เพราะเราต้องรักกัน...วีรกรรมรักของภูผา&ฟ้าลั่น
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เพราะเราต้องรักกัน...วีรกรรมรักของภูผา&ฟ้าลั่น  (อ่าน 168161 ครั้ง)

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
อืมมมม :confuse:

เริ่มเปิดใจให้กันที่ละนิดแล้ว

ลุ้นจางงงงง


พูห์ :teach:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
 :yeb: แปะโป้งไว้ก่อน ยังตามไม่ทัน เด๋วมาตามอ่านเน้อคุณบลู

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ตอนนี้คุณ andreas รีไรท์ไปหลายรอบมาก เนื่องจากเป็นตอน climax ของกลางเรื่อง
ตั้งใจอ่านให้สมกับที่คนเขียนพยายามหน่อยนะครับ
คุณ andreas แวะเข้ามาอ่านคอมเม้นต์บ่อยๆนะครับ ว่างๆคงมาตอบเพื่อนๆอีกที
  :yeb:

shell ผมก็ชอบมากๆเลยครับ มันหนาวแบบชุ่มชื้นดีครับ  :impress:

FlukeHub ต้องคอยลุ้นตามครับ  :interest:

wee ใกล้กันเพียงคืบ แท้จริงดั่งเส้นขนาน  :sad4:

มูมู่น้อย  :kikkik: อ่านเรื่องนี้แล้วหัวใจชุ่มช้ำ  :haun5:

หมูพูห์ กว่าจะรู้ใจตัวเอง บางคนก็สายไป  :monkeysad2:

(ตะแน๋วกิ๋วกิ้ว) ให้โป้งเลย มาอ่านเยย  :untrust:

*********************************************************************

ลมหายใจ แต่ง บอย โกสิยพงศ์

[wma=300,50]http://moji.gamer-gate.net/music/DontStealMyFile_TeeChaidej-LomHaiJai.wma[/wma]

**************************************************************************

บทที่ 10 ความสูญเสีย และคำมั่นสัญญา


ชีวิตการเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นมีรูปแบบที่เป็นตัวของตัวเอง ที่แตกต่างจากนักศึกษาในกรุงเทพมหานครเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีกิจกรรมให้นักศึกษาเลือกทำเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นในเวลากลางวัน ซึ่งได้แก่ เข้าห้องเรียน เล่นกีฬา อ่านหนังสือการ์ตูน เดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า และดูหนัง แต่ทว่าชีวิตกลางคืนของนักศึกษากลับมีความโลดโผนและสนุกสนานยิ่งนัก เพราะเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยว จึงทำให้มีสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีมากมายราวทั่วทุกมุมถนน เช่นร้านอาหาร ผับ ดิสโก้เทค ร้านคาราโอเกะ และ ลานเบียร์ที่เปิดบริการจนถึงสว่าง

สถานที่พบปะสังสรรค์ยามค่ำคืนอันขึ้นชื่อของนักศึกษาเกือบทุกชั้นปีของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็คงหนีไม่พ้นบริเวณอาคารสิบสองห้วยแก้ว ซึ่งเป็นอาคารขนาดกลางสามชั้นตั้งอยู่บริเวณถนนห้วยแก้ว ตรงกันข้ามกับห้างสรรพสินค้ากาดสวนแก้ว โดยมีระยะทางไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่นัก

ชั้นแรกของอาคารเป็นลานจอดรถและร้านสุกี้ MK พื้นที่บางส่วนของลานจอดรถเปิดให้เป็นลานขายสินค้ามือสองหรือสินค้าพวกเสื้อผ้า กิฟท์ชอปต่างๆ ในตอนเย็น ถัดขึ้นไปชั้นสองบริเวณตรงกลางจะเป็นลานกว้างที่เปิดบริการเป็นลานเบียร์สด ขนาบข้างทั้งสามทิศด้านด้วยตึกสองชั้นที่แบ่งเป็นห้องๆ ทำกิจการร้านคาราโอเกะ ดิสโก้เทค และร้านอาหาร หลากหลายให้เลือกตามความพึงใจ

ฟ้าลั่นและภูผาก็มักจะถูกเพื่อนๆชวนมานั่งกินเบียร์หรือมานั่งดูสาวบ่อยๆ เมื่อขึ้นสู่ปีที่สามของการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งคู่มักจะแยกกันมากับเพื่อนคนละกลุ่ม เนื่องจากข่าวลือเรื่องเป็นแฟนกันยังคงไม่หมดไป ดังนั้นเพื่อเป็นการลบข่าวที่ไม่เป็นจริง ภูผาจึงตัดสินใจบอกฟ้าลั่นให้แยกกันไปเที่ยวสังสรรค์ แต่จะมีบ้างนานๆครั้ง ที่เห็นทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสอง เช่นการไปดูหนัง หรือ การไปกินข้าว รวมถึงเมื่อต้องไปฝึกซ้อมเทนนิสด้วยกัน

ช่วงการเรียนชั้นปีที่สาม ซึ่งเป็นปีที่นักศึกษาทุกภาควิชาของคณะวิทยาศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ต้องลงทะเบียนวิชาเรียนของสาขาวิชาที่ตนเองสังกัดตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด ซึ่งก็มีหลายวิชาที่ต้องทำการทดลองและส่งรายงาน จึงทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องตั้งใจเรียนมากเป็นพิเศษ แต่ก็ยังมีเวลาหาว่างในการผักผ่อนสมองโดยการไปสังสรรค์ยามค่ำคืนอย่างสม่ำเสมอ

ความสัมพันธ์ของภูผาและศิวะยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ภูผายังคงไปนอนค้างกับศิวะบ่อยๆ โดยที่ทั้งคู่ยังไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางร่างกายต่อกัน คงมีแต่การกอดจูบกันธรรมดาเท่านั้น ศิวะรักและมีภูผาเพียงคนเดียวที่ตนเองคบหาอย่างจริงใจ แต่ก็ยังมีสาวๆในสังกัดของตนเองเอาไว้เพื่อความสนุกสนานและระบายอารมณ์อยู่บ้าง  ข้อนี้ภูผาเข้าใจและไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด เพราะอย่างไรเสียพี่เสือของภูผาก็ยังเป็นผู้ชายอยู่ดี

ฟ้าลั่นยังคงรักษาตำแหน่งชายหนุ่มที่ร้อนแรงที่สุดในคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยเพราะเกรดที่ดีเยี่ยม และบุคลิกที่เงียบขรึมกับคนแปลกหน้า แต่จะสนุกสนานและเป็นกันเองในหมู่เพื่อนๆ แถมยังพ่วงตำแหน่งนักกีฬาเทนนิสของมหาวิทยาลัย จึงทำให้สาวๆทั้งในคณะและนอกคณะหลงใหลเป็นอย่างมาก สังเกตได้จากโทรศัพท์สาวๆที่โทรเข้ามาหาบ่อยๆ หรือไม่ก็เขาต้องออกไปพักค้างคืนกับสาวๆทุกๆอาทิตย์


นับตั้งแต่เทอมหนึ่งจนเริ่มเข้าเทอมสอง...... กีฬาเทนนิสดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ภูผาและฟ้าลั่นใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ่อยที่สุด โดยไม่นับช่วงเวลาในอ้อมกอดของกันและกัน ในหอพักที่ทั้งคู่ตัดสินใจจะอยู่ด้วยกันจนกระทั่งจบปีสี่........

อ้อมกอดของฟ้าลั่นยังคงอบอุ่นเสมอสำหรับภูผา..... และดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญต่อจิตใจของภูผาเพิ่มมากขึ้นจนบางครั้งเขาก็อดประหลาดใจเสียไม่ได้ .............

สำหรับฟ้าลั่นนั้น.....การได้นอนกอดภูผาก็ทำให้เขามีความสุขเช่นกัน......แต่จะมีความสุขเพราะอะไร....ตัวเขาเองยังไม่อาจหาเหตุผลนั้นได้อย่างชัดเจน.....เขายังคงรอ...รอว่าคำตอบคงจะเดินมาหาเขาเองในไม่ช้า

ศิวะมักจะมาเล่นเทนนิสด้วยกับภูผาและฟ้าลั่นรวมถึงเพื่อนๆสนิทของสองหนุ่มบ่อยครั้ง และส่วนมากหลังจากเล่นเทนนิสเสร็จ ภูผาก็จะชวนฟ้าลั่นหรือไม่ก็ศิวะไปเดินเล่นบริเวณสันอ่างแก้วเพื่อพักผ่อนอารมณ์ โดยไม่ลืมที่จะซื้อขนมหรืออาหารไปแจกจ่ายสุนัขมหาวิทยาลัยทั้งฝูง ที่ติดสอยห้อยตามและยอมรับภูผาเป็นเจ้านายอย่างเต็มใจ

************************************

เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆเท่าที่ความเร็วของมันจะอำนวย.............จนฤดูหนาว......เหมันต์หวนกลับเข้ามาอีกครั้ง.....ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะหนาวกว่าทุกๆปี จึงทำให้เชียงใหม่ดูจะคึกคักขึ้นมา หลังจากซบเซามากในฤดูฝนปราย

เนื่องจากเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่อยู่ทางภาคเหนือของไทยจึงทำให้มีอากาศเย็นสบายและเหมาะสำหรับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในหน้าหนาวซึ่งนอกจากจะพบดอกไม้เมืองหนาวออกดอกทั่วทั้งจังหวัดแล้ว ยังมีเทศกาลต่างๆให้นักท่องเที่ยวและประชาชนได้เข้าร่วมอย่างสนุกสนานหลายงาน

เทศกาลที่เป็นที่รู้จักและเชิดหน้าชูตาจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงต้นฤดูหนาวคือ เทศกาลลอยกระทง หรือ ที่คนเชียงใหม่เรียกว่า “งานยี่เป็ง” ที่จะจัดรับลมหนาวอย่างยิ่งใหญ่และสวยงามทุกปี

ประเพณี “ยี่เป็ง” เป็นการผสมผสานประเพณีลอยกระทงเข้ากับประเพณีลอยโคมของล้านนาเข้าด้วยกัน จึงทำให้มีกำหนดการเฉลิมฉลองค่อนข้างยาวนาน โดยแบ่งเป็น วันแห่กระทงเล็ก วันแห่กระทงใหญ่และวันปล่อยโคมลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ในงานประเพณีลอยกระทงทุกปี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะร่วมสืบสานตำนานลอยกระทงโดยการส่งริ้วขบวนแห่กระทงเข้าร่วมประกวดในวันแห่กระทงใหญ่ ร่วมกับหน่วยงานราชการ เอกชน ห้างร้าน และองค์กรอื่นๆ

ในปีนี้ฟ้าลั่นถูกขอร้องแกมบังคับจากนายกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นรุ่นพี่นักศึกษาชั้นปี่ที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ให้เป็นผู้คือป้ายมหาวิทยาลัยในริ้วขบวนกระทงใหญ่

วันที่ทราบว่าว่าตนเองจะต้องถือป้ายมหาวิทยาลัยอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ ฟ้าลั่นก็อารมณ์แปรปรวนทั้งวัน จนภูผาต้องเอ่ยถาม

“ฟ้าลั่น..นายเป็นอะไรอ่ะ เห็นหงุดหงิดทั้งวัน......”

“สาวๆ ไม่โทรมาเหรอ” ภูผายังถามต่อ โดยที่ดวงตายังจับจ้องอยู่กับภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Power Pup Girls ที่กำลังฉายอยู่ในโทรทัศน์ช่อง Cartoon Network อย่างสนใจ

“ก็พี่นายก สมช. เค้าบังคับให้ถือป้ายมหาวิทยาลัยในขบวนแห่กระทงใหญ่น่ะซิ” ฟ้าลั่นตอบพร้อมถอนหายใจ

“ว้าว....จริงดิ....นายก็ต้องแต่งตัวหล่อๆ ไปเดินขบวนนะซิ....ดีๆ จะชวนพี่เสือไปถ่ายรูปนายไว้” ภูผาตื่นเต้น...เขาละสายตาจากการ์ตูนเรื่องโปรด หันหน้ามามองฟ้าลั่นทันทีด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ไม่เห็นดีเลย.....ไม่อยากเดินหรอก.....แต่ปฏิเสธพี่นายกไม่ได้”

“อืม...พี่เค้าเป็นรุ่นพี่คณะนายด้วยนี่นา.....เฮ้อ...... อย่างนั้นก็ต้องทำตามที่พี่เค้าขอนั่นแหล่ะ”

“แล้วนายจะถือป้ายคู่กับใครล่ะ” ภูผายังคงสนใจเรื่องนี้อยู่

“ไม่รู้เลย...คงเป็นดาวมหาวิทยาลัยรุ่นเรามั้ง” ฟ้าลั่นตอบอย่างไม่แน่ใจ เพราะเขายังไม่ได้รับข้อมูลโดยละเอียด ทั้งเรื่องเครื่องแต่งกาย เรื่องวันเวลา และอื่นๆ

“แล้วนายมีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า....ถ้ามีก็บอกนะ.....ส่วนเราก็จะไปลอยกระทงกับพี่เสือ แล้วจะไปถ่ายรูปนายในขบวนแห่ด้วย”

“ขอบใจนะถ้ามีอะไรแล้วจะโทรบอก” ฟ้าลั่นรับปาก ก่อนถอดเสื้อผ้าออกทั้งตัว หยิบผ้าเช็ดตัว แล้วเดินเปลือยเปล่าเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย

การเปลือยกายแบบนี้ คือเรื่องปกติที่ฟ้าลั่นปฏิบัติ หลังจากต้องนอนกอดภูผาทั้งคืนโดยที่ไม่ได้ใส่อะไรเลยในตอนนั้น สำหรับตัวภูผา เขาก็รู้สึกเฉยๆ เพราะชินตากับภาพที่เห็น โดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษแต่อย่างใด ออกจะนึกแปลกใจเสียด้วยซ้ำว่า เหตุใดทั้งพี่เสือและฟ้าลั่นชอบแก้ผ้าเดินในห้องหรือแม้แต่กระทั่งนอนนอนมิได้สวมเสื้อผ้าแต่อย่างใด

โดยเฉพาะพี่เสือ....ที่หลังๆดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ใส่เสื้อผ้านอนเท่าไหร่นัก เหตุเพราะภายหลังเมื่อภูผาเล่าให้ฟังว่าฟ้าลั่นใส่แต่กางเกงในตัวเดียวนอนข้างตนเองทุกวัน ศิวะเลยได้ใจ เลียนแบบฟ้าลั่นโดยสวมเพียงกางเกงในตัวเดียวนอนกอดภูผาบ้าง....โดยเขามักจะให้เหตุผลว่า...

“พี่อยากให้น้องหมอกเห็นพี่เซ็กซี่งัยครับ.....เผื่อน้องหมอกเกิดอารมณ์....พี่จะได้สมหวังซักที......น้องหมอกใจอ่อนไวไวนะครับ” คำตอบนี้ทำให้คนฟังอย่างภูผา ต้องหน้าแดงด้วยความเขินอายทุกครั้ง

*********************************

วันแห่กระทงใหญ่....ฟ้าลั่นถูกบังคับให้ถอดแว่นสายตาออกโดยใส่คอนแทคเลนส์แทน ส่วนตัวแล้วฟ้าลั่นไม่ชอบใส่คอนแทคเลนส์เพราะไม่อยากให้คนเห็นดวงตาหวานของตน โดยปกติแล้วเขาจะใส่คอนแทคเลนส์ก็ต่อเมื่อต้องเล่นกีฬาและทำการทดลองที่ต้องใส่แว่นกันรังสีเท่านั้น

ฟ้าลั่นถูกจับแต่งตัวให้เข้ากับคอนเซ็ปของขบวนริ้วกระทงในปีนี้ คือ “สืบสานตำนานถิ่นล้านนา” ซึ่งเป็นแนวย้อนยุค ดังนั้นชุดของฟ้าลั่นจึงต้องวิจิตรงดงามตามแบบของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ในสมัยอดีต โดยเครื่องชุดประกอบไปด้วย สังวาลและทับทรวงลายโบราณประดับทรวงอกเปลือยเปล่าที่แข็งแรง แสดงให้เห็นถึงกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์ ต้นแขนทั้งสองข้างประดับด้วยรัดแขนลวดลายสอดรับกับทับทรวง แขนข้างขวาประดับด้วยกำไลฉลุโบราณขนาดใหญ่

ช่วงล่างนุ่งผ้าไหมสีแดงสด สอดดิ้นทองเป็นลวดลายอย่างเจ้านายในคุ้มวังหลวง โดยใช้วิธีนุ่งแบบยกเชิงสูงเหนือเข่าเล็กน้อยข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งปล่อยชายผ้ายาวลากพื้น ข้อขาที่นุ่งผ้ายกสูงถูกสวมด้วยกำไลลักษณะเดียวกับกำไลแขน ส่วนศีรษะที่มีผมค่อนข้างยาวต้องใช้เจลยึดให้คงรูปแล้วใช้ผ้าสีไหมสีขาวงาช้างผืนยาว พันศีรษะตามแบบล้านนา.....ดูงดงาม แปลกตา.....ทว่าน่าเกรงขาม

ด้วยความสูงเกินมาตรฐาน รูปร่างที่สมบูรณ์ ร่องรอยหนวดเคราเขียวครึ้มที่ถูกโกนออกอย่างเรียบร้อยนั้นสร้างความคมคายให้กับเรือนหน้า....ให้ดูเคร่งขรึม....และน่าหลงใหลพร้อมไปกับดวงตาที่หวานซึ้งทั้งคู่นั้น

เสื้อผ้าที่ฟ้าลั่นสวมใส่ ยังช่วยเสริมให้เขากลายเป็นที่สนใจแก่ทุกๆคนที่เข้ามารอดูขบวนแห่กระทงตลอดสองข้างทาง ดังนั้นในช่วงที่ริ้วขบวนต้องยืนรอตามลำดับการเดิน ก็จะมีนักศึกษาสาวๆ ของมหาวิทยาลัย รวมถึงนักท่องเที่ยวมาขอถ่ายรูปคู่ด้วยเสมอโดยไม่ขาดสาย

ในงานประเพณียี่เป็งในครั้งนี้ ขบวนริ้วกระทงของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดเป็นขบวนยาวสวยงามประกอบด้วย คู่ถือป้ายมหาวิทยาลัย คู่ถือกระทงลอย จำนวน 5 คู่ ขบวนนางฟ้อนรำจากคณะวิจิตรศิลป์ ขบวนช่างฟ้อนจากชมรมพื้นบ้านล้านนา แถวตุงและพัดโบราณ ต่อด้วยขบวนรถลากกระทงขนาดใหญ่ ประดับดอกไม้สดและแสงไฟดวงเล็กใหญ่ที่ออกแบบมาอย่างวิจิตรงดงาม ข้างบนกระทงแบ่งเป็นที่นั่งของนางนพมาศ และเหล่าชายฉกรรจ์ผู้ทำหน้าที่ปกป้องกระทงใหญ่จำนวนทั้งสิ้นสี่คน ในชุดเครื่องแต่งกายแบบล้านนาโบราณ เปลือยอกขาวสะอาด สวมเพียงสังวาลและทับทรวงประดับร่างกายท่อนบน ร่างกายช่วงล่างใช้เพียงผ้าสีขาวบางพันแบบโบราณทำให้ดูน่าเกรงขามยามต้องแสงไฟ

ฟ้าลั่นก็พยายามมองหาร่างของภูผาเพราะสัญญาว่าจะมาถ่ายรูปกับเขา แต่ตลอดเส้นทางเดินขบวนก็ไม่ปรากฏร่างของภูผาหรือศิวะแต่อย่างใด จนกระทั่งขบวนเดินแล้วเสร็จ เขาจึงเห็นคนที่รอคอยมาทั้งคืน เดินเข้ามาหาพร้อมศิวะ โดยในมือของภูผาถือข้าวห่อ ขวดน้ำ และกล้องถ่ายรูปมาด้วย

“เป็นงัย...เหนื่อยมากหรือเปล่า” เจ้าตัวดีถามก่อนจะส่งขวดน้ำให้คนถูกถามที่ยืนทำหน้าตูม.....คล้ายไม่พอใจอะไรซักอย่าง

“อืม......” คนรับน้ำมาดื่มพยักหน้า โดยที่ยังไม่พูดอะไรเหมือนเดิม

“เป็นอะไร.....โกรธอะไรเหรอ” ภูผาถามเพราะเห็นฟ้าลั่นไม่ยอมพูดจา จึงเดินจูงแขนฟ้าลั่นเลี่ยงออกมาจากศิวะ

“ไหนว่าจะมาดู.....ไม่เห็นเลย” ฟ้าลั่นเอ่ยปากในที่สุด ทั้งๆที่ยังสบสนว่าทำไมถึงต้องการให้ภูผามาดูตนเองในขบวนแห่มากนัก

“มาแล้ว......แต่เห็นนายมีแต่คนเข้ามาถ่ายรูป เลยไม่กล้าเข้ามากวน....ไม่อยากให้นายเหนื่อยมาก...... เอาน่า...อย่าโกรธเลยนะ.....เห็นหรือเปล่าว่าอุตสาห์ซื้อข้าวมาให้ เพราะคิดว่านายต้องหิว เห็นเดินออกตั้งไกล” ภูผาง้อ พร้อมทั้งส่งยิ้มหวานให้อย่างเต็มที่

“แล้วนายไปไหนมา” น้ำเสียงของฟ้าลั่นเริ่มอ่อนลง

“ก็เดินตามขบวนบ้าง แล้วก็แว๊บไปลอยกระทงกับพี่เสือ....หลังจากนั้นก็มารอนายที่นี่แหละ เพราะพี่เสือบอกว่าขบวนจะหยุดที่นี่” คนหน้าหวานตอบตามตรง

“พี่เสือจะไปส่งนายไปเอารถ แล้วก็กลับหอกัน...นายจะกินข้าวก่อนหรือว่าจะไปกินที่หอล่ะ” ภูผาถามด้วยความห่วงใย

“ไปกินที่ห้องดีกว่า....อยากเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำเต็มที่แล้ว” พูดเสร็จก็เดินไปหาศิวะเพื่อเดินต่อไปยังรถศิวะที่จอดอยู่ไม่ไกล

“น้องหมอกไม่ถ่ายรูปกับฟ้าลั่นเหรอครับ” ศิวะนึกขึ้นได้จึงเอ่ยเตือน

“โอ้ .....เกือบลืมเลยครับ....ฟ้าลั่น....มาถ่ายรูปกันก่อน” ภูผาเพิ่งนึกออก จึงเรียกฟ้าลั่นให้มายืนถ่ายรูปที่ข่วงประตูท่าแพ ที่มีทัศนียภาพงดงามในเวลานี้ เพราะถูกตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้และแสงไฟเพื่อต้อนรับเทศกาลลอยกระทงและเทศกาลอันเนื่องจากสายลมหนาวอื่นๆ

ทั้งสามคนผลัดกันถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ภูผาดูเหมือนจะชอบใจกับการจัดท่าและถ่ายรูปเดี่ยวฟ้าลั่นมาก เนื่องจากไม่บ่อยนักที่จะเห็นเพื่อนร่วมห้องของตนในลักษณะนี้ ต้องขอบคุณชุดเครื่องแต่งกายแบบโบราณ ที่ได้ขับเอาความงดงามทุกสัดส่วนของร่างกาย...โครงหน้าที่งดงามทว่าน่าเกรงขาม....กล้ามเนื้ออกเปลือยเปล่าที่สมบูรณ์...และสุดท้ายนัยน์ตาหวานซึ้งคู่นั้น....ออกมาได้อย่างเต็มที่

นอกจากฟ้าลั่นจะถูกภูผาถ่ายรูปจนหมดฟิล์มไปหลายม้วนแล้ว...นักท่องเที่ยว และสาวๆต่างๆก็เข้ามาขัดจังหวะขอถ่ายรูปคู่กับฟ้าลั่นตลอด ดังนั้นกว่าที่ศิวะจะขับรถไปส่งฟ้าลั่นเอารถ และปล่อยให้สองหนุ่มกลับหอด้วยกัน ก็ย่างเข้าตีสองของวันใหม่แล้ว

เมื่อกลับมาถึงหอ ทั้งคู่จัดแจงอาบน้ำและล้มตัวลงนอนในทันที เพราะเหนื่อยและเพลียมากจากการเดินหลายชั่วโมงที่ผ่านมา

ก่อนหลับสนิท....ฟ้าลั่นที่ยังมีเรี่ยวแรงพอ บอกภูผาว่า....

“นายไปลอยกระทงกับพี่เสือแล้ว.....พรุ่งนี้ไปเลยโคมกับเราที่อ่างแก้วนะ”

“อืม....ได้เลย” คนตัวเล็กแม้จะงัวเงียตอบเพราะความเหนื่อย แต่ก็ให้สัญญาอย่างรวดเร็ว





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2006 12:18:21 โดย b|ue B[o]Y hUb »

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
*****************************

แสงจันทราฉาบฉายฉานระดานดื่น
กระทบคลื่นธาราสลับระยับไสว
รัศมีเฉิดส่องนภาทั่วแดนไกล
ระยิบดาวสกาวใสในสายชล

พระจันทร์ในคืนหลังวันลอยกระทงยังคงงดงามและสดใสแม้ว่าจะไม่มีแสงเจิดจ้าอย่างเช่นวันเต็มดวง แต่ก็มีรัศมีส่องสว่างเพียงพอที่จะให้เห็นประกายสะท้อนระยิบระยับของแผ่นน้ำในอ่างแก้วยามต้องแสงจันทร์

แสงจันทร์นวลสวยบนท้องฟ้าโปร่งใสไม่มีเมฆบังใด รวมกับแสงไปจากหลอดนีออนบริเวณสันอ่างแก้ว ทำให้อ่างเก็บน้ำของมหาวิทยาลัย หรือที่นักศึกษาเรียกกันอย่างติดปากว่า “อ่างแก้ว” ดูสว่างไสวราวกับเมื่อเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกก็ไม่ปาน

แม้จะเป็นเวลาค่อนข้างดึก....แต่อ่างแก้วก็ไม่เงียบเหงาเสียทีเดียว เพราะมีนักศึกษาหลายคน บ้างก็มาเป็นกลุ่ม บ้างก็มาเป็นคู่ ยืนอยู่พร้อมด้วยอุปกรณ์จำเป็นที่ใช้ในการปล่อยโคมลอย เช่น ไฟแช็ค ตัวโคม และ เชื้อไฟของโคม เพื่อทำเตรียมการปล่อยโคมลอยขึ้นสู่ฟ้า

ภูผายังคงใจดีเสมอ เขาซื้อขนมและอาหารมาให้ฝูงสุนัขที่บัดนี้เข้าห้อมล้อม กระโดดวิ่งเล่นรอบตัวเขาอย่างร่าเริง เพราะดีใจที่เจ้านายผู้ใจดีมาเยี่ยมเยือน

ฟ้าลั่นคอยเดินตามมาห่างๆพร้อมอุปกรณ์ปล่อยโคมลอย เพราะมือของภูผาเต็มไปด้วยขนมและอาหารสำหรับสุนัขเต็มไปหมด

ฟ้าลันกำลังยิ้มเมื่อเห็นภูผาหยอกล้อเล่นกับสุนัขหลายตัวข้างริมน้ำ......... แต่ทันใดนั้น...... ความรู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนถูกกระชากออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว......รุนแรง........และเจ็บปวด......พุ่งเข้ามาหาพร้อมกับภาพที่เห็นว่า.... ภูผาถูกสุนัขตัวหนึ่งวิ่งพันขาจนเป็นเหตุให้ต้องตกลงไปในน้ำอย่างไม่ได้ตั้งใจ

สิ่งเดียวที่ฟ้าลั่นได้ยินก่อนที่ร่างบางจะพยายามตะเกียกตะกาย....แต่ในที่สุดก็กลับจมหายไปในน้ำเย็น.....คือ

“ฟ้าลั่น...ช่วยด้วย”

ร่างกายตอบสนองเร็วกว่าความคิด..... ฟ้าลั่นทิ้งทุกสิ่งที่อยู่ในมือโดยพลัน ...... เขาวิ่ง...วิ่ง....วิ่ง......ให้เร็วที่สุดที่จะทำได้ เพื่อตรงไปยังข้างริมน้ำบริเวณที่ภูผาจมหายไป...... หัวใจเขาเต้นแรงเพราะความตกใจและตามมาด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อชีวิตของภูผา......

“ต้องไปหาหมอก....ต้องวิ่ง...........” ฟ้าลั่นบอกกับตนเองในขณะวิ่งมาจนถึงบริเวณที่เห็นภูผาตกลงไป แล้วจึงกระโดดลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว พลางภาวนาในใจ

“หมอก...นายต้องไม่เป็นอะไร”

“เราต้องหานายให้เจอ”

“เราต้องช่วยนาย”

“รอเรานะหมอก...........เรามาหานายแล้ว.......เรามาช่วยนายแล้ว”

“อดทนนะหมอก......อีกนิดเดียว......เราจะหานายให้เจอ”

หัวใจของฟ้าลั่นยังคงเต้นแรง....พลังกายที่มีอยู่ทั้งหมดถูกนำมาใช้ในการดำผุดดำว่ายในน้ำที่มืดมิดและเย็นเฉียบ

โชคดีที่นักศึกษาบนสันอ่างแก้วเห็นเหตุการณ์พอดี จึงช่วยกันนำเอาไฟฉายมาช่วยกันส่องลงไปในน้ำ....ทำให้พอที่จะเห็นอะไรใต้น้ำได้บ้าง  รวมถึงมีนักศึกษาบางคนกระโดดลงมาช่วยค้นหาร่างของภูผาด้วย

“หมอก.....นายอยู่ที่ไหน”

“ได้โปรดเถอะ.....ขอให้เราหานายให้เจอ”

“ขอให้เราเจอนาย” ฟ้าลั่นเฝ้าร้องในใจตนเองอยู่ตลอดเวลา......หัวใจของเขาตอนนี้แทบจะแตกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย...ยิ่งเวลานานไปเท่าใดก็หมายความว่า โอกาสรอดชีวิตของภูผามีน้อยลงทุกที

ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะช่วยชีวิตภูผา.....และด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่.... ฟ้าลั่นดึงตัวโผล่พ้นน้ำเพื่อสูดอากาศเข้าปอด ก่อนจะดำลงไปค้นหาภูผาอีกครั้ง....ครั้งนี้เขาสาบานกับตนเองว่าจะต้องหาภูผาให้เจอให้ได้  แม้จะต้องเดิมพันด้วยด้วยลมหายใจสุดท้ายของเขาก็ตาม

“ต้องหาหมอก....ต้องเจอหมอก.....ต้องหาหมอก.....” คำพูดก้องดังอยู่ในใจของฟ้าลั่น.....เขายอมหมดลมหายใจในการค้นหาร่างภูผาในครั้งนี้........ด้วยความรักและความผูกพัน......และด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจ....ฟ้าลั่นใช้ชีวิตของตนเดิมพันกับเวลาและพญามัจจุราชเพื่อนำเอาชีวิตของภูผากลับมาสู่อ้อมกอดตนเองอีกครั้ง

“ผมไม่ยอม....ผมจะต้องหาภูผาให้เจอ....ผมจะไม่ให้ภูผามีอันตราย....” คำประกาศต่อพญามัจจุราชก้องอยู่ในความคิด ฟ้าลั่นกำลังพยายามปกป้องสิ่งที่มีค่าที่สุด...ที่หัวใจของเขาครอบครองอยู่....มานานแสนนาน

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย..... มือที่แข็งแรงของฟ้าลั่นตวัดเข้าชนกับแขนของภูผาอย่างบังเอิญ เขาจับแขนข้างนั้นไว้อย่างมั่นคงพร้อมกับถีบตัวขึ้นสู่เหนือน้ำอย่างรวดเร็ว....

ในที่สุดฟ้าลั่นก็ทำสำเร็จ.......เขาสามารถพาดวงใจที่มีค่าของตนขึ้นสู่อากาศด้านบน.....ให้ใบหน้าของภูผาได้สัมผัสอากาศแทนที่สายน้ำเย็นอีกครั้ง.......

โดยความช่วยเหลือของนักศึกษาเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่......ฟ้าลั่นนำร่างของภูผาขึ้นเหนือน้ำอย่างรวดเร็ว....เขารีบวางภูผาลงบนพื้นถนน และทำการปฐมพยาบาลภูผาโดยทันที...... ดวงตาที่จับจ้องไปที่หน้าและทรวงอกของร่างที่แน่นิ่งไม่ได้สติยามเว้นจังหวะในการปฐมพยาบาล บัดนี้เต็มไปด้วยน้ำตา......น้ำตาแห่งลูกผู้ชาย....ที่หลั่งไหลให้กับคนที่เขารัก.....รักมากที่สุด

ตอนนี้ฟ้าลั่นทราบแล้ว......เขารับรู้โดยปราศจากข้อกังขาว่า......หัวใจของเขาอยู่ที่ภูผามาโดยตลอดเวลา....

“หมอก.....หายใจซิหมอก........หมอก....นายต้องไม่เป็นอะไร” มือที่แข็งแรงทาบกับทรวงอก...แนบหัวใจของคนที่ตนรัก.......เขาแน่ใจแล้วว่ารัก......รักมาก.......และกดลงไปอย่างเป็นจังหวะ สลับกับการเป่าปากเพื่อให้ปอดทำงาน

“นายต้องอยู่กับเรา”

“นายอย่าทิ้งเรานะหมอก.......นายต้องกลับมา...กลับมาหาเรา” ฟ้าลั่นตะโกนก้องในใจ ขณะปฐมพยาบาลและเฝ้ามองร่างที่ยังไม่ได้สติของภูผา

ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน....มิใช่เพราะความหนาวเย็นของอากาศ....แต่เป็นความหนาวเย็นของจิตใจ......เขากลัว....กลัวเหลือเกิน....กลัวที่จะต้องเสียดวงใจของเขาไป.....

“โปรดเถิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์.....โปรดนำคนที่ผมรักกลับมาหาผมเถิดครับ.....ช่วยนำหัวใจของผมกลับสู่อ้อมกอดของผมอีกครั้ง......อ้อมกอดที่ผมจะไม่มีวันคลายออกจากเขาตลอดชีวิต” ฟ้าลั่นอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน.....ในความคิดของฟ้าลั่น.........ในที่สุด.....ภูผาก็สำลักน้ำออกมา และหายใจได้ แต่ยังไม่เป็นปกติ รวมถึงดูอ่อนแรงนัก......

ภูผาลืมตาขึ้นช้าๆ มองหน้าฟ้าลั่น....มองลึกลงไปในดวงตาที่แดงกล่ำ ก่อนจะพยายามพูดออกมาอย่างยากลำบากว่า

“ไม่เป็นไร.....เรากลับมาแล้ว.....เราไม่เป็นอะไรแล้ว” คำพูดพร้อมน้ำตาแห่งความดีใจไหลออกช้าๆ จากร่างที่อ่อนแรง.....มันคือความดีใจที่ได้เห็นหน้าคนที่เฝ้าอธิษฐาน......คนที่ตนเองบอกลาในน้ำเย็นจัด.....ก่อนจะหมดสติไป..... คนที่หัวใจเฝ้ารอคอยมาตลอดเวลา........

ทันทีที่ได้ยินประโยคที่ตนเองรอคอยมาแสนนาน...... ฟ้าลั่นก็ยกตัวภูผาขึ้นมากอดโดยไม่คิดสนใจบุคคลที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่รอบๆ .....เขาโอบกอดร่างบางอย่างทะนุถนอม......กอดเพราะภูผายังมีชีวิตอยู่.....กอดเพราะบัดนี้เขารู้ดีว่า.....หัวใจเขาอยู่ที่ภูผา.........เขาสามารถนำหัวใจของตนกลับมาจากสายน้ำที่น่ากลัวนั่นได้

ฟ้าลั่นสามารถรักษาสิ่งที่มีค่าของดวงใจตนเองได้.....ด้วยสายใยของความรักที่มี..... สายใยที่ยึดชีวิตภูผาไว้จากหัตถ์ของเจ้าแห่งความตายที่น่ากลัว

ฟ้าลั่นปล่อยภูผาออกจากอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม และจัดท่าของภูผาให้สะดวกเพื่อตนเองจะได้อุ้มขึ้นรถพาไปส่งโรงพยาบาล....เขาต้องการให้หมอเช็คอาการภูผา ฟ้าลั่นต้องการความแน่ใจว่าภูผาจะไม่เป็นอะไร เขาต้องการให้หัวใจดวงนี้ของเขาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด....และให้กลับคืนสู่ปกติโดยเร็ว

คุณหมอรับภูผาไว้รอดูอาการหนึ่งวันภายหลังการตรวจอย่างละเอียดรวมถึงฉีดยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบช่องทางเดินหายใจ ฟ้าลั่นจองห้องพิเศษเดี่ยวไว้ให้ภูผานอนพัก เพราะต้องการจะอยู่เฝ้าภูผา เขากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมานอนเฝ้าไข้ โดยลืมโทรศัพท์บอกศิวะเสียสนิท

ในกลางดึก......ภูผาละเมอร้องออกมาอย่างขวัญเสีย...ฟ้าลั่นนอนอยู่บนโซฟาได้ยินเสียง เขาจึงลุกขึ้นเดินมาหา ก่อนจะกุมมือนุ่มของภูผาไว้ แล้วกล่าวปลอบขวัญอย่างอ่อนโยน

“หมอก......นายไม่เป็นอะไรแล้ว....นายอยู่โรงพยาบาลแล้ว......อย่ากลัวนะหมอก......เราอยู่ตรงนี้.....ฟ้าลั่นของนายอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน........หมอก.....เราสัญญาว่าจะไม่มีวันทิ้งนาย” มือที่แข็งแรงลูบไล้ไปที่แก้มนิ่มของคนที่ตนรัก พร้อมกับก้มหน้าลงประทับจุมพิตที่หน้าผากของใบหน้าหวาน....ฟ้าลั่นกำลังถ่ายทอดกำลังใจ...และความรักที่มีผ่านการกระทำนี้

“เราจะอยู่ตรงนี้......และตลอดไป” คำพูดที่อ่อนโยน....แผ่วเบาราวกับสายลม....แต่ก็อบอุ่นดั่งแสงตะวัน....เข้ากระทบจิตใจของภูผาเป็นระลอกช้าๆ.....โอบล้อมให้เกิดความสบายใจ....ความมั่นคง....จนเสียงละเมอค่อยๆ เงียบลง

แต่ลำตัวของภูผายังสั่นสะท้านเพราะความกลัวที่ฝังในจิตใจ.......ฟ้าลั่นจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปยังอีกข้างของเตียง และล้มตัวลงนอนบนเตียงเดียวกัน เขาขยับตัวเข้าหาคนที่หลับอยู่อย่างเสียขวัญ แล้วโอบกอดร่างนั้นเข้าหาแผ่นอกหนาอย่างแผ่วเบา อ้อมแขนที่มั่นคงของเขาตวัดรัดร่างของภูผา......ให้ดวงใจทั้งสองดวงได้สื่อสารปลอบประโลมกันอีกครั้ง......

อ้อมกอดนี้.....อ้อมกอดที่ฟ้าลั่นจะมีให้ภูผาเพียงคนเดียว.......คนเดียวที่เขารัก......คนเดียวที่เขายอมแลกชีวิตของตนเพื่อนำกลับมา.......ภูผา.....คนที่ฟ้าลั่นรักสุดใจ
 
.................................เธอคือลมหายใจ เธอคือทุกอย่าง
.................................จะรักเธอไม่มีวันจาง ไปจากใจ
.................................ก็เพราะเธอคือลมหายใจ เธอคือทุกอย่าง
.................................จะรักเธอไม่มีวันจาง ไปจากใจ
.................................ก็เพราะเธอคือลมหายใจ เธอคือทุกสิ่ง
.................................จะให้ทิ้งอะไรก็ยอมทุกอย่าง
.................................จากนี้ ใจฉันจะมีแต่เธอ
(ลมหายใจ โดย บอย โกสิยพงศ์)


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เราต้องหานายให้เจอ  เราต้องช่วยนาย... ประโยคนี้เราชอบอะ  คุณ Andreas เขียนได้กินใจมาก ๆ เลยคะ   :impress3:

ลุ้นตลอด  น้ำตาไหลเลยอ่ะตอนฟ้าลั่นต้องช่วยภูผา  บอกไม่ถูกเลย  ตอนแรกอ่านแล้วก็อมยิ้มไปตลอดนึกว่าฟ้าลั่นต้องแอบหึงแอบโกรธหมอกแน่ๆ เลยในตอนแรก  พอมาอ่านช่วงท้าย  กระชากอารมณ์คนอ่านจังค่ะ  ในที่สุดก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้คนสองคนเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง   บอกอีกทีว่าชอบคอนเซปต์เรื่องการผูกโยงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จังคะ  ไม่แน่ใจว่าอ้างอิงมาจากเรื่องจริงรึเปล่า  ชอบเรื่องราว ภาษา  อ่านแล้วอิ่มใจคะ  เก่งคะ ชื่นชม  :impress2:

รออ่านต่อไปคะ  เป็นกำลังใจให้คุณบลูคนโพสด้วยน้า  น่ารักจัง  อิอิ   :impress:

ปล  ชอบเพลงนี้เหมือนกัน  เข้ากับเรื่องดีคะ  ...ลมหายใจ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2007 13:26:18 โดย มูมู่น้อย »

beaches

  • บุคคลทั่วไป
ความมหัศจรรย์ของภาษาไทย กอปรกับความสามารถในการถ่ายทอดของผู้เขียน
แถมให้ข้อมูลมากมายของจังหวัดเชียงใหม่
ทำให้ tone ของเรื่องนี้ออกมาละมุนละไมมากๆ
อ่านแล้วเหมือนหลุดไปอีกโลกแห่งจินตนาการที่อยู่อีกฟากหนึ่ง

ยากที่จะไม่เห็นรอยยิ้มฉาบบนหน้าของผู้อ่านเมื่อมาถึงบรรทัดสุดท้ายของตอน

ขอบคุณคุณ Andreas สำหรับเรื่องราวครับ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ชอบกลอนม้ากกกกกกก   :impress:

นี่แหละน้ากว่าจะรู้ตัวว่ารัก เกือบจะต้องสูญเสียมันไป  :impress:

wee

  • บุคคลทั่วไป
ซาบซึ้งจัง.....มหัศจรรย์แห่งรัก   ณ อ่างแก้ว ... :impress:

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
Dear All of My Beloved Readers,

First of all, I would like to extend my great appreciation to Khun Blueboyhub for his kind contribution. He has seen this particular story of mine out of hundreds of other good stories available in one big cyber-world.  He then asked for my permission to post this story for you all here…… 

Neither Falan nor Bhupha is real in the world of humanity which only focuses on tangible achievement. However it doesn’t mean that these two-infinite-lovers don’t exist………

In fact, they are pretty much still alive in another parallel world….The world you all know…. “The World of Imagination” in other word “The world of Literature”……
 
I have created “Life” of Bhupha and Falan through multiple characteristics of my close friends once we all were students in a big memorable faculty…..Faculty of Science, Chiang Mai University.

By using Falan, Bhupha, and Shiva as main characters, they have walked along with my unforgettable memories gained during 4 years of studying.  As the matter of fact, it makes me realize how lucky I was to possess loves, cares, and friendships.  Though it is over ten years now, every picture is still crystal clear and seemed to me that it is just happened yesterday….

I had written this beautiful story, I thought, at the early time of my journey in United States. Having no Thai materials to consult but only my unprofessional skill of writing made me really hard time to finish the story. Thanks to my heart which always drove my fingers to type what came into my mind out into sentences. Without another important thing, an “encouragement from readers” my heart would be weak and weaker until no more inspiration left to move the story to the end. Indeed thanks to those readers also YOU ALL right now.

Every time I read your comments, I am with no doubt very happy. I need not to be recognized as a good writer….all I wish is my characters will be alive in your heart…in your thought …...and somehow remained forever.

Ironically, I should have said all above to you all at the end of story, but your replies have brought back my sweet memories in the past when I was running this story through a long road of time with hundred hands of readers holding me….as well as my beloved characters.

That memory is repeating right now, right here, in this small but warm community. Please be noted, I will keep an eye on every single of your reply. Also I will be talking to you all again when time is permitted.

Best Regards
Andreas


 :myeye:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2006 04:03:52 โดย Andreas »

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ถึงคุณหมูพูห์

ถ้าคุณหมูพูห์ไม่สะดวกที่จะคุยกับเป็นภาษาอังกฤษ ก็ใช้ภาษาไทยก็ได้นะครับ.....สาเหตุที่ผมต้องรีพลายตอบเป็นภาษาอังกฤษนั้น เพราะว่าคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน เขาไม่อนุญาตให้พิมพ์ภาษาไทยครับ....อ่านได้อย่างเดียวครับ.... แต่ถ้าผมกลับมาถึงบ้านแล้วผมถึงสามารถเปิดคอมพ์ส่วนตัว แล้วพิมพ์ภาษาไทยครับ....

แตทว่าส่วนใหญ่เวลาเย็นหลังเลิกงาน ผมไม่ค่อยว่างครับ เพราะต้องเตรียมอาหารเย็น แล้วก็ต้องเขียนนิยายอีกเรื่องหนึ่งครับ.... เลยอาจจะไม่ได้เข้ามาตอบกระทู้ซักเท่าไหร่ครับ...ดังนั้นผมจึงมักจะใช้เวลาว่างตอนเบรคขณะทำงาน ตอบกระทู้แทนครับ...

ช่วงนี้ได้ข่าวว่าเมืองไทยอากาศเปลี่ยนแล้ว....ขอให้รักษาสุขภาพกันนะครับ...ทุกๆคนเลยนะครับ...ไม่ใช่เฉพาะคุณหมูพูห์และเรย์.....

สวัสดีครับ...

Andreas

ปล. แต่ถ้าใครอยากตอบผมหรือคุยกับผมเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อฝึกฝน..... ผมก็ไม่ห้ามนะครับ...และถ้าอยากได้คำแนะนำ..ก็ถามมานะครับ.... ผมอาจจะไม่เก่งนัก แต่ก็พอหาคำตอบหรือช่วยแนะนำได้บ้างครับ...


 :yeb:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
เหอเหอ

ปล่อยไก่ตัวเบ่อเริ้มเลย

โทษทีครับ คือภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนกัน

เอาไว้วันหลังจะตอบทั้งสองภาษาแล้วกันครับ

จะได้ไม่ลืมด้วย

คริคริ :kikkik:

พูห์ :laugh3:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
เอาภาพมาฝากครับ
เอิ้กๆ ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ
อ่านตอนนี้ผมก็น้ำตาซึมเหมือนมูมู่เลยครับ
แม้จะอ่านอีกรอบก็ยังเหมือนเดิม
หัวใจผมจะหลุดเลย ตอนที่ฟ้าลั่นบอกว่าต้องหาให้เจอ ให้เจอ ๆ
อ่านครั้งแรกผมนี่น้ำตาร่วงเลย  :monkeysad:








ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
คุณ Andreas

อยากขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ ที่แต่งมาให้อ่านกัน ไม่ต้องสงสัยเรื่องความสามารถในการแต่งนิยายของคุณเลย

ทั้งสำนวน และความสวยงามของภาษายอดเยี่ยมมาก  แต่ที่ชอบมากเป็นพิเศษคือกลอนที่แทรกอยู่ระหว่างเนื้อหา (อันนี้ชอบมาก)

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณคงมีผลงานให้เราได้อ่านต่อไปเรื่อย ๆ นะคะ

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  :impress:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Dear Khun Andreas,

Thank you very much indeed for your kindly reply and for your great afford to rewrite this lovely story.

Not only our comments can make you are happy, but your comments also make us feel impressed. I can feel that love and friendship is all around us. Even if the love from Bhuta and Falan appears only in the world of literature, I will memorize the story deeply in my heart. Their tangible achievement will be another aspect to inspire me on whatever I would like to do.

There is no regret to say that you are a good writer, and I can say that I am a big fan of you. Every single word, sentences, and the whole concept of the story can present to us how good you are.  

Thank you once again for this lovely story and look forward to read the next chapter  soon.

Best wishes,
Moo Moo Noi  :yeb:

เห็นคุณ Andreas ตอบเป็นภาษาอังกฤษ  วิญญาณผีเด็กฝรั่งชั้นประถมเข้าสิง  เอิ๊ก  ๆ เขียนผิดแกรมม่าบอกด้วยน้าคุณ Andreas ยังอ่อนหัดอะคะ  
เรย์รูปสวยจัง  ทำให้นึกถึงบรรยากาศตอนปล่อยโคมลอยวันลอยกระทงที่เชียงใหม่เลย  ท้องฟ้าสวยไปหมด  คิดถึงบรรยากาศจัง   รอตอนต่อไปอยู่น้า   :impress:

ปล  หมูพูห์ทำไรเหรอ  ทำไมต้องปล่อยไก่  มะเข้าใจ  :untrust:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
ตามมาทันแล้ว ดีจายจาง :yeb:



คุณแอนดี้เก่งจังบรรยายได้ละเอียดมากๆ ๆ ๆ ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม สถานที่รู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปอยู่งานยี่เป็งในเมืองเชียงใหม่เรยอ่ะ

อ่อยยย  ว่าแล้วก้ออยากไป 



ปล.   ภาพสวยมากจ้ะเรย์ แต่ภาพโคมลอยไม่มีชัดๆกว่านี้เหรอ

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณนะคับคุณ Andreas

ที่แต่งนิยายเรื่องนี้ได้สวยงามมาก...... :impress3:

สวยงามทั้งตัวละคร....ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่โลกวรรณกรรม

สวยงามทั้งสำนวนภาษา....ที่น้อยเรื่องนักที่นักเขียนปัจจุบันจะนึกถึง

.....ขอบคุณคุณบลูที่หยิบเรื่องนี้มาหั้ยทุกคนได้อ่าน......

...................รออ่านต่ออยู่นะคับ................ :impress:


ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
เออ... :confuse:

เห็นโคมลอยแล้วเศร้าครับ


คิดถึงความหลังครั้งลอยโคม


พูห์ :monkeysad:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
หนูบลูไปหนายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :serius2:


ทำไมไม่มาโป้ดต่อ


หรือมั่วแต่ติดหนังอยู่

พูห์ ณ  :seng2ped:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ป่าวหนา พักนี้งานยุ่งนิดหน่อย
คงไม่ค่อยได้ตอบคอมเม้นต์เพื่อนๆนะครับ
แต่ก็ยังอ่านและขอบคุณทุกคอมเม้นต์แทนคุณ andreas ด้วยนะครับ
ถ้ารอผมตอบคอมเม้นต์นี่คงได้อ่านช้าลงไปอีก เอิ้กๆ  :really2:
***************************************************************************
บทที่ 11 คำสารภาพ และ ความประทับใจ

ภูผาต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งสิ้นสี่วันหลังจากอุบัติเหตุตกน้ำ เพราะว่าปอดเกิดการติดเชื้อจากน้ำในอ่างแก้วที่ไม่สะอาด ทำให้แพทย์ต้องรับตัวไว้รักษาเพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามจนกลายเป็นปอดบวม หรือ pneumonia ในที่สุด

ศิวะก็มาเยี่ยมภูผาทุกวันหลังทราบข่าวจากฟ้าลั่น โดยบางครั้งก็ขอนอนค้างคืนเป็นเพื่อนภูผา....แต่ฟ้าลั่นก็อาสารับภาระอยู่เฝ้าไข้ภูผาในตอนกลางคืนเสียเอง โดยให้ศิวะรับหน้าที่ในตอนกลางวันแทน เนื่องจากว่าบางครั้งเขามีเรียนทั้งวัน และไม่อยากที่จะทิ้งภูผาไว้เพียงคนเดียวในห้องพิเศษของโรงพยาบาล

ดังนั้นศิวะซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาโทชั้นปีสุดท้าย ที่ไม่มีเรียนวิชาในห้องเรียนแล้ว จึงสามารถมาเฝ้าภูผาได้ในตอนกลางวัน โดยที่ศิวะก็จะหอบเอาคอมพิวเตอร์แบบพกพามาเพื่อเขียนรายงานวิทยานิพนธ์ด้วย

ด้วยคุณสมบัติความช่างสังเกตของศิวะ เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างน้องชายของเขาทั้งสองคน.....ทั้งฟ้าลั่นและภูผาดูเงียบขรึมลงกว่าแต่ก่อน และมีปฏิสัมพันธ์ทางวาจาด้วยกันน้อยมาก ซึ่งดูคล้ายว่าทั้งคู่จะคอยระมัดระวังคำพูดหรือพยายามเก็บงำความรู้สึกอะไรบางอย่างระหว่างกัน

แต่ดวงตาคู่สวยของฟ้าลั่นดูเหมือนว่าจะไม่สามารถถูกควบคุมด้วยความคิดของตนได้เท่าที่ควร....เพราะทุกครั้งยามทอดผ่านมายังร่างของภูผาที่หลับสนิทบนเตียง.....ดวงตากลมสดใสคู่นั้นกลับฉายแววของความห่วงใย...และเต็มไปด้วยความหมายบางอย่าง.......จนกระทั่งศิวะสามารถรับรู้ได้

แม้ไม่ค่อยจะแน่ใจสักเท่าใด.....แต่ศิวะคงพอที่จะคาดคะเนได้ว่าฟ้าลั่นคงรักหนุ่มหน้าหวานคนเดียวกับที่เขาฝากหัวใจไว้เสียแล้ว......

เมื่อเข้าใจอย่างนั้น ศิวะก็ย้อนกลับมาถามตนเองว่า

“เราจะทำอย่างไร..............ถ้ารู้ว่าน้องหมอกก็รักฟ้าลั่น”

“แล้วถ้าน้องหมอกรักฟ้าลั่น.....แล้วเราจะอยู่ที่ไหน”

ศิวะยอมรับกับตนเองว่า...เขารักและเป็นห่วงภูผามาก.....มากเกินกว่าทุกคนที่เขารู้จัก....หัวใจของเขาอยู่ที่ภูผาตลอดเวลานับตั้งแต่เจอกันครั้งแรกในช่วงรับน้องรถไฟ.....จนบัดนี้ก็เกือบสามปีเต็ม......

แต่สิ่งที่ศิวะเฝ้าหาคำตอบมาอย่างยาวนานก็คือ .....หัวใจของภูผาอยู่ที่ใด....เพราะแม้ว่าภูผาจะแสดงทีท่าว่าเอาใจใส่เขาอย่างมากตลอดเวลาที่ผ่านมา....แต่ลึกๆแล้วศิวะรู้ว่า.....ความพยายามของตนเองยังไม่บรรลุผล

ศิวะยังจำประโยคที่ภูผาบอกตนเองครั้งแรกได้อย่างแม่นยำว่า

“แต่หัวใจของผม.....มันอาจจะยังไม่มีใครในตอนนี้ .....แต่ก็ให้โอกาสคนที่จะมาคว้ามันไปเสมอครับ”

“พี่จะพยายามครับ” ตัวเขาเองกล่าวอย่างหนักแน่นในตอนนั้น แต่จนแล้วจนรอด ความรู้สึกลึกๆ ได้ตอกย้ำกับเขามาตลอดว่า....เขาไม่อาจไคว่คว้า...และครอบครองพื้นที่ทั้งหมดของหัวใจภูผาได้....

ไม่เพียงแต่ความผิดปกติของฟ้าลั่นที่ศิวะสังเกตเห็น.....เขายังสามารถรับรู้ความรู้สึกบางอย่างของภูผาที่มีต่อฟ้าลั่นได้....โดยเฉพาะแววตาชื่นชมระคนเศร้าขณะมองชายหนุ่มผมยาวยามเผลอ......แม้มันจะไม่ชัดเจนนัก เพราะภูผาก็ดูเหมือนจะพยายามปิดบังความรู้สึกอะไรบางอย่างอยู่........แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะตอกย้ำสมมุติฐานที่ศิวะตั้งไว้ในใจว่า.....

หัวใจของภูผาคงเอนเอียงไปหาฟ้าลั่นอย่างแน่นอน........

เมื่อรับทราบอย่างนั้น....ความเจ็บปวดก็มาเยือนหัวใจของศิวะทันที....เพราะดูเหมือนว่าความพยายามตลอดสามปีของเขาที่ผ่านมามันช่างสูญเปล่าเสียนี่กระไร........

“เราจะทำอย่างไรดี”

“เสียสละหรือ” เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจของชายหนุ่มผิวสีแทน.....ร่างสูงใหญ่

“หรือจะไม่ยอมเสียน้องหมอกไป........จะรั้งน้องหมอกไว้”

ศิวะใช้เวลาเก็บข้อมูลตอกย้ำข้อสรุปของตนทุกวัน จนกระทั่งแน่ใจว่าภูผาคงรักฟ้าลั่นแน่นอน....ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเป็นผู้เสียสละ.......เขารักภูผามากเกินกว่าจะทำร้ายความรู้สึกของภูผาได้.......เขาต้องยอมเจ็บ......เจ็บเพื่อให้คนที่เขารักสุดใจสมหวัง.....โดยที่เขาก็จะเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา......

“วันใด.....ที่น้องหมอกต้องเจ็บซ้ำ ...และไร้ซึ่งคนข้างกาย....พี่จะกลับมา....กลับมาดูแลหัวใจของพี่อีกครั้ง...........” นี่คือคำปฏิญาณที่ศิวะให้ไว้กับตนเอง.....โดยไม่มีทางรู้เลยว่า....มันจะกลายเป็นความจริง

“บางที....ผู้แพ้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ.......หากยังคงรักษาไว้ซึ่งความรัก.......แม้มิได้ครอบครอง” ศิวะสรุปคำตอบในใจ มือข้างขวาของเขาเอื้อมมาแตะที่อกด้านซ้าย...ตำแหน่งของหัวใจ...และกดลงไปเบาๆ เพื่อบรรเทาความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้น.....น้ำตาของลูกผู้ชายปริ่มขึ้นในดวงตา....ศิวะบอกตนเองหลายครั้งว่า....

“เราจะไม่เสียใจ....ในการตัดสินใจของตนเอง......”

ก่อนวันที่ภูผาจะออกจากโรงพยาบาล.......ฟ้าลั่นจัดการชำระค่าใช้จ่ายต่างๆให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมทั้งโทรศัพท์บอกศิวะให้เป็นธุระในการพาภูผาเข้าห้องพัก โดยฟ้าลั่นอ้างว่าติดธุระ ไม่สามารถไปรับภูผาได้ด้วยตนเอง จึงขอรบกวนให้ศิวะจัดการให้........

ศิวะรับรู้ความผิดปกติจากน้ำเสียงของฟ้าลั่นแต่ก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

ศิวะมาส่งภูผาที่ห้องพัก และอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงา ก่อนจะขับรถออกไปซื้ออาหารเย็นเตรียมไว้ให้ภูผา....เพราะคิดว่าอย่างไรเสียฟ้าลั่นคงกลับมานอนที่ห้องพัก..เพื่อคอยดูแลภูผาในตอนกลางคืนดังเช่นปกติ

แต่ทว่า.......เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงวันใหม่...ฟ้าลั่นก็ยังไม่กลับเข้าห้องพัก........

ภูผารู้สึกเป็นห่วงฟ้าลั่น และรับรู้ถึงความผิดปกติได้ในตอนเช้าของวันถัดไป เขาพบว่ากระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมที่ฟ้าลั่นใช้อยู่เป็นประจำหายไปจากตู้เสื้อผ้า พร้อมด้วยเสื้อผ้าบางชุด ......

“ฟ้าลั่นหายไปไหนนะ......”

“ทำไม...ไม่เห็นโทรศัพท์ หรือทิ้งโน๊ตบอกไว้” ภูผาตั้งคำถาม

เพราะปกติเมื่อฟ้าลั่นจะต้องไปธุระหรือไม่สามารถกลับหอมานอนพักได้ เขามักจะเขียนโน้ตหรือโทรศัพท์มาบอกเสมอ......แต่ครั้งนี้.....ดูผิดแปลกไป

ภูผาตัดสินใจโทรศัพท์ถามเพื่อนๆของฟ้าลั่นเพื่อสอบถามว่าฟ้าลั่นไปธุระที่ไหนหรือไม่ โดยใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการพูดคุยกับหลายคน ......ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมาคือ

“ไม่เห็น ไอ้ฟ้าลั่นเลยหมอก.....มันโดดเรียนด้วย.....ทั้งๆที่วิชานี้มันไม่เคยโดดเลย” เพื่อนคนหนึ่งบอก

“ไม่เห็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้วหมอก” คำตอบที่ได้จากเพื่อนอีกคน

“เมื่อคืน กับ เมื่อเช้าโทรไป มันก็ไม่รับสายเลยหมอก” คำตอบที่ได้รับจากเพื่อนคนสุดท้าย ก่อนที่ภูผาจะตัดสินใจ เดินสำรวจห้องพักอีกครั้งเพื่อลองค้นหาโน้ตที่ฟ้าลั่นเขียนไว้ เขาหวังว่ามันอาจตกลงบนพื้นที่ไหนซักแห่งในห้อง

การค้นหาผ่านไปไม่นานนัก.......สายตาของภูผาก็สัมผัสเข้ากับกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ที่สอดไว้ในหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ ที่เขาเดาว่าฟ้าลั่นคงซื้อมาให้ขณะนอนอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะเป็นหนังสือการ์ตูนที่ภูผาชอบอ่านเป็นประจำ...... “ถ้วยน้ำชากับเทวดาตัวจิ๋ว”

กระดาษโน๊ตแผ่นเล็ก...มีข้อความเขียนด้วยลายมือบรรจง......เป็นระเบียบสวยงามว่า.....

........................หมอก
........................เราขอโทษนะที่ต้องทิ้งนายไปในเวลาที่นายอ่อนแอที่สุดเช่นตอนนี้......
........................เราอยากอยู่ข้างนายเหมือนเช่นทุกวันนะหมอก
........................สัญญานะว่าจะไม่ร้องไห้...เมื่อเราจากมา
........................คนดีของฟ้าลั่น

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของลายมือสวยที่เขียนอยู่บนกระดาษบางแผ่นนี้......แต่ทว่า....ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นมันบาดลึกลงไปในจิตใจของภูผา.....เพราะคำว่า “เมื่อเราจากมา”...........

ภูผาไม่อาจรักษาสัญญาให้กับคนที่เขียนโน้ตไว้..... น้ำตาของเขาเริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาคู่งาม......ช้าๆ....หยดลงสู่กระดาษแผ่นนั้นอย่างแผ่วเบา

“ฟ้าลั่น...นายอยู่ที่ไหน......ทำไมต้องไปล่ะ...ฟ้าลั่น”

“นายกำลังจะไปไหน...ฟ้าลั่น”

“ทำไมนายไม่บอกเรา......เราไม่ใช่เพื่อนกันแล้วเหรอ.....” เสียงครวญจากภูผา......ร่ำร้องในหัวใจ

***************

ภูผาจำช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายในน้ำที่มืดสนิทได้เป็นอย่างดี....หัวใจของเขาพร่ำภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์.......และต่อสู้กับความตายอันน่ากลัว.....เพื่อที่จะรอคอย.....รอคอยให้ฟ้าลั่นหาตนเองให้พบและนำขึ้นจากน้ำที่เย็นจัด.....ให้ตนเองได้เห็นหน้าฟ้าลั่นอีกครั้ง......

ก่อนที่ลมหายใจจะหยุดลง.......ความฝันย้อนกลับเข้ามาในจิตใต้สำนึกของภูผาอีกครั้ง.......ครั้งนี้เขาเห็นชัดเจนว่าชายหนุ่มตาหวานซึ้ง...ที่มีสัมผัสอันอ่อนโยนในฝันคือใคร......

“ในทีสุดเราก็รู้ว่าเป็นนาย....ฟ้าลั่น.....นายอยู่ในฝันเราตลอดมา.......”

“นายคือคนที่เรารัก.....รักมาตลอด..... แต่บัดนี้.......เราคงไม่มีโอกาสจะเห็นหน้านายอีกแล้ว......เราคงไม่อาจนำแม้กระทั่งความฝันติดไปกับเราในความตายอันแสนน่ากลัวได้.........ลาก่อนความฝันที่สวยงาม.....ลาก่อนฟ้าลั่น....คนในโลกของความเป็นจริงที่เรารัก.....รักเสมอ และตลอดไป” เมื่อสิ้นความคิดนี้.....ภูผาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

ลาก่อนนะ...ความฝัน......อันแสนหวาน...
ลาก่อนนะ.....ราตรีกาล.....อันสุดซึ้ง
ลาก่อนนะ.....ฟ้าลั่นที่รัก.....สุดคำนึง
ลาก่อนนะ....อ้อมกอดที่คิดถึง.....ตลอดไป

ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ภูผาจะจากไปตลอดกาล.....ฟ้าลั่นก็สามารถฉุดรั้งเขาออกมาจากท้องน้ำอันมืดมิด....และออกจากอุ้งหัตถ์พญามัจจุราชอย่างทันท่วงที.......

ภูผาลืมตาขึ้น...พร้อมกับหัวใจที่รับรู้อย่างกระจ่างแจ้งว่า....เขารักฟ้าลั่นมากเพียงใด......เขารักคนที่นอนกอดเขาเกือบทุกคืน.....รักคนที่เขาโหยหามานาน......คนที่อยู่ในฝันมาตลอดเวลา........ ฟ้าลั่น....คือคนที่ภูผารักสุดใจ

ในตอนนั้น....ภูผาตัดสินใจแน่วแน่ที่เก็บความรักของตนเองไว้ในหัวใจ.....โดยไม่คิดจะบอกฟ้าลั่นแต่อย่างใด..... ด้วยความกังวลว่าความเป็นเพื่อนที่คบหากันยาวนานจะสูญสิ้น.....เพราะฟ้าลั่นคงไม่อาจรับได้

ภูผาแค่หวังว่า...จะได้เห็นหน้าฟ้าลั่นทุกวันหลังจากออกจากโรงพยาบาลก็เท่านั้น......แค่อยากอยู่ด้วยคนที่ตนรัก.......ทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม....เหมือนหลายปีที่ผ่านมา......ภูผา....จะเป็นแค่เพื่อนสนิทของฟ้าลั่น....เท่านั้น

*********************
ความกังวลและความห่วงใยที่มีในใจ ทำให้ภูผาตัดสินใจตามหาฟ้าลั่น...ด้วยแรงทั้งหมดที่ตนมี...เพียงเพื่ออยากจะพบหน้าและรับรู้ถึงปัญหาที่ฟ้าลั่นกำลังเผชิญ....ในฐานะเพื่อนสนิทคนหนึ่ง

อันดับแรกเขาโทรศัพท์ไปหาบิดามารดาของฟ้าลั่น หลังเรียนถามท่านทั้งสองคนแล้ว เขาพบว่าฟ้าลั่นไม่ได้กลับไปที่บ้าน.....ภูผาจึงต้องนั่งคิดถึงสถานที่ที่ฟ้าลั่นชอบและคาดว่าจะไปพักอยู่ .....ในที่สุด จึงลองเสี่ยงโทรศัพท์ไปที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง...เขาค่อนข้างมั่นใจว่าฟ้าลั่นน่าจะอยู่ที่นั่น...ที่ที่ทั้งสองคนชอบเหมือนกัน..... “ม่อนเอื้องดอย”

ภูผาพาร่างที่ยังไม่แข็งแรงของตนเองมาถึงม่อนเอื้องดอยในตอนเย็นหลังรับทราบจากพนักงานรีสอร์ท ว่ามีคนชื่อฟ้าลั่น ศรีสิริโชคชัย เข้าพักอยู่ .....

เขาเลือกที่เดินไปที่ห้องพักของฟ้าลั่นโดยใช้ทางเดินเลียบริมลำธารน้ำที่ไหลผ่านใจกลางของรีสอร์ท.....สายน้ำไหลที่คงความงามเหมือนปีที่แล้ว..... ภูผาก้าวเดินอย่างช้าๆ พร้อมด้วยหัวใจที่สับสน....อ่อนแรง....และหวาดกลัว...

ภูผามองเห็นชายหนุ่มผมค่อนข้างยาว ใส่แว่นกรอบสีดำสนิทนั่งอยู่บนเก้าอี้ บริเวณระเบียงห้องพักที่ยื่นตัวออกมาจากบ้านไม้ผสมการก่ออิฐทรงยุโรป สู่เบื้องบนลำธารใส ..... หันหน้ามองออกไปในท้องฟ้ากว้าง......ฟ้าลั่นดูเหงา...เหงาเหลือเกิน

“ฟ้าลั่น” ภูผาตัดสินใจตะโกนเรียกฟ้าลั่น

เสียงจากคนคุ้นเคยร้องเรียก ทำให้ฟ้าลั่นหันกลับมามองที่ต้นเสียง....ดวงตาทั้งคู่ของเขาสัมผัสเข้ากับร่างที่บอบบางของคนที่ทำให้เขาต้องหนีมา.....

ฟ้าลั่นหนีหัวใจตนเองมา.....มาเพื่อทำให้มันแข็งแกร่งอีกครั้ง....เพื่อที่จะกลับไปหาคนที่เขารัก.....เก็บความรู้สึกรักไว้ให้ลึกสุดใจ....เหลือไว้แค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้นที่จะฉายชัดออกมาให้ภูผาได้รับรู้ 

ภูผาเดินมาเข้ามาหาฟ้าลั่นช้าๆ.....แต่คนที่หัวใจยังอ่อนแอ...กลับต้องหลีกหนี.... ฟ้าลั่นลุกจากที่นั่งเดินเข้าไปในห้องพักแล้วปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว .....ไม่มีแม้กระทั่งคำพูดที่จะเอ่ยออกมา .....เพราะว่าเขากลัว....กลัวว่าจะหลุดปากบอกรักภูผา....คนที่เขารักมากที่สุดในโลกที่อยู่ต่อหน้าตนเองในเวลานี้ ......แล้วพบว่ามันเป็นรักที่เขามอบให้เพียงฝ่ายเดียว.......และหลังจากนั้นความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ยาวนานก็จะสิ้นสุดลง

ร่างบางของภูผาทรุดตัวนั่งลงช้าๆ หันหลังเข้าพิงประตูห้องพัก....ห้องที่ทั้งคู่เคยพักด้วยเมื่อวันปีใหม่ปีที่แล้ว........ ห้องที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน......แต่วันนี้.....ปีนี้....มันกลับทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่าง.....ความเสียใจ....ความกังวล...... และความสับสนในหัวใจ

ฟ้าลั่นทรุดตัวลงช้าๆ เช่นกัน หันหลังพิงประตูบานเดียวกับภูผา........ร่างของทั้งสองใกล้กันแค่เพียงความหนาของประตูกั้นขวาง......แต่ในหัวใจกลับดูห่างกันเสียเหลือเกิน.......

ใกล้เพียงแค่.....บานประตู......ที่กั้นขวาง
กลับสุดกว้าง.....กว่าท้อง....ทะเลใส
เหมือนท้องฟ้า....พสุธา....ห่างกันไกล
สุดอาลัย.....สองฤทัย.....มิพบพาน

“ฟ้าลั่น.....นายเป็นอะไร.....ทำไมนายไม่พูดกับเรา” ภูผาพูดเบาๆให้คนในห้องได้ยิน ....น้ำตาที่ตนเองพยายามกลั้นไว้.....มันไหลหลั่งลงมาอย่างห้ามไม่ได้.......พรอมหัวใจที่เจ็บปวด

“เราทำอะไรผิดเหรอฟ้าลั่น......เราทำอะไรผิด.......ถ้าเราทำผิด...เราขอโทษ” เสียงสะอื้นยังคงแผ่วเบา แต่มิอาจปิดบังคนตัวใหญ่ที่นั่งพิงประตูเดียวกันให้รับรู้ได้

“นายบอกกับเราซิ.....อย่าเงียบอย่างนี้.......ทำไม.....ทำไม.....เราเป็นเพื่อนนายไม่ใช่เหรอ......ทำไมไม่บอกเรา” ร่างบางยังคงพูดต่อ โดยไม่คิดจะเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมา

“นายไม่ผิดหรอกหมอก........นายไม่ผิด.....ผิดที่เราเอง” ฟ้าลั่นตัดสินใจพูดออกมาอย่างช้าๆ

“ฟ้าลั่น....เราไม่เข้าใจ....นายอย่าทำอย่างนี้ได้มั้ย.....อย่าทำอย่างนี้เลย”

“นายอย่าโทษตัวเองที่เราตกน้ำนะฟ้าลั่น......มันเป็นอุบัติเหตุ......เราหายดีแล้ว......นายเป็นคนนำเราขึ้นมานะฟ้าลั่น.......นายคือคนช่วยชีวิตเรานะ.........” ภูผายังคงพยายามพูดต่อ เพื่อที่จะทำไห้ฟ้าลั่นสบายใจ

“ไม่ใช่หรอกหมอก....ไม่ใช่เรื่องนั้น.......ขอเวลาเราได้มั้ยหมอก.......ให้เราพร้อมกว่านี้” ฟ้าลั่นพูดช้าๆ เพราะพยายามกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายไม่ให้ไหลออกมา ......ความรักที่มีอยู่เต็มอก...มันช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน...เจ็บปวดเพราะมันไม่อาจประกาศออกไปได้....ทำได้แค่เพียงเก็บมันเอาไว้......ให้ลึกที่สุด....

“ทำไม.......” ประโยคสุดท้ายที่ภูผาพูดออกมา ก่อนที่จะไม่สามารถอดทนต่อความเสียใจไปมากกว่านี้....ปล่อยน้ำตาและเสียงร้องไห้ออกมาเต็มที่

คนที่อยู่ในห้องตอนนี้ก็เสียใจไม่แพ้กัน....ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นของคนที่ตนรักแล้ว....ความเจ็บปวดในหัวใจก็ทวีเพิ่มขึ้น......ถ้าเป็นไปได้....ฟ้าลั่นอยากคว้าร่างนั้นเข้าหาตัว......พร้อมกับใช้ริมฝีปากห้ามน้ำตาที่ไหลริน......จะปลอบประโลมภูผาอย่างอ่อนโยนเท่าที่หัวใจรักเขาจะนำพา

สองหนุ่มร้องไห้ด้วยกันหน้าประตูที่กั้นขวาง........... ทำไมนะ..ความรัก.....มันน่าจะสวยงาม....แต่ความรักของสองหนุ่มคู่นี้กลับช่างเจ็บปวดเหลือเกิน......

ภูผาสงบสติอารมณ์......ปาดน้ำตาออกจากใบหน้า.....ด้วยความรู้สึกที่แม้ตนเองก็ยากที่จะเข้าใจ....พร้อมความน้อยใจ....และสับสน.....เขาตัดสินใจบอกความรู้สึกของตนออกมา ทั้งๆที่ตอนแรกตัดสินใจว่าจะเก็บมันไว้ในหัวใจส่วนลึก......

ในวินาทีนี้....หัวใจของเขาร่ำร้องให้บอกความรู้สึกตนเองที่แท้จริงออกมา......บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้....หรือบางที...ก็อาจทำให้ฟ้าลั่นเปิดประตูออกมาพูดอะไรกับตนเองบ้างก็ได้......นิดเดียวก็ยังดี.....

ในที่สุดภูผาก็กล่าวบอกฟ้าลั่นว่า......

“ฟ้าลั่น.....นายฟังให้ดีนะ........เราขอพูดอะไรเป็นครั้งสุดท้าย....แล้วเราก็จะไป......แม้กระทั่งเดินออกไปจากชีวิตของนาย......เราก็จะทำ”

“เรารักนายนะฟ้าลั่น.........เรารู้สึกตัวเองก็ตอนที่เราตกน้ำนั่นแหละ........คนที่เราคิดถึงมากที่สุดขณะที่เรากำลังขาดอากาศหายใจคือนายนะฟ้าลั่น.....ไม่ใช่พี่เสือหรือใครๆ......คือนาย....คือคนที่เราอธิษฐานให้พบเรา...ให้ช่วยเราขึ้นมา..........ให้นำเราขึ้นมาจากความตายอันน่ากลัว...........”

“นายรู้มั้ยว่า......เมื่อเราลืมตาขึ้นมาเห็นนายเป็นคนแรก.....เราดีใจมาก....มาก .....เพราะหมายความว่าเราจะได้อยู่กับนายอีกครั้ง......เรารู้ว่าเรารักนาย.....และขาดนายไม่ได้ในตอนนั้นนะฟ้าลั่น.....นายได้ยินมั้ย.....ฟ้าลั่น”

“เรารู้ว่านายไม่ได้รักเราแบบนั้น.......แต่เราสัญญานะฟ้าลั่น......เราจะรักนายและเป็นเพื่อนนายตลอดไป....เราย่อมเรียนรู้และหาทางเก็บความรู้สึกนั้นในลึกที่สุด....จะไม่ให้มาทำลายความเป็นเพื่อนที่มีต่อกันอย่างยาวนานได้.....” ประโยคสุดท้ายจบสิ้น พร้อมร่างบางลุกขึ้นยืนและเดินออกมาจากประตูบานนั้น.....บานที่ปิดกั้นความรักของเขา....รักที่ไม่มีวันที่จะสมหวัง

ทุกถ้อยคำของภูผาแทรกซึมเข้าไปในหัวใจทุกห้องของฟ้าลั่น.......เขารับรู้แล้ว......เขารู้ว่าคนที่เขารัก.....ก็รักเขาไม่แพ้กัน....... ความกลัว....ความกังวลในจิตใจจางหายออกไปอย่างรวดเร็ว

ฟ้าลั่นเปิดประตูออก... เห็นหลังของภูผาที่กำลังเดินออกไป........เขารีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว และคว้าข้อมือของภูผาไว้ให้หันกลับมา แล้วรวบร่างบางที่กำลังร้องไห้เสียใจเข้ามากอดในทันที.... เพื่อไม่ให้หนีไปไหนได้อีก.....ก่อนจะพูดว่า

“หมอก......เราก็รักนายนะ.......รักมาก.....กว่าใครๆ”

“อย่าร้องไห้นะหมอก........เราจะไม่หนีแล้ว.....เราจะอยู่กับนาย......อย่าร้องให้อีกเลยนะคนดี”

“นายเจ็บ.....เราก็เจ็บด้วยนะ”

“หัวใจของเราอยู่ที่นายนะหมอก......อย่าร้องไห้” ฝ่ามือที่นุ่มนวลลูบไล้ไปข้างแก้มของคนรัก...เพื่อเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาคู่สวย....สัมผัสทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความแผ่วเบา....และจบลงด้วยความรักอันลึกซึ้งที่ถ่ายทอดออกมา

“นายอย่าหนีเราไปไหนอีกนะฟ้าลั่น.........อย่าทำอย่างนี้อีกนะ.......” ภูผากล่าวเสียงสั่น ใบหน้ายังแนบอยู่กับอกแข็งแรง แขนทั้งสองข้างยังคงโอบกอดคนที่ตนเองรักเช่นกัน.....อ้อมกอดนี้ที่อบอุ่น....อ้อมกอดที่รอคอย

ฟ้าลั่นเดินจูงมือภูผาเข้ามาในห้องพัก.... ปิดประตู.... แล้วพาให้เดินไปยังโซฟาที่หันหน้าเข้าหาผนังกระจกใส ทำให้เห็นบรรยากาศรอบนอกของรีสอร์ทอย่างชัดเจน.....

เวลานี้ธรรมชาติได้แต่งเติมสีสรรพ์ให้กับตนเอง...ราวกับจะให้เป็นของขวัญกับคู่รักคู่ใหม่....ที่น่ารักคู่นี้

ฟ้าลั่นนั่งลงบนโซฟาตัวนั้น.... แล้วรั้งร่างบางให้นั่งลงบนตักตนเอง......ก่อนจะแนบคางสวยลงบนไหล่ภูผา แล้วเอาแขนตนเองโอบกอดลำตัวของภูผาไว้อย่างหลวมๆ

“หมอก...เราขอโทษ....เราไม่ได้ตั้งใจทำให้นายร้องไห้นะ”

“เราสับสน...และกลัว.......เรากลัวว่าเราจะบอกรักนาย......แล้วมันกลายเป็นว่าเรารักนายข้างเดียว......ความเป็นเพื่อนที่มีอาจจะสูญไป” น้ำตาของผู้พูดไหลออกมาเป็นทาง หยดลงบนไหล่ของหนุ่มร่างบางที่ถูกโอบกอดอยู่

“ตอนนี้เราไม่กลัวแล้ว.......เรารู้ว่าเราไม่ได้รักนายข้างเดียว”

“เราสัญญานะหมอก.......เราจะอยู่เคียงข้างนายเสมอ..... เราจะไม่มีวันสูญเสียนายไปเด็ดขาด” ฟ้าลั่นพูดอย่างหนักแน่น ก่อนที่จะยกคางขึ้นจากไหล่ภูผา แล้วหันหน้าไปสูดความหอมหวานของพวงแก้มใสช้าๆ หลายครั้งโดยที่แขนแข็งแรงก็โอบกอดลำตัวภูผาอย่างนุ่มนวล......เนิ่นนาน

ภูผายังคงไม่กล่าวอะไรออกมา.....แต่ก็ไม่ปฏิเสธการลุกล้ำของฟ้าลั่น..... ภูผากำลังดีใจอย่างสุดซึ้ง......แต่หลังจากนั้นไม่นาน....ความกังวลในหัวใจก็เกิดขึ้น ....และถ่ายทอดออกมาจนคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเริ่มรู้สึกได้

“หมอก....เป็นอะไร.....ไม่ดีใจเหรอ......นายจะมีแฟนที่หล่อและน่ารักที่สุดในโลกเลยนะ” ฟ้าลั่นหยอกล้อ เพราะเห็นว่าคนรักของตนแสดงสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน

“อืม........เราแค่กังวลว่าจะบอกพี่เสืออย่างไรดี.....เราไม่อยากให้พี่เสือเสียใจน่ะ.....” ในที่สุดภูผาก็พูดออกมา

“ความรักมันบังคับกันไม่ได้นะหมอก.......เราคิดว่าพี่เสือน่าจะเข้าใจ......แต่คงห้ามไม่ได้ที่จะเสียใจ”

“แหม.....ก็น้องหมอกผู้น่ารัก.....ถูกนายฟ้าลั่นสุดหล่อ....ฉวยมาแบบนี้....พี่เค้าคงจะโกรธแย่เลย” ฟ้าลั่นยังคงอารมณ์ดีเสมอ จนทำให้ภูผาต้องหันมาค้อนให้อย่างอดไม่ได้

“ไม่เอาน่าอย่าคิดมาก.....เราสองคนก็แค่ไปอธิบายให้พี่เสือเค้าฟัง......พี่เค้าคงเข้าใจนั่นแหละ”

“แต่หวังว่านายคงไม่มีอะไรกับพี่เสือมาก่อนนะ..... หรือว่ามี ....เลยห่วงพี่เสือมากขนาดนี้” ฟ้าลั่นแกล้งหลี่ตามองสำรวจภูผา ตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เฮ้ย....ไอ้บ้า.....ไม่มีอะไรกันซักหน่อย......” ภูผารีบบอก โดยไม่วายจะหันมาค้อนให้อีกทีหนึ่ง

“เราก็แค่เป็นห่วงพี่เสือ ไม่อยากให้พี่เค้าเสียใจ......มันเหมือนกับเราหลอกพี่เค้ามาตลอดเลย”

“ดีแล้ว......ถ้ามีอะไรกัน....เราจะทำโทษนายเดี๋ยวนี้เลย.....นายต้องเป็นของเราคนเดียวนะหมอก.....ห้ามนอกใจเราด้วย” ฟ้าลั่นพูดเบาๆก่อนที่จะกอดรัดภูผาแน่นขึ้นเพราะความหวง.....ระคนห่วงใย

“อย่าคิดมากเลย.....เราสองคนไปอธิบายให้พี่เค้าเข้าใจ.....พี่เค้าคงไม่ว่าอะไร.....อย่างมากก็ตาย” ฟ้าลั่นหัวเราะเบาๆ เขาแสร้งทำเป็นอารมณ์ดี ทั้งที่ในใจก็เกิดความกังวลไม่แพ้คนในอ้อมกอด

ถึงแม้ฟ้าลั่นจะพยายามปลอบใจ...แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภูผาคลายความกังวลออกมาได้แต่อย่างใด...เขาคงยังรู้สึกผิดที่เพราะเหมือนกับว่าเขาได้หลอกลวงศิวะมาตลอด......

**************

ท้องฟ้าโปร่งมืดมิดยามค่ำคืนในดินแดนแห่งขุนเขา......ดวงดาวนับร้อยพันพาส่องแสงระยิบระยับ...ราวกับจะตื่นเต้นที่ได้รับรู้ความรักอันหวานชื่นของสองหนุ่ม ที่นั่งคลอเคลียกันหน้ากองไฟเล็กๆกลางบริเวณสนามกว้าง....ริมลำธารสวย

ในมือของคนผมยาว....ตัวโตกว่า...กำลังถือกีตาร์ที่ขอยืมมาจากรีสอร์ท......คนตัวเล็กกว่านั่งข้างๆคอยฟังนิ้วสวยได้รูป......วาดลวดลายลงบนเส้นสาย......ก่อเกิดเป็นทำนองที่ไพเราะ....จับใจ

“เพราะอยากให้หมอกมีความสุข......อยากให้อ้อมกอดของเราคือวิมานนายนะหมอก” ฟ้าลั่นพูดออกมา ก่อนจะกรีดนิ้วลงไปช้าๆบนกีตาร์ตัวงาม......เปล่งเสียงนุ่มหวานออกมาเบาๆ...เขาขอแค่ให้คนที่ตนรักได้ยิน.....เพียงคนเดียวเท่านั้น.....

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2007 19:26:38 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ฟ้าลั่นตั้งใจมอบเพลงนี้ให้กับภูผา......คนที่เขากว่าจะรู้ตัวว่ารัก.....ความตายก็เกือบจะมาพรากเอาไป...... คนที่เขากอดอย่างสบายใจทุกค่ำคืน....คนที่มีค่าต่อหัวใจของตน......

..................................ฝากรักเอาไว้ ฝากไปในแสงดวงดาว 
..................................ที่ส่องประกายวับวาว วาว อยู่บนฟากฟ้า 
..................................ให้แสงสุกใส ได้เป็นเสมือนดวงตา 
..................................คอยส่องมองเธอด้วยแววตา แห่งความภักดี

..................................เก็บฟ้ามาสาน ถักทอด้วยรักละมุน 
..................................คอยห่มให้เธอได้อบอุ่น ก่อนนอนคืนนี้ 
..................................ให้เสียงใบไม้ ขับกล่อมเป็นเสียงดนตรี 
..................................คอยกล่อมให้เธอฝันดี ดี ให้เธอเคลิ้มไป

..................................เป็น วิมานอยู่บนดิน 
..................................ให้เธอได้พักพิง พิง และนอนหลับใหล 
..................................เก็บ ดาว เก็บเดือนมาร้อยมาลัย 
..................................เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร 
..................................มาคล้องใจเราไว้รวมกัน

..................................ก่อนฟ้าจะสาง ก่อนจันทร์จะร้างแรมไกล 
..................................ยังอยู่กับเธอข้างเคียง กาย อยู่ในความฝัน 
..................................ฝากเสียงกระซิบ ฝากไปในสายลมผ่าน 
..................................ข้ามขอบราตรีที่ยาว นาน ให้เธอฝันดี

..................................เป็น วิมานอยู่บนดิน 
..................................ให้เธอได้พักพิง พิง และนอนหลับไหล 
..................................เก็บ ดาว เก็บเดือนมาร้อยมาลัย 
..................................เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร 
..................................มาคล้องใจเราไว้รวมกัน

..................................ก่อนฟ้าจะสาง ก่อนจันทร์จะร้างแรมไกล 
..................................ยังอยู่กับเธอข้างเคียง กาย อยู่ในความฝัน 
..................................ฝากเสียงกระซิบ ฝากไปในสายลมผ่าน 
..................................ข้ามขอบราตรีที่ยาว นาน ให้เธอฝันดี

..................................ให้เธอได้อบ อุ่น และนอนฝันดี
..................................ให้เธอได้อบ อุ่น...อยู่ใน วิมาน...
(วิมานดิน โดยนันธิดา แก้วบัวสาย)

ขณะที่ร้องเพลง....ดวงตาหวานของฟ้าลั่นก็ไม่ได้คลาดไปจากวงหน้าของคนที่ตนรักแม้แต่สักวินาทีเดียว....... คนที่ถูกมองต่างหาก...กลับเขินเสียจนต้องพยายามหลบสายตาคู่งามนั้นหลายครั้ง.....จนเพลงจบ

“เป็นอะไรครับ....ที่รัก.....ทำไมนายไม่มองหน้าเราล่ะ” ฟ้าลั่นถาม

“เอ้อ.......ในที่สุดเราก็รู้ว่าทำไมผู้หญิงถึงติดนายมากนัก......ก็หวานซะขนาดนี้......” ภูผาพยายามเปลี่ยนประเด็นเพราะความอาย

“แล้วหมอกชอบหรือเปล่าละ....หวานๆแบบนี้”

“อืม.......แต่มันเขินอ่ะ....... เราเคยเห็นแต่นายในอารมณ์แบบว่าสนุกสนุกสนาน แอบเงียบขรึมเล็ก......แต่ไม่เคยเห็นนายโรแมนติกขนาดนี้นี่นา”

“เราจะหวาน....ถ้าหัวใจบอกให้ทำนะหมอก.....” ฟ้าลั่นส่งสายตาหวานเชื่อมมาให้ภูผาอีกครั้ง แล้วถามต่อว่า

“เราร้องเพลงให้นายไปแล้ว......คราวนี้นายต้องให้เราบ้าง.......อย่าบอกนะว่าเล่นกีต้าร์ไม่เป็น.....เราเคยเห็นนายเล่นตอนงานรับน้อง.....” ฟ้าลั่นดักคอ....จนทำให้คนหน้าหวานต้องส่ายหัวเบาๆในความช่างสังเกต...บวกอาการเอาแต่ใจเล็กๆ ของฟ้าลั่น...ภูผาพยักหน้าและบอกว่า

“ก็ได้ครับ.....คุณชายฟ้าลั่น...ที่รัก”

ภูผารับกีตาร์มาไว้ในมือ.......แม้ว่าจะไม่ใช่เครื่องดนตรีที่ถนัดเพราะเขาชอบสีไวโอลินมากกว่าเนื่องจากรับอิทธิพลมาจากทางครอบครัวของบิดา...... แต่ก็สามารถเล่นกีตาร์ได้อย่างกลมกลืนและสอดคล้องกับโทนเสียงของตน......ภูผาตั้งใจเลือกเพลงนี้ให้กับคนที่เค้ารักเช่นกัน

คนที่มีตัวตนทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและในฝันมาตลอด............

***************************************************************************



.....................................ท่ามกลางตะวันทาบทอขอบฟ้า
.....................................ดวงอาทิตย์ร้อนแรงส่องแสงมา
.....................................จวบจนตะวันนั้นลับจากสายตา
.....................................เมื่อถึงเวลาฟ้าจะเปลี่ยน...

.....................................ก็เป็นกลางคืนที่มีหมู่ดาว
.....................................คืนที่ฟ้างดงามด้วยแสงดาว ส่องเป็นประกายวับวาว
.....................................อยากคว้าดาวมาอยู่ใกล้มือ...

.....................................ถ้าลองเอื้อมไปสู่ฟ้า และคิดจะไปเสาะหา
.....................................มีดาวเท่าไหร่ ที่รอให้เราไขว้คว้า...

.....................................เก็บดาวบนท้องฟ้า แล้วแทนรักมาให้กัน
.....................................ให้เธอเป็นของขวัญแทนด้วยสื่อสายใจ
.....................................อยากให้รักเราเหมือนฟ้า
.....................................ที่เต็มไปด้วยดาวสดใส ตลอดกาล

.....................................อาจจะมีบางครั้งที่เราห่างไกล แต่เรามีฟ้าและดาวผูกหัวใจ
.....................................เก็บเป็นพลังให้เราฝันใฝ่ อยากคว้าดาวมาอยู่ใกล้มือ...

.....................................ถ้าลองเอื้อมไปสู่ฟ้า และคิดจะไปเสาะหา
.....................................มีดาวเท่าไหร่ ที่รอให้เราไขว้คว้า...

.....................................เก็บดาวบนท้องฟ้า แล้วแทนรักมาให้กัน
.....................................ให้เธอเป็นของขวัญแทนด้วยสื่อสายใจ
.....................................อยากให้รักเราเหมือนฟ้า
.....................................ที่เต็มไปด้วยดาวสดใส ตลอดกาล
(อัลบัม : RHYTHM & BOYD ศิลปิน : บอย โกศิยพงษ์ )

เสียงเพลงที่ขับกล่อม....หล่อหลอมให้หัวใจสองดวงเดินเข้าหากัน.......และแนบสนิทแน่น......จนกลายเป็นดวงเดียวกัน.....หัวใจรักที่ต้องดูแล.....ให้ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง.......ก้าวผ่านอุปสรรคและกำแพงหนา....สู่อนาคตที่ยากจะคาดเดา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2007 19:27:39 โดย b|ueBoYhUb »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






wee

  • บุคคลทั่วไป
ไม่คอมเมนท์ดีกว่า  สมบูรณ์ที่สุดแล้ว พูดไม่ออกแล้ว......
 :impress: :impress2: :sad4: :-[ :haun6: :monkeysad: :myeye:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
 :impress2:  โรแมนติกมั่กๆ ทั้งบรรยากาศ เสียงดนตรี สายลม กับ สองเรา  อ๋อยยยย เคลิ้มมมม

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
ชิวิตรักของฟ้าลั่นกับภูผากำลังจะเกิดขึ้นและไปด้วยดี

แต่สำหรับชีวิตศิวะล่ะ.................... :impress3:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
โอยยยยย  อย่างกับได้ไปนั่งฟังน้องหมอกร้องเพลงซะงั้น  เพลงโปรดซะด้วย  ไม่ไหวละ  ซาบซึ้ง  โรแมนติค  ยิ้มแก้มแทบปริ   :-[  :sad4:

รออ่านเหมือนเคย  เรย์จ๋า  ให้ไว   :impress:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
อยากมีแบบนี้บ้างจัง

 พูห์ :serius2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
อ่านแล้วอยากมีแฟนกันหรือยังครับ  :pigha2:





ขณะที่สองหนุ่มกำลังใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขท่ามกลางขุนเขาและดาวนับพันดวง..... ศิวะกลับร้อนใจกระวนกระวาย......เพราะความเป็นห่วงที่ภูผาหายออกไปจากห้องพัก.....แม้ว่าจะโทรศัพท์ไปหาหลายครั้ง...ก็ไม่มีคนรับสาย....พอโทรไปหาฟ้าลั่นก็ปิดเครื่องอีก......ศิวะได้แต่หวังว่าภูผาคงอยู่กับฟ้าลั่นที่ไหนซักแห่ง.......เขาหวังว่าภูผาของเขาคงจะมีคนดูแลอยู่ในตอนนี้.....

“ได้โปรดเถิดสวรรค์....อย่าให้น้องหมอกต้องอยู่คนเดียวเลยนะครับ” ศิวะอ้อนวอน และพยายามบังคับตนเองให้เข้าสู่นิทรา....โดยที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไปรอภูผาที่หอตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้

ฟ้าลั่นและภูผาออกมาจากรีสอร์ทในตอนสาย .....ขับรถออกมาแวะรับประทานอาหารก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับหอพักเพราะมีเรียนในตอนบ่ายทั้งคู่

ขณะกำลังเดินเข้าสู่หอพัก.....สายตาของทั้งคู่ก็พบกับศิวะที่นั่งรออยู่บนโซฟารับแขกของหอพัก ด้วยใบหน้าที่บ่งบอกความโกรธ....ความเสียใจ...ความผิดหวัง.....คงมีแต่ดวงตาที่ยังฉายความห่วงใยให้กับคนที่เขารักเสมอ

“ไปไหนกันมา.......ทำไมไม่รับโทรศัพท์...รู้ว่าพี่เป็นห่วงเราสองคนขนาดไหน...โดยเฉพาะน้องหมอก....ยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย” ศิวะพูดออกมาเป็นชุด ด้วยอารมณ์ที่อัดอั้นสะสมมาทั้งคืน

“พี่เสือ....ผมขอโทษ...ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปครับ” ภูผากล่าวสำนึกผิดทั้งสีหน้าและแววตา

“ผมก็ขอโทษที่ปิดโทรศัพท์ครับ” ฟ้าลั่นกล่าวเสริม

ศิวะได้ยินคำขอโทษ และท่าทีสำนึกผิดของทั้งสองคนก็เริ่มจะหายโกรธขึ้นมาบ้าง......แต่ก็ด้วยเพราะความเป็นห่วงมาก...เลยยังคงไม่สามารถให้อภัยได้ในทันที

“งั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำ.....แล้วไปเรียนกันก่อน...เย็นนี้เราต้องมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกันนะน้องหมอก...ฟ้าลั่นด้วย” ศิวะกล่าวจบ เขาก็เดินออกมาอย่างรวดเร็ว

สองหนุ่มรับรู้ชะตากรรมตนเองในทันทีว่า...ในตอนเย็นนี้คงจะบอบช้ำอย่างแน่นอน......ในเมื่อเล่นอะไรไม่เล่น...ไปเล่นกับอารมณ์โกรธของศิวะ.....แม้ว่าพี่เสือจะอ่อนโยนและสุภาพ...แต่ศิวะก็ยังคงเป็นเสือเหมือนชื่อ เพราะถ้าศิวะโกรธขึ้นมาเมื่อไหร่......ก็ไม่มีใครอยากเข้าหน้า.....เพราะจะมีความจริงจัง....จากที่มีมากอยู่แล้ว เพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า......แค่คิดสองหนุ่มก็หนาวขึ้นมาอย่างจับใจ.....โดยเฉพาะภูผาซึ่งมีความผิดสองต่อ หนึ่งคือไม่บอกกล่าวว่าไปไหน.....สองคือ เรื่องที่ตนเองรักฟ้าลั่นเข้าเสียแล้ว

 “ไม่ต้องกลัวน่าหมอก...เราทำผิดเราก็ต้องรับผิดซิ.....อีกอย่างพี่เสือเค้ามีเหตุผล....เค้าคงไม่ทำอะไรรุนแรงหรอก” ฟ้าลั่นปลอบขวัญคนรักของตน ที่ยังคงแสดงสีหน้ากังวลแม้ว่าศิวะจากจากไปนานแล้ว

“แต่ถ้าพี่เสือโกรธจริงๆนะฟ้าลั่น......เราเองยังไม่รู้เลยนะว่าจะหาทางแก้ไขได้อย่างไร.....พี่เค้าโกรธคนยาก...แต่ถ้าโกรธเมื่อไหร่...ก็ลำบาก”

“อืม.....อย่าคิดมาก...เดี๋ยวตอนเย็นก็รู้” ฟ้าลั่นสรุป ก่อนจะหันมาช่วยภูผาถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ...ทำให้ถูกภูผาตีมือไปหลายที.....

“หมอกน่ะ...ใจร้าย.... แค่หวังดีอยากช่วยถอดเสื้อผ้าให้ก็เท่านั้น” พลางคำมือป้อยๆ ทำหน้าตาน่าสงสารใส่คนตัวเล็กแต่ดุมาก

“อย่าลามกนะฟ้าลั่น.......เรารักนายก็ไม่ได้หมายว่าจะมีอะไรกับนายนะ.....รอไปซักห้าปีแล้วกัน” ภูผาหันมาบอกยิ้มๆก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป

“คนอะไร...ใจร้ายจัง.....” คนตัวโตกว่าบ่นพึมพำ

หลังจากขับรถออกมาจากหอพักของภูผา.....ศิวะก็ไปนั่งสงบสติอารมณ์ที่ร้านแบล็คคอนยอน ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัย

ร้านนี้มีลักษณะเป็นร้านกาแฟบรรยากาศดี ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีน้ำตาล สีดำ และสีขาว ขนาดของร้านไม่ใหญ่มากนัก ที่ตั้งอยู่หลังสุดท้ายของอาคารพานิช คั่นด้วยถนนเข้าสู่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง โดยถัดไปเป็นร้านอาหารและไอศกรีมชื่อดังที่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เกือบทุกคนต้องเคยมานั่งกิน คือ..... ร้านโบ้ทไอซ์ครีม

ศิวะยอมรับว่าโกรธภูผามาก....โกรธเพราะเป็นห่วง...กลัวว่าจะไม่สบายหรือประสบอุบัติเหตุไปอีก แต่เมื่อเห็นภูผากลับมาด้วยสภาพที่ปกติและคงร่าเริงพร้อมกับฟ้าลั่น.....ทำให้ความโกรธลดลงไปมาก.....กลับมีแต่ความเสียใจเข้าแทนที่ในหัวใจ

เพราะมองเห็นแววตาแสดงอาการเป็นห่วงเป็นใยที่แสดงออกมายามเมื่อทั้งสองมองกัน......แม้ทั้งคู่จะพยายามปิดบังอยู่.....ศิวะก็รับรู้ได้อีกครั้งว่า......ตนเองคงไม่อาจครอบครองหัวใจของภูผาได้เสียแล้ว...... ถึงแม้ว่าจะยังไม่แน่ใจเท่าไหร่เพราะยังไม่ได้ยินข้อสรุปจากปากของทั้งสองคน.....แต่หลายปีที่ผ่านมาศิวะรับรู้มาตลอดว่าภูผายังเป็นภูผาคนเดิม....ยังไม่เปิดใจให้กับตนเองเต็มร้อย........แม้จะไม่เคยห้ามให้ตนเองเรียกว่า “แฟน” แต่ในความเป็นจริง ศิวะเป็นแค่.....คนสนิทเท่านั้น.....

ศิวะแอบสงสัยหลายครั้ง....แต่ก็เก็บเอาไว้ในใจเสมอ ไม่เคยกล่าวถามภูผา......เขาสงสัยว่าภูผาอาจกำลังเฝ้ารอใครซักคนหนึ่ง.....คนที่อยู่ในใจภูผามาตลอดเวลา....คนที่อยู่ไกลแสนไกล..... คนที่อย่างไรก็ไม่ใช่เขา.......กระนั้นศิวะก็หวังว่า...ตนเองจะทำให้ภูผาลืมคนนั้นไปได้.......แต่มาวันนี้ความหวังมันมลายหายไปเสียแล้ว

ศิวะไม่เคยคิดว่าคนที่ภูผาเฝ้ารอคอยจะเป็นฟ้าลั่น......คนที่อยู่ใกล้แสนใกล้..... มิได้ไกลอย่างที่คิด ....

เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้ให้ศิวะสรุปว่า......คนที่ภูผารอคอยมาตลอดคือฟ้าลั่น.......เขาต้องยอมรับสภาพความเป็นจริง....เป็นความเป็นจริงอันแสนเศร้า...... รักคนที่เขาไม่รักเรา....มันเจ็บนัก.....

สุดท้ายศิวะก็ย้อนกลับไปคิดถึงข้อสรุปที่ตนเองเตรียมไว้สำหรับกรณีเช่นนี้

“บางที....ผู้แพ้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ.......หากยังคงรักษาไว้ซึ่งความรัก.......แม้มิได้ครอบครอง”

อย่างไรก็ตามศิวะก็ไม่อาจตัดใจจากภูผาได้อยู่ดี.....เขายินดีที่จะเฝ้าตามดูภูผาอยู่เหมือนเดิม.....จนกระทั่งให้อนาคตและเวลาเป็นตัวตัดสินใจว่า ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด.....ความรักจะยังมั่นคงอยู่...หรือจะแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกของพี่ชายที่แสนดี........อนาคตข้างหน้า...ใครนั้นจะรู้

ตอนนี้คงได้แต่รอว่า...เมื่อไหร่สองคนจะยอมรับความเป็นจริง...แล้วอธิบายความรู้สึกที่แท้จริงแก่เขาได้รับรู้

แต่ครั้นคิดไปคิดมา.....ศิวะก็ได้ข้อสรุปใหม่ว่า....เขาจะทำให้ทั้งสองหนุ่มพูดความในใจออกมาเสียวันนี้เลยดีกว่า.....จะได้ถือโอกาสแกล้งให้หัวปั่นไปด้วย.......โทษฐานที่ทำให้เขาต้องกระวนกระวายใจ.....เสียใจ.....และหงุดหงิดมาตลอดทั้งคืน

“ถือซะว่าเป็นการเอาคืนแบบเล็กๆ แล้วกัน นะครับน้องหมอก...และไอ้หมาน้อยฟ้าลั่น.....ที่บังอาจคาบเนื้อหวานไปกิน” ศิวะยิ้มกับความคิดของตน แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะนั่งทบทวนแผนการเอาคืนภูผากับฟ้าลั่นในเย็นนี้

โดยความจริงแล้ว...ที่ศิวะนัดสองหนุ่มให้มาคุยกันในตอนเย็นก็เพราะอยากถามว่าไปไหนกันมาก็เท่านั้น....เนื่องจากตอนนั้นเขาโมโหมากเลยไม่อยากพูดอะไรมาก เขากลัวว่าจะควบคุมความโกรธไม่อยู่ เลยนิ่งเสีย....... แต่กลับกลายเป็นเวลาประจวบเหมาะกับการเริ่มแผนการของตน

“สนุกแน่...น้องหมอก.....” นี่คือข้อสรุปของศิวะ

เมื่อรับประทานข้าวเย็นด้วยกันเสร็จแล้ว ฟ้าลั่นและภูผาก็ไปหาศิวะที่หอ หลังจากเปิดประตูให้สองหนุ่มเข้ามาในหอแล้ว ศิวะก็เชิญสองหนุ่มนั่งลงบนโซฟา....เพื่อดำเนินการลงโทษตามแผนการ

ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเป็นงานเป็นการของศิวะ...แม้จะดูเหมือนว่าไม่มีอารมณ์โกรธในสีหน้าหรือแววตานั้น...แต่ภูผาก็รู้ดีว่า.....นั่นคืออาการโกรธอย่างที่สุดของศิวะ......ยิ่งโกรธยิ่งเป็นงานเป็นการ

ภูผารู้สึกกลัวขึ้นมา.....ส่งผลให้ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นสบตาศิวะได้....ฟ้าลั่นที่นั่งอยู่บนโซฟายาวเดียวกัน...เห็นความกลัวของภูผาที่แสดงออกมา เลยขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น...ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือมาจับมือภูผามากุมไว้ ........

ศิวะเริ่มบทบาทแสดงละครของตนเองอย่างไม่รอช้า

“เมื่อคืนน้องหมอกไปไหนมาครับ” น้ำเสียงเป็นงานเป็นการกล่าวออกมาจากศิวะ

“เอ่อ.....เอ่อ.....” ภูผาอ้ำอึ้งเพราะความกลัว กำลังจะอ้าปากตอบคำถาม แต่ไม่ทันเพราะฟ้าลั่นกล่าวออกมาก่อนว่า

“เมื่อคืนหมอกอยู่กับผมที่ม่อนเอื้องดอยครับพี่เสือ”

“แล้วน้องหมอกไปทำอะไรที่นั่นครับ” ศิวะถามต่อ

“ผมไปตามฟ้าลั่นครับ” ภูผาตั้งสติได้รีบตอบกลับมา

“ทำไมต้องไปตามครับ” ศิวะถามกลับ

“พอดีเรามีปัญหากันนิดหน่อยครับ” ฟ้าลั่นตอบแทน

“ปัญหาอะไร....ทำไมต้องไปตั้งที่นั่น......ทำไมไม่คุยกันที่หอพัก”

“มันเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเราครับพี่เสือ...ผมขออนุญาตไม่พูดได้มั้ยครับ” ฟ้าลั่นกล่าวตอบแทนภูผาที่อ้ำอึ้งอยู่อย่างใจเย็น โดยไม่แสดงอารมณ์โกรธออกมาเลย เนื่องจากเพราะเข้าใจศิวะดีว่าคงเป็นห่วงภูผามาก.....เขามั่นใจว่าศิวะก็รักภูผาไม่น้อยกว่าเขาแน่นอน...........ฟ้าลั่นรู้สึกสงสารศิวะขึ้นมาจับใจ.....เพราะถ้าเป็นเขาเองป่านนี้คงอาละวาดไปแล้ว....ไม่มานั่งซักไซ้อย่างที่ศิวะกำลังกระทำอยู่หรอก

“อืม...ก็ได้.....ไม่พูดก็ไม่พูด....งั้นคืนนี้น้องหมอกต้องนอนกับพี่......พี่จะเอาคืนให้สาสมกับทำให้พี่เป็นห่วง” ดวงตาแข็งกร้าวแฝงไว้ด้วยอารมณ์เสน่หาอย่างรุนแรงถ่ายทอดมายังภูผา....ที่บัดนี้กุมมือฟ้าลั่นไว้แน่น....พลางหันไปสบตาศิวะอย่างหวาดกลัว

“พี่เสือครับ.....ผมว่าหมอกคงไม่สะดวกที่จะมานอนกับพี่เสืออีกต่อไปแล้วครับ” ฟ้าลั่นพูดแทรกช้าๆ ให้อีกฝ่ายได้รับฟัง

“นายตอบแทนทำไม....ฟ้าลั่น..ทำไมไม่ให้น้องหมอกตอบ” ศิวะหันมาพูดกับฟ้าลั่น

เพราะความรู้สึกผิดและค่อนข้างกลัวความเอาจริงเอาจังของศิวะที่แสดงออกมา....จึงทำให้มีน้ำตาเกิดขึ้นในตาคู่สวยของภูผา โดยที่จะตัวพยายามที่จะบังคับไม่ให้มันไหลออกมา.....ตอนนี้สิ่งที่ภูผาคิดอยู่อย่างเดียวคือคำขอโทษที่จะต้องบอกออกมา............ขอโทษที่ดูเหมือนว่าตัวเองจะหลอกศิวะมาหลายปี....ขอโทษที่ต้องทำให้เป็นห่วง.....และสุดท้ายขอโทษที่ต้องทำให้เสียใจ.....

“ผมขอโทษครับพี่เสือ” ภูผาพูดได้เพียงแค่นั้น น้ำตากลั้นไว้ก็พรั่งพรูออกมา

“ขอโทษทำไม....น้องหมอก...พี่ไม่เข้าใจ......พี่แค่ต้องการให้น้องหมอกมานอนกับพี่ก็เท่านั้น” ศิวะยังคงเล่นละครต่อ

"พี่เสือครับ......ถ้าพี่เสือมีคนรักแล้ว...พี่เสือจะยอมให้คนรักตัวเองไปนอนกับคนอื่นมั้ยครับ” ฟ้าลั่นถามแทรกขึ้นมา

“ไม่หรอก.......แต่พี่ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับน้องหมอกด้วย” ศิวะแกล้งถาม

“เพราะผมจะไม่ยอมให้หมอกมานอนกับพี่เสืออีกแล้วครับ.....หมอกคือคนที่ผมรักครับพี่เสือ......เรารักกันครับ” ฟ้าลั่นตอบกลับศิวะอย่างจริงจัง.....แต่ก็แฝงความอ่อนโยนอยู่ในที

แม้ว่าศิวะจะพยายามทำใจมาก่อนหน้านี้แล้ว....ว่าคงได้ยินคำว่า “เรารักกัน” ออกจากปากคนใดคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา...แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ.......

“ใช่สิ.... เราคือคนที่แพ้......” ศิวะคิด

ภูผาเห็นศิวะนิ่งเงียบไป...ก็กล่าวออกมาอย่างร้อนลน

“พี่เสือครับ....ผมขอโทษ ผมไม่ได้มีเจตนาจะหลอกพี่นะครับ...ตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา.....ผมพยายามจะรักพี่ครับ....เพราะพี่คือคนดีที่สุดสำหรับผมคนหนึ่งครับ.....แต่ผมห้ามหัวใจของผมไม่ได้ครับ” ภูผาพูดทั้งน้ำตา ส่งผลให้คนที่กำลังแสดงละครอยู่.....อดไม่ได้ที่จะเผลออนุญาตให้น้ำตาเอ่อล้นออกมา...แต่ก็ปาดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

“นั่นสินะ...ความรักมันห้ามกันไม่ได้นี่นา” ศิวะพูดออกมาเบาๆ

“ผมก็ขอโทษพี่เสือเหมือนกันครับ......ถ้าผมรู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้......มันก็คงไม่ยาวนานมาจนถึงขนาดนี้....แล้วสุดท้ายก็ทำให้พี่เสือเสียใจครับ” ฟ้าลั่นพูดออกมาจากใจจริง เพราะคิดว่าเข้าใจความรู้สึกของศิวะได้เป็นอย่างดี...มันเป็นความรู้สึกที่ตนเองก็เคยมี...จนต้องหนีภูผาไป..หนีไปพักฟื้นหัวใจ.....รักเขาข้างเดียวมันเจ็บช้ำนัก...เขาทราบดี

“แต่พี่จะไม่ยอมเสียน้องหมอกไป......” ศิวะพูดออกมาเบาๆ ช้าๆ แต่ราบเรียบ

“ฟ้าลั่น....พี่ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหน่อย.....น้องหมอกเข้าไปในห้องนอนพี่ก่อนนะครับ” ศิวะบอกทั้งคู่

ฟ้าลั่นไม่ปฏิเสธ.....พร้อมปล่อยมือภูผาออก ก่อนจะพยักหน้าให้ภูผาลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปในห้องนอนของศิวะ

เมื่อภูผาปิดประตูห้องนอนแล้ว...ศิวะก็ถอนหายใจออกมาอย่างรวดเร็ว....แม้ใจจะยังเจ็บปวด แต่ละครที่เล่นอยู่มันจบลงแล้วสำหรับฟ้าลั่น

ฟ้าลั่นมองหน้าศิวะอย่างไม่เข้าใจ........พร้อมจะเอ่ยปากถาม...แต่ศิวะที่เห็นแววตาสงสัยมองมาก่อนแล้วจึงบอกว่า

“พี่แกล้งเราสองคนเล่นครับ.....ขอโทษนะครับ” รอยยิ้มกระตุกขึ้นที่มุมปากของศิวะ

“ก็เล่นทำให้พี่เป็นห่วง...พี่ก็ต้องเอาคืนบ้างซิครับ” ศิวะพูดต่อ เพราะคนฟังดูเหมือนจะงุนงงจนพูดอะไรไม่ออก

“ส่วนเรื่องที่เรารักกับน้องหมอกนะ...พี่พอเดาได้ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วครับ......พี่ก็ทำใจมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

“ผมขอโทษนะครับพี่เสือ...ผมไม่ต้องการทำให้พี่เสียใจนะครับ.....แต่ผมก็รักหมอกมากครับ”

“พี่เข้าใจ...พี่ไม่โกรธเราหรอก.......หัวใจ....มันห้ามกันไม่ได้หรอกนะฟ้าลั่น”

“พี่จะห้ามไม่ให้ตัวเองเสียใจ....หรือห้ามไม่ให้รักน้องหมอกต่อไป...พี่ก็ทำไม่ได้” ศิวะพูดออกมาเพราะตระหนักในความเป็นจริงดีว่า.....หัวใจคือสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้

“ขอบคุณครับพี่” ฟ้าลั่นกล่าวจากใจจริง

“แต่ว่าพี่ขออะไรจากเราซักสองข้อได้มั้ย...ฟ้าลั่น”

“ถ้าผมทำได้ผมยินดีครับ” ฟ้าลั่นมองสบตาศิวะ

“พี่ขอรักน้องหมอกต่อไปนะครับ.....พี่ยังคงไม่อาจตัดใจจากน้องหมอกได้ในตอนนี้.....พี่ได้แต่หวังว่าความรู้สึกรักของพี่มันคงจะเปลี่ยนไป.... ในอนาคต”

“ข้อสอง....พี่อยากให้ฟ้าลั่นดูแลน้องหมอกให้ดีที่สุด...อย่าให้น้องหมอกต้องเสียใจ......แม้ว่าภายนอกน้องหมอกจะดูเข้มแข็ง..........แต่ข้างในน้องหมอกเค้าบอบบางนะครับ......... อย่าทำอะไรที่ต้องให้คนรักของเราทั้งสองคนต้องเสียใจนะครับ...........ปีหน้าพี่คงต้องไปเรียนต่อที่อเมริกา....พี่คงไม่อยู่ช่วยเราดูแลน้องหมอกได้.....สัญญากับพี่ได้มั้ยครับ” ศิวะบอกข้อเรียกร้องของตนให้ฟ้าลั่นได้ฟัง

“ผมไม่มีปัญหาอะไรที่จะให้พี่เสือรักหมอกต่อไปครับ........แล้วก็สัญญาว่าจะทำให้คนเดียวที่เราทั้งสองคนรักมีความสุขตลอดไปครับ...ผมจะไม่หนีหมอกไปไหนครับ”

“แต่ผมก็ขอสัญญาจากพี่เสือได้มั้ยครับ” ฟ้าลั่นถามกลับ

“ได้ซิครับ....อะไรเหรอครับ”

“ถ้าวันใดที่ผมไม่สามารถปกป้องหรืออยู่กับหมอกได้อีกต่อไป.......ผมขอร้องให้พี่กลับมา.....ไม่ว่าพี่จะอยู่ที่ไหน.....ขอให้พี่กลับมาหาหมอก....อยู่ข้างเค้า...ช่วยให้หมอกก้าวเดินต่อไป.....นะครับ” แววตาของฟ้าลั่นมั่นคงยิ่งนักยามที่กล่าวประโยคนี้ออกมา....ฟ้าลั่นรู้ว่า...ถ้าในอนาคต...ตนเองจำต้องไปจากภูผาด้วยเหตุผลใดก็ตาม....ฟ้าลั่นจะรู้สึกยินดีเสมอ...ถ้าคนที่จะมาดูแลหัวใจของเขาต่อไปคือศิวะ ....คนที่เขาไว้ใจ....
 
“เฮ้ย...พูออย่างนี้ได้งัย....ลางไม่ดี...ไม่เอาดีกว่า....ไม่พูดเรื่องนี้....” แม้ศิวะจะรับคำสัญญาไว้ในใจ...แต่ก็ไม่ตอบรับเพราะกังวลในคำพูดของฟ้าลั่น

“แต่ตอนนี้ผมคงไม่ให้หมอกมานอนกับพี่เสือแล้วนะครับ.....ผมหวงครับ” ฟ้าลั่นสบตากับศิวะพร้อมยิ้มกว้างที่มอบให้
 
“โห.....ใจร้ายว่ะฟ้าลั่น.....หวงจริง.......แค่ซักคืนสองคืนก่อนจะไปเมืองนอกไม่ได้หรือ......”ศิวะต่อรอง

“เอาเป็นว่าแล้วแต่หมอกครับ.......แต่ผมก็จะตามหมอกมานอนด้วยครับ” ฟ้าลั่นยักคิ้วและยิ้มให้

“ว๊ะ...มันหวงจริงๆ .......โอ้....เกือบลืม....เดี๋ยวพี่จะแกล้งน้องหมอกอีกนิดหน่อยนะครับ.....เราไม่ต้องพูดอะไรนะครับ......เงียบไว้นะครับ” ศิวะกระซิบกับฟ้าลั่น ก่อนจะปรับสีหน้าตัวเองให้เคร่งขรึมเหมือนเดิม....เดินไปเคาะประตูห้องนอน เรียกภูผาที่กำลังระวนกระวายใจ เพราะความอยากรู้ว่าศิวะและฟ้าลั่นพูดอะไรกัน

ภูผาเดินออกจากห้องนอน มานั่งลงบนโซฟาตัวเดิม ข้างๆฟ้าลั่น

“พี่ตกลงกับฟ้าลั่นแล้วนะครับ...... ฟ้าลั่นตัดสินใจยกน้องหมอกให้พี่ครับ” ศิวะพูดอย่างรวดเร็ว...โดยที่ภูผายังไม่ทันได้ตั้งตัวดีนัก

หลังได้ยิน....ภูผาก็หน้าซีดลงอย่างฉับพลัน....พลางหันหน้ามามองฟ้าลั่นอย่างสงสัยระคนกับแววตาแสดงความเสียใจอย่างเห็นได้ชัด ฟ้าลั่นรีบหันหน้าไปทางอื่นเสีย.....แต่แทนที่จะเสียใจ คนที่ไปทางอื่นกลับแอบอมยิ้มหัวเราะบทบาทที่ศิวะเล่นละครได้แนบเนียนเหลือเกิน

“ผมไม่ใช่สิ่งของที่จะเอาไปอยู่กับใครก็ได้นะครับ.....ถึงผมจะรู้สึกดีๆกับพี่เสือ....แต่ถ้าคนที่ผมรักเค้าผลักไล่ไสส่งผมไป....ผมก็จะไปให้ไกล.....ไปจากทั้งพี่เสือและจากคนคนนั้นเลยครับ” ภูผากล่าวตอบด้วยอารมณ์เสียใจและโกรธเคืองเต็มที่

ฟ้าลั่นได้ยินเข้าถึงกลับหันหน้ากลับมาสบตากับศิวะทันที...เพราะรู้ว่า.....คราวนี้ภูผาโกรธจริงๆ

ศิวะเห็นดังนั้น....ก็สงสาร....เนื่องจากคิดว่าภูผาคงเสียใจมามากพอแล้ว...เลยตัดสินใจบอกความจริง...พร้อมยิ้มให้ภูผาอย่างเอาใจ

“พี่ไม่ได้โกรธน้องหมอกหรอกครับ....ตั้งแต่ต้นแล้ว.......พี่เสือแกล้งหลอกน้องหมอกเล่นครับ......ถามฟ้าลั่นดูซิครับ...รายนั้นเค้าร่วมมือด้วย”

“เฮ้ย...พี่เสือ...ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ.....โยนเผือกร้อนเข้าหาผมนี่” ฟ้าลั่นโวยวายออกมา...ก่อนจะหันมาสบตาคนตัวเล็กกว่า ที่บัดนี้แววตาที่มองมายังศิวะและตัวเขาช่างน่ากลัวที่สุด

ภูผาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว มองหน้าทั้งศิวะและฟ้าลั่นคนละครั้ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นออกมา

“ผมขอคำอธิบายครับ” ภูผาพูดสั้นๆ ได้ใจความ

ศิวะและฟ้าลั่นมองหน้ากันมา....เพราะรู้ดีว่ายามนี้ภูผาคนดีของเขาโกรธมาก..... ยามที่ภูผาโกรธ.....รับรองไม่มีใครอยากอยู่ด้วย.....แม้ภูผาจะบอกว่าเวลาศิวะโกรธนั้นน่ากลัว.....แต่ศิวะกับฟ้าลั่นกลับเห็นพ้องต้องกันว่า

ความโกรธของภูผานั้นน่ากลัวกว่าถึงน่ากลัวที่สุด.......เพราะจำได้ว่าเคยเห็นภูผายกเก้าอี้ฟาดไปที่สุนัขตัวหนึ่งที่กำลังกัดลูกสุนัขตัวเล็กกว่ามากจนเกือบเสียชีวิต.......ตอนนั้นภูผาไม่รู้มาจากไหน เอาเก้าอี้ฟาดสุนัขตัวใหญ่ พร้อมกับวิ่งไล่ทุบตีสุนัขตัวนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย.....ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าทำเกินไป สุนัขตัวใหญ่กว่าก็นอนแอ้งแม้งลุกไปไหนไม่ได้อีกแล้ว......สุดท้ายภูผาก็ต้องพาเอาทั้งคู่ไปส่งโรงพยาบาล...หมดค่ารักษาไปหลายร้อยบาทเลยทีเดียว 

“เอ่อ.....เอ่อ....”ศิวะอ้ำอึ้ง

“คือพี่ก็อยากแก้แค้นเล็กๆที่น้องหมอกทำให้พี่ไม่สบายใจงัยครับ....อีกอย่างก็อยากรู้ว่าตกลงเราสองคนรักกันจริงอย่างที่พี่คิดหรือเปล่า.....ส่วนเรื่องที่พี่บอกว่าฟ้าลั่นยกน้องหมอกให้พี่นั้น....พี่ล้อเล่นครับ” ศิวะกล่าวด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความเกรงใจและแสดงการง้องอนเต็มที

“แล้วนายก็ช่วยพี่เสือแกล้งเราใช่มั้ยฟ้าลั่น” คนถามหันมาทำตาดุใส่ฟ้าลั่น

“ดีเลย.....งั้นคืนนี้ไม่ต้องมานอนด้วยกันเลย..ไปนอนกับสาวๆนายเลย” ภูผาพูดต่อ ส่งผลให้คนฟังทำตาโตใส่อย่างไม่ตั้งใจ เพราะไม่คิดว่าภูผาจะเล่นงานตนเองด้วยวิธีนี้.....เพราะต้องแต่บอกรักกันมาก็เพิ่งนอนด้วยกันแค่คืนเดียวเอง......ฟ้าลั่นติดใจกลิ่นหอมของแก้มและริมฝีปากของภูผาจนถอนตัวไม่ขึ้น......แล้วจะให้นอนคนเดียวนี่นะ......ช่างเป็นการลงโทษที่โหดร้ายจริงๆ

“ส่วนพี่เสือ......เนื่องจากผมก็ผิดเองด้วย.....งานนี้ผมยกประโยชน์ให้จำเลยครับ.....Judge found no guilty, case is dismissed” ภูผากล่าวด้วยสำเนียงอังกฤษอย่างไพเราะออกมา...พร้อมส่งยิ้มให้กับศิวะ...แต่หันไปแยกเขี้ยวใส่ฟ้าลั่นที่ยังนั่งเงียบเพราะโดนลูกหลงอยู่

“โธ่ น้องหมอกอย่าใจร้ายกับฟ้าลั่นเลยครับ....ดูซิฟ้าลั่นเค้าเสียใจใหญ่แล้ว” ศิวะช่วยพูดให้ฟ้าลั่น เพราะสงสารเนื่องจากเป็นความผิดตัวเองด้วยอย่างหนึ่ง

“แหม...ไม่เป็นไรหรอกครับ...แค่คืนเดียวเอง.....”ภูผาพูดพร้อมกับหันไปส่งยิ้มหวานให้ฟ้าลั่น.....เพราะกลัวว่าฟ้าลั่นจะโกรธขึ้นมาจริงๆ.........

“แต่ตอนนี้หมอกหิวแล้ว.....พี่เสือต้องเลี้ยงไอซ์ครีมหมอกด้วย...เราไปกินที่เซเวนเซ่นกันดีกว่าครับ....ไปกันหมดเลยสามคน” ภูผากล่าวชวนเชิงบังคับกลายๆเพราะหายโกรธแล้ว.....จริงๆจะเรียกว่าโกรธก็ไม่ถูก...ต้องเรียกว่าหงุดหงิดเสียมากกว่า

ขณะที่นั่งรถศิวะไปห้างสรรพสินค้ากาดสวนแก้ว ภูผาก็หันหน้าไปมองฟ้าลั่นและศิวะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ จึงถามว่า

“พี่เสือคุยอะไรกับฟ้าลั่นตั้งนานครับ”

“ความลับครับ....บอกไม่ได้”ศิวะตอบ

“พี่เสือไม่ตอบ..เราก็ไม่ตอบ.....งอนแล้ว....ไม่ให้เรานอนด้วยคืนนี้อ่ะ” ฟ้าลั่นแกล้งงอนใส่บ้าง ส่งผลให้คนถามทำหน้าตูม....งอนขึ้นมาอีก...จนสองหนุ่มต้องเป็นฝ่ายง้อเอาใจไปตลอดทาง

พอไปถึงร้านไอศกรีมภูผาก็อารมณ์ดี....รับประทานไอซครีมจนหมด...พอนั่งรถกลับมาก็ดูเหมือนว่าจะนึกขึ้นได้...เลยตั้งป้อมงอนสองหนุ่มขึ้นมาอีก...... ศิวะและฟ้าลั่นต้องง้ออยู่นาน...จนสุดท้ายต้องโกหกไปว่าคุยเรื่องความเป็นมาของความรักของทั้งคู่ ภูผาจึงเชื่อ เลิกงอนขึ้นมาทันใด

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็มักจะเห็นทั้งสามคนไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ ส่วนหนึ่งเพราะศิวะต้องไปเรียนต่อเรียนต่อที่อเมริกาในปีหน้า...ภูผาจึงอยากใช้เวลาที่ศิวะอยู่เมืองไทยทำให้ศิวะมีความสุข.....ฟ้าลั่นก็เข้าใจทั้งศิวะและภูผา....แต่ก็แอบหึงอยู่บ้างเล็กน้อย...จึงต้องตามมาคอยอยู่เพื่อกันท่าโดยตลอด....

ศิวะก็ดูมีความสุขดี...เพราะภูผาก็ยังเป็นภูผาที่น่ารักสำหรับตนเองเหมือนเดิม....แม้ว่าจะรู้ว่าภูผารักฟ้าลั่นมากก็ตามที....แต่ดูๆไปภูผาออกจะเอาใจตนเองมากกว่าฟ้าลั่นเสียด้วยซ้ำ...จนทำให้ฟ้าลั่นต้องแอบงอนอยู่บ่อยๆ ศิวะได้ทีก็มักจะแกล้งหยอกให้เลิกกันบ้าง.....แกล้งเอาภูผามานอนด้วยบ้าง.....ฟ้าลั่นก็กันท่าอยู่บ่อยๆ.....ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องสนุกๆที่สองหนุ่มได้แกล้งกันไปมา.....โดยมักมีภูผาเป็นกรรมการห้ามทัพทุกครั้งไป



abcd

  • บุคคลทั่วไป
“บางที....ผู้แพ้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ.......หากยังคงรักษาไว้ซึ่งความรัก.......แม้มิได้ครอบครอง”

ประโยคเด็ดโดนใจอีกแล้ว  :like2:



อ้างถึง
อ่านแล้วอยากมีแฟนกันหรือยังครับ    :pigha2: 

     ตอบบลู   >>>>  อยากมีแบบพี่เสืออ่ะ

wee

  • บุคคลทั่วไป
ความจริงเราอยากให้เรื่องนี้หวานมากกว่าเศร้าน่ะ เพราะอ่านเรื่องเศร้ามาหลายเรื่องแล้ว   แต่ข้อแม้ของนายฟ้าลั่นที่ให้ไว้กับศิวะ มันทำให้เรารู้สึกห่อเหี่ยวงัยพิกล

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
“บางที....ผู้แพ้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ.......หากยังคงรักษาไว้ซึ่งความรัก.......แม้มิได้ครอบครอง”

ถ้าเป็นผู้แพ้ได้โดยไม่ต้องเสียใจก็คงดี..................แต่เรามักจะทำตัวเป็นคนดีเพื่อฝังกลบความพ่ายแพ้ไว้ภายใน

ป.ล.  อ่านแล้วอยากมีแฟนเหมือนกันคับพี่บลู................เศร้าใจ :impress:

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
:yeb: สวัสดีครับทุกคน...

วันนี้พอมีเวลาว่างครับ....เลยเข้ามาทักทายกันซะหน่อยครับ....

ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกๆคนนะครับ...ที่คอยติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้ และรีพลายเป็นกำลังใจให้ทั้งคุณบลู...และผมครับ....

ตอนนี้กำลังเร่งรีไรท์อยู่เหมือนกันครับ....กะว่าจะทำให้เสร็จก่อนสิ้นปีนี้ครับ....หลังจากนั้นคงได้เวลาเริ่มเรื่องใหม่....ที่คิดไว้ว่าเป็นฉากทะเลทรายอันร้อนแรงเป็นหลักครับ....คาดว่าจะเป็นไพรัชนิยายครับ....หวังว่าหลายคนคงจะชอบกันครับ...

แต่อย่างไรก็ตาม....ตอนนี้ช่วยเป็นกำลังใจให้ภูผาและฟ้าลั่นก่อนนะครับ....อยากให้ติดตามกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบเรื่องครับ....และที่สำคัญผมคิดว่าตอนจบของเรื่องนี้มันมีความหมายสำคัญซ่อนอยู่นะครับ...ต้องรอให้คนอ่านแปลกันออกมาเองครับ

 :impress2:

*****************
หมูพูห์ครับ....ไม่ปล่อยไก่หรอกครับ....อย่างที่ผมบอกครับว่า จะใช้ภาษาไหนก็ได้ครับ...ทั้งไทยทั้งอังกฤษครับ....แต่ผมไม่ถนัดแบบผสมนะครับ....ชอบทีละภาษามากกว่า กลัวคนเขาหาว่าทำภาษาวิบัตินะครับ...เกือบลืมครับ...ถ้าหมูพูห์อยากมีแฟน...แนะนำให้จีบเรย์นะครับ....เรย์น่ารักมากครับ....

ขอบคุณภาพสวยๆ ในบรรยากาศลอยกระทงที่คุณเรย์เอามาให้นะครับ...ดูแล้วคิดถึงเชียงใหม่จังเลยครับ....เสียดาย..ไม่ได้ลอยกระทงมากว่าห้าปีแล้วครับ...

ขอบคุณสำหรับคำชมที่คุณ Shell มอบให้ผมนะครับ....เรื่องสำนวนภาษาผมยังคงต้องออกตัวว่ายังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ครับ...เพราะตอนนี้ไม่มีโอกาสอ่านนิยายไทยเลยครับ...อ่านแต่หนังสือพิมพ์ตามอินเตอร์เนทครับ....บางทีก็หลงๆ ลืมๆ หรือไม่ก็ติดขัดในบางคำเหนือนกันครับ....แต่อาศัยว่าใจเย็น....เขียนเสร็จแล้วย้อนกลับมาอ่านหลายรอบครับ...เลยแก้บ่อยๆ ครับ... ในสมัยเด็กๆ ผมถูกอาจารย์ภาษาไทยเคี่ยวเข็นไห้แต่งและอ่านกลอนครับ...เลยถนัดร้อยกรองมากกว่าร้อยแก้วครับ....(ไม่เคยเขียนเรียงความส่งประกวดเลยซักครั้งครับ...) แต่ผมก็มีข้อแม้อยู่มากเหมือนกันครับ...คือต้องมีแรงบันดาลใจครับ...ถ้าไม่มีแรงบันดาลใจ...ผมก็แต่งไม่ออกครับ... ว่างๆ shell ลองแต่งกลอนมาให้ผมอ่านบ้างซิครับ...

มู่มู่น้อยครับ....ภาษาที่ใช้จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมากนะครับ.... เท่าที่เห็นคือมีข้อพลาดอยู่อันเดียวครับ...คือ Their tangible achievement will be another aspect inspiring me on whatever I would like to do...... ส่วนข้อแนะนำอื่นๆ ก็คืออยากให้คุณมู่มู่ลองอ่านนิยายภาษาอังกฤษ หรือ นิตยสารภาษาอังกฤษบ่อยๆครับ.... วันละแค่หน้าเดียวก็พอครับ...ซึ่งจะทำให้เราสังเกตเห็นสำนวนภาษาอังกฤษครับ...ผมเข้าใจว่ามู่มู่คงคิดเป็นภาษาไทยและเขียนออกมาเป็นภาษาอังกฤษ...ใช่มั้ยครับ...คราวหลังต้องเปลี่ยนคิดเป็นภาษาอังกฤษเลยนะครับ...ซึ่งมันจะทำให้เราใช้สำนวนการเขียนออกมาเป็นรูปแบบของภาษาอังกฤษครับ....

ขอบคุณสำหรับคำชมที่คุณตะแน๋วกิ๋วกิ้วมอบให้ครับ....บังเอิญตอนที่เขียนนิยายอยู่...หลับฝันเห็นภูผากับฟ้าลั่นบ่อยครับ...เลยจำมาเขียนได้ง่ายครับ....ถ้าหลับแล้วไม่ฝันถึงตัวละคร...คงถ่ายทอดออกมายากลำบากครับ...

ผมกำลังตัวลอยกับคำชมของคุณ[GobGab] ครับ.....ที่ผมพยายามใช้ภาษาสวยๆในเรื่องนี้ เพราะว่าทิศทางของเรื่องมันกำหนดให้ต้องใช้รูปแบบภาษาแบบนี้ครับ.... ก็เลยต้องกลั่นเอาความสามารถการเขียนที่มีอยู่น้อยนิดออกมาครับ....จุดประสงค์ที่สำคัญในการเลือกใช้ภาษาแบบนี้ เพราะว่าตัวละครทั้งหมดเป็นคนโรแมนติกมากครับ... และก็มีความรักที่เป็นอมตะมากๆ....ต้องลองอ่านไปจนจบนะครับ...

wee ครับ.....อย่าเพิ่งรู้สึกห่อเหี่ยวเลยครับ....ผมอาจจะบอกไม่ได้ว่าตอนจบเป็นแบบไหน...จะเศ้ามากเศร้าน้อยเพียงใด....แต่อยากจะบอกว่า ตอนจบของเรื่องนี้ จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอนครับ....และคาดว่า wee คงจะชอบตอนจบแน่นอนครับ....ลองอ่านไปเรื่อยๆ นะครับ... อีกครึ่งเดียวก็จะจบแล้วครับ....

ขอตัวก่อนละครับทุกคน...

สวัสดีครับ...

Andreas

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด