::: CHAPTER 10 ::: “เฮ้ยพราน พี่พรตตัดโมให้มึงเลยเหรอวะ”
ผมหันไปมองตามเสียงทักของไอ้โอมแล้วพยักหน้าอย่างเหนื่อยๆ วันนี้เรียนตอนบ่ายแต่อาจารย์นัดให้มาส่งงานตั้งแต่เก้าโมง และที่แย่ไปกว่านั้นคือถ้าเกินจากเก้าโมงตรงไม่ว่าจะครึ่งนาทีหรือสองวินาทีก็ตาม อาจารย์จะล็อกหน้าต่างห้องส่งงานทันที ซึ่งนั่นหมายความว่างานที่มาส่งไม่ทันจะถูดตักเกรดเป็นเอฟไปเลย และกฎข้อนี้เลยทำให้ทุกคนเรียนรู้ว่าต้องวิ่งขึ้นมาหน้าห้องก่อนเวลาอย่างน้อยสิบนาทีเพราะต้องเผื่อเวลาต่อคิวส่งงานกับเพื่อนที่มาในเวลาเดียวกัน
ไม่แปลกเลยที่จะเห็นเด็กปีหนึ่งหลายคนใส่เกียร์หมาวิ่งลงจากแท็กซี่หรือมอเตอร์ไซค์และตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องส่งงาน เสียงฝีเท้าหนักๆ หลายสิบคู่ดังจนผมอดกลัวไม่ได้ว่าพื้นไม้อายุหลายสิบปีของคณะจะพังลงสักวัน
และเท้าของผมก็คงร่วมเป็นหนึ่งในสาเหตุของการพังนั่นแหละ
ณ จุดนี้ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้ำสักหยด เอาจริงๆ คือผมยังไม่ได้อาบน้ำ แปรงฟัน ล้างหน้า หรืออะไรที่ควรจะทำในตอนเช้าเลยครับ คงไม่ต้องถามเหตุผลนะ
“ทำไมพี่พรตดีกับมึงจังวะ”
ประโยคนี้ทำเอาผมถึงกับต้องหันขวับ
“ดีเชี่ยไรล่ะ กูไปนั่งตัดโมให้ทั้งคืน”
“เห้ยย พี่เค้าเรียกมึงไปเลยเหรอ”
“เออไง”
ผมส่ายหน้าอย่างระอาเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของไอ้โอม ปกติแล้วก่อนจะประกาศน้องรหัสผมก็ไม่คิดว่าจะมีการเรียกช่วยงานอะไรหรอกนะ แต่เอาเถอะ ถือเป็นประสบการณ์ตัดโมครั้งแรกที่เล่นเอาหลับคางานละกัน ยอมรับว่ารู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มคลุม และยังสงสัยอยู่ตอนนี้ว่าคนอย่างไอ้พี่พรตเนี่ยนะจะลำบากยกผมขึ้นมานอนบนเตียงให้ แล้ว...
...โมเดล!
ความคิดที่สองหลังจาก ‘กูมานอนบนเตียงได้ยังไง’ คือ ‘โมเดลกูล่ะ!’ ตอนนั้นหัวใจผมเต้นแรงและเร็วมากเท่าที่หัวใจดวงนึงจะทำได้ จนกระทั้งได้เห็นโมเดลบ้านหลังน้อยที่หน้าตาเหมือนในใบงานวางไว้บนโต๊ะนั่นแหละ ความรู้สึกมันเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยล่ะครับ จากนั้นผมแทบพุ่งเข้าไปสำรวจผลงานและพบว่ามัน...ห่วย!
จะพูดว่าห่วยก็อาจแรงไป แต่สภาพที่ผมเห็นคือมันไม่เรียบร้อยเอาซะเลย บางรอยต่อยังมีรอยกาวเลอะอยู่ ไม่ใช่ว่าผมเรื่องมากนะ แต่งานโมเดลของพี่พรตเองมันดูดีกว่านี้ เอาเถอะ ยังไงผมก็เผลอหลับไปเองล่ะ พี่เขาทำให้แบบนี้ถือว่าเป็นพระคุณมากแล้ว
ถัดจากโมเดลก็มีกระดาษชานอ้อยที่ตัดเป็นแผ่นเอาไว้พร้อมกระดาษโน้ตที่มีลายมือรีบๆ ซึ่งเชื่อว่าเขาคงเขียนไว้วินาทีสุดท้ายก่อนออกจากห้องไปส่งงาน ผมเลยหยิบขึ้นมาแล้วเพ่งสายตาอ่าน
‘อย่าลืมเขียนชื่อ กูไม่รู้รหัสนิสิตมึง’
ความเป็นห่วงของพี่พรตทำเอาผมยิ้มออกมา คนๆ นี้จะว่าไปก็ใส่ใจดีเหมือนกัน ผมเลยขอแอบบวกคะแนนความประทับใจให้พี่พรตหนึ่งแต้ม ก่อนจะทรุดลงนั่งคัดลายมือเขียนชื่อตัวเองลงบนกระดาษที่ตัดไว้ แล้วค่อยเอาไปลงบนฐานโมเดล เป็นอันเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่ง
ผมหยิบโมเดลและกำลังจะลุกไปหาอะไรกินก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาปลุกที่โต๊ะเล็กๆ ด้านข้าง ผมเห็นเขาตั้งเวลาไว้ที่แปดโมงและกำลังแอบชื่นชมอยู่ในใจว่าอาจบวกคะแนนความใส่ใจให้อีกหนึ่งแต้ม ถ้าไม่ติดว่าเข็มนาฬิกามันชี้ที่แปดโมงครึ่ง
...ชิบหายละ คือกูส่งงานเก้าโมงไง!
เชี่ย พี่พรตแม่ง...ลืมเปลี่ยน พีเอ็มเป็นเอเอ็ม!!
หลังจากนั้นก็ไม่ต้องเดาเลยครับ ผมไม่ทำอะไรเลยนอกจากเปลี่ยนเสื้อ คว้ากระเป๋า ถือโมเดลแล้ววิ่งสุดฝีเท้าตั้งแต่ออกจากห้องพี่พรต ขึ้นบีทีเอส วิ่งมาตลอดทางจนถึงมหาลัย ตอนนี้ไม่สนว่าใครจะมองไม่มองแล้วล่ะครับ ขอกูอย่าเอฟเป็นพอ
และนี่คือสาเหตุของสภาพที่เหมือนไปฟัดกับหมาตั้งแต่เช้า
“ฮ่าๆๆ ปากมึงเหม็นว่ะพราน”
ไอ้โอมเหมือนจะสังเกตเห็นสภาพเน่าๆ ของผมก่อนจะได้ขอสรุปมาแบบนี้ โอเค ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันว่ะ รู้สึกได้ถึงแบคทีเรียที่เริ่มเจริญเติบโตมาตั้งแต่เมื่อวานเย็น
“เออๆ งั้นกูไปแดกข้าวแปป”
“ไม่แปรงฟันหน่อยเหรอมึง”
“ไม่ว่ะ ไม่มีแปรง”
“...”
“แต่อย่างน้อยปากก็จะได้เป็นกลิ่นข้าวแกงแทนกลิ่นแบคทีเรีย”
ทั้งการส่งงานทั้งวิชาสตูดิโอวันนี้ผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อยเหมือนพลังชีวิตของผมถูกดูดออกจากร่างไปหมด ทั้งโปรเจกต์จริงจังชิ้นแรกของเทอมที่เพิ่งได้รับมอบหมายมาก็ดูจะยากเหลือเกิน ขนาดห้องเชียร์ยังไม่สามารถเอาชนะความเหนื่อยของผมได้เลยครับ ผมยืนอย่างเนือยๆ จนพี่ปล่อยกลับนั่นแหละ นี่ตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปนอนด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่า...
“น้องพราน!!! ไอ้พรต น้องพรานลงมาแล้วๆๆ”
เอาแล้วครับ ทันทีที่ก้าวเท้าลงมาเหยียบบริเวณโรงอาหารก็เห็นกลุ่มเพื่อนพี่พรตนั่งจ้องเหมือนรอให้ผมลงมาตลอด และสมาชิกที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มพี่พรตคือมิวที่นั่งอยู่ท่ามกลางวงนั้น
“อ้าวนาย ส่งงานทันป่ะ”
พอเห็นผมลงมา พี่พรตก็รีบถามขึ้นทันที
“เกือบไม่ทันครับ”
“อ้าว ได้ไงวะ กูตั้งไว้แปดโมงเลยนะ”
ทำไมพอเห็นสีหน้าเหลอหลาไม่รู้เรื่องรู้ราวของพี่พรตตอนนี้ผมกลับรู้สึกอยากยกตีนไปประทับมากกว่าจะขอบคุณที่ทำงานให้เสียอีก
“พี่พรตตั้งไว้เป็นพีเอ็ม”
และคำพูดประโยคนี้ก็ทำให้ทุกคนในกลุ่มระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ฮ่าๆๆๆ ไอ้สัดพรต”
“มึงมันโง่”
“ด่ามันเลยน้องพราน”
แหม ผมก็อยากด่าเขาเหมือนกันล่ะครับ ถ้าไม่ติดว่าเขาทำงานให้จนเสร็จ
“เฮ้ย พวกมึงหยุดเลย ก็เดี๋ยวกูพาน้องไปเลี้ยงข้าวไง”
...ฮะ?!? พี่พรตเนี่ยนะ?
“มึงจ่ายเองนะเว้ยไอ้พรต ไม่ใช่ให้พวกกูแชร์”
“เออๆๆๆ ก็น้องช่วยงานกูคนเดียวไง”
ผมที่ยังคงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า ผมไปช่วยพี่พรตตัดโมแล้วเขาก็ทำงานให้ผม นั่นไม่ได้ถือว่าหักล้างบุญคุณกันไปแล้วเหรอวะ เอาจริงๆ ผมติดหนี้มากกว่าด้วยซ้ำเพราะผมแค่ช่วยส่วนหลังคา แต่พี่พรตทำโมของผมทั้งหมด
“มิวเลือกร้านให้แล้ว เป็นอาหารญี่ปุ่นนะ”
“พรานกินได้หมดแหละ”
ผมหันไปพูดกับมิวเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดินเข้ามา ร้านที่มิวเลือกมานั้นก็อยู่ในห้างที่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก ซึ่งถือว่าโอเคเลยล่ะ
เมื่อเลือกร้านได้แล้ว พวกเราก็พากันเดินไปจนถึงร้านอาหาร ร้านที่มิวเลือกมาก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงและราคาก็พอสมควรอยู่ ผมเลยพยายามเลือกสั่งเมนูที่เป็นอาหารจานเดียวเช่น ข้าวหน้าหมู ข้าวหน้าเนื้อ ถึงจะเห็นว่าซาชิมิน่ากินกว่ามากก็ตาม...เอาเถอะ ตอนนี้ขอเห็นใจคนเลี้ยงก่อน แล้วค่อยมากินอีกทีกับแม่หรือชวนพลูมากินก็ได้วะ
พูดถึงพลูแล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกที่บ้านเลยว่าจะไม่กลับไปกินข้าวเย็น ผมเลยรีบเปิดโปรแกรมแชทเพื่จะพิมพ์หาน้องสาว
แต่กลายเป็นว่ามีข้อความจากใบพลูส่งมา
และกลายเป็นผมที่ต้องลุ้นจนตัวโก่งว่าใบพลูจะถามอะไรผมอีกรึเปล่า เพราะช่วงนี้ดูเธอจะคลั่งไคล้ไอ้พี่พรตมากเป็นพิเศษ ชมแล้วชมอีก ส่งมาแต่ละทีไม่เคยหลุดหัวข้อของคนๆ นี้สักครั้ง
และครั้งนี้ก็เช่นกัน
‘พลูรู้นะว่าพี่พรานไปกินกับพี่พรต’
‘เซลฟี่มาให้หน่อยดิ’
...โอ้โห งานเข้าแล้วกู
แต่เอาก็เอาวะ ยังไงก็ถือว่าผมไม่ได้บอกพลูก่อนและเห็นแก่ความทุ่มเทแรงใจติดตามพี่พรตมาตลอดเหมือนไอ้คนตรงหน้านี่มันเป็นไอดอล ซึ่งผมในฐานะพี่ชายถ้าน้องสาวอยากจะให้ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ที่จะเก็บไปเป็นความสุขได้ในอีกหลายวันข้างหน้า ผมก็คงไม่ปฏิเสธที่จะทำหรอกครับ
ถึงหน้าตาผมวันนี้จะไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่ก็เหอะ
ผมเลยปิดหน้าจอมือถือและเงยหน้าขึ้นมามองพี่พรตที่กำลังฟังหนักงานทวนรายการอาหารอยู่ จนในที่สุดพอพนักงานเดินออกไปแล้วผมเลยถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองราวกับจะไปออกรบ มองดูแล้วจำนวนคนในโต๊ะตอนนี้ก็ไม่ใช่น้อยๆ ทั้งมิว ทั้งพี่กันต์และเพื่อนกลุ่มพี่พรต จะให้เซลฟี่เลยก็ยังไงอยู่ เอาเป็นว่าผมขอใช้โอกาสระหว่างนั่งรออาหารละกันวะ!
“พี่พรตครับ”
“...?”
“ออกไปกับผมหน่อยดิ”
---------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงนี้อาจต้องขออนุญาตอัพทีละ 50% นะ มีกิจกรรมของคณะที่ต้องทำอยู่ค่ะ
+ไม่มีเวลาตอบคอมเม้นท์เลยง่ะ ถ้ามีเวลามากกว่านี้จะพยายามตอบนะคะ
ได้รับกำลังใจมากมายจริงๆ ขอบคุณค่า
ปล.ถ้าใครเอาไปฟินต่อหรือคอมเม้นอยู่ในทวิต ติดhashtagด้วยน้าา ตั้งแต่เขียนเราก็เข้าไปดูแทคบ่อยมากๆ ตื่นเต้นน อยากรู้feedback55555
ปล2. คำว่า 'ไลน์' ที่เป็นกิริยา(ที่ไม่ใช่โปรแกรมไน์) แปลว่าส่งต่อเป็นแถวนะ เช่น ไลน์น้ำ คือการส่งน้ำต่อไปเรื่อยๆ ตามแถว เป็นวิธีที่เวิร์คมากถ้าต้องขนของเยอะๆ อาจให้เพื่อนช่วนไลน์ คือยืนเรียงแล้วส่งต่อๆ กัน ทำเป็นทีมเวิร์ค จะประหยัดแรงขึ้นเยอะ ไม่ต้องเดินไป-กลับทุกคน ไม่ต้องถือหนักนานๆ ด้วยค่ะ
(ขอบคุณ คุณycrazy ค่ะ ช่างสังเกตมากๆ เราลืมไปเลยว่าควรอธิบายคำนี้เพิ่มเติม)