::: #สถาปนิกหล่อบอกต่อด้วย ::: ตอนพิเศษ 2 ::: P.26 ::: 08/04/17
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ::: #สถาปนิกหล่อบอกต่อด้วย ::: ตอนพิเศษ 2 ::: P.26 ::: 08/04/17  (อ่าน 278964 ครั้ง)

ออฟไลน์ Missmu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอ รอ รอ  :monkeysad:

ออฟไลน์ จอมจุ้น6002

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อื้อหือ!!! อัพรัวๆๆๆ หลังจากหายไปนานเลย
ชอบๆๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะ   o13 o13

ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พี่พรตดูเล่นมากเกินไปจนดูไม่น่าไว้ใจเลย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กอดก็กอดแล้ว
กะอีแค่จูบ สบายๆนะพราน :mew1: :mew1: :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ SoN

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2965
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-15

ออฟไลน์ Missmu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
มารออีกครึ่ง  :o8:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ขอกันแบบนี้เลยเหรอค่ะพี่พรต แล้วน้องพรานจะยอมมั้ยนะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ขอกันตรงๆเลยเหรอพี่พรต
คงอยากรู้แหล่ะว่าพราณจะรู้สึกยังไง
เพราะครั้งแรกมันดูแบบว่าๆๆๆ อะไรดีหว่า 5555

ออฟไลน์ Missmu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เมื่อไหร่นข.จะกลับมาาาาา อยากอ่านต่อแล้ว  :sad4:

ออฟไลน์ ZiiZone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :z3: มาต่อไวๆนะะะะะะะ

 :katai1: :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ powl-the-2nd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1


: CHAPTER20 (100%) :





         ผมถึงกับชะงักกับคำขอครั้งนี้ ไม่ใช่ไม่อยากให้นะครับ แต่ผมกลัวการถูกจู่โจมในรูปแบบนี้ที่สุด คราวที่แล้วผมก็ไม่รู้ตัวเลยตอนผลักพี่พรตออก และถ้าให้เลือกได้ผมก็ไม่อยากเป็นฝ่ายผลักเขาออกอีกรอบเลยคิดว่าการปฏิเสธแบคุยกันก่อนอาจทำให้มันดูนุ่มนวลขึ้นก็ได้

            “ไม่เอาพี่พรต”

            “ทำไมอ่ะ”

            พี่พรตถามเหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่าแล้วทำปากยื่นเหมือนผู้หญิง ทำเอาผมอดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้

            “คิดว่าน่ารักมากดิ”

            “มาก”

            ผมเบ้ปากทีนึงก่อนจะค่อยๆ เขยิบตัวออกห่างให้เนียนที่สุด แต่พี่พรตกลับไหวตัวทันแล้วดึงแขนผมเอาไว้ก่อน ทำให้ผมจำใจต้องเลิกขืนแล้วนั่งลงอย่างเดิม

            “ไม่ให้เหรอ”

            ผมถอนหายใจ บางทีมันก็อธิบายยากเหมือนกันนะ

            “ไม่ใช่หรอก ลองดูอีกก็ได้แต่พรานกลัวเฉยๆ”

            “ทำไมกลัว”

            พี่พรตดูกังวลขึ้นมาทันที ทำให้ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเล่าให้กังวลเพิ่มอีกดีมั้ย

            “ตอนเด็กเหมือนเคยโดนอ่ะ แล้วมันไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่ หลังจากนั้นเลยกลัวมาตลอด”

            พี่พรตไม่ว่าอะไร เขาแค่พยักหน้าเหมือนเข้าใจซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากที่เขาหยุดลงแค่นั้น เพราะผมยังคงจำเหตุการณ์     นั้นได้ดีและไม่อยากให้ใครรู้เท่าไหร่ ตอนนั้นใบพลูมันคบรุ่นพี่ซึ่งโตกว่าผมปีนึงเขามาที่บ้านแล้วผมก็แอบเห็นเขาจูบกับใบพลูในห้องครัวซึ่งทำให้ผมช็อคมากเพราะที่ผ่านมาผมออกตัวว่าหวงน้องสาวมาตลอด และมันไม่จบแค่นั้นครับ ช่วงที่ใบพลูไปเข้าห้องน้ำอยู่ๆ รุ่นพี่คนนั้นก็ตรงเข้ามาแล้วจูบผมอย่างรุนแรงพร้อมกับบอกทำนองว่าผมน่ารักดี

            เขาอาจล้อเล่นและทำไปตามความคึกคะนองของวัยรุ่น แต่ตอนนั้นเหมือนเป็นฝันร้ายที่เห็นภาพของน้องสาวตอนถูกจูบมาซ้อนทับกับตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ผมถึงกับวิ่งไปอาเจียนอย่างหนักในห้องน้ำด้วยความขยะแขยง หลังจากนั้นมาถึงจะมีแฟนยังไงผมไม่เคยจูบเลยครับ เพราะมันจะทำให้ผมนึกไปถึงช่วงเวลานั้นจนได้

            “อืมๆ โอเค ไม่ทำแล้ว”

            พี่พรตปล่อยมือออกจากแขนผมอย่างว่าง่าย...ง่ายจนผมรู้สึกเกรงใจเลยล่ะ เขานิ่งจนผมรู้สึกเหมือนทำบรรยากาศเสียเอง เขาจะคิดมากหรือโทษตัวเองอะไรมั้ยเนี่ย

            “เอ่อ หมายถึง...กลัวที่ตัวพรานเองนะ ไม่ได้กลัวพี่พรต”

            “อื้อ เข้าใจแล้ว”

            พี่พรตมองผมด้วยสายตาเหมือนกำลังเอ็นดูอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทำเอาผมเริ่มรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นมาเลย พี่พรตดีกว่ารุ่นพี่คนนั้นหลายเท่าและยังอยู่แล้วสบายใจกว่าแฟนคนที่ผ่านมาของผม เป็นคนที่เข้ามาแล้วทำให้ผมได้รู้ว่าผู้ชายคบกันไม่ได้เลวร้ายสักหน่อย แต่ผมกลับไม่สามารถทำใจให้ยอมรับได้อยู่ดี


            “คือวันนั้นพรานโดน...”


            ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป เพราะก่อนที่ผมจะได้เข้าเรื่อง พี่พรตกลับเอามือมาปิดปากเอาไว้ไม่ให้พูดต่อ


            “ไม่ต้องเล่าก็ได้นะ”


            “แต่...”


            “อะไรที่ไม่สบายใจจะพูด ไม่ต้องฝืนเล่าหรอก”


            “...”


            “พรานแคร์คนอื่นมากพี่รู้ แต่ตอนอยู่ด้วยกัน พี่ก็อยากให้พรานสบายใจในทุกเรื่อง”


            “...”


            “เข้าใจนะครับ”


            ผมพยักหน้าแล้วมองลึกเข้าไปในดวงตาของพี่พรต ยิ้มให้เขาด้วยความรู้สึกว่าตัวเองโชคดียังไงไม่รู้ที่ได้มาเจอเขา แต่ไหนแต่ไรมานิสัยของผมที่อยากแก้ไขมาตลอดคือการเป็นคนที่ใส่ใจรอบตัวมากกว่าตัวเองและขี้กังวลว่าคนจะมองตัวเองแบบไหน เลยทำให้บางทีไม่ค่อยกล้าพูดกล้าทำอะไรเท่าที่ควร


            “พี่พรตก็เหมือนกัน”


            “...”


            “เครียดอะไรมาก็พูดกับพรานได้”


            พี่พรตยิ้ม...เป็นรอยยิ้มที่ดูสบายใจมากจนผมอดยิ้มตอบไม่ได้ เขายกมือขึ้นลูบหัวผม การกระทำนี้ทำให้ผมชะงักไปครู่หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่พี่พรตเหมือนตั้งใจสื่อความรู้สึกอย่างระมัดระวัง มือของพี่พรตอบอุ่นมากในความรู้สึกและอ่อนโยนเหลือเกินเมื่อเขาบรรจงลูบเบาๆ ไปมา

            “น่ารักจัง มากอดอีกที”

            “เห้ยไม่เอา ทีเดียวพอ”

            ขอพูดตรงๆ เลยว่าผมโคตรเขิน ไม่เอาแล้ว

            “ยังก็ได้ เดี๋ยวตอนดึกขออีกที”

            พี่พรตคงเห็นผมเขินจนออกนอกหน้าเลยลดมือลงแล้วจงใจมองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่มแทน หมดกันเลยครับบรรยากาศเมื่อกี้ พี่พรตกลับมาเป็นโหมดกวนตีนตามปกติแล้ว ผมเลยผลักตัวพี่พรตออกแล้วออกปากไล่

            “ไปนั่งนู่นเลย”

            “อะไรอ่ะเมื่อกี้ยังยอม”

            “ไปทำงานเลยพี่พรต เรนเดอร์ยังไม่เสร็จอย่ามาอู้”

            “ครับๆ ดุจัง”

            ผมถลึงตาใส่ด้วยความหมั่นไส้ เบนสายตาไปมองกรอบรูปที่ตั้งเรียงรายอยู่หน้าทีวี ส่วนมากเป็นรูปถ่ายแบบของพี่พรตสำหรับบทสัมภาษณ์ในเพจและนิตยสารตามโอกาสต่างๆ แล้วยังมีรูปตอนเผลอจากแฟนคลับในมหาลัยที่มีโน๊ตติดไว้ทำนองว่าพี่พรตหล่อมากซึ่งผมเชื่อว่าหนึ่งในนั้นอาจมีของพลูด้วยก็ได้ พอมองกรอบรูปพวกนั้นแล้วผมก็นึกขำอยู่ในใจไม่ได้ทุกที ผู้ชายอะไรวางตัวดีและดูดีในสายตาคนภายนอกเหลือเกิน แต่ในความเป็นจริงแม่งโคตรกวนตีน ถ้าจะบอกว่าเสียดายหน้าตาก็คงไม่แรงไปหรอกครับ

            “หล่ออ่ะดิ”

            “เออ! หล่อมากกกกกกกกกกกกก”

            ถ้าไม่ติดว่าเป็นรุ่นพี่จะยกนิ้วลางใส่แล้วครับ ช่วงนี้ผมยกนิ้วกลางจนชินมือเพราะติดมาจากเพื่อนในรุ่น บางคนนี่ถึงขนาดทักทายเพื่อนผู้หญิงด้วยการชูนิ้วกลางด้วยซ้ำ

            “ฮ่าๆๆ นายตลกอีกแล้ว”

            “ทำงานดิพี่พรต”

            “ครับๆๆๆ”

           



           
            ผมกับพี่พรตนั่งทำงานกันเงียบๆ ผมนั่งนับรูปที่อยู่ในโฟลเดอร์รูปที่เสร็จได้ประมาณสิบสองรูป ก็นับว่าพี่พรตทำเรนเดอร์ได้เร็วอยู่และไม่ต้องมาแต่งอะไรมากด้วย ผมอดชื่นชมไม่ได้ สกิลไม่ได้เลวร้ายสักหน่อยแล้วทำไมพี่พรตชอบบอกว่าตัวเองทำไม่ดีวะ อย่างรูปนี้ก็แค่เอาคนกับพวกองค์ประกอบอื่นมาใส่ คัดเงาเพิ่มนิดหน่อยก็ออกมาดูโอเคแล้ว

            “ไปขี้แปปนะ”

            “อือ”

            ผมตอบโดยไม่ละสายตาจากจอคอมพ์ ค่อยๆ ตัดรูปเก้าอี้อย่างระมัดระวังไม่ให้มันล้ำเข้าไปในตัวรูป จากั้นก็ลากเข้าไฟล์ของพี่พรตเพื่อปรับขนาดให้เข้ากัน


            ครืด ครืด


            เสียงสั่นจากโทรศัพท์ของพี่พรตที่วางไว้บนโต๊ะทำให้ผมจำใจต้องปล่อยเมาส์แล้วลุกไปดูหน้าจอให้ พอเห็นเป็นพ่อเขาโทรมาผมเลยกลัวว่าอาจมีเรื่องด่วนอะไร จึงหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเดินไปที่หน้าประตูห้องน้ำทันที

            “พี่พรต พ่อโทรมา”

            “รับไว้ก่อนๆ”

            ผมเลยกดรับแล้วยกขึ้นแนบหูพลางเดินกลับไปนั่งที่หน้าจอเหมือนเดิม

            “ฮัลโหล”

            “ไอ้พรต นี่อะไรของแกวะ!”

            เสียงโวยวายที่ดังแทรกขึ้นมาทำเอาผมถึงกับขมวดคิ้วแล้วดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู จัดว่าโคตรดังเลยครับ เหมือนพ่อพี่พรตกำลังไม่พอใจอะไรเอามากๆ และรัวประโยคจนทำให้ผมไม่มีช่องว่างจะพูดแทรกอะไรได้เลย

            “แบบห่วยขนาดนี้ยังกล้าเขียนออกมาอีกนะ พฤตไม่อยู่แล้วก็ออกแบบไม่เป็นแบบนี้ นี่ถ้าแม่แกเห็นคงไม่ปล่อยไว้”

            “คือ...”

            “แกไม่ต้องพูดอะไรอีก! พรุ่งนี้เข้าบริษัทด่วนเลย เราต้องคุยกันยาว”

            “ผม...”

            “นี่ เข้าบริษัทพรุ่งนี้ จบนะ ฉันต้องเคลียร์แบบลูกค้าต่อ ไม่ว่างมาวิจารณ์แบบห่วยๆ ตอน...”

            ขณะที่ผมกำลังตอบอะไรไม่ถูกอยู่นั้น โทรศัพท์ที่ถือไว้ก็ถูกดึงไปเสียก่อน ผมหันไปมองพี่พรตที่ออกมาจากห้องน้ำตอนไหนไม่รู้ พ่อพี่พรตโมโหขนาดนี้ผมก็กลัวขึ้นมาเลยว่าเขาจะต้องเครียดมากแน่ เลยมองตามพี่พรตไปอย่างเป็นห่วงซึ่งภาพที่ผมเห็นคือเขาเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานพร้อมตอบรับปลายสายไปด้วยท่าทางปกติเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น

            “เข้าใจแล้วครับ เดี๋ยวผมเข้าไป”

            พี่พรตวางโรศัพท์ลงกับโต๊ะแล้วหันกลับไปทำเรนเดอร์ในคอมพ์ต่อเหมือนเดิม ทำเอาผมอดร้อนใจแทนไม่ได้

            “พี่พรต...ไม่เป็นไรนะ?”

            “อืม พ่อก็แบบนี้แหละ”

            เขาตอบโดยไม่หันมาสบตาผม ดูปกติเกินไปจนดูไม่ปกติเลยล่ะ

            “แน่ใจ?”

            “น้องพรานครับ...อยากกอดเหรอ”

            คราวนี้พี่พรตหันทั้งตัวกลับมาผมแล้วมองด้วยสายตาของคนขี้แกล้งอย่างที่เขาถนัด แต่เมื่อมองตาเขาจริงๆ แล้วผมรู้เลยว่าเขายังคงติดใจกับเรื่องเมื่อกี้อยู่ ถึงจะบอกว่าชินแค่ไหนยังไง คงไม่มีใครชินกับความรู้สึกที่เหมือนทำพ่อตัวเองผิดหวังได้หรอก

            “ไปทำงานเลยไป!”

            “โดนน้องพรานไล่อีกแล้ว”

            พี่พรตทำปากยื่นอีกครั้งผมเลยถลึงตากลับไปอย่างเคย ซึ่งนั่นทำให้พี่พรตหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมคิดว่าเขาคงสบายใจขึ้นนิดนึงแล้วจึงหันกลับไปทำโฟโต้ช็อปต่อตามเดิมโดยไม่พูดอะไรอีก แต่ผมก็ยังคงเห็นจากหางตาว่าได้พี่พรตยังนั่งนิ่งมองผมอยู่อย่างนั้นพักใหญ่เหมือนคิดอะไร และก่อนที่ผมจะเอ่ยปากถามเขาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาในที่สุด


            “พรุ่งนี้มาค้างใช่มั้ย จะกลับดึกนิดนึงนะ”


            “...อืม”

 
           ผมตอบรับในลำคอทำเป็นเหมือนไม่ได้ใส่ใจมากเ แต่ลึกๆ แล้วผมก็ดีใจนะที่ได้เป็นคนรับโทรศัพท์

 

           ...อย่างน้อยพี่พรตก็ไม่ต้องได้ยินประโยคครึ่งแรกแล้วกัน








-----------------------------------------------------------------------------
Happy Boxing Day ค่าา วันนี้ไปช็อปกันมารึยัง5555

ลงค่ายมาแล้วป่วยและต้องทำงานนอกด้วยเลยเพิ่งมาต่อให้เนอะ
เดี๋ยวก็เจอกันอีก มีพรตพรานให้อ่านระหว่างหยุดยาวแน่ๆ ค่า  :-[


ปล.มหาลัยฉลองวันนี้ด้วยการบอกเกรด นี่เห็นแล้วอยากระเบิดร่างตัวเองทิ้งเลยค่ะ  :laugh:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้น้าพ่อของพี่พรตนี่

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เปรียบเทียบกับคนข้างบ้านหรือคนอื่นก็ว่าแย่แล้ว
นี่เปรียบเทียบกับพี่น้องตัวเอง ยิ่งรู้สึกแย่หนักไปอีก
ช่วงนี้พี่พรตมรสุมหนักนะ ไหนจะเรื่องพ่อ เรื่องงาน
ที่สำคัญเรื่องเหมือนจะไม่สามารถทำให้นายพราณ
ไว้ใจในความรู้สึก เชื่อเถอะยังไงก็อดน้อยใจไม่ได้

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พราน รู้สึกดีๆ กับพี่พรต
งั้นพรานต้องเข้าหาพี่พรตบ้าง
แค่เข้าไปใกล้ชิด ยอมกอดหอมเล็กๆน้อยๆ
น่าจะทำให้พี่พรต รู้สึกดี ชื่นใจ
ที่ผ่านมาพราน ค่อนข้างเกร็ง กลัว
กับการโดนปล้ำจูบ
พราน ต้องปรับตัวเรื่องนี้กับคนที่รักเราด้วย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Missmu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ sweet.egg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
พ่อพี่พรตนี่ยังไงนะ ทำไมเปนคนแบบนี่
มีอีโก้ที่สูงมากๆๆๆๆๆจริงๆอะ
พี่พรตน่าสงสาร ทั้งพ่อ ทั้งงาน
กำลังใจอย่างน้องพรานก้มีปมให้เปนห่วงอีก
เราว่าปมเรื่องจูบของพรานอะ
ถ้าโดนจูบแล้วทำให้นึกถึงเรื่องไม่ดี
ลองเปนฝ่ายจูบพี่มันแทนมั้ย ต่างกันนะ ค่อยๆแก้อะ
รอตอนต่อไปค่าา

ออฟไลน์ powl-the-2nd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1


::: CHAPTER 21 :::





            สัปดาห์นี้ผมมาค้างคอนโดพี่พรตค่อนข้างบ่อยเพราะเป็นช่วงใกล้ส่งแบบประกวดแล้ว และไม่ได้ชนกับการส่งแบบไฟนอลของวิชาสตูทำให้ผมยังสามารถเจียดเวลามาช่วยทำได้อยู่ อีกอย่างคือผมแอบเป็นห่วงที่เขาเครียดจากการโดนกดดันด้ยแหละ วันนี้ผมไม่ได้กลับมาพร้อมกับพี่พรตแต่พี่พรตให้กุญแจห้องไว้ให้ผมเนื่องจากบางวันเราเลิกไม่พร้อมกันจะได้กลับเข้ามาทำงานก่อนโดยไม่ต้องรอ

            ผมหิ้วถุงชิ้นส่วนโมเดลถุงใหญ่ที่แวะไปเอาจากร้านเลเซอร์คัทให้พี่พรต เดินไปถึงหน้าห้องด้วยความเคยชินก่อนจะหยิบกุญแจออกมาอย่างทุลักทุเลแล้วใช้ตัวผลักประตูเข้าไปในห้องอย่างแรง

            “พรานมาแล้วก็พูดเลยสิ”

            เสียงเรียบๆ ของพี่พรตทำเอาผมชะงัก วางของในมือลงแล้วหันไปมองทันที และภาพที่เห็นทำเอาผมยิ่งตกใจกว่าเดิม เพราะคนที่นั่งอยู่บนโซฟาคือพ่อของพี่พรต

            ...เชี่ย คุณสุวัตรตัวเป็นๆ กำลังมองมาที่ผม

            “สวัสดีครับ”

            ผมยกมือไหว้ก่อนจะยิ้มให้อย่างเกร็งๆ ผมไม่รู้ว่าเขามาด้วยเรื่องอะไร แต่เห็นท่าทางที่รับไหว้ด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ก็ทำให้ผมอดกังวลไม่ได้

            “ผมรู้ว่าพ่อพูดมาหลายทีแล้วแต่ผมจะไม่เลิก”

            “แล้วจะไปบอกใครต่อใครได้ยังไง”

            “ทำไมจะบอกไม่ได้ ก็พูดความจริง”

            “แกนี่มันชอบหาเรื่องให้ฉันจริงๆ”

            “ใครจะเหมือนพี่พฤตล่ะ”

            “ไอ้พรต!”

            การเถียงกันอย่างดุเดือดทำเอาผมที่เพิ่งเข้าห้องมาปรับอารมณ์แทบไม่ทัน ผมอดห่วงพี่พรตไม่ได้แต่เหมือนเจ้าตัวเองเองจะดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ซึ่งพี่พรตเองก็แบบนี้ ถึงจะแสดงเหมือนไม่ใส่ใจแต่จริงๆ แล้วเขาโคตรกังวล สายตาของผมยังคงจับอยู่ที่พี่พรตแต่แล้วพ่อของเขาก็ปรายสายตามามอง ทำเอาผมที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงทางเข้ารีบเดินเข้าไปในส่วนแพนทรี่แล้วทำเป็นจัดนู่นจัดนี่ทันที

            “แบบประกวดแก้ตามที่ฉันบอกรึยัง”

            “แก้แล้วครับ”

            พี่พรตไม่สบตา แต่กลับเอนหลังพิงพนักแล้วกลอกตามองนู่นมองนี่รอบห้องอย่างเบื่อๆ

            “พฤตได้มารีเช็ครึเปล่า”

            “แล้วครับ”

            “ตอนนี้งานถึงไหน”

            “ผมจะเรนเดอร์ต่อ พรานจะช่วยช็อป ถ้าเสร็จเร็วจะให้พรานขึ้นโมคร่าวๆ เลย ส่วนผมจะคิดแบรนด์ดิ้งกับเพลทพรีเซนท์”

            พี่พรตพูดรวดเดียวโดยที่สายตายังมองไปที่อื่นอยู่โดยไม่คิดจะหันไปหา ถ้าเป็นพ่อกับแม่ผมคงโดนด่าว่าไม่มีมารยาท แต่นี่เหมือนนอกจากเรื่องงานแล้วพ่อพี่พรตดูก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย

            “อืม จะปริ้นท์ก็ส่งมา”

            “...”

            “แล้วเรื่องนั้นค่อยว่ากัน”

            คราวนี้พี่พรตที่นั่งเรื่อยเปื่อยบนโซฟาถึงกับเปลี่ยนเป็นนั่งหลังตรงแล้วหันไปสบตาพ่อเขาอย่างจริงจัง

            “ค่อยว่ากันอะไร ผมพูดเคลียร์แล้วไง ถ้าพ่อไม่ให้คบ ผมจะไม่ทำงานประกวดอีกเลย”

            ผมถึงกับเผลอจ้องพี่พรตอย่างลืมตัวอีกครั้ง ตั้งแต่เจอกันมาผมไม่เคยเห็นพี่พรตอารมณ์ร้อนเหมือนตอนนี้เลย คราวนี้เหมือนพ่อพูดอะไรขึ้นมาเขาจะสวนกลับไปทันที

            “ฉันไม่เดือดร้อน”

            “เหรอ งั้นถึงพ่อให้คนในออฟฟิสทำแล้วยื่นประกวดด้วยชื่อผมอีก ผมก็จะประกาศให้ทุกคนรู้”

            “แกจะทำอย่างนั้นไม่ได้!”

            “ทำไมจะไม่ได้”

            คุณสุวัตรถอนหายใจเฮือกใหญ่  ดูจากสีหน้าก็รู้แล้วว่าไม่สบอารมณ์อย่างมาก ซึ่งนี่เหมือนที่พี่พรตพูดทั้งหมดว่าพ่อของเขาเป็นคนห่วงหน้าตาในสังคมมากกว่าทุกอย่าง เบื้องหลังเป็นยังไงไม่สนใจแต่ภาพที่ออกมาเบื้องหน้าจะต้องสวยงามสมบูรณ์แบบ

            “พ่อก็รู้ ผมไม่ได้ชอบอะไรเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเลย”

            “ก็ใช่ แต่...”

            “เราตกลงกันแล้วนี่ ผมยอมให้แค่ห้าปี โอเคมั้ย”

            “...”

            “แล้วพ่อห้ามยุ่งกับพราน ทีพี่พฤตพ่อยังไม่ด่าอะไรเลย”

            ประโยคนี้เหมือนทำให้พ่อพี่พรตซึ่งเหมือนจะสงบลงไปแล้วกลับขึ้นเสียงอีกครั้ง

            “แต่แฟนไอ้พฤตมันผู้หญิง!”

            “ผู้หญิงแล้วไง พี่พฤตก็มีหลายคนแต่ผมมีคนเดียวแล้วกัน”

            ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ผมคงเข้าไปกอดเขาแล้วล่ะครับ พี่พรตชัดเจนกับผมมาตลอด เขากล้าพูดกล้าทำและมั่นใจมากกว่าตัวผมเองเสียด้วยซ้ำ และความมั่นใจของเขานี่แหละทำให้ผมรู้สึกว่าบางทีหลังจากนี้ผมควรจะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนขนาดนี้เหมือนกัน ผมอาจเคยกลัวเรื่องความไม่มั่นคงของความรู้สึก แต่เมื่อได้เห็นพี่พรตแล้วทำให้ผมได้รู้เลยว่า...มันอาจไม่มั่นคงเสมอไปหรือไม่ยืนยาวเป็นสิบปีแต่อย่างน้อยในห้วงขณะนี้มันก็ชัดเจน

            ...แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

            “เอางี้ คบกันก็ได้ แต่ต้องเจอกันน้อยลง”

            “ผมกับพรานเรียนคณะเดียวกัน พ่อจะทำอะไรได้”

            “ฉันจะส่งแกไปเรียนAA”

            “...”

            ไม่ใช่แค่พี่พรตที่เงียบไปแต่ผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน มันกระทันหันเกินไปและไม่คิดว่าพ่อพี่พรตจะเล่นหนักขนาดนี้ AAเป็นโรงเรียนสถาปัตย์แนวหน้าของโลกซึ่งอยู่ที่อังกฤษ นักเรียนส่วนมากที่นั่นนอกจากจะเป็นระดับท็อปแล้วยังต้องสามารถสู้ค่าเทอมได้อีกด้วย

            “แกก็รู้ว่าฉันรู้จักหลายคนที่นั่น ไม่มีปัญหาเรื่องการทรานส์เฟอร์แน่นอน”

            สถานการณ์ดูแย่ลงเพราะพ่อพี่พรตมีท่าทีจริงจังขึ้นมาราวกับว่าเขาได้วางแผนเอาไว้นานแล้ว ผมเผลอขบริมฝีปากล่างอย่างเป็นกังวลในขณะที่พี่พรตซึ่งนั่งเงียบไปกลับค่อยๆ ยิ้มออกมา

            “แล้วพ่อจะรับได้เหรอ ถ้าผมห่วย”

            “...”

            “ที่นั่นไม่มีพี่พฤตตรวจให้ แล้วพ่อจะกล้าสู้หน้าเพื่อนพวกนั้นได้ไง”

            “...”

            “ผมจะเตือนอีกครั้งนะครับ ว่าผมไม่ได้มีความสนใจในด้านนี้และไม่ใส่ใจด้วย”

            “...”

            “แต่ถ้าพ่อรับได้ ผมคงไม่ขัด”

            พี่พรตพูดพร้อมรอยยิ้ม สบสายตาของผู้เป็นพ่อโดยไม่หลบอีกเลยซึ่งผมเห็นแล้วว่ามันเหมือนรอยยิ้มที่เยาะเย้ยพ่อของเขาอยู่กลายๆ และนั่นทำให้คุณสุวัตรถึงกับนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง หยิบกระเป๋าแล้วเดินไปที่ประตู

            “พรุ่งนี้อย่าลืมมาบริษัท”






            พี่พรตไม่ตอบและไม่เดินมาส่ง ทำให้ผมซึ่งอยู่ตรงแพนทรี่จำเป็นต้องรับหน้าที่เดินไปปิดประตูให้โดยปริยาย ผมยกมือไหว้ ยังดีที่อย่างน้อยพ่อพี่พรตก็รับไหว้แล้วเหลือบมองผมแวบหนึ่งก่อนแล้วค่อยเดินออกจากห้องโดยไม่พูดอะไรอีกเลย ผมล็อคประตูให้เรียบร้อยก่อนหันกลับมามองคนที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟา พี่พรตทิ้งตัวลงกับพนักแล้วเงยหน้ามองเพดานอยู่อย่างนั้น

            ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไร ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะหลังมือของเขาเบาๆ และนั่นทำให้พี่พรตหันกลับมาทันที

            “พราน”

            “...”

            “กูแม่งโคตรเลว”

            “เฮ้ย พี่พรตใจเย็น”

            ผมว่าแล้ว พี่พรตต้องเสียใจที่ตัวเองไปเถียงพ่อแบบนั้นแม้เขาจะทำไปเพื่อประกาศจุดยืน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจตัดสินได้เต็มปากหรอกว่าพี่พรตทำดีแล้วหรือพี่พรตทำไม่ถูกได้ทั้งหมด เขาอาจพูดแรงไปหน่อยกับคนที่แรงอย่างคุณสุวัตรด้วยเลยทำให้เรื่องมันไม่จบ แต่การที่จะรักษาจุดยืนของตัวเองแล้วไม่ยอมทำตามที่พ่อบังคับนั่นผมก็ว่ามันไม่ผิด ถ้าพี่พรตเกลียดานด้นสถาปัตย์จริงก็ถือว่าโคตรดีแล้วล่ะที่ยอมเรียนห้าปีแล้วยังยอมทำงานประกวดให้อีก

            “กูไม่ได้หัวอ่อนเหมือนพี่พฤตที่พ่อพูดอะไรก็ทำ แล้วนั่นมันวินวินด้วยเพราะพี่พฤตชอบอยู่แล้ว แต่กูทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ”

            “พรานว่าตรงนี้ไม่ผิดว่ะ”

            “ตรงไหน”

            “มันก็ปกตินะที่เลือกทำตามตัวเองอ่ะ”

            “...ก็จริง”

            ถึงพี่พรตจะตอบรับแบบนั้นแต่เขาก็ยังไม่ได้ลุกไปทำงานต่อหรือคุยอะไรกับผมตามปกติ ผมบีบมือของพี่พรตให้แน่นขึ้นเพื่ออย่างน้อยก็เป็นการเตือนว่าผมยังอยู่กับเขาตรงนี้ แต่นั่นเหมือนจะยังไม่พอเพราะเขาไม่ได้ตอบรับอะไรเลย ผมมองใบหน้าของเขาอย่างเหม่อลอย ไล่สายตาจากหัวคิ้วที่ยังคงชนกันอย่างคนคิดมาก จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีมฝีปากได้รูปสวย

            ผมอยากช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของคนตรงหน้าได้บ้าง

            ...และนี่อาจเป็นหนทาง

            “พรานให้ครั้งเดียวนะ”

            “อะไร”

            พี่พรตซึ่งกำลังเงยหน้ามองเพดานหันกลับมามองผมด้วยสายตาเหมือนไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่ ผมขบริมฝีปากตัวเองเบาๆ และจับจ้องไปที่ริมฝีปากของพี่พรตอย่างเป็นกังวล มือของผมสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้จึงรีบดึงมือออกมาจับกันเองแทน

            ผมค่อยๆ เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของพี่พรต สายตายังคงจดจ่ออยู่ที่ริมฝีปากแต่ก็ยังสามารถเห็นความตกใจที่ฉายชัดบนใบหน้าของพี่พรตได้อยู่ดี มือทั้งสองของผมสั่นมากขึ้นเมื่อผมขยับเข้าไปใกล้ขึ้น และทั้งตัวของผมเหมือนจะสั่นด้วยความกลัวเมื่อริมฝีปากของเราอยู่ห่างกันไม่ถึงเซนต์ ผมจิกมือตัวเองจนรู้สึกเจ็บเมื่อแนบริมฝีปากสัมผัสกัน ความนุ่มหยุ่นที่ติดอยู่บนริมฝีปากไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย กลับทำให้รู้สึกขยะแขยงอย่างห้ามไม่ได้ เหมือนของในกระเพาะผมจะย้อนขึ้นมาให้ได้อย่างไรอย่างนั้น ผมเลยรีบยันตัวเองออกทันที

            ทว่าพี่พรตกลับไม่ปล่อยให้ทำอย่างนั้น เขายกมือขึ้นและออกแรงดันท้ายทอยไม่ให้ใบหน้าผมขยับออกห่าง พี่พรตยิ้มน้อยๆ แล้วกระซิบชิดริมฝีปากผมเบาๆ

            “ให้แล้วไม่ใช่เหรอ”

            “...ใช่”

            ผมให้แล้วจริงๆ แต่เหมือนคำว่าให้ของพี่พรตกับผมจะไม่เท่ากัน เพราะพี่พรตอาศัยจังหวะที่ผมเปิดปากตอบแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปาก ผมร้องประท้วงอย่างรุนแรง ทั้งตัวสั่นด้วยความรู้สึกต่อต้านที่แทบจะทนไม่ไหว ผมดันตัวออกอย่างรุนแรงทว่าพี่พรตกลับยิ่งกดใบหน้าของผมให้ประกบกันแน่นขึ้นอีก ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อลิ้นของพี่พรตตวัดพันลิ้นของผมไว้ แรงดูดเบาๆ ทำเอาผมแทบสิ้นสติ มือที่สั่นยกขึ้นดันตัวพี่พรตออกห่างโดยอัตโนมัติแต่มันก็ไม่อาจสู้แรงของพี่พรตได้อยู่ดี แน่นอนว่าผมไม่อยากทำให้ความตั้งใจของผมใครคราวแรกพังทลายลงแต่สัญชาตญาณกลับทำงานให้ผมหาทางเอาตัวรอดอย่างหนัก

            เสียงดูดอย่างจาบจ้วงดังขึ้นกลบประสาทสัมผัสทั้งหมด น้ำตาของผมเริ่มไหล ในขณะที่มือของพี่พรตก็ยังออกแรงกดให้ริมฝีปากของเราประกบอยู่อย่างนั้น ลิ้นของพี่พรตแทบจะรุกล้ำทุกส่วนในปากของผม มันคงเป็นจูบที่แย่มากสำหรับพี่พรตเมื่อผมไม่สามารถทำใจตอบรับสัมผัสไหนได้เลย ผมอยากทำให้ดีกว่านี้จริงๆ แต่ตัวผมสั่น ร่างกายผมกำลังต่อต้านอย่างหนัก

            ในที่สุดพี่พรตก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก ผมรีบสูดหายใจเข้าเหมือนคนขาดอากาศ มือยังคงสั่นไม่หาย เป็นช่วงเวลาที่เหมือนยาวชั่วกัปชั่วกัลป์ ผมยังคงไม่อาจยอมรับได้ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ความชื้นยังติดอยู่ที่ริมฝีปากและนั่นทำให้ผมรู้สึกต่อต้านขึ้นมาอีกรอบ

            แต่แล้วสัมผัสเบาๆ ที่ข้างแก้มก็ทำให้ผมดึงตัวเองออกมาจากความชื้นบนริมผีปาก ผมเงยหน้าขึ้นมองคนข้างหน้าที่กำลังทอดสายตามองผม ใบหน้าของพี่พรตมีรอยยิ้มเล็กๆ แต้มอยู่ มือของเขากำลังเช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้าให้ผมอย่างแผ่วเบา

            “ขอบคุณนะ”

            เมื่อได้ยินเสียงนั้น เหมือนน้ำตาของผมจะยิ่งไหลออกมาไม่หยุด ผมยิ้มให้เขาด้วยความรู้สึกที่บรรยายออกมาไม่ถูก รู้แค่ว่าตอนนี้มันดีเหลือเกินที่ผมสามารถลบความหม่นหมองออกไปจากพี่พรตได้สำเร็จแล้ว

            ...รสชาติของการแบ่งเบาความรู้สึกมันเป็นแบบนี้

            รสจูบที่ใครต่อใครบอกว่าหวานสำหรับผมแล้วมันขมจนแทบทนไม่ไหว แต่รสชาติของการได้ซับเอาความไม่สบายใจของเขาออกไปนั้นมันกลับหวานจนน่าลิ้มลอง

            “ลำบากใจหรือเปล่า”

            “...”

            ผมส่ายหน้าไปมา ยังไม่มีสติพอจะพูดอะไรอทั้งนั้น ซึ่งพี่พรตก็ยิ้มรับแล้วเขยิบเข้ามาโอบผมเอาไว้ทั้งตัว เขาโยกผมไปมาพลางหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี

            “โอ๋ๆๆๆ ไม่ร้องนะๆๆๆๆ”

            ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อพี่พรตดัดเสียงแล้วทำท่าทางเหมือนปลอบเด็ก ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาพี่พรตก็ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นคนหน้าหมั่นไส้ได้เสมอ แต่นั่นถือเป็นข้อดีเพราะอย่างน้อยก็ทำให้ผมเขินน้อยลงบ้าง

            “ไปทำงานได้แล้ว”

            ผมผลักตัวเขาออกแล้วรีบลุกไปที่แพนทรี่ซึ่งวางถุงบรรจุชิ้นส่วนโมเดลเอาไว้ แต่ถึงรีบขนาดนี้แล้วก็ยังทันได้ยินเสียงพี่พรตที่พูดไล่หลังตามมา

            “นายเขินน่ารักจัง”

            ผมมองค้อนใส่พี่พรต รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้ง เรียกได้ว่ถ้ามีกระจกเงามาตั้งตรงหน้าในตอนนี้ ผมคงไม่กล้ามองตัวเองเท่าไหร่

            “มองไร ทำเรนเดอร์ไปดิ”

            ผมตอกกลับไปเมื่อสายตาของเขายังคงจับจ้องมาที่ตัวผม ซึ่งพี่พรตก็ตอบรับด้วยเสียงหัวเราะเหมือนรู้ทันและสายตากรุ้มกริ่ม ก่อนจะหันไปเปิดคอมพิวเตอร์แต่โดยดี นี่ดีนะที่มีงานเยอะ ไม่อย่างนั้นไอ้พี่พรตมันคงไม่ยอมไปทำงานแน่ๆ

            เมื่อเอาชิ้นส่วนโมเดลออกมาจัดหมวดหมู่บนโต๊ะแล้ว ผมก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาเพราะเมื่อกี้ร้องไห้ไปเยอะมาก ผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้บ้วนปากเกินสองครั้งเพราะไม่อยากทำให้ตัวเองคิดว่าการจูบมันน่าขยะแขยงอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกต่อต้านนี้อาจไม่สามารถกลบเกลื่อนได้หมดแต่ผมจะพยายามสะกดจิตตัวเองให้มันน้อยลงก็แล้วกัน

 

 



            หลังจากล้างหน้าเรียบร้อยผมก็กลับมานั่งประจำที่ของผม เปิดโน๊ตบุคดูตัวอย่างงานของสถาปนิกคนอื่นเพื่อเป็นแรงบันดาลใจสำหรับโปรเจกต์ของตัวเองไปพลางๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่านเรื่องจูบเมื่อกี้และรอไฟล์เรนเดอร์จากพี่พรตมาตัดต่อเหมือนเดิม

            “พราน”

            “อะไร”

            “จะให้ครั้งเดียวจริงๆ เหรอ”

            ผมหันไปมองพี่พรต แต่ก็พบว่าเขาหันมามองผมอยู่ก่อนแล้ว สายตาเขาดูอ้อนวอนอย่างจริงจังทำเอาผมรู้สึกเขินขึ้นมาอีกรอบไม่ได้ ผมโคตรเกลียดเลยเวลาแสดงอาการอะไรออกมาต่อหน้าคนอื่น ผมจึงพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด

            “ดูก่อน”

            “ไม่เอาคำตอบนี้ดิ เอาใหม่ๆ”

            “...”

            นี่ถ้าพี่พรตไม่หยุดแซวผมจะลุกออกไปจริงๆ ให้ตายเถอะ เขาโคตรเก่งเลยสำหรับการทำให้ผมเขินเนี่ย


            “แน่ะ ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าให้อีกใช่ป่ะ”


            “พี่พรตก็ลองขอพรานดูสิ”






----------------------------------------------------------
อัพส่งท้ายปี Happy New Yearค่ะทุกคน ขอให้มีความสุขกันมากๆ นะคะ
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันถึงปีนี้นะคะ ขอบคุณจริงๆ  :กอด1:
เจอกันปีหน้าค่าา :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ถ้ายังไม่เป็นแฟนกันแบบนี้เรียกว่าอ่อย
แต่เป็นแฟนกันแล้วแบบนี้เขาเรียกว่ายั่วนะนาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
น่ารักค่ะ  เอาใจช่วยพี่พรตและน้องพรานจ้า
อิอิ  อยากอ่านNC  อ่ะ 5555

ออฟไลน์ poterdow

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
โอ้ยยยย น่ารักมากกกก

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
อ่อยยเหลือเกินนนนน น้องพรานนนน
พี่พรตจะไม่ทนเอานะะ

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
อ่อยแบบนี้ พี่พรตคงตบะแตกเข้าสักวันแหละ

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
พี่พรตก็สู้ๆน้า
พรานก็สู้ๆ
ทั้งสองคนก็สู้ๆ
ทำไมพ่อถึงเป็นคนแบบนี้ล่ะ
ฮื่อออ
happy new year 2017 นะคะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ลุ้นไปอีก

Happy 2017!

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ทำไมคุณพ่อถึงเป็นคนแบบนี้เนี่ย ทำไมต้องบังคับกันซะขนาดนี้ด้วย
ส่วนเรื่องคนรักของลูกน่ะ เปิดใจหน่อยค่ะสมัยไหนแล้วค่ะคุณพ่อขาาาาา

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
แค่จูบน้องยังกลัว+ขยะแขยงขนาดนี้ ฉากป่ามป๊ามคงไม่ต้องหวังอ่ะ 5555555
แต่ตอนบรรยายฉากจูบนี่ทำเอาเราขยะแขยงแล้วก็เกร็งตามไปด้วยเลยอ่ะ รู้ถึงเข้าถึงมากๆ  o13

ออฟไลน์ Missmu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พ่อนี่ โอ๊ยยยยย :z3:

ออฟไลน์ powl-the-2nd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
::: CHAPTER 22 :::





          ผมเข้าบริษัททันทีหลังเลิกเรียนและบอกพรานเรียบร้อยแล้วว่าวันนี้ไม่ต้องมาค้างเพราะงานน่าจะทำทันเวลาได้เอง จริงๆ ผมไม่กล้าพูดหรอกว่าที่ไม่อยากให้มาคอนโดวันนี้เพราะเมื่อวานดูจากสีหน้าท่าทางของพ่อแล้วคาดว่าเรื่องคงไม่จบง่ายๆ แค่นั้นหรอก แต่พอดีพรานอยู่ด้วยพ่อผมเลยไม่พูดอะไรมากแล้วนัดมาเจอที่บริษัทแทน จากประสบการณ์ที่ทะเลาะกับพ่อมาตั้งแต่เด็ก เชื่อว่าพ่อผมต้องทำอะไรแน่ๆ เพราะเขาไม่เคยเสียเปรียบอะไรอยู่แล้ว เหมือนทุกอย่างต้องมีข้อแลกเปลี่ยน เช่น ผมยอมเรียนถาปัตย์และทำงานประกวดแบบห้าปีเพื่อจะต่อโทในสายที่ชอบได้

            “น้องพรตมาหาคุณพ่อเหรอคะ”

            “อ้าว สวัสดีครับพี่มุก ใช่ครับ พ่อติดประชุมหรือเปล่าครับ”

            ผมทักทายพนักงานรีเซพชั่นของบริษัทอย่างร่าเริงทั้งที่ผมกำลังเซ็งมาก พี่เขาลุกไปดูในห้องทำงานพ่อให้ก่อนจะเดินกลับมาบอกว่าให้เข้าไปได้เลย ผมกล่าวขอบคุณตามมารยาทก่อนจะเดินไปห้องทำงานของพ่ออย่างเคยชิน

            ทุกครั้งที่มาบริษัทผมอดไม่ได้ที่จะเดินช้าๆ ตลอดทางไปห้องพ่อซึ่งต้องผ่านส่วนออฟฟิศออกแบบเพื่อดูชีวิตการทำงานของสถาปนิก ดูแบบก่อนสร้างที่วางไว้เป็นตั้งๆ ตามชั้น มองผ่านโมเดลผลงานสำคัญๆ ที่ถูกวางไว้ชิดกระจกเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของบริษัท ผมถอนหายใจยาวกับตัวเอง ถึงแม้ว่าผมมีข้อแลกเปลี่ยนกับพ่อแล้วว่าพ่อบังคับได้แค่จบป.ตรี แต่ผมคิดว่าในอนาคตคงต้องเข้ามาช่วยพี่พฤตดูแลบริษัทต่ออย่างเลี่ยงไม่ได้

            ผมจะไม่เถียงว่าผมระลึกบุญคุณของสายอาชีพนี้อยู่เสมอ ผมมีชีวิตที่สะดวกสบายไม่ลำบากอะไรเพราะบริษัทนี้และเพราะการที่พ่อกับแม่เหนื่อยผลักดันจนบริษัทมีหน้ามีตาและใหญ่โต แน่นอนว่าพ่อต้องการให้ความยิ่งใหญ่ของมันยังคงอยู่และคาดหวังให้ความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของครอบครัวตกมาถึงตัวผมด้วย

            “เข้ามาสิ”

            พ่อเห็นผมก่อน เขาละสายตาจากเอกสารที่ถืออยู่ในมือแล้วหันไปบอกแม่บ้านที่เดินตามผมมาให้เอาน้ำมาเสิร์ฟ

            “พ่ออ่านอะไรครับ”

            ผมนั่งเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานพ่อ เหลือบมองเอกสารสัญญาอะไรบางอย่างที่อยู่บนโต๊ะ เห็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษยาวเหยียดและลิสท์ของอะไรสักอย่างที่ยาวไปถึงอีกหน้า

            “เนี่ย ฉันว่าจะบอกแกอยู่เลย”

            อยู่ๆ พ่อก็หยิบเอกสารปึกนั้นส่งให้ผมดู มันเป็นอีเมลฉบับหนึ่งซึ่งเมื่อเห็นข้อความพาดหัวทำเอาผมถึงกับชะงักไปเพราะมันเป็นชื่อของมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าทางด้านสถาปัตยกรรมในอเมริกา ทำไมผมจะเดาไม่ออกว่าพ่อกำลังทำอะไร

            “เมื่อคืนฉันกับแม่แกคุยกันแล้ว ฉันจะส่งแกไปอเมริกา”

            “ก็ไม่ต่างอะไรจากที่พ่อจะส่งไปAA”

            ผมพยายามระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจแล้วตีสีหน้าเรียบเฉยตอบกลับไปอย่างใจเย็น

            “ต่าง...พี่พฤตจะไปด้วย”

            “จะไปได้ไง”

            มาถึงตรงนี้ผมก็แทบจะปิดบังความตกใจของตัวเองไม่มิด ก็พี่พฤตเป็นกำลังช่วยพ่อทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอ จะไปไหนมาไหนยังไงได้

            “ปีหน้าพี่พฤตจะไปเป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนที่นั่น”

            “แค่ปีเดียวนี่”

            “แล้วทำไมฉันจะขอให้อยู่สองปีไม่ได้”

             บางทีผมก็ลืมไปว่าพ่อมีเครือข่ายเพื่อนอยู่ในโรงเรียนสถาปัตย์ชั้นนำหลายแห่งในโลก มันจะไปยากอะไรถ้าพ่อจะขอเพื่อนให้ช่วยรับลูกชายตัวเองไว้อีกคน อย่าว่าแต่พี่พฤตซึ่งมีฝีมือขึ้นชื่อในแวดวงเลย ประวัติของผมที่พ่อคอยเคี่ยวเข็นก็ไม่เลวร้ายสำหรับวงการนี้เลยสักนิด ประกวดแบบคราวไหนก็ไม่เคยต่ำกว่ารางวัลที่สาม เกรดเรียนก็ดี ทุกอย่างเป็นไปตามที่พ่ออยากได้ทั้งนั้นแล้วใครจะกล้าปฏิเสธ

            เมื่อพ่อปักใจให้ผมไปแล้วผมน่าจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงแน่ๆ ทนเรียนไปไม่กี่ปีคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะกลับมาก็จะได้อิสระทันที แต่อยู่ๆ ผมก็นึกถึงกลุ่มเพื่อน นึกถึงพราน ไม่รู้สังคมนั้นจะสนุกเท่านี้หรือเปล่าและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในทั้งชีวิตจะได้สนุกแบบนี้อีกรึเปล่า

            “พ่อจะทรานส์เฟอร์ไปปีไหน”

            “ปีหน้า”

            “ไม่ไปได้ไหม”

            ยังไงถึงถามไปพ่อก็ไม่มีวันเปลี่ยนความคิดหรอกครับผมรู้ดี ผมแค่ถามไปด้วยความปากไวเท่านั้นแหละ แต่ถ้าผมยอมขนาดไปเรียนเมืองนอกแล้ว ผมก็หวังว่าพ่อจะไม่บังคับอะไรในชีวิตผมอีก ที่ผ่านมาทั้งช่วงที่อยู่โรงเรียนจนมาถึงมหาวิทยาลัยผมเหมือนจะทำตามความต้องการของพ่อมาตลอด

            “แล้วพ่อจะสัญญาได้รึเปล่า ถ้าผมยอมตอนนี้กลับมาพ่อจะไม่บังคับอะไรอีก”

            “...”

            “พ่อรู้ไหม ผมไม่มีความสุขเลย”

            “...”

            “ถ้าจะให้ไปจริงๆ ผมจะยอมเป็นเรื่องสุดท้าย”

            พ่อของผมนิ่งคิดไป อย่างน้อยเขาก็ต้องยอมรับว่าผมไม่ค่อยมีหัวด้านการออกแบบเท่าไหร่และนั่นถือว่าไม่ตอบโจทย์กับคนคลั่งความสมบูรณ์แบบอย่างพ่อแน่นอน ก่อนเข้าคณะเขาอาจมองว่ายังพอมีหนทาง แต่นี่ผ่านมาถึงปีสามเขาคงต้องเข้าใจบ้างแล้วว่ามันบังคับกันยากลำบากแค่ไหน ไม่ใช่แค่ผมที่เหนื่อยแต่ทางพ่อก็เหนื่อยเหมือนกันที่ต้องมาคอยแก้แบบลุ้นผลประกวดให้ผมแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อออกแบบแน่นอน และสำหรับผมแล้วการฝืนธรรมชาติในลักษณะนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าชีวิตมันยากเหลือเกิน                                 

            “เอางี้ อย่างน้อยก็เรียนจบโรงเรียนสถาปัตย์ดีๆ เข้าใจไหม”

            “...”

            “แล้วถึงไม่เข้ามาเป็นหัวหน้าดีไซน์คนอื่นจะได้มองว่าแกพอมีความรู้บ้าง”

            “...”

            “ไม่งั้นแกจะคุมคนอื่นไม่ได้ เขาจะหาว่าไม่รู้อะไรแล้วมาสั่ง”

            ผมเข้าใจพ่อทุกอย่าง หากผมเรียนจบนอกมามันจะทำให้ทุกคนในบริษัทเคารพและเชื่อฟังผมมากขึ้น พ่อคงกลัวว่าถ้าผมเข้าบริษัทในตำแหน่งอื่น พี่ๆ ในออฟฟิศจะหาว่าผมออกแบบไม่เป็นแล้วจะดูถูกผมว่าไม่รู้เรื่องอะไรทำนองนี้

            พ่อถอนหายใจหนักๆ เหมือนคิดไม่ตก เขาหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นไปพิจารณาอีกรอบ ผมเพิ่งเห็นว่าข้างๆ กันนั้นมีใบทรานส์คริปท์วางอยู่ด้วย ซึ่งพ่อหยิบขึ้นไปดูพร้อมกันแล้วหันมามองผมอีกครั้ง

            “ตอนนี้ถึงเกียรตินิยมแล้วใช่ไหม”

            “ครับ”

            ถ้าให้ทายคือพ่อกำลังชั่งใจระหว่างเกียรตินิยมของมหาวิทยาลัยที่พอมีชื่อเสียงของที่นี่กับประวัติสำเร็จการศึกษาจากมหาลัยระดับโลก ซึ่งแน่นอนว่าการตัดสินใจไม่ยากเลยแม้แต่น้อย

            “พ่อจะส่งพรตไป ที่นั่นเรียนสี่ปีแต่แกต้องเทคคลาสที่ไม่มีที่นี่ซ้ำอีกหนึ่งปี”

            สรุปคือถึงจะทรานส์เฟอร์ได้บ้างก็ยังมีตัวที่ผมต้องเรียนเสริมวิชาอื่นตามหลักสูตรเขาอีกปีนึง กลายเป็นผมเรียนห้าปีเหมือนเดิมนั่นแหละ คือเรียนเสริมสองเทอมเรียนจริงอีกสอง

            “ตกลงกับผมอีกรอบ กลับมาผมจะไม่ทำงานออกแบบ”

            “ได้ ฉันตกลง”

            “โอเค”

            มาถึงจุดนี้ผมคงต้องยอมแลกช่วงเวลาที่สนุกที่สุดในชีวิตสองปีไปเพื่ออนาคตที่ไม่ต้องฝืนใจตัวเองมากนัก ถ้าผมไม่ตกลงคงจะต้องเป็นสถาปนิกหรือเฮดของฝ่ายดีไซน์อย่างที่พ่ออยากให้เป็นแน่ๆ เอาเถอะ อย่างน้อยผมก็ได้มีช่วงเวลานี้ไปแล้วตลอดปีหนึ่งถึงปีสาม ช่วงมัธยมปลายของผมก็ไม่นับว่าเลวร้ายมาหรอกถ้าไม่นับเรื่องที่ว่าต้องเรียนพิเศษหนักมากเพื่อเตรียมตัวเข้าคณะนี้

            “แล้วเรื่องพราน...ถ้าเขายอมรอสองปีได้ ฉันจะไม่ห้ามอีก”

            ผมเกือบลืมไปเลยว่าเหตุผลหนึ่งที่พ่อจะส่งไปต่างประเทศเพราะอยากให้ห่างออกจากพราน พ่อคงเห็นว่าหากแยกผมกับเขาออกเดี๋ยวผมกับพรานก็เลิกกันไปเองล่ะมั้ง ถึงจะไม่บังคับเลิกแต่ผมเชื่อว่าลึกๆ เขาก็คาดหวังให้เลิกนั่นแหละครับ ซึ่งผมไม่ใส่ใจเท่าไหร่เพราะเชื่อว่าแค่สองปีมันไม่ได้ส่งผลอะไรมากสำหรับผมอยู่แล้วล่ะ แต่ก็ต้องยอมรับสำหรับพรานมันก็ไม่แน่เหมือนกัน

            “ผมขอถามเขาก่อน”

            “ได้ ฉันขอคำตอบภายในศุกร์นี้ เดี๋ยวต้องฝากเรื่องทรานส์เฟอร์อีก”

            แค่นี้สำหรับผมก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้พรานกับผมจะไม่ต้องกังวลอะไรหรือมีปัจจัยอื่นมาคอยแทรกอีก พ่อผมอย่างน้อยก็เชื่อถือได้ล่ะวะ เวลาทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรถ้าพ่อบอกว่า ยอมคือยอมจริงๆ เหมือนตอนที่ผมขอไปปาร์ตี้กับเพื่อนแล้วยื่นข้อเสนอว่าจะทำคะแนนวิชาเลขให้ได้สูงๆ พอทำได้พ่อก็ยอมตามที่ตกลง ผมเมาเละเทะอย่างเต็มที่ในที่สาธารณะโดยพ่อไม่ว่าอะไรสักคำเลยจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในตอนนั้น เนื่องจากพ่อจะห้ามตลอดว่ายังไม่จบม.ปลายอย่าเพิ่งไปเมาที่ไหน คงกลัวผมไปเจอคนรู้จักของเขาด้วยล่ะมั้ง

            แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากความรู้สึกในใจพรานไม่เพียงพอที่จะรอ ผมคงจะต้องตัดสินใจอีกรอบ หรือไม่แน่บางทีผมอาจไม่มีทางเลือกเลยก็ได้ เพราะถึงอยู่ต่อผมอาจโดนห้ามด้วยวิธีที่หนักกว่านี้ หากเรียนต่อแล้วพรานไม่รอความสัมพันธ์ก็จบลงอยู่ดีไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง คนที่มีทางเลือกว่าจะเอายังไงกับผมคงเป็นพรานแล้วล่ะ

            “ปีนี้ก็ทำเกรดสวยๆ ด้วย”

            “ครับ”                                                     

            ผมไม่ได้พูดอะไรต่อกับพ่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องประกวดแบบหรือเรื่องอื่น และพ่อก็ยอมปล่อยตัวผมไปง่ายๆ เหมือนจงใจ ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากที่ไม่ถามอะไรตอนนี้เพราะความคิดผมยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องที่พ่อให้ไปเรียนต่อ จะไม่ตกใจได้ยังไงครับในเมื่อที่ผ่านมาผมคิดภาพตัวเองเรียนจบจากที่นี่มาตลอด จริงๆ ผมจะโทษใครมากก็ไม่ได้เนื่องจากเป็นเรื่องที่ผมตัดสินใจเอง แต่ข้อแลกเปลี่ยนของพ่อมันค่อนข้างคุ้มที่จะเสี่ยงทำตามด้วยแหละผมเลยคิดจะทำตาม

            ผมมองเข้าไปในออฟฟิศออกแบบอีกครั้ง เห็นความวุ่นวายและแรงใจที่ผมไม่เคยมี บางครั้งอดคิดไม่ได้ว่าหากผมชอบในสายอาชีพนี้อะไรหลายๆ อย่างมันคงราบรื่นกว่านี้ สถปนิกคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดีแล้วทักทาย ผมจึงยกมือไหว้ตามมารยาท...ทุกคนก็อย่างนี้แหละ คุ้นเคยกับผมในฐานะที่คิดว่าต่อไปจะได้ทำงานร่วมกัน

            และโดยไม่คิดอะไรมาก ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์แล้วโทรออกทันที


            “ไอ้กร เย็นนี้ออกมาเจอหน่อย”

                                                                         




 

            “เฮ้ย ไอ้พรตใจเย็น”

            เสียงของไอ้กรที่พยายามตะเบ็งคุยกับผมท่ามกลางเสียงดนตรีสดซึ่งอยู่บนเวทีกลางร้าน ไม่สามารถห้ามผมให้หยิบเครื่องดื่มสีสวยที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาได้ ปล่อยให้มันไหลลงลำคออย่างช้าๆ พยายามตั้งใจลิ้มรสขมบาดคอเจือความหวานราวกับเป็นเครื่องดื่มชั้นดี

            “กูขอวันนึง”

            “แต่มึงเมาง่าย”

            “อือ กูอยาก”

            “นี่มึงไปเจออะไรมาวะ”

            ผมมองไอ้กรที่กำลังขมวดคิ้วมองผมอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งก็น่าจะไม่เข้าใจล่ะครับเพราะปกติผมไม่ค่อยออกมากินเหล้าเท่าไหร่ อย่างมากสุดก็จะกินแค่ไม่กี่แก้วแล้วต้องกลับไปทำงานต่อ แต่ไม่ใช่วันนี้ไม่มีงานนะครับ ผมแค่ยอมไปเดือดเอาวันอื่น ยังไงวันนี้ก็ขอสักวันเถอะ

            “เล่าให้ฟังไหวป่ะ”

            “เดี๋ยวบอก”

            ไอ้กรบ่นออดแอดเป็นคนแก่ทันทีเมื่อผมยังไม่บอกมันตอนนี้ ผมยังมีสติค่อนข้างครบและเป็นคนไม่ชอบพูดเรื่องซีเรียสเท่าไหร่ ไว้รอเหล้าเข้าปากอีกนิดผมจะเป็นคนพูดเก่งขึ้นไปเองล่ะครับ ผมมองสีหน้าหงุดหงิดเหมือนค้างคาใจของไอ้กรขำๆ ไม่รู้ว่าตอนไปเรียนที่นั่นแล้วจะมีคนออกมาดื่มเป็นเพื่อนแล้วสนิทใจขนาดนี้อีกรึเปล่า

            “แล้วนี่เรียกกูมาทำไมวะ น้องพรานก็อยู่”

            “ไม่อยากกวน”

            ผมเป็นคนบอกพรานไม่ให้มาหาวันนี้เองแหละ ซึ่งผมคาดการณ์ไม่ผิดเลย พ่อคุยนานและเป็นเรื่องที่จริงจังจนทำให้ผมอยากออกมาดื่มเลยเนี่ย ไม่ใช่เพราะอยากลืมความจริงอะไรหรอกนะครับ ผมรู้ว่ามันลืมไม่ได้และเสียเวลาเปล่าถ้าเอาแต่ปฏิเสธ ผมมาเพื่อให้ชีวิตช่วงนี้สนุกขึ้นมาสักนิดเท่านั้นแหละครับ คงไม่ได้ดื่มให้ถึงขั้นเมาไม่ได้สติแต่เอาให้พอสนุกปากเท่านั้นแหละ

            “อ้าวเชี่ย หมายความว่ากูนี่กวนได้ใช่ป่ะ”

            “เออดิ”

            “หมั่นไส้ว่ะไอ้สัด บอยบีฟอร์เฟรนด์”

            “ฮ่าๆๆๆ ตลกละ”

            ผมนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกับไอ้กรต่อเรื่อยๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นมันที่คอยถาม ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากรู้ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงชวนมันออกมามากกว่า ผมมองบรรยากาศรอบตัว ที่นี่เป็นร้านแถวมหาลัยทำให้ผมคุ้นหน้าคนในร้านมากกว่าครึ่ง ทุกคนล้วนมาที่นี่ด้วยเหตุผลแตกต่างกัน บางคนก็ดูเหมือนมีความสุขเหลือเกินบางคนก็ทุกข์เหลือเกิน ดูแล้วก็อดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ ไอ้กรคงหาว่าผมใกล้บ้า แต่จริงๆ ผมแค่กำลังคิดว่าถึงแม้จะเป็นสถานที่เดียวกันในเวลาเดียวกันคนเราก็มีจุดประสงค์ที่หลากหลายดี ผมดื่มเข้าไปอีกแก้ว เริ่มรู้สึกเหมือนพร้อมจะเล่าอะไรได้มากขึ้นแล้ว จึงค่อยๆ เปิดประเด็นขึ้นมา

            “พ่อให้กูไปเรียนต่อ”

            “เฮ้ย มึงเมาแล้ว”

                    ผมยิ้มให้มันแล้วส่ายหน้าเบาๆ ไอ้กรก็แบบนี้ เป็นคนขี้ตกใจขี้เป็นห่วงที่สุดในกลุ่มผมทุกคนแล้วล่ะ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเจาะจงเรียกมันออกมา ถ้าบอกมันเดี๋ยวคนอื่นในกลุ่มก็รู้ตามอยู่ดี แล้วผมจะได้ไม่ต้องเล่าต่อหน้าคนหลายๆ คนด้วย

            “เปล่า นี่พูดจริงเมื่อกี้เพิ่งไปหาพ่อมา”

            “...พ่อมึงบ้าป่ะเนี่ย”

            “หยาบสัด ฮ่าๆๆ”

            “เห้ยโทษ เออนั่นแหละ สรุปทำไมยังไง”

            “ก็...แลกกับการที่กูไม่ต้องเป็นเฮดดีไซน์ของบริษัท”

            “...”

            “พ่อบอกอย่างน้อยกูจะได้ดูมีความรู้ในสายตาของพี่ๆ ที่ออฟฟิศ”

            พอผมเล่าจบไอ้กรก็ถอนหายใจออกมายาวๆ มันทำหน้าเหมือนมันโดนส่งไปเรียนแทนอย่างไรอย่างนั้น ผมค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยว่าอย่างน้อยก็ได้เล่าให้ใครฟังสักคน

            “แล้วน้องพรานอ่ะ”

            “พ่อบอกว่ากลับมาถ้าพรานยังรอ ก็จะไม่ห้ามกู”

            “เชี่ย พ่อมึงยอมขนาดนี้เลยเหรอวะ”

            “อือ เขาคงอยากให้กูไปมาก”

            “เกิดเป็นมึงแม่งลำบากจังวะ”

             จริงอย่างที่ไอ้กรว่าแหละครับ ข้อเสนอนี้ถ้าเทียบกับอันอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พ่อผมยอมให้เยอะมากแล้ว เพราะผมจะไม่ต้องทำงานออกแบบและยังได้คบกับพราน ส่วนหนึ่งอาจเห็นว่าคนสมัยนี้มีผู้ชายคบกันเยอะขึ้น ยิ่งในสายอาชีพนี้ผมว่าผมก็เห็นหลายคู่พ่ออาจพอทำใจได้ในระดับหนึ่งแล้ว

            “มันก็ขึ้นอยู่กับพรานด้วยแหละ”

            “กูไม่รู้จะช่วยไงว่ะ ต้องลองถามดู”

            “ก็คงต้องงั้น”

 






            ผมเล่าเรื่องทุกอย่างแบบลงรายละเอียดให้ไอ้กรจนหมดและนึกขอบคุณแอลกอฮอลล์ขึ้นมาเพราะมันทำให้ผมรู้สึกดีกับการเล่ามากขึ้นด้วย ซึ่ง่ไอ้กรก็นั่งฟังอย่างใจเย็น มันไม่เร่งหรือถามอะไรเยอะแยะแต่คอยให้ผมค่อยๆ เล่าออกมาตามที่สะดวกใจ เวลาผ่านไปเท่าไหร่ผมไม่รู้ แต่จากการประมาณเอาคาดว่าน่าจะสักสองสามชั่วโมงได้ ในร้านเริ่มครึกครื้นเมื่อลูกค้าส่วนมากเริ่มขาดสติ บางโต๊ะพูดคุยเสียงดัง บางโต๊ะร้องเพลงแข่งกับดนตรีสดอย่างไม่เกรงใจ

            “กลับกันมั้ย”

            ผมไม่ชอบร้านตอนใกล้ดึกเลย มันเหมือนเป็นศูนย์รวมคนที่อยู่ๆ จะแปลงร่างได้อย่างไรอย่างนั้น จากตอนหัวค่ำยังดีๆ กันอยู่ ตอนนี้เริ่มออกลายแล้วครับ ผมนึกขอบคุณตัวเองที่ดื่มแค่ให้เล่าเรื่องได้คล่องปากเท่านั้นและไม่เมาเละเทะรบกวนคนอื่น

            “มึงไหวแน่นะ”

            “อือ แต่อาจต้องให้มึงไปส่งว่ะ”

            “เออ กูเตรียมใจมาแล้วเพื่อน”

            “รู้งานดีจังวะ”

            ผมนั่งมองนู่นมองนี่อีกสักพักเพื่อรอ ผมไม่อยากเมากลับไปจึงพยายามดื่มแบบค่อยๆ จิบแทนที่จะกระดกเข้าปากทีเดียว สุดท้ายผมจึงหยิบแก้วที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาจรดริมฝีปากเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อจะดื่มเหล้าส่วนที่เหลืออยู่ก้นแก้วให้หมด

            “ไอ้พรต โทรศัพท์”

            “หือ?”

            ผมวางแก้วลง แล้วหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาดู และชื่อบนหน้าจอทำเอาผมถึงกับชะงักไปเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก จนไอ้กรต้องเตือนให้ผมสไลด์เพื่อรับสายและผมก็ทำตามแบบไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่

            “...”

            [พี่พรตผมจะ...เฮ้ย นี่พี่อยู่ไหน]

            “พราน”

            [พี่พรตทำอะไรอยู่ทำไมเสียงดังมาก]

            น้ำเสียงจากปลายสายดูร้อนรนไม่ต่างกับอุณหภูมิของแอลกอฮลล์ที่เพิ่งเข้าไปในร่างกาย แต่ผมไม่สนใจหรอก

 
            “พรานฟังนะ”

     
             [...]


            “พราน”


            [...]




            “รอพี่ได้รึเปล่า”








--------------------------------------------------------------------------------
เปิดเทอมแล้วค่ะ เปิดพร้อมงานที่หนักอย่างเดิม  :sad4:
แต่ตอนนี้งานยังไม่บึ้มค่ะ ยังอัพได้เรื่อยๆ  :laugh: :laugh:

ขอมีมาม่าแบบไม่เผ็ดมากนิดนึงง เดี๋ยวมันจะผ่านไปค่ะ 555555

เข้าไปเล่นแฮชแทคได้นะคะ เหงาแล้วว :-[ >>> #พรตพราน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2017 22:44:00 โดย powl-the-2nd »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด