::: #สถาปนิกหล่อบอกต่อด้วย ::: ตอนพิเศษ 2 ::: P.26 ::: 08/04/17
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ::: #สถาปนิกหล่อบอกต่อด้วย ::: ตอนพิเศษ 2 ::: P.26 ::: 08/04/17  (อ่าน 259719 ครั้ง)

ออฟไลน์ snice_cz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
รอเลยค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ insunhwen

  • FREEDOM!!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5

ออฟไลน์ Missmu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ powl-the-2nd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1

::: CHAPTER 25 :::







               ชีวิตที่ค่ายเร็วเสมอ อาจเป็นเพราะการได้ล้อมวงคุยกับเพื่อน เล่นเกมส์ ร้องเพลง ใช้เวลาผ่านไปแต่ละวันโดยไม่ต้องคิดอะไรมากซึ่งต่างจากตอนอยู่ที่บ้านโดยสิ้นเชิง ที่นี่มีธรรมชาติที่ดีและเข้าถึงได้ง่าย ถึงสภาพความเป็นอยู่จะลำบากไปหน่อยเพราะมันไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยวามสะดวกเท่าไหร่ แต่พอผ่านไปหลายวันผมก็เริ่มคุ้นชินและปรับตัวได้มากขึ้นแล้วล่ะครับ

               รู้ตัวอีกทีนี่ก็เป็นอาหารเย็นมื้อสุดท้ายที่นี่  ผมนั่งกินข้าวข้างพี่พรตเช่นเคยแต่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เรานั่งกินข้าวกันโดยใช้แสงสว่างจากตะเกียงแบบนี้ พูดถึงพี่พรตผมก็ยังคงรู้สึกอายเรื่องเมื่อวานอยู่ไม่หาย และนึกโทษตัวเองอยู่นิดๆ ว่าอะไรทำให้พลั้งปากตอบไปว่า ‘ชอบสิ’ ในตอนสุดท้ายแล้วต้องมานั่งเขินเองอยู่แบบนี้

               “หลังกินข้าวมีอิจกรรมให้เล่นนะ อย่าลืมไปด้วยล่ะ”

               “กลุ่มพี่พรตอยู่ที่ไหน”

               “หน้าลานนอน”

               “อืม ได้”

               เป็นที่รู้กันว่าในค่ำคืนสุดท้ายรุ่นพี่จะมีกิจกรรมให้ทำเป็นกลุ่มย่อยและขึ้นอยู่กับว่าใครจะจัด โดยไม่กำหนดว่าใครจะต้องเข้ากลุ่มไหนหรือบางคนไม่เข้าร่วมเลยก็ได้เช่นกัน แต่สำหรับผมแล้วพี่พรตมาชวนขนาดนี้คงต้องไปที่กลุ่มของพี่พรตเป็นที่แรกเลยแล้วแหละ

               “งั้นกูไปละนะ เดี๋ยวจัดเก้าอี้ไม่ทัน”

               “โอเคครับ เจอกัน”

               ผมกินข้าวต่อเรื่อยๆ โดยย้ายไปนั่งวงเไอ้โอมแทน และหลังจากกินข้าวกันเสร็จเอาจานไปเก็บเรียบร้อยแล้วพี่ประจำค่ายก็ออกมาบอกให้ทุกคนนั่งรวมตัวกันเพื่อประกาศเริ่มกิจกรรมทันที ซึ่งก็เป็นการแจ้งเรื่องทั่วไปว่าใครอยากเข้ากลุ่มไหนก็เข้า แต่จะไม่บอกว่ากลุ่มไหนทำอะไรบ้างเพื่อเป็นการให้ไปเจอเอาเองโดยแต่ละกลุ่มก็กระจัดกระจายกันไปในแต่ละที่ในบริเวณค่าย

               ไอ้โอมเริ่มชวนผมไปเดินทางน็นทีทางนี้ทีอย่างตื่นเต้น เด็กกิจกรรมตัวจริงอย่างมันย่อมรู้สึกตื่นต้นมากกว่าผมอยู่แล้วครับ แต่คราวนี้ผมคงไปกับมันเลยไม่ได้เมื่อรับปากพี่พรตไปแล้ว ผมจึงได้แต่ปรามมันเบาๆ แล้วชวนมันไปด้วยกันแทน

               “เดี๋ยวมึง ไปกลุ่มพี่พรตกันป่ะ”

               “เฮ้ย ไปๆๆ”

               “ดีมาก ไปเป็นเพื่อนกู”

               ผมว่าไอ้พี่พรตต้องมีเจตนาอะไรไม่ดีแน่หรือไม่ก็หาเรื่องแกล้งผมอีกจนได้ การไปคนเดียวเลยดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ สู้ลากไอ้โอมไปด้วยอีกคนดีกว่า

               “พี่พรตชวนมึงล่ะสิ”

               “ใช่”

               “ฮ่าๆๆๆ พี่พรตน่ารักจังวะ”

               ผมก้มลงมองกำไลข้อเท้าแวบหนึ่งก่อนจะเดินนำไอ้โอมออกไปทางลานที่พี่พรตบอกทันที


                ...เออ น่ารักก็น่ารักวะ






                ในที่สุดผมก็มองเห็นกลุ่มของพี่พรต พื้นที่กิจกรรมเก้าอี้ถูกจัดเป็นวงกลมอย่างง่ายๆ โดยเพื่อนพี่พรตรวมถึงเจ้าตัวนั่งล้อมวงกันแน่นขนัด และยังมีพี่อีกส่วนหนึ่งยืนล้อมอยู่รอบๆ หลังเก้าอี้อีก ดูท่าทางแล้วแอบน่ากลัวเหมือนเป็นพิธีกรรมอะไรสักอย่าง

               แต่แล้วโชคก็ไม่ค่อยเข้าข้างผมเท่าไหร่เพราะพี่พรตดันสังเกตเห็นตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง เลยรีบกวักมือเรียกผมเข้ามาในวงทันที ผมจึงหันไปมองไอ้โอมเป็นเชิงขอความช่วยเหลือแต่เหมือนมันจะไม่คิดช่วยอะไรเลยซ้ำยังยอมเบี่ยงตัวไปยืนอยู่ข้างๆ พี่ที่มันรู้จักอีกต่างหาก

               “น้องพรานนั่งเลยครับ”

               พี่กรเป็นคนเรียกผมขึ้นมาก่อนพร้อมเสียงโห่ของคนในวงทุกคน ทำให้ผมจำใจต้องนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวที่ว่างอย่างเลี่ยงไม่ได้

               “ไอ้พรตมึงสลับที่กับกู”

               “อ้าวไอ้ห่ากรอย่าแกล้งน้อง”

               “ไอ้โจ้ มึงเป็นคนคิดไม่ใช่เหรอวะ”

               “เออๆๆๆ มา เดี๋ยวกูไปนั่ง”

               พี่พรตตัดบทแล้วเปลี่ยนที่นั่งมาอยู่ข้างผมตามที่เพื่อนบอก พวกพี่ทั้งในวงและนอกวงเริ่มส่งเสียงแซวขึ้นมาอีกรอบ

               “เอาล่ะ เพื่อนครับ เราจะไม่แกล้งน้องกันเนอะ”

               “...”

               “แต่เราจะแกล้งไอ้พรตแทน”

               “ดีล!”

               “เอาๆๆๆ”

               “ไอ้โจ้ มึงทำดีมาก”

               เสียงตอบรับเป็นเสียงเดียวกันทำเอาผมนึกขำไปด้วย พี่พรตแม่งคงแกล้งเพื่อนมาเยอะเหมือนที่ผมโดนบ่อยๆ พอได้เป็นฝ่ายโดนแกล้งบ้างทุกคนเลยสะใจกันรอบวง

               “เอาล่ะครับ เรามาเริ่ม ‘คุย’ กันดีกว่า”

               “เออมาเลย”

               พี่พรตดูผ่อนคลายจนหน้าหมั่นไส้ ทำให้พี่โจ้ยิ้มกริ่ม เท้าแขนลงกับศอกทั้งสองข้างแล้วจ้องพี่พรตสลับกับผมไปมาจนผมอดรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเหมือนเห็นลางร้ายบางอย่าง

               “เดี๋ยว ต้องบอกน้องพรานก่อน กิจกรรมนี้เป็นการพูดคุยธรรมดาก็จริง”

               “...” ผมพยักหน้ารับและตั้งใจฟังประโยคถัดไป

               “แต่ท็อปปิกมันไม่ธรรมดาหรอกนะ”

               ผมรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาเลยครับ จากนั้นพี่โจ้ก็เริ่มเปิดวงด้วยการพุดคุยไปเรื่อยๆ ก่อนเพื่อเป็นการหลอกล่อให้ตายใจก่อนจะพุ่งประเด็นมาที่พี่พรต

               “ไอ้พรต”

               “ว่ามา”

               “มึงกับน้องพรานคบกันแล้วใช่ป่ะ”

               “อืม”

               “แล้วเคยยังวะ”

               ...เชี่ย

               แค่คำถามแรกก็ทำเอาผมแทบตกเก้าอี้เลยครับ ท็อปปิกแม่งไม่ธรรมดาจริงๆ ผมมองพี่กรซึ่งถามพี่พรตแต่สายตานั้นจับจ้องมาที่ผมอย่างมีเลศนัย ทำเอาผมเริ่มนั่งไม่ติดเลยครับ ถามก็ถามไปสิ ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็ได้แต่ไม่ใช่กับการมานั่งจ้องเอาๆ แบบนี้โว้ย ผมเริ่มวางตัวไม่ถูกจนต้องเปลี่ยนจุดสนใจหันไปมองพี่พรตแทนเพื่อหาตัวช่วยแต่กลับกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดเพราะพี่พรตมองผมมาก่อนอยู่แล้ว แม่งเอ๊ย...ผมยิ่งเขินกว่าเดิมอีก

               “ยัง”

               พี่พรตตอบทั้งที่ยังสบตาผมอยู่อย่างนั้น ก่อนที่เขาจะละสายตาออกไปท่ามกลางเสียงโห่ของเพื่อนและพี่ที่อยู่รอบวง ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองไอ้โอมเพราะรู้ดีว่ามันต้องเตรียมเก็บข้อมูลไปล้อผมทีหลังแน่

               “เห้ย ได้ไงไอ้พรต”

               “ให้น้องรอมันไม่ดีนะเว้ย”

               “สิ้นลายเหรอมึงน่ะ”

               “เฮ้ย พวกมึงพอๆๆ”

               พี่กรยกมือห้ามทุกคนวงให้เบาเสียงลงก่อนจะโยนระเบิดมาอีกครั้ง

               “มากสุดถึงไหนวะไอ้พรต”

               พี่พรตหัวมามองผมเหมือนจะขอคำตอบจากผมแทน ผมกัดปากตัวเอง ภาพวันนั้นแม่งขึ้นมาในหัวเลยครับ นี่โชคดีที่เขาหยุดไปก่อนเพราะถ้าพี่พรตทำต่อแล้วเอามาพูดในวันนี้ผมคงโดนแซวไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้วครับ

               “ซอกคอ”

               “ฮิ้ววว ไม่เบาๆๆ”

               “กูว่ามันได้อีกเว้ยไอ้พรต”

               “เฮ้ยๆ พวกมึงหยุดเลย น้องเขินแล้ว”

               ถ้าไปส่องกระจกตอนนี้ผมคงหน้าแดงเป็นมะเขือเทศ แต่มันช่วยไม่ได้ว่ะ เล่นมาพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าผมไม่เขินก็ไม่ใช่คนแล้วมั้ง กิจกรรมนี้แม่งเป็นเกมทรูธออร์แดร์ที่มีแต่ทรูธชัดๆ คือถ้าจะโกหกก็ทำได้แหละแต่ก็ถือว่ากล้าถามกล้าตอบล่ะครับ และที่ผมอดแปลกใจไม่ได้คือถึงแม้ว่าพี่ที่นั่งล้อมในวงจะเป็นผู้ชายทั้งหมดแต่คนที่ยืนล้อมวงมีผู้หญิงค่อนข้างเยอะ แล้วไม่มีใครรู้สึกอะไรกับการฟังเรื่องที่โคตรส่วนตัวของผู้ชายเลยเหรอไง

               “ทำไมไม่ทำต่อวะ”

               พอพี่กรถามคำถามี้เสร็จกลายเป็นว่าผมกลายเป็นเป้าสายตาแทนเลยครับและคำตอบของพี่พรตก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยสักนิด

               “ถามคนนี้ดีกว่ามั้ง”

               “อ้าวมันโยนแล้ว ว่าไงครับน้องพราน”

               ...อ้าว ไอ้พี่พรต

               ผมกวาดตามองพี่ทุกคนที่จับจ้องมาเหมือนอยากรู้สุดๆ แล้วก็ต้องถอนหายใจแล้วยอมตอบในที่สุด แม่งเอ๊ย ผมไม่ถนัดพูดอะไรในที่สาธารณะอยู่แล้ว และถึงจะสนุกแต่ผมไม่ชอบการเป็นจุดสนใจเท่าไหร่

               “ผม...ยังไม่พร้อม”

               เอาเป็นว่าขอตอบแค่เท่านี้ก่อนละกัน ผมไม่ค่อยอยากอธิบายเท่าไหร่หรอก

               “น้องไม่ยอมแล้วมึงทำไงหลังจากนั้น ไปห้องน้ำป่ะ”

               “ไปดิวะ”

               “แล้วกี่รอบ”

               “สอง”

               ...เชี่ย ไอ้พี่พรตแม่งกล้าตอบออกมาได้ไงวะ

               ผมมองพี่พรตซึ่งตอบหน้าตายเหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศก็รู้สึกอายแทนไม่ได้ แต่เขาคงชินล่ะครับแต่ผมเพิ่งเคยโดยเลยไม่ค่อยชินเท่าไหร่ อย่างว่าล่ะครับ คนที่สนุกน่าจะเป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่รอบวงมากกว่า ยิ่งพวกรุ่นพี่ยิ่งแล้วใหญ่ เรียกได้ว่ามีการกรี๊ดเบาๆ เกิดขึ้นจากทุกคำตอบของพี่พรตและผม

               “น้องพรานล่ะครับ ได้ไปห้องน้ำหรือเปล่า”

               “ไม่ครับ”

               “ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”

               “ก็...นิดหน่อย”

               แหม โดนพี่พรตไล้ลงมาถึงซอกคอจนเกือบเข้าเสื้ออยู่แล้วถ้าไม่รู้สึกอะไรก็คงเกินไปหน่อย

               “คราวหน้าถ้าทำอีกจะยอมป่ะ”

               ถ้าเอาความจริงแล้วผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย มันตอบไม่ได้หรอกว่าจะโอเคหรือไม่โอเค ถ้ามาถามเอาตรงๆ แบบนี้ตอนนี้ผมคงปฏิเสธแน่ แต่เพราะของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับบริบทเกือบทั้งหมด อย่างตอนที่จูบพี่พรตนั่นก็ด้วย ผมยังไม่ค่อยอยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายจูบและยอมใครขนาดนี้ ดังนั้นผมคิดว่าคำถามข้อนี้มันไม่มีคำตอบตายตัวหรอก


               “ผมตอบไม่ได้”


               “ทำไมอ่ะ”


               “มันเป็นเรื่องของตอนนั้นครับ”


               คำตอบของผมจบลงพร้อมเสียงโห่ที่ดังเป็นพิเศษของทุกคน ทำเอาผมเขินขึ้นมาอีกรอบอย่างห้ามไม่ได้ ยิ่งพี่พรตนี่ออกตัวโคตรแรงเขาถึงกับเอื้อมมือมาจับมือผมไว้แล้วบีบเบาๆ เหมือนมีความหวังขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น นี่ไม่ได้อยากให้ความหวังหรือจะมาปรัชญาอะไรหรอกนะ แต่คำตอบมันก็เป็นแบบนี้จริงๆ เท่านั้นแหละ

               “ไอ้พรต มึงแม่งเจ๋งสัด”

               “เจ๋งไรวะ”

               “ที่ได้คบน้องพรานอ่ะ”

               “ก็ยากอยู่”

               พี่พรตตอบด้วยท่าทางสบายๆ เหมือนไม่คิดอะไรมากแต่ผมนี่หันไปมองเลยครับ ผมรู้นะว่าเขาจริงจังในทุกคำพูดและขอหลายอย่างกับผมทั้งที่ผมไม่เคยพร้อมจะให้ ซึ่งพอได้ยินอย่างนี้แล้วผมก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าควรจะให้เขาบ้างแล้วเพราะผมไม่อยากให้เขารู้สึกว่าการคบกับผมหรือการเข้าหาผมมันเป็นเรื่องยากเลย

               “ทำไมอ่ะครับน้องพราน ชอบอะไรซับซ้อนเหรอ”

               “คือ...”

               “เฮ้ย พอๆๆ ไม่เล่นแล้ว”

               ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองทำสีหน้าออกไปแบบไหนพี่พรตที่นั่งชิลอยู่เลยออกปากออกมาแบบนี้ ผมเลยพยายามดึงสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง แต่พี่พรตเหมือนจะไวกว่าอยู่ดีเพราะเขารีบบอกเพื่อนให้หยุดแล้วพาผมลุกออกมาจากวงทันที

               “แหมๆ ไอ้พรตไปซะแล้ว”

               “แตะไม่ได้เลยนะ”

               “หวงเหรอๆๆ”








               ถึงผมจะลุกออกมาแล้วแต่เสียงแซวในวงยังคงดังออกมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเปลี่ยนเรื่องไปเมื่อมีเพื่อนของผมคนอื่นเข้าไปนั่งที่เก้ากี้ตัวนั้นแทนและเริ่มโดนคำถามที่ไม่ต่างจากของผมเท่าไหร่ แต่เหมือนเขาจะน่าสงสารกว่าตรงที่ไม่มีใครมาช่วยตอบเหมือนที่ผมมีพี่พรต กิจกรรมนี้จะว่าจัญไรมันก็จัญไรแหละครับ สำหรับบางคนอาจถึงกับรับไม่ได้และพยายามหลีกเลี่ยง แต่มันก็ยังมีมุมที่น่ารักอย่างการได้พูดคุยเปิดอกแบบตรงไปตรงมากับรุ่นพี่ ซึ่งจุดนี้เลยล่ะครับที่ทำให้คณะเรามีความเป็นพี่เป็นน้องที่เหนียวแน่นไปตลอด 

               ผมยืนกอดอกฟังเพื่อนตอบคำถามไปเรื่อยๆ โดยมีพี่พรตยืนอยู่ข้างๆ คนที่เป็นเหยื่อการถามคำถามเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ และผมก็ส่งเสียงโห่แซวคนในวงไปตามเรื่อง บางคนแม่งเหนือความคาดหมายไปมากเลยครับ เห็นเรียบร้อยแบบนี้กลับกลายเป็นประสบการณ์โชกโชนระดับโปร หรือบางคนหน้าตาดูแบดบอยแต่จริงๆ ยังไม่เคยเลยก็มี

               ผมยืนฟังเพลินจนกระทั่งเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา ตอนแรกว่าจะไปเล่นกิจกรมอื่นอยู่บ้างนะครับแต่เหมือนสภาพร่างกายผมจะไม่ไหวแล้ว สุดท้ายเลยหันไปสะกิดพี่พรตซึ่งกำลังยืนฟังอยู่อย่างตั้งใจ

               “ง่วงแล้ว ไปนอนเลยได้ป่ะ”

               “ได้ๆ เดี๋ยวไปส่ง”

               “อือ”

               ผมตอบในลำคอพร้อมหาวอัดหน้าพี่พรตทีนึงเพื่อจะสื่อว่าง่วงแล้ว ซึ่งพี่พรตก็พยักหน้ายิ้มๆ แล้วเดินออกไปลานนอนพร้อมผม ผมไม่อยากให้คืนสุดท้ายจบเร็วขนาดนี้หรอกนะแต่ตาก็จะปิดแล้ว ผมอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองท้องฟ้าระหว่างทางเดินกลับเต็นท์ ดาวที่นี่เยอะจนผมนึกอยากจะเก็บกลับไปสักสองสามดวงเลยล่ะครับ น่าเสียดายที่ผมเก็บได้เพียงห้วงเวลาเท่านั้น

               “เมื่อกี้คิดมากป่ะเนี่ย”

               ผมละสายตาจากท้องฟ้ากลับมามองคนที่เดินอยู่ข้างๆ พี่พรตคงเห็นผมเงียบไปเลยนึกเป็นห่วงขึ้นมา

               “เฮ้ยไม่ๆ แต่แค่คิดว่าผมควรยอมบ้างแล้วแหละ”

               “จริงนะ”

               ...อ้าว ไอ้พี่พรตครับ ไหนเมื่อกี้ยังดูเป็นห่วงเป็นใยผมแต่พอเข้าประเด็นนี้นี่ทำไมเปลี่ยนอารมณ์เร็วขนาดนี้วะ

               “เออ จริงก็ได้”

               “จะคอยดู”

               พี่พรตยิ้มล้อเลียนอย่างคนอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้ หรือผมควรปล่อยให้คนแบบนี้จมอยู่กับความรู้สึก ‘ยาก’ ต่อไปดีวะเนี่ย

               เราเดินคุยกันมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงโซนนอนซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้ามานอนกันหรอก ผมนี่แหละที่ง่วงเร็วเอง ผมลองมองลอดเข้าไปในเต็นท์เพื่อนบ้านรอบๆ ยังไม่มีใครเข้านอนกันสักคน สุดท้ายผมเลยตัดใจเลี้ยวผ่านเต็นท์ไอ้แบงค์ไปที่เต็นท์ตัวเอง ...เออ นอนคนเดียวก็ได้วะ

               แต่แล้วภาพที่เห็นก็ทำเอาผมแทบจะหลุดปากอุทานออกมา แม่งอย่าเรียกว่าเต็นท์เลยครับ เรียกว่ากองผ้าใบจะดีกว่า

               “เฮ้ย มันพังได้ไงวะ”

               “แล้วพรานจะนอนไงเนี่ย”

               ผมเดินเข้าไปสำรวจซากเต็นท์อย่างเซ็งๆ แม่งอยากนอนเต็มที่แล้วดันมาพังตอนนี้อีกแถมยังเป็นคืนสุดท้าย นี่จะทนให้กูนอนอีกคืนไม่ได้เลยเหรอวะ ผมดึงโครงเต็นท์ขึ้นมาดูและพบว่าโครงฝั่งหนึ่งที่เป็นโครงเก่าแล้วแต่ยังไม่ได้เปลี่ยนนั้นหักตรงกลางเลยฉุดเต็นท์ทั้งหลังให้ลงไปด้วย

               “ไปนอนเต็นท์กูก่อนป่ะ”

               “ไม่ต้องๆ เดี๋ยวรอไปนอนเต็นท์ไอ้แบงค์ก็ได้”

               ผมปฏิเสธแล้วทำท่าจะเดินกลับไปที่ลานซึ่งยังคงมีกิจกรรมเล่นกันคึกคักเหมือนเดิม คิดว่ากว่าจะเข้านอนกันก็คงเลยเที่ยงคืนแหละผมจึงเตรียมทำใจว่าคงต้องไปนั่งรอสักพัก แต่แล้วพี่พรตกลับดึงตัวผมเอาไว้ก่อน

               “แบงค์เป็นใคร”

               “เพื่อนในเซคไง ที่เคยทำงานกลุ่มด้วยกัน”

               “...”

               พี่พรตเงียบไปแล้วทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียวสลับกับมองหน้าผมเหมือนกำลังตัดสินใจ อย่าบอกนะว่าพี่พรตนึกเป็นห่วงอะไรขึ้นมา ปกติผมไปกับเพื่อนก็ไม่เคยงอแงเลยสักครั้ง หรือเพราะเมื่อกี้ผมโดนกลุ่มในวงถามเยอะไปวะ นึกแล้วผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ผมไม่เคยเห็นพี่พรตในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน หมั่นไส้ว่ะ ทีตัวเองแกล้งผมเอาๆ พอเพื่อนถามนิดถามหน่อยทำมาเป็นหวง

               “อะไรๆๆ เดี๋ยวนี้หวงแล้วเหรอ”

               “อืม”

               “แต่ก่อนไม่เห็นว่าอะไร”

               “ไม่พูดไม่ได้หมายความว่าจะไม่คิดนะ”

               “น่อวว”

               ผมลากเสียงล้อเลียน นานๆ ทีจะได้รู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะสักที ต้องเล่นให้คุ้มครับ เหมือนที่พี่สอนมาตลอดว่าทำอะไรต้องทำแล้วเต็มที่ ถ้าปล่อยโอกาสผ่านไปโดยไม่ทำเต็มที่เราอาจมารู้สึกเสียดายภายหลังได้ ยิ่งเห็นพี่พรตดูนิ่งไปไม่ยอมสบตาผมก็รู้เลยว่าพี่พรตแม่งเขินแน่ๆ ผมหัวเราะแล้วกระทุ้งศอกไปที่ลำตัวเขา


               “เขินเหรอๆๆๆ”


               “พรานครับ”


               “....”


               อยู่ๆ พี่พรตก็หันมาทันทีพร้อมรวบแขนของผมเอาไว้ ทำเอาผมไปต่อไม่ถูกเลยครับ เมื่อกี้เขนอยู่แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นจริงจังไปซะงั้น เขาจ้องผมอย่างตั้งใจจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาหนีก่อน


               “อะไรพี่พรต” ผมพยายามทำใจดีสู้เสือโดยการหันไปหาเขาอีกรอบซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องรึเปล่า


               “ถ้ายังไม่หยุดล้อ...”


               “...”


               “พี่จะขอทำต่อนะครับ”







---------------------------------------------------
ฝ่าวิกฤตงานและการอดนอนมาอัพให้ค่ะ :katai4:  ปีนี้มันหนักหน่วงและพีคจริงๆ


*****แต่!!! มีข่าวดีมาแจ้งอีกว่า :: นิยายเปิดจองแล้วค่าา :::   :mc4: :mc4: เยยย้ ***

เข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ fb page ของสำนักพิมพ์นะคะะ >>  https://www.facebook.com/Facai.Publishing/

ขอบคุณค่าาา  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2017 22:15:29 โดย powl-the-2nd »

ออฟไลน์ insunhwen

  • FREEDOM!!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
ทำต่อเลยค่าาาาาาาาา
รออยู่
 :o8:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
แอบหึงแอบหวงเหมือนกันนะพี่พรต
ว่าแต่จะทำต่อที่ค่ายนี้เลย
หรือจะต่อที่ห้องกันดีล่ะ ฮิ้วววว

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3

ออฟไลน์ virgo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
จง ทำ ต่อ!  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ snice_cz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
ทำต่อเลยพี่พรต ฮ่าาาาาา

รอตอนต่อไปนะจ๊ะ

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
พี่พรตหาประโยชน์เข้าตัวชิมิ 5555

ออฟไลน์ Missmu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
แน่จริงทำต่อเลยสิ :hao6:

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :o8: ถ้าพี่ทำต่อน้องพรานจะไหวมั๊ย

ออฟไลน์ powl-the-2nd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1




    ::: CHAPTER 26:::







               หลังจากลงค่ายมาสิ่งแรกมาสิ่งแรกที่ทำคือหาของกินครับ ตลอดห้าวันมานี้ผมไม่ค่อยได้กินอะไรเท่าไหร่ด้วยความที่อาหารบนค่ายนั้นไม่สามารถเลือกได้เพราะมันอยู่ไกลจนต้องขนอาหารกันไปเอง พอรถจอดลงหน้ามหาลัยแล้ว กลุ่มพี่พรตกับผมเลยตกลงกันว่าจะไปกินบุฟเฟ่ต์เนื้องย่างด้วยกันทันทีหลังจากช่วยพี่ๆ เก็บของจนหมด

               “ไปด้วยกันป่ะโอม”

               ผมลองชวนโอมไปด้วยเพราะไม่ค่อยอยากเป็นปีหนึ่งคนเดียวในกลุ่มนั้นเท่าไหร่ แต่ไอ้โอมกลับมีท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัด

               “ไม่อ่ะ ไม่อยากไปเป็นก้าง”

               “เฮ้ยไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก พี่แม่งไปเยอะอ่ะ”

               ไอ้โอมลังเล มันคงอยากไปเป็นเพื่อนแต่ในขณะเดียวกันก็กลัวผิดที่ผิดทางด้วยล่ะมั้ง มันหันซ้ายหันขวาก่อนจะชี้ไปทางไอ้แบงค์ซึ่งกำลังดึงเต็นท์ออกมาจากกองกระเป๋าที่พนักงานขับรถเพิ่งเอาออกมาวางไว้ให้

               “งั้นชวนไอ้แบงค์ด้วย”

               “เออ ได้ๆ”

             

               หลังจากผมเอากระเป๋าและสัมภาระอื่นจากรถลงเรียบร้อยแล้วก็ไปช่วยรุ่นพี่ไลน์ของเข้าคณะต่ออีกสักพักหนึ่ง ผมเพิ่งมารู้เอาตอนนี้แหละครับว่าสัมภาระที่เอาไปด้วยมันมีเยอะขนาดไหน ผมกับเพื่อนต้องตั้งแถวส่งของกันไปจนถึงห้องเก็บของในคณะซึ่งมีรุ่นพี่คอยดูแลจัดการเอาของเข้าห้องเป็นหมวดๆ และถึงขนของเสร็จแล้วแต่ก็ต้องรอพวกพี่พรตออกมาจากห้องเก็บของอยู่ดี ผมเลยออกมานั่งรอหน้าประตูคณะกับโอมพลางมองคนเดินผ่านไปมาเรื่อยๆ แต่แล้วผมก็เห็นคนคู่หนึ่งเดินอยู่ด้วยกันไม่ไกลมากนัก ทำเอาผมต้องขมวดคิ้วหันไปจ้องอีกรอบให้แน่ใจ

               ...พี่พฤตกับไอ้แบงค์?!

               ผมแทบอยากขยี้ตามองอีกครั้ง พี่พฤตมานี่ผมยังไม่ค่อยแปลกใจเพราะเขาอาจมากินข้าวแล้วรอกลับพร้อมพี่พรตเลย แต่ทำไมไปอยู่กับไอ้แบงค์ได้วะ

               “ไอ้แบงค์!!”

               เหมือนกับว่าคนที่สงสัยไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวเพราะไอ้โอมไม่รรอที่จะตะโกนเรียกมัน จนไอ้แบงค์ได้ยินแล้วเดินเข้ามาหาพร้อมพี่เขาด้วย ซึ่งเมื่อสังเกตเห็นผมพี่พฤตก็ยิ้มทักทายทันทีและผมก็ยกมือไหวตามมารยาท

               “สวัสดีครับพี่พฤต”

               “เฮ้ย มึงรู้จักพี่เค้าเหรอวะ” ไอ้แบงค์ถึงกับแทรกขึ้นมาทันที

               “อ้าวก็พี่ชายพี่พรตไง มึงไม่รู้จักแล้วทำไมเดินมาด้วยกัน”

               “คือ...” คราวนี้พี่พฤตเป็นฝ่ายตอบให้ “พอดีพี่เอารถไปจอดตึกข้างๆ แล้วเห็นน้องเขากำลังยกลังกลับไปคณะเลยช่วยถือไปไว้ห้องภาคนน่ะ”

               “อ้อ แล้วพี่พฤตไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ”

               “ไปสิ มีเรื่องอยากบอกพรตมันหน่อย...จริงๆ ก็จะมาบอกเราด้วยแหละ”

               เอาล่ะสิ ทำไมผมรู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากลวะ ข่าวที่พี่พฤตถึงกับต้องมาบอกกับตัวนี่คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วล่ะมั้ง และด้วยความสงสัยผมเลยเอ่ยปากถามก่อนโดยไม่รอพี่พรตมาเจอเอง

               “เรื่องอะไรครับ”

               “ไว้บอกพร้อมไอ้พรตละกัน”

               พี่พฤตตัดบทผมไปทั้งอย่างนั้น ผมเลยจำใจต้องเลิกสงสัยและรอจนกว่าพี่พรตจะมา  ไอ้โอมเลยถือโอกาสแทรกถามไอ้แบงค์ทันที

               “มึง ไปบุฟเฟ่ต์กันป่ะ”

               “บุฟเฟ่ต์ไรวะ”

               “เนื้อย่าง กับพวกพี่พรต”

               “ก็ได้นะ”

               ไอ้แบงค์ตอบตกลงโคตรเร็วและนั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นเยอะเลย ถึงจะมีทั้งเพื่อนพี่พรตและพี่พฤต ผมก็ยังมีเพื่อนร่วมรุ่นถึงสองคน เรายืนคุยเรื่องสัพเพเหระกันต่อจนกระทั่งพี่พฤตเรียกขึ้นมาก่อน

               “ไอ้พรตมาแล้ว”

             






               พวกเราเข้ามาในโต๊ะใหญ่สุดของร้านเนื้อย่านแถวมหาลัยที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คาดว่าคงเป็นพวกนักศึกษาที่อยู่หอแถวนี้แหละครับเพราะร้านค่อนข้างมีชื่อเสียงในแวดวงมหาลัยทั้งในแง่ของราคาและปริมาณ แต่อย่าคาดหวังอะไรกับรสชาติและคุณภาพเลยครับ มันไม่ใช่อาหารที่ดีเลิศอะไรเท่าไหร่แต่ถือว่าโอเคแล้วสำหรับการกินหลังกลับมาจากค่าย

               สรุปพี่พฤตก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่ดี เพราะเมื่อเนื้อจานแรกมาเสิร์ฟทุกคนก็ช่วยกันคีบลงเตาอย่างขมักเขม้นและกินเอาๆ โดยไม่พูดไม่จากันเลยสักนิด พี่พรตเองก็เช่นกัน เขานั่งอยู่ข้างผมก็จริงแต่ไม่เสียสมาธิในการกินเลยสักวินาทีเดียว ตั้งใจกินเนื้อทุกชิ้นที่เข้าไปในปากและลิ้มรสอย่างจริงจังยื่งกว่าทำสตูเพื่อทดแทนช่วงเวลาที่อดมาทั้งสัปดาห์

               อยู่บนค่ายมันไม่ได้หิวหรอกครับ แต่มัน’โหย’

               เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยถ้ามาเห็นกลุ่มพี่พรตไม่พูดกันเหมือนในเวลานี้ ส่วนพี่พฤตเองก็เหมือนจะรู้สึกสนุกไปกับบรรยากาศแบบนี้ การที่ทุกคนกินเอาๆ จึงทำให้เขาจำต้องรับหน้าที่คีบเนื้อไปโดยปริยาย แต่พี่พฤตเองก็ดูไม่ได้เดือดร้อนเท่าไหร่เพราะมีร้อยยิ้มบางๆ ประดับริมฝีปากอยู่แทบทุกครั้งที่ผมเงยหน้าขึ้นมามอง จนผมอดคิดตามไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งสมัยเรียนเขาคงเคยขึ้นค่ายอาสาแบบนี้และกลับมาสวาปามกับเพื่อนเช่นกัน และบางทีเขาอาจคิดถึงบรรยากาศแบบนี้ไม่น้อยเลย

               ช่วงชีวิตมหาลัย...สนุกนะ

               แม่ผมชอบพูดประโยคทำนองนี้ให้ฟังบ่อยๆ ซึ่งผมเองก็พยายามใช้เวลาเหล่านี้อย่างคุ้มค่าและพยายามละเลียดและรับรู้ทุกเวลาที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าให้ได้มากที่สุด แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะรู้สึกได้ถึงความ ‘คิดถึง’ ในมุมมองของรุ่นพี่และคนที่เคยสัมผัสมาก่อนอย่างที่สายตาของพี่พฤตกำลังสื่อออกมา

               เมื่อกินเนื้อเข้าไปพอสมควรแล้วพี่พรตก็เป็นคนเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน

               “เออพี่พฤตมาทำไมอ่ะ”

               “เดี๋ยวค่อยบอกละกัน”

               “อ้าว” แต่พี่พรตเองก็ดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนักเพราะสายตายังคงอยู่ที่เนื้อในเตาเช่นเคย

               “เออ แล้วค่ายเป็นไงบ้าง”

               พี่พฤตชวนคุยเรื่องบนค่ายต่อซึ่งผมรู้ดีว่ามันเป็นการเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนมากกว่า และเมื่อเป็นแบบนี้ผมก็ได้แต่ตอบคำถามไปเรื่อยๆ

               “ค่ายปีนี้สร้างไรวะ”

               “เรือนครัวกับเรือนเก็บของครับพี่”

               “สวยมะ”

               “ก็จั่วธรรมดาแหละ”

               “โห ตอนปีพี่นะ...”

               ดูจากมุมนี้แล้วพี่พฤตที่ปกติจะดูเป็นคนเนี้ยบมาดดีเหมือนอยู่ในนิตยสารตลอดเวลาก็กลายเป็นคนปกติธรรมดาที่มีช่วงชีวิตมหาลัยที่น่าจดจำไม่แพ้คนอื่น เขาคุยอย่างเป็นกันเองจนไม่น่าเชื่อว่านี่ผมกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติกับสถาปนิกระดับผู้บริหารบริษัทสถาปนิกแนวหน้าของประเทศ

               “ปีพี่แม่งโคตรเจ๋งอ่ะ”

               “ปีหน้าก็ทำแบบนี้ดิ”

               “โอเคครับ เดี๋ยวผมลองคิดดู”

               พี่พฤตยังคงคุยเหมือนไม่ได้คุยมาหลายปี ในตำแหน่งผู้บริหารนั้นคงไม่ได้สนุกแบบนี้เท่าไหร่ ยิ่งได้เจอกับรุ่นน้องที่ไม่ใช่ในที่ทำงานแล้วคงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาละมั้ง วงเนื้อย่างดูคึกครื้นขึ้นมาทันทีเมื่อเริ่มพูดคุยกัน พี่พฤตดูกลมกลืนไปกับพวกพี่และผมเหมือนไม่มีรุ่นพี่ไม่มีรุ่นน้องเลยทั้งที่ถ้านับอายุแล้วพี่พฤตกับผมคงห่างกันมากพอสมควร แถมยังมีการสั่งเบียร์มากินเพิ่มกันยกใหญ่เหมือนลืมความเหนื่อยที่สะสมมาจากบนค่ายไปทั้งหมด

               จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงคนในร้านก็เริ่มบางตาลง ผมมองนาฬิกาที่ผนังร้านซึ่งบอกเวลาห้าทุ่มแล้วก็อดรู้สึกกังวลขึ้นมาไม่ได้ว่าจะกลับบ้านไม่ทันเพราะรถไฟฟ้าปิดเที่ยงคืน

               “เดี๋ยวผมต้องกลับแล้วนะครับ”

               “อ้าว น้องพรานจะไปแล้วเหรอครับ”

               “งั้นแยกวงเลยละกัน นี่ก็ดึกแล้ว”

               พี่กรพูดพลางหยิบเงินในกระเป๋าออกมาเตรียมเรียบร้อย ด้วยความเป็นบุฟเฟ่ต์การหารเงินค่ากินเลยไม่ค่อยยุ่งยากเท่าไหร่และสามารถแยกย้ายได้โดยไม่เสียเวลามากนัก  ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันกลับบ้านรวมถึงผม แต่แล้วพี่พฤตก็เรียกเอาไว้เสียก่อน

               “พรานอย่าเพิ่งไป”

               “ผมต้องรีบแล้วครับ เดี๋ยวรถไฟหมด”

               “เอาน่าๆ แปปเดียว ถ้ารถหมดจะไปส่ง”

               เมื่อเป็นแบบนี้ผมเลยต้องเดินกลับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เรายืนกันอยู่หน้าร้านซึ่งค่อนข้างมืดและยุงเยอะมาก ดังนั้นถึงจะคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องสำคัญผมก็แอบรู้สึกอยากให้พี่พฤตรีบบอกรีบกลับ

               “พี่พฤตมีไรครับ”

               “คือ...”

               พี่พฤตเงียบไปพักใหญ่ โอเค ผมไม่อยากเร่งหรอกแต่ยุงแม่งกัดขาลายไปหมดแล้วครับ พี่พรตเองก็เหมือนอยากไปจากตรงนี้เหมือนกันเลยเร่งพี่ชายตัวเอง

               “พูดเลยพี่พฤต”

               “พ่อจะส่งพรตไปตั้งแต่เทอมหน้านะ”

               “อะไรนะ”

               “...”

               ผมทวนคำด้วยความตกใจในขณะที่พี่พรตเงียบไปทันที อย่าว่าแต่พี่พรตเลยครับผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เหมือนตอนแรกก็ทำใจไว้แล้วว่าจะอยู่กับพี่พรตได้อีกหนึ่งเทอมจึงวางแผนสิ่งที่จะทำด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันไว้เรียบร้อยภายในช่วงสามเดือนที่เหลือและไม่ทันตั้งตัวว่ามันจะเร็วขึ้นหรืออะไรเลย

               “พ่ออยากให้ไปเรียนภาษาก่อนเข้ามหาลัย”

               “แล้ววิชาเทอมสองทำไง”

               “พรตคงต้องลงเพิ่มตอนซัมเมอร์อีกตัวอ่ะ พี่ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

               ผมนึกสงสารพี่พรต ทำไมพ่อเขาต้องบังคับลูกตัวเองถึงขนาดนี้ ทั้งที่พี่พฤตและพี่พรตก็ไม่ได้ทำตัวเหลวไหลอะไร ผมไม่ยอยากคิดเลยว่าตอนพี่พฤตเรียนนี่คงโดนเยอะเท่านี้หรือดีไม่ดีอาจมากกว่าพี่พรตด้วยซ้ำ

               พี่พรตเงียบไปนานจนผมต้องเอื้อมมือไปจับมือเขาไว้เสียเอง พี่พรตเป็นแบบี้อีกแล้ว และผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากให้กำลังใจเขาเพราะผมก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้อยู่แล้ว ไม่มีใครทำได้นอกจากตัวคุณสุวัตรเองแล้วล่ะครับ ไม่มีใครจะเปลี่ยนเขาได้แน่นอนนอกจากตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามผมจะพยายามช่วยพี่พรตให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน

               ผมเห็นพี่พฤตมองผมกับพี่พรตด้วยสายตาเหมือนอึดอัดอยู่ครู่หนึ่งเหมือนไม่รู้จะวางตัวอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดีจนในที่สุดจึงทำลายความเงียบเสียเอง


               “พราน งั้นพี่ไปสูบบุหนี่แปปนึงนะ”

 





[พฤต]




               ทันทีที่เดินเลี้ยวมาถึงมุมตึกแล้วผมถึงกับถอนหายใจยาวออกมาอย่างห้ามไม่อยู่  ผมเกลียดเวลาที่ตัวเองต้องทำอะไรแบบนี้ที่สุด ต่อให้คนที่โง่ที่สุดคงรู้ในทันทีว่าผมไม่ได้ออกมาสูบบุหรี่ห่าเหวอะไรหรอก แค่บรรยากาศเมื่อกี้มันทำให้รู้สึกผิดที่ผิดทางซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ผมพยายามเลี่ยงอย่างสุดความสามารถ ยิ่งเห็นสีหน้าของน้องนายพรานที่มองไอ้พรตแล้วผมยิ่งรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง

               ...แม่งเอ๊ย กูทำอะไรผิดหรือเปล่าวะ

               ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด พับแขนเสื้อไปถึงศอก ดึงชายเสื้อออกนอกกาเกงและปลดกระดุมเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตเพื่อระบายความอึดอัดทั้งที่รู้ว่ามันคงไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตามแต่ผมก็ทำแบบนี้ในทุกครั้งที่อึดอัดอยู่ดีแหละครับ จากนั้นผมก็หยิบบุหรี่กับไฟแช็กขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ความจริงผมไม่อยากมาสูบบุหรี่ในสถานการณ์และสถานที่แบบนี้หรอกนะแต่ด้วยความี่เกลียดการโกหกมากกว่าเลยต้องขอสูบให้มันเป็นความจริงเสียหน่อย

               ผมจุดบุหรี่แล้วเก็บไฟแช็กเข้ากระป๋าอย่างคล่องแคล่ว ผมกล้าพูดเลยว่าสามารถทำกริยานี้ได้อย่างอัตโนมัติเหมือนกับการเขียนแบบ ผมรู้ดีว่าภาพลักษณ์ตัวเองไม่เหมือนคนสูบบุหรี่จัดสักเท่าไหร่แต่ถ้าใครเจอผมบ่อยๆ ก็จะรู้ไปเองในที่สุด

               ครืด ครืด

               ...ใครโทรมาตอนนี้วะ

               ผมดึงโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าอีกข้าง คนที่จะโทรมาหาผมมันก็มีไม่กี่ประเภทนั่นแหละครับ บางครั้งผมก็รู้สึกเบื่อจนไม่อยากรับสายสักแต่ถ้านับเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่มันก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน

               “ครับ”

               [พี่พฤต นี่นาเองนะคะ พรุ่งนี้เจอกันกี่โมงดีคะ]

               ...พรุ่งนี้กี่โมงคือเชี่ยไรวะ

               “อ่า...พรุ่งนี้พี่ไม่ค่อยว่างแล้วน่ะครับ พอดีมีงานด่วนเข้ามา”

               [อ้าว โห นาก็อุตส่าห์ตื่นเต้นแทบตาย]

               “พี่กำลังจะโทรไปบอกเราพอดีน่ะ ขอโทษจริงๆ ครับ ไว้วันหลังนัดกันใหม่นะ”

               ...เฮ้อ

               ถ้าผมถอนหายใจมากไปกว่านี้ผมต้องแก่ลงเป็นห้าปีสิบปีแน่ครับ ผมเก็บมือถือเข้าที่เดิมแล้วเริ่มสูบบุหรี่ต่อ ผู้หญิงชื่อ ‘นา’ คือใครวะ รู้สึกจะเป็นคนที่...ผิวขาวหน่อย...ผมสั้น...สีน้ำตาลเข้ม ถูกมั้ยวะ แล้วตาล่ะ...ตาโต จมูกรั้นนิดๆ ...ปากบาง...มีอะไรอีกวะ อ้อ ตัวสูงและผอม...ชอบถือกระเป๋าอะไรนะ...อ้อ...กระเป๋าสีดำของโค้ช...โอเค...ชอบใส่เดรส...ใช่ นั่นแหละ คนนี้เลย

               ...นึกออกแล้ว

               ผมไม่ใช่คนที่จำชื่อใครได้แม่นเท่าไหร่ อย่างถ้ามีใครมาถามผมว่าจำคนชื่อนั้นชื่อนี้ได้หรือเปล่าผมจะคิดไม่ออก แต่เมื่อให้เวลาผมในการค่อยๆ ประกอบความจำสักเล็กน้อยผมถึงจะนึกออก หลายครั้งเลยที่ผมมักจะแทนคนอื่นด้วยสรรพนามเนื่องจากคิดไม่ทันจริงๆ แต่ถ้าไปเจอหน้ากันตัวต่อตัวนี่ผมจะไม่มีปัญหาเลย

               ระบบความคิดของผมไม่ได้จำเป็นสิ่งนี้เท่ากับสิ่งนี้แต่เป็นเหมือนจำเป็นเศษๆ แล้วค่อยประกอบกันนั่นแหละครับ มันไม่ได้เป็นอาการอะไรหรอกแต่เป็นเพียงกลไลการจำอย่างหนึ่งของสมอง แค่มันทำให้ผมเจอสถานการณ์โป๊ะแตกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เช่นการจำชื่อลูกค้าคนสำคัญไม่ได้แล้วต้องใช้เวลากว่าจะค่อยๆ เรียบเรียงว่าเขามีลักษณะแบบไหน ซึ่งกว่าผมจะจำได้คู่สนทนอาจเปลี่ยนเรื่องไปแล้วด้วยซ้ำ

               ...อย่างน้องพรานก็เหมือนกัน

               ไอ้พรตมันไม่เคยรู้หรอกว่าตอนมันบอกว่ามีแฟนแล้วนั้นผมถึงกับไปตามหารูปน้องพรานมานั่งจำเหมือนเป็นโรคจิตเพื่อที่เวลาพรตหรือใครพูดถึงจะได้มีภาพขึ้นมาในหัวทันที ในมือถือของผมจึงต้องมีโฟลเดอร์รวมรูปคนที่ผมมีความจำเป็นจะต้องจำได้ทันทีเมื่อใครพูดชื่อเอาไว้และคอยเอามาทบทวนเสมอๆ ไม่ค่อยมีใครเข้าใจความยากลำบากส่วนนี้ของผมเท่าไหร่หรอกครับ

               ผมมองบุหรี่ที่ถืออยู่ในมืออย่างเหม่อลอย พยายามคิดว่าผมทิ้งช่วงออกมานานพอหรือยังสำหรับไอ้พรตกับน้องพราน นี่ผมควรทำเป็นสูบต่อไปเรื่อยๆ หรือเอากระเป๋าของทั้งสองคนขึ้นรถแล้วแยกกันกลับบ้านเลยดีวะ ความจริงผมอยากกลับตอนนี้เดี๋ยวนี้เลยเพราะผมนอนน้อยมาหลายคืนแล้วและวันนี้เป็นวันส่งมอบแบบให้ลูกค้า กินข้าวก็เสร็จแล้วด้วยเลยทำให้ความเหนื่อยที่สะสมมามันเลยประดังกันเข้ามาอย่างเต็มที่

               ‘ปึก’

               ...เสียงไรวะ

               ผมแทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเหมือนของกระทบผนังซึ่งอยู่ห่างจากผมไม่มากนัก ผมค่อนข้างมั่นใจนะว่าตอนมายืนตรงนี้ยังไม่มีใครและผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะเจอใครมากกว่านี้แล้ว แค่ออกมารับไอ้พรตก็รูสึกว่าจะเจอคนในคณะมากพอสำหรับวันนี้ ผมมองบุหรี่ที่เหลืออยู่เกือบเต็มมวนแล้วแอบเสียดายนิดหน่อยที่ต้องดับมันลงไปเพราะเห็นทีผมคงต้องเป็นฝ่ายหนีจากตรงนี้แล้วล่ะ

               แต่ก่อนที่จะได้ขยับตัวอะไรผมกลับได้ยินเสียงจูบอย่างดูดดื่มดังตามขึ้นมาทำเอาผมแอบขมวดคิ้วไม่ได้ แน่ล่ะ...เขาไม่รู้หรอกว่ามีคนยืนอยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ทำเสียงดังไม่เกรงใจใครขนาดนี้ และความที่เขาไม่รู้นี่แหละทำให้ผมไม่กล้าขยับตัวสักมิลเดียว แม่งกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมต้องยืนอยู่ตรงนี้ทั้งที่อยากลับบ้านจะตายห่าอยู่แล้ว

               แล้วทำไมมันเริ่มมีเสียงหอบปนวะ

               “พี่ ตรงนี้อีกสิ อืม...”

               ...เดี๋ยว ทำไมเสียงโคตรคุ้น

               ผมมั่นใจมากว่าเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนแน่นอนแต่ผมนึกไม่ออกหรอกนะครับว่าใครเพราะนั่นเกินความสามารถผมไปมาก แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้ผมค่อยๆ ขยับตัวอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงและค่อยๆ พาตัวเองไปตามต้นกำเนิดเสียง ผมสูดหายใจลึกด้วยความตื่นเต้นเมื่อเริ่มเห็นเงาของคนสองคนพาดลงนกำแพง

               ...ผู้ชาย?

               ผมเขยิบเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนกระทั่งเห็นทั้งสองคนชัดเจน คนหนึ่งยืนพิงผนัง สีหน้าดูเหนื่อยมากเสื้อนักศึกษาหลุดลุ่ยและหอบไม่หยุดส่วนอีกคนยืนหันหลังให้ผมและคลอเคลียอีกฝ่ายไม่หยุด ผมไล่สายตากับไปมองที่ใบหน้าของคนพิงกำแพงอีกครั้งและเริ่มเก็บองค์ประกอบมาต่อกัน...ผมสีน้ำตาเข้ม...ตาตี่สไตล์ลูกคนจีน...แว่นกรอบดำ...ไม่อ้วนไม่ผอม...อือ คุ้นจังวะ...กางเกงสีดำถูกระเบียบ  ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาประกอบภาพนี้นานเท่าไหร่แต่เมื่อได้ภาพคร่าวๆ ในหัวแล้วผมก็เกือบหลุดอุทานออกมา

               ...นี่มันเด็กที่ผมช่วยยกลังให้เมื่อเช้า อย่าพูดถึงชื่อเลยเพราะถึงจะเพิ่งเจอกันมาเมื่อกี้ผมก็จำได้แค่ว่าชื่อเขามีตัวอักษรง.งู และไม่รู้ว่าเป็นอักษรตัวหน้าหรือหลังด้วย แต่ที่มั่นใจมากคือเขาเป็นเพื่อนน้องนายพราน

               ที่ผมจำได้อีกอย่างคือเขาโคตรเรียบร้อยโคตรสุภาพและดูสะอาดสอ้าน แต่งตัวตามกฎมหาลัยจากหัวจรดเท้าอย่างที่หาได้ยากยิ่งในคณะ เขาพูดครับกับผมทุกคำจนผมเองแทบรู้สึกเกรงใจแทน ผมค่อนข้างมั่นใจนะว่าเป็นคนเดียวกัน การคิดด้วยการนำองค์ประกอบหลายๆ อย่างมารวมกันแบบนี้ของผมมักจะถูกต้องแม่นยำ ผมจึงมั่นใจเต็มที่ว่าคนๆ นี้เป็นคนเดียวกัน แต่เมื่อตัดภาพมาที่ผู้ชายหน้ายืนหอบกับเสื้อผ้าหลุดลุ่ยพร้อมคำพูดคล้ายเชิญชวนแบบนี้แล้วแม่งทำลายภาพจำของผมที่มีต่อเด็กคนนี้ไปหมดเลย


               คนเราแม่ง...รู้หน้าไม่รู้ใจ


               ผมโคลงศีรษะให้กับความเสือกของตัวเอง เขาจะทำตัวผิดจากรูปลักษณ์มันก็ไม่ผิดอะไรหรอก ผมแค่ตกใจเองเพราะเคยคุยกัน แต่ก็นั่นแหละครับ ผมควรออกไปหาไอ้พรตกับน้องนายพรานแล้ว แล้ะเมื่อคิดได้อย่างนี้ผมจึงค่อยๆ ก้าวกลับไปอย่างระมัดระวังเหมือนตอนเดินเข้ามา แต่ใครจะไปรู้ละครับว่าเท้าของผมจะ...


               ‘แกร๊บ’


               “เฮ้ย ใครอยู่ตรงนั้นวะ?!”









------------------------------------------------------------------
มาแล้ววว พี่พฤตก็มาด้วยย :katai4:
เป็นช่วงอาทิตย์ที่หนักหน่วงมากเลยค่ะ เพิ่งส่งงานชิ้นแรกไป :sad4:
ขอไปปั่นงานชิ้นที่สองก่อนนะคะ 55555


ออฟไลน์ skysky

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-0
เราชอบเรื่องนี้มากกกกกก วันแรกที่อ่านเริ่มอ่านห้าทุ่ม กว่าจะได้นอน ... 55555555 มันติดมากจริงๆๆ
 :laugh: :laugh: :laugh:
ดีใจที่อ่านทันแล้ว อิอิ
ไอ้พี่พรต เป็นคนเข้าใจยากจริงๆนะ ชอบพี่พรตมุ้งมิ้ง แหย่ อ้อน พราน
พรานก็ใจอ่อนตลอดดดด ก็มันรักอ่ะเนอะ 555
กลัวใจทั้งคนรอและคนไปมีสังคมใหม่  :เฮ้อ:
รอติดตามฮะ สู้ๆกับการปั่นงานส่งนะฮะ เดือดมั้ย 555

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เห่อๆ พี่พฤต ไม่เหมือนที่รู้จักผ่านพ่อเลยแฮะ
เหมือนพี่พฤตจะโก๊ะๆอยู่เหมือนกันนะนี่
แล้วดูการจำคนไม่ค่อยได้ ลำบากน่าดูเลย

ออฟไลน์ Skycooper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ความลำบากของพี่พฤตช่างเหมือนเราจริงๆ ฮืออออออ จำคนไม่ได้เหมือนกันเลยยยยย :hao5: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5

ออฟไลน์ Missmu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ Missmu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ powl-the-2nd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1




:: CHAPTER 27 ::








            “พี่พรตจัดของถึงไหนแล้ว”

            ผมเอ่ยถามขึ้นระหว่างดึงเสื้อตัวหนึ่งซึ่งถูกเบาะโซฟาทับไว้ออกมา มองแล้วก็ไม่รู้ว่าพี่พรตหมกไว้ตั้งแต่ชาติไหนเพราะสภาพมันเหมือนถูกลืมไว้นานมากแล้ว โซฟาพี่พรตนี่ก็เหมือนกระเป๋าโดราเอมอน ไม่ว่าผมจะดึงเสื้อออกมามากเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที เหมือนจะสามารถบรรจุได้ตั้งแต่เสื้อหนาวไปถึงบ็อกเซอร์ ตั้งแต่พาดไว้จนถึงอยู่ตามซอกเบาะเลยล่ะครับ

            “ก็ใกล้เสร็จแล้วล่ะ”

            “อืม ดีแล้ว”

            ผมกวาดสายตามองไปรอบห้องที่คุ้นเคยเหลือเกิน ผมยังจำความรกอันเป็นความประทับใจแรกของมันได้อยู่และยังเป็นสิ่งที่ผมเอาไปบ่นกับคนอื่นเสมอๆ ทั้งซากโมเดลกระจัดกระจาย กระดาษร่างที่กองตามพื้น หรือแม้แต่โซฟาที่เหมือนถูกเปลี่ยนฟังก์ชั่นเป็นตะกร้าผ้า ในวันนี้มันกลับโล่งจนผิดตา ข้าวของที่คนสกปรกอย่างพี่พรตดองเอาไว้ถูกเคลียร์ไปจนเรียบ ทำเอาผมอดใจหายไม่ได้เลยครับ มองแล้วรู้สึกเหมือนเอกลักษณ์ของห้องนี้ถูกทำลายไปเสียแล้ว

            ...ก็คนจะไม่อยู่แล้วนี่

            ถึงพี่พรตจะตัดสินใจไม่ขายห้องหรือให้คนอื่นเช่าระหว่างไปเรียนต่อซ้ำและยืนยันว่าพอกลับมาจะกลับมาอยู่ห้องนี้ดังเดิม แต่ผมก็ยังอดรูสึกใจหายไม่ได้อยู่ดี

            “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”

            “เฮ้ย!”

            ผมแทบสะดุ้งเมื่อจู่ๆ พี่พรตก็ยื่นมือมาโบกขึ้นลงตรงหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว ...นี่ผมเหม่อไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

            “ทำหน้าเหมือนหมาหางตก”

            “เออ ก็ต้องอย่างนั้นดิ”

            ได้ยินอย่างนี้ผมก็อดฉุนขึ้นมาไม่ได้ อีกวันเดียวตัวเองก็ไปแล้วแท้ๆ ยังคาดหวังให้ผมมีความสุขหน้าตาชื่นบานอีกเหรอวะครับ ผมตามความคิดของไอ้พี่พรตไม่ค่อยทันเลยให้ตายสิ เขาดูโคตรปกติเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการไปเรียนต่อเป็นปีๆ เลยสักนิดทั้งที่ผมเองยิ่งใกล้วันยิ่งคิดนู่นคิดนี่ ผมเห็นเขาซึมไปเพียงไม่กี่วันหลังพี่พฤตมาหาเท่านั้นแหละ คิดว่าเขาคงปลอบใจตัวเองเสร็จเรียบร้อยไปแล้วตั้งแต่สองสามวันนั้นแล้วมั้ง

            “งั้นเอางี้ เดี๋ยวพานายไปกินข้าวดีกว่า”

            “ยังเก็บกองนี้ไม่เสร็จ” ผมชี้ไปที่เสื้อผ้าที่วางๆ เอาไว้ข้างโซฟา

            “เออน่ะ เดี๋ยวค่อยมาเก็บต่อ”

            “แปปนึง”

            ผมส่ายหน้ากับสิ่งที่ยิน พี่พรตก็ชอบอย่างงนี้อยู่เรื่อย เหมือนการเก็บห้องแม่งเป็นกิจกรรมที่ถูกจัดอันดับไว้ล่างสุดสำหรับเขาเสมอ ผมเองเลยตั้งใจจะเก็บกองนี้ให้เสร็จก่อน แต่กลายเป็นว่าไอ้พี่พรตไม่ยอมขยับไปไหนแล้วยืนกอดอกจ้องผมพับเสื้อผ้าตัวเองเสียอย่างนั้น เหมือนถูกกดดันว่าถ้าผมไม่ไปเขาก็ไม่ขยับ

            ...ทำไมยิ่งวันยิ่งดื้อวะ

            “โอเค ไปก็ไปครับ”

            สุดท้ายผมก็ต้องยอมเป็นฝ่ายยอมแพ้ลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าสตางค์เอง  ส่วนไอ้พี่พรตี่ก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างหน้าหมั่นไส้  ผมถอนหายใจเบาๆ พลางปลอบตัวเองว่าให้พี่มันไปเถอะครับ เพราะผมคงจะไม่ได้หมั่นไส้ใครขนาดนี้ไปอีกนานเลย

            “เดี๋ยวผมเลี้ยงพี่พรตเลยละกัน”

            “จริงดิ”

            “จริงครับ อยากกินไรล่ะ”
 

            “ก๋วยเตี๋ยวหน้าคอนโด”

            “ดีกว่านี้ก็ได้นะ”

            “น้องพรานครับ”

            “...”

            “พี่อยากกินก๋วยเตี๋ยวจริงๆ”







                                                                         

            ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างคอนโดในตอนเที่ยงยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายเหมือนทุกวัน จะแตกต่างแค่พวกเราเองนั่นแหละครับ ผมเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะริมสุดอย่างเคยชินพลางนึกอยากจะเก็บความเคยชินนี้ให้อยู่กับตัวนานกว่านี้อีกสักหน่อย ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่พรตถึงอยากกินก๋วยเตี๋ยวในมื้อสุดท้ายที่เราจะได้กินร่วมกันก่อนพี่พรตไป เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าอีกสองสามปีข้างหน้าร้านนี้จะเป็นอย่างไรหรือผมกับพี่พรตจะได้มานั่งด้วยกันอย่างนี้อีกรึเปล่า

            “คิดไรอีกเนี่ย”

            พี่พรตเปิดเมนูแล้วยัดเข้ามาในมือผมอย่างถือวิสาสะเมื่อเห็นผมนั่งเงียบไป ผมจึงได้แต่ก้มดูเมนูแล้วชี้เอาเส้นเล็กน้ำธรรมดาที่มันไม่เผ็ด ส่วนพี่พรตก็สั่งต้มย้ำน้ำข้นไม่เผ็ดเช่นเคย เราสั่งอาหารกันโดยไม่พูดอะไรอีกแต่ดูเหมือนพี่พรตจะเป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียเอง

            “ตอนอยู่ก็บอกไม่เอาๆ พอจะไปจริงนี่หงอยเชียว”

            “อะไร”

            “เปล่า แค่พูดลอยๆ”

            ...ไอ้พี่พรตแม่ง

            ผมถลึงตาเขาทีหนึ่ง

            “น่ะ เขินแล้วๆๆ”

            “โอ๊ยพี่พรตหยุดเลย”

            ผมพยายามระงับความเขินทั้งที่รู้ว่ามันไม่ค่อยได้ผลอะไรเท่าไหร่ ผมแม่งแพ้สไตล์การพูดแซวแบบพี่พรตจริงๆ ผมจ้องไปที่ภาพวาดบนผนังบ้าง เมนูบ้างเพื่อจะหลีกเลี่ยงการสบตาอย่างสุดความสามารถ ผมรู้นะว่าควรเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้เอาไว้ แต่ให้ตายเหอะ ผมโคตรไม่ชอบการเขินในที่สาธารณะ

            “จะเศร้าอะไรครับน้องพราน”

            “...”

            “เดี๋ยวตอนปิดเทอมก็กลับมาแล้วน่า”

            “ก็ใช่ แต่...”

            “แต่อะไรครับน้องพราน”

            พี่พรตหรี่ตามองด้วยสายตากรุ้มกริ่มปนคาดหวัง ทำเอาผมยิ่งเขินขึ้นไปอีก พี่พรตเองก็ถนัดเหลือเกินกับการทำแบบนี้...เออ เอาก็เอาวะ ผมยอมแพ้ก็ได้

            “คิดถึง”

             “เล็กน้ำ กับต้มยำไม่เผ็ดได้แล้วค่ะ”

            ...เชี่ยเอ๊ย

            ผมมองพนักงานที่กำลังวางก๋วยเตี๋ยวสองชามลงบนโต๊ะพร้อมการระเบิดเสียงหัวเราะของพี่พรตอย่างไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี ทำไมจังหวะชีวิตของผมมันพังจังครับ พอยอมแพ้ก็ดันมีคนมาได้ยินมากกว่าหนึ่ง เอาเป็นว่าผมอย่าพูดอะไรดีกว่ามั้ง พนักงานเองดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไรเพราะเธอแค่จัดชามให้แล้วเดินกลับออกไปอย่างปกติ แต่ไอ้คนที่ไม่ปกติคือคนที่อยู่ตรงหน้าผมนั่นแหละครับ

            “โอ๊ย พี่พรตหยุดล้อเลย”

            “อ่ะ หยุดแล้ว”                                         

            ...หยุดแล้วแต่ยังยิ้มนี่หมายความว่าไงวะ

            สุดท้ายเมื่อห้ามอะไรไม่ได้ผมก็ได้แต่ปล่อยพี่พรตให้ยิ้มต่อไปจนเขาเลิกไปเอง  ผมมองคนตรงหน้าก้มหน้าก้มตาสูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากด้วยท่าทางมีความสุข พี่พรตนี่ถึงจะคุณชายแค่ไหนก็เลี้ยงง่ายอยู่ดี ความจริงแล้วผมตั้งใจจะเลี้ยงมื้อเที่ยงพี่พรตแบบพรีเมี่ยมด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวดันขอแค่ก๋วยเตี๋ยว ทำเอาเงินที่ผมเตรียมมาเป็นหมันไปเลยทีเดียว

            “ตอนเย็นไปกินข้าวด้วยกันมั้ย”

            “หืม กินกับที่บ้านพี่พรตเนี่ยนะ”

            “อืม”

            “ไม่เอาอ่ะ ยังไม่พร้อม รอพี่พรตกลับมาก่อนดีกว่า”

            ผมไม่อยากปฏิเสธหรอกนะครับแต่ผมยังจำสีหน้าพ่อของพี่พรตที่มองผมได้อยู่ มันเหมือนเขายังไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ ยิ่งถ้าไปที่บ้านเลยนี่ผมว่าเขายังไม่โอเคหรอก เอาไว้พี่พรตทำตามที่ตกลงไว้กับพ่อได้เมื่อไหร่ค่อยไปกินข้าวแบบดีๆ คงไม่สาย

            “โอเค ไม่เป็นไร”

            “...”

            “แค่คิดว่าอยากกินข้าวกันอีกมื้อเฉยๆ”

            “โอ๋ๆ ไว้ไปส่งที่สนามบินเนอะ”

            ผมไม่รู้จะพูดยังไงเลยปลอบไปอย่างนั้น พี่พรตเองก็เหมือนจะงอแงไปตามเรื่องเพราะผมเองก็เคยยืนยันไว้แล้วตั้งแต่เขาชวนไปกินข้าวที่บ้านตั้งแต่ครั้งแรกๆ

            “พราน”

            “หืม?”

            “มีไรจะให้”

            ผมเงยหน้าขึ้นจากชามก๋วยเตี๋ยวอย่างประหลาดใจ อยู่ๆ พี่พรตก็ดูนิ่งขึ้นมาจนผมชักไม่แน่ใจว่าของที่จะให้นี่คือจะแกล้งหรือให้แบบจริงจัง ผมควรรู้สึกกลัวหรือดีใจกันแน่วะ

            “แกล้งป่ะเนี่ย”

            “เฮ้ยไม่แกล้งๆ ยื่นมือมาดิ”

            ...นี่ยิ่งไม่น่าไว้ใจเข้าไปใหญ่

            แต่เอาวะ วันสุดท้ายแล้วต้องยอมให้มันหน่อย คิดอย่างนั้นผมจึงแบมือแล้วยื่นไปด้นหน้าแต่โดยดี พี่พรตยื้มให้ก่อนจะเอาของซึ่งกำไว้ในมืออย่างมิดชิดมาวางบนมือผมแล้วผละออกไป ผมเลยก้มลงมองมันทันที

            ...กุญแจห้อง

            ความรู้สึกหลากหลายเหมือนตีเข้ามาหาผมอย่างห้ามไม่อยู่ คอนโดของพี่พรตนี้ถึงจะรกไปหน่อยแต่ผมรู้ว่าพี่พรตรักมาก มันเป็นที่ๆ เดียวที่สามารถหลบหนีความเครียดจากทางบ้านได้ พี่พรตอยู่ที่นี่มากกว่าบ้านตัวเองเสียอีกจนเรียกได้ว่าห้องนี้แหละที่เป็นพื้นที่ของพี่พรตเองจริงๆ มันแฝงตัวตนของคนอยู่ไว้ในทุกๆ ตารางเมตรและมีความทรงจำของเราอยู่มากมาย

            “พี่พรต...”

            “ฝากดูแลด้วยนะ”

            ผมพยักหน้า คิดคำพูดดีๆ อะไรไม่ออกเลยสักคำ พี่พรตไว้ใจผมมาก...มากขนาดที่นำของที่ตนรักมาฝากไว้กว่าผม และแน่นอนว่าความไว้ใจที่เข้ามาให้นั้นมันมากกว่าความไว้ใจที่ผมมีให้เขาอย่างแน่นอน ผมรู้สึกมาตลอดว่าตัวเองให้เขาเยอะมากแล้วแต่ดูเหมือนจะเทียบอะไรกับสิ่งที่ได้รับไม่ได้เลย

            “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”

            ผมไม่รู้ว่าพี่พรตลุกขึ้นมานั่งข้างๆ ผมตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ตอนนี้เขากำลังหันทั้งตัวมาทางผมแล้วนั่งจ้องอยู่อย่างนั้น ทำเอาผมยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่

            “นายน่ารักจังอ่ะ”

            ผมกัดปากตัวเองพยายามระงับความเขินอย่างสุดความสามารถ ตอนนี้ ไม่รู้สึกเศร้าหรือน้อยใจตัวเองที่ไม่ได้ตอบแทนอย่างที่ควรหรืออะไรแล้วล่ะครับแต่กูเขิน ผมพยายามมองซ้ายมองขวาหาวิธีเอาตัวรอดจนกระทั่งเหลือบไปเห็นพนักงานกำลังสแตนด์บายรออยูไม่ไกลเลยรีบเรียกมาทันทีก่อนจะหันไปบอกพี่พรตอย่างรวดเร็ว

            “กินเสร็จแล้วใช้มั้ยพี่พรต เช็คบิลเลยนะ”





           

           

            กลายเป็นว่าวันสุดท้ายของผมและพี่พรตดำเนินไปอย่างปกติและธรรมดามาก แต่ผมกลับเห็นว่าความธรรมดานี่แหละเป็นสิ่งพิเศษที่สุด ผมเดินออกมาจากโรงหนังกับพี่พรตพร้อมฉีกตั๋วที่นั่งแบ่งให้เขาคนละครึ่งเผื่อว่าเขาจะอยากเก็บเอาไว้ซึ่งพี่พรตก็รับไว้พลางสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ

            “ตัวร้ายหน้าโคตรเหมือนอาจารย์ทรงพล”

            “ฮ่าๆๆ เออใช่เลย ก็ว่าคุ้นๆ”

            “เทอมนี้ได้อยู่เซคเค้าป่ะ”

            “เนี่ย ผมตรวจกับเขาโปรเจกต์นี้เลย”

            “เดือดมั้ยอ่ะ ไอ้กรมันเคยอยู่แล้วเขาสั่งงานโคตรเยอะ”

            “เดือดดิ ถามได้”

            ผมพยายามจะไม่คิดเรื่องงานที่เหลืออยู่มากมายดุจเกลือในมหาสมุทรในวันนี้แต่พี่พรตก็อุตส่าห์กวนตะกอนขึ้นมาจนได้ พี่พรตพูดถูกครับ อาจารย์แม่งสั่งงานเยอะเหมือนผมไม่ใช่คน มีการล้มแบบให้คิดใหม่แทบทุกอาทิตย์ทั้งที่เพื่อนเซคอื่นเริ่มลงแปลนลงเสากันไปหมดแล้ว

            “ทำไมไม่บอกก่อน”

            “ไม่ต้องช่วยหรอก ไปจัดของไป”

            “อ้าว ไล่เฉย เมื่อกี้ในร้านยังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่เลย”

            ผมถลึงตาใส่พี่พรตอีกรอบ คนอะไรชอบแซวกันจังวะ ผมไม่ตอบอะไรแล้วเดินเล่นไปเรื่อยๆ แต่แล้วพี่พรตก็เอามือแทรกเข้ามาประสานกับมือผมโดยไม่บอก ทำเอาผมตกใจจนเกือบจะสะบัดออกเลยล่ะครับ แต่มันยิ่งทำให้พี่พรตกระชับมือผมไว้แน่นขึ้นพร้อมขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมแล้วกระซิบที่ข้างหู

            “วันนี้ขอเดินจับมือได้รึเปล่า”

            ผมหันไปสบตากับเขา เราไม่เคยเดินจับมือกันในที่สาธารณะแบบนี้เลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะพี่พรตกลัวผมจะรู้สึกเขินและผมเองก็ไม่ทันได้คิดว่าเรามีความจำเป็นต้องเดินจับมือหรืออะไรด้วยเลยทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่ามันสำคัญเท่าไหร่ แต่อย่างที่บอกล่ะครับ วันนี้ผมจะยอมเขาเต็มที่

            “อยากทำอะไรก็ทำสิ”

            พี่พรตยิ้มด้วยสีหน้ามีความสุขก่อนจะแกว่งแขนผมไปมาอย่างอารมณ์ดี ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา พี่พรตยังคงเป็นคนที่มีสีสันเสมอในสายตาของผมตั้งแต่วันแรกที่เจอกันในฐานะพี่เนียนจนถึงวันนี้ ผมมักจะนึกกลัวขึ้นมาว่าระยะเวลาที่ห่างกันไปจะทำให้เขาเปลี่ยนทั้งที่ทุกสิ่งย่อมต้องเปลี่ยนไปอยู่แล้ว ตัวผมเองนั้นยังอยากเป็นคนเห็นแก่ตัวและเก็บพี่พรตที่ผมรู้จักเอาไว้ให้ได้นานที่สุด


            “พี่พรต”


            “?”


            “อีกสามปีข้างหน้าอย่าเพิ่งเปลี่ยนไปได้ไหม”


             “ไม่เปลี่ยนหรอกน่า”



            พี่พรตหัวเราะในลำคอพลางยกมือขึ้นขยี้หัวผมเบาๆ ผมรับสัมผัสและคำตอบนั้นโดยดี แต่ความจริงผมเองก็รู้ดีว่าอะไรมันก็ไม่แน่นอนทั้งนั้น พี่พรตไม่สามารถเป็นคนเดิมได้เสมอรวมถึงตัวผมเองก็ด้วย แต่ผมจะระลึกไว้ว่าในระยะเวลาหลายปีที่กำลังจะถึงนี้ ไม่ว่าในอนาคตเขาจะเติบโตไปเป็นคนแบบไหน หรือระหว่างผมกับเขาจะเหลือเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งในชีวิตของกันและกัน จะจบสวยหรือจบเศร้าก็ตาม ผมก็รู้สึกดีใจที่ได้รู้จักกับเขา                                 





            ...ผมดีใจนะที่เราได้รู้จักกัน









-------------------------------------------------------------------------
ไม่ได้เจอกันนานเลยย ปีสามเทอมสองเดือดสุดเท่าที่เคยเจอมาจริงๆ เดือดจนต้องร้องขอชีวิต ฮือออ
 :fire::katai4: :katai4:
ใครคิดจะเรียนคณะนี้คิดดีๆ อีกครั้งนะะ 55555555

มายืนยันว่าเรื่องนี้จบดีแน่ๆ ค่าไม่มีดราม่าแล้ว น้องพรานแค่จะสื่อว่า เขาไม่สนใจว่าความสัมพันธ์จะเป็นยังไงแค่รู้สึกดีใจที่ได้เจอกันก็พอ

ตอนหน้าตอนสุดท้ายแล้วนะคะ เจอกันค่า

ออฟไลน์ Missmu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
พี่พรตไม่ไปไม่ได้หรออออออ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ทำไมเราอ่านตอนนี้แล้ว เรารู้สึกเหงาๆ จังเลย :undecided:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ไวไป พรตจะไปแล้ว
คุณพ่อใจร้ายมาก

ออฟไลน์ powl-the-2nd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1


:::: CHAPTER 28 ::::

 





[พฤต]

 

            “คุณพฤต รบกวนเซ็นเอกสารแผ่นนี้ให้ได้ไหมครับ”

            ผมเกือบยั้งฝีเท้าไม่ทันเมื่อสถาปนิกคนหนึ่งในบริษัทเปิดประตูพรวดออกมาแล้วขวางทางผมเอาไว้ ผมเหลือบสายตามองกระดาษแนบท้ายสัญญาของโปรเจกต์ที่กำลังทำอยู่ อ่านผ่านรวดเดียวก่อนจะหยิบปากกาหมึกซึมที่เหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อออกมาเซ็นให้แต่โดยดี

            ...บ่ายสองแล้ว

            ยิ่งก้มลงมองนาฬิกาตัวเองแล้วยิ่งต้องรีบ ถ้าไม่ติดว่าผมต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดูภูมิฐานน่าเชื่อถือต่อหน้าลูกน้องทุกคนในบริษัทแล้วผมคงใส่เกียร์หมาวิ่งไม่ลืมหูลืมตาเหมือนตอนปีหนึ่งที่ส่งงานไม่ค่อยทันแน่ครับ พ่อนี่ก็เหลือเกินนะ ตัวเองอยากนั่งอยู่บ้านช่วยดูไอ้พรตแต่ให้ผมมารับกรรมเซ็นเอกสารทั้งหมดของช่วงเช้าแทน

            “เรียบร้อย”

            “ขอบคุณครับ”

            ผมเหน็บปากกาเข้าที่เดิมด้วยท่าทางนิ่งสงบเหมือนคนไม่รีบ ก่อนจะก้าวเร็วๆ ออกจากตรงนั้นทันที แต่เชื่อสิครับว่าไอ้พวกนี้ต้องไม่ปล่อยผมไปแน่

            “คุณพฤตคะ! รบกวนเซ็นนี่ด่วยเลยค่ะ”

            ...บ่ายสองห้านาที

            ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองดูเอกสารที่น้องผู้หญิงถือมาด้วยความเร่งรีบและพบว่ามันมีเป็นปึก กะด้วยสายตาคือมากกว่ายี่สิบแผ่น ซึ่งพูดตามตรงคือผมยังไม่มีเวลาอ่านเอกสารเยอะขนาดนี้ในตอนนี้หรอก ถ้าให้อ่านจบนี่เครื่องไอ้พรตคงบินไปถึงพม่าก่อนแล้ว

            “ไว้ผมกลับมาเซ็นนะครับ”

            “แต่พรุ่งนี้...”

            “เดี๋ยวผมกลับมาครับ”

            เมื่อได้ยินผมยืนกรานปฏิเสธแบบนั้นเธอเลยถอยทัพและยอมจำนนในที่สุด ผมรู้ดีว่าเอกสารฉบับนี้ไม่ด่วนเท่าไหร่หรอกเพราะลูกค้านัดผมเอาไว้มะรืน พรุ่งน้ค่อยมาเซ็นยังทันเลยครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้คงไม่มีอะไรด่วนเท่ากับเรื่องที่ไฟล์ทไอ้พรตจะออกห้าโมงหรอกครับ ผมลองคำนวณเวลาดูคร่าวๆ...จากบริษัทไปสนามบินก็ประมาณหนึ่งชั่วโมง กว่าจะเจอไอ้พรตคงปาเข้าไปสี่โมงเย็นแล้ว

            “คุณพฤตครับ!”

            “เดี๋ยวผมกลับมาครับ วางไว้บนโต๊ะเลย!”

            ผมตะโกนกลับไปเมื่อเห็นสถาปนิกในทีมคนหนึ่งรีบเปิดประตูออกมาพอเห็นผมเดินผ่าน บางทีผมก็โคตรเกลียดทางเดินยาวติดกระจกที่ต้องเดินผ่านห้องทำงานเหล่านี้จริงๆ ผมรู้ว่าคอนเสปท์ของมันคือการให้ลูกค้าได้เห็นบรรยากาศการทำงานที่ดูโปรเพื่อให้เขาตัดสินใจเลือกบริษัทเรา มันได้ผลก็จริงครับ แต่โทษของมันคือเวลาผมจะไปไหนมาไหนแม่งเห็นกันทั้งบริษัท และจะเกิดการเปิดประตูออฟฟิศออกมาตั้งด่านขอลายเซ็นอย่างกับเซเลปเช่นนี้อยู่บ่อยๆ

            ผมเร่งฝีเท้าอย่างสุดความสามารถ พยายามเดินผ่านออฟฟิศทั้งหลายโดยไม่สบตาใครนอกจากปลายเท้าของตนเอง จนในที่สุดผมก็ฝ่าฝูงพนักงานและเอกสารออกมาได้ถึงลานจอดรถ ผมถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ปลดเนคไทด์ตัวเองลงมาพร้อมพับแขนเสื้อขึ้นก่อนจะสตาร์ทรถขับออกมาทันที

 

 




            โชคดีที่เป็นวันอาทิตย์ ทำให้การจราจรในประเทศกรุงเทพฯ แห่งนี้ไม่ได้เลวร้ายมากเกินไป ผมมาถึงบ่ายสามได้ตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อผมจอดรถเสร็จเรียบร้อยเลยเดินเข้าไปในเทอร์มินัลทันที แต่ก่อนที่ผมจะได้เดินผ่านประตูนั้น จู่ๆ ก็มีวัยรุ่นผู้ชายคนหนึ่งมายกมือไหว้เสียก่อน

            “หวัดดีครับพี่พฤต”

            ผมพิจารณาหน้าตาเขาพลางเค้นสมองใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง ...ผมสีน้ำตาเข้ม...ตาตี่สไตล์ลูกคนจีน...แว่นกรอบดำ...ไม่อ้วนไม่ผอม...คุ้นมาก...แต่เหมือนกางเกงกับเสื้อจะไม่ใช่ ...อ้อ น่าจะเป็นเพื่อน้องนายพรานคนนั้น ผมมองเขาอีกครั้ง พอไม่ใส่ชุดนิสิตแล้วแทบจำไม่ได้เพราะเขาดูเด็กลงมาก และที่หนักกว่านั้นคือเขาทักผมแต่ผมจำชื่อของเขาไม่ได้

            “สวัสดีครับน้อง...ง”

            ...น้องอะไรก็ช่างแม่งไปก่อน แต่ที่แน่ๆ ลงท้ายด้วยง.งู

            ผมรับไหว้ทักทายน้องไปตามมารยาทโดยไม่หยุดเดินไล่หาเคาน์เตอร์เช็คอินที่ไอ้พรตบอกย้ำมาเมื่อเช้า ซึ่งน้องเขาก็เดินตามมาด้วยกันหน้าตาเฉย ผมเลยคิดว่าเขาคงมาส่งพรตเหมือนกันนี่แหละครับเพราะเขาไม่ได้สงสัยหรือพถามอะไรต่อ ผมเดินผ่านมาถึงปีกซ้ายของอาคาร...รู้สึกจะเป็นโซนอีนี่แหละ

            เมื่อเจอโซนที่ต้องการแล้วผมจึงสะกิดคนข้างๆ ซึ่งกำลังหันไปมองอีกทางก่อนจะพาเดินไล่หาตั้งแต่เคาน์เตอร์แรกในโซนจนถึงเคาน์เตอร์สุดท้าย แต่ถึงผมจะเดินครบทุกแถวทุกแนวแล้วก็ยังไม่เห็นใครที่คุ้นหน้าเลยครับ จะบอกว่าเป็นเพราะผมจำหน้าคนไม่ได้ก็ไม่ใช่ อย่างน้อยก็ต้องเห็นไอ้พรตล่ะวะ ผมก้มลงดูเวลาอีกครั้ง...ผ่านไปสิบห้านาที

            ผมเสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากำลังจะกดโทรหาไอ้พรตเพื่อเช็คหมายเลขเคาน์เตอร์ให้แน่ใจอีกครั้ง แต่แล้วน้องที่เดินมาด้วยกันกลับทักขึ้นมาก่อน

            “พี่มาส่งพี่พรตเหรอครับ”

            “ใช่สิ” ...ถามอะไรของมันวะเนี่ย

            “พี่พรตเช็คเคาน์เตอร์บีนะครับ ไม่ใช่อี”

            ...นี่จะบอกกูพรุ่งนี้เลยมั้ยไอ้หอยหลอด

 




 

[พราน]

            “พี่พรตเช็คอินเรียบร้อยแล้วยัง”

            “เช็คแล้ว”  พี่พรตพูดพลางโชว์ตั๋วให้ผมดู

            เห็นตั๋วเครื่องบินแล้วก็อดใจหายขึ้นมาไม่ได้ถึงแม้ผมจะเตรียมใจมาสักพักใหญ่ๆ แล้วก็ตาม ผมมองไปที่คุณพ่อคุณแม่ของพี่พรตที่ต่างก็จับจ้องมาที่ลูกชายตัวเองไม่วางตา ผมนึกขอบคุณเขาที่อย่างน้อยก็ไม่ได้ห้ามให้ผมมาเจอและพูดคุยกับพี่พรตแบบนี้ ถึงจะบังคับอะไรยังไงก็คงต้องเป็นห่วงมากกว่าใครอยู่ดีแหละนะ

            “พี่พรต ไปที่นู่นแล้วอย่าทำตัวสกปรกอีกนะ”

            “เออน่า”

            ...พูดแบบนี้คือต้องสกปรกแน่ๆ

            ผมหัวเราะเบาๆ พี่พรตยังคงไม่ทิ้งความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเลยสักนิดแม้จะเป็นช่วงเวลาแห่งการอำลาที่น่าใจหายเสียเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกสบายใจที่เขาดูอารมณ์ดีและไม่มีเรื่องเครียดอะไร

            “โทรมาบ่อยๆ ด้วยนะ”

            “ครับ แหม เป็นห่วงล่ะสิๆๆ”

            “อืม”

            ผมรับคำง่ายๆ พลางเช็คสภาพเสื้อผ้าหน้าผมให้พี่พรต วันนี้เขาแต่งตัวดีเป็นพิเศษซึ่งผมว่าคุณสุวัตรจัดการให้เองมากกว่า ผมไม่ค่อยได้เห็นพี่พรตในลุคนี้เท่าไหร่นัก ขนาดใบพลูที่ขอตามผมมาส่งพี่พรตด้วยกันเห็นแล้วยังถึงกับยกกล้องขึ้นถ่ายรูปรัวเลยล่ะครับ

            “พี่พฤตมาแล้ว!”

            “ทำไมมากับน้องแบงค์อีกแล้ววะ”

            “สองคนนี้มันยังไงเนี่ย”

            เสียงฮือฮาจากกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องที่มารอส่งทำให้ทั้งผมและพี่พรตต้องหันไปดู จึงได้เห็นพี่พฤตเดินคู่มากับไอ้แบงค์อย่างที่เขาพูดกันและทั้งพี่พรตและผมก็หันหน้ามาหากันโดยไม่ได้นัดหมาย

            “นี่ผมนึกว่าพี่พฤตออกมาจากบ้านพี่พรตนะเนี่ย”

            “พ่อให้มันไปดูบริษัทตอนเช้า แต่ทำไมมากับน้องแบงค์ก็ไม่รู้”

            “ฮ่าๆ ผมว่ามันแปลกอยู่นะ”

            ผมหรี่ตามองอย่างจับผิด ควรจะรู้สึกยังไงดีครับ ผมเคยรู้มาแค่ว่าพี่พฤตเป็นคนเพอร์เฟ็คและผู้หญิงเยอะมากแต่นี่ผมเห็นเขาเดินมากับแบงค์สองครั้งแล้วนะ

            “พราน”

            “หืม?”

            “ตอนไม่อยู่อัพเดทให้ฟังหน่อยนะ”

            คำพูดของพี่พรตทำเอาผมหันกลับมาทันที จึงได้เห็นสายตากรุ้มกริ่มที่จับจ้องไปทางพี่ชายของตนเอง พี่พรตดูตื่นเต้นไม่น้อยกับภาพเบื้องหน้าและนั่นทำให้ผมหัวเราะออกมาก่อนรับคำแต่โดยดี

            “ได้เลยพี่พรต เดี๋ยวให้พลูช่วยดูอีกคน”

            “ดีมาก”

            ผมกับพี่พรตพูดคุยรอเวลากันตามปกติโดยมีเพื่อนในกลุ่มของเขาเวียนเข้ามาถ่ายรูปด้วยบ้าง ถามนู่นนี่บ้าง ผมสัมผัสได้เลยว่าทุกคนใจหายมากแค่ไหน หากขาดไปจากกลุ่มคงทำให้หมดสนุกได้ง่ายเช่นเดียวกับที่ผมรู้สึก ผมมองพี่พรตและกลุ่มเพื่อนที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสแล้วก็ต้องย้อนกลับมามองตัวเอง ชีวิตในคณะนับจากนี้ไปคงจะต้องเหงากว่าเดิมไม่น้อย

            “น้องพรานครับ”

            “ครับ?”

            อยู่ๆ พี่กรก็หันมาทางผมแล้วเรียกเข้าไปในวง ผมจึงจำใจต้องเดินเข้าไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนของพี่พรตอย่างเลี่ยงไม่ได้

            “เมื่อกี้ไอ้พรตมันฝากพวกกูดูแลน้องพราน”

            “หวงจนหยดสุดท้าเลยนะมึงอ่ะ”

            “งุ้ย เอ็นดูจังอ่ะ”

            “โอ๊ย หยุดแซวน้องได้แล้วไอ้เป้”

            ...เชี่ย ทำไมเข้ามาอยู่ในวงเพื่อนพี่พรตแล้วต้องโดนแซวแบบนี้ทุกครั้ง และที่แย่กว่านั้นคือผมเสือกรู้สึกเขินทุกครั้งด้วยน่ะสิครับ

            “พอเลยพวกมึง”

            พี่พรตเหมือนจะรู้งานที่สุดเพราะเขาเอื้อมมือมาดึงแขนผมให้ไปยืนข้างตัวเองแทน ก่อนจะหันมาบอกกับผมด้วยท่าทางจริงจัง

            “เวลามีปัญหาอะไรถามไอ้พวกนี้ได้นะ ถึงพวกมันจะเป็นแบบนี้ก็เหอะ”

            ผมกวาดสายตามองเพื่อนพี่พรตทุกคนที่อยู่รอบตัว ตอนนี้ทุกคนเงียบลงกันหมดแล้วและไม่มีใครมีท่าเหมือนจะเริ่มแซวขึ้นมาอีก ทำเอาผมอดคิดไม่ได้ว่าพอพวกพี่ทั้งกลุ่มเงียบกันแบบนี้แล้วรู้สึกไว้ใจได้ขึ้นเป็นกอง ผมหัวเราะกับสภาพผิดปกติของพี่ทุกคนก่อนจะเอ่ยปากรับคำกับพี่พรต

            “โอเค ขอบคุณครับ”

 

            เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารไฟลท์พี่พรตดังขึ้นก่อนเวลาขึ้นเครื่องประมาณหนึ่งชั่วโมง ทำเอาทุกคนที่มาส่งมีสีหน้าเจื่อนลงทันที คุณสุวัตรพร้อมกับคุณพิมพ์ผกาเขยิบเข้ามาใกล้ขึ้นด้วยสีหน้าที่หมองลงอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาจับไหล่ของพี่พรต

            “เข้าเกทได้แล้วพรต”

            “ครับ”

            ผมมองภาพเบื้องหน้าอย่างอธิบายไม่ถูก ผมเคยเห็นแต่คุณสุวัตรที่คอยบังคับพี่พรตเสมอ แต่มาวันนี้เขากลับมีท่าทางเหมือนเศร้ายิ่งกว่าใคร ตัวพี่พรตเองก็พูดกับพ่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่าเห็นได้ชัด

            “กลับมาแล้วก็พาน้องเขามากินข้าวที่บ้านนะ”

            คุณสุวัตรพูดพลางหันมามองทางผม สายตาที่เขามองมานั้นทำให้น้ำตาของผมรื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พี่พรตเองก็เหมือนชะงักไปครู่หนึ่งเช่นกัน

            “ขอบคุณครับพ่อ”

            คุณสุวัตรเอื้อมมือไปโอบไหล่พี่พรตอีกครั้งหนึ่งก่อนที่คุณพิมพ์ผากจะเข้ามาสวมกอดลูกชายของตนเองเช่นกัน ถึงจะเคยส่งพี่พฤตไปเรียนเมืองนอกแล้วหนึ่งคนแต่ก็คงไม่สามารถทำใจให้เคยชินได้ง่ายๆ

            “เดินทางปลอดภัยนะ”

            “ครับ”

            คนที่เดินมาหาอีกคนคือพี่พฤต เขามีทีท่าเหมือนมีอะไรอยากจะพูดมากมายแต่สุดท้ายเขาก็ทำเพียงแค่มองพี่พรตแล้วตบไหล่เบาๆ เท่านั้น

            “โชคดี”

            พี่พรตพยักหน้ารับพร้อมสวมกอดพี่ชายตัวเองเสียแน่น ก่อนจะผละออกมาและหันมาทางผม

            “พราน ไปแล้วนะ”

            ทั้งสีหน้าและแววตาของพี่พรตในตอนนี้ทำให้ผมน้ำตารื้นขึ้นมาอีกรอบอย่างห้ามไม่อยู่ ผมค่อยๆ เอื้อมมือเข้าไปหาพี่พรตแล้วโอบรอบตัวเขาแน่นพร้อมฝังใบหน้าของตัวเองไว้ที่ไหล่ของพี่พรต ผมได้ยินเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีของพี่พรตก่อนที่เขาจะกอดตอบผมแน่นกว่าเดินแล้วซบใหน้าลงกับไหล่ของผมเช่นกัน

            “ดูแลตัวเองดีๆ”

            ผมพยักหน้าทั้งที่ยังแนบอยู่กับไหล่ของเขา ผมอยากจะบอกเขาเช่นกันว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ แต่ในตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนจะพูดอะไรไม่ออกเลยครับ ผมกับพี่พรตกอดกันอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ก่อนพี่พรตจะเป็นฝ่ายผละออก ผมเงยหน้ามองเขา พยายามเก็บทุกรายละเอียดของพี่พรตไว้ให้ได้มากที่สุด

            “พี่พรตครับ”

            “...”

            “มีของมาให้”

            ผมหยิบสร้อยข้อมือเชือกถักออกมาจากกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ของชิ้นนี้ผมเป็นคนทำขึ้นเองหลังจากได้รับสร้อยข้อเท้าจากพี่พรต ผมตั้งใจทำให้มันเป็นเซ็ทเดียวกันโดยการใช้แพทเทิร์นและสีคล้ายกัน แต่ของพี่พรตจะสีสดกว่าเล็กน้อย

            ผมอาศัยจังหวะที่พี่พรตนิ่งไปค่อยๆ ดึงมือเขาเข้ามาหาแล้วสวมกำไลให้อย่างตั้งใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมคาดหวังมากเลยนะว่าอีกสามปีให้หลังผมจะยังได้เห็นสร้อยเส้นนี้อยู่บนข้อมือของเขา เมื่อผมผูกเสร็จเรียบร้อยพี่พรตก็ยกข้อมือตัวเองขึ้นไปพิจารณาและหันมายิ้มให้ก่อนจะทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน เขาบรรจงแตะริมฝีปากลงบนสร้อยข้อมือเส้นนั้นอย่างแผ่วเบาโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผม

            “ขอบคุณครับน้องพราน”

            เมื่อเห็นท่าทางนุ่มนวลและสายตาพราวระยับของพี่พรตแล้วผมก็แทบระเบิดตัวเองอยู่ตรงนั้น ส่วนพี่พรตก็อาศัยจังหวะที่ผมทำอะไรไม่ถูกเดินลากกระเป๋าออกไปทันที จากนั้นจึงหันหลังกลับมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในที่สุด ทิ้งให้ผมยังคงมองอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่เดิม




            เมื่อกี้พี่พรตแม่งโคตรเลว



            ...แต่ผมหยุดยิ้มไม่ได้เลย








---------------------------------------------------------------------------------------
จบแล้วววว รู้สึกแต่งมาหลายปี5555555555 ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
เป็นนักเขียนที่ไม่ดีเลย ให้ทุกคนรอแล้วรออีก ถถถถ ขอโทษจริงๆ ค่ะ ตอนที่เริ่มแต่งยังไม่เปิดเทอมปีหนึ่ง
พอเรียนแล้วรู้เรื่องเลยว่าการไม่มีเวลาจริงๆ เป็นยังไง555
เรื่องต่อไปอาจต้องสักพักเลยนะคะ กลัวว่าจะต้องอ่านๆ หยุดๆ แบบนี้กันอีก ถถถถถถถ


เดี๋ยวจะลงบทส่งท้ายกับจะลงตอนพิเศษให้สองตอนนะคะ ส่วนในเล่มจะมีตอนพิเศษเพิ่มมาอีกค่า รับรองฟินน


ขอบคุณทุกคนมากๆ อีกทีค่ะะ  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด