B.L.O.O.D.L.I.N.E
T HIRTEEN
ฟรินน์และอาซาจ้องหน้ากันนิ่งหลังจากที่อาซายอมเล่าความลับที่ตัวเขาเก็บมานานเท่าชีวิตเขาให้คนอื่นรู้เป็นครั้งแรก ไม่นับรวมผมที่เป็นอีกคนที่มีสิ่งนั้นอยู่ในตัว ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นระหว่างคนสองคนชวนให้อกสั่นขวัญแขวน
“เฮ้อ” สุดท้ายฟรินน์ก็เป็นคนที่เปล่งเสียงถอนหายใจทำลายความเงียบ บรรยากาศอันหนาวเหน็บคล้ายถูกความร้อนค่อยๆละลาย ผมหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น
“นายนี่มัน” คำพูดของฟรินน์แผ่วเบามาพร้อมกับใบหน้าที่เหนื่อยล้า ผมเลิกเกร็ง ลุกเอากล่องปฐมพยาบาลไปเก็บ เพราะหลังจากที่ทำแผลให้ฟรินน์เท่าที่จะทำได้ อาซาก็เอ่ยปากเล่าเรื่องที่ปกปิดมานานด้วยความลำบากใจ ผมรู้ว่าเขาไม่อยากเล่า แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ปิดต่อไปก็รังแต่จะเสียหาย
“ฉันจะไม่ขอโทษที่ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก” อาซาพูดหน้าขึง เขาเกร็งเครียดจนเส้นเลือดข้างขมับขึ้นนูน
“ฉันก็ไม่ได้โกรธที่นายไม่บอกหรอกนะ แต่มัน...” ฟรินน์จ้องตากับอาซาเพื่อถ่ายถอดสิ่งที่รู้สึกอย่างไม่อาจสามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้
“ฉันเข้าใจ”
“เฮ้อออ” ฟรินน์ถอนหายใจยาวเหยียดอีกครั้ง “เราต้องบอกเรื่องนี้กับคนอื่นด้วย ฉันกับนายไม่น่ารับมือเอเดนกับพวกไหว”
“ฟรินน์ ที่ฉันบอกแค่อยากให้นายรับรู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้นายเข้ามายุ่งเรื่องนี้”
“หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงของฟรินน์แข็งขึ้นมาฉับพลัน
อย่าว่าแต่ฟรินน์ไม่เข้าใจ ผมเองก็ยังงง
“ฉันแค่อยากให้พวกนายรับรู้ แต่ปัญหาในตอนนี้มันคือปัญหาของฉันแค่คนเดียว พวกนายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉันไม่อยากให้พวกนายต้องมาเดือดร้อน”
“แล้วนายจะสู้กับพวกมันคนเดียวหรือไง!”
“แต่มันไม่ใช่เรื่องของนาย!”
จบคำไม่ทันได้วินาที ฟรินน์ก็พุ่งเข้าหาอาซา ต่อยอาซาหนึ่งหมัดก่อนจะใช้สองมือกำคอเสื้ออาซาแน่น ผมตกใจมากจะเข้าไปห้าม
“อาซา ใจเย็นๆนะ” ผมเข้าห้ามทั้งคู่ ลูบแขนปลอบคนรักให้สงบ ก่อนจะหันไปพูดกับฟรินน์ “อาซาเขาไม่ได้ตั้งใจนะ อย่าทะเลาะกันเลย”
ฟรินน์หายใจแรง ใบหน้าโกรธจัด มือยังไม่ปล่อยคอจากเสื้อแต่กลับเค้นแรงจนใบหน้าของอาซาแดงกล่ำ ร่างที่เล็กกว่าอาซาอยู่หน่อยคล้ายจะผองตัวได้ ผิวกายสีขาวขึ้นสีเหลื่อมเป็นเกร็ดงู
เกรงว่าอารมณ์ฟรินน์จะสงบลงได้ยาก
“ขอร้องละ หยุดทะเลาะกันเถอะ แค่นี้เราก็แย่พอแล้วนะ” ผมบอกทั้งคู่เสียงอ่อน แววตาฟรินน์อ่อนวูบเพียงนิด อาซาไม่หลบตาเพื่อน เขามั่นคงในคำพูดและการตัดสินใจของตัวเองว่าไม่ได้พูดอะไรผิด จนฟรินน์ยอมกระแทกมือปล่อยตัวอาซาอย่างแรง
“แค่กๆ” อาซาไอเบาๆ ถึงจะไม่ได้กอบกำที่ลำคอโดยตรง แต่บนลำคออาซาก็ยังมีรอยแดงไปจ้ำปรากฏให้เห็น
“แกกล้าพูดแบบนั้นได้ยังไงวะ! เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ไหม!!!”
“ก็เพราะว่าแกเป็นเพื่อนไง ฉันถึงไม่อยากให้แกต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องส่วนตัวระหว่างฉันกับเอเดน!!!”
“แกไม่เข้าใจคำว่าเพื่อนหรือไง เพื่อนกัน ก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แต่นี่แก...แกจะให้ฉันหลบอยู่ในบ้านแล้วปล่อยเพื่อนที่รู้จักมาค่อนชีวิตของการเป็นมนุษย์ผิดแผกไปต่อสู้คนเดียวอย่างนั้นเหรอ แกอาจคิดว่ามันเป็นไปได้ แต่ฉันทำไม่ได้!!!” ฟรินน์ตะโกนเดือดดาน น้ำตาคลอเตรียมจะไหล
“เพราะแกเป็นเพื่อน ฉันถึงได้เป็นห่วง แกจะให้ฉันพาเพื่อนรักที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาซวยด้วยหรือยังไง ถ้าเป็นแกเอง แกจะทำยังไงฟรินน์”
“...” ฟรินน์ไม่ตอบ ผมน้ำตาไหลเงียบๆอยู่ไม่ไกลพวกเขา ไม่เอ่ยปากเข้าไปยุ่ง ปล่อยให้เพื่อนรักทั้งสองคนพูดคุยกันจนกว่าจะเข้าใจ
“แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ ฉันจะไม่ฟังแก ต่อให้แกไม่ให้ฉันเข้าไปยุ่งเรื่องของแก ฉันก็จะยุ่ง” ฟรินน์เอ่ยหนักแน่นดังภูผา “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ความผูกพันธ์มันมากเกินกว่าเพื่อนไปแล้วเพราะเรากลายเป็นครอบครัว และฉันจะไม่ยอมปล่อยให้คนที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายที่ฉันมีอยู่ไม่กี่คนในชีวิตต้องต่อสู้เพียงลำพัง” ผมสะอื้นเมื่อได้ฟังเสียงที่สั่นเครือ ฟรินน์ที่เคยยิ้มแย้มร่าเริงสดใส บัดนี้เหลือเพียงคนที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้าอาซาอย่างไม่อาย
อาซาเดินเข้าไปหาฟรินน์ ถึงใบหน้าเขาจะราบเรียบ แต่ผมมองเห็นความเจ็บปวดผ่านดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น
“ที่ห้ามไม่ให้นายเข้ามายุ่งก็เพราะเป็นห่วง เพราะนายก็เป็นน้องชายที่ฉันรักเพียงคนเดียว ฉันถึงไม่อยากให้นายเอาชีวิตไปสุ่มเสี่ยง”
“การมีชีวิตจะไม่มีความหมาย ถ้าเราไม่ได้มีชีวิตอยู่หรือทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก”
“หมายความว่านายจะไม่ฟังฉัน”
“ฉันโตพอที่จะคิดอะไรเองได้ ไม่จำเป็นที่นายต้องป้อนคำสั่งใส่สมองฉัน” ฟรินน์ทำตาดุ แต่เสียงสั่นเครือ
“หึ” อาซากระตุกยิ้มมุมปาก “ก็ได้ ฉันยอมให้นายช่วย แต่นายต้องสัญญากับฉันก่อนข้อหนึ่ง”
“อะไร”
“อย่าทำอะไรเกินกำลังตัวเอง อย่าให้ตัวเองเป็นอะไร”
“นายเองก็เหมือนกัน เพราะถ้านายเป็นอะไร เด็กแถวนี้ร้องไห้ขาดใจตายแน่”
และอยู่ๆสายตาของทั้งคู่ก็เบนมาทางผม บรรยากาศอึมครึมหายไปเกือบหมด มีเพียงดวงตาล้อเลียนจากมนุษย์งูที่คุ้นเคยทั้งสอง
“อะไรกัน เกี่ยวอะไรกับฉัน” ผมแหวใส่ไม่เต็มเสียง ทะเลาะกันแทบเป็นแทบตาย แล้วไหงมาจบที่ผมเสียได้
“หึหึ หรือไม่จริง ถ้าอาซาเป็นอะไรไป นายคงร้องไห้ขี้มูกโป่ง” ฟรินน์พูดแบบไม่คิดอะไร แต่หารู้ไม่ว่าใจผมกระตุกวูบ
สิ่งที่ไม่เคยหลุดออกจากความคิด ไม่เคยลืมทุกครั้งที่มีอะไรมาสะกิดก็คือความฝันที่แสนเลวร้าย ความฝันที่พรากอาซาไปจากเขา
ไม่...มันจะไม่เกิดขึ้นจริง ผมไม่รู้ว่าเอเดนเก่งกาจมาจากไหน แต่ผมเชื่อว่าอาซาเองก็เก่งไม่แพ้ใคร เขามีสิ่งพิเศษอยู่ในตัว เขาจะต้องเก่งกาจกว่าเอเดน ผมเชื่ออย่างนั้น
“โยชิ” เสียงเรียกอาซาดังใกล้ๆ ผมเหม่อจนไม่รู้ตัวว่าเขามายืนชิดผมตั้งแต่เมื่อไหร่
“โทษทีๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจพูดให้นายคิดมากนะ” ฟรินน์ก็มายืนอยู่ใกล้ๆ เขายิ้มเผละ ฟรินน์คนเดิมกลับมาแล้ว “นายอย่าคิดมากเลยโยชิ อาซามันหนังเหนียวจะตาย ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก อีกอย่างยังมีฃฉันอีกทั้งคน แค่นี้สบายมาก” เขาปลอบโดยที่ตัวเองก็กรอกตาเหมือนจะไม่มั่นใจสิ่งที่พูดสักเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรนะ” อาซาถามเสียงนุ่ม
“อืม” รับคำเพราะไม่อยากให้อาซาไม่สบายใจ
“โอเค จบเรื่องดราม่า ฉันขอสรุปสิ่งที่นายบอกฉันอีกรอบนะอาซา” ฟรินน์จริงจังเข้าเรื่อง ผมและอาซานั่งข้างกัน อาซาโอบไหล่ผมไว้แน่น เขากำลังจะบอกผมว่าเขาอยู่ตรงนี้
“นายมีหัวใจบาซิลิสก์ และอีกครึ่งอยู่ที่โยชิถูกไหม” ฟรินน์เดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าเรา ผมเวียนหัวนิดหน่อยที่ต้องหันเหสายตาตามร่างของฟรินน์ตลอดเวลา
“และเอเดนก็ต้องการมันเพื่อที่เขาจะได้ยิ่งใหญ่เหนือใครในโลกหล้า” ฟรินน์พูดถึงสิ่งที่ตัวเองเข้าใจและเป็นสิ่งที่พวกเราก็รู้ในขณะนี้ “ให้ตายเถอะ พี่ชายนายดูหนังมากเกินไปหรือเปล่า ดราม่าครอบครัวและแผนการครองโลกมาเต็ม”
ข้อสรุปนี้ผมเห็นด้วยอย่างที่สุด
“แต่ฉันสงสัยอยู่อย่าง” ในที่สุดฟรินน์ก็หยุดเดิน ยืนอยู่ตรงหน้าเราสองคน “ถ้าเขาต้องการมันจริงๆ ทำไมเขาไม่จัดการนายไปซะ แล้วก็แย่งหัวใจบาซิลิสก์อะไรนั่นไปเลย จะต้องวางแผนนู่นนี่นั่น โฉบไปนู่น วูบไปนี่ ฆ่าคนป้ายความผิดให้เรา เขาทำไปทำไม เสียเวลาชัดๆ” ฟรินน์พูดเสียยาวเหยียด อาซาพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อสงสัย
“ฉันเองก็สงสัย แต่ตอนนี้เราไม่มีทางรู้เพราะเราตามหลังเอเดนอยู่ เขาเป็นคนวางหมากในกระดาษ และเขากำลังควบคุมให้เราเดินตามเส้นทางที่เขาวางไว้ มันอาจจะมีอะไรมากกว่าการที่แย่งหัวใจบาซิลิสก์ไปจากฉัน กุญแจที่สำคัญก็คือ..ผู้กุมความลับที่ทั้งฉันและโยชิได้ยินมา”
“ผู้กุมความลับ...” ฟรินน์ทำหน้าเหยเก “การมีพวกเราอยู่บนโลกใบนี้มันยังไม่พิสดารพอหรือไงวะ น่าปวดหัว”
“ฉันไม่น่าปวดหัวกว่าหรือไง” ผมย้อนฟรินน์ขำๆในสถานการณ์ที่เคร่งเครียด อย่างเขาที่อยู่มาเป็นพันๆปี ยังไม่ชินหรือไงที่โลกนี้มันแปลกประหลาดกว่าที่เคยคิด
ฟรินน์หัวเราะแก้เขิน “นั่นสินะ ฮะๆ”
เมื่อไม่มีมุขตลกขำขันแก้เครียด ก็เกิดความเงียบขึ้นอีกรอบ
“นายจะบอกเรื่องนี้กับคนที่เหลือไหม”
“อืม” อาซาตอบ “แล้วพวกเขาไปไหน”
“เฝ้าระวังอยู่แถบอื่น” ฟรินน์ว่า
“ยังไม่รู้เรื่องที่นายเจอตัวไอ้คนร้ายใช่ไหม”
“ยัง ฉันอยู่ใกล้นายที่สุดถึงได้ตกลงไปบนรถนายไง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้บอกใคร”
“งั้นเอาอย่างนี้” อาซาขยับตัวนั่งในท่าทางเตรียมตั้งรับ สองมือวางประสานบนหน้าขา โน้มตัวไปข้างหน้า สายตามองผมและฟรินน์ “เราจะให้พวกเวสตัวไปล่าตัวคนร้าย ถ้านี่เป็นแผนที่เอเดนต้องการล่อเราไปทางอื่นจริง เราจะยังคงเดินตามแผนของเขาเพื่อไม่ให้เขารู้ว่าเราตามเกมเขาทัน”
เมื่อเริ่มวางแผนผมเกิดอาการตื่นเต้น ตั้งใจฟังอาซาพูดและคิดตามไปด้วย อาซาถือเป็นน้องชายของเอเดน เขาเคยอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นคนที่จะไล่ตามความคิดเอเดนทันก็มีแต่อาซา เหมือนที่เอเดนรู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับนิสัยใจคอของอาซา
นี่หรือคนที่เกลียดกัน
แต่แล้วความตื่นเต้นของผมก็ถูกกลบฝังมิดด้วยประโยคเดียวของอาซา
“โยชิ อยู่ที่บ้าน ห้ามออกไปไหน เราจะเริ่มจาก...”
ผมไม่สามารถตั้งใจฟังในสิ่งที่อาซากำลังพูดได้อีกต่อไป ความตั้งใจที่จะช่วยของผมถูกเขาทำลายยับ ตัวเริ่มสั่นด้วยความโกรธที่เริ่มจะปะทุและก่อเกิดความเสียใจที่อาซามองข้ามผม
“ไม่!” เสียงตะโกนของผมหยุดการสนทนาระหว่างบุคคลสองคน
“โยชิ...” อาซาเข้ามาหมายจะจับตัวผม แต่ผมเบี่ยงตัวหนี ถึงจะไม่พ้นมือเขา แต่ทำให้เขารู้ว่าผมไม่ต้องการให้เขาถูกตัว
“ที่นายพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง” ผมพูดอย่างยากเย็น ก้อนเหนียวๆจุกอยู่ในลำคอ
“พูดอะไร” อาซาทำไม่รู้เรื่อง ฟรินน์นั่งหน้าเหวอเงียบๆเป็นท่อมไม้ประดับห้องนั่งเล่น
“ก็ที่นายบอกว่าให้ฉันอยู่บ้านไง นายหมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าอย่างนั้น” เขาพูดย้ำเหมือนว่ามันถูกต้องที่สุด ไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับผม
ผมหัวเราะเหอะ เป็นอีกครั้งที่เขาไม่คิดจะให้ผมเข้าช่วย “จะต้องให้ฉันย้ำไหมว่าฉันก็เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง ฉันดูแลตัวเองได้ ถึงฝีมือมวยของฉันจะได้แค่พื้นฐาน แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะต่อยนายให้ร่วงลงพื้นได้ อยากลองไหมละ” ผมชูกำปั้นหมายจะทำอย่างที่พูด เสียงฟรินน์ห้องเฮ้ยเบาๆ แต่อาซานั่งนิ่งจ้องผมตาเหี้ยม
“ฉันรู้ว่านายดูแลตัวเองได้ และฉันไม่เคยมองนายเป็นผู้หญิงเลยสักครั้ง แต่โยชิ นายควรต้องเข้าใจ เรื่องนี้มันอันตรายมากเกินที่นายจะออกมาช่วยฉัน เพราะแม้แต่ฉันเองยังไม่แน่ใจว่าจะรับมือได้โดยที่ไม่เลือดตกยางออก” เขาอธิบายอย่างกังวลในขณะที่ผมเบือนสายตาหนีไม่อยากมองหน้าเขา
“นายก็รู้ว่าฉันเป็นห่วงนายมาก เราทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่นายควรจะจำเอาไว้ให้แม่นยำก็คือ นายเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ส่วนเอเดนและพวกเป็นมนุษย์กลายร่าง นายสู้เขาไม่ได้ ถ้านายไป รังแต่จะแย่”
ผมเข้าใจ เข้าใจทุกอย่างที่เขาพูด รับรู้ถึงความจริงที่เขาพยายามพร่ำบอก แต่ผมก็ดื้อรั้นพอที่อยากจะทำตามใจตัวเอง
“ขอให้ฉันไปกับนายเถอะ ให้ฉันรออยู่ในมุมใดมุมหนึ่งก็ได้ที่พอจะเห็นนายอยู่ในสายตา ฉันไม่อยากรอคอยอยู่ในบ้านโดยที่ไม่เห็นว่านายจะเป็นตายร้ายดียังไง ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ฉันคงเสียใจที่ตัวเองทำได้แค่รอ” ผมเองก็อยากให้เข้าใจในความเป็นผม
“ฉันขอเสนอ” ฟรินน์ยกมือขึ้นแทรก ผมและอาซาหันมองฟรินน์พร้อมกัน
“อะไร” อาซาถามหน้านิ่ง
“ก็ถ้าโยชิอยากไปด้วย ฉันว่าเราก็ยังพอมีทางอยู่บ้าง แต่นายน่ะ” เขาชี้นิ้วมาทางผม “ห้ามทำตัวให้ตกเป็นเป้าอันตรายโดยเด็ดขาด”
“จะพยายาม” ผมพูด ฟรินน์เลยถลึงตาใส่ผมเคืองๆ
“ว่ามา” อาซาที่เงียบไปพูดขึ้น
“คือเราก็ยังไม่มีแผนการที่แน่ชัด เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าชาร์ลกับเบนจะกลับไปที่คอนโดนั่นอีกไหม และเราไม่รู้ด้วยว่าเอเดนจะกลับมาเมื่อไหร่ สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ก็คือไปคุยกับเจ้าแมวสายสืบ ในขณะที่ทางอื่นก็กระจายตัวลูกน้องให้ช่วยสอดส่อง ฉันว่าระหว่างนี้ก็น่าจะพาโยชิไปได้ คืออย่างน้อยก็คงจะไม่ได้ปะทะกันจังๆในเร็วๆนี้”
“ก็ไม่แน่” อาซาพูดไปตามอารมณ์ที่เดือดจัดอยู่ข้างใน เพียงแค่เขาไม่แสดงออกมา
“เออน่า หรือแกจะปล่อยให้โยชิอยู่บ้านสักหนึ่งชั่วโมงหลังเราคล้อยหลังออกจากบ้านแล้วเด็กแกก็แอบนี้ตามไปซนเนี่ยนะ”
“ฟรินน์” ผมปรามฟรินน์เสียงต่ำที่ว่าร้ายผม แต่ดูเหมือนว่ามันจะช่วยให้อาซาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
“ก็ได้”
เป็นอันว่าภารกิจนี้มีผมร่วมด้วย และอาซาจะต้องนึกเสียใจที่ไม่ให้ผมไปด้วยตั้งแต่ทีแรก
ต่อข้างล่าง