:: CHAPTER 11 :: “สามร้อยยี่สิบเจ็ด!”
เมื่อเสียงนับจำนวนของคนสุดท้ายหมดลง ก็ตามด้วยเสียงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่สบายใจของแทบทุกคนในห้องเชียร์ ปีหนึ่งทั้งหมดมีประมาณสามร้อยกว่าคนแต่ในวันนี้กลับขาดไปเกือบแปดสิบผมไม่อยากคิดเลยว่าจะโดนพี่ว้ากทำโทษอย่างไร เพราะเมื่อวานเหมือนพี่เขาจะโกรธเรื่องการมาไม่ครบคนมากเป็นพิเศษ และขู่ไว้ว่าถ้าวันนี้ยังมาไม่ครบตามจำนวนที่เขาขอ ‘พวกมึงโดนแน่’
“เมื่อวานกูขอเท่าไหร่”
“สามร้อย...ห้าสะ..”
ทุกคนตอบตะกุกตะกักเหมือนไม่กล้าพูดออกมาเต็มเสียง ทั้งที่รู้จำนวนกันแน่ๆ อยู่แล้ว
“กูถามว่าเท่าไหร่”
“สะ...สามร้อยห้าสิบ”
“เท่าไหร่!!!”
“สามร้อยห้าสิบครับ!”
ถึงเสียงทุกคนจะเริ่มสั่น แต่พอโดนพี่ว้ากตะคอกจนแทบสะดุ้งเลยต้องตอบเสียงดังฟังชัดทั้งที่ตัวเริ่มสั่นด้วยความหวาดกลัวปนตื่นเต้น เพราะวันนี้คงต้องโดนทำโทษอะไรอย่างแน่นอน
“ขอแค่นี้ยังทำไม่ได้เหรอวะ!”
...เอาแล้วไง
ผมเห็นเพื่อนข้างๆ แอบส่งสายตาเป็นกังวลเหมือนพยายามจะสื่อว่า ‘ชิบหายแล้วมึง’ ซึ่งผมก็ทำได้เพียงพยักหน้าตอบเบาๆ แบบที่มั่นใจว่าจะไม่เป็นจุดสังเกตของพี่ปีสาม เนื่องจากการเข้าห้องเชียร์นั้นมีกฎว่าห้ามคุยกับเพื่อนเด็ดขาดและต้องยืนนิ่งตัวตรงมองไปข้างหน้าตลอดเวลา
หลังจากผ่านช่วงนาทีชีวิตของปีหนึ่งไปแล้ว พี่ว้ากก็ไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้อีก และเริ่มสอนร้องเพลงเชียร์คณะเพิ่มอีกเพลงจากเมื่อวาน ซึ่งทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาแหกปากร้องกันอย่างสุดเสียง จนเป็นที่พอใจสำหรับพี่ว้ากแล้วถึงได้ไม่ต้องตะโกนร้องให้แสบคอต่อไปอีก
“วันนี้พอแค่นี้ เชิญ”
ทุกคนลอบถอนใจอย่างโล่งอก ก่อนพี่นำแถวจะเข้ามายืนประจำที่เตรียมพาปีหนึ่งออกไปจากห้องเชียร์ แต่แล้วน้ำเสียงเย็นเยือกจนน่าขนลุกของพี่ว้ากกลับดังขึ้นอีกครั้ง
“เพื่อนข้างๆ ใครไม่มา อยู่ก่อน”
...เชี่ย
คราวนี้ทุกคนมีทีท่าแตกตื่น ต่างหันซ้ายหันขวาอย่างลืมตัวเพื่อเช็คอีกทีว่าเพื่อนข้างๆ ตนเองมาแน่รึเปล่า และผมก็โชคดีพอที่เพื่อนรหัสติดกันของผมมาทั้งคู่ แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนผู้หญิงที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายของผมนั้นจะโชคไม่ดีเท่าไหร่ เพราะหมายเลขที่อยู่ถัดจากผมไปสองเบอร์นั้นกลับเป็นที่ว่างที่ไม่มีใครยืนอยู่
ผมมองใบหน้าที่เจื่อนลงและสีหน้าที่ไม่สู้จะดีนักของเธอแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้ ท่าทางดูหวาดกลัวเหมือนจะร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น แต่ผมก็สงสารเพื่อนได้ไม่นานก่อนจะถูกพาตัวออกไปจากห้องเชียร์ ทิ้งให้เพื่อนคนนั้นยืนเหลืออยู่คนเดียวในแถวกับเพื่อนแถวอื่นที่ยืนกันอยู่ประปราย
ผมเดินลงมาข้างล่างช้าๆ และเมื่อลงมาถึงก็ได้ยินกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่นที่พากันพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ทุกคนดูร้อนรนมากเมื่อรู้ว่าเพื่อนบางคนต้องมารับบาปแทนคนอื่นที่ไม่มา
“วันนี้กูแอบคิดว่ารุ่นเราจะรอดแล้วนะเว้ย แม่ง...โหดสัด”
“ไอ้แทนมันเข้าห้องเชียร์ทุกวัน ทำไมต้องโดนวะ”
“ถ้าทุกคนมาก็ไม่มีใครต้องโดนด่าแล้วป่ะ”
เสียงพูดคุยดังผ่านเข้าหูตลอดทางที่ผมเดินไปประตูด้านหลังคณะ วันนี้ผมต้องออกประตูเล็กเพราะด้านหน้าเต็มไปด้วยกลุ่มเพื่อนที่ยืนรอคนที่ยังอยู่ในห้องเชียร์ ส่วนวันนี้ผมไม่ต้องรอใครเพราะไอ้โอมไม่มาครับ แต่มันมีเหตุผลคือแม่ไม่ค่อยสบายเลยต้องรีบกลับบ้านช่วงนี้ ผมเลยได้แต่ภาวนาในใจให้คนที่ยืนข้างๆ ไอ้โอมอยู่รอดปลอดภัย
“แม่ง ทำไมไอ้พวกนี้ไม่รักเพื่อนเลยวะ”
“กูไม่อยากร่วมรุ่นกับมันเลย”
ผมนึกตกใจกับประโยคที่เพิ่งได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดกับตัวเองซ้ำไปมา คำพูดเมื่อกี้ถือว่าแรงมากพอควร ไม่รู้ว่าการรับน้องที่พูดกันว่ามีจุดประสงค์ให้ทุกคนรักกันและรวมกันเป็นรุ่น ถึงเวลาแล้วมันกลับกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคนไม่ชอบกันแล้วไม่อยากเป็นรุ่นขึ้นมา คิดแล้วก็เหมือนวนไปมานั่นแหละครับ จากเพื่อนกันกลายเป็นเกลียด และจากเกลียดเลยต้องทำให้เป็นเพื่อน พูดกันตามจริงคือผมยังตัดสินใจไม่ได้เลยว่ามันดีหรือไม่ดี ส่วนตัวแล้วก็มีทั้งได้เพื่อนและมีคนที่เห็นแล้วไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยเช่นเดียวกัน
ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ เพิ่งมาเห็นวันนี้แหละที่เพื่อนในรุ่นเหมือนแตกแยกกันเป็นกลุ่มที่ขึ้นห้องเชียร์กับพวกไม่ขึ้นห้องเชียร์ ถึงจะไม่พอใจเท่าไหร่ในฐานะคนขึ้นห้องเชียร์ทุกครั้งแต่ผมว่ายังไงเราก็ควรเคารพการตัดสินใจของเพื่อนเหมือนกัน อย่างไอ้โอมมันก็มีเหตุผลของมัน คนอื่นก็คงมีเหตุผลของเขาเช่นเดียวกัน
ผมส่ายหน้าไล่ความคิดที่ตีกันจนยุ่งเหยิงเต็มหัวออกไปก่อนจะเอื้อมมือผลักประตูเล็กด้านหลังคณะออกไป แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง
...พี่พรต
คนๆ นี้ก็เป็นอีกคนที่เข้ามากวนความคิดของผมอยู่บ่อยๆ ในช่วงนี้ คนที่ผมต้องคอยถามตัวเองว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ แต่ละครั้งที่เจอกันนั้นเขา...เป็นคนเดียวกันหรือเปล่า
ตามปกติแล้วด้านหลังของคณะจะไม่ค่อยมีคนมานั่งเล่นเท่าไรนัก เพราะบรรยากาศมันไม่โสภาสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณที่ใช้ขนขยะออกไปทิ้ง หรือให้ร้านอาหารเอาของเข้าร้าน อธิบายง่ายๆ คือเป็นส่วนเซอร์วิสที่เน้นการใช้สอยเบื้องหลังมากกว่า และอีกประเด็ที่ทำให้ผมสงสัยคือพี่พรตมาอยู่ที่นี่ได้ไง ทั้งที่ปีสามยังอยู่บนห้องเชียร์ทั้งหมด
“ก็พรตบอกไปแล้วไงครับ”
พี่พรตคุยโทรศัพท์อยู่โดยมีผู้หญิงคนเดิมยืนอยู่เหมือนวันนั้นไม่มีผิด และผมก็ได้แต่ยืนนิ่งๆ เท่านั้นเนื่องจากไม่มีที่ไหนให้หลบได้เลย ยังดีที่พี่เขานั่งหันหลังอยู่ และน้ำเสียงที่เขาใช้กรอกลงไปในโทรศัพท์นั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรจากวันก่อน ชวนให้รู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้
...โกหก เป็นคำเดียวที่ผมสามารถใช้อธิบายน้ำเสียงของเขาได้ เมื่อไหร่ที่เขาพูดแบบนี้ผมจะมีความรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังหลุดออกมาจากปากของพี่พรตนั้นไม่ใช่ความจริง
“พรตไม่ว่างจริงๆ มิวก็รู้”
ผมสงสารมิวครับ นี่เป็นความรู้สึกที่รุนแรงกว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่มีกับพี่พรต ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าเขาเป็นพี่ปีสามครั้งแรก ตอนที่เซลฟี่กัน นั่งตัดโม กินข้าว จับมือกันหรือตอนไหนๆ ผมไม่ปฏิเสธเลยครับว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดี แต่ในความรู้สึกเหล่านั้น ถ้าถามตรงๆ แล้วผมคงจะยอมเอามาแลกกับความสงสารในตอนนี้อย่างแน่นอน
ในขณะนั้นเอง ผู้หญิงที่กำลังกอดอกยืนอยู่ข้างๆ พี่พรตก็สะกิดเบาๆ ลงที่ไหล่ของเขา เธอชักสีหน้ามองเหมือนรำคาญเต็มทนโดยที่มั่นใจว่าพี่พรตจะไม่เงยขึ้นมาเห็น ส่วนพี่พรตนั้นทำเพียงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่รวบเอามือบางที่เอื้อมมือมาสะกิดเมื่อครูเอาไว้
...จู่ๆ ผมก็นึกไม่ชอบกริยา ‘จับมือ’ ของพี่พรตเอาซะเลย
“โอเคมิว พรตต้องไปแล้ว”
“…”
“ไว้คราวหน้าเนอะ”
พี่พรตกดวางสายแล้วเก็บมือถือลงในกระเป๋าอย่างรวดเร็วก่อนจะค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมาโดยไม่ยอมปล่อยมือที่จับกับผู้หญิงคนนั้นไว้ เขาส่งยิ้มให้เธอเหมือนไม่เคยได้โกหกมิวและพากันเดินออกไปจากคณะด้วยท่าทีสบายใจ
แต่เดินไปได้เพียงสามก้าวพี่พรตก็หันกลับมา
...และสบตากับผม
ทั้งผมและพี่พรตชะงักไปทันที เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งลงที่สายตาผม ระหว่างผมกับพี่พรตนั้นไม่มีใครขยับหรือเอ่ยอะไรขึ้นมาก่อน ในดวงตาของเขาฉายแววตกใจที่มีความเจ็บปวดแฝงอยู่เล็กน้อยเหมือนเจ้าตัวพยายามซ่อนเอาไว้ แต่ทั้งที่เห็นเพียงแค่ความตกใจและความเจ็บปวด ทำไมผมรู้สึกว่าเขากำลังขอร้องอะไรบางอย่าง
หรือผมรู้สึกไปเอง
ผมไม่รู้ว่าแววตาของผมสื่ออะไรออกไปบ้างแต่ผมก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายหลบสายตา มือของผมจับสายกระเป๋าไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ผมตัดสินใจเดินหลบคนทั้งคู่ที่ยังยืนนิ่งอยู่แล้วเดินผ่านออกไปทางหน้าคณะ
“...นายพราน”
ผมลังเลอย่างหนักว่าจะยอมหันไปคุยกับเขาดีหรือเปล่า ผมรึ้กว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเองและไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะเข้าไปยุ่งเลยสักนิด แต่ผมก็ยังจำสายตาที่มีความรู้สึกหลากหลายเมื่อกี้ได้ดี เหมือนว่าพี่พรตกำลังส่งสายตาพูดกับผมว่า ‘อย่าไป’
ชั่วขณะหนึ่ง ผมนึกเกลียดความลังเล ความใจอ่อน และความขี้สงสารของตัวเองขึ้นมา
และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประโยคที่สองของพี่พรตดังขึ้นอีกครั้ง
“นุ่น ไปก่อนเถอะ วันนี้ฉันไม่ว่างแล้ว”
เสียงอิดออดของผู้หญิงที่พี่พรตเรียกว่า ‘นุ่น’ เหมือนเรียกสติผมกลับมาอีกรอบว่ากำลังจะกลายเป็นตัวกลางในปัญหาของคนสองคนรึเปล่า ผมพยายามลืมเรื่องที่ผ่านมา เหมือนก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วมองมาที่ตำแหน่งของตัวเอง ผมเป็นเด็กปีหนึ่งที่บังเอิญไปเห็นว่าผู้ชายบูชาความรักกำลังอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพี่พรตกับผู้หญิงคนนี้เป็นไปในแนวทางไหน แต่ถ้ามันทำให้เขาต้องถึงกับโกหกมิว ผมว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง
เอาวะ ยังไงก็ต้องหันกลับไปคุยให้รู้เรื่อง
“พี่พรต...ไม่ต้อง”
“นุ่น เมื่อกี้ฉันพูดว่าไง”
กลับกลายเป็นผมเองที่อดตกใจกับท่าทีและคำพูดของพี่พรตไม่ได้ ทำไมคนที่ขี้แกล้งขนาดนั้นกลับพูดด้วยน้ำเสียงห้วนจัด แววตาที่เพิ่งหยอกล้อกับเธอคนนี้ จู่ๆ ก็กลับกลายเป็นสายตาเยือกเย็นจนน่ากลัว
ผมไม่เคยเห็นพี่พรตเป็นแบบนี้
อย่าว่าเป็นแบบไหนเลยดีกว่า เพราะจากคนที่กำลังเริ่มสนิทกันกลายเป็นว่าผมรู้สึกว่าตัวเองก้าวถอยห่างออกไปอีก
“แต่พรตบอกว่าว่างแล้วไง”
ผู้หญิงชื่อ ‘นุ่น’ เริ่มโวยวายขึ้นมา จะโทษเธอที่ทำตัวเหมือนเหวี่ยงก็ไม่ได้ล่ะมั้งเพราะถ้าเป็นผมก็คงไม่ยอมเหมือนกันแหละ ถ้าจะถามว่าใครเป็นต้นเหตุของเรื่อง คงต้องตอบว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมนี่แหละ
“ก็ตอนนี้ไม่ว่างแล้ว”
“อย่าบอกนะว่า...นี่ก็เป็นแฟนพรตอีกคนงั้นเหรอ”
คำว่า ‘อีกคน’ ทำให้ผมเผลอหันไปมองพี่พรตซึ่งหันมามองผมตั้งแต่แรกแล้ว หมายความว่าพี่พรตไม่ได้มีแค่มิวคนเดียวอย่างแน่นอน และก่อนที่ผมจะได้ถามอะไรต่อ เสียงของพี่พรตก็ดังขึ้นเบาๆ
“อือ”
-------------------------------------------------------------------------------------------
50%อีกแล้ว เมื่อไหร่เราจะเพิ่มสปีดการเขียนของตัวเองได้สักที

จะพยายามมาเร็วๆ นะะ
ขอบคุณคนอ่านค่ะ