::
CH9 (ครึ่งหลัง) ::
ผมเดินลงบันไดไปจนถึงโถงรับแขกของหอพัก ใจหนึ่งก็แอบด่าพี่พรตว่าทำไมแฟนตัวเองมาไม่ลงไปรับเอง แต่อีกใจหนึ่งก็แอบตื่นเต้นเหมือนกันที่จะได้เห็นแฟนพี่พรตตัวจริงสักที เสียงในโทรศัพท์เมื่อกี้ไม่เหมือนพี่ขี้วีนคนนั้นเลยสักนิด
เมื่อลงไปถึง ก็เจอกับผู้หญิงในชุดนักศึกษาคนหนึ่งกำลังยืนถือถือถุงขนมอยู่ในมือ ดูจากรองเท้าแล้วน่าจะเป็นเด็กปีหนึ่งที่อยู่คนละมหาลัยกับผม ดูจากสีหน้าและบุคลิกแล้วเหมือนเป็นคนค่อนข้างเรียบร้อยน่าคบอยู่พอควร และทันทีที่เธอหันมาเห็นผม ก็ยิ้มให้แล้วเดินมาหาทันที
“รุ่นน้องพี่พรตใช่มั้ย”
“ใช่ๆ มิวเป็นแฟนพี่พรตเหรอ”
ผมขอถือวิสาสะพูดไม่มีหางเสียงเลยละกัน ยังไงก็คงอายุเท่ากันอยู่แล้ว ซึ่งเธอก็ยิ้มให้อย่างสดใส เรียกได้ว่าเป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วคนอื่นคงอยากจะยิ้มตาม
“ใช่ จำเราไม่ได้เหรอ วันนั้นที่เธอบอกทางไปห้องน้ำไง”
ฟังถึงตรงนี้ผมก็ถึงกับร้องอ๋อขึ้นมา ไม่น่าล่ะมิวถึงเห็นผมถือถังน้ำ
“อ้อๆ จำได้แล้ว”
“เอ้านี่ มิวซื้อขนมมาฝากพี่พรตกับนายพราน”
เธอส่งถุงขนมมาให้ ในนั้นมีทั้งกล่องเค้ก คุกกี้ และขนมอีกสองสามอย่าง เยอะขนาดที่กินกันสองคนคงจะอิ่มได้เลยล่ะ ผมอดยิ้มในความโชคดีของผมไม่ได้ นี่มันเหมือนกับมิวรู้ว่าผมจะมาค้างกับพี่พรตเลยได้ซื้อขนมมาเยอะขนาดนี้
“ขอบคุณมากนะ”
“ไม่เป็นไรๆ ไปเถอะ มิวมาแค่นี้แหละ ขอให้งานเสร็จทันนะ”
เธอโบกมือให้แล้วเดินออกจากหอพักไป ผมเลยก้มลงมองขนมในถุงอยู่พักนึง คนมีแฟนดีก็ดีแบบนี้แหละนะ จริงๆ ก็แอบตกใจนิดนึงว่าพี่พรตที่ชอบแกล้งคนนั้นจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วย ส่วนหนึ่งในใจผมก็ดีใจกับเขานะ แต่ส่วนอีกส่วนหนึ่งมันเหมือนใจหาย
...ใจหายอะไรวะไอ้พราน
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆ ออกไปแล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดกลับห้องตามเดิม
หลังจากหิ้วถุงขนมขึ้นมาบนห้องได้พักหนึ่ง พี่พรตก็เริ่มเปิดถุงเสบียงแล้วมองดูว่ามีอะไรที่พอจะประทังชีวิตได้ในตอนนี้ งานของพี่พรตเพิ่งเสร็จไปได้ครึ่งเดียวและมันก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว ถามว่างานเร่งขนาดไหนก็ต้องขอบอกเลยว่าเดือดมากพอควร
“อ่ะ กินดิ”
พี่พรตยื่นเค้กมาให้ ผมเหลือบมองแล้วเห็นว่ามันเป็นเค้กช็อคโกแลตซึ่งผมชอบพอดี แต่ด้วยมือที่กำลังจับกระดาษสองชิ้นประกบกันระหว่างรอกาวแห้งก่อนทำให้ไม่สามารถขยับตัวไปทำอะไรได้ทั้งนั้น
“ให้กาวแห้งก่อน พี่พรตวางไว้ตรงนั้นเลยครับเดี๋ยวกิน”
พูดจบผมก็ก้มลงไปมองชิ้นส่วนโมเดลในมืออีกครั้ง กาวพริตนี่จะบอกว่าแห้งช้าก็ช้านะ มันไม่ได้หยอดแล้วติดทันทีเหมือนกาวร้อน แต่ข้อดีของมันคือสามารถขยับได้นิดหน่อยระหว่างกาวยังไม่แห้ง เกิดว่าติดเบี้ยวก็ยังมีโอกาสเลื่อนให้มันตรง
“ไม่กินตอนนี้เดี๋ยวหมดนะ”
“เฮ้ย พี่พรตรอแปปดิ”
“ไม่รอ กูหิวมาก”
น้ำเสียงกวนตีนที่แสนคุ้นหูดังขึ้น ทำเอาผมถึงกับต้องละสายตาจากโมเดลที่ทำอยู่
“ก็บอกว่าให้วางไว้งะ...อึก!!”
ในจังหวะที่ผมกำลังอ้าปากเถียงอยู่นั้น เค้กคำโตก็ถูกยัดเข้ามาในปากเต็มแรง ทำเอาผมแทบจะงับเข้าไปไม่ทัน มือที่ทำโมอยู่ก็ยังปล่อยไม่ได้
เชี่ยพี่พรตแม่ง...
“ฮ่าๆๆๆๆ กินไม่พูดไม่จาแบบนี้ อร่อยอ่ะดิ”
ผมมองกลับด้วยสายตาคาดโทษ อึดอัดชิบหาย จะด่าก็ยังด่าไม่ได้เพราะมีเค้กเต็มปาก จะเอื้อมมือไปทำร้ายร่างกายหรือชูนิ้วกลางสักหน่อยก็ทำไม่ได้เพราะกาวไม่แห้ง ผมเลยรีบเคี้ยวรีบกลืนเค้กในปากให้หมดโดยเร็วที่สุด
“โอ้ย พี่พรตขำมากดิ”
“ก็มากอยู่”
ผมเลยปล่อยมือจากโมเดลที่กาวเริ่มอยู่ตัวมากขึ้น แล้วแย่งช้อนในมือพี่พรตมาตักเค้กแล้วเอื้อมไปยัดเข้าปากคนตรงหน้าบ้าง และการหลบของพี่พรตนั้นทำให้เค้กเปื้อนหน้าของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ฮ่าๆๆ รีบเช็ดนะเดี๋ยวสิวขึ้น”
ผมได้ทีหัวเราะเยาะบ้าง รู้สึกเหมือนได้แก้แค้นแล้วสะใจไม่เบา
“ทำเองเช็ดเองดิ นี่กูพี่มึงนะ”
...สายตาจริงจังนี่มันอะไรกันวะ
ผมชักงงขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เมื่อกี้เขายังแกล้งผมแต่พอผมแกล้งกลับบ้างกลายเป็นว่าเขาดูซีเรียสขึ้นมาทันที คนๆ นี้เป็นคนแบบไหนกันนะ บทจะแกล้งก็แกล้งชิบหายแต่แล้วประโยคถัดมาก็ทำบรรยากาศมาคุไปซะอย่างนี้
พอเห็นท่าไม่ดี ผมเลยค่อยๆ เอื้อมมือไปปาดรอยเค้กออกจากหน้าของพี่พรตออกจนหมดก่อนจะชักมือกลับ แต่แล้วพี่พรตกลับหันมางับนิ้วผมอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ยย!”
...พี่แม่งเล่นเชี่ยไรวะ
พอหันไปสบกับสายตาแปลกๆ ของตรงหน้าแล้ว ผมก็รีบดึงมือกลับมาแล้วหลบสายตาทันที เมื่อกี้อะไรวะ พี่พรตมองมาเหมือนจะขำ จะยิ้ม จะเยาะเย้ย หรืออะไรสักอย่าง แต่มันมีส่วนหนึ่งในแววตานั้นที่ผมไม่เคยเห็นและเป็นเหตุให้ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขาอีกเลย
:: [พรต] ::
...ตีสาม
ผมยังคงนั่งตัดโมเดลคลอเสียงเพลงที่เปิดไว้คลายความเงียบ ยิ่งดึกยิ่งเดือดครับ เหมือนกับว่าพอเดือดแล้วทั้งผมทั้งพรานไม่มีใครพูดอะไรกันอีกเลย ต่างคนต่างนั่งตัดนั่งประกอบไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้โมเดลผมก็ใก้ลจะเสร็จแล้วล่ะ เหลือแค่ติดหลังคาที่ผมโยนให้นายพรานทำก็จะมีงานส่งครบพรุ่งนี้แล้ว
อีกนิดเดียวนั้น...เอาหน่อยเว้ยไอ้พรต!
“ขอหลังคาหน่อยดิ”
“...”
“นาย...ขอหลังคา”
“...”
“เฮ้ย...นายพราน”
ความเงียบที่ตอบกลับมาทำให้ผมเงยหน้าขึ้นจากงานแล้วมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามซึ่งตอนนี้ไม่ได้มองสบตากับผมแล้วเพราะมันสัปหงกคาแผ่นรองตัดอยู่แบบนี้...
...ใช่ครับ มันหลับ
ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ที่อีกคนจะไม่ได้ร่วมฉลองการทำงานเสร็จในครั้งนี้ ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบโมเดลหลังคาที่เสร็จเรียบร้อยมาติดลงบนตัวโมเดลที่ผมทำ จับทิ้งไว้จนกาวแห้งก่อนจะนั่งชื่นชมผลงานของตัวเองอยู่สักพัก ผมหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายโมเดลเป็นที่ระลึกก่อนที่มันจะกลายเป็นขยะในมืออาจารย์หลังจากการตรวจแบบ
ระหว่างที่ผมกำลังหมุนโมเดลหามุมสวยๆ เพื่อถ่ายนั้น สายตาก็บังเอิญไปเห็นกลุ่มผมของคนที่สลบคาแผ่นรองตัด ผมมองแล้วก็ยิ้มกับตัวเอง...มีอะไรสนุกๆ มาให้ทำอีกแล้ว
ผมยกโมเดลของตัวเองไปวางไว้ข้างๆ แล้วค่อยๆ คลานเข้าไปหาคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็เริ่มกดถ่ายรูปรัวๆ ซูมหน้าบ้าง ถ่ายมุมเสยบ้าง โอกาสแบบนี้นานๆ ทีคงจะมีสักครั้งครับ เพราะงั้นน้ำขึ้นให้รีบตัก นายพรานหลับให้รีบถ่าย เผื่อวันเกิดมันจะได้มีรูปเด็ดๆ ไว้อวยพรบนไทม์ไลน์
ระหว่างที่ผมกับลังหามุมเพื่อถ่ายนั้น มือผมก็เผลอไปโดนหน้ามันเบาๆ ทำเอาผมต้องรีบเก็บมือถือซ่อนไว้เมื่อเห็นมันเริ่มขยับ
“อื้อ...”
นายพรานส่งเสียงเหมือนรำคาญนิดๆ แล้วหันหน้าตะแคงไปอีกฝั่งหนึ่ง ทำให้ผมหมดโอกาสจะถ่ายเพิ่มอีก และผมจะไม่ตกใจอะไรเลยถ้าพรานไม่ขยับมือที่จับชานอ้อยย้ายไปวางบนโมเดล
“เชี่ย!”
เด็กสถาปัตย์นั้นรักโมเดลที่ยังไม่ได้ส่งอาจารย์ยิ่งชีพใครก็รู้ ผมเลยรีบเขยิบออกมาแล้วดึงโมเดลออกจากมือนายพรานโดยด่วน ก่อนจะหันกลับไปมองด้วยสายตาคาดโทษทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกคนไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย แต่แล้วผมก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดแน่นเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง คนอะไร...ขนาดตอนนอนยังน่าแกล้ง
เมื่อจัดแจงถ่ายรูปโมเดลเสร็จเรียบร้อย ผมก็ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายหลังจากนั่งตรากตรำทำงานมาจนถึงตีสาม บิดขี้เกียจไปบิดขี้เกียจมาผมก็ก้มหน้ามองลูกมือที่หลับเป็นตายอยู่บนโต๊ะแล้วก็เริ่มคิด พรานมันคงจะเมื่อยพอกันนั่นแหละ
...พาเข้านอนดีมั้ยวะ
คิดอย่างนั้นแล้ว ผมเลยกวาดของที่กองมั่วๆ อยู่บนเตียงให้ลงมาที่พื้น ตบๆ ฝุ่นที่เตียงนิดหน่อย จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะญี่ปุ่น ค่อยๆ ดึงตัวมันขึ้นมาจากกองกระดาษและแผ่นรองตัด แล้วอุ้มไปวางไว้บนเตียง ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวพรานไว้อย่างลวกๆ และกำลังจะเดินไปเก็บกวาดเศษโมเดลแต่ก็ดันเห็นคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมตั้งแต่เมื่อกี้เข้าซะก่อน
ผมเลยตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งบนเตียงแล้วยกมือนวดเบาๆ ระหว่างคิ้ว ความสบายนี้คงทำให้เจ้าตัวคลายปมนั้นออกอย่างว่าง่ายจนผมเผลอยิ้มกับตัวเองอีกรอบ จากนั้นก็เริ่มแกล้งแอ๊บเสียงพูดกับมันอย่างดัดจริต ถ้าเพื่อนผมมาเห็นตอนนี้ต้องหาว่าทำงานจนบ้าไปแล้วแน่ๆ
“โอ๋ๆๆ ทำไมตอนหลับว่าง่ายจังน้องนาย”
“...”
“วันหลังมาช่วยงานอีกเนอะ โอเคนะ”
“...”
“ถ้าน้องนายไปตื่นพี่จะถือว่าตอบตกลงน้า”
“...”
“ตกลงแล้วอ่ะดิ ฮ่าๆๆ”
ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวคนหลับไม่รู้เรื่องจนยุ่งก่อนจะหัวเราะตัวเอง แม่งกูต้องบ้าไปแล้วจริงๆ แหละ ผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะญี่ปุ่น ปัดเศษกระดาษทั้งหมดลงพื้นเพื่อจะพับโต๊ะเก็บและใช้พื้นที่ตรงนั้นในการนอน แต่ก่อนจะได้เคลียร์โต๊ะผมก็เหลือบเห็นกระดาษแผ่นหนึ่ง
...ใบงานของพราน
และมันเหมือนกับฝันร้ายเลยล่ะ ผมยืนนิ่งทั้งตัวอยู่สักพักเหมือนถูกสาป...เชี่ยแม่ง กูลืมเลยไปว่าพรานมีงานโมเดลที่ต้องส่งพรุ่งนี้ คืองานตัวเองเดือดไง ลืมไง และตอนนี้ยังไม่ได้ได้เริ่มไง และนี่ตีสามแล้ว และความชิบหายบังเกิด และคนที่ยังตื่นอยู่คือผม และสัดเอ๊ย คืนนี้กูคงจะไม่ได้นอนจริงๆ
...หรือว่านี่เป็นการใช้กรรมที่แกล้งมันไปเยอะวะ
---------------------------------------------------------------------------------------
เหมือนว่าหลายคนจะเริ่มไม่เชียร์นังพรตแล้ว

รอดูกันต่อไปเนอะ
ชีวิตปิดเทอมตารางแน่นกว่าเปิดเทอมอีก จะพักผ่อน จะนอน จะโวยวาย
#จะเดือดกว่าพรตก็ฉันนี่แหละ ถถถถถถ
ขอบคุณคนอ่านค่า
