:: CHAPTER 8 ::...ชีวิตมหาลัยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
วันนี้เป็นวันเปิดภาคการศึกษาในคณะและมหาวัทยาลัยแห่งนี้ครับ ผมเดินเข้ามาด้วยชุดนักศึกษาเต็มยศ ถึงผมจะคุ้นเคยกับคณะนี้ตั้งแต่ยังไม่เปิดเรียนก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิงเพราะตลอดการรับน้องช่วงปิดเทอมนั้นคณะเรามีแค่ปีสามกับปีหนึ่ง แต่วันนี้มันกลับคึกคักขึ้นมาจากเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของรุ่นพี่ทุกชั้นปี
วิชาของคณะตัวแรกเป็นวิชาออกแบบซึ่งถือว่าเป็นวิชาที่ผมเข้าใจว่าเหมือนเป็นหัวใจของคณะ เพราะเห็นรุ่นพี่พูดถึงกันมากที่สุด โอดครวญกันเยอะที่สุด ถามว่าตื่นเต้นแค่ไหนก็มากอยู่ล่ะ เพราะรุ่นพี่เล่าให้ฟังว่าเหล่าอาจารย์จะมีวิธี ‘รับน้อง’ แตกต่างกันไปทุกปี
ปีนี้ก็ต้องลุ้นกันล่ะว่าจะโดนอะไร
ผมมองอาจารย์ทุกคนแนะนำตัวไปเรื่อยๆ เห็นได้เลยล่ะว่าอาจารย์ก็คือรุ่นพี่พวกเราทั้งนั้น บางคนเป็นสถาปนิกชื่อดัง บางคนเพิ่งจบมาได้ปีสองปีด้วยซ้ำ และความที่จบตามกันมานั้นน่าจะทำให้ปีหนึ่งสนิทกับอาจารย์ได้ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็เพราะความเป็นพี่เป็นน้องนี่แหละครับ ใบหน้าของอาจารย์แทบทุกคนถึงแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารอคอยการ ‘รับน้อง’ อย่างใจจดใจจ่อ
“รุ่นพี่พวกคุณคงจะขู่กันมาแล้ว ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อมากแล้วกัน เพราะตอนนี้ผมยังไม่เชือดพวกคุณหรอก”
เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของเพื่อนส่วนใหญ่ดังขึ้น
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ ที่ผมไม่เชือดตอนนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เชือดนะ”
และประโยคนี้ทำเอาพวกเราต้องสูดลมหายใจกลับไปใหม่และจดจ่อกับอะไรก็ตามที่อาจารย์กำลังจะสั่งออกมา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่พูดอะไร เลยกลายเป็นว่าการเรียนสามสี่ชั่วโมงนี่จบลงแค่การแบ่งกลุ่มนิสิตปีหนึ่งให้แยกออกเป็นกลุ่มย่อยๆ กลุ่มละประมาณสิบคนซึ่งเราเรียกกันทั่วไปว่า ‘เซค’หรือ เซคชั่น โดยอาจารย์ประจำเซ็คจะเข้ามาอธิบายวิธีการเรียนการสอนของวิชานี้
ระหว่างอาจารย์พูดนั้นผมก็พยายามจำหน้าเพื่อนร่วมเซ็คไปด้วย อย่างน้อยเอาให้ได้มากที่สุดเพราะไอ้โอมมันถูกจับแยกกับผมครับ เลยกลายเป็นว่าเหลืออยู่ตัวคนเดียวซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผมไม่ชอบเท่าไหร่ และในระหว่างที่กำลังนั่งฟังพลางมองคนนั้นคนนี้อย่างง่วงๆ อยู่ดีๆ อาจารย์ก็วางระเบิดครับ!
“เนื้อหาก็ประมาณนี้แหละ เออ พรุ่งนี้ขอดูฝีมือการทำโมเดลของพวกคุณหน่อยสิ”
“!!!”
ทั้งผมกับเพื่อนนี่กำลังเคลิ้มได้ที่จนถึงประโยคที่หลุดออกมาเหมือนไม่ตั้งใจของอาจารย์
“ฮะ? เดี๋ยวครับอาจารย์”
“นั่นแหละ ทำไม่ได้ก็ลองไปกราบกรานรุ่นพี่ให้สอนละกันนะ”
...เชี่ย นิสิตทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนทำสีหน้าตกใจพร้อมปากที่ขยับเป็นคำสบถต่างๆ นานา ก่อนอาจารย์จะวางชีทปึกหนึ่งลงกับโต๊ะแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ
“เฮ้ยทำไงกันดีวะ”
“เออไง พี่รหัสก็ยังไม่มี”
“สั่งอะไรมาตั้งแต่วันแรกวะ”
พออาจารย์เดินออกไปเท่านั้นแหละ ทั้งเซคของผมต่างก็เต็มไปด้วยเสียงบ่นนู่นนี่ดังไม่หยุด ต่างคนต่างก็ไม่รู้จะทำยังไงครับ และพอเดินไปหยิบชีทโจทย์ที่มีรูปผังพื้นหรือแปลนพร้อมรูปด้านของโมเดลก็แทบช็อคกันไปหลายที
ผมเก็บใบงานลงกระเป๋าแล้วเดินลงบันไดไปจนถึงโรงอาหารคณะ และจู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่กลางหลัง ทำเอาผมหันกลับไปแทบไม่ทัน
“ไรวะไอ้ เอ่อ...พี่พรต”
เชี่ย ตอนแรกผมคิดว่าเป็นไอ้โอมด้วยซ้ำ คราวนี้แทบยกมือไหว้ไม่ทัน แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะแล้วผมว่าไม่จำเป็นต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้นแหละ
“ฮ่าๆ หน้ามึงแม่งจี้ จะเตือนว่าวันนี้มีห้องเชียร์ อย่าเพิ่งรีบกลับบ้าน”
“ครับ ”
ผมมองตามหลังพี่พรตที่เดินจากไปอย่างไม่ค่อยเข้าใจ อะไรวะ ยังไงวันนี้ปีหนึ่งทุกคนก็ต้องไม่ลืมอยู่แล้วว่าจะมีการเปิดห้องเชียร์ซึ่งผมว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของการรับน้องเสียด้วยซ้ำ และพี่ทุกคนก็ได้โพสนัดเวลาไว้เรียบร้อนตั้งแต่เมื่อคืน
“เห้ย น้อง ตั้งแถวขึ้นห้องเชียร์เลย บอกเพื่อนด้วย แต่งตัวถูกระเบียบนะครับ”
พอเดินต่อไปอีกหน่อยผมก็โดนรุ่นพี่ที่คอยคุมน้องอยู่ในบริเวณนั้นกวาดต้อนให้ไปเข้าแถวตรงกลางลาน จริงๆ ผมก็ไม่ต้องบอกเพื่อนแล้วล่ะเพราะยังไงพี่เขาก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ ผมเลยจัดการดึงแขนเสื้อตัวเองลงมาพร้อมติดกระดุมแขน ก่อนจะเดินไปเข้าแถวตรงลานที่แดดเปรี้ยงและไม่มีอะไรบังแดดเลย
...ร้อนชิบหายครับ เสื้อแขนยาวติดกระดุม และแดดตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง
ที่แย่ไปกว่านั้นคือผมต้องยืนรอเพื่อนที่ยังมัวแต่ยืนรวบผมจัดระเบียบตัวเองให้ลงมาเข้าแถวทุกคนก่อน พูดง่ายๆ คือลงมาก่อนยืนตากแดดนานสุด
“เห้ย ลงมาดิ อย่าเอาเปรียบเพื่อน เพื่อนยืนนานแล้วเห็นมั้ย ถ้าไม่ครบก็ไม่ขึ้นนะเว้ย”
คราวนี้พี่ที่ยืนเป็นหัวแถวอยู่กลางลานเริ่มกดดันคนที่ยังยืนหลบร่มให้เดินมากลางลาน ซึ่งทุกคนก็ทำหน้าเจื่อนๆ แล้วเดินลงมาตากแดดเข้าแถวแต่โดยดี
ผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีนั่นแหละคนถึงจะครบ ทำเอาผมเหงื่อออกจนแทบขาดน้ำเลยล่ะครับ แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายพี่คุมระเบียบก็เดินตรวจน้องอีกรอบ พี่คุมนี้ถึงจะเป็นผู้หญิงแต่กลับมีท่าทางสีหน้าเข้มงวดจนต้องทำตาม
“น้อง เงยหน้าขึ้นค่ะ”
เสียงเรียบๆ ที่พูดใส่ผมดูเยือกเย็นและคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นก็พบว่า...เป็นพี่คนเดียวกับที่จิกตาใส่พร้อมกับด่าตอนถือถังน้ำไปชนนั่นแหละ
...แฟนพี่พรต
ว่าแต่คนนี้ใช่แฟนเหรอวะ?!?
ผมเหลือบมองพี่เขาที่เดินกลับไปยืนหน้าแถวแล้ว ดูจากบุคลิกเป็นผู้หญิงที่เรียกได้ว่าเปรี้ยวพอควรแต่ติดจะดุเกินไปหน่อย ซึ่งผมว่าดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นคนที่พี่พรตคบว่ะ ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่ใช่แนวที่จะมาคบกับผู้ชายอย่างพี่พรตมากกว่า เอาเหอะ...ไม่แน่ว่าวันที่ถือถังน้ำอาจมีผู้หญิงคนไหนมาเห็นผมอีกก็ได้
“น้องขึ้นได้ค่ะ”
ผมเลิกคิดเกี่ยวกับพี่พรตแล้วเร่งฝีเท้าเดินตามแถวตัวเองไป มีรุ่นพี่ยืนขนาบข้างตลอดทางเดินและทางขึ้นบันได พี่เขาตัวตรงสีหน้าเรียบเฉยจนผมไม่กล้าหันไปมอง และแสงสว่างรอบตัวก็มืดลงเรื่อยๆ จนเหมือนการยืนกลางแดดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผมเดินตามขึ้นไปถึงชั้นสาม และชั้นสามนั้นเรียกได้ว่าแทบจะปิดไฟมืด
ท่ามกลางความสลัวนั้น ทั้งแถวก็ถูกพาเดินเข้าไปในห้องที่มีขนาดใหญ่เหมือนห้องประชุมห้องหนึ่งซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อจะเดินให้ไม่ชนเพื่อนข้างหน้า อุณหภูมิในห้องถูกปรับไว้เย็นเฉียบไม่ต่างจากบรรยากาศและพี่ที่ยืนล้อมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง และก่อนสายตาจะปรับชินกับความมืดได้นั้นผมก็เข้ามายืนประจำที่เรียบร้อยแล้ว
ผมกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างไม่รู้จะกลัวหรือตื่นเต้นดี บริเวณหน้าห้องเหมือนจะมืดกว่าส่วนที่ผมยืนจนมองไม่เห็นอะไรเลย จนสายตาค่อยปรับชินกับความมืดแล้วจึงได้เห็นเหมือนเงารางๆ ของผู้ชายสองคนอยู่ในเงามืดนั้น
“คุยทำเหี้ยอะไร!!”
...เชี่ย
จู่ๆ ก็มีเสียงเกรี้ยวกราดตวาดลั่นจนผมแทบสะดุ้ง
“เดินเร็วๆ ไม่เป็นเหรอวะ!!!”
เสียงที่สองซึ่งดังไม่ต่างกันตะโกนตามออกมา เพื่อนที่กำลังเดินเรียงกันเข้ามาบางคนถึงกับสั่น ด้วยความที่ต้องเร่งเดินทั้งที่สายตายังไม่ชินกับความมืด รวมถึงอุณหภูมิที่เย็นขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
จนในที่สุดเมื่อทุกแถวเดินเข้ามาครบแล้ว ประตูบานใหญ่ก็ค่อยๆ ปิดลง คราวนี้ห้องเลยยิ่งมืดกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“ผมนัดคุณกี่โมง”
ด้วยการพูดที่ห้วนจัดทำให้หลายคนต่างพึมพำออกมาพร้อมกันกลายเป็นคำตอบงึมงำที่ปนกัน ในใจผมว่าแย่แล้ว เพราะคำตอบมันตีกันมั่วไปหมด
“ผมถามว่านัดกี่โมง!! ตอบดีๆ ดิวะ!!”
ผมถึงกับเผลอกลั้นลมหายใจเมื่อเสียงตวาดดังขึ้นอีกรอบ
“สิบเอ็ดครึ่งครับ!”
“แล้วรู้มั้ยว่านี่กี่โมง!!!!!”
ไม่มีใครกล้าตอบคำถามนี้เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเวลามันล่วงมาจนถึงเที่ยงแล้วด้วยซ้ำ
“วันนี้ไม่เป็นไร ผมยังยกโทษให้คุณ แต่หลังจากนี้จะไม่มีการยกโทษอะไรทั้งสิ้น...เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ/ค่ะ”
“ผมถามว่าเข้าใจมั้ย!!!”
“เข้าใจครับ/ค่ะ!!!”
“สอถอศูนย์หก เข้าใจมั้ย!!!!!”
“เข้าใจครับ!!!”
ผมแอบระบายลมหายใจด้วยความโล่งอกที่ตัวเองไม่โดนเรียกตอบ และโล่งใจแทนเพื่อนทั้งรุ่นที่จะไม่โดนด่าอะไรหลังจากตอบเสียงดังเป็นที่พอใจของพี่ว้ากแล้ว
“พรุ่งนี้บอกเพื่อนมึงให้มากันด้วยนะเว้ย เวลาคุณมีไม่เยอะ”
พอประโยคนี้จบลงก็ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นอีกเลย จนผมได้ยินเสียงประตูปิดลงนั่นแหละถึงได้เข้าใจว่าพี่ว้ากคงออกไปจากห้องแล้ว หลังจากนั้นไม่นานประตูห้องที่ผมเข้ามาก็เปิดออก ทำให้มีแสงสว่างผ่านเข้ามาพอให้เห็น แล้วพี่ที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ค่อยๆ คุมแถวน้องลงไปจนถึงข้างล่าง
และทันทีที่พวกเราลงมาถึงโรงอาหารคณะ เสียงพูดคุยระบายความอัดอั้นก็เซ็งแซ่กันอยู่นาน โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงที่เหมือนจะทนความกดดันได้น้อยกว่าผู้ชาย ส่วนผมเองนั้นยอมรับว่าในห้องเชียร์ก็รู้สึกกดดันจริงๆ แต่หลังจากออกมาแล้วมันกลายเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับคลายความสงสัยว่าพี่ว้ากเป็นแบบนี้นี่เอง ถือเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในชีวิตเลยทีเดียว
“ไปกันไอ้พราน”
ไอ้โอมเดินมาเรียกผมให้รีบกลับพร้อมเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่กำลังเดินออกจากคณะ
“เออๆ มึงจะกลับบ้านเลยป่ะ”
“เปล่า กูว่าจะไปหาไรกินกับกลุ่มนั้น”
ผมมองตามมือโอมไป จึงได้เห็นว่าหนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นเพื่อนที่มีรหัสติดกับมัน เลยพอเข้าใจได้ว่ามันคงคุยกันหลังลงมาจากห้องเชียร์
“เอ่อ...กูคงไม่ไปนะ”
ผมไม่ชอบการอยู่ในที่ๆ มีคนไม่รู้จัก ไม่ได้รังเกียจอะไรนะครับแต่พยายามจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนี้ ความจริงพวกรุ่นพี่หรือพี่พรตเองผมยังไม่ชินเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนคุยง่ายเลยโอเคขึ้นหน่อย มันเหมือนกับว่าการจะรู้สึกคุ้นเคยกับใครช่างยากเย็นมักใช้เวลานานเสมอ จะบอกตรงนี้เลยแล้วกันครับว่าในชีวิตนี้ผมมีเพื่อนไม่เยอะเท่าไหร่
“มึงสังสรรค์หน่อยดิวะไอ้พราน จะได้รู้จักพวกนี้ด้วย”
“ไม่ดีกว่ามึง”
“เออๆๆ งั้นกลับดีๆ นะมึง”
ผมพยักหน้าแล้วโบกมือให้มัน ยังดีที่โอมมันยังเข้าใจผมบ้างเพราะอยู่กันมาหลายปี และยังดีหน่อยที่เป็นรุ่นเพื่อน จะได้ไม่ต้องเกรงใจกันเท่ารุ่นพี่อย่างที่ผมเคยไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอย่างมึนๆ เมื่อวันก่อน และจำชื่อพี่คนไหนไม่ได้เลยนอกจากไอ้พี่พรต
“น้องพราน”
...เฮ้ย!
ผมหันไปตามเสียงก็เห็นเพื่อนกลุ่มพี่พรตคนนึงที่เคยถามผมว่าจำชื่อเขาได้ไหมแต่ผมเสือกจำไม่ได้ เลยกลายเป็นว่าคำถามนั้นทำให้ผมจำหน้าได้แทน เหมือนพี่คนนี้จะเป็นหนึ่งในพี่กลองที่ออกมาโชว์กลองในวันนั้นด้วย
“ไอ้พรตบอกว่าให้รอสักสิบนาที มันอยากเจอมึง..เอ้ย น้อง”
ผมหัวเราะเบาๆ กับท่าทีแอ๊บสุภาพของพี่
“เรียก ‘มึง’ ก็ได้ครับ”
“เออ แล้วนี่จำกูได้ป่ะ”
ผมที่พยายามนึกชื่อมาตั้งแต่เห็นหน้าพี่เค้าเลยได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ ชื่อคนแม่งจำยากยิ่งกว่าตอนเรียนชีวะ
“ขอโทษครับ แต่จำไม่ได้จริงๆ”
เห็นท่าทีเอาจริงเอาจังของผมแล้วเขาคงขำอยู่ไม่น้อย เลยจ้องหน้าผมตรงๆ แล้วย้ำทีละคำ
“ฟังให้ดีนะ กูชื่อกันต์”
...โอเค คราวนี้ผมจะพยายามจำ ถ้าจำพี่คนนี้ได้อย่างน้อยก็ได้รู้จักคนในคณะเพิ่มคนนึงล่ะวะ หลังจากหมดธุระแล้วพี่เขาก็หันหลังเดินออกไป แต่หลังจากเดินไปสองก้าวเขาก็หันกลับมาพูดกับผมอีกรอบ
“อย่าลืมรอไอ้พรตมันล่ะ”
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ฮือออ หายไปนานมากๆๆๆๆ จนคนเขียนเองยังคิดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ
เหมือนไม่ได้เขียนนิยายนาน และไม่ได้เจอน้องพรานนานมากแล้วด้วย
ปิดเทอมแล้วตอนแรกนึกว่าจะว่างแต่ไม่เลย...เรียกได้ว่าแทบไม่ได้พัก
ชีวิตวุ่นวายมาก แต่จะพยายามมาต่อนะคะ
รักคนอ่าน ขอบคุณที่ยังรอค่ะ