.........สิ่งที่คริสเห็นภายหลังจากเล่าเรื่องทั้งหมด...... คือความนิ่งสนิท มีเพียงน้ำตาไหลรินเป็นทางยาวออกจากดวงตาคู่สวยของภูผาเท่านั้น

เพราะความเสียใจและตกใจ ภูผามิอาจขยับเขยื้อนตนเองได้แต่อย่างใด.......คริสจึงต้องประคองร่างบางของภูผาเดินลงจากอพาทเมนท์และขึ้นรถยนต์ส่วนตัวเพื่อเดินทางไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว.....ตลอดเวลาภูผายังคงสงบนิ่ง......ไม่ส่งเสียงใดๆ....คงมีแต่น้ำตาที่ไหลริน...เป็นทางยาวไม่เหือดแห้ง.....ที่เจ้าตัวไม่มีแรงแม้กระทั่งจะเช็ดมันออกไป

ศิวะคือบุคคลที่รับทราบข่าวร้ายนี้เป็นคนที่สอง......มิใช่จากปากของภูผาแต่กลับเป็นจากคริสเพื่อนของภูผานั่นเอง.......เนื่องจากคริสพยายามเพียรถามภูผาที่ยังนั่งเงียบสนิทหน้าห้องผ่าตัด ว่าต้องการจะบอกข่าวนี้ให้ใครทราบหรือไม่........

ในทีสุดคำว่า “ศิวะ” หรือ พี่เสือ จึงหลุดออกจากปากของภูผา.....เป็นเพียงแค่คำเดียวในเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมา......คริสจึงค้นหารายชื่อของศิวะในโทรศัพท์มือถือของภูผา ก่อนจะโทรบอกศิวะให้รีบมาที่ลอนดอนโดยด่วน เนื่องจากเหตุการณ์ร้ายแรงในครั้งนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2006 11:56:57 โดย Andreas »

Andreas

  • บุคคลทั่วไป

ศิวะรับทราบเหตุการณ์คร่าวๆ จากคริสด้วยความตกใจเป็นอย่างยิ่ง.....คำพูดหนึ่งของฟ้าลั่นก็เคลื่อนเข้าสู่ความทรงจำของเขาในทันที

“ถ้าวันใดที่ผมไม่สามารถปกป้องหรืออยู่กับหมอกได้อีกต่อไป.......ผมขอร้องให้พี่กลับมา.....ไม่ว่าพี่จะอยู่ที่ไหน.....ขอให้พี่กลับมาหาหมอก....อยู่ข้างเค้า...ช่วยให้หมอกก้าวเดินต่อไป.....นะครับ”

ดังนั้นศิวะจึงต้องไป.....ไปทำตามสัญญาที่ให้ไว้.......นอกเหนือจากเพราะความเป็นห่วงเป็นใยน้องชายที่รักทั้งสองคนอย่างสุดซึ้ง

ศิวะลางานในฐานะวิศวกรปฐพีในบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาอย่างไม่มีกำหนด โดยถือเป็นการอนุมัติในกรณีพิเศษจากผู้บริหารระดับสูง......เนื่องจากผลงานที่ผ่านมาของศิวะที่สามารถวางโครงสร้างระบบใต้ดินต่างๆและทำกำไรอย่างมหาศาลให้กับบริษัทแห่งนี้

ศิวะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเก็บเสื้อผ้าและของใช้บางอย่างลงกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง และรีบเดินทางไปที่สนามบินเพื่อขึ้นเครื่องเดินทางมาลอนดอนในทันที

ช่วงเย็นของอีกวันหนึ่ง...คือเวลาที่ศิวะมาถึงโรงพยาบาล....สิ่งแรกที่เขาเห็นคือร่างของภูผาที่ยืนมองทะลุกระจกห้อง เข้าไปสู่ร่างที่ไม่ได้สติของฟ้าลั่น......ร่างบอบบางยืนนิ่ง.....ไม่ขยับเขยื้อน ......ไม่มีแม้แต่น้ำตาที่ไหลริน.....ข้างๆกายของภูผาคือชายหนุ่มต่างชาติร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาสีฟ้าสด เรือนผมสีดำสนิท แต่งตัวสะอาดเรียบร้อย....ยืนอยู่ข้างกายไม่ห่าง

ศิวะรีบเดินตรงเข้ามาหาภูผาอย่างรวดเร็ว.....เขาคว้าร่างบางของภูผาไปกอดโดยทันที.........ศิวะต้องการที่จะไขว่คว้าดวงใจที่กำลังจะหายลับ..จมไปกับความเศร้า..ให้กลับเข้ามาสู่ร่างที่บอบบางอีก....เขาหวังว่ากำลังใจที่ถ่ายทอดให้จะช่วยลดความทุกข์นั้นลงบ้าง

ด้วยสัมผัสที่คุ้นเคยมาแสนนาน.......สัมผัสที่คล้ายกับคนที่นอนอยู่ในห้องสีขาวนั้น......สัมผัสที่เต็มไปด้วยรักและความผูกพัน กระตุ้นความรู้สึกของให้ภูผากลับมา.....ความเสียใจถาโถมเข้าหาร่างบางอย่างรุนแรง......ภูผาปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาอย่างสุดที่จะห้ามใจ.....

“พี่เสือ..........พี่เสือ........” ภูผาร้องเรียกชื่อศิวะเบาๆ ใบหน้าหวานซุกอยู่บนอกกว้างของผู้เป็นพี่ชาย

“ฟ้าลั่นกำลังทิ้งหมอกไป........”

“ทำไม.....ทำไม....... ทำไมโชคชะตาถึงต้องเป็นแบบนี้” ภูผาคร่ำครวญ น้ำตาไหลรินลงสู่เสื้อขาวสะอาดของศิวะจนเปียกชุ่ม

ศิวะไม่อาจเอ่ยประโยคใดๆออกมาได้....เพราะรับรู้ถึงหัวใจที่แตกสลายของภูผา.....สิ่งที่ศิวะทำได้ดีที่สุดในวินาทีนี้ก็คือ กระชับร่างบางเข้าหาตนเองให้แน่นขึ้น ใช้ฝ่ามือลูบที่แผ่นหลังอย่างช้าๆ เพื่อปลอบประโลมความเสียใจนั้นให้คลายลง

ศิวะใช้เวลาไม่นานในการคุยปรึกษากับแพทย์เจ้าของไข้ จึงทำให้ทราบว่าฟ้าลั่นไม่สามารถที่จะฟื้นขึ้นมาได้อีกและเวลานี้ร่างกายของฟ้าลั่นอยู่ได้เพราะเพียงเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น......เขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และคาดว่าภูผาคงเสียใจมากกว่าตนเองหลายร้อยพันเท่าทวี........

ศิวะเอ่ยปากขอดูแลภูผาต่อจากคริส....โดยที่คริสไม่ขัดข้องแต่อย่างใด เพราะสังเกตว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาภูผาไม่พูดกับใครเลย....เอาแต่นิ่งเงียบ แต่ครั้นพอพบหน้าศิวะก็กลับมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาบ้าง ดังนั้นคริสจึงมั่นใจว่า ภูผาจะมีกำลังใจดีขึ้นถ้าอยู่ภายใต้การดูแลของชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีแทน ท่าทางใจอบอุ่นและใจดีคนนี้

ศิวะพาภูผากลับมาที่อพาทเมนท์ เขาซื้อข้าวเย็นให้รับประทาน จัดเสื้อผ้าให้อาบน้ำ...แต่งตัว...รวมถึงดูแลทุกอย่างเท่าที่พี่ชายที่แสนดีคนนี้จะทำให้กับน้องชายสุดรัก ที่บัดนี้เอาแต่นิ่งสนิทจนเกือบไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ หลังจากนั้นจึงโทรศัพท์บอกจอมยุทธ์ที่เดินทางกลับไปเมืองไทยในช่วงปิดภาคเรียนเพื่อบอกเล่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับฟ้าลั่นในครั้งนี้

“จอม นี่พี่เสือนะ........ทำอะไรอยู่” ศิวะเอ่ยทักทายจอมยุทธ์....น้องคนเล็กของกลุ่ม

“กินข้าวเย็นครับพี่เสือ.......พี่เสืออยู่กับพี่หมอกหรือครับ...นี่เบอร์พี่หมอกนี่ครับ”จอมยุทธ์ทักทายพี่ชายคนโตของกลุ่มอย่างร่าเริง......ทั้งสี่หนุ่มสนิทสนมกันมาก เพราะทุกๆปี ทั้งสี่คนจะต้องหาโอกาสไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมต่างๆด้วยกันทุกครั้งในช่วงปิดเทอม ทั้งก่อนหน้าที่จอมยุทธ์อยู่เมืองไทย และภายหลังเดินทางมาเรียนปริญญาโทที่อังกฤษแห่งนี้

“จอมฟังพี่ดีๆนะ.........ฟ้าลั่นถูกรถชนอาการหนักมาก......พี่รบกวนจอมช่วยเรียนคุณพ่อคุณแม่ของฟ้าลั่นและหมอกด้วย...ให้ท่านเดินทางมาที่อังกฤษโดยด่วน.....พี่คงต้องวานให้จอมช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกคุณน้าและคุณอาด้วยนะจอม” ศิวะพูดชัดเจน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ

จอมยุทธ์ฟังคำอธิบายรายละเอียดอีกหลายประโยคจากศิวะ ดวงตาของเขารื้นด้วยน้ำตา แต่ก็พยายามปาดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว หลังจากเสร็จสิ้นการสนทนา จอมยุทธ์จึงรีบจัดการทุกอย่างที่ศิวะบอกอย่างเร่งด่วนเพื่อเดินทางไปลอนดอนอย่างเร็วที่สุด

สองวันถัดมา..............ทันทีที่ขบวนบิดามารดาของฟ้าลั่นและภูผาโดยการนำของจอมยุทธ์มาถึงสนามบิน และเห็นภูผามายืนรอรับอยู่ในอาคารผู้โดยสารขาเข้าพร้อมด้วยศิวะ.....คุณพิมพิมลและคุณศิริพิมพ์ก็ตรงเข้ามากอดและปลอบขวัญภูผาทันที่ที่เห็นหน้า.....

หลังจากมารดาทั้งสองปล่อยภูผาให้เป็นอิสระ ........สิ่งแรกที่ภูผาตัดสินใจทำคือ พนมมือขึ้นแล้วกราบลงบนไหล่ของนายแพทย์ศิลป์กวีและคุณพิมพิมลที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาเอ่ยประโยคคำพูดออกมาว่า

“หมอกกราบขอโทษครับ........หมอกดูแลลูกชายของคุณพ่อและคุณไม่ดีเองครับ.........หมอกผิดเองครับ” น้ำตาไหลหยดลงมาช้าๆ จากดวงตาของภูผาอีกครั้ง

“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดลูก......อย่าโทษตัวเองเลยหมอก” คุณศิลป์กวีกอดร่างบางของภูผา เขาเอ่ยปลอบขวัญภูผาอย่างปลงตก......... แม้จะเสียใจอยู่มาก......แต่เมื่อโชคชะตาลิขิตแล้ว......ใครเล่าจะอาจฝืน 

“หมอกไม่ผิดหรอกลูก........ไม่มีใครผิด”คุณพิมพิมลพูด ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้ภูผาอย่างแผ่วเบา โดยที่เธอเองก็เสียใจอยู่มากเช่นกัน....ไม่ต่างอะไรกับสามี

คุณศิริพิมพ์......มารดาของภูผาเดินเข้ามาหาทั้งสามคนและพยายามคลี่คลายสถานการณ์ที่เศร้าโศกนี้ โดยแนะนำว่าทั้งหมดควรจะจัดการเช็คอินโรงแรมที่จองไว้ แล้วจึงเดินทางต่อไปดูอาการของฟ้าลั่นที่โรงพยาบาล เพื่อเตรียมปรึกษาหารือเรื่องการยื้อชีวิตของฟ้าลั่นกับแพทย์เจ้าของไข้


PS: picture from www.jameswiseman.com/london.php

Andreas

  • บุคคลทั่วไป

ภาพอดีตที่ไหลย้อนกลับ......สะดุดลงโดยพลันเพราะเสียงเอะอะโวยวายแว่วมาจากชั้นล่างของบ้าน กระทบเข้าสู่โสตประสาทของศิวะ

“ทำไมไม่ดูแลตาภูให้ดี.......คุณภา..... คุณแม่บ้าน” จอมยุทธ์กล่าวเสียงดังออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้

คุณภาวดีและคุณบัวผัน....พี่เลี้ยงและแม่บ้านยืนหน้าซีดและตกใจกับกิริยาที่จอมยุทธ์แสดงออกมาในครั้งนี้ เพราะโดยปกติแล้ว “อาจอมของภู” จะเป็นคนร่าเริง สนุกสนานและสุภาพมาก เท่าที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่จะโกรธจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อย่างเช่นวันนี้

“ถ้าเกิดตาภูเป็นอะไร......ใครจะรับผิดชอบ.......”จอมยุทธ์ยังตวาดต่อ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาหลังใหญ่

“แล้วผมจะบอกกับพี่หมอกและพี่ฟ้าลั่นยังงัย..........” จอมยุทธ์พูดกับตนเองเบาๆ ดวงตาเรียวได้รูปของจอมยุทธ์ มีน้ำตาเอ่อล้นออกมา....เขาพยายามปาดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว

“ภูไม่เป็นอะไรมากหรอกจอม.....แค่ไม่สบายนิดหน่อย” ศิวะบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มของตน หลังจากเดินลงมาจากชั้นบน เพื่อลงมาระงับศึกหนักที่คุณพี่เลี้ยงและคุณแม่บ้านกำลังรับเผชิญอยู่อย่างยากลำบากในขณะนี้

จอมยุทธ์ลุกขึ้นจากโซฟา....เดินตรงเข้ากอดศิวะทันที....ตอนนี้เขาต้องการกำลังใจจากพี่ชายอย่างศิวะเป็นที่สุด

“ก็ตาภูอาเจียนด้วยนี่ครับ........ผมกลัวจังเลยครับพี่เสือ.......ผมกลัวอดีตมันจะซ้ำรอยเดิม” น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ของจอมยุทธ์บัดนี้ไหลลงมาบนบ่าของศิวะอย่างช้าๆ เพราะอดีตที่ยังฝังตรึงใจอยู่มิเสื่อมคลาย......อดีตที่เจ็บปวดเพราะสูญเสียคนที่ตนรัก

ศิวะลูบหลังจอมยุทธ์เบาๆ ปลอบใจทั้งตัวเองและคนที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า....... อดไม่ได้ที่จะคิดตาม และภาวนาในใจว่า

“หวังว่าโชคชะตาคงจะไม่เลวร้ายอีกเป็นครั้งที่สาม”

“ขึ้นไปดูตาภูดีกว่าจอม.......ไปอยู่เป็นเพื่อนตาภู....เดี๋ยวตื่นขึ้นมาคงจะร้องหาเราสองคนแน่นอน”ศิวะกล่าวชวนจอมยุทธ์ขึ้นไปหาภูฟ้าที่ห้อง โดยที่มือหนึ่งก็ลูบหลังของจอมยุทธ์เบาๆ เพื่อปลอบโยนความกังวลใจที่เกิดขึ้น ศิวะรู้ดีว่าจอมยุทธ์รักและเป็นห่วงภูฟ้ามากไม่ต่างอะไรกับตนเอง.....สามชีวิตผูกพันกันมาตลอด ผ่านทั้งความทุกข์และความสุขมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน

 “ครับ” จอมยุทธ์รับคำอย่างรวดเร็ว....เขาผละตัวออกจากอ้อมกอดที่อบอุ่นเสมอของศิวะ...พี่ชายคนโตที่ตนเองรักมากไม่แพ้พี่ชายในอดีตอีกสองคน

ประตูห้องของภูฟ้าเปิดออกอีกครั้ง......เด็กน้อยยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง.......จอมยุทธ์เดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ อย่างเงียบๆเพราะไม่ต้องการจะทำให้หลานชายที่นอนอยู่ตื่นขึ้นมา ก่อนจะก้มลงไปจูบที่หน้าผากของภูฟ้า เพื่อถ่ายทอดความรักและความเป็นห่วงอย่างที่สุด

*************************************

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ใบหน้ายามหลับใหลเพราะความอ่อนเพลียเนื่องจากพิษไข้ของภูฟ้า.........กระตุ้นให้ความทรงจำที่เจ็บปวดของจอมยุทธ์กลับมาอีกครั้ง........ครั้งนี้มันย้อนกลับไปเวลาเดียวกับศิวะคิดก่อนหน้านี้....เพียงแต่เกิดหลังจากการที่ภูผาตัดสินใจท้าทายโชคชะตาที่เกิดขึ้น


(อดีต).............จอมยุทธ์พาคุณพ่อคุณแม่ของฟ้าลั่นรวมถึงมารดาของภูผามาลอนดอนทันทีที่ทราบข่าวอุบัติเหตุของฟ้าลั่น หลังจากปรึกษาหารือกับแพทย์เข้าของไข้แล้ว คุณศิลป์กวีและคุณพิมพิมลจึงมอบอำนาจการตัดสินใจให้กับภูผาว่าจะทำอย่างไรกับร่างอันไร้สติของฟ้าลั่นที่นอนอยู่ในห้อง ICU ในขณะนี้

ก่อนที่จะเรียนว่าผู้ใหญ่ว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป ภูผาขออนุญาตทุกคนไปปรึกษากับคริสถึงความเป็นไปได้และค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ในการที่จะยืดชีวิตของฟ้าลั่นไว้ให้นานเท่าที่งานชิ้นสำคัญที่สุดในชีวิตจะเสร็จสิ้น

นับตั้งแต่สะกดความเสียใจที่เกิดขึ้นไว้ลงในส่วนลึกของหัวใจ .......ภูผาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะท้าทายโชคชะตาที่โหดร้าย....และท้าทายอำนาจของพระผู้สร้างโลก โดยการวางแผนสร้างชีวิตน้อย....ผู้เป็นตัวแทนของฟ้าลั่นให้ลืมตาดูโลกขึ้นมาใหม่...ทดแทนกับร่างที่สูญสิ้นไปในไม่ช้า และเพื่อเป็นการชดเชยการสูญเสียของครอบครัว “ศรีศิริโชคชัย” อีกด้วย

“ในเมื่อท่านเอาคนรักของผมไป......ผมก็จะขอท้าทายท่านโดยการสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา......ผมยอมสละแม้ชีวิตเพื่อที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จ........แล้วท่านจะได้รับรู้ว่า ความรักมันมีพลังมากขนาดที่จะฝืนประกาศิตที่ท่านประกาศลงมา” ภูผายืนนิ่งจ้องมองขึ้นไปในท้องฟ้า ถ่ายทอดทุกประโยคในความคิดให้กับพระผู้สร้างโลก ผู้ที่กำหนดดวงชะตาของทุกคน หลังจากนั้นจึงเดินเข้าห้องทำงานของคริสเพื่อปรึกษาหารือถึงงานสำคัญชิ้นนี้

ภายหลังจากฟังความคิดท้าทายพระเจ้าของภูผาแล้ว คริสยินดีที่จะออกค่าใช้จ่ายสำหรับค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด และไม่ลังเลที่จะขอเป็นส่วนหนึ่งของงานชิ้นนี้ทันที.......งานที่จะท้าทายมวลมนุษยชาติทั้งโลกให้ตื่นตะลึง........... “การผสมเทียมโดยการใช้เชื้ออสุจิของผู้ชายสองคน และฝังลงไปในไข่ที่ปราศจากนิวเคลียสของหญิงที่เสนอตัวเป็นมารดาเพื่ออุ้มท้อง”

คริสทราบดีว่าการผสมเทียมในครั้งนี้มันมีความเป็นไปได้มาก เพราะเขาและภูผาทำวิจัยในระดับปริญญาเอกในเรื่องนี้อยู่พอดี รวมถึงมั่นใจว่า......ด้วยมันสมองและฝีมือของภูผาแล้ว.....ความสำเร็จจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

หลังจากคุยและวางแผนงานเสร็จสิ้นแล้ว คริสจึงรับหน้าที่จัดหาทีมนักวิจัยและเครื่องมือต่างๆ รวมถึงโทรศัพท์ปรึกษาอดีต Professor ของตนและภูผา เพื่อขอความเห็นตลอดจนการสนับสนุนต่างๆ ในที่สุด professor ก็ตัดสินใจให้ภูผารับผิดชอบงานวิจัยครั้งนี้โดยถือเป็นงานวิจัยชิ้นเอกของสถาบันและยังมอบเงินทุนช่วยเหลืออย่างเต็มที่อีกด้วย

ภูผาเดินออกมาจากห้องของคริสทำงาน เดินตรงไปที่ห้องรับรองที่บิดามารดาของฟ้าลั่นและตนรวมถึงศิวะและจอมยุทธ์พักรออยู่ และรายงานเรื่องราวและความคิดทั้งหมดให้ทุกคนได้รับรู้

คุณศิลป์กวีและคุณพิมพิมลก็สนับสนุนความคิดของภูผาอย่างเต็มที่....เพราะตระหนักดีว่าทุกอย่างที่ภูผาตัดสินใจทำลงไป...เพียงเพราะความรักที่มีต่อลูกชายคนเดียวของตน.......และสุดท้ายถ้างานชิ้นนี้สำเร็จ.....ทั้งคู่ก็จะได้ตัวแทนของฟ้าลั่น....ลูกชายที่รัก......ลืมตาขึ้นมาในโลกนี้อีกครั้ง

ความหวังที่จะได้เห็นหลานชายตัวน้อย....ทายาทของบุตรชาย.......ช่วยลดระดับความเสียใจที่เกิดขึ้นแก่บิดาและมารดาของฟ้าลั่น รวมถึงคุณศิริพิมพ์ด้วย ทั้งสามคนเดินทางกลับเมืองไทยเมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วัน และฝากกำลังใจและความหวังให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจท้าทายพระเจ้านี้ทุกคน

ศิวะตัดสินใจอยู่อังกฤษเพื่อดูแลภูผาต่อไป โชคดีที่บริษัทของเขามีเครือข่ายอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ศิวะจึงขอย้ายตัวมาทำงานที่อังกฤษแทนสำนักงานใหญ่ที่อเมริกา เพราะเหตุผลหนึ่งเดียวที่สำคัญคือ แม้ภายนอกดูเหมือนว่าภูผาจะเข้มแข็ง......แต่ภายในแล้วกลับอ่อนล้าและอ่อนแรงลงทุกวัน.....ร่างกายของภูผาต้องแบกรับความทุกข์ความเสียใจและแรงกดดันต่างๆที่โหมกระหน่ำเข้ามา ศิวะจึงจำเป็นต้องอยู่เคียงข้างภูผา จนกว่างานจะสำเร็จ

ความเสียใจของภูผาสะท้อนให้ศิวะและจอมยุทธ์เห็นชัดเจน เพราะทุกครั้งที่กลับเข้าห้องพัก ภูผาจะเงียบขรึมและแอบร้องไห้ทุกครั้งไป.......เนื่องด้วยห้องแห่งความทรงจำนี้ มันอัดแน่นเป็นด้วยภาพและความรู้สึก....ความรัก...ความห่วงใยที่ฟ้าลั่นมีให้กับเขาเสมอ........

สองเดือนผ่านไป...........ศิวะตัดสินใจบอกภูผาเพื่อให้ย้ายอพาทเมนท์ไปเช่าพักในที่ใหม่และมีพื้นที่มากกว่าเดิม โดยหวังว่ามันอาจจะทำให้ภูผาลืมความรู้สึกต่างๆ ที่จารึกอยู่ที่ห้องพักเก่าได้บ้าง...... อีกเหตุผลหนึ่งคือ จอมยุทธ์ตัดสินใจย้ายข้าวของมาอยู่เป็นเพื่อน.....มาคลายเหงา และปลอบประโลมพี่ชายที่ตนเองรักมากที่สุดคนนี้ เพราะจอมยุทธ์ก็สังเกตเห็นในสิ่งเดียวกับศิวะ.....ภูผาอ่อนแรงลงทุกวัน.....

ความตั้งใจทั้งหมดที่มีถูกทุ่มเทลงไปในการทดลองครั้งสำคัญเพื่อเอาชนะกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ภูผาทำงานอย่างหนัก แทบทั้งกลางวันและกลางคืน โดยมีจอมยุทธ์และศิวะคอยดูแลอยู่ตลอดเวลาทั้งเรื่องอาการการกิน และเรื่องอื่นๆแทบทุกอย่างด้วยความสมัครใจ

หลายเดือนผ่านไป......ความสำเร็จคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ.......... สวนทางกับร่างกายที่อ่อนแรงลงของภูผาเรื่อยๆ......หลายครั้งภูผารู้สึกเวียนศีรษะบ่อยๆ รวมถึงมีอาการอาเจียนหลายครั้งติดกันหลายวัน...... โดยที่เขาพยายามที่จะปิดบังอาการที่เกิดขึ้นไม่ให้ศิวะและจอมยุทธ์รับทราบ เพราะไม่ต้องการให้ทั้งสองคนเป็นห่วงมากขึ้นไปกว่านี้....จะมีเพียงคริสคนเดียวเท่านั้นที่สังเกตเห็น และมักจะรบเร้าให้ภูผาไปตรวจสุขภาพหลายครั้ง

“ขอให้งานนี้เสร็จก่อนนะคริส.....เราจะตรวจ.....อีกนิดเดียวเองก็จะเสร็จแล้ว” นี่คือข้ออ้างของภูผาทุกครั้ง

ในที่สุดการทดลองอันสั่นสะเทือนมวลมนุษยชาตินี้ก็สำเร็จลง ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจว่าไข่ถูกฝังตัวเข้าไปในมดลูกของมารดาอาสาสมัครเรียบร้อยแล้ว.....และตอนนี้เพียงแต่รอเวลาเด็กที่จะคลอดออกมาเท่านั้น

ซาร่า .....มารดาของเด็กน้อยที่ฟ้าลั่นเป็นคนช่วยชีวิตไว้ คือมารดาอาสาสมัครในครั้ง เธอติดต่อคริสเพื่อเสนอตัวเข้าช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลของฟ้าลั่น เพราะไม่สามารถติดต่อภูผาได้

คริสเห็นความตั้งใจจริงของซาร่าในการตอบแทนบุญคุณของฟ้าลั่น จึงเล่าถึงโครงการวิจัยครั้งนี้ให้ฟัง........ซาร่าตัดสินใจอย่างทันทีโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้นว่าจะยอมให้ใช้ไข่ของตนและเป็นคนอุ้มท้องให้กับเด็กที่จะเกิดมา โดยสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และทำสัญญามอบเด็กที่เกิดมาให้กับภูผาเพียงคนเดียว 

ภูผาถูกส่งตัวเข้ารับการตรวจร่างกายทันทีที่ทราบว่าไข่ฝังตัวแล้ว ผลการตรวจบ่งชัดว่า ภูผาเป็นมะเร็งที่ก้านสมองในระยะสุดท้าย......เนื่องด้วยความเครียดที่สะสมตลอดมารวมถึงการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอทำให้เซลล์มะเร็งลุกลามออกไปจนไม่สามารถจะรักษาให้หายขาดได้......

สิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนี้คือยืดเวลาไว้โดยการให้ยา เพื่อให้ภูผาได้เห็นบุตรชายของตน.........บุตรชายที่จะคาดว่าจะเกิดมาในเดือนกุมพาพันธ์ปีถัดไป.........โดยเกิดจากการผสมเทียมโดยใช้เชื้ออสุจิของภูผาและฟ้าลั่นที่เข้าร่วมปฏิสนธิด้วยกัน......เด็กน้อยที่จะเกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ เพราะความเสียสละชีวิตของผู้ให้กำเนิด...... ชีวิตแลกด้วยชีวิต........แม้พระผู้สร้างโลกยังต้องยอมศิโรราบ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2006 03:56:27 โดย Andreas »

Andreas

  • บุคคลทั่วไป

13 กุมพาพันธ์ ปีถัดมา.........คือวันเกิดของหนูน้อย ภูฟ้า ภัทรโภคิน ศรีศิริโชคชัย และก็เป็นวันเดียวกับที่ลมหายใจของภูผาสิ้นสุดลง

ศิวะอุ้มทารกน้อยไว้ในแนบอกอย่างทะนุถนอม เดินเข้ามาในห้องที่ภูผานอนรักษาตัวอยู่พร้อมด้วยจอมยุทธ์

สายตาของทั้งคู่จับจ้องไปที่ร่างที่ผ่ายผอมของภูผาที่นอนบนเตียง พร้อมกับสายยางหลายสายต่อไปมาจากร่างกายสู่เครื่องช่วยชีวิตต่างๆ

“น้องหมอกครับ......” ศิวะจำเป็นต้องปลุกภูผาที่นอนหลับอยู่ เพราะทราบแล้วว่าภูผามีเวลาเหลืออยู่ไม่มากนัก

เสียงกระซิบอย่างแผ่วเบาของศิวะ......เบาเพราะกลัวว่าที่บอบบางนี้จะสูญสลายและแตกร้าว.....เสียงที่ทำให้ภูผาลืมตาขึ้นช้าๆ ......สายตาของคนที่นอนอยู่จับจ้องไปยังศิวะที่กำลังอุ้มทารกที่ตนเฝ้ารอคอย...ชีวิตน้อยๆที่มีคุณค่ามากที่สุด

“ลูกหมอกเป็นผู้ชายครับ.......เหมือนทั้งหมอกและฟ้าลั่นมากครับ” ศิวะพูดเบาๆ พยายามสกัดกั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาอย่างยากเย็น

“หลานผมน่ารักมากครับพี่หมอก..........น้ำหนักปกติ...คุณหมอบอกว่าสุขภาพร่างกายดีมากครับ” จอมยุทธ์พูดออกมาบ้าง.....เขาพยายามระงับอาการสะอื้นไห้อย่างเต็มที่ เพราะรู้อย่างเดียวกับศิวะว่า เวลาของภูผาเหลือไม่มากแล้ว

ศิวะเดินเข้าไปใกล้เตียง เขาวางร่างของทารกน้อยที่หลับสนิทลงข้างลำตัวภูผา ก่อนจะจับมือที่ไร้เรี่ยวแรงของภูผาให้จับมือเล็กๆ ของลูกชายของตน......ลูกชายที่ตนเองยอมเสียสละชีวิตมอบให้กับพระผู้สร้างโลกเพื่อให้ท่านได้เห็นถึงความตั้งใจ....และความรักไร้ขีดจำกัดที่เกิดขึ้น

น้ำตาแห่งความปิติยินดีไหลลงมาอย่างช้าๆ จากดวงตาที่เคยสดใสของภูผา .....ภูผารวบรวมพละกำลังครั้งสุดท้ายสั่งเสียกับศิวะและจอมยุทธ์ว่า

“พี่เสือครับ......หมอกคงไม่มีโอกาสที่จะเลี้ยงดูลูกชายของหมอกคนนี้แล้วครับ”

“หมอกขอฝากลูกชายของหมอกให้พี่เสือช่วยดูแล และเลี้ยงดูให้เค้าเติบโตมีชีวิตที่มีความสุข อย่าให้ได้เจ็บปวดอย่างหมอกและฟ้าลั่นเลยครับ”

“ให้เค้ารู้ว่า.....เค้ามีบิดาที่รักเค้าดุจดวงใจถึงสองคน คือ ผมและฟ้าลั่น ............” ภูผาหยุดพักเล็กน้อยเพราะความเหนื่อยอ่อน......ร่างกายทั้งหมดสั่นสะท้าน....กำลังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดถูกนำมาใช้จนเกือบหมด
 
“ผมขอตั้งชื่อลูกของผมว่า ภูฟ้า ให้ใช้นามสกุลของผมเป็นชื่อกลาง คือ ภัทรโภคิน และใช้ของฟ้าลั่นเป็นนามสกุล คือ ศรีสิริโชคชัย”

ภูผาหยุดพักอีกครั้ง เขาพยายามหันไปสบตากับจอมยุทธ์ที่ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ 

“จอม.....พี่ฝากลูกพี่ด้วยนะครับ.....รักเค้าให้เท่ากับที่รักพี่.........ให้เค้าเป็นหลานชายคนหนึ่งของจอมนะครับ”

“พี่เสือครับ.......จอม.........ผมฝากภูฟ้าด้วยครับ” เสียงของภูผาสิ้นสุดลงพร้อมดวงตาที่ปิดสนิท..... แต่กลับมีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้า........ลมหายใจที่ฉุดรั้งอยู่เป็นเวลานานหลายเดือนสิ้นสุดลง...... ภูผาจากไปแล้ว.....จากไปไกลแสนไกล

ศิวะและจอมยุทธ์ก้มลงกอดภูผาเป็นครั้งสุดท้าย......อย่างเนิ่นนาน.........น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาทั้งคู่หยดลงสู่ร่างที่ปราศจากลมหายใจ......... หัวใจทั้งสองดวงของคนที่ยังมีชีวิตอยู่เกือบดับสลายไปพร้อมกับชีวิตของคนที่นอนแน่นิ่งบนเตียง.........คนที่เป็นที่รักของทุกๆคน

คำสัญญาที่บอกว่าจะดูแลภูฟ้าให้ดีที่สุดตรึงอยู่ในหัวใจของชายหนุ่มทั้งสอง....แม้มิจำเป็นที่ต้องให้คำสัตย์...แต่ศิวะและจอมยุทธ์กลับถือเอาคำสัญญานั้นเป็นสิ่งมีค่า......เป็นของสำคัญเปรียบเสมือนลมหายใจ....

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา.....สัญญาที่ไม่มีวันลบเลือนจึงถูกกำหนดขึ้น...และดำเนินต่อไป.....ไม่มีสักวันที่จอมยุทธ์ ศิวะและภูฟ้า...จะแยกจากกัน

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ก่อนจะกลับเมืองไทย คริสจัดการเรื่องเอกสารทั้งหมดของภูฟ้า ปิดบังชื่อจริงและประวัติต่างๆ โดยเผยแพร่ผลงานการวิจัยอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ไห้กระทบกระเทือนกับชีวิตของภูฟ้าในอนาคต แถมยังปวารณาตัวเป็นคุณพ่ออีกคนหนึ่งของภูฟ้าด้วย 

ศิวะลาออกจากงานเพื่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับภูฟ้า โดยมีจอมยุทธ์ที่สำเร็จปริญญาโทแล้วคอยช่วยอยู่ไม่ห่าง......พ่อใหม่และอาหนุ่มเฝ้าดูแลทะนุถนอมเด็กน้อยอย่างดีที่สุด......เพราะภูฟ้าคือดวงใจของทั้งสองคน

เป็นเวลาทั้งสิ้นเกือบสองปีทีเดียวในการจัดการเรื่องราวทางเอกสารและผลการวิจัยต่างๆรวมถึงเรื่องจำเป็นต่างๆในที่สุดจอมยุทธ์ ศิวะและภูฟ้า รวมถึงร่างที่ไร้ชีวิตของภูผาและฟ้าลั่นก็เดินทางกลับมาสู่เมืองไทยพร้อมกัน

ด้วยความร่วมมือของเหล่าคุณตาคุณยายและคุณทวดทั้งหลาย อันประกอบไปด้วยทั้งครอบครัวของฟ้าลั่น ภูผา ศิวะ และจอมยุทธ์ ดังนั้นบ้านหลังใหญ่รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ทันสมัยต่างๆ ถูกเนรมิตขึ้นมาในใจกลางเมืองเชียงใหม่อย่างรวดเร็ว.....เพื่อต้อนรับหลานชายคนเดียว.......หลานชายที่เป็นดวงใจของทุกๆคน

พื้นที่ส่วนหนึ่งของบ้านถูกกันไว้เป็นที่ฝังร่างของทั้งฟ้าลั่นและภูผาเข้าไว้ด้วยกัน รอบๆ บริเวณนั้นถูกตกแต่งอย่างงดงาม เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับความรักของทั้งคู่

ศิวะอยู่ดูแลลูกชายของตนทุกวันพร้อมกับจอมยุทธ์ที่ยังไม่รับตำแหน่งผู้บริหารโรงเบียร์ของครอบครัว เพราะต้องการใช้เวลาทั้งหมดช่วยศิวะดูแลหลานชายที่รักคนเดียวของตน....... แม้ว่าจะมีทั้งคุณแม่บ้านคุณพยาบาลพี่เลี้ยงช่วยดูแล แต่ศิวะและจอมยุทธ์ก็ไม่อาจทำใจให้ห่างจากภูฟ้าแม้เพียงสักวัน

ทั้งพ่อเสือและอาจอมมอบความรักและการดูแลเอาใจใส่ภูฟ้านับตั้งแต่เป็นทารก....จนเริ่มคลาน.....เริ่มเดิน.....และพูดได้.......... จนกระทั่งถึงวันเลี้ยงฉลองใหญ่ของครอบครัว....วันที่คุณยายคุณตาคุณทวดทั้งหลายเดินทางมาพร้อมกันที่เชียงใหม่..........หนึ่งอาทิตย์ถัดจากวันที่ภูฟ้าพูดว่า

“พ่อเฉือคร๊าบบบบบบบบบ...........อาจอมคร๊าบบบบบบบบบบบบ”

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ภูฟ้าลืมตาขึ้น....... หันซ้ายหันขวา เห็นพ่อเสือและอาจอมของตนนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดของทั้งคู่........น้ำตาไหลรินออกมาจากคนคุ้นเคยทั้งสอง.....ทำให้เด็กน้อยสงสัยยิ่งนัก จึงถามออกมาว่า

“ทามมัย พ่อเสือ กับอาจอม ต้องร้องไห้ล่ะคร๊าบ”

“ใครทำให้พ่อเสือกับอาจอมเสียใจ.....ภูจะไปจัดการมันคร๊าบ”

เสียงสดใสของภูฟ้าฉุดความคิดของจอมยุทธ์และศิวะให้กลับมาสู่โลกปัจจุบันโดยทันที

ศิวะและจอมยุทธ์รีบลุกขึ้นออกจากเก้าอี้พร้อมกัน เดินตรงเข้ามานั่งบนเตียงของภูฟ้าคนละข้าง ก่อนจะก้มลงหอมแก้มเด็กน้อยไร้เดียงสาคนนี้......คนที่มีความสำคัญต่อหัวใจของผู้ใหญ่ทั้งสองคน

“ภูของอาจอม เป็นอย่างไรบ้างครับ.........ปวดตรงไหนหรือเปล่าครับ” จอมยุทธ์ถามหลานชายอย่างอ่อนโยน ดวงตาจับจ้องไปที่ดวงหน้าที่งดงามของภูฟ้า

“ลูกปวดหัวหรือเปล่าครับ......”ศิวะถามด้วยความห่วงใยเป็นที่สุดเช่นกัน

ภูฟ้าส่ายหน้าไปมา ก่อนจะตอบบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองว่า

“ภูไม่ปวดหัวแล้วคร๊าบ............ภูไปเดินเล่นที่ศาลาธรรมและอ่างแก้วกับพ่อเสือและอาจอมได้แล้วคร๊าบ” ภูฟ้าพูดเสียงใส แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยอาการเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด

“เอาไว้ให้ลูกแข็งแรงดีก่อนนะครับ....พ่อจะพาไป.....”ศิวะยิ้มและพูดกับลูกชายของตนอย่างเอ็นดู

“อาจอมก็จะไปด้วยครับ.....ภูกินข้าวและกินยาให้แข็งแรงก่อนนะครับ....หายเมื่อไหร่ พ่อเสือกับอาจอมจะพาไปครับ” จอมยุทธ์บอกเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน

“คร๊าบ.....เดี๋ยวภูจะกินข้าวและกินยาคร๊าบ....ภูเป็นเด็กดี...เชื่อพ่อเสือกับาจอมคร๊าบ”

“งั้นพ่อเสืออุ้มไปกินข้าวข้างล่างนะครับ” ศิวะพูดเสียงนุ่ม เขาอุ้มลูกชายตนเองขึ้นแนบอก เดินออกมาจากห้องนอน โดยมีจอมยุทธ์เดินตามมาติดๆ ลงไปที่ห้องอาหาร เพื่อให้คุณแม่บ้านตั้งสำรับข้าวเย็นให้ลูกชายของตน

******************************************

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด