:: CHAPTER 24 :: “พรุ่งนี้พี่พรานไปค่ายเหรอ”
ผมเงยหน้ามองใบพลูที่กำลังยืนพิงวงกบประตูห้องนอนแล้วกวาดสายตามองข้าวของที่วางกระจัดกระจายเต็มพื้นซึ่งผมกำลังพยายามยัดลงกระเป๋าหูหิ้วที่ขนาดไม่ใหญ่มากอยู่ ผมออกแรงม้วนเสื้อแล้วอัดมันลงก้นกระเป๋าได้ในที่สุด ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อแพคเสื้อทุกตัวลงเรียบร้อย ยอมรับเลยว่าการจัดกระเป๋านี่ทำให้ผมบรรลุศาสตร์ของการจัดของแล้วล่ะครับ และหลังจากจัดการเสื้อตัวสุดท้ายเสร็จแล้วผมจึงเริ่มให้ความสนใจคนที่ยืนอยู่ต่อหน้า
“อืม ออกเช้าเลย”
ใบพลูหรี่ตามองผมเหมือนจะจับผิด คงผิดวิสัยนิดหน่อยเพราะแต่ไหนแต่ไรมาพอปิดเทอมผมก็หมกตัวอยู่บ้านตลอด
“ไม่น่าเชื่อ อย่างพี่พรตเนี่ยนะจะไปค่าย”
“เห็นแบบนี้ก็ทำกิจกรรมนะเว้ย”
ผมตอบอย่างอวดๆ พร้อมส่งยิ้มให้ ทำเอาพลูถึงกับหัวเราะ
“ไปเพราะพี่พรตมากกว่ามั้ง”
“เบื่อคนรู้ทัน”
ผมย่นจมูกให้พลู มันก็จริงล่ะครับ ตั้งแต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่ค่อยทำกิจกรรมส่วนรวมอะไรเท่าไหร่หรอก ยิ่งตอนม.ปลายผมแทบจะจำศีลที่บ้าน พอเข้ามหาลัย การไปรับน้องนี่ถือว่าทำกิจกรรมสุดชีวิตผมแล้วล่ะครับ ซึ่งโดยรวมก็ชอบนะ แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นปิดเทอมสุดท้ายของพี่พรตก่อนไปเรียนต่อผมคงไม่ไปค่ายแน่นอน
“พี่พรตเป็นไงบ้าง”
“ก็ไม่เห็นอะไรเลย”
“อือ พี่พรตคงทำใจไแล้ว”
“คงอย่างนั้นแหละ”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย ผมยังรู้สึกโหวงอย่างอดไม่ได้เมื่อคิดว่าเทอมหน้าเขาก็ไม่อยู่แล้ว แต่ตัวพี่พรตเองกลับดูนิ่งกว่าผม หลังจากคืนนั้นที่ไปร้านเหล้าเขาก็ไม่เคยแสดงอาการอะไรอีกเท่าไหร่ จนถึงเมื่อวันก่อนนั่นแหละที่เขาเดินมาบอกผมว่าจะไปค่ายและอยากให้ผมไปกับเขาด้วย พูดตรงๆ คือผมขี้เกียจ แต่พี่พรตชวนขนาดนี้แล้วก็ต้องไปละครับ มันคงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ไปค่ายกับเพื่อน
“ดูแลพี่พรตด้วยนะ”
“อือ”
“พี่พรตชอบดูพระอาทิตย์ตก”
“อือๆ”
ผมรับคำในลำคออย่างไม่ค่อยมีสมาธิในขณะที่ก้มหน้าก้มตาจัดของตามเดิม มีกางเกงอีกห้าตัวที่ผมยังไม่ได้ยัดลงไปทั้งที่กระเป๋าก็ใกล้จะเต็มแล้ว ผมเลยต้องขุดผ้าเช็ดตัวออกมาเปลี่ยนรูปแบบการจัดอีกรอบ ผมม้วนแทนพับ พับแทนม้วน สลับลองไปเรื่อย การจัดของนี่แม่งโคตรยุ่งยาก
“พี่พรตย้ำมาว่าชอบพอๆ กับพี่พรานเลย”
“อือ...เห้ย คุยกันอยู่เหรอ”
“ฮ่าๆๆ ไม่อยากจะอวด แต่ช่วงนี้พี่พรตคุยกับพลูทุกวัน”
ใบพลูหัวเราะพร้อมชูหน้าจอโทรศัพท์ให้ผมดู และด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมก็รีบลุกไปคว้ามือถือของพลูมาเลื่อนดูเอง แชทพี่พรตในเครื่องพลูโคตรเยอะ ดีไม่ดีจะเยอะกว่าในเครื่องผมด้วยซ้ำ ผมไล่ดูไปเรื่อยๆ เกือบทุกครั้งพี่พรตเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะเริ่มอ่านผ่านๆ
‘น้องพลูครับ พรานชอบกินอะไรเหรอ’
‘ใบพลูแอบถามให้หน่อย พรุ่งนี้พี่พรานว่างรึเปล่า’
‘ไม่ต้องบอกพรานนะว่าพี่ถาม’
‘บอกพรานให้หน่อยว่าพี่พรตชอบดูพระอาทิตย์ตก’
ผมกัดปากตัวเองเบาๆ หน้าร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ...เขินว่ะ พี่พรตแม่งมีมุมแบบนี้ด้วย
“พี่พรตนี่ดูชอบพี่พรานมากเลยนะ”
ใบพลูยังแซวไม่หยุดทั้งที่เห็นอยู่กับตามว่าผมหน้าแดงไปถึงหูแล้ว แม่งจงใจแกล้งผมทั้งน้องทั้งพี่พรตเลยเว้ย ผมส่งมือถือคืนพลู พยายามไม่สบสายตาที่มองมาด้วยสายตาล้อเลียนและทำเป็นจัดกระเป๋าต่อเรื่อยๆ ทั้งที่ใจเต้นเหมือนจะออกจากตัวให้ได้ ใบพลูเงียบไปครู่หนึ่งจนผมนึกว่าออกจากห้องไปแล้วด้วยซ้ำแต่แล้วน้องก็พูดขึ้นมาอีกรอบ
“เออ เนี่ย เทอมหน้าพี่พรตก็ไปเมืองนอกแล้ว”
“อือ รู้แล้ว”
ทำไมพลูต้องยกประเด็นนี้ขึ้นมาอีกครั้งด้วยวะ ผมขวดคิ้วกับตัวเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ยังคงก้มหน้าก้มตาจัดของต่อไปตามปกติพร้อมเตือนตัวเองในใจซ้ำๆ ...ผมจะไม่เงยหน้าขึ้นไปเด็ดขาด ผมจะไม่เงยหน้าแน่นอน ผมต้องโดนล้อหนักกว่าเดิมและไม่รู้จะทำยังไงให้คนพวกนี้เลิกแกล้งผมเสียที
“เทอมหน้าแล้วนะ”
“อือ”
“เมืองนอกเลยนะ”
“...”
สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายยอมเงยหน้าขึ้นมาเพื่อตัดรำคาญ ไม่รู้ใบพลูเอาการพูดย้ำๆ ซ้ำๆ มาได้ยังไงแต่ผมโคตรแพ้การทำแบบนี้ ผมเลิกพันผ้าเช็ดตัวแล้วเงยหน้าขึ้นมาตั้งใจฟังแทน ต้องเป็นไอ้พี่พรตคอยเสี้ยมอยู่ในไลน์แน่ๆ ไม่อย่างนั้นใบพลูคงไม่มีนิสัยร้ายกาจแบบนี้หรอก
“อะ ว่ามา”
ใบพลูหลุดยิ้มเมื่อได้รับความสนใจก่อนจะพิมพ์มือถืออย่างรีบร้อน นั่งไงผมว่าแล้ว พี่พรตแม่งกำลังบงการอยู่ในไลน์ชัวร์ๆ จากนั้นใบพลูเงยหน้าขึ้นมาอีกที
...ผมสังหรณ์ใจไม่ดีเลยว่ะ
“ว่ามา พี่พรตพูดอะไรบ้าง”
ใบพลูกระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที “นี่พี่พรานรู้ใจพี่พรตขนาดนี้แล้วเหรอ”
“เออน่ะ ว่าไรบ้าง”
“พี่พรตบอกว่า”
“...”
“พาไปดูพระอาทิตย์ตกด้วยนะ”
กว่าจะมาถึงค่ายได้ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ผมยกมือขึ้นบิดขี้เกียจทันทีหลังจากวางสัมภาระและถุงนอนลง แม่งแบกมานานมากครับเพราะเป็นทางขึ้นเขาและไม่มีรถเข้าไปส่ง หลังจากมาถึงและประชุมรวมกันแล้วผมเลยได้มาเดินตรงลานกว้างซึ่งได้มีการกั้นเป็นสัดเป็นส่วนแยกออกมาจากส่วนอื่นเรียบร้อย ผมเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับเป็นที่หลับนอนไปตลอดอีกห้าวันที่เหลือ ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆ ก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่สำคัญอยู่เหมือนกัน
“ตรงนี้เลยมึงๆ”
“เออ ได้ๆ”
ไอ้โอมรับคำก่อนจะก้มลงไปเปิดถุงเต็นท์ที่ช่วยกันหิ้วมา ผมนั่งยองๆ ลงตามมันแล้วช่วยดึงโครงเหล็กออกมาทีละท่อนก่อนจะตามด้วยผ้าใบผืนใหญ่ ชีวิตนี้ไม่เคยกางเต็นท์เองเลยครับ บอกตรงๆ ว่าโคตรตื่นเต้น ผมพยายามมองหาเต็นท์เพื่อนบ้านเพื่อจะได้ศึกษาว่าเขาเริ่มกางกันอย่างไร
“เฮ้ยพราน โอม มึงอยู่ตรงนี้ใช่ป่ะ งั้นกูกางข้างๆ นะ”
“เออได้ๆ มาช่วยกูกางด้วย”
ความรู้สึกตอนนี้เหมือนมีพระมาโปรด ผมมองไอ้โจ้ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมเซคด้วยสายตาชื่นชม
“กูก็ไม่เป็น
“อ้าวเวร”
สุดท้ายก็ไม่มีปฏิหารย์ใดๆ เกิดขึ้นกับผมและโอม สุดท้ายพวกเราเลยได้แต่ช่วยกันมองเต็นท์ที่อยู่ถัดไปสองสามหลังแทนเพื่อดูวิธีการตั้ง เราช่วยกันแผ่ผ้าใบเต็นท์ลงบนพื้นแล้ววางโครงเหล็กไขว้กัน ก่อนจะค่อยๆ หนีบพลาสติกริมเต็นท์ให้เข้ากับโครงเหล็กเป็นระยะๆ พอมาถึงขั้นตอนนี้ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วล่ะว่าจะประกอบต่ออย่างไร ผมกับโอมนั่งติดผ้าใบเข้ากับโครงเรื่อยๆ จนครบ แล้วเริ่มตั้งโครงขึ้นมา
“เชือกนี้ไว้ทำไรวะ”
ผมหยิบเชือกที่ติดตรงกลางผ้าใบขึ้นมาอย่างสงสัย มันเป็นเชือกสองเส้นเล็กๆ ไม่ยาวมาก เชื่อมกับผ้าและอยู่ในตำแหน่งเดียวกับจุดที่โครงเหล็กไขว้กันพอดี และจากการคาดเดาของผมคิดว่าด้วยความยาวเท่านี้ตำแหน่งนี้มันต้องเอาไว้ผูกยึดกลางโครงแน่ๆ
“ไอ้โอม แบบนี้ป่ะวะ”
ผมลองผูกเชือกนั้นเข้ากับโครงและมันก็ดูเหมือนจะถูกต้องอยู่นะครับ ไอ้โอมเดินมามองใกล้ๆ อย่างพิจารณาแล้วหันไปเทียบกับเต็นท์ข้างๆ แล้วพยักหน้า
“กูก็คิดงั้นนะ กูไม่เห็นละพวกไอ้วินก็ตั้งเสร็จแล้ว”
“เออๆ งั้นดัดเลยละกัน”
ผมกับโอมจัดการเอาปลายโรงเหล็กเสียบเข้ากับตัวยึดพื้นครบทั้งสี่ด้านแล้วเอาปลยด้านหนึ่งปักยึดกับดินในขณะที่ไอ้โอมอ้อมไปฝั่งตรงข้าม แล้วดัดโค้งเพื่อเอาปลายอีกด้านหนึ่งไปปักดินเช่นกัน ผมอดจับโครงหล็กไว้ไม่ได้เมื่อเริ่มรู้สึกว่ามันโค้งมากจนฝืน
“เห้ยไอ้โอม มันจะไม่เป็นไรเหรอวะ”
“เออ ไม่เป็นไรหรอกน่า มันก็ต้องโค้งแบบนี้”
ผมมองไอ้โอมดัดโครงต่อ ในใจเกิดกังวลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ก็เห็นอยู่กับตาว่ามันดูเหมือนจะฝืนมากแล้วแต่ไอ้โอมก็ยังพยายามโค้งให้ปลายโครงปักลงดินอยู่ดี
“ไอ้โอม กูว่า...”
‘เป๊าะ’
“ไอ้เชี่ย!”
ทั้งผมและโอมอุทานออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มองอดีตโครงเต็นท์ที่ตอนนี้กลายเป็นซากอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว ผมก้มลงพิจารณารอยหักของมันอยู่พักใหญ่และค้นพบว่าไม่มีวิธีเชื่อมอะไรเลยจริงๆ เนื่องจากพลาสติกแตกเป็นผง ผมแอบเข้าข้างตัวเองนิดหน่อยว่าส่วนหนึ่งที่มันหักก็คงเพราะพลาสติกเปราะเองด้วยมั้งเลยรับแรงดึงมากไม่ได้เท่าที่ควร
“มึง กูว่าเราลองประกอบให้เสร็จกันก่อนมั้ยวะ”
“เออได้”
จากนั้นผมกับโอมก็ช่วยกันประกอบเต็นท์ต่อไปจนจบขั้นตอน โชคดีหน่อยที่โครงอีกเส้นไม่ได้หักไปด้วย แต่การโรงด้านหนึ่งหักก็ทำให้เต็นท์ของผมกับโอมมีรูปทรงไม่เหมือนเต็นท์สักเท่าไหร่ มันดูเป็นฟรีฟอร์มเหมือนสถาปัตยกรรมของซาฮ่า ฮาดิด ซึ่งเป็นสถาปนิกระดับเจ้าแม่ที่ทำอาคารรูปทรงแปลกตาเป็นเอกลักษณ์และมีพื้นที่ภายในที่แปลกใหม่ แต่เต็นท์ผมไม่ใช้แบบนั้นเว้ย ผมต้องการแค่ที่นอนไม่ได้ต้องการให้อลังการอะไรเลย และตอนนี้มันดูเหมือนจะนอนไม่ได้
“มึงว่ามันนอนไหวมั้ยวะ”
“เดี๋ยวกูเข้าไปดู”
ไอ้โอมคลานเข้าไปภายในเต็นท์ก่อนจะตอบกลับมาว่าพอนอนไหว ผมขมวดคิ้วชั่งใจ มันดูเหมือนจะนอนไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น แต่เอาเถอะ ไอ้โอมบอว่าได้ก็คงได้แหละ และเมื่อคิดอย่างนั้นผมจึงทยอยส่งกระเป๋าสัมภาระที่วางนอกเต็นท์เข้าไปโดยมีไอ้โอมคอยจัดพื้นที่ด้านไหนอยู่ ผมส่งของเข้าไปจนครบและรอไอ้โอมคลานกลับออกมา แต่แล้วระหว่างนั้นก็มีมือหนึ่งมาจับบ่าผมไว้
“เต็นท์นายเป็นไรอ่ะ”
...ไอ้พี่พรต
คนๆ นี้แม่งมาโคตรได้จังหวะ ผมมองใบหน้าด้านข้างของพี่พรตที่ไม่หันมาทางผมแต่กำลังมองเต็นท์แทน จากนั้นก็ต้องขมวดคิ้วเพราะเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่ไว้หน้าเจ้าของเลยสักนิด
“ฟอร์มแม่งโคตรเฟี้ยว ฮ่าๆๆๆ”
“...”
“สเปซข้างในต้องดีแน่ๆ”
“พอเลยพี่พรต”
ผมปรามเขาเบาๆ กูเครียดอยู่นะครับพี่พรต! ถ้าต้องย้ายไปนอนเต็นท์คนอื่นแม่งเบียดแน่ๆ เพราะทุกคนจับกลุ่มนอนกันเรียบร้อยตั้งแต่ที่กรุงเทพฯ แล้ว คงไม่มีใครเอาเต็นทำรองมากันหรอกครับ ถ้าจะต้องไปอาศัยคนอื่นจริงๆ คงต้องไปนอนกับพวกที่มีเต็นท์หลังใหญ่ๆ คนเยอะๆ นั่นแหละ
“ไปนอนกับกูป่ะ”
“ได้ไงล่ะ พี่พรตนอนกับพี่กรแล้ว ไปอีกก็เบียด”
“...ก็จริง”
พี่พรตพึมพำออกมาเป็นเชิงว่าเห็นด้วย ทำเอาผมอดโล่งใจไม่ได้ว่าอย่างน้อยเวลาที่ผมกำลังตัดสินใจเขาก็ทำตัวว่านอนสอนง่ายขึ้นมา
“เฮ้ย เหมือนเต็นท์กูจะมีโครงสำรองอยู่อันนึง”
ผมกับไอ้โอมหันไปมองพี่พรตทันทีอย่างมีความหวังขึ้นมา
“แต่ต้องตอกสมอบกเอานะ ไปหาค้อนมาเดี๋ยวทำให้”
ผมหยักหน้ารับก่อนจะไปขอค้อนจากเพื่อนที่กำลังรื้อของออกจากลังพอดี จากนั้นก็วิ่งกลับมาที่เต็นท์ทันที เลยได้เห็นพี่พรตกำลังต่อโครงใหม่ให้อย่างเชี่ยวชาญ ผมมองพี่พรตที่กำลังก้มหน้าก้มตาซ่อมอย่างขมักเขม้นก็ได้แต่ยิ้มออกมา ผมแทบไม่เคยได้เห็นพี่พรตที่โคตรกวนตีนมีท่าทางตั้งใจขนาดนี้และทำให้พี่พรตแม่งดูดีขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่า รับรองว่าพลูมาเห็นนี่คงกรี๊ดลั่นลานไปแล้ว
พอนึกถึงใบพลูและพี่พรตในคราบผู้ชายในอุดมคติแล้วผมเลยรีบส้งค้อนไปให้ไอ้โอมถือแทนแล้วดึงมือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็แอบถ่ายรูปพี่พรตเอาไว้แบบรัวๆ เพื่อะส่งไลน์ไปอวดน้องสาวผู้คลั่งไคล้ แต่โชคคงไม่เข้าข้างผมสักเท่าไหร่เพราะไอ้พี่พรตดันเงยหน้าขึ้นมาขอค้อนพอดี ทำเอาผมต้องรีบเก็บมือถือ แต่ก็นั่นแหละครับ ยังไงก็เก็บไม่ทันสายตาเจ้าตัวอยู่ดี พี่พรตมองผมยิ้มๆ ก่อนพูดขึ้นทันที
“เดี๋ยวนี้นายแอบถ่ายเราด้วยอ่ะ”
“...”
“เรามีค่าตัวนะรู้มั้ย”
ผมถลึงตาใส่ด้วยความหมั่นไส้ เมื่อกี้ยังทำตัวหล่อๆ อยู่เลย ไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาเป็นภาคปกติเสียแล้ว ผมส่ายหน้าอย่างเสียดายก่อนจะเอาค้อนในมือโอมส่งให้พี่พรตทันที
“ทำงานไป”
“จ่ายค่าตัวด้วย”
“เออน่าๆ”
ดูจากสีหน้าไอ้โอมแล้วมันคงรู้สึกเหมือนมาอยู่ผิดที่ผิดทางยังไงไม่รู้ ผมรู้สึกสงสารมันขึ้นมาเลยพยายามตัดบทไอ้พี่พรตให้อย่างสุดความสามารถ แต่เหมือนอีกฝ่ายกลับต่อความยาวเสียอย่างนั้น
“คิดยังว่าจะจ่ายเป็นอะไร”
รอยยิ้มกรุ้มกริ่มและดวงตาที่มองมาอย่างมีความหมายทำเอาผมเริ่มทำตตัวไม่ถูกอีกรอบ ผมเหลือบมองไอ้โอมที่มองมาอย่างล้อเลียนแล้วรู้สึกโคตรเสียฟอร์มที่โดนพี่พรตแกล้งอะไรแบบนี้ต่อหน้ามัน ผมจึงสูดหายใจลึกๆ เพื่อเรียกสติตัวเองกลับมาและควบคุมอารมณ์ใหกลับเป็นปกติอีกครั้ง ผมเรียบเรียงคำตอบในหัวตัวเองพักหนึ่งก่อนจะโพล่งออกไปโดยไม่ลังเล
“เดี๋ยวพาไปดูพระอาทิตย์ตก จบนะ”
ผมนัดไอ้พี่พรตเอาไว้ตอนใกล้หกโมง โชคดีหน่อยที่วันนี้เป็นวันแรกของค่ายผมเลยยังไม่ได้มีหน้าที่ทำอะไรจึงสามารถใช้การดูพระอาทิตย์ตกมาล่อพี่พรตได้เต็มที่ ค่ายนี้อยู่ติดแม่น้ำ เพราะฉะนั้นบรรยากาศมันเลยค่อนข้างดีและการมารอพี่พรตเพื่อดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันนี่แม่งเป็นอะไรที่โคตรโรแมนติกจนผมขนลุกเลยครับ เกิดมาไม่ค่อยสุนทรีย์หรือทำแบบนี้อะไรกับใครเขาสักเท่าไหร่
“ไงนาย”
ไม่นานนักคนเข้าปัญหาก็โผล่มาในที่สุด พี่พรตเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อยืดเก่าๆ และขาสั้นสบายๆ ซึ่งผมคุ้นเคยดีว่าแม่งเป็นหนึ่งในเสื้อไม่ได้ซักที่กองมั่วกันอยู่บนโซฟานั่นแหละ เขาเดินเข้ามาหาแล้วก็ถือวิสาสะยกแขนพาดกับไหล่ผมไว้ด้วยท่าทางที่ไม่แนบเนียนเท่าไหร่ เขายิ้มโดยไม่พูดอะไรแล้วออกแรงดันผมให้เดินไปถึงริมแม่น้ำก่อนจะค่อยๆ นั่งลงบนพื้นดิน ผมจึงทรุดตัวลงนั่งชันเข่าอยู่ข้างๆ พร้อมกวาดสายตามองทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้า สายน้ำอยู่ใกล้แค่เอื้อม ผมพยายามเก็บทุกรายละเอียดของผิวน้ำที่ต้องลมจนเป็นลายสวยงาม ก่อนจะสูดหายใจเอาอากาศสะอาดๆ เข้าปอด ช่วงเวลาแบบนี้ไม่ได้มีกันบ่อยๆ แน่นอน
“ใกล้ตกแล้ว”
สายตาของพี่พรตจับจ้องอยู่ที่ท้องฟ้าซึ่งบัดนี้กลายเป็นสีฟ้าขลิบชมพูสวยงามดังท้องฟ้าในภาพวาดยุคเรเนซองส์ ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ ผมละสายตาจากท้องฟ้ามามองคนข้างๆ อย่างลืมตัว แสงจากท้องฟ้าที่สะท้อนในดวงตาของพี่พรตเป็นสีประหลาด มันสวยงามและสดใสกว่าของจริงมากสำหรับผม ผมจดจ้องแสงเหล่านั้นเหมือนหยุดไม่ได้ ผมไม่เคยเห็นใครหลงใหลความเป็นไปของท้องฟ้าถึงขนาดนี้ และอีกไม่นานเขาคงได้มีโอกาสจ้องมองสิ่งเดียวกันนี้จากอีกมุมหนึ่งของโลก
“คิดอะไรอยู่”
แต่แล้วจู่ๆ คนตรงหน้าก็ละสายตาจากท้องฟ้าหันกลับมาสบตากับผม แสงสะท้อนในดวงตาไม่สวยเท่าตอนที่มันสะท้อนท้องฟ้า
“เปล่า”
“ต้องคิดอะไรอยู่แน่ๆ”
พี่พรตเหมือนจงใจพูดให้เหมือนคำถามปลายเปิด แต่ผมไม่ตอบหรอกครับ ความคิดมันลอยไปเรื่อยๆ จนจับประเด็นไม่ได้เลยว่าคิดอะไรไปบ้างและคิดอะไรอยู่บ้าง ผมจึงหันกลับไปเงยหน้ามองฟ้าเช่นเดิม
“พราน”
“ว่า?”
ผมยังไม่ทันหันกลับไปมองก็สัมผัสได้ถึงวัตถุบางอย่างที่แนบอยู่กับข้อเท้า ผมเกือบชักเท้ากลับตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็ได้เห็นเส้นหนังถักสีดำทาบอยู่บนข้อเท้าเรียบร้อย พี่พรตก้มลงผูกอย่างละเมียดละไมเป็นพิเศษ มองจากสีหน้าแล้วเขาใส่ความตั้งใจลงไปอย่างเต็มที่ นิ้วที่ค่อยๆ พันเชือกไปมานั้นดูแผ่วเบาเป็นพิเศษ บางครั้งปลายนิ้วของพี่พรตก็เฉียดข้อเท้าผมไปมาทำเอาผมเริ่มเขินขึ้นมาอีกรอบ การกระทำนี้ยาวนานนับนาทีแต่ผมไม่อยากให้มันจบลงเลย
“คิดมาตลอดเลยว่านายน่าจะเหมาะกับการใส่ข้อเท้า”
ถ้าผมบอกว่าพี่พรตโคตรน่ารักจะเป็นการขัดกับที่ผ่านมาหรือเปล่า ผมคงหน้าแดงขึ้นมาจริงๆ เพราะพี่พรตยิ้มไม่หยุด แต่ช่วยไม่ได้นี่ครับ พอคิดว่าเขาต้องไปเลือกซื้อมาเตรียมไว้และไม่รู้จงใจรึเปล่าที่เลือกเอามาให้ตรงนี้ในบรรยากาศแบบนี้
“ชอบไหม”
“ชอบสิ”
ผมก้มลงมองการถักอย่างละเอียดลออของเส้นหนังสามเส้นที่ไข้วกันไปมาด้วยแพทเทิร์นแปลตาแล้ว คาดว่าพี่พรตคงใช้เวลาเลือกอยู่นานพอสมควรและเลือกระมัดระวัง ผมไม่กล้าบอกเขาหรอกว่าผมชอบและดีใจมากจริงๆ ผมไม่ทันรู้ตัวเลยว่าพี่พรตสังเกตมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ใส่ใจมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“พี่พรต”
“หืม?”
“พี่พรตไม่ได้ชอบดูพระอาทิตย์ตกใช่ป่ะ”
ถึงจะเห็นท่าทางเหมือนอินกับพระอาทิตย์มาก แต่หลังจากเขาจงใจให้กำไลข้อเท้าเส้นนี้กับผมในบรรยากาศแบบนี้ ประกอบกับนิสัยของพี่พรตเองและการโน้มน้าวเกินพอดีของใบพลู จึงทำให้ผมสรุปได้ไม่ยากเลยว่าบางทีเขาแค่อ่อยให้ผมเป็นฝ่ายพาเขามาดูดวงอาทิตย์
“ฮ่าๆ รู้แล้วเหรอ”
“เออดิ ลูกไม้เดิม”
“อะไรนายงอนเหรอๆๆ”
พี่พรตเอื้อมมือมาหยิกแก้มผม พระอาทิตย์ตกไปแล้ว รอบข้างมืดลงกว่าตอนที่เราเดินมาค่อนข้างมาก เลยทำให้ผมเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่
“ก็ชอบ แต่อยากให้มากกว่า”
“...”
“พรานชอบพระอาทิตย์ตกป่ะ”
“ก็ชอบนะ”
ผมไม่ปฏิเสธว่ามันสวยจับใจในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ถึงจะเป็นการโดนหลอกมาหรือมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงอะไรก็เถอะ ผมยังถือว่าโดยรวมมันน่าประทับใจอยู่ดี
“แล้วชอบมากขึ้นรึเปล่า”
“ชอบอะไรมากขึ้น”
“กูอ่ะ”
--------------------------------------------------------------
พี่พรตอ่อยขั้นสุดดด55555555
อัพไวสุดเท่าที่ปีสามเทอมสองจะทำได้แล้วค่ะ

ไว้เจอกันนะะ ไม่เกินอาทิตย์แน่นอนค่า