:: CHAPTER 23 ::
พี่ชาย น้องชาย
“เป็นพวกคุณ เป็นแม่ของคุณที่เริ่มต้นทุกอย่าง เป็นกฤตภาสที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้”
พันเอกเงียบกริบ จ้องพระพายด้วยสายตาสับสน ความรู้สึกหลากหลายตีรวนขึ้นมาในอก ความรู้สึกผิดหวัง รู้สึกผิดประเดประดังเข้าหาจนแทบบ้า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขารักพระพายมากเท่าชีวิต รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นน้องน้อยตัวย่นผิวสีแดงก่ำในห่อผ้าอ้อม รักเพราะนึกว่าน้องคือเครื่องยืนยันว่าพ่อกับแม่ยังรักกันอยู่
แต่ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย
พันเอกเกิดจากหน้าที่และความจำเป็น
ส่องแสงเกิดจากความมึนเมา
ส่วนพระพาย...เด็กที่เขาหลงคิดว่าเกิดจากเยื่อใยเส้นสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเกิดจากความหงอยเหงาเคียดแค้นของผู้เป็นแม่
ซ้ำยังไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดที่แท้จริง
“นี่ใช่ไหมเหตุผลที่มึงฆ่าพ่อแม่กู นี่ใช่ไหมเหตุผลที่แท้จริง” พันเอกค่อยๆลุกขึ้นยืนโดยมีนาวาคอยช่วย ดวงตาแดงก่ำจ้องรามที่ยืนตีสีหน้าราบเรียบอยู่
“ยังมีอะไรที่กูต้องรู้อีกไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง ไม่แม้แต่จะชายตาแลคนตัวเล็กที่รามกำลังกอดอยู่เลยแม้แต่น้อย พระพายเห็นกริยาของพี่ชายก็สะอื้นไห้จนตัวโยน รู้ดีว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นเหมือนส่องแสง
เขากำลังจะถูกพันเอกเกลียดชัง
ทางด้านรามเองก็ได้แต่มองสภาพน่าสมเพชของอดีตเพื่อนรัก ริมฝีปากของนายหัวหนุ่มยกยิ้มขึ้นราวกับสะใจเสียเต็มประดา หากแต่ภายในใจกลับสะท้านไหวกับภาพความเสียหายทางอารมณ์ของคนในอ้อมกอดและเพื่อนเก่าอย่างพันเอก ยิ่งเห็นว่าคนเข้มแข็งอย่างพันเอกกำลังร้องไห้ก็ยิ่งร้าวในอก
พันเอกไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากใคร ข้อนี้เขารู้ดี
พันเอกเหมือนตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก ภายนอกอาจจะดูเข้มแข็งหากแต่ลึกๆในใจอีกฝ่ายก็แค่เด็กชายขี้เหงาที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ รามรู้ดีว่าพันเอกเปราะบางยิ่งกว่าใคร และเพราะเหตุนี้เขาจึงเลือกที่จะอ้างว่าที่ฆ่าพ่อแม่ของอีกคนเพราะทั้งคู่โกงเงินของตระกูลเขา
ให้พันเอกเข้าใจไปแบบนั้นมันคงจะดีกว่าต้องมารับรู้ความจริงที่จะทำลายหัวใจจนแหลกไม่มีชิ้นดี
แต่ความลับมันไม่มีในโลก และมันถึงเวลาแล้วที่พันเอกจะต้องรับรู้ถึงความเลวร้ายในอดีต
“วันที่พ่อแม่กูตาย กูอยู่บ้านคนเดียว” ชายหนุ่มเปิดปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาจ้องมองนาวาที่ยืนเคียงข้างพันเอกก่อนจะเบนกลับมามองคนในอ้อมกอดของตน
“กูเป็นแค่เด็กอายุสิบแปด นั่งเล่นเกมอยู่กับลูกของแม่บ้านที่ห้องนั่งเล่น”
“...”
“แต่อยู่ๆก็มีผู้ชายเกือบสิบคนบุกเข้ามา...ข่มขืนผู้หญิงในบ้าน ข่มขืนเด็กผู้ชายที่นั่งเล่นเกมกับกู และกำลังจะทำกับกูแบบเดียวกัน แถมยังฉีดยาไอซ์ใส่กูด้วย หึ” รามแค่นยิ้ม นึกย้อนไปถึงวันนั้นแล้วความรู้สึกหวาดกลัวก็ยังคงติดค้างอยู่ในใจ ความรู้สึกตอนได้ยินเสียงกรีดร้อง ภาพความน่ากลัวที่เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังถูกย่ำยี และความหวาดหวั่นตอนที่ถูกปลายเข็มทิ่มเข้ามาภายในผิวกาย
รามฝันร้ายมานานนับปีจากเหตุการณ์นั้น
“แต่กูก็หนีออกมาได้ กูจำหน้ามันได้หมดทุกตัว รู้อะไรไหม...พวกมันคือคนที่แม่มึงส่งมาเก็บกู”
“!!!”
“หลังจากพ่อแม่กูตาย แม่มึงก็ยังไม่หยุด เธอโกงเอาทรัพย์สินทุกอย่างจนบริษัทใหม่ที่เพิ่งจะสร้างล้มละลายลง และกูทนให้เธอเหยียบกูจนจมดินไม่ได้เลยตัดสินใจส่งคนไปตัดสายเบรกเพื่อหยุดเธอซะ แต่กูไม่คิดว่าอาพัฒจะโดนลูกหลงจนตายไปด้วย”
“คุณราม...ฮึก”
“หลังจากนั้นกูก็หนีกลับมาอยู่ที่นี่ ทรมานกับการลงแดงที่แม่งเจ็บเจียนตาย กว่าจะรักษาอาการติดยาหายก็นานนับปี”
“...”
“และก่อนมา กูระบายความแค้นทุกอย่างไว้กับน้องมึง” รามพูดพลางก้มลงมองคนที่อ้อมแขน พระพายเม้มปากแน่นเมื่อรู้ว่ารามกำลังจะพูดอะไรก่อนจะก้มหน้านิ่ง
“กูหลอกพระพายไปทำระยำในห้องเก็บของหลังโรงเรียน ให้แหวนน้องเอาไว้แลกกับสัญญาว่าจะรับไปอยู่ด้วยกัน โกหกว่ารักน้องแล้วก็ทิ้งมา”
“ฮึก”
“กูไม่เคยรักน้องมึงจริงๆ ไม่ว่าจะวันนั้น หรือวันนี้ก็ไม่รัก...ไม่มีวันรัก” ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา รับรู้ถึงอาการสั่นไหวของคนในอ้อมกอดก่อนจะยอมปล่อยให้พระพายทรุดลงไปหาคุณากรในที่สุด
“ที่กูบอกความจริงไม่หมดเพราะกูรู้ว่ามึงจะเป็นยังไง มึงยังไม่พร้อม และกูคิดเอาไว้ว่าเมื่อกูเอาคืนแล้วทุกอย่างก็จบ จะยอมให้มึงเอาคืนในแบบที่มึงต้องการโดยไม่ตอบโต้จนกระทั่งมึงดึงคุณวามาเกี่ยว กูทนไม่ได้”
“...”
“ถ้ามึงอยากจะจบ ก็มาเอาตัวพระพายคืนไป กูพร้อมจบให้เสมอเพราะถือว่าน้องมึงชดใช้ในสิ่งที่กูโดนมามากเกินพอแล้ว” รามพูดพลางก้าวถอยหลัง เปิดโอกาสให้พันเอกเข้ามาพาตัวน้องที่ยังร้องไห้ออกไป แต่อีกคนกลับยังยืนนิ่ง จ้องมองพระพายที่ถูกคนเป็นพ่อกอดไว้ด้วยสายตาอ่านไม่ออก
“กูจะชดใช้ให้” พันเอกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเรียกให้รามเงยหน้าขึ้นไปมอง
“กูจะชดใช้ในสิ่งที่มึงเสียไปให้หมด จนกว่ามึงจะพอใจ” ร่างสูงเอ่ยพร้อมกับก้าวเดินอย่างมั่นคงไปหาราม โดยไม่คาดคิด พันเอกคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าของเกาะแห่งนี้พลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“จะชดใช้ให้จนกว่ามึงจะพอใจ แล้วหลังจากนั้นเราทั้งคู่คงไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”
“มึงควรกลับไปซะเอก กลับไปแล้วต่างคนต่างอยู่”
“ให้กูได้ชดใช้เถอะ ในส่วนที่แม่กูเคยทำเอาไว้ เราจะได้ไม่มีอะไรติดค้างในใจกันอีก” รามแค่นยิ้มเมื่อฟังจบ มองคนเสียหลักตรงหน้าเพียงชั่วครู่ก่อนจะมองไปยังร่างโปร่งของนาวาที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
“มันขึ้นอยู่กับคุณวา ว่าเขาอยากให้มึงชดใช้ให้เขายังไง ถ้าเขาพอใจ เรื่องระหว่างเราก็ถือว่าจบ”
ทุกสายตามองไปยังร่างของนาวาทันทีที่รามพูดจบ คนถูกมองเลิกลั่กชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจ ดวงตาสีเข้มก้มลงมองพันเอกด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกก่อนจะเบือนหน้าหนี
“ให้เขาทำงานที่เกาะสักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็แล้วกัน” นาวาบอกเสียงอ้อมแอ้ม
“ผมหมายถึง...ชดใช้ในส่วนของคุณรามด้วยการเป็นคนงาน ส่วนเรื่องของผม เมื่อเขาพร้อม ผมจะบอกเขาเองว่าผมต้องการอะไร” นาวาพูดพลางสบตากับพันเอกอย่างไม่ลดละ ฝ่ายรามเองก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะสั่งให้รุ่งฟ้าบอกให้คนทำความสะอาดห้องพักที่เรือนคนงานเอาไว้สองสามห้อง รุ่งฟ้ารับคำหากแต่ยังขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ รามยกยิ้มกับท่าทีของลูกน้องก่อนจะเฉลยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพลางปรายตามองพันเอกด้วยแววตาว่างเปล่า
“ก็ในเมื่ออยากชดใช้นักก็ให้มันทำงานแลกหนี้ไป หาที่นอนหมอนมุ้งให้มันด้วยล่ะ ส่วนนาย...” ร่างสูงปรายตามองไปยังพระพายที่เอาแต่มองพี่ชายด้วยแววตาห่วงหา
“ฉันปล่อยนายคืนพี่ชายสุดที่รักแล้ว ไปนอนกับมันก็แล้วกัน”
รามเองก็อยากจะรู้นัก ว่าพันเอกจะทำยังไงกับพระพาย เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่น้องแท้ๆ
จะยังหวงแหนรักใคร่เหมือนเดิม
หรือผลักใสไล่ส่ง ทำทีเกลียดชังทั้งที่ผูกใจรักตั้งแต่น้องยังเป็นทารกเหมือนคราวที่ทำกับส่องแสง
จะทำยังไงกันแน่ละ พันเอก...
“พอนอนได้ไหมครับ” รามเดินเข้ามาถามนาวาหลังจากที่สั่งให้รุ่งฟ้าทำความสะอาดห้องนอนแขกเอาไว้ นาวาหันมามองเจ้าของบ้านพลางยกยิ้มก่อนจะพยักหน้า
“ตอนนี้คุณวายังถูกมันทำร้ายอยู่ไหม” นายหัวหนุ่มเปิดประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม
“ไม่แล้วครับ ตรงกันข้ามเลยล่ะ” ร่างโปร่งยกยิ้มบางเบา “เขาบอกผมแบบที่บอกกับคุณ ทั้งขอโทษ ทั้งพยายามชดใช้ แล้วก็...”
บอกว่ารัก...
“แล้วคุณก็ให้อภัยง่ายๆ?” รามขึ้นเสียงสูง มองนาวาที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงด้วยความไม่เข้าใจ ฝ่ายนาวาพอได้ยินก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“สิ่งที่เขาทำในตอนนี้มันลบล้างฝันร้ายของผมไม่ได้หรอก แต่ผมไม่ใช่คนที่จะมาผูกใจเจ็บ ในเมื่อเขาขอโอกาสแก้ตัว ผมก็จะให้” นาวาพูดขึ้น รามกำลังจะอ้าปากเถียงแต่ก็หยุดเอาไว้และรอฟังสิ่งที่อีกคนจะพูดต่อ
“ทั้งชีวิตผมเจอแต่เรื่องแย่ๆ และที่ทำให้ผมเจียนตายคือการเสียน้อง ผมคิดว่าไม่มีใครทรมานเท่าผมอีกแล้ว...จนได้ฟังเรื่องในวันนี้”
“คุณวา...”
“ทั้งคุณ ทั้งคุณเอก ทั้งพระพาย ล้วนแล้วแต่มีชีวิตอยู่บนความบิดเบี้ยวของโชคชะตาที่มากกว่าผม ผมไม่เกลียดใครที่ดึงผมเข้ามาเกี่ยว แต่ผมก็ไม่อยากจะอยู่ในวังวนนี้อีก ถ้าคุณจะกรุณา อย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยวอีกจะได้ไหมครับ” นาวาสบตากับร่างสูงอย่างจริงจังก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่ต้องแค้นแทนผม ให้มันเป็นเรื่องของพวกคุณ ผมมาที่นี่เพื่อที่จะเป็นผู้ชม มาเพื่อมองดูว่าคุณเอกเขาจะชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปยังไง และคุณ...จะทำยังไงกับสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้กับพระพาย” นาวาเอ่ยถึงใครอีกคนที่ตอนนี้เดินตามพันเอกและคนอื่นๆไปยังเรือนคนงาน รามชะงักไปชั่วครู่พลางเบือนหน้าหนี
“ผมกับพระพายเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
“เหรอครับ แต่พระพายรักคุณนะ ใครๆก็ดูออก” นาวาพูดขึ้นพลางยกยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายกัดฟันกรอด
“แต่ผมไม่ได้รักเขา คุณก็รู้ว่าคนที่ผมรักคือคุณ” ร่างสูงเดินเข้ามาหาพลางคุกเข่าลงตรงหน้าของนาวา สองมือแกร่งรวบมือขาวเอาไว้แล้วบีบเบาๆ
“ผมไม่สนว่าคุณจะเจออะไรมา ไม่สนว่าคุณเคยเป็นของใคร เริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม” ร่างสูงวอนขอ ดวงตาคมปลาบจ้องใบหน้าขาวของนาวาด้วยแววตาจริงจัง คนถูกมองขยับตัวอย่างอึดอัด ทำตัวไม่ถูกกับประโยคของอีกคน
เขาไม่รู้จะตอบรามไปว่ายังไง
นาวาเป็นคนมีตำหนิ เป็นเหมือนนกที่มีกรงเป็นของตัวเอง มีเจ้าของ
แม้จะไม่ใช่เจ้าของทางใจ แต่ผู้ชายคนนั้นก็ได้ขึ้นชื่อว่าเคยครอบครองร่างกายของเขามาแล้ว ถึงจะไม่ได้รักแต่นาวาก็รู้ดีว่าสัมผัสของพันเอกยังฝังแน่นอยู่ทุกอณูผิว
ถึงเขาจะเป็นผู้ชาย มันก็คงจะไม่ผิดใช่ไหมที่เขาจะยึดติดกับคนแรกที่ได้ต้องกายกัน แม้มันจะเป็นฝันร้ายเมื่อยามหลับตา แต่มันก็เป็นความจริงที่ว่าสิ่งที่พันเอกทำมันก็ไม่ต่างจากการตีตราจองเขาเอาไว้ การที่นาวาจะเริ่มต้นใหม่กับใครคนอื่นทั้งที่ร่างกายเคยเป็นของใครอีกคนแบบนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำ เขายังทำใจไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ในตอนที่เขายังคงจำสัมผัสและสีหน้าท่าทางของพันเอกได้ขึ้นใจอยู่แบบนี้
“ผมยังไม่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับใครในตอนนี้ครับคุณราม ผมขอโทษ” ตัดสินใจเอ่ยออกไปอย่างที่ใจคิด “ผมรู้ว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แต่ผมมีสิทธิ์รักนวลสงวนตัว มีสิทธิ์รักในคุณค่าของร่างกายตัวเอง ตอนนี้ผมไม่คิดจะเปิดรับใครเข้ามาในชีวิตทั้งนั้น และถึงจะคิด คนคนนั้นก็ไม่ใช่คุณ”
ร่างสูงของรามนิ่งไปกับประโยคของนาวา ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ในอกวูบโหวงกับคำปฏิเสธของคนตรงหน้า
“เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ใช่ไหมครับ” นาวาเอียงคอถาม หวั่นใจและรู้สึกผิดไม่น้อย เขากำลังทำร้ายความรู้สึกของรามอยู่หรือเปล่านะ...
คนคนนี้รักเขา เคยเจ็บและเกือบตายเพราะเขา แต่ ณ ตอนนี้ ในเวลานี้ นาวากลับปฏิเสธอีกคนไปอย่างไร้เยื่อใย นาวารู้ว่าตัวเองแย่ แต่เขาแค่อยากเลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่สนความรู้สึกของใครทั้งนั้น
นาวาทำเพื่อคนอื่นมามาก เขาแค่อยากตัดสินใจเลือกทางเดินให้กับชีวิตของตัวเอง เลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการและพึงพอใจบ้าง มันอาจจะดูย้อนแย้งกับอดีตที่ผ่านมาไปสักเล็กน้อย แต่ในเมื่อเลือกที่จะสนใจแค่อนาคต อดีตจะเป็นยังไงเขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น
“ผมเข้าใจ มันเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง”
“ครับ”
“ว่าแต่...คุณอยากเดินเที่ยวแถวนี้หน่อยไหม ผมเลี้ยงหอยมุกเอาไว้แล้วก็มีกระชังปลาอนุบาลสัตว์น้ำด้วย เดี๋ยวผมพาไปดู” รามเบี่ยงประเด็นเพราะไม่อยากให้นาวาเครียดมาก คนถูกถามชั่งใจชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า ร่างสูงจึงพานาวาออกมาเดินดูแถวกระชังปลาที่สร้างยื่นออกไปในทะเลที่มีระดับความลึกมากพอ ทางเดินเป็นเพียงไม้สองแผ่นวางคู่กัน นาวาหวิดจะตกทะเลอยู่หลายครั้งเพราะกระแสน้ำทำเอารามต้องคว้าแขนเล็กเอาไว้พลางหัวเราะบางเบา
“ระวังด้วย”
“ครับ...อ๊ะ มีโลมาด้วย” ร่างโปร่งพึมพำ มองลูกโลมาตัวจ้อยแหวกว่ายอยู่ในกระชังขนาดใหญ่ บริเวณหางมีบาดแผลเหวอะหวะที่รามบอกว่ามันได้มาจากอวนแหของชาวประมง
“แล้วแบบนี้คุณจะปล่อยมันกลับไปไหม”
“ให้อาการมันดีกว่านี้ก่อน แล้วเดี๋ยวผมจะส่งไปที่สถานอนุรักษ์สัตว์น้ำให้เขาดูแลต่ออีกทีหนึ่ง” รามยกยิ้ม มองนาวาที่จ้องลูกโลมาตาเป็นประกายก่อนจะหุบยิ้มเมื่อเห็นร่างเล็กของพระพายเดินเข้ามาหา
“พี่วา”
“อ้าว...คุณพาย มีอะไรรึเปล่าครับ” นาวาหันไปถามคนตัวขาวที่ยืนนิ่งอยู่ห่างๆในขณะรามมองคนที่มาขัดจังหวะด้วยความไม่พอใจ ร่างสูงฮึดฮัดในลำคอแผ่วเบาก่อนจะขอตัวเดินไปทางอื่น พระพายมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยแววตาวูบไหว ร่างเล็กเม้มปากแน่นจนนาวาอดสงสารไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปหาพระพายก่อนจะคว้ามือขาวเข้ามาจับเอาไว้แน่นจนอีกฝ่ายสะดุ้ง
“คุณพายมีอะไรครับ” นาวายกยิ้ม เอ่ยถามร่างเล็กที่ผอมลงไปถนัดตาพลางจูงมือพระพายกลับเข้าฝั่ง
“เอ่อ เรื่องณะโมน่ะครับ” คนถูกถามอ้ำอึ้ง ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าควรจะพูดกับนาวาดีไหม
“ผมยังเก็บอัฐิของณะไว้ที่บ้าน รอพี่วา...” พระพายหยุดพูดพลางช้อนดวงตาขึ้นมองปฏิกิริยาของอีกคน นาวาเงียบลงไปถนัดตาเมื่อคิดถึงเรื่องน้อง ในอกวูบโหวง ขอบตาเรียวร้อนผ่าวทำเอาคนมองร้อนรน
“ขอโทษนะครับพี่วา ขอโทษแทนพี่เอกด้วยที่พาตัวพี่ไปแบบนั้น ขอโทษที่จัดงานศพโดยไม่มีพี่ พี่วาจะลงโทษผมยังไงก็ได้ แต่อย่าเกลียดผมเลยนะ” พระพายพูดขึ้นด้วยความร้อนใจ มือขาวบีบมือของนาวาเบาๆพลางส่งสายตาขอโทษขอโพยมาให้ นาวามองคนตัวเล็กกว่าด้วยความเอ็นดูก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมและยกขึ้นมาวางบนศีรษะของคนตรงหน้าแล้วลูบเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเกลียดคุณไม่ลงหรอก”
ร่างโปร่งยกยิ้มบางเบาก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่...คุณเอกละครับ”
“ไปช่วยคนงานที่ท่าเรืออีกฝั่งของเกาะน่ะครับ เกาะนี้จะมีสองฝั่งซ้ายขวา ฝั่งนี้เป็นบ้านส่วนตัวของคุณรามและฟาร์มมุก อีกด้านถัดออกไปอีกก็จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆและท่าเรือของชาวประมง ตรงส่วนนี้รวมๆจะอยู่ทางปีกขวาของเกาะ” พระพายเล่าให้คนตัวสูงกว่าก่อนจะก้าวเดินเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ
“เข้าไปข้างในหน่อยก็จะมีสวนปาล์มกับสวนมะพร้าว ส่วนพื้นที่ทางปีกซ้ายจะเป็นป่าและหน้าผา แต่ก่อนจะถึงผาก็มีน้ำตกอยู่ สวยมากเลยนะครับ ว่างๆเดี๋ยวผมจะพาไปเล่นน้ำ” คนตัวขาวยกยิ้ม นาวามองพระพายอย่างนึกอึ้งแล้วก็อดที่จะกระเซ้าเย้าแหย่ไม่ได้
“คุณพายรู้ละเอียดเหมือนเป็นเจ้าของเกาะเลยนะครับเนี่ย”
“ก็...แรกๆหนีบ่อยน่ะครับ เลยเหมือนเป็นการทัวร์เกาะไปในตัวด้วย แต่หนียังไงก็ถูกจับกลับมาเหมือนเดิม” ร่างเล็กพูดติดตลก นาวาชะงักกับคำบอกของอีกคนก่อนจะเงียบไป
“คุณพายเกลียดคุณรามไหม” ร่างโปร่งตัดสินใจเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ พระพายหันมามองคนตัวสูงกว่าพลางส่ายหน้า
“ผมไม่เกลียดเขาหรอก แต่เกลียดตัวเองมากกว่า...” พระพายพูดพลางก้มลงมองหาดทรายสีเนื้อและฟองของน้ำทะเลที่ถูกพัดขึ้นมาบนชายหาด “ผมเกลียดความมั่นคงในใจของตัวเอง เมื่อก่อนผมรู้สึกกับเขายังไง ตอนนี้ใจผมมันก็ไม่เคยเปลี่ยน ทั้งๆที่เขาก็ร้ายใส่สารพัด ทำร้ายทั้งร่างกายแล้วก็จิตใจผมตั้งมาก แต่ผมกลับเกลียดเขาไม่ลง ไม่แม้แต่จะมีความคิดที่จะรู้สึกกับเขาแบบนั้น”
“...”
“ผมมันโง่มากใช่ไหมพี่วา กับคนที่ทำร้ายกันขนาดนั้นผมยังเกลียดเขาไม่ลงเลย” พระพายพูดด้วยน้ำเสียงสมเพชตัวเอง นาวาหลุดขำออกมาเพียงเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าไปมาเบาๆ
“ไม่เห็นโง่เลย ผมเองก็ไม่ได้ต่างเท่าไหร่” ชายหนุ่มพูด ทำเอาพระพายต้องหันมามองเสี้ยวหน้าขาวของนาวาอย่างรวดเร็ว
“ทั้งที่พี่ชายคุณร้ายใส่ผมขนาดนั้น ผมก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะรู้สึกเกลียดอะไรเขามากมาย ความรู้สึกที่มีในตอนนี้ก็แค่โกรธ ไม่รู้สิครับ ชีวิตผมผ่านความเลวร้ายมามาก คุณเอกก็เหมือนกับอุปสรรคแย่ๆที่แค่ผ่านเข้ามา เดี๋ยวสักพักทุกอย่างก็ดีขึ้น”
“พี่วา...รักพี่เอกเหรอครับ” พระพายถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ นาวาหันไปยิ้มให้คนถามก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ครับ”
“...”
“คุณเอกเป็นแค่คนที่เป็นเจ้าของกาย แต่ไม่ใช่เจ้าหัวใจ ถึงจะบอกว่าไม่ได้เกลียดที่เขาเคยทำไม่ดี แต่ก็ไม่ถึงขั้นรักเขาต้องบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยจะดีกว่า” นาวาพูดออกไปตามความรู้สึก
“ไม่ว่าพี่ชายคุณจะทำอะไรหรือรู้สึกยังไง สำหรับผมแล้วเขาก็แค่คนที่ผมรู้จักชื่อ ที่ผมยังอยู่เพราะผมต้องการบางอย่างจากเขา ถ้าได้มาแล้วถึงตอนนั้นผมก็จะไป” นาวายกยิ้ม มองหน้าพระพายที่มองกลับมาด้วยแววตาไม่สบายใจ
“แล้วพี่วาจะไม่ให้โอกาสพี่เอกหน่อยเหรอครับ พี่เอกรักพี่มากนะ” ร่างเล็กอดถามขึ้นมาไม่ได้ ให้นาวาเกลียดพันเอกยังจะดีกว่าการไม่รู้สึกอะไรด้วยแบบนี้ การไม่รู้สึกอะไรเลยของนาวาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายพร้อมที่จะหายออกไปจากชีวิตพันเอกได้ทุกเมื่อ
“ตอนนี้ไม่ครับ ผมอยากให้เราทั้งคู่จบกันแค่นี้” นาวาพูดขึ้นก่อนจะเหม่อมองออกไปยังผืนน้ำสีครามตรงหน้า “ทุกคนมีโอกาสเป็นของตัวเอง แต่ผมแค่อยากขอเวลา”
ใช่...สิ่งเดียวที่จะช่วยเยียวยาบาดแผลในใจของนาวาได้ก็คือเวลา
แค่เวลาเท่านั้น
…………………………………………………………………………………………………………….
“อ้าวพี่รุ่งคนสวย ลมอะไรหอบมาถึงนี่เลยจ๊ะ” เสียงหวีดร้องโห่แซวของหนึ่งในชาวประมงที่กำลังลำเลียงปลาลงจากเรือดังขึ้นเมื่อรุ่งฟ้าเดินมาถึง คนถูกแซวกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ร่างโปร่งแจกนิ้วกลางให้เหล่าคนงานปากเปราะไปทีหนึ่งก่อนจะตะโกนด่า
“สวยพ่อมึงสิไอ้เหี้ย!”
“อู้ว สวยดุซะด้วย” อีกฝ่ายไม่วายต่อล้อต่อเถียง รุ่งฟ้าพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดพลางส่งสายตาเชือดเฉือนไปให้
“เอาคนงานใหม่มาส่งสามคน ไอ้พวกจิ๊กโก๋มึงอย่าก่อเรื่องละ นี่คนของนายหัว” ร่างโปร่งกวาดสายตามองคนงานก่อนจะหันมาพูดกับชายหนุ่มสามคนที่เดินตามหลังมาด้วยใบหน้าราบเรียบ
“เดี๋ยววันนี้พวกคุณช่วยคนงานขนปลาขึ้นจากเรือนะ กรมอุตุบอกมาว่าเย็นนี้พายุจะเข้า ไว้พรุ่งนี้ผมจะบอกเพิ่มเองว่าต้องทำอะไรบ้าง พอเสร็จแล้วก็กลับห้องไปอาบน้ำอาบท่าซะ เดี๋ยวจะให้คนเอาข้าวยาปลาปิ้งไปให้”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพวกผมหากินกันเอาเอง” พันเอกพูดสวนร่างโปร่งด้วยน้ำเสียงขอไปที รุ่งฟ้าเหยียดยิ้มใส่คนตัวโตก่อนจะเย้ยเสียงสูง
“คุณคงลืมไปแล้วมั้งว่าที่นี่เป็นเกาะ ไม่ได้มีร้านกับข้าวสองข้างทางหรอกนะ”
“...”
“อย่าถือตัวให้มากนักเลยคุณพันเอก คุณหาเรื่องเอง จริงๆกลับไปเงียบๆก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าเสนอหน้ามาขอชดใช้อะไรไร้สาระแบบนี้ด้วยซ้ำ” รุ่งฟ้าอดพูดออกมาไม่ได้ เขามั่นใจว่าถ้าพันเอกยอมจบและกลับไปอย่างเงียบๆนายหัวรามก็ไม่เกี่ยง นายของเขาพร้อมปล่อยคนพวกนี้ให้เป็นอิสระแน่นอน เดิมทีก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายอะไรอีกฝ่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ที่เป็นแบบนี้เพราะพันเอกเองนั่นแหละที่ขอชดใช้
รุ่งฟ้าอดสงสัยไม่ได้ ไอ้ที่ว่าชดใช้น่ะ...พันเอกกำลังชดใช้อะไรอยู่
ชดใช้ที่พ่อกับแม่ตัวเองเคยทำไม่ดีเอาไว้ หรือชดใช้ที่ตัวเองทำเลวๆกับคุณนาวากัน?
หรือกำลังชดใช้ทั้งคู่
แล้วเรื่องที่นายหัวของเขาทำร้ายพระพายล่ะ พันเอกคิดจะเอาคืนอะไรอีกไหม
เขาตามคนพวกนี้ไม่ทันจริงๆ
“ผมเคยทำอะไรเอาไว้ก็จะชดใช้ให้หมดนั่นแหละ จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไปสักที ผมเองก็ไม่ต้องคลางแคลงใจอะไรอีก อย่างน้อยก็ไม่ถูกคนแถวนี้ตราหน้าว่าหน้าตัวเมีย ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด” พันเอกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาคมดุปรายตามองรุ่งฟ้าด้วยท่าทีนิ่งๆ ฝ่ายคนฟังชะงักไปชั่วอึดใจ ร่างโปร่งเบือนหน้าหนีพลางถอนหายใจ
“เอาเถอะ ไปทำงานได้แล้ว ฝนใกล้จะมาแล้ว ผมไปละ” พูดจบก็หมุนตัวเดินหนี ไม่วายถูกคนงานแซวตามหลังจนต้องถอดรองเท้าแล้วโยนใส่พวกมันจนแตกฮือไปคนละทิศคนละทาง
“โหดชิบ” พายุบ่นไล่หลังพลางย่นจมูก จักรที่ยืนข้างกันได้แต่ส่ายหัวมองคนตัวเล็กอย่างอ่อนใจ มือใหญ่ยกขึ้นยีหัวร่างโปร่งเบาๆ จนพายุเอ็ดตะโรใหญ่ก่อนที่ทั้งคู่จะตามพันเอกไปช่วยคนงานทำงานอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าที่รุ่งฟ้าบอกว่าพายุจะเข้านั้นเป็นเรื่องจริง เพราะหลังจากที่พันเอกขนปลาขึ้นจากเรือยังไม่ทันไร ฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว เหล่าชาวประมงกุลีกุจอทำงานของตัวเองกันยกใหญ่ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน พันเอกกับลูกน้องคนสนิทเองก็ได้วิ่งตากฝนจากท่าเรือมายังเรือนพักของคนงานที่อยู่ห่างกันเกือบเป็นกิโล
“ฝนตกหนักแบบนี้ คืนนี้จะนอนหลับไหมเนี่ย” พายุบ่นอุบ มองลมกรรโชกที่พัดเอากิ่งไม้ใบหญ้าให้ไหวเอนอย่างรุนแรงด้วยความไม่ชอบใจ เสียงฟ้าแลบแปลบปลาบพาให้หัวใจสั่นไหว เขาไม่ชอบเวลาฝนตกหนักแถมมีฟ้าร้องฟ้าผ่าเอาเสียเลย
“ตกขนาดนี้คุณรุ่งคงเอาข้าวมาส่งให้ไม่ได้แล้ว ทนหิวกันหน่อยนะ” พันเอกมองฟ้าพลางเอ่ยบอกทั้งจักรและพายุ ทั้งคู่บอกปัดว่าชินแล้วกับการอดมื้อกินมื้อก่อนจะขอตัวแยกย้ายเข้าไปอาบน้ำอาบท่า แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ขยับตัวเสียงคุ้นเคยของพระพายก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กที่หอบเอาถุงกับข้าวและถ้วยจานมาเต็มอ้อมแขน
“พี่เอก พี่ยุ พี่จักร”
“คุณพาย! ทำไมตากฝนมาแบบนี้ละครับ” พายุร้องเสียงหลง ตรงเข้าไปดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้พลางขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง
“ผมเอาข้าวจากบ้านพ่อกรมาให้ กลัวไม่มีใครเอาข้าวมาส่งน่ะครับ” พระพายยกยิ้ม หันไปมองพันเอกที่ยืนนิ่งแล้วก็รีบวิ่งปุเลงๆเข้าไปหาคนเป็นพี่ชาย
“วันนี้คุณพ่อทำแค่ไข่เจียวกับน้ำพริก แล้วก็มีข้าวสวย ผมเห็นว่ามีปลาทูเลยทำป่นมาเพิ่มให้ด้วย พี่เอกกินได้ไหม” ร่างเล็กพูดพลางแกะถุงกับข้าวเทใส่จานที่เตรียมมา พันเอกก้มลงมองพระพายที่กระตือรือร้นดูแลเขาเสียยกใหญ่ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ความจริงที่เพิ่งได้รู้เมื่อตอนกลางวันทำเอาร่างสูงสับสน ขายาวก้าวถอยหลังออกห่างจากร่างเล็กก่อนจะเอ่ยตัดบทเสียงเรียบ
“เอากลับไปเถอะ ฉันไม่หิว”
“แต่คุณรุ่งบอกว่าพี่ทำงานหนัก ต้องกินนะพี่เอก สองสามคำก็ยังดี” พระพายพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองหน้าคมคายของคนเป็นพี่ พันเอกขมวดคิ้ว ตัดสินใจพูดกับพระพายออกไปตามตรง
“กลับไปซะพระพาย ฉันยังไม่พร้อมจะคุยกับคนอื่นตอนนี้”
“พี่เอก...” พระพายครางในลำคอ ในอกเจ็บลึกกับคำว่า ‘คนอื่น’ ของพี่ชายจนใจหาย
“อย่าเพิ่งมาให้เห็นหน้าได้ไหมพระพาย เห็นแก่ฉันที ช่วยอยู่ห่างๆฉันสักพักเถอะ อย่าให้ฉันต้องรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้เลย” ร่างสูงพูดอย่างไม่เห็นใจความรู้สึกของคนฟังเลยแม้แต่น้อย พระพายมองพี่ด้วยแววตาวูบไหว อดจะเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาให้คนฟังใจหายไม่ได้
“โกรธมากเลยเหรอครับ”
พันเอกสะอึก เงียบไปกับคำถามของน้องแล้วเบือนหน้าหนี
“ผมเลือกเกิดไม่ได้หรอกนะพี่เอก ถ้าเลือกได้ก็อยากจะเป็นลูกพ่อพัฒเหมือนกับพี่” ร่างเล็กพูดพลางยิ้มขืน “ผมรักพี่ที่สุดนะ พี่ไม่รักผมแล้วก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับผม พี่เอกเป็นคนเดียวที่ผมรักมากกว่าชีวิตของผมเอง” พระพายหลุดสะอื้นเสียจนพายุแทบจะเข้าไปกอด จักรดึงคนข้างกายเอาไว้พลางส่ายหน้า ไม่สนใจใบหน้างอง้ำของพายุที่มองมาเลยแม้แต่น้อย
เขาเข้าใจดี จักรเองก็สงสารพระพายไม่แพ้กัน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนในครอบครัว คนนอกไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
“กลับไปเถอะพระพาย” พันเอกพูดขึ้น “กลับกรุงเทพไปซะ นายไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องอยู่ที่นี่ต่อแล้ว”
“อยู่กับพี่ไง รอกลับพร้อมกันเลย” พระพายพูดขึ้น สองขากำลังจะก้าวเข้าไปหาคนตรงหน้าหากแต่พันเอกกลับก้าวออกให้ห่าง พอเห็นแบบนั้น น้ำตาเม็ดใสก็ร่วงผล็อยลงผ่านผิวแก้มของคนเป็นน้องแทบจะในทันที
“ไปเถอะพระพาย ฉันเห็นนายแล้วรู้สึกแย่มากจริงๆ” จบประโยคร่างสูงก็เดินหนีเข้าห้อง ในขณะที่พระพายยังคงยืนอยู่ที่เดิมแม้บานประตูจะปิดลงแล้ว
สิ่งที่เจ็บกว่าการที่รามบอกว่าไม่มีวันรักเขา ก็คือการถูกพี่ชายที่รักมากที่สุดหันหลังให้อย่างไม่คิดใยดีกัน
พระพายได้แต่บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวพันเอกก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เขาไม่เป็นไรหรอก เพราะเดี๋ยวพันเอกก็จะกลับมาเป็นพี่ชายคนเดิมของเขาเหมือนเดิม
ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม...
โปรดติดตามตอนต่อไป