::: CHAPTER 22 ::: ผมเข้าบริษัททันทีหลังเลิกเรียนและบอกพรานเรียบร้อยแล้วว่าวันนี้ไม่ต้องมาค้างเพราะงานน่าจะทำทันเวลาได้เอง จริงๆ ผมไม่กล้าพูดหรอกว่าที่ไม่อยากให้มาคอนโดวันนี้เพราะเมื่อวานดูจากสีหน้าท่าทางของพ่อแล้วคาดว่าเรื่องคงไม่จบง่ายๆ แค่นั้นหรอก แต่พอดีพรานอยู่ด้วยพ่อผมเลยไม่พูดอะไรมากแล้วนัดมาเจอที่บริษัทแทน จากประสบการณ์ที่ทะเลาะกับพ่อมาตั้งแต่เด็ก เชื่อว่าพ่อผมต้องทำอะไรแน่ๆ เพราะเขาไม่เคยเสียเปรียบอะไรอยู่แล้ว เหมือนทุกอย่างต้องมีข้อแลกเปลี่ยน เช่น ผมยอมเรียนถาปัตย์และทำงานประกวดแบบห้าปีเพื่อจะต่อโทในสายที่ชอบได้
“น้องพรตมาหาคุณพ่อเหรอคะ”
“อ้าว สวัสดีครับพี่มุก ใช่ครับ พ่อติดประชุมหรือเปล่าครับ”
ผมทักทายพนักงานรีเซพชั่นของบริษัทอย่างร่าเริงทั้งที่ผมกำลังเซ็งมาก พี่เขาลุกไปดูในห้องทำงานพ่อให้ก่อนจะเดินกลับมาบอกว่าให้เข้าไปได้เลย ผมกล่าวขอบคุณตามมารยาทก่อนจะเดินไปห้องทำงานของพ่ออย่างเคยชิน
ทุกครั้งที่มาบริษัทผมอดไม่ได้ที่จะเดินช้าๆ ตลอดทางไปห้องพ่อซึ่งต้องผ่านส่วนออฟฟิศออกแบบเพื่อดูชีวิตการทำงานของสถาปนิก ดูแบบก่อนสร้างที่วางไว้เป็นตั้งๆ ตามชั้น มองผ่านโมเดลผลงานสำคัญๆ ที่ถูกวางไว้ชิดกระจกเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของบริษัท ผมถอนหายใจยาวกับตัวเอง ถึงแม้ว่าผมมีข้อแลกเปลี่ยนกับพ่อแล้วว่าพ่อบังคับได้แค่จบป.ตรี แต่ผมคิดว่าในอนาคตคงต้องเข้ามาช่วยพี่พฤตดูแลบริษัทต่ออย่างเลี่ยงไม่ได้
ผมจะไม่เถียงว่าผมระลึกบุญคุณของสายอาชีพนี้อยู่เสมอ ผมมีชีวิตที่สะดวกสบายไม่ลำบากอะไรเพราะบริษัทนี้และเพราะการที่พ่อกับแม่เหนื่อยผลักดันจนบริษัทมีหน้ามีตาและใหญ่โต แน่นอนว่าพ่อต้องการให้ความยิ่งใหญ่ของมันยังคงอยู่และคาดหวังให้ความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของครอบครัวตกมาถึงตัวผมด้วย
“เข้ามาสิ”
พ่อเห็นผมก่อน เขาละสายตาจากเอกสารที่ถืออยู่ในมือแล้วหันไปบอกแม่บ้านที่เดินตามผมมาให้เอาน้ำมาเสิร์ฟ
“พ่ออ่านอะไรครับ”
ผมนั่งเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานพ่อ เหลือบมองเอกสารสัญญาอะไรบางอย่างที่อยู่บนโต๊ะ เห็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษยาวเหยียดและลิสท์ของอะไรสักอย่างที่ยาวไปถึงอีกหน้า
“เนี่ย ฉันว่าจะบอกแกอยู่เลย”
อยู่ๆ พ่อก็หยิบเอกสารปึกนั้นส่งให้ผมดู มันเป็นอีเมลฉบับหนึ่งซึ่งเมื่อเห็นข้อความพาดหัวทำเอาผมถึงกับชะงักไปเพราะมันเป็นชื่อของมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าทางด้านสถาปัตยกรรมในอเมริกา ทำไมผมจะเดาไม่ออกว่าพ่อกำลังทำอะไร
“เมื่อคืนฉันกับแม่แกคุยกันแล้ว ฉันจะส่งแกไปอเมริกา”
“ก็ไม่ต่างอะไรจากที่พ่อจะส่งไปAA”
ผมพยายามระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจแล้วตีสีหน้าเรียบเฉยตอบกลับไปอย่างใจเย็น
“ต่าง...พี่พฤตจะไปด้วย”
“จะไปได้ไง”
มาถึงตรงนี้ผมก็แทบจะปิดบังความตกใจของตัวเองไม่มิด ก็พี่พฤตเป็นกำลังช่วยพ่อทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอ จะไปไหนมาไหนยังไงได้
“ปีหน้าพี่พฤตจะไปเป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนที่นั่น”
“แค่ปีเดียวนี่”
“แล้วทำไมฉันจะขอให้อยู่สองปีไม่ได้”
บางทีผมก็ลืมไปว่าพ่อมีเครือข่ายเพื่อนอยู่ในโรงเรียนสถาปัตย์ชั้นนำหลายแห่งในโลก มันจะไปยากอะไรถ้าพ่อจะขอเพื่อนให้ช่วยรับลูกชายตัวเองไว้อีกคน อย่าว่าแต่พี่พฤตซึ่งมีฝีมือขึ้นชื่อในแวดวงเลย ประวัติของผมที่พ่อคอยเคี่ยวเข็นก็ไม่เลวร้ายสำหรับวงการนี้เลยสักนิด ประกวดแบบคราวไหนก็ไม่เคยต่ำกว่ารางวัลที่สาม เกรดเรียนก็ดี ทุกอย่างเป็นไปตามที่พ่ออยากได้ทั้งนั้นแล้วใครจะกล้าปฏิเสธ
เมื่อพ่อปักใจให้ผมไปแล้วผมน่าจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงแน่ๆ ทนเรียนไปไม่กี่ปีคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะกลับมาก็จะได้อิสระทันที แต่อยู่ๆ ผมก็นึกถึงกลุ่มเพื่อน นึกถึงพราน ไม่รู้สังคมนั้นจะสนุกเท่านี้หรือเปล่าและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในทั้งชีวิตจะได้สนุกแบบนี้อีกรึเปล่า
“พ่อจะทรานส์เฟอร์ไปปีไหน”
“ปีหน้า”
“ไม่ไปได้ไหม”
ยังไงถึงถามไปพ่อก็ไม่มีวันเปลี่ยนความคิดหรอกครับผมรู้ดี ผมแค่ถามไปด้วยความปากไวเท่านั้นแหละ แต่ถ้าผมยอมขนาดไปเรียนเมืองนอกแล้ว ผมก็หวังว่าพ่อจะไม่บังคับอะไรในชีวิตผมอีก ที่ผ่านมาทั้งช่วงที่อยู่โรงเรียนจนมาถึงมหาวิทยาลัยผมเหมือนจะทำตามความต้องการของพ่อมาตลอด
“แล้วพ่อจะสัญญาได้รึเปล่า ถ้าผมยอมตอนนี้กลับมาพ่อจะไม่บังคับอะไรอีก”
“...”
“พ่อรู้ไหม ผมไม่มีความสุขเลย”
“...”
“ถ้าจะให้ไปจริงๆ ผมจะยอมเป็นเรื่องสุดท้าย”
พ่อของผมนิ่งคิดไป อย่างน้อยเขาก็ต้องยอมรับว่าผมไม่ค่อยมีหัวด้านการออกแบบเท่าไหร่และนั่นถือว่าไม่ตอบโจทย์กับคนคลั่งความสมบูรณ์แบบอย่างพ่อแน่นอน ก่อนเข้าคณะเขาอาจมองว่ายังพอมีหนทาง แต่นี่ผ่านมาถึงปีสามเขาคงต้องเข้าใจบ้างแล้วว่ามันบังคับกันยากลำบากแค่ไหน ไม่ใช่แค่ผมที่เหนื่อยแต่ทางพ่อก็เหนื่อยเหมือนกันที่ต้องมาคอยแก้แบบลุ้นผลประกวดให้ผมแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อออกแบบแน่นอน และสำหรับผมแล้วการฝืนธรรมชาติในลักษณะนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าชีวิตมันยากเหลือเกิน
“เอางี้ อย่างน้อยก็เรียนจบโรงเรียนสถาปัตย์ดีๆ เข้าใจไหม”
“...”
“แล้วถึงไม่เข้ามาเป็นหัวหน้าดีไซน์คนอื่นจะได้มองว่าแกพอมีความรู้บ้าง”
“...”
“ไม่งั้นแกจะคุมคนอื่นไม่ได้ เขาจะหาว่าไม่รู้อะไรแล้วมาสั่ง”
ผมเข้าใจพ่อทุกอย่าง หากผมเรียนจบนอกมามันจะทำให้ทุกคนในบริษัทเคารพและเชื่อฟังผมมากขึ้น พ่อคงกลัวว่าถ้าผมเข้าบริษัทในตำแหน่งอื่น พี่ๆ ในออฟฟิศจะหาว่าผมออกแบบไม่เป็นแล้วจะดูถูกผมว่าไม่รู้เรื่องอะไรทำนองนี้
พ่อถอนหายใจหนักๆ เหมือนคิดไม่ตก เขาหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นไปพิจารณาอีกรอบ ผมเพิ่งเห็นว่าข้างๆ กันนั้นมีใบทรานส์คริปท์วางอยู่ด้วย ซึ่งพ่อหยิบขึ้นไปดูพร้อมกันแล้วหันมามองผมอีกครั้ง
“ตอนนี้ถึงเกียรตินิยมแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
ถ้าให้ทายคือพ่อกำลังชั่งใจระหว่างเกียรตินิยมของมหาวิทยาลัยที่พอมีชื่อเสียงของที่นี่กับประวัติสำเร็จการศึกษาจากมหาลัยระดับโลก ซึ่งแน่นอนว่าการตัดสินใจไม่ยากเลยแม้แต่น้อย
“พ่อจะส่งพรตไป ที่นั่นเรียนสี่ปีแต่แกต้องเทคคลาสที่ไม่มีที่นี่ซ้ำอีกหนึ่งปี”
สรุปคือถึงจะทรานส์เฟอร์ได้บ้างก็ยังมีตัวที่ผมต้องเรียนเสริมวิชาอื่นตามหลักสูตรเขาอีกปีนึง กลายเป็นผมเรียนห้าปีเหมือนเดิมนั่นแหละ คือเรียนเสริมสองเทอมเรียนจริงอีกสอง
“ตกลงกับผมอีกรอบ กลับมาผมจะไม่ทำงานออกแบบ”
“ได้ ฉันตกลง”
“โอเค”
มาถึงจุดนี้ผมคงต้องยอมแลกช่วงเวลาที่สนุกที่สุดในชีวิตสองปีไปเพื่ออนาคตที่ไม่ต้องฝืนใจตัวเองมากนัก ถ้าผมไม่ตกลงคงจะต้องเป็นสถาปนิกหรือเฮดของฝ่ายดีไซน์อย่างที่พ่ออยากให้เป็นแน่ๆ เอาเถอะ อย่างน้อยผมก็ได้มีช่วงเวลานี้ไปแล้วตลอดปีหนึ่งถึงปีสาม ช่วงมัธยมปลายของผมก็ไม่นับว่าเลวร้ายมาหรอกถ้าไม่นับเรื่องที่ว่าต้องเรียนพิเศษหนักมากเพื่อเตรียมตัวเข้าคณะนี้
“แล้วเรื่องพราน...ถ้าเขายอมรอสองปีได้ ฉันจะไม่ห้ามอีก”
ผมเกือบลืมไปเลยว่าเหตุผลหนึ่งที่พ่อจะส่งไปต่างประเทศเพราะอยากให้ห่างออกจากพราน พ่อคงเห็นว่าหากแยกผมกับเขาออกเดี๋ยวผมกับพรานก็เลิกกันไปเองล่ะมั้ง ถึงจะไม่บังคับเลิกแต่ผมเชื่อว่าลึกๆ เขาก็คาดหวังให้เลิกนั่นแหละครับ ซึ่งผมไม่ใส่ใจเท่าไหร่เพราะเชื่อว่าแค่สองปีมันไม่ได้ส่งผลอะไรมากสำหรับผมอยู่แล้วล่ะ แต่ก็ต้องยอมรับสำหรับพรานมันก็ไม่แน่เหมือนกัน
“ผมขอถามเขาก่อน”
“ได้ ฉันขอคำตอบภายในศุกร์นี้ เดี๋ยวต้องฝากเรื่องทรานส์เฟอร์อีก”
แค่นี้สำหรับผมก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้พรานกับผมจะไม่ต้องกังวลอะไรหรือมีปัจจัยอื่นมาคอยแทรกอีก พ่อผมอย่างน้อยก็เชื่อถือได้ล่ะวะ เวลาทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรถ้าพ่อบอกว่า ยอมคือยอมจริงๆ เหมือนตอนที่ผมขอไปปาร์ตี้กับเพื่อนแล้วยื่นข้อเสนอว่าจะทำคะแนนวิชาเลขให้ได้สูงๆ พอทำได้พ่อก็ยอมตามที่ตกลง ผมเมาเละเทะอย่างเต็มที่ในที่สาธารณะโดยพ่อไม่ว่าอะไรสักคำเลยจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในตอนนั้น เนื่องจากพ่อจะห้ามตลอดว่ายังไม่จบม.ปลายอย่าเพิ่งไปเมาที่ไหน คงกลัวผมไปเจอคนรู้จักของเขาด้วยล่ะมั้ง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากความรู้สึกในใจพรานไม่เพียงพอที่จะรอ ผมคงจะต้องตัดสินใจอีกรอบ หรือไม่แน่บางทีผมอาจไม่มีทางเลือกเลยก็ได้ เพราะถึงอยู่ต่อผมอาจโดนห้ามด้วยวิธีที่หนักกว่านี้ หากเรียนต่อแล้วพรานไม่รอความสัมพันธ์ก็จบลงอยู่ดีไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง คนที่มีทางเลือกว่าจะเอายังไงกับผมคงเป็นพรานแล้วล่ะ
“ปีนี้ก็ทำเกรดสวยๆ ด้วย”
“ครับ”
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อกับพ่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องประกวดแบบหรือเรื่องอื่น และพ่อก็ยอมปล่อยตัวผมไปง่ายๆ เหมือนจงใจ ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากที่ไม่ถามอะไรตอนนี้เพราะความคิดผมยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องที่พ่อให้ไปเรียนต่อ จะไม่ตกใจได้ยังไงครับในเมื่อที่ผ่านมาผมคิดภาพตัวเองเรียนจบจากที่นี่มาตลอด จริงๆ ผมจะโทษใครมากก็ไม่ได้เนื่องจากเป็นเรื่องที่ผมตัดสินใจเอง แต่ข้อแลกเปลี่ยนของพ่อมันค่อนข้างคุ้มที่จะเสี่ยงทำตามด้วยแหละผมเลยคิดจะทำตาม
ผมมองเข้าไปในออฟฟิศออกแบบอีกครั้ง เห็นความวุ่นวายและแรงใจที่ผมไม่เคยมี บางครั้งอดคิดไม่ได้ว่าหากผมชอบในสายอาชีพนี้อะไรหลายๆ อย่างมันคงราบรื่นกว่านี้ สถปนิกคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดีแล้วทักทาย ผมจึงยกมือไหว้ตามมารยาท...ทุกคนก็อย่างนี้แหละ คุ้นเคยกับผมในฐานะที่คิดว่าต่อไปจะได้ทำงานร่วมกัน
และโดยไม่คิดอะไรมาก ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์แล้วโทรออกทันที
“ไอ้กร เย็นนี้ออกมาเจอหน่อย”
“เฮ้ย ไอ้พรตใจเย็น”
เสียงของไอ้กรที่พยายามตะเบ็งคุยกับผมท่ามกลางเสียงดนตรีสดซึ่งอยู่บนเวทีกลางร้าน ไม่สามารถห้ามผมให้หยิบเครื่องดื่มสีสวยที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาได้ ปล่อยให้มันไหลลงลำคออย่างช้าๆ พยายามตั้งใจลิ้มรสขมบาดคอเจือความหวานราวกับเป็นเครื่องดื่มชั้นดี
“กูขอวันนึง”
“แต่มึงเมาง่าย”
“อือ กูอยาก”
“นี่มึงไปเจออะไรมาวะ”
ผมมองไอ้กรที่กำลังขมวดคิ้วมองผมอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งก็น่าจะไม่เข้าใจล่ะครับเพราะปกติผมไม่ค่อยออกมากินเหล้าเท่าไหร่ อย่างมากสุดก็จะกินแค่ไม่กี่แก้วแล้วต้องกลับไปทำงานต่อ แต่ไม่ใช่วันนี้ไม่มีงานนะครับ ผมแค่ยอมไปเดือดเอาวันอื่น ยังไงวันนี้ก็ขอสักวันเถอะ
“เล่าให้ฟังไหวป่ะ”
“เดี๋ยวบอก”
ไอ้กรบ่นออดแอดเป็นคนแก่ทันทีเมื่อผมยังไม่บอกมันตอนนี้ ผมยังมีสติค่อนข้างครบและเป็นคนไม่ชอบพูดเรื่องซีเรียสเท่าไหร่ ไว้รอเหล้าเข้าปากอีกนิดผมจะเป็นคนพูดเก่งขึ้นไปเองล่ะครับ ผมมองสีหน้าหงุดหงิดเหมือนค้างคาใจของไอ้กรขำๆ ไม่รู้ว่าตอนไปเรียนที่นั่นแล้วจะมีคนออกมาดื่มเป็นเพื่อนแล้วสนิทใจขนาดนี้อีกรึเปล่า
“แล้วนี่เรียกกูมาทำไมวะ น้องพรานก็อยู่”
“ไม่อยากกวน”
ผมเป็นคนบอกพรานไม่ให้มาหาวันนี้เองแหละ ซึ่งผมคาดการณ์ไม่ผิดเลย พ่อคุยนานและเป็นเรื่องที่จริงจังจนทำให้ผมอยากออกมาดื่มเลยเนี่ย ไม่ใช่เพราะอยากลืมความจริงอะไรหรอกนะครับ ผมรู้ว่ามันลืมไม่ได้และเสียเวลาเปล่าถ้าเอาแต่ปฏิเสธ ผมมาเพื่อให้ชีวิตช่วงนี้สนุกขึ้นมาสักนิดเท่านั้นแหละครับ คงไม่ได้ดื่มให้ถึงขั้นเมาไม่ได้สติแต่เอาให้พอสนุกปากเท่านั้นแหละ
“อ้าวเชี่ย หมายความว่ากูนี่กวนได้ใช่ป่ะ”
“เออดิ”
“หมั่นไส้ว่ะไอ้สัด บอยบีฟอร์เฟรนด์”
“ฮ่าๆๆๆ ตลกละ”
ผมนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกับไอ้กรต่อเรื่อยๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นมันที่คอยถาม ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากรู้ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงชวนมันออกมามากกว่า ผมมองบรรยากาศรอบตัว ที่นี่เป็นร้านแถวมหาลัยทำให้ผมคุ้นหน้าคนในร้านมากกว่าครึ่ง ทุกคนล้วนมาที่นี่ด้วยเหตุผลแตกต่างกัน บางคนก็ดูเหมือนมีความสุขเหลือเกินบางคนก็ทุกข์เหลือเกิน ดูแล้วก็อดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ ไอ้กรคงหาว่าผมใกล้บ้า แต่จริงๆ ผมแค่กำลังคิดว่าถึงแม้จะเป็นสถานที่เดียวกันในเวลาเดียวกันคนเราก็มีจุดประสงค์ที่หลากหลายดี ผมดื่มเข้าไปอีกแก้ว เริ่มรู้สึกเหมือนพร้อมจะเล่าอะไรได้มากขึ้นแล้ว จึงค่อยๆ เปิดประเด็นขึ้นมา
“พ่อให้กูไปเรียนต่อ”
“เฮ้ย มึงเมาแล้ว”
ผมยิ้มให้มันแล้วส่ายหน้าเบาๆ ไอ้กรก็แบบนี้ เป็นคนขี้ตกใจขี้เป็นห่วงที่สุดในกลุ่มผมทุกคนแล้วล่ะ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเจาะจงเรียกมันออกมา ถ้าบอกมันเดี๋ยวคนอื่นในกลุ่มก็รู้ตามอยู่ดี แล้วผมจะได้ไม่ต้องเล่าต่อหน้าคนหลายๆ คนด้วย
“เปล่า นี่พูดจริงเมื่อกี้เพิ่งไปหาพ่อมา”
“...พ่อมึงบ้าป่ะเนี่ย”
“หยาบสัด ฮ่าๆๆ”
“เห้ยโทษ เออนั่นแหละ สรุปทำไมยังไง”
“ก็...แลกกับการที่กูไม่ต้องเป็นเฮดดีไซน์ของบริษัท”
“...”
“พ่อบอกอย่างน้อยกูจะได้ดูมีความรู้ในสายตาของพี่ๆ ที่ออฟฟิศ”
พอผมเล่าจบไอ้กรก็ถอนหายใจออกมายาวๆ มันทำหน้าเหมือนมันโดนส่งไปเรียนแทนอย่างไรอย่างนั้น ผมค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยว่าอย่างน้อยก็ได้เล่าให้ใครฟังสักคน
“แล้วน้องพรานอ่ะ”
“พ่อบอกว่ากลับมาถ้าพรานยังรอ ก็จะไม่ห้ามกู”
“เชี่ย พ่อมึงยอมขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“อือ เขาคงอยากให้กูไปมาก”
“เกิดเป็นมึงแม่งลำบากจังวะ”
จริงอย่างที่ไอ้กรว่าแหละครับ ข้อเสนอนี้ถ้าเทียบกับอันอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พ่อผมยอมให้เยอะมากแล้ว เพราะผมจะไม่ต้องทำงานออกแบบและยังได้คบกับพราน ส่วนหนึ่งอาจเห็นว่าคนสมัยนี้มีผู้ชายคบกันเยอะขึ้น ยิ่งในสายอาชีพนี้ผมว่าผมก็เห็นหลายคู่พ่ออาจพอทำใจได้ในระดับหนึ่งแล้ว
“มันก็ขึ้นอยู่กับพรานด้วยแหละ”
“กูไม่รู้จะช่วยไงว่ะ ต้องลองถามดู”
“ก็คงต้องงั้น”
ผมเล่าเรื่องทุกอย่างแบบลงรายละเอียดให้ไอ้กรจนหมดและนึกขอบคุณแอลกอฮอลล์ขึ้นมาเพราะมันทำให้ผมรู้สึกดีกับการเล่ามากขึ้นด้วย ซึ่ง่ไอ้กรก็นั่งฟังอย่างใจเย็น มันไม่เร่งหรือถามอะไรเยอะแยะแต่คอยให้ผมค่อยๆ เล่าออกมาตามที่สะดวกใจ เวลาผ่านไปเท่าไหร่ผมไม่รู้ แต่จากการประมาณเอาคาดว่าน่าจะสักสองสามชั่วโมงได้ ในร้านเริ่มครึกครื้นเมื่อลูกค้าส่วนมากเริ่มขาดสติ บางโต๊ะพูดคุยเสียงดัง บางโต๊ะร้องเพลงแข่งกับดนตรีสดอย่างไม่เกรงใจ
“กลับกันมั้ย”
ผมไม่ชอบร้านตอนใกล้ดึกเลย มันเหมือนเป็นศูนย์รวมคนที่อยู่ๆ จะแปลงร่างได้อย่างไรอย่างนั้น จากตอนหัวค่ำยังดีๆ กันอยู่ ตอนนี้เริ่มออกลายแล้วครับ ผมนึกขอบคุณตัวเองที่ดื่มแค่ให้เล่าเรื่องได้คล่องปากเท่านั้นและไม่เมาเละเทะรบกวนคนอื่น
“มึงไหวแน่นะ”
“อือ แต่อาจต้องให้มึงไปส่งว่ะ”
“เออ กูเตรียมใจมาแล้วเพื่อน”
“รู้งานดีจังวะ”
ผมนั่งมองนู่นมองนี่อีกสักพักเพื่อรอ ผมไม่อยากเมากลับไปจึงพยายามดื่มแบบค่อยๆ จิบแทนที่จะกระดกเข้าปากทีเดียว สุดท้ายผมจึงหยิบแก้วที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาจรดริมฝีปากเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อจะดื่มเหล้าส่วนที่เหลืออยู่ก้นแก้วให้หมด
“ไอ้พรต โทรศัพท์”
“หือ?”
ผมวางแก้วลง แล้วหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาดู และชื่อบนหน้าจอทำเอาผมถึงกับชะงักไปเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก จนไอ้กรต้องเตือนให้ผมสไลด์เพื่อรับสายและผมก็ทำตามแบบไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่
“...”
[พี่พรตผมจะ...เฮ้ย นี่พี่อยู่ไหน]
“พราน”
[พี่พรตทำอะไรอยู่ทำไมเสียงดังมาก]
น้ำเสียงจากปลายสายดูร้อนรนไม่ต่างกับอุณหภูมิของแอลกอฮลล์ที่เพิ่งเข้าไปในร่างกาย แต่ผมไม่สนใจหรอก
“พรานฟังนะ”
[...]
“พราน”
[...]
“รอพี่ได้รึเปล่า”
--------------------------------------------------------------------------------
เปิดเทอมแล้วค่ะ เปิดพร้อมงานที่หนักอย่างเดิม

แต่ตอนนี้งานยังไม่บึ้มค่ะ ยังอัพได้เรื่อยๆ

ขอมีมาม่าแบบไม่เผ็ดมากนิดนึงง เดี๋ยวมันจะผ่านไปค่ะ 555555
เข้าไปเล่นแฮชแทคได้นะคะ เหงาแล้วว

>>> #พรตพราน