บทที่ 72 กลับบ้าน
รสชาติของการได้กลับสู่แผ่นดินเกิดเป็นอย่างไร คล้ายกับปีติตื้นตันอยู่ในอกจนพูดไม่ออก
เหลียนอันสุ่ยไม่สามารถบรรยายสีหน้าของพวกเขาเหล่านั้นขณะก้าวข้ามพรมแดนของแคว้นหนานเหมินสู่แคว้นเป่ยชาง ทิวเขาที่ทอดไกลอยู่เบื้องหน้าราวกับละลายหน้ากากหนักแน่นเรียบเฉยของเหล่านักรบชาวเป่ยชางต่ละคนลงจนหมดสิ้น สีหน้ามิได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าใด แต่แววตากลับไม่เหมือนเดิมอีก
ในใต้หล้านี้บางครั้งก็ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าการได้กลับ ‘บ้าน’
---------------------
เสียงพูดคุยกับเสียงดนตรีดังแข่งกัน ทำนองเพลงพื้นเมืองอาบย้อมทุกหนทุกแห่งที่สว่างขึ้นจากกองไฟให้อบอุ่นคึกคัก
คนหนุ่มผู้หนึ่งประกาศเสียงดังว่ากลับไปครั้งนี้เขาจะแต่งงาน
คนหนุ่มคนที่สองบอกว่าเขาอยู่กองทหารม้า ประกอบความดีความชอบไม่น้อย ราชสำนักต้องปูนบำเหน็จให้บ้านที่ยากจนของเขา
คนหนุ่มคนที่สามนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างกองไฟ พึมพำว่าเขาควรบอกที่บ้านว่าอย่างไร มือหยาบกร้านลูบคลำหมวกเกราะของพี่ชายซ้ำไปมา ดวงตาคล้ายกับมีแววน้ำตาเมื่อนึกถึงใบหน้ามารดากับพี่สะใภ้
คนหนุ่มคนที่สี่ดื่มเหล้าอึกใหญ่ สีหน้าปีติยินดีราวตังเขากับไหสุราเป็นญาติเก่าแก่ของกันและกัน
ยังมีคนหนุ่มคนที่ห้าคนที่หก ความในใจของพวกเขาย่อมแตกต่างกันออกไป เหลียนอันสุ่ยเดินพลางได้ยินไปพลาง หลายคำดังมากระทบหูเขาเอง และหลายคำกลืนหายกับเสียงจอกแจกจอแจจนฟังไม่ได้ศัพท์ มีคนเรียกเขาเป็น ‘ท่านหมอ’ อยู่ตลอดทาง ต้วนจินกับหม่าหลงยังคงเป็นเงาที่ไล่ไม่ไปติดตามอยู่เบื้องหลัง
อีกไม่กี่วันจะถึงเมืองหลวง เศรษฐีใหญ่ของเมืองที่พวกเขาพำนักจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เหล่าทหารที่นำชัยกลับมาเป็นพิเศษ มันอาจมาจากความยินดีที่แท้จริง หรือตั้งใจจะประจบเป่ยชางอ๋อง แต่เศรษฐีใหญ่ของเมืองทั้งห้าคนล้วนได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดสมดังปรารถนา ส่วนสุราอาหารที่ไม่ต้องเสียเงินเหล่าทหารทั้งหลายย่อมต้องน้อมรับเอาไว้ด้วยความยินดี ผู้ที่เสียเปรียบที่สุดเห็นจะเป็นกลุ่มทหารที่ต้องอยู่เวรยามคืนนี้ เพราะนี่เป็นคืนเดียวที่ต้าอ๋องอนุญาตให้ดื่มเหล้า ส่วนคนเฝ้ายามแน่นอนว่าต้องอดไป
เหลียนอันสุ่ยออกมาช้า ตั้งใจจะเดินไปสมทบกับหมอประจำกองทัพคนอื่นๆ แต่เหลือบเห็นแม่ทัพกู่เข้าเสียก่อน วันนี้คนเจ็บทั้งหลายต่อให้ต้องกระเสือกกระสนสักหน่อยก็ต้องกระเสือกกระสนออกมาร่วมฉลองกับพรรคพวก แม่ทัพกู่ออกมาก่อนเขาตั้งนาน คิดไม่ถึงยังคงกระเผลกไปไม่ถึงจุดหมาย
เพ่งดูซักพักจึงเข้าใจ แม่ทัพกู่ผู้นี้แม้สูญเสียขาไปข้างหนึ่งแต่ความทระนงยังคงสูงเทียมฟ้า ไม่ว่าผู้ใดคิดเข้ามาช่วยเขาล้วนถูกไล่ให้ไปดื่มกินต่อ ดูท่าคงคิดจะใช้ความสามารถของตัวเองแม้จะต้องพักๆหยุดๆเป็นช่วงๆก็ต้องเดินไปถึงจุดหมายโดยไม่มีใครช่วย เพียงแต่คนนั่งกินยืนกินหนาแน่นทีเดียว คิดเดินฝ่าออกไปต่อให้มีสองขาก็ยังเป็นเรื่องลำบาก
“แม่ทัพกู่”
คนถูกเรียกหันกลับมา ความหงุดหงิดยังคงตกค้างอยู่บนใบหน้า หงุดหงิดความพิการของตัวเองเหลือจะกล่าว เห็นเป็นเหลียนอันสุ่ยสีหน้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย เอ่ยปากถาม
“พระมาตุลาก็ออกมาร่วมชมความครึกครื้นหรือ” กวาดตามองไปข้างหลังเหลียนอันสุ่ยแล้วก็หัวเราะเบาๆ “สองคนนั้นปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดจริงๆ จนตอนนี้ก็ยังเดินตามท่านไม่ห่าง”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจยาว หันไปกล่าวย้ำคำเดิมอีกครั้งว่า
“พวกเจ้าไปร่วมสนุกกับพวกองครักษ์เถอะ อย่าเอาแต่เฝ้าข้าเลย”
ผู้ติดตามทั้งคู่ตอบพร้อมเพรียงกันคำเดิม
“ข้าน้อยมีหน้าที่อารักขาความปลอดภัยให้พระมาตุลา”
“ข้าจะเดินไปกับแม่ทัพกู่ พวกเจ้าสมควรไปได้แล้ว แม่ทัพกู่อยู่ที่นี่รับรองไม่มีใครกล้าก่อเรื่องวุ่นวาย”
คนที่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยเงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง คิดไม่ถึงยืนอยู่เฉยๆกับต้องไปคั่นกลางระหว่างนายบ่าวสามคนตรงหน้า
“แต่ว่า...”ต้วนจินคิดจะแย้งแต่หม่าหลงชิงปรามไว้ ผงกศีรษะกล่าวว่า
“ไม่ว่าอย่างไรพวกท่านก็จะเดินไปทางเดียวกัน เช่นนั้นพวกข้าไม่กวนแล้ว ขออภัยที่ต้องสร้างความรำคาญให้กับพระมาตุลา รบกวนแม่ทัพกู่ด้วย” เรื่องราวควรมีความพอเหมาะพอดี ติดตามกระชั้นชิดทุกฝีก้าวไม่ว่าใครก็ต้องอึดอัด จะอย่างไรโต๊ะของพระมาตุลาก็ถึงก่อน ดังนั้นสมควรไม่มีปัญหา
เมื่อผู้ติดตามสองคนจากไป เหลียนอันสุ่ยจึงค่อยระบายลมหายใจออกมา หันมายิ้มให้คนที่ถูกลากเข้าไปยุ่งโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างขอโทษขอโพย
“ขอบคุณท่าน ความจริงข้าแค่อยากให้พวกเขาได้ไปผ่อนคลายบ้าง ไม่ใช่ต้องทำหน้าที่ติดตามข้าอยู่ตลอด”
คนฟังหัวเราะเบาๆ จากนั้นมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย ก้มมองขาตัวเอง กล่าว
“ท่านเดินนำไปก่อนก็ได้ ข้าคงเดินช้าหน่อย”
แต่เหลียนอันสุ่ยกลับลดระดับความเร็วลงมาเท่ากับเขา เดินช้าๆไปเรื่อยๆให้บรรยากาศโหวกเหวกคึกคักกลบกลืนทุกแสงและเงา สะกิดขอทางไปตลอดทาง
ในที่สุดก็เดินมาถึงโต๊ะของหมอประจำกองทัพที่เต็มไปด้วยคนคุ้นหน้าที่ร่วมผ่านความลำบากมาด้วยกัน ทว่าเหลียนอันสุ่ยกลับไม่นั่งลง หันไปกล่าวกับผู้ที่เดินมาส่งเขาว่า
“ให้ข้าเดินไปเป็นเพื่อนท่านเถอะ ตอบแทนที่ท่านช่วยข้าจัดการเรื่องยุ่งยาก” ถึงปากจะกล่าวเช่นนั้นแต่เหลียนอันสุ่ยเห็นแล้วว่าสาเหตุหลักที่แม่ทัพกู่กระเผลกอยู่นานก็ยังไปไม่ถึงไหนเป็นเพราะไม่ยอมออกปากขอทาง
คนบางคนเคยเข้มแข็งมาตลอดพอตัวเองอ่อนแอลงกลับยอมรับไม่ได้ ความดื้อรั้นเช่นนี้บางทีก็ดีกว่าท้อแท้สิ้นหวัง แต่ความดื้อรั้นเช่นนี้หากปล่อยให้เดินต่อไปเองคนที่ใกล้จะหายดีอาจถูกหามเข้าโรงหมอเป็นการเร่งด่วนเพราะหกล้มหัวแตกก็เป็นได้
ทว่าเหลียนอันสุ่ยกลับลืมเลือนไปอย่างหนึ่ง ว่าแม่ทัพกู่เป็นสหายของฉีเซี่ยงหยวน
ดังนั้นโต๊ะที่เขาตั้งใจจะเดินไปสมควรเป็นโต๊ะประธาน !
---------------------
โต๊ะตัวใหญ่วางอาหารไว้เต็มเพียบ รินสุราไว้เต็มจอก
“ทำไมเจ้านั่นมาช้านัก” ฝงเป่าบ่น
“ก่อนจะบ่นเงยหน้าขึ้นดูบ้าง มานู่นแล้ว” สิ้นเสียงของมู่ซางทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะล้วนหันไปมอง มู่ซางมองดีๆอีกทีเห็นคนอีกคน มือที่กำลังรินสุราให้ตัวเองก็ชะงักค้างไว้ ตาเหลือบมองไปยังนายเหนือหัว เห็นสีหน้าฉีเซี่ยงหยวนเรียบเฉย หันไปสั่งหลิวฉางเฟยสองสามคำแล้วก็ผุดลุกขึ้นยืน... ฮ่า ท่าทางเป็นเรื่องแล้ว มู่ซางลอบหัวร่อในใจ เอนหลังพิงพนักเตรียมรอชมดูเรื่องสนุก
เป็นโชคร้ายขอแม่ทัพกู่แท้ๆที่ดันโผล่มาช้าเกินไป เศรษฐีเอย เจ้าเมืองเอย ล้วนกล่าวอำลาจากไปหมดแล้ว ดังนั้นต้าอ๋องจึงปราศจากข้อกริ่งเกรงอีก
เดินมาส่งถึงปลายทางเหลียนอันสุ่ยจึงพบว่าโต๊ะใหญ่ตัวนี้มีใครบ้างและตัวเองลืมเลือนเรื่องใหญ่อะไรไป คิดจะหันหลังกลับ มือข้างหนึ่งก็วางลงบนบ่าสูงโปร่ง
“ท่านมาแล้วก็จะไปเลยหรือ” เสียงอันคุ้นเคยถามขึ้น
เหลียนอันสุ่ยมองคนทั้งโต๊ะ เห็นบรรดาแม่ทัพคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวนล้วนหันมามองเขา รู้สึกถึงมือใหญ่บนบ่า สีหน้าไม่ทราบสมควรทำอย่างไร
บุรุษแซ่กู่ที่เดินมาด้วยกันเลิกคิ้วสูง เห็นว่าน่าสนุก เสาะหาเก้าอี้ได้ก็รีบนั่งลง ตั้งหลักเตรียมรับการโจมตีจากความหึงหวง
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้บันดาลโทสะอย่างที่มู่ซางคาด แค่วางมือโอบบ่าเหลียนอันสุ่ยด้วยสีหน้าปกติ เรียกให้คนยกเก้าอี้มาอีกตัว
“มู่ซาง คารวะพระมาตุลา” สิ้นเสียงมู่ซางทั้งโต๊ะเงียบกริบทันที มองสีหน้าพวกเขาเหลียนอันสุ่ยพลันทราบว่าคนเหล่านี้เห็นทีจะรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องราว ร่างสูงโปร่งทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม
“ข้าจะแนะนำพวกเขาให้ท่านรู้จัก คนผู้นี้คือ...” ฉีเซี่ยงหยวนแนะนำทีละคน แต่แนะนำว่าอย่างไรบ้างเหลียนอันสุ่ยกลับได้ยินไม่ค่อยถนัด ในหัวสับสนวุ่นวายไปหมด
ฝงเป่าที่นั่งอยู่ข้างฉีเซี่ยงหยวนคิดจะสละที่นั่งให้ แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับกดร่างของเหลียนอันสุ่ยให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่ยกมาใหม่เสียก่อน ร่างสูงใหญ่เดินกลับไปนั่งที่ กล่าวว่า
“คนกันเองทั้งนั้น เฒ่าเฉาเล่าเรื่องของท่านต่อเถอะ”
มู่ซางกระพริบตาอย่างแปลกใจที่ตำแหน่งที่เหลียนอันสุ่ยนั่งไม่ใช่ตำแหน่งข้างนายเหนือหัว แต่เป็นตำแหน่งตรงข้ามกันพอดี
เหลียนอันสุ่ยบีบมือเข้าหากันเพื่อข่มความประหม่า คนบนโต๊ะนี้ส่วนใหญ่เขาไม่คุ้นเคย การที่ฉีเซี่ยงหยวนไปนั่งเสียไกลยิ่งทำให้ใจเขาว่างโหวงแปลกๆ ขณะบทสนทนาบนโต๊ะใหญ่ที่หยุดชะงักไปกลับมาดังอีกครา เสื้อสีดำตัวหนึ่งก็ยื่นเข้ามาเบื้องหน้าเขา หันกลับไปเหลียนอันสุ่ยจึงเห็นหลิวฉางเฟย
“ต้าอ๋องให้เอามาให้ท่าน”
เป็นเสื้อสีดำเรียบๆตัวหนึ่ง เหลียนอันสุ่ยเอ่ยปากขอบคุณ มองไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็เห็นคนยิ้มบางๆมาให้ อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงว่า ‘ใส่ไว้’
ยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงอากาศตอนกลางคืนก็ยิ่งเย็น ฉีเซี่ยงหยวนจำได้ว่าเหลียนอันสุ่ยทนอากาศหนาวไม่ค่อยได้เลยให้หลิวฉางเฟยไปเอาเสื้อคลุมของเขามาจากกระโจม
หลังบอกให้ทำตัวตามสบาย หลิวฉางเฟยก็เดินกลับไปนั่งที่ของเขา
ใจของเหลียนอันสุ่ยสงบลง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉีเซี่ยงหยวนถึงไปนั่งเสียไกล ยอมรับว่าถ้าอีกฝ่ายนั่งข้างเขา เขาจะต้องทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่านี้ และจะเป็นจุดเด่นยิ่งกว่านี้
จู่ๆฝงเป่าก็ตบไหล่แม่ทัพกู่ หันมากล่าวกับเหลียนอันสุ่ยว่า
“เจ้าหมอนี่ไปรบกวนท่านอยู่นาน นับว่าเหนื่อยท่านแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งอึ้งเมื่อพบว่าถูกพูดถึงกะทันหัน ไม่ทันตอบคำมู่ซางก็กลอกตาพูดขึ้นก่อน
“ได้ข่าวว่าเมื่อไม่นานมานี้ใครบางคนก็บาดเจ็บโอดครวญอยู่ในกระโจมคนป่วยเช่นกัน”
“พวกเจ้าสองคนจะทะเลาะก็ไปทะเลาะกันที่อื่น ข้าจะฟังเฒ่าเฉาเล่าเรื่องตอนถูกปล้นชิงเสบียง” แม่ทัพกู่สวนขึ้น
“พูดได้ดี เอาล่ะทุกคนฟังข้า นี่มันถึงตอนสำคัญคับขัน ตอนนั้นทุกคนตระหนกกันใหญ่ มีแต่ข้าคนนี้ที่เยือกเย็น ข้ามองศัตรูนับพันที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าแล้วบอกพวกมันว่า เจ้าพวกสุนัขรับใช้ ข้าไม่กลัวพวกเจ้า อยากได้ข้าวกี่กระสอบก็เอาชีวิตมาแลกไป จากนั้นข้าก็...”
“เฒ่าเฉา คนที่เรียกพวกมันเป็นสุนัขรับใช้คือข้า อีกอย่างคนที่ตั้งสติได้คนแรกคือข้า เจ้าอย่าทำเป็นเล่าข้ามไป” มีคนโวยวาย
“ข้าเห็นว่าเรื่องมันยาวก็เลยตัดส่วนที่ไม่สำคัญออก” คนแซ่เฉาพูดหน้าตาเฉย ยักคิ้วให้อีกฝ่ายทีหนึ่งก็เล่าต่อ “ทีนี้กลับมาที่ตัวเอกของเรื่องอย่างข้า...”
เหลียนอันสุ่ยพยายามจะกลั้นขำตามมารยาท แต่พยายามอยู่ซักพักก็ไม่อาจพยายามต่อไป แม่ทัพตำแหน่งสูงพวกนี้นั่งเฉยๆก็ดูน่าเกรงขามดี แต่ต่างคนต่างทับถมแย่งชิงกันเป็นตัวเอก แฉเรื่องตลกของฝ่ายตรงข้าม เล่าเรื่องพลาดท่าเสียทีของทหารหนานเหมิน คุยกันตั้งแต่ฉากสำคัญในสมรภูมิไปจนถึงญาติพี่น้องที่บ้าน ราวไม่ถือสาแม้แต่น้อยว่ามีคนนอกอย่างเขานั่งฟังอยู่
หัวเราะอย่างเปิดเผย ชนจอกกันไปมา บางครั้งก็หันมาคารวะสุราให้ ทุกคนดูเป็นกันเองยิ่ง ชาวเป่ยชางมักทำให้เหลียนอันสุ่ยรู้สึกไม่คุ้นชิน พวกเขาสามารถเปิดเผยได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องเคร่งครัดกับธรรมเนียมอะไรมากมาย
หากจะบอกว่าแคว้นเหลียนสุภาพมีมารยาท สิ่งที่แคว้นเป่ยชางมีก็คือความเปิดกว้างจริงใจ
คำพูดคุยคล้ายไม่หมดสิ้นราวแต่ละคนสะสมความอัดอั้นมาเต็มที่ตอนที่อยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองและห้าเศรษฐีใหญ่ อากาศเย็นที่ลงทำให้เหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนจากเอาเสื้อคลุมคลุมบ่ามาเป็นสวมทับไว้หลวมๆ ผ่านไปอีกซักพักก็เปลี่ยนจากสวมหลวมๆเป็นดึงสาบเสื้อให้แน่นเข้า สอดมือเข้าไปในชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง กอดอกไว้ เปลวไฟเต้นระริกแต้มเงาอย่างมีชีวิตชีวา บุรุษชาวเป่ยชางทั้งหลายที่นั่งอยู่รอบตัวเขาคล้ายไม่รู้สึกหนาวกันเลย แต่ละคนสวมเสื้อไม่กี่ชั้น เท้าแขนตามสบาย เหลียนอันสุ่ยค่อยๆถูกเรื่องราวดึงดูดเข้าไป ขณะนี้พวกเขากำลังสนทนาถึงวีรกรรมในอดีต แน่นอนว่าในนั้นมีเรื่องของคนที่ตอนนี้เป็นต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางด้วย
ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของเหลียนอันสุ่ยอยู่ในสายตาของฉีเซี่ยงหยวน เมื่อครู่ฉีเซี่ยงหยวนใคร่ครวญดูแล้วว่าคนแถวนี้ล้วนดื่มสุรา ให้เหลียนอันสุ่ยเดินกลับไปคนเดียวเขาไม่วางใจยิ่ง มองเสื้อคลุมตัวเองอยู่บนร่างอีกฝ่ายรู้สึกพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก เสื้อคลุมสีดำทำให้เหลียนอันสุ่ยยิ่งดูโดดเด่นชัดเจนท่ามกลางบุรุษร่างใหญ่ผิวคร้ามแดดที่นั่งอยู่รายรอบ
อันที่จริงผิวของเหลียนอันสุ่ยดูเนียนมากเมื่อสวมชุดสีเข้ม ทว่าคนที่นั่งอยู่แต่ละคนมองเพียงไม่นานเห็นเสื้อที่เหลียนอันสุ่ยสวมอยู่ก็ละสายตาจากไป ฉีเซี่ยงหยวนชอบสวมชุดสีดำมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว สีดำไม่มีลายแต่เก็บตะเข็บสองชั้นนั่นแหละใส่บ่อยที่สุด
เหลียนอันสุ่ยคิดดื่มสุราอีกอึกเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ทว่าก่อนนิ้วจะถึงจอก ก็มีคนหยิบมันไปก่อน
“ท่านดื่มเยอะไปแล้ว” ที่นั่งข้างกายเหลียนอันสุ่ยกลายเป็นของฉีเซี่ยงหยวนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ ดวงตาคมมองใบหน้าที่แดงระเรื่อน้อยๆ ทราบว่าอีกฝ่ายยังไม่เมา แต่เท่านี้ก็ถือว่ามากเกินกว่าปกติที่เหลียนอันสุ่ยปล่อยให้ตัวเองดื่มแล้ว
“วันนี้ท่านมิใช่ให้ดื่มได้ไม่อั้นหรือ” มู่ซางถามขึ้นมา
“เจ้าอยากดื่มมากอย่างนั้นให้ข้าจับเจ้ากรอกสุราดีหรือไม่ ข้าว่าสุราหลายไหนี้เก็บไว้ในไหก็ออกจะดูธรรมดาเกินไป เก็บไว้ในท้องเจ้าดีกว่า” แววตาของฉีเซี่ยงหยวนคมกริบเยือกเย็น มู่ซางที่กำลังกรึ่มๆพลันได้สติ รีบถอยห่าง ต้าอ๋องกรอกสุรา พูดเล่นกระมัง ฉีเซี่ยงหยวนเคยลงโทษคนฝ่าฝืนกฎแอบต้มสุราในกองทัพด้วยการสั่งให้จับกรอก นั่นแทบทำให้สำลักจนเอาชีวิตไม่รอดกันเลยทีเดียว
“เก็บสุราไว้ในท้องคนแซ่มู่ช่างเป็นการเหยียบย่ำสุราดีแท้ๆ” ฝงเป่าส่ายหน้าด้วยสีหน้าเสียดายอย่างเสแสร้ง
“แม่ทัพฝงวางใจสุราดีหลายไหนี้ข้าล้วนยกให้ท่าน ไว้กลับถึงเมืองหลวงอยากดื่มเมื่อไหร่ก็ผ่าท้องคนเอาออกมา”
ฝงเป่าหัวเราะถูกใจเมื่อเห็นมู่ซางถูกขู่จนหน้าซีด ทั้งกองทัพคนที่ข่มขู่มู่ซางได้มีแค่ฉีเซี่ยงหยวนคนเดียว
“ต้าอ๋อง นิสัยชอบข่มขู่คนของท่านนี้ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
“เฒ่าเฉา ท่านก็รู้ว่าถ้าต้าอ๋องเปลี่ยนชอบข่มขู่เป็นชอบลงมือทำจริงๆมันจะน่าสยดสยองแค่ไหน ท่านอย่าปากหาเรื่องน่า”
“เออ จริงด้วย” พูดอย่างนึกขึ้นได้เสร็จแล้วก็หุบปากฉับ
ฉีเซี่ยงหยวนหันไปถามเหลียนอันสุ่ยว่า
“ท่านง่วงรึยัง ข้าเห็นท่านขยี้ตามาตั้งแต่เมื่อครู่ ให้ข้าส่งท่านกลับกระโจมดีกว่า”
เหลียนอันสุ่ยเห็นว่าดึกมากแล้วจึงเอ่ยปากขอตัวกับทุกคน ตอนที่หันหลังจะเดินจากไปก็มีเสียงกระเซ้าอย่างไม่จริงจังดังมาว่า
“ไม่ต้องไปส่งถึงกระโจมก็ได้กระมัง แค่เสื้อตัวนั้นของท่านก็รับรองได้ว่าพระมาตุลาต้องถึงกระโจมโดยปลอดภัย”
เหลียนอันสุ่ยก้มมองเสื้อที่ตัวเองสวม ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกระซิบข้างหูว่า
“ท่านไม่ต้องไปสนใจพวกเขา พวกปากไม่สร้างสรรค์พวกนี้ไม่ได้ล้อเลียนคนต้องนอนไม่หลับ”
มีเสียงตะโกนดังมาอีกว่า
“ต้าอ๋อง ส่งเสร็จแล้วก็รีบกลับมา ข้ามีเรื่องขำๆของเฒ่าเฉา รับรองว่าท่านต้องไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ฉีเซี่ยงหยวนหันไปรับคำ ขณะหันกลับมาก็ใช้ปลายนิ้วดันหลังของเหลียนอันสุ่ยเบาๆให้อีกฝ่ายก้าวเดินไปพร้อมกับเขา
“แม่ทัพของท่านหลายคนข้าเห็นเขาเข้มงวดยิ่ง ที่แท้ตัวตนจริงๆเป็นเช่นนี้” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยมีแววไม่ค่อยเชื่ออยู่บ้าง
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหัวเราะ ถามว่า
“ปกติข้าก็เป็นคนเข้มงวดยิ่ง ท่านเห็นว่าตัวตนจริงๆข้าเป็นอย่างไรเล่า” มือใหญ่กุมมือเรียวเอาไว้ เดินช้าๆไปด้วยกัน ผู้คนที่นั่งเกะกะต่างหลีกทางให้พวกเขา ฉีเซี่ยงหยวนหันไปทักทายเป็นครั้งคราวแต่ไม่คิดจะปล่อยมือ เพราะที่นี่ไม่ใช่วังหลวงแต่เป็นกองทัพ
เหลียนอันสุ่ยมองท่าทีปล่อยตัวตามสบายของบุรุษข้างกาย พลันเข้าใจคำที่ผู้คนบอกว่าฉีเซี่ยงหยวนเติบโตมากับกองทัพ กองทัพนับเป็นโลกของฉีเซี่ยงหยวนอย่างแท้จริง อยู่ที่นี่เขาได้รับความภักดีโดยปราศจากเงื่อนไข อยู่ที่นี่เขากุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไร้ข้อโต้แย้ง แม่ทัพนายกองรักเขา ทหารทุกนายเชื่อมั่นในตัวเขา กฎทุกกฎเน้นใช้ได้จริงไม่จำเป็นต้องมีข้อหยุมหยิมมากความ
ก้มลงมองมือที่จับกุมกัน เหลียนอันสุ่ยพลันยิ้มออกมาเมื่อนึกได้ว่ากฎของกองทัพก็เป็นดุจเดียวกับตัวตนของนักรบชาวเป่ยชาง เวลารักใครสามารถตรงไปตรงมาถึงเพียงนั้น ยึดมั่นถึงเพียงนั้น ชาวเหลียนมีความรักที่สวยงามราวบทกวี มีความรักที่ถูกแบบแผนธรรมเนียม แต่ชาวเป่ยชางกลับตกหลุมรัก
เหลียนอันสุ่ยคิดว่าเขาชอบคำว่า ‘ตกหลุมรัก’ นี้มากทีเดียว
---------------------
ในวันที่ทัพเป่ยชางถึงเมืองหลวงผู้คนทั้งเมืองมารอแน่นขนัด ดวงตาทุกคู่ทั้งยินดีทั้งร้อนรน คล้ายกำลังเสาะหาเงาร่างที่คุ้นเคยจากทหารนับหมื่นที่เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ ...เสาะหาด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ
แน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้มีคนบางคนร้องไห้ด้วยความปีติยินดี และบางคนร้องไห้ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย การได้กลับคืนมากับการสูญเสียไปตลอดกาลบางครั้งห่างกันเพียงเล็กน้อยจนน่าเจ็บปวด
นักรบที่หนักแน่นดุจขุนเขาเหล่านั้นเมื่อถอดหมวกเกราะออกพวกเขาก็เป็นแค่คนธรรมดา
เป็นสามีที่มีภรรยา
เป็นบิดาที่มีบุตรเยาว์วัย
เป็นบุตรชายที่ต้องกตัญญูต่อมารดา
เป็นคนรักของคู่หมั้นที่ยังไม่ได้แต่ง
เป็นความหวัง เป็นเสาหลักของครอบครัว
และมีบ้างบางคน...เป็นเสาหลักของบ้านเมือง เป่ยชางอ๋องกลับถึงวังหลวง รัชทายาทที่มีศักดิ์เป็นบุตรชายบุญธรรมของเขาพร้อมด้วยเหล่าขุนนางประสานมือรอรับเสด็จตั้งแต่หน้าประตูวัง
ทหารหลังรายงานตัวกับผู้บังคับบัญชาก็สามารถถอดหมวกเกราะแยกย้ายกันกลับไปหาครอบครัว แต่คนเป็นเป่ยชางอ๋องทันทีที่มาถึงสิ่งที่รอเขาอยู่คือขุนนางที่รอคอยเข้าเฝ้า ฉีเซี่ยงหยวนไล่ให้กลับไปทั้งหมด เรื่องหารือไม่ว่าเร่งด่วนปานใดล้วนเอาไว้วันพรุ่งนี้ค่อยสะสาง ตำหนักเยี่ยอวิ๋นกว้างใหญ่ คนที่ไม่ถูกไล่กลับไปมีเพียงรัชทายาท
รัชทายาทวันสิบห้าปีแจกแจงเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆระหว่างเขารักษาการณ์ร่วมกับเหล่าขุนนางอย่างเป็นลำดับขั้นตอน
“ฎีกาทั้งหมดลูกให้คนเก็บไว้รอให้พระบิดาทอดพระเนตร เรื่องที่หารือในท้องพระโรงลูกให้คนจดบันทึกไว้ แต่ละเรื่องสะสางอย่างไรลูกเขียนสรุปเป็นรายงานคร่าวๆสี่ฉบับเกี่ยวกับหลักการและวิธีการ หากพระบิดาต้องการทราบรายละเอียดในเรื่องใดลูกสามารถแจกแจงให้ฟังด้วยตัวเอง...”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังถึงตรงนี้ก็โบกมือเป็นความหมายว่าพอ ถามขึ้นยิ้มๆว่า
“รักษาการณ์แทนข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ปัญหามากมายยากสะสาง ลูกนับถือพระบิดายิ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ กล่าวว่า
“เท่าที่ดูเจ้าก็ทำได้ไม่เลว แต่ดีไม่ดีอย่างไรไว้วันพรุ่งนี้ข้าค่อยตรวจดู วันนี้เจ้ารับปากพี่สะใภ้ว่าจะไปกินมื้อเย็นกับนางรึเปล่า ถ้ายังไม่ได้รับปากก็ตามข้ามา”
---------------------
เหลียนจิ้งเต๋อได้ยินว่ากองทัพเข้าเมืองมาแล้วก็ไปดักรอที่โรงหมอ จริงดังคาดท่านพ่อมาถึงก็ดูแลให้คนจัดการเรื่องการจัดยาเบิกจ่ายยาแก่ทหารบาดเจ็บที่ครอบครัวมารับกลับไป เหลียนจิ้งเต๋อเห็นเงาหลังบิดาก็รีบโผล่ไปช่วยเหลือ
เหลียนอันสุ่ยตบบ่าบุตรชายเบาๆ พึมพำด้วยรอยยิ้มว่า
“เจ้าสูงขึ้นอีกแล้ว”
---------------------
เย็นวันนั้นหลายครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า โต๊ะอาหารตั้งเสร็จแล้ว อิ๋งฮวาทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นพิเศษ
เหลียนจิ้งเต๋อมองอาหารบนโต๊ะตาเป็นมัน เงยหน้าขึ้นมาก็พอดีเห็นคนสองคน ขมวดคิ้วนิ่วหน้าแล้วกล่าวว่า
“รัชทายาท ท่านจะมาก็ไม่เห็นต้องหนีบเอาบิดาบุญธรรมของท่านมาด้วยเลย”
เหลียนอันสุ่ยที่หลับตาสูดกลิ่นชาลืมตาขึ้นมาช้าๆ พอเห็นว่าเป็นใครก็แย้มยิ้มออกมาบางๆ
---------------------
หลังจากนั้นหลายปี หนานเหมินอ๋องพยายามตีชิงเมืองที่ถูกแคว้นเป่ยชางยึดคืนมา ทว่าเพิ่งได้คืนไปไม่เท่าไหร่ เป่ยชางอ๋องก็มีบัญชาให้มู่ซางกับฝงเป่ายกทัพไปปราบ
ในการศึกครั้งนี้คนที่สร้างชื่อกลับเป็นเถี่ยเจิ้งนายทหารแคว้นเหลียนที่เปล่งประกายโดดเด่นจับตาด้วยการใช้กำลังคนน้อยเอาชนะคนมาก ตัดหัวแม่ทัพคู่ใจที่เชี่ยวชาญการบุกตีเมืองคนนั้นของหนานเหมินอ๋องมาได้ เป็นครั้งแรกที่ชาวเหลียนสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อแคว้นเป่ยชาง สะท้อนถึงการมองการณ์ไกลของเป่ยชางอ๋องที่เปิดโอกาสให้คนต่างแคว้นทำงานรับใช้ในตำแหน่งสำคัญ
ตอนที่หนานเหมินอ๋องได้รับข่าวการสูญเสียครั้งนี้ก็โรคเก่ากำเริบหมดสติไป
หลังจากนั้นสุขภาพไม่เคยกลับมาดีได้อย่างเดิมอีกเลย
============
เปิดปีใหม่มาพร้อมกับเซอไพรส์ต้อนรับปี2015
ในช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว
เลยตั้งใจจะเขียนตอนพวกเขาได้กลับบ้าน เขียนไปเขียนมาสิบหน้าซะงั้น
เอาเป็นว่าอยากให้ทุกคนกันยิ้มกว้างๆรับปีใหม่ปีนี้ค่ะ