::: CHAPTER 26::: หลังจากลงค่ายมาสิ่งแรกมาสิ่งแรกที่ทำคือหาของกินครับ ตลอดห้าวันมานี้ผมไม่ค่อยได้กินอะไรเท่าไหร่ด้วยความที่อาหารบนค่ายนั้นไม่สามารถเลือกได้เพราะมันอยู่ไกลจนต้องขนอาหารกันไปเอง พอรถจอดลงหน้ามหาลัยแล้ว กลุ่มพี่พรตกับผมเลยตกลงกันว่าจะไปกินบุฟเฟ่ต์เนื้องย่างด้วยกันทันทีหลังจากช่วยพี่ๆ เก็บของจนหมด
“ไปด้วยกันป่ะโอม”
ผมลองชวนโอมไปด้วยเพราะไม่ค่อยอยากเป็นปีหนึ่งคนเดียวในกลุ่มนั้นเท่าไหร่ แต่ไอ้โอมกลับมีท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่อ่ะ ไม่อยากไปเป็นก้าง”
“เฮ้ยไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก พี่แม่งไปเยอะอ่ะ”
ไอ้โอมลังเล มันคงอยากไปเป็นเพื่อนแต่ในขณะเดียวกันก็กลัวผิดที่ผิดทางด้วยล่ะมั้ง มันหันซ้ายหันขวาก่อนจะชี้ไปทางไอ้แบงค์ซึ่งกำลังดึงเต็นท์ออกมาจากกองกระเป๋าที่พนักงานขับรถเพิ่งเอาออกมาวางไว้ให้
“งั้นชวนไอ้แบงค์ด้วย”
“เออ ได้ๆ”
หลังจากผมเอากระเป๋าและสัมภาระอื่นจากรถลงเรียบร้อยแล้วก็ไปช่วยรุ่นพี่ไลน์ของเข้าคณะต่ออีกสักพักหนึ่ง ผมเพิ่งมารู้เอาตอนนี้แหละครับว่าสัมภาระที่เอาไปด้วยมันมีเยอะขนาดไหน ผมกับเพื่อนต้องตั้งแถวส่งของกันไปจนถึงห้องเก็บของในคณะซึ่งมีรุ่นพี่คอยดูแลจัดการเอาของเข้าห้องเป็นหมวดๆ และถึงขนของเสร็จแล้วแต่ก็ต้องรอพวกพี่พรตออกมาจากห้องเก็บของอยู่ดี ผมเลยออกมานั่งรอหน้าประตูคณะกับโอมพลางมองคนเดินผ่านไปมาเรื่อยๆ แต่แล้วผมก็เห็นคนคู่หนึ่งเดินอยู่ด้วยกันไม่ไกลมากนัก ทำเอาผมต้องขมวดคิ้วหันไปจ้องอีกรอบให้แน่ใจ
...พี่พฤตกับไอ้แบงค์?!
ผมแทบอยากขยี้ตามองอีกครั้ง พี่พฤตมานี่ผมยังไม่ค่อยแปลกใจเพราะเขาอาจมากินข้าวแล้วรอกลับพร้อมพี่พรตเลย แต่ทำไมไปอยู่กับไอ้แบงค์ได้วะ
“ไอ้แบงค์!!”
เหมือนกับว่าคนที่สงสัยไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวเพราะไอ้โอมไม่รรอที่จะตะโกนเรียกมัน จนไอ้แบงค์ได้ยินแล้วเดินเข้ามาหาพร้อมพี่เขาด้วย ซึ่งเมื่อสังเกตเห็นผมพี่พฤตก็ยิ้มทักทายทันทีและผมก็ยกมือไหวตามมารยาท
“สวัสดีครับพี่พฤต”
“เฮ้ย มึงรู้จักพี่เค้าเหรอวะ” ไอ้แบงค์ถึงกับแทรกขึ้นมาทันที
“อ้าวก็พี่ชายพี่พรตไง มึงไม่รู้จักแล้วทำไมเดินมาด้วยกัน”
“คือ...” คราวนี้พี่พฤตเป็นฝ่ายตอบให้ “พอดีพี่เอารถไปจอดตึกข้างๆ แล้วเห็นน้องเขากำลังยกลังกลับไปคณะเลยช่วยถือไปไว้ห้องภาคนน่ะ”
“อ้อ แล้วพี่พฤตไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ”
“ไปสิ มีเรื่องอยากบอกพรตมันหน่อย...จริงๆ ก็จะมาบอกเราด้วยแหละ”
เอาล่ะสิ ทำไมผมรู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากลวะ ข่าวที่พี่พฤตถึงกับต้องมาบอกกับตัวนี่คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วล่ะมั้ง และด้วยความสงสัยผมเลยเอ่ยปากถามก่อนโดยไม่รอพี่พรตมาเจอเอง
“เรื่องอะไรครับ”
“ไว้บอกพร้อมไอ้พรตละกัน”
พี่พฤตตัดบทผมไปทั้งอย่างนั้น ผมเลยจำใจต้องเลิกสงสัยและรอจนกว่าพี่พรตจะมา ไอ้โอมเลยถือโอกาสแทรกถามไอ้แบงค์ทันที
“มึง ไปบุฟเฟ่ต์กันป่ะ”
“บุฟเฟ่ต์ไรวะ”
“เนื้อย่าง กับพวกพี่พรต”
“ก็ได้นะ”
ไอ้แบงค์ตอบตกลงโคตรเร็วและนั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นเยอะเลย ถึงจะมีทั้งเพื่อนพี่พรตและพี่พฤต ผมก็ยังมีเพื่อนร่วมรุ่นถึงสองคน เรายืนคุยเรื่องสัพเพเหระกันต่อจนกระทั่งพี่พฤตเรียกขึ้นมาก่อน
“ไอ้พรตมาแล้ว”
พวกเราเข้ามาในโต๊ะใหญ่สุดของร้านเนื้อย่านแถวมหาลัยที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คาดว่าคงเป็นพวกนักศึกษาที่อยู่หอแถวนี้แหละครับเพราะร้านค่อนข้างมีชื่อเสียงในแวดวงมหาลัยทั้งในแง่ของราคาและปริมาณ แต่อย่าคาดหวังอะไรกับรสชาติและคุณภาพเลยครับ มันไม่ใช่อาหารที่ดีเลิศอะไรเท่าไหร่แต่ถือว่าโอเคแล้วสำหรับการกินหลังกลับมาจากค่าย
สรุปพี่พฤตก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่ดี เพราะเมื่อเนื้อจานแรกมาเสิร์ฟทุกคนก็ช่วยกันคีบลงเตาอย่างขมักเขม้นและกินเอาๆ โดยไม่พูดไม่จากันเลยสักนิด พี่พรตเองก็เช่นกัน เขานั่งอยู่ข้างผมก็จริงแต่ไม่เสียสมาธิในการกินเลยสักวินาทีเดียว ตั้งใจกินเนื้อทุกชิ้นที่เข้าไปในปากและลิ้มรสอย่างจริงจังยื่งกว่าทำสตูเพื่อทดแทนช่วงเวลาที่อดมาทั้งสัปดาห์
อยู่บนค่ายมันไม่ได้หิวหรอกครับ แต่มัน’โหย’
เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยถ้ามาเห็นกลุ่มพี่พรตไม่พูดกันเหมือนในเวลานี้ ส่วนพี่พฤตเองก็เหมือนจะรู้สึกสนุกไปกับบรรยากาศแบบนี้ การที่ทุกคนกินเอาๆ จึงทำให้เขาจำต้องรับหน้าที่คีบเนื้อไปโดยปริยาย แต่พี่พฤตเองก็ดูไม่ได้เดือดร้อนเท่าไหร่เพราะมีร้อยยิ้มบางๆ ประดับริมฝีปากอยู่แทบทุกครั้งที่ผมเงยหน้าขึ้นมามอง จนผมอดคิดตามไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งสมัยเรียนเขาคงเคยขึ้นค่ายอาสาแบบนี้และกลับมาสวาปามกับเพื่อนเช่นกัน และบางทีเขาอาจคิดถึงบรรยากาศแบบนี้ไม่น้อยเลย
ช่วงชีวิตมหาลัย...สนุกนะ
แม่ผมชอบพูดประโยคทำนองนี้ให้ฟังบ่อยๆ ซึ่งผมเองก็พยายามใช้เวลาเหล่านี้อย่างคุ้มค่าและพยายามละเลียดและรับรู้ทุกเวลาที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าให้ได้มากที่สุด แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะรู้สึกได้ถึงความ ‘คิดถึง’ ในมุมมองของรุ่นพี่และคนที่เคยสัมผัสมาก่อนอย่างที่สายตาของพี่พฤตกำลังสื่อออกมา
เมื่อกินเนื้อเข้าไปพอสมควรแล้วพี่พรตก็เป็นคนเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน
“เออพี่พฤตมาทำไมอ่ะ”
“เดี๋ยวค่อยบอกละกัน”
“อ้าว” แต่พี่พรตเองก็ดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนักเพราะสายตายังคงอยู่ที่เนื้อในเตาเช่นเคย
“เออ แล้วค่ายเป็นไงบ้าง”
พี่พฤตชวนคุยเรื่องบนค่ายต่อซึ่งผมรู้ดีว่ามันเป็นการเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนมากกว่า และเมื่อเป็นแบบนี้ผมก็ได้แต่ตอบคำถามไปเรื่อยๆ
“ค่ายปีนี้สร้างไรวะ”
“เรือนครัวกับเรือนเก็บของครับพี่”
“สวยมะ”
“ก็จั่วธรรมดาแหละ”
“โห ตอนปีพี่นะ...”
ดูจากมุมนี้แล้วพี่พฤตที่ปกติจะดูเป็นคนเนี้ยบมาดดีเหมือนอยู่ในนิตยสารตลอดเวลาก็กลายเป็นคนปกติธรรมดาที่มีช่วงชีวิตมหาลัยที่น่าจดจำไม่แพ้คนอื่น เขาคุยอย่างเป็นกันเองจนไม่น่าเชื่อว่านี่ผมกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติกับสถาปนิกระดับผู้บริหารบริษัทสถาปนิกแนวหน้าของประเทศ
“ปีพี่แม่งโคตรเจ๋งอ่ะ”
“ปีหน้าก็ทำแบบนี้ดิ”
“โอเคครับ เดี๋ยวผมลองคิดดู”
พี่พฤตยังคงคุยเหมือนไม่ได้คุยมาหลายปี ในตำแหน่งผู้บริหารนั้นคงไม่ได้สนุกแบบนี้เท่าไหร่ ยิ่งได้เจอกับรุ่นน้องที่ไม่ใช่ในที่ทำงานแล้วคงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาละมั้ง วงเนื้อย่างดูคึกครื้นขึ้นมาทันทีเมื่อเริ่มพูดคุยกัน พี่พฤตดูกลมกลืนไปกับพวกพี่และผมเหมือนไม่มีรุ่นพี่ไม่มีรุ่นน้องเลยทั้งที่ถ้านับอายุแล้วพี่พฤตกับผมคงห่างกันมากพอสมควร แถมยังมีการสั่งเบียร์มากินเพิ่มกันยกใหญ่เหมือนลืมความเหนื่อยที่สะสมมาจากบนค่ายไปทั้งหมด
จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงคนในร้านก็เริ่มบางตาลง ผมมองนาฬิกาที่ผนังร้านซึ่งบอกเวลาห้าทุ่มแล้วก็อดรู้สึกกังวลขึ้นมาไม่ได้ว่าจะกลับบ้านไม่ทันเพราะรถไฟฟ้าปิดเที่ยงคืน
“เดี๋ยวผมต้องกลับแล้วนะครับ”
“อ้าว น้องพรานจะไปแล้วเหรอครับ”
“งั้นแยกวงเลยละกัน นี่ก็ดึกแล้ว”
พี่กรพูดพลางหยิบเงินในกระเป๋าออกมาเตรียมเรียบร้อย ด้วยความเป็นบุฟเฟ่ต์การหารเงินค่ากินเลยไม่ค่อยยุ่งยากเท่าไหร่และสามารถแยกย้ายได้โดยไม่เสียเวลามากนัก ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันกลับบ้านรวมถึงผม แต่แล้วพี่พฤตก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“พรานอย่าเพิ่งไป”
“ผมต้องรีบแล้วครับ เดี๋ยวรถไฟหมด”
“เอาน่าๆ แปปเดียว ถ้ารถหมดจะไปส่ง”
เมื่อเป็นแบบนี้ผมเลยต้องเดินกลับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เรายืนกันอยู่หน้าร้านซึ่งค่อนข้างมืดและยุงเยอะมาก ดังนั้นถึงจะคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องสำคัญผมก็แอบรู้สึกอยากให้พี่พฤตรีบบอกรีบกลับ
“พี่พฤตมีไรครับ”
“คือ...”
พี่พฤตเงียบไปพักใหญ่ โอเค ผมไม่อยากเร่งหรอกแต่ยุงแม่งกัดขาลายไปหมดแล้วครับ พี่พรตเองก็เหมือนอยากไปจากตรงนี้เหมือนกันเลยเร่งพี่ชายตัวเอง
“พูดเลยพี่พฤต”
“พ่อจะส่งพรตไปตั้งแต่เทอมหน้านะ”
“อะไรนะ”
“...”
ผมทวนคำด้วยความตกใจในขณะที่พี่พรตเงียบไปทันที อย่าว่าแต่พี่พรตเลยครับผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เหมือนตอนแรกก็ทำใจไว้แล้วว่าจะอยู่กับพี่พรตได้อีกหนึ่งเทอมจึงวางแผนสิ่งที่จะทำด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันไว้เรียบร้อยภายในช่วงสามเดือนที่เหลือและไม่ทันตั้งตัวว่ามันจะเร็วขึ้นหรืออะไรเลย
“พ่ออยากให้ไปเรียนภาษาก่อนเข้ามหาลัย”
“แล้ววิชาเทอมสองทำไง”
“พรตคงต้องลงเพิ่มตอนซัมเมอร์อีกตัวอ่ะ พี่ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ผมนึกสงสารพี่พรต ทำไมพ่อเขาต้องบังคับลูกตัวเองถึงขนาดนี้ ทั้งที่พี่พฤตและพี่พรตก็ไม่ได้ทำตัวเหลวไหลอะไร ผมไม่ยอยากคิดเลยว่าตอนพี่พฤตเรียนนี่คงโดนเยอะเท่านี้หรือดีไม่ดีอาจมากกว่าพี่พรตด้วยซ้ำ
พี่พรตเงียบไปนานจนผมต้องเอื้อมมือไปจับมือเขาไว้เสียเอง พี่พรตเป็นแบบี้อีกแล้ว และผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากให้กำลังใจเขาเพราะผมก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้อยู่แล้ว ไม่มีใครทำได้นอกจากตัวคุณสุวัตรเองแล้วล่ะครับ ไม่มีใครจะเปลี่ยนเขาได้แน่นอนนอกจากตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามผมจะพยายามช่วยพี่พรตให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน
ผมเห็นพี่พฤตมองผมกับพี่พรตด้วยสายตาเหมือนอึดอัดอยู่ครู่หนึ่งเหมือนไม่รู้จะวางตัวอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดีจนในที่สุดจึงทำลายความเงียบเสียเอง
“พราน งั้นพี่ไปสูบบุหนี่แปปนึงนะ”
[พฤต] ทันทีที่เดินเลี้ยวมาถึงมุมตึกแล้วผมถึงกับถอนหายใจยาวออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมเกลียดเวลาที่ตัวเองต้องทำอะไรแบบนี้ที่สุด ต่อให้คนที่โง่ที่สุดคงรู้ในทันทีว่าผมไม่ได้ออกมาสูบบุหรี่ห่าเหวอะไรหรอก แค่บรรยากาศเมื่อกี้มันทำให้รู้สึกผิดที่ผิดทางซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ผมพยายามเลี่ยงอย่างสุดความสามารถ ยิ่งเห็นสีหน้าของน้องนายพรานที่มองไอ้พรตแล้วผมยิ่งรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง
...แม่งเอ๊ย กูทำอะไรผิดหรือเปล่าวะ
ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด พับแขนเสื้อไปถึงศอก ดึงชายเสื้อออกนอกกาเกงและปลดกระดุมเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตเพื่อระบายความอึดอัดทั้งที่รู้ว่ามันคงไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตามแต่ผมก็ทำแบบนี้ในทุกครั้งที่อึดอัดอยู่ดีแหละครับ จากนั้นผมก็หยิบบุหรี่กับไฟแช็กขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ความจริงผมไม่อยากมาสูบบุหรี่ในสถานการณ์และสถานที่แบบนี้หรอกนะแต่ด้วยความี่เกลียดการโกหกมากกว่าเลยต้องขอสูบให้มันเป็นความจริงเสียหน่อย
ผมจุดบุหรี่แล้วเก็บไฟแช็กเข้ากระป๋าอย่างคล่องแคล่ว ผมกล้าพูดเลยว่าสามารถทำกริยานี้ได้อย่างอัตโนมัติเหมือนกับการเขียนแบบ ผมรู้ดีว่าภาพลักษณ์ตัวเองไม่เหมือนคนสูบบุหรี่จัดสักเท่าไหร่แต่ถ้าใครเจอผมบ่อยๆ ก็จะรู้ไปเองในที่สุด
ครืด ครืด ...ใครโทรมาตอนนี้วะ
ผมดึงโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าอีกข้าง คนที่จะโทรมาหาผมมันก็มีไม่กี่ประเภทนั่นแหละครับ บางครั้งผมก็รู้สึกเบื่อจนไม่อยากรับสายสักแต่ถ้านับเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่มันก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน
“ครับ”
[พี่พฤต นี่นาเองนะคะ พรุ่งนี้เจอกันกี่โมงดีคะ]
...พรุ่งนี้กี่โมงคือเชี่ยไรวะ
“อ่า...พรุ่งนี้พี่ไม่ค่อยว่างแล้วน่ะครับ พอดีมีงานด่วนเข้ามา”
[อ้าว โห นาก็อุตส่าห์ตื่นเต้นแทบตาย]
“พี่กำลังจะโทรไปบอกเราพอดีน่ะ ขอโทษจริงๆ ครับ ไว้วันหลังนัดกันใหม่นะ”
...เฮ้อ
ถ้าผมถอนหายใจมากไปกว่านี้ผมต้องแก่ลงเป็นห้าปีสิบปีแน่ครับ ผมเก็บมือถือเข้าที่เดิมแล้วเริ่มสูบบุหรี่ต่อ ผู้หญิงชื่อ ‘นา’ คือใครวะ รู้สึกจะเป็นคนที่...ผิวขาวหน่อย...ผมสั้น...สีน้ำตาลเข้ม ถูกมั้ยวะ แล้วตาล่ะ...ตาโต จมูกรั้นนิดๆ ...ปากบาง...มีอะไรอีกวะ อ้อ ตัวสูงและผอม...ชอบถือกระเป๋าอะไรนะ...อ้อ...กระเป๋าสีดำของโค้ช...โอเค...ชอบใส่เดรส...ใช่ นั่นแหละ คนนี้เลย
...นึกออกแล้ว
ผมไม่ใช่คนที่จำชื่อใครได้แม่นเท่าไหร่ อย่างถ้ามีใครมาถามผมว่าจำคนชื่อนั้นชื่อนี้ได้หรือเปล่าผมจะคิดไม่ออก แต่เมื่อให้เวลาผมในการค่อยๆ ประกอบความจำสักเล็กน้อยผมถึงจะนึกออก หลายครั้งเลยที่ผมมักจะแทนคนอื่นด้วยสรรพนามเนื่องจากคิดไม่ทันจริงๆ แต่ถ้าไปเจอหน้ากันตัวต่อตัวนี่ผมจะไม่มีปัญหาเลย
ระบบความคิดของผมไม่ได้จำเป็นสิ่งนี้เท่ากับสิ่งนี้แต่เป็นเหมือนจำเป็นเศษๆ แล้วค่อยประกอบกันนั่นแหละครับ มันไม่ได้เป็นอาการอะไรหรอกแต่เป็นเพียงกลไลการจำอย่างหนึ่งของสมอง แค่มันทำให้ผมเจอสถานการณ์โป๊ะแตกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เช่นการจำชื่อลูกค้าคนสำคัญไม่ได้แล้วต้องใช้เวลากว่าจะค่อยๆ เรียบเรียงว่าเขามีลักษณะแบบไหน ซึ่งกว่าผมจะจำได้คู่สนทนอาจเปลี่ยนเรื่องไปแล้วด้วยซ้ำ
...อย่างน้องพรานก็เหมือนกัน
ไอ้พรตมันไม่เคยรู้หรอกว่าตอนมันบอกว่ามีแฟนแล้วนั้นผมถึงกับไปตามหารูปน้องพรานมานั่งจำเหมือนเป็นโรคจิตเพื่อที่เวลาพรตหรือใครพูดถึงจะได้มีภาพขึ้นมาในหัวทันที ในมือถือของผมจึงต้องมีโฟลเดอร์รวมรูปคนที่ผมมีความจำเป็นจะต้องจำได้ทันทีเมื่อใครพูดชื่อเอาไว้และคอยเอามาทบทวนเสมอๆ ไม่ค่อยมีใครเข้าใจความยากลำบากส่วนนี้ของผมเท่าไหร่หรอกครับ
ผมมองบุหรี่ที่ถืออยู่ในมืออย่างเหม่อลอย พยายามคิดว่าผมทิ้งช่วงออกมานานพอหรือยังสำหรับไอ้พรตกับน้องพราน นี่ผมควรทำเป็นสูบต่อไปเรื่อยๆ หรือเอากระเป๋าของทั้งสองคนขึ้นรถแล้วแยกกันกลับบ้านเลยดีวะ ความจริงผมอยากกลับตอนนี้เดี๋ยวนี้เลยเพราะผมนอนน้อยมาหลายคืนแล้วและวันนี้เป็นวันส่งมอบแบบให้ลูกค้า กินข้าวก็เสร็จแล้วด้วยเลยทำให้ความเหนื่อยที่สะสมมามันเลยประดังกันเข้ามาอย่างเต็มที่
‘ปึก’
...เสียงไรวะ
ผมแทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเหมือนของกระทบผนังซึ่งอยู่ห่างจากผมไม่มากนัก ผมค่อนข้างมั่นใจนะว่าตอนมายืนตรงนี้ยังไม่มีใครและผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะเจอใครมากกว่านี้แล้ว แค่ออกมารับไอ้พรตก็รูสึกว่าจะเจอคนในคณะมากพอสำหรับวันนี้ ผมมองบุหรี่ที่เหลืออยู่เกือบเต็มมวนแล้วแอบเสียดายนิดหน่อยที่ต้องดับมันลงไปเพราะเห็นทีผมคงต้องเป็นฝ่ายหนีจากตรงนี้แล้วล่ะ
แต่ก่อนที่จะได้ขยับตัวอะไรผมกลับได้ยินเสียงจูบอย่างดูดดื่มดังตามขึ้นมาทำเอาผมแอบขมวดคิ้วไม่ได้ แน่ล่ะ...เขาไม่รู้หรอกว่ามีคนยืนอยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ทำเสียงดังไม่เกรงใจใครขนาดนี้ และความที่เขาไม่รู้นี่แหละทำให้ผมไม่กล้าขยับตัวสักมิลเดียว แม่งกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมต้องยืนอยู่ตรงนี้ทั้งที่อยากลับบ้านจะตายห่าอยู่แล้ว
แล้วทำไมมันเริ่มมีเสียงหอบปนวะ
“พี่ ตรงนี้อีกสิ อืม...”
...เดี๋ยว ทำไมเสียงโคตรคุ้น
ผมมั่นใจมากว่าเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนแน่นอนแต่ผมนึกไม่ออกหรอกนะครับว่าใครเพราะนั่นเกินความสามารถผมไปมาก แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้ผมค่อยๆ ขยับตัวอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงและค่อยๆ พาตัวเองไปตามต้นกำเนิดเสียง ผมสูดหายใจลึกด้วยความตื่นเต้นเมื่อเริ่มเห็นเงาของคนสองคนพาดลงนกำแพง
...ผู้ชาย?
ผมเขยิบเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนกระทั่งเห็นทั้งสองคนชัดเจน คนหนึ่งยืนพิงผนัง สีหน้าดูเหนื่อยมากเสื้อนักศึกษาหลุดลุ่ยและหอบไม่หยุดส่วนอีกคนยืนหันหลังให้ผมและคลอเคลียอีกฝ่ายไม่หยุด ผมไล่สายตากับไปมองที่ใบหน้าของคนพิงกำแพงอีกครั้งและเริ่มเก็บองค์ประกอบมาต่อกัน...ผมสีน้ำตาเข้ม...ตาตี่สไตล์ลูกคนจีน...แว่นกรอบดำ...ไม่อ้วนไม่ผอม...อือ คุ้นจังวะ...กางเกงสีดำถูกระเบียบ ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาประกอบภาพนี้นานเท่าไหร่แต่เมื่อได้ภาพคร่าวๆ ในหัวแล้วผมก็เกือบหลุดอุทานออกมา
...นี่มันเด็กที่ผมช่วยยกลังให้เมื่อเช้า อย่าพูดถึงชื่อเลยเพราะถึงจะเพิ่งเจอกันมาเมื่อกี้ผมก็จำได้แค่ว่าชื่อเขามีตัวอักษรง.งู และไม่รู้ว่าเป็นอักษรตัวหน้าหรือหลังด้วย แต่ที่มั่นใจมากคือเขาเป็นเพื่อนน้องนายพราน
ที่ผมจำได้อีกอย่างคือเขาโคตรเรียบร้อยโคตรสุภาพและดูสะอาดสอ้าน แต่งตัวตามกฎมหาลัยจากหัวจรดเท้าอย่างที่หาได้ยากยิ่งในคณะ เขาพูดครับกับผมทุกคำจนผมเองแทบรู้สึกเกรงใจแทน ผมค่อนข้างมั่นใจนะว่าเป็นคนเดียวกัน การคิดด้วยการนำองค์ประกอบหลายๆ อย่างมารวมกันแบบนี้ของผมมักจะถูกต้องแม่นยำ ผมจึงมั่นใจเต็มที่ว่าคนๆ นี้เป็นคนเดียวกัน แต่เมื่อตัดภาพมาที่ผู้ชายหน้ายืนหอบกับเสื้อผ้าหลุดลุ่ยพร้อมคำพูดคล้ายเชิญชวนแบบนี้แล้วแม่งทำลายภาพจำของผมที่มีต่อเด็กคนนี้ไปหมดเลย
คนเราแม่ง...รู้หน้าไม่รู้ใจ
ผมโคลงศีรษะให้กับความเสือกของตัวเอง เขาจะทำตัวผิดจากรูปลักษณ์มันก็ไม่ผิดอะไรหรอก ผมแค่ตกใจเองเพราะเคยคุยกัน แต่ก็นั่นแหละครับ ผมควรออกไปหาไอ้พรตกับน้องนายพรานแล้ว แล้ะเมื่อคิดได้อย่างนี้ผมจึงค่อยๆ ก้าวกลับไปอย่างระมัดระวังเหมือนตอนเดินเข้ามา แต่ใครจะไปรู้ละครับว่าเท้าของผมจะ...
‘แกร๊บ’
“เฮ้ย ใครอยู่ตรงนั้นวะ?!”
------------------------------------------------------------------
มาแล้ววว พี่พฤตก็มาด้วยย
เป็นช่วงอาทิตย์ที่หนักหน่วงมากเลยค่ะ เพิ่งส่งงานชิ้นแรกไป
ขอไปปั่นงานชิ้นที่สองก่อนนะคะ 55555