:: CHAPTER 7 :: วันเปิดเทอมวันแรกเป็นวันสำคัญครับ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนยังคงจำบรรยากาศของชีวิตมหาลัยวันแรกของตัวเองได้อยู่ เพราะมันเป็นวันแห่งการกำหนดชีวิตรวมๆ ของเราตลอดการเรียนในคณะ อย่างที่บางคนเคยพูดกับผมไว้ว่าชีวิตในตลอดห้าปีนี้จะตัดสินกันด้วยสองสามอาทิตย์แรกที่เข้ามา
ผมตั้งสมาธิจดจ่อกับการก้าวเท้าเข้าประตูใหญ่ของคณะซึ่งจะเปิดให้ใช้แค่ช่วงเปิดเทอม คือวันรับน้องที่ผ่านมาต้องอ้อมไปเข้าประตูเล็กตลอด...มันอาจฟังดูบ้าไปหน่อยที่มัวแต่สนใจอะไรแบบนี้ แต่ผมว่าก้าวนี้ก็สำคัญครับ มันต่างจากก้าวอื่นๆ ตรงที่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาทางประตูหลักของคณะและในชุดนิสิตอย่างเต็มภาคภูมิ ในอนาคตผมอาจก้าวเข้าประตูอีกเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง แต่ก้าวแรกก็เป็นก้าวแรกครับ ไม่มีครั้งไหนจะลบล้างความเป็น ‘ครั้งแรก’ ได้
บรรยากาศคณะในวันเปิดเรียนแตกต่างจากรับน้องโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อผมเดินผ่านบริเวณโต๊ะของรุ่นพี่ก็ได้เห็นทุกคนในชุดนิสิตถูกระเบียบบ้างไม่ถูกบ้างยืนคุยกันเป็นกลุ่มๆ บางคนก็ขึ้นไปนั่งบนโต๊ะบ้างดีดกีต้าร์บ้าง ท่าทางดูสบายใจจนแค่เห็นก็รู้สึกแล้วว่าทุกคนเห็นคณะเป็นบ้านตัวเองจริงๆ
“เฮ้ย ไอ้พราน กูไปเช็คห้องมา พวกเราเรียนชั้นสามเว้ย ไปกันๆ”
อยู่ๆ ไอ้โอมก็เดินเข้ามาขัดจังหวะทำให้ผมต้องยอมเดินไปเข้าห้องเรียนพร้อมมัน วิชาแรกในชีวิตมหาลัยของผมคือวิชากลักการออกแบบครับ ผมว่าฟังดูน่าสนใจแต่รุ่นพี่กลับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน่าเบื่อเชี่ยๆ
“ไอ้โอม เลี้ยวซ้ายเว้ย”
พอขึ้นมาถึงชั้นสาม ไอ้โอมก็ทำท่าเหมือนจะเลี้ยวไปทางขวาซึ่งผมเห็นแค่ป้ายห้องน้ำติดอยู่ในขณะที่ฝั่งซ้ายเป็นห้องเรียนยาวตลอดทาง
“เออๆๆๆ”
ผมกับไอ้โอมเดินตามทางพลางไล่สายตามองหมายเลขห้องไปเรื่อยๆ ตรงทางเดินมีรุ่นพี่ที่คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนเดินผ่านไปมาและมีประตูห้องเปิดอยู่ ผมเลยมองเข้าไปในห้องเรียน เหมือนกับว่าพี่เขาจะมีเรียนใกล้ๆ ห้องที่สอนปีหนึ่งพอดี
‘ปึก!’
“ขอโทษครับ”
ช่วงนี้ผมเป็นอะไรวะ พอละสายตาจากทางเดินหน่อยเดียวมีอันต้องไปชนอะไรสักอย่างเข้า ผมรีบหันกลับไป และ...แจ็คพ็อตครับ พี่คนเดียวกันกับเมื่อวาน
“อีกแล้วเหรอ มองทางเป็นรึเปล่า หรือมีปัญหาอะไรกับพี่”
...ทำไมแค่เดินชนต้องชักสีหน้าขนาดนี้ด้วยวะ คำพูดไม่ค่อยเท่าไหร่ครับถ้าเทียบกับสายตาที่แสดงออกว่าไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเมื่อวาน นอกจากจะเป็นสายตาจิกกัดของผู้หญิงที่เห็นได้ทั่วไปจากตัวร้ายในละครแล้ว ยังเหมือนมีจิตสังหารบางอย่างแผ่ออกมาจากสายตาคู่นี้ด้วย และจะว่าไปพอพูดถึงจิตสังหารผมก็คิดถึงใครบางคนขึ้นมา
...พี่พรต “เชี่ยพราน มึงหยุดเดินหาไรวะ ไปเร็วดิ”
และผมก็ถูกไอ้โอมลากเข้าห้องเลกเชอร์โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหาห้องเจอตอนไหน เพราะความคิดยังจดจ่อวนเวียนอยู่กับสิ่งที่รุ่นพี่กลุ่มนั้นพูดกันที่ร้านข้าวแกง เหตุการณ์เมื่อวาน และเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอมาในวันนี้
...หรือว่าเขาคือแฟนพี่พรต
พอจบคาบเรียนแล้วก็ถึงเวลาพักเที่ยง การเรียนในมหาลัยแตกต่างจากมัธยมมากพอควร เพราะคาบเรียนนึงแทนที่จะเป็นห้าสิบนาทีแบบปกติกลับกลายเป็นสามชั่วโมง เรียนยันเที่ยงเลยครับ และพอคลาสจบพร้อมๆ กันหลายชั้นปี ทุกคนก็จะหอบความหิวลงมายืนอัดกันอยู่หน้าร้านข้าวซึ่งเล็กมากถ้าเทียบกับจำนวนคนและพื้นที่ว่างในกระเพาะอาหาร
โชคยังดีที่ผมฝากไอ้โอมสั่งข้าวเอาไว้ตั้งแต่ช่วงพักครึ่งคลาส เลยแค่แหวกฝูงชนไปเอาข้าวที่หน้าร้านเฉยๆ โดยไม่ต้องยืนรอ ผมอาศัยความคล่องตัวเดินแทรกคนนั้นคนนี้จนไปถึงร้านด้วยสภาพค่อนข้างยับเยิน ไม่เคยมีประสบการณ์ซื้อข้าวในคณะมาก่อนก็เงี้ยแหละ
ผมเกาะขอบเคาน์เตอร์หน้าตู้กับข้าวอย่างเหนื่อยๆ ด้านข้างมีรุ่นพี่ยืนรออาหารอยู่พลางคุยกับป้าขายข้าวเหมือนสนิทกันมาจากไหน ตอนแรกผมไม่ได้สนใจอะไรหรอกแต่เฮ้ย...แต่ทำไมเสียงคุ้นจังวะ
“อ้าว พี่พรต หวัดดีครับ”
ผมเอ่ยขึ้นพร้อมๆ กับที่เขาหันหน้ามาแล้วทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วป้าร้านอาหารก็ขัดขึ้นมาก่อน
“ข้าวไก่กระเทียมได้แล้ว”
พี่พรตรับข้าวมาจากมือป้าแล้วหยิบแบงค์ร้อยส่งให้ ผมแอบเร่งพี่พรตให้จ่ายเงินให้เสร็จเร็วๆ เพราะจะได้มาเอาข้าวของตัวเองสักที แต่แล้วปัญหาดันเกิดครับ เมื่อป้าดันยื่นแบงค์ร้อยกลับคืนให้เสียอย่างนั้น
“มีแบงค์ย่อยมั้ยลูก พอดีตอนนี้ป้ามีทอนไม่พอ”
“เอ่อ...หาแปปนะครับ”
พี่พรตก้มหน้าก้มตาหาเงินในกระเป๋าจนผมชักทนไม่ไหวเอง เลยตัดสินใจหยิบกระเป๋าตังค์ตัวเองมาเปิด ผมไม่ค่อยรู้ราคาข้าวที่นี่เลยหยิบแบงค์ยี่สิบสามใบส่งไปให้ก่อน...ถ้าไม่คืนก็ถือว่าทำบุญเลี้ยงข้าวรุ่นพี่ เพราะถ้ารอพี่หาต่อไปก็คงอีกเป็นชาติ
แต่แทนที่จะรับไปจ่ายก่อน พี่พรตกลับไม่สนใจแล้วหันไปมองพวกอาหารที่มีคนสั่งไว้ ซึ่งพอทำตามออเดอร์เสร็จป้าจะห่อพลาสติกแปะชื่อคนสั่งแล้ววางกองไว้ริมเคาน์เตอร์สำหรับหยิบส่งให้ทันทีถ้าคนที่สั่งไว้กลับมาเอา พี่พรตมีทีท่าเหมือนทำอะไรไม่ถูกก่อนจะยื่นแบงค์ร้อยกับไปใหม่
“งั้นจ่ายให้จานที่เขียนว่า ‘นายพราน’ ด้วยครับ”
...เฮ้ย นี่เป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน คนขี้แกล้งแบบนี้เนี่ยนะจะมาซื้อข้าวให้ฟรีๆ แม่งต้องมีเบื้องหลังอะไรอยู่แน่ คงจะจ่ายไปแล้วมาคิดบัญชีอะไรต่อจากนี้อีก นึกแล้วมันไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้ว่ะ
“พี่พรต ไม่เอา”
“เออๆ ถือจานตามกูมาเหอะ”
แต่ไอ้พี่พรตไม่ยอมเปิดโอกาสอะไรทั้งสิ้น กลับถือข้าวที่ผมสั่งเดินแหวกฝูงชนออกไปเสียดื้อๆ แล้วอย่างนี้ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับนอกจากถือข้าวของมันตามไปด้วย...เพราะนั่นก็ข้าวกูครับ
จนแหวกฝูงชนออกมาด้วยความยากลำบากแล้วถึงได้เห็นพี่พรตนั่งอยู่ตรงโต๊ะที่ไม่ไกลจากร้านมากเท่าไหร่ ผมไม่รอช้าตามไปหาทันที ก่อนจะส่งจานข้าวที่ถือมาและยื่นแบงค์ยี่สิบเหล่านั้นไปให้เหมือนเดิม และมันไม่รับครับ...
“กินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย”
“เฮ้ย ไม่เอา พี่พรตก็ให้เพื่อนกินเป็นเพื่อนดิ แล้วเอาตังค์ไปด้วย”
ใครจะไปกล้ากินด้วยทั้งที่รู้อยู่ว่าจะโดนแกล้งวะ ผมยื่นแบงค์ไปให้อีกรอบแต่พี่แกก็ยังไม่สะทกสะท้านอะไร แถมยังเลื่อนข้าวที่ผมสั่งมาไว้ข้างหน้าให้ด้วย
“งั้นกินข้าว ‘เป็นน้อง’ หน่อย”
เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมอึ้งเพราะคนๆ นี้...มุกเชี่ยไรครับพี่ แล้วยิ่งมองเห็นแววตาอ้อนวอนที่จ้องมาแล้วยิ่งรู้สึกหมั่นไส้
“พี่พรตเปลี่ยวมากป่ะเนี่ย”
“มาก”
พี่พรตตอบยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ผมเห็นแล้วไม่สบายใจเลยว่ะ
“กูไม่รับเงินคืน จ่ายค่าข้าวให้ แต่มึงจะไม่นั่งกับกูเหรอ”
โห...พูดขนาดนี้ ใครฟังมันก็ต้องไปกระตุ้นต่อมจิตสำนึกอยู่แล้วล่ะวะ
“เออๆๆๆ ครับๆ กินก็กิน”
ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงประชดนิดๆ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามพี่พรต รับช้อนส้อมมาแล้วเริ่มตักข้าวเข้าปากโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่ไอ้พี่พรตกลับยังนั่งมองผมกินเรื่อยๆ โดยไม่ยอมแตะจานข้าวตัวเองเลยสักนิด
“กินเร็วมันทำให้อ้วนนะ”
เอ่อ...ผมที่เคี้ยวๆ อยู่นี่ชะงักเลยครับ จะเล่นงี้กับผมใช่ป่ะ
“ไม่กินเลยเดี๋ยวร่างกายดูดขี้ไปเลี้ยงสมองแทนนะ”
นับเป็นครั้งแรกที่ผมแอบยกนิ้วให้ตัวเองที่ไม่ค่อยได้คิดตอบกวนตีนใครบ่อยๆ ถือว่าทำเวลาได้เร็วถ้าเทียบกับการกวนตีนครั้งล่าสุด...แล้วนี่ผมจะทำสถิติหาอะไรวะ
“เดี๋ยวมึงโดนๆ”
พี่พรตพูดปนหัวเราะพลางหยิบส้อมขึ้นมาชี้หน้าผมอย่างคาดโทษ แล้วเริ่มกินข้าวแต่โดยดี แต่พอกินไปได้สักพักพี่พรตก็เงยหน้ามาหาผมอีกรอบ
“เออ เมื่อวานมึงโกรธเรื่องไรวะ”
...ฮะ?!? ผมไปโกรธอะไรพี่วะครับ เมื่อวานผมถามว่าทำให้พี่โกรธรึเปล่า ทำไมวันนี้กูกลายเป็นฝ่ายโกรธได้วะ
“ไม่ ผมดิ ทำให้พี่โกรธ”
พี่พรตทำหน้างงๆ และใช้เวลานิ่งคิดอยู่พักใหญ่ถึงจะนึกออก นี่ถ้าเป็นคนอื่นโมโหขนาดนั้นคงจำได้ไปหลายวัน แล้วนี่มันอะไร
“นึกออกละ วันที่น้องมาด้วยใช่ป่ะ”
“ใช่ๆ นั่นแหละ”
“กูไม่ได้โกรธมึงเว้ย คิดมาก”
พี่พรตพูดแล้วยกส้อมขึ้นมาเลียทีนึงก่อนจะพุ่งตรงมาจะจิ้มหัวผม แต่ผมไวพอครับ หลบได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด...ไม่ใช่เก่งหรอกครับ แค่เตรียมตัวไว้แล้วล่ะว่าจะเจออะไรแบบนี้
“อย่าเพิ่งนอกเรื่อง พี่โกรธไรวะ”
พอผมถามแบบนี้ไปพี่พรตเลยนิ่งไปนิดนึงเหมือนกำลังเรียบเรียงว่าจะพูดอะไรต่อ มันเป็นช่วงที่ผมอดลุ้นตามไม่ได้ว่าเขาจะเล่าอะไรออกมาให้ฟัง
“ไอ้เป้บอกว่ากูเป็นคนบูชาความรัก เคยได้ยินป่ะ”
“เออๆ เหมือนวันนั้นมีคนพูดเหมือนกัน”
“นั่นแหละ กูไม่รู้มันเป็นไงนะ แค่รู้สึกว่าไม่ชอบใครมาจับคู่มั่วๆ เพราะกูมีแฟนอยู่แล้ว คือกูจริงจังกับความรักมาก”
“...”
“เฮ้ย อย่าทำหน้างั้นดิ มึงไม่ได้ผิด”
ความจริงจนถึงนาทีนี้ผมไม่ได้รู้สึกผิดอะไรแล้วล่ะครับ แค่มันเหนือความคาดหมายนิดหน่อยพอได้ยินจากปากพี่พรตเอง และพอนึกไปถึงผู้หญิงที่ผมเดินชนเมื่อตอนเช้าก็รู้สึกว่าคนแบบนั้นไม่สมควรได้รับความรักที่จริงจังขนาดนี้ ถึงไอ้พี่พรตจะกวนตีนขี้แกล้งยังไง แต่ผมสัมผัสได้นะ ว่าความรักของพี่เขาแม่งไม่ใช่เล่นๆ เหมือนนิสัย
“เปล่าๆ ไม่ได้คิดงั้น แค่ไม่รู้จะบอกพลูยังไง”
ใครจะไปกล้าบอกล่ะว่าผมด่าแฟนเขาอยู่ เลยต้องรีบเบี่ยงประเด็นทันที
“โห น้องมึงรู้อยู่แล้วมั้ง”
“ก็ไม่แน่”
หลังจากนั้นผมก็นั่งกินข้าวของตัวเงียบๆ โดยไม่เปิดประเด็นอะไรขึ้นมาใหม่ ผมอาจดูเป็นคนคิดมากนะ และใช่...ผมคิดมากโดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนหรือคนรู้จัก เหมือนเวลาที่เริ่มสนิทหรือเริ่มอยู่กับใครบ่อยๆ แล้วเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขามีแฟนและรักกันมาก มันอดคิดลึกๆ ไม่ได้ว่ะ ว่ามันเหมือนเรามีความสำคัญลดลง
“เออพี่ ผมไปละ เดี๋ยวไอ้โอมด่าเอา”
การรับน้องช่วงปิดเทอมจะจัดขึ้นหลังเรียนคาบบ่ายจบ รวมกินข้าวเปลี่ยนชุดกันก็กลายเป็นเริ่มหกโมงพอดี และเพราะแบบนี้ล่ะครับ พวกซ้อมกลองที่อยู่ต่อหลังกิจกรรมอย่างผมเลยต้องกลับบ้านสามทุ่ม ยังดีที่วันแรกยังไม่มีงาน ผมเลยมีกะจิตกะใจอยู่ต่อจนถึงตอนนี้
ผมแยกกับโอมตั้งแต่กิจกรรมเลิกเพราะมันกลับคนละทางกับผม รายนั้นมันมีพ่อมารับถึงหน้าคณะส่วนผมไปบีทีเอส เลยถือโอกาสอยู่ช่วยพี่เก็บกลองก่อนแล้วค่อยเดินออกมาคนเดียว จะกลับพร้อมพี่ก็กลัวว่าเขาจะประชุมรับน้องอะไรกันต่ออีกนาน
“เฮ้ย ‘นาย’ไปบีทีเอสป่ะ”
แต่เหมือนผมจะเข้าใจผิด เพราะก่อนจะเดินออกจากประตูคณะก็มีเสียงอันคุ้นเคยเรียกเอาไว้ก่อน ...ขออย่าเลยเหอะ ตอนกลางวันก็อยู่ด้วยกันมากพอแล้ว
“ครับ”
“งั้นกูไปด้วย”
ดูเหมือนคำขอของผมจะไม่เป็นผล เพราะพี่พรตดันจะไปบีทีเอสพอดี เลยกลายเป็นว่าผมต้องเดินร่วมทางไปกับพี่เขาจนถึงสถานี แต่แปลกใจนิดหน่อยที่เขาไม่พูดหรือแกล้งเหมือนที่ชอบทำ สงสัยคงเหนื่อยเกินจะกวนตีนอะไรต่อแล้วล่ะมั้ง
ผมกับพี่พรตเดินเงียบๆ จนมาถึงสถานี ผมเลยหันไปถามตามมารยาทของคนที่เดินมาบีทีเอสด้วยกัน
“พี่พรตลงไหน”
“ไม่เป็นไร มึงไปก่อนเลย เดี๋ยวกูมีนัดต่อ”
คำตอบของเขาทำเอาผมชะงักไป...สงสัยนัดกับแฟนว่ะ พี่พรตแม่งทุ่มเทจริงๆ เห็นหน้าแล้วก็รู้ว่าเหนื่อย ยังจะฟิตไปเดทต่ออีกนะ
“โอเค งั้นไปละ”
“เออ กลับบ้านดีๆ”
ในเวลาสามทุ่มสิบห้าบนสถานีบีทีเอส พรตยืนรอ ‘ใครบางคน’ พลางเล่นไอโฟนฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ จนถึงสามทุ่มครึ่ง เขาจึงปิดหน้าจอโทรศัพท์แล้วละสายตาเหม่อมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแทน ความจริงวันนี้ไม่ใช่ไม่เหนื่อย แต่ความอยากเจอก็มีมากพอจะลบล้างเหตุผลต่างๆ นานาออกไปได้ เพราะตั้งแต่เธอเข้ามหาวิทยาลัยก็มีเวลาว่างน้อยลง ดังนั้นมันเลยเลือกเวลามากไม่ได้
และแล้วหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษาก็ยื่นมือมาโบกขึ้นลงตรงหน้า ซึ่งมันทำให้พรตถึงกับสะดุ้ง ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของหญิงสาวคนนั้น
“พี่พรตอดหลับอดนอนจริงๆ ด้วย”
และเสียงหัวเราะของเธอก็ทำให้เขายิ้มตาม
“อืม นี่อุตส่าห์ไม่นอนเพื่อจะเจอใครไม่รู้”
เธอคนนั้นหัวเราะเบาๆ ใบหน้าเรียบๆ ของเธอไม่ถึงกับโดดเด่นแต่ก็เรียกได้ว่าน่ารัก ยิ่งรวมกับรอยยิ้มแล้วก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่น่ามองคนหนึ่ง
“แล้วนี่พี่พรตมากับใครอ่ะ”
“รุ่นน้องน่ะ”
“เอ๊ะ เดี๋ยว...”
หญิงสาวมีท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามต่อ
“ใช่คนที่ถือถังน้ำวันนั้นป่ะ เมื่อกี้เหมือนเดินสวนกันในนั้น”
เธอชี้ย้อนเข้าไปทางประตูทางเข้าสถานีที่เพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่หลังจากนั่งรถไฟมาลงที่นี่ ส่วนพรตเองก็ไม่ได้ฉุกใจอะไรเลยแต่ตอบไปตามน้ำ
“คงใช่มั้ง”
“โห ถ้าใช่นี่จะบอกว่าเขาดีมากเลยนะ”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความตื่นเต้นด้วยความคิดว่าพรตคงไม่รู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน แต่กลับกลายเป็นว่าพรตไม่ได้ตกใจที่ได้รับรู้ แต่ตกใจที่หญิงสาวเป็นคนเอ่ยปากชื่นชมรุ่นน้องที่คณะออกมา
“วันนั้นที่ไปคณะอ่ะ มิวได้เจอ”
“...”
“เขาบอกทางไปห้องน้ำให้ด้วย”-----------------------------------------------------------------------------------
ในที่สุดก็ปั่นทันปีใหม่!! พรุ่งนี้จะไปปฏิบัติธรรม5วัน จะเอาบุญมาฝากนะคะ
อัพวันที่ 31 พอดีเลย ขอให้ทุกคนมีีความสุขตลอดปีค่ะ สำหรับพี่/เพื่อนถาปัด ขอให้ไม่เดือด เวลานอนเฉลี่ยสี่ชั่วโมงขึ้นไป เก็ทเอ //ฟังดูเพ้อฝันมาก ถถถถถ
ปล. ความจริงอาจไม่ใช่สิ่งที่เราคิดว่ามันจะเป็น บางทีคนที่แค่เดินผ่านหน้าเราไปเฉยๆ อาจมีบทบาทต่ออนาคตมากกว่าคนที่เดินเข้ามาคุยกับเราก็ได้ ...ตั้งใจจะสื่อประเด็นนี้อ่ะ
ขอบคุณทุกคนค่าา