DGseries.ปรารถนารักอสรพิษร้ายTHIRD&PUIMEK❁FIVE❁14-04-16 [P.72]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: DGseries.ปรารถนารักอสรพิษร้ายTHIRD&PUIMEK❁FIVE❁14-04-16 [P.72]  (อ่าน 636612 ครั้ง)

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
อยากอ่านต่อแล้ววว

ออฟไลน์ loveromance

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
รอๆๆ รอต่อๆไป :katai5:

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
B.L.O.O.D.L.I.N.E
SEVEN






        เบื้องหน้าผมเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาตืชื่อดังกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ในที่สุดผมก็ขัดคำสั่งอาซาแล้วกลับมาที่นี่ก่อนที่เขาจะเป็นคนไปรับ

        บอกตรงๆเลยว่าผมทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว และผมคิดว่าผมรู้จักอาซาดีแม้ว่าจะกลับมาเจอกันอีกครั้งในชาตินี้ได้ไม่นาน ผมจะไม่มีทางได้คำตอบจากการโทรถาม ถ้าจะเค้นความจริงจากปากอาซา ผมคิดว่าพูดคุยกันต่อหน้าน่าจะได้เรื่องที่สุด

        ผมสงสัย สับสนและเป็นกังวลว่าจะมีสิ่งไม่ปกติกับตัวผมมากไปกว่าการที่ได้รับรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างอาซา ถึงแม้อาซาจะบอกผมว่า ปานนี้เขาเป็นคนทำไว้ตอนที่เขากับผมลึกซึ้งกันครั้งแรกเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว เขาไม่ได้เล่าว่าทำไปเพื่ออะไร และผมก็ไม่เคยคิดสงสัยจนกระทั่งเมื่อวันก่อน

        ก่อนกลับกรุงเทพเขาสั่งหนักสั่งหนา ลงโทษผมที่ดื้อเพื่อเป็นการเตือนปนข่มขู่ ว่าห้ามผมขัดคำสั่งเขาโดยเด็ดขาด แต่จะให้ผมทำยังไงกับความอยากรู้ที่เพิ่มขึ้นทุกวินาที

        ผมกำลังคิดว่า ถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ ปานงูเป็นแค่ปานธรรมดาที่อาซาทำขึ้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ อเล็กจะกุเรื่องขึ้นมาทำไม เขาจะพูดให้ผมคิดมากไปทำไม คำพูดที่เหมือนจะรู้เรื่องทุกอย่างมันยากที่จะเลิกสนใจ กลับกัน ถ้าหากนี้ไม่ใช่ปานธรรมดา ทั้งความหมายและรูปภาพในหนังสือที่ระบุชัดเจน ทำไมอาซาไม่บอกผมตั้งแต่แรก ในเมื่อผมก็รู้เรื่องพวกมนุษย์กลายร่าง และรับรู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไรที่นอกเหนือจากมนุษย์สามัญ

        หรือแท้จริงแล้ว อาซาต้องการจะปิดบังผม

        มันบ้ามากกว่าที่ผมคิด

        ผมเลือกที่จะกลับไปที่หอพักของตัวเองก่อนไปหาอาซา ก่อนมาพ่อกับพี่ยอร์ชก็ซักไซ้ใหญ่โตว่าทำไมผมถึงขอกลับกรุงเทพเร็วกว่ากำหนด เพราะเหลือเวลาอีกตั้งสิบวันก่อนเปิดเทอม แต่ผมทนรออยู่เฉยๆต่อไปไม่ไหว กว่าจะหาข้ออ้างของการกลับมามอกะทันหันให้พ่อกับพี่ยอร์ชพาผมกลับมาที่แอชยูก็ต้องโกหกคำโตไปหลายคำ ในทั้งคู่ยอมให้ผมกลับก่อนเวลาแต่โดยดี

        ห้องพักของผมอยู่ในสภาพเดียวกับตอนที่กลับบ้าน แสดงว่าอาซาไม่ได้กลับมาที่ห้อง เขาคงจะพักอยู่ที่บ้านหลังแอชยู ผมวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ที่โซฟา แล้วทิ้งตัวนั่งลง ขากลับผมนั่งเครื่องบินกลับมาเพราะไม่อยากให้พ่อหรือพี่ยอร์ชขับรถมาส่งผมถึงที่นี่ และการนั่งเครื่องบินก็เร็วกว่าขับรถหลายเท่า แค่ชั่วโมงกว่าๆผมก็มาถึงที่หมาย

        ไม่รู้หรอกว่าอาซาจะรู้หรือยังว่าผมขัดคำสั่งเขาแล้วกลับมาที่นี่ ทุกฝีก้าวของผมไม่เคยรอดหูรอดตาของอาซา ที่จริงผมก็หวั่นๆอยู่เหมือนกันว่าจะต้องโดนอาซาโกรธหนักแน่ๆ แต่ถ้าให้ทนรออีกสิบวันผมก็ทนไม่ไหว ถ้าไม่รู้ให้ได้เร็วๆนี้ ผมจะต้องบ้าตายเพราะความเครียดรุมเร้า

        ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ ยังไม่เที่ยงวัน ไม่รู้ว่าอาซาจะอยู่ที่บ้านพักของเขาหรือออกไปทำธุระจัดการปัญหายุ่งยากที่ไหนหรือเปล่า ผมไม่กล้าโทรไปหา ถ้าจะโดนดุโดนต่อว่าก็ขอให้เป็นต่อหน้าทีเดียวดีกว่า

        จะมานึกหวั่นอะไรตอนนี้โยชิ ลุยไปเลย! นายมีสิทธิ์รู้ความจริงเกี่ยวกับนายทุกเรื่อง ก็แค่อาซาที่อาจจะดุไปบ้าง ไม่มีอะไรต้องกลัวเลยสักนิด

        หรือเปล่า?

        ผมเลือกที่จะไปหาอาซาที่บ้านพักในทันที แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้า บริเวณโดยรอบแอชยูเงียบเชียบ มีผู้คนอยู่ประปราย อาจเป็นเพราะยังไม่เปิดเทอม นักศึกษาโดยส่วนมากยังไม่กลับจากบ้าน

        ลมหนาวพัดแรงระลอกหนึ่งขณะที่ผมเดินไปตามทางเดิน ห่อไหล่เข้าหากันเพื่อหลบลมหนาว แต่มันก็แทบไม่ช่วยอะไร กลุ่มชายหญิงจำนวนห้าคนที่นั่งเล่นบนสนามหน้าใกล้ทางเดินที่ผมจะต้องเดินผ่านมีแววตาไม่ค่อยเป็นมิตร ผมเลี่ยงที่จะเดินเข้าไปใกล้ โดยการเดินอ้อมโถงทางเดินไปยังอีกฝั่ง แล้วค่อยเลี้ยวซ้ายตรงไปยังป่าหลังมหาวิทยาลัย

        คนเหล่านั้นน่าจะเป็นมนุษย์กลายร่าง ผมก็แค่สังเกตเอาจากแววตาที่ทอประกายนักล่ามากกว่ามนุษย์ปกติ ที่เห็นได้บ่อยก็จากอาซานั่นแหละ เขาเคยบอกผมว่า พวกมือใหม่มักมีอคติกับพวกมนุษย์ธรรมดาจนถึงเข้าขั้นเกลียดชัง มากกว่าที่จะมีปัญหากับพวกเดียวกับหรือพวกอื่น

        ประตูทางเข้าบ้านพักของอาซาปิดสนิท ผมเริ่มตระหนักถึงปัญหาการเข้าไปข้างใน ทุกครั้งที่เคยเข้าออก ถ้าประตูไม่เปิดทิ้งไว้อย่างครั้งแรก ก็จะมีคนพาเข้าไปเสมอ ไม่ค่อยได้เข้าออกตามลำพัง ประตูนี้ไม่มีกุญแจไขเข้าออก ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันใช้ระบบอะไร รู้แค่ว่า ผมไม่สามารถเปิดมันได้ด้วยการผลัก

        “แย่ชะมัด” ผมมองลอดช่องว่างรั้วเหล็กเข้าไปข้างใน เผื่อจะเห็นฟรินน์ในร่างคนหรืองูเลื้อยเล่นตรวจตราความเรียบร้อยในบ้านผ่านมา แต่เท่าที่เห็น มดสักตัวยังไม่มีเดินผ่าน

        เงยหน้าสูงขึ้นอีกหน่อยจะเจอกับแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมที่เชื่อมติดบนประตูทางเข้า ประทับตราสัญลักษณ์กลุ่มของอาซา งูที่แสนดุร้ายอ้าปากกว้างโชว์เขี้ยวแหลม

        หรือว่า...

        ผมยกมือขึ้นสูงเสมอตราสัญลักษณ์ ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ ที่ผ่านมาผมไม่เคยสังเกต แต่ถ้าจำไม่ผิด เหมือนผมจะจำภาพได้ลางๆว่าอาซาและพวกเพื่อนของเขาจะเปิดประตูด้วยการแตะมือบนตราประจำกลุ่ม

        เรียวมือที่เล็กกว่าแผ่นเหล็กรูปงูอยู่มากสั่นไหวเล็กน้อย ค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้ที่ละนิดๆ

        ผมอาจจะเปิดได้ เพราะผมก็เป็นเหมือนพวกเขา

        เป็นนากินี

        หมับ!

        “เฮ้ย! อื้อ!!” ผมสะดุ้งโหยงกับมือใครก็ไม่รู้ที่วางหนักบนบ่า รีบหันหลังไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็พ่นลมหายใจออกจมูกดังพรืด “จูเลียต! ให้ตายเถอะ เธอเกือบทำฉันหัวใจวาย”

        “ขวัญอ่อนเกินไปหน่อยนะนาย”

        “เธอมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงต่างหาก เป็นใครก็ตกใจ” ยกมือลูบอกเรียกขวัญ หัวใจยังเต้นแรงอยู่เลย

        “นายมาทำอะไรที่นี่” จูเลียตทำหน้าหนักใจ หรือมองอีกทีเธอกำลังเหนื่อยหน่ายผม

        “มาหาอาซา” ผมตอบอย่างจริงจัง

        “เท่าที่ฉันรู้มา อาซาห้ามนายมาที่นี่เองไม่ใช่เหรอไง” เธอยกมือกอดอก พักขาข้างหนึ่ง ท่าทีสบายไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ก็อย่างว่า เธอจะเดือดร้อนไปทำไม ในเมื่อคนที่จะโดนลงโทษคือผมไม่ใช่จูเลียต แต่ไหนๆก็มาแล้ว ผมไม่คิดจะหันหลังกลับ

        “ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเข้าเลยต้องมา”

        “นายโดนดีแน่ๆ” รอบยิ้มเหมือนสะใจมากกว่าจะเห็นใจ ผมชินเสียแล้วกับการแสดงออกของจูเลียตที่มีต่อผม

        “ไม่บอกก็รู้”

        “ดื้อรั้นแบบนี้ระวังจะไม่ตายดี” เธอยกมุมปากขึ้นข้างเดียว

        “ขอบใจที่เตือน” ผมยียวนเธอทั้งๆที่ก็เครียดแทบบ้า

        “บอกไว้เลยว่าอาซาเอานายตายแน่”

        ผมเบ้หน้าเซ็ง เหอะ ก็คงจะอย่างนั้น

        “แล้วเมื่อกี้นายจะทำอะไร” จูเลียตตัดบทต่อล้อต่อเถียง เอนหน้ามองไปทางข้างหลังผม ผมหันมองตาม

        “อ่อ” ผมร้องครางในคอเบาๆ “จะลองเปิดประตูน่ะ”

        จูเลียตทำหน้างง “แล้วทำไมไม่เปิดละ เปิดซิ”

        เธอพยักหน้าให้ผมทำ ก็ว่าจะเปิดอยู่ถ้าเธอไม่เข้ามาขัดจังหวะให้ผมตกใจเสียก่อนอ่ะนะ ผมหันกลับที่ประตูอีกครั้ว เอี้ยวมองจูเลียตที่ยืนอยู่ด้านหลัง

        “เอามือแตะบนตรานี่ใช่ไหม” ผมถาม เธอพยักหน้าเนือยๆ เพิ่งมองเห็นร่องรอยความเหนื่อยล้า พวกเขาคงเหนื่อยกับปัญหาที่เกิดขึ้นมาก เพราะงั้นผมยิ่งรู้สึกว่าผมควรต้องช่วยเหลือพวกเขา ถ้าหากว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน

        ทันทีที่ผมแตะฝ่ามือลงบนแผ่นเหล็ก ประตูก็ปลดล็อกเสียงดังกริ๊ก แล้วอ้าออกเล็กน้อยให้ผมดันเปิดกว้าง ผมตื่นเต้นที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ย้ำชัดว่าผมก็เป็นนากินีคนหนึ่ง

        มันก็รู้สึกดีนะที่ทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย

        จูเลียตเดินนำหน้าเข้าบ้าน เราไม่ได้คุยกันอีก ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว และอีกอย่าง เธอคงเหนื่อยเกินกว่าที่จะหาเรื่องมาทะเลาะถกเถียงกับผม

        เดินฝ่าป่ามาจนถึงตัวบ้านได้ จูเลียตก็ทิ้งผมให้ยืนเคว้งคว้างกลางบ้านอยู่คนเดียว ส่วนเธอแยกตัวขึ้นห้องไปนอน แล้วทีนี้ผมจะเอายังไงต่อดี บ้านเงียบสนิทคล้ายไม่มีคนอยู่ ผมหันซ้ายหันขวา

        “โยชิ” เสียงหวานเรียก

        “ปารีส เอ่อ สวัสดี” ผมทักทายเธอ ปารีสเดินเข้ามาหาผม ในมือเธอมีโรสแมรี่ที่ปลูกไว้หลังบ้านติดมือมาด้วย เธอคงออกไปเก็บมันมาเพื่อทำอาหาร

        “สวัสดี” เธอยิ้มอบอุ่นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะทำหน้าเครียด ผมยิ้มเก้อ “อาซายังไม่รู้ใช่ไหมว่าเธอมา”

        การมาของผมคงเป็นเรื่องเลวร้ายมาก

        “ยัง”

        “เฮ้อ” ปารีสถอนหายใจ

        “แต่ฉันมีเรื่องจำเป็นมากจริงๆที่ต้องมา”

        “เดาว่ามากพอให้เธอกระตุ้นต่อมอาละวาดของเจ้างูดำนั่น” ก็ฟังดูดีนะ

        ผมยิ้มแหย “เขาอยู่ไหนเหรอ”

        “อยู่บนห้องนะ เพิ่งกลับมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วเอง”

        “อ่อ ขอบใจนะ ฉันขอตัวก่อน”

        “ระวังตัวด้วยละ” ปารีสมองผมด้วยแววตาเป็นห่วง ผมยิ้มปลุกขวัญและกำลังใจ แล้วก็เดินขึ้นไปที่ห้องของอาซา ทุกอย่างในบ้านเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมเลิกมองสำรวจบ้านเมื่อมาถึงหน้าห้องที่คุ้นเคย หมดเวลาทำใจ

        ผมลองบิดลูกบิดดู ปรากฏว่าไม่ได้ล็อค ผมเปิดประตูออกช้าๆ ไม่ให้เกิดเสียงรบกวนคนที่นอนอยู่ด้านใน ผมแทรกตัวผ่านประตู ยืนค้างเติ้งอยู่กับที่ มือสองข้างที่อ้อมจับลูกบิดทางด้านหลังอออกแรงดันปิดประตูช้าๆ ดวงตาจับจ้องคนที่นอนทอดกายไร้เสื้อปกปิดท่อนบนอยู่บนเตียงหลังโต

        แกร๊ก

        “ฟู่”

        ใจเย็นไว้ที่รัก ใจเย็น

        ผมข่มความกลัว ย่องให้เกิดเสียงเบาที่สุดไปที่โซฟาริมหน้าต่าง ตายังคงมองอาซาว่าเขารู้สึกตัวหรือเปล่า ทุกอย่างในห้องยังคงนิ่งเงียบ ผมทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟา รอให้เขานอนให้เต็มอิ่มก่อนแล้วค่อยคุย ถ้าอาซานอนไม่เต็มอิ่ม เขาจะอารมณ์เสียง่ายกว่าปกติสามถึงสี่เท่า

        ผมละสายตาจากอาซา มองสำรวจห้องอย่างไม่มีอะไรทำ เงียบเกินไป ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของคนนอนหลับ

        “...!!!”

        เวรแล้ว อาซาไม่ได้หลับ

        “ไง” เขาทักผมทั้งที่ยังหลับตา ผมฝืดคอจนกลืนน้ำลายลำบาก

        “...” ผมถึงกับพูดไม่ออก เม้มปากแน่น จนกระทั่งอาซาลืมลุกขึ้นนั่งจ้องผมตาดุ

        “คำพูดของฉันไม่มีความหมายสินะ” เสียงเขาน่ากลัวเกินไป พาลเอาใจร่วงไปอยู่ที่ปลายเท้า

        ผมรู้ว่าเขาโกรธมาก แต่ต่อให้รู้ร่วงหน้าว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผมก็ยังยืนยันคำเดิมที่จะมา หลายๆอย่างไม่เป็นปกติ เอเดนไม่รู้จะมาไม้ไหน คนตายที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน และอยู่ๆผมก็เจอกับอเล็ก เขาบอกทำนองว่ารอยปานผมมีอะไรที่พิเศษ และหนังสือเล่มนั้นก็เขียนไว้ในทำนองเดียวกัน และเมื่อนึกย้อนไปถึงฝันร้าย ผมก็แทบไม่ต้องคิดอะไรอีก

        ถ้าหากว่ารอยปานจะเป็นตัวไขปริศนาให้ผมเลิกกลัวงูแล้วกลับไปเป็นนากินีเต็มตัว อะไรๆคงจะดีไม่น้อย ผมจะได้ยืนต่อสู้เคียงข้างอาซาได้อย่างเต็มภาคภูมิ

        ตอนนี้ให้ผมเป็นงูเป็นอะไรก็ได้ ที่สามารถปกป้องดูแลคนที่รักไม่ว่าจะเป็นพ่อ พี่ยอร์ช อาซา และเพื่อนรอบข้างคนอื่นๆ ผมก็ยินดีอย่างยิ่ง

        ผมยังจำได้ติดตา นิกกี้ที่ตายให้อ้อมอกผมโดยที่ผมช่วยอะไรเธอไม่ได้ เธอต้องตายไปเพราะเรื่องของเรา การสูญเสียเพื่อนที่แสนดีอย่างไม่มีวันหวนกลับตลอดกาล เป็นบทเรียนราคาแพงที่ผมไม่ต้องการให้เกิดกับใครซ้ำสอง

        ครั้งเดียวก็เกินพอ

        “ฉันรู้ว่านายไม่พอใจ แต่ฉันมีเรื่องจำเป็นจริงๆ ฉันร้อนใจมากจึงต้องรีบมาหานายที่นี่” ผมทำใจกล้าลุกไปหาอาซาบนเตียง แต่ทำได้แค่นั่งลงเคียงข้าง ไม่กล้าเข้าใกล้แนบชิด เขากำลังโกรธจัด ดูได้จากแววตาแข็งกร้าวและเย็ยชาดุจน้ำแข็ง

        เขาไม่พูดอะไร ผมจึงพูดต่อ “ตอนที่นายกลับมา ฉันก็ทำตามที่นายสั่งนะ ไม่ได้คิดจะมาที่นี่เอง”

        “แล้วมาทำไม” เสียงต่ำของเขาเย็นชาจนน่าใจหาย ความเดือดดานปรากฏอยู่ในดวงตาสีดำสนิทของเขา ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง

        “อาซา ฟังฉันหน่อย อย่าเพิ่งโมโห ขอร้องล่ะ” เสียงผมสั่น แววตาคงฉายชัดทุกความอัดอั้นที่ล้นทะลักในอก มีแต่ความกังวล ไม่เข้าใจ  เหมือนคนตาบอด มันช่างทรมาน

        “พูดมา” ใบหน้าของเขาแดงก่ำ สันกรามเครียดขึง

        ผมหลุบตาต่ำก่อนเล่า มือประสานกันแน่น “พอนายกลับมาที่นี่ ฉันก็ไปลงเรียนมวยไทย เพื่อไว้ป้องกันตัวเอง”

        อาซาตวัดสายตามองผมเขม็ง ผมยิ้มแห้งใส่ “แต่มีคนๆหนึ่งในค่ายมวยบอกกับฉันว่า ปานบนหน้าอกที่นายทำไว้ มันไม่ปกติ”

        “ใครบอกนาย” เขาถามรวดเร็ว ผมลังเลว่าจะบอกดีไหม แต่พอสบดวงตาวาวโรจน์คุกรุ่นแล้วก็ตัดสินใจได้ว่าผมควรบอกอาซาทุกอย่าง เพื่อความปลอดภัยของชีวิต

        “ครูสอนมวย เขาชื่ออเล็ก”

        “...” อาซานิ่งเงียบ

        “ปานของฉัน ที่นายทำไว้ มันมีอะไรมากกว่าที่ฉันรู้หรือเปล่า”

        “...” เขาเงียบไป ไม่นานแต่ก็ไม่ปกติ ก่อนที่เสียงแหบสั่นจะตอบกลับมา “ไม่มีอะไร”

        แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น “แน่ใจนะอาซา ฉันเดาว่ามันไม่ใช่รอยปานธรรมดาที่นายสร้างเอาไว้เป็นที่ระลึก บอกฉันได้ไหม ฉันคิดว่าฉันควรต้องรู้”

        “มันไม่มีอะไร นายต้องเชื่อฉัน” คำพูดช่างคลุมเครือ ไร้ความกระจ่าง

        ผมส่ายหน้า “นายก็รู้ว่าฉันไม่เชื่อ”

        “ฉันเป็นคนทำ นายจะรู้ดีกว่าฉันได้ไง” เราเริ่มจะทะเลาะกันอีกรอบ ฟังจากน้ำเสียงเข้มต่ำแฝงไปด้วยความดุดันก็พอจะรู้ว่าผมไปกวนอารมณ์เขาเข้าให้อย่างจัง

        “ก็เพราะว่าฉันอ่านเจอในหนังสือ เกี่ยวกับความลับของปาน และมันมีรอยปานรูปอยู่ที่อยู่บนหน้าอกของฉันอยู่ในนั้น รอยปานที่นายทำไว้ คนเขียนวาดเอาไว้ในหนังสือพร้อมกับบอกว่า มันเป็นรอยปานต้องห้าม และยังเขียนเอาไว้ว่า สมบัติล้ำค่า ฝังติดตรึงตราใต้รอยจารึก มันหมายความว่ายังไงกันแน่” ผมคาดคั้นเอาคำตอบ อาซาเงียบไปอีกหนก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจ

        “อย่าไปสนใจมันโยชิ ไม่มีอะไรทั้งนั้น เลิกอ่านหนังสือบ้าบอ เลิกฟังใครก็ตาม เชื่อแค่ฉัน เท่านั้นที่นายควรต้องทำ” เขากัดฟัน พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพูดแบบไม่ใส่อารมณ์หรือตะคอก

        “นายกำลังสั่งฉัน?” ผมย้อนถาม เขาหน้าบึ้งขึ้นมาทันควัน

        “ใช่ ฉันสั่ง และนายต้องทำตาม”

        “ทำไม มันต้องมีอะไรแน่ๆ นายบ่ายเบี่ยง มันร้ายแรงมากนักเหรอ” เราสองคนจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย อารมณ์ผมก็เริ่มไม่คงที่แล้วเหมือนกัน

        “ทำไมต้องมากเรื่องด้วย”

        นี่เขา...

        “นายไม่รู้หรอกว่าฉันพยายามปกป้องนายมากขนาดไหน ในขณะที่นายพยายามพุ่งเข้าหาอันตราย”

        ผมเบ้ปาก น้ำตาจะไหลลงเสียให้ได้ ผมเงียบ เป็นนัยยะว่าผมกำลังโกรธ ที่เขาไม่พูดความจริง ยิ่งเขาไมบอกผมก็ยิ่งอยากรู้ ยิ่งปิดบัง และผมไม่พอใจเอามากๆ แต่เพียงประโยคต่อมาที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีซีด ทำเอาความโกรธทั้งหมดพลันมลายหายไป





        “You'll never love yourself half as much as I love you” น้ำเสียงของเขาเศร้าและเจ็บปวด





        และสิ่งที่ผมตอบกลับไปก็คือ






        “Because now I love you more than myself, more and more” ผมถ่ายทอดทุกความรู้สึกผ่านดวงตาให้เขาได้รับรู้และเข้าใจ



        สุดท้ายผมก็ไม่ได้คำตอบของคำถามที่ผมต้องการรู้ อาซาเดินออกไปจากห้อง เขาสั่งให้ผมนอนพักผ่อน ตื่นมาแล้วค่อยคุยกันอีกที ผมก็ได้แต่นั่งนิ่ง ไม่มีอะไรกระจ่าง มีแต่ทำให้สงสัยจนเกิดความทรมาน จิตใจผมจะสงบได้ยังไง ถ้าสมองยังเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีใครคิดจะให้คำตอบ ผมเริ่มปวดหัวเพราะอาการเครียด

        ยังไงผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่าปานนี้มีความหมายว่ายังไง

        ถ้าอาซาไม่ยอมบอก ผมก็จะไปถามเอาจากคนอื่น ผมคิดว่าน่าจะมีอีกคนที่ช่วยผมได้

        เจ้าของร้านขายหนังสือ


        วันต่อมาผมแอบออกจากบ้านของอาซาตอนที่พวกเขาออกไปข้างนอกกัน เหลือแค่จูเลียตกับปารีสอยู่บ้านกันสองคน ผมบอกกับพวกเธอว่าจะออกไปหาเติร์ด พวกเธอก็เลยไม่ได้ถามอะไร

        เมื่อวานผมทำเป็นไม่ถามไม่ซักไซ้เรื่องปานต่อ อาซาเหมือนจะกังวลว่าผมจะถามเขาเช่นกัน เขาพยายามทำตัวให้ยุ่ง แต่เขาจะรู้ไหมว่ามันยิ่งทำให้ผมสงสัยหนักว่าอะไรที่เขากำลังปิดบัง

        ผมทำเวลาในการเดินทางกลับหอเพื่อไปเอาหนังสือแล้วมาที่ร้านหนังสือให้เร็วที่สุด ก่อนที่อาซาจะกลับบ้าน ตรอกแคบนี้เคยเกิดเรื่องราวการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวระหว่างผม จูเลียตและพวกแวร์วูฟ ผมเผลอก้มมองที่ข้อมือ ไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลือ แต่ผมยังคงจำความเจ็บปวดยามที่กงเล็บแหลมคมฝังลงบนเนื้อ

        แค่คิดก็ขนลุกซู่

        ผมหยิบน้ำหอมออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างแล้วพรมฉีดลงบนตัวอีกครั้งเพื่อกลบกลิ่นอาซาที่คิดตัว เมื่อแน่ใจแล้วว่าตัวผมมีแต่กลิ่นน้ำหอมคล้ายกับว่าใช้อาบแทนฉีด ก็รีบเดินจ้ำไปที่ร้านหนังสือเก่าอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ว่าพวกเจ้าตัวประหลาดจะโผล่มาตอนไหน คราวนี้ไม่มีจูเลียตอยู่ด้วย ผมคงสู้พวกมันไม่ไหว

        กริ๊ง~

        เสียงกระดิ่งดังเฉกเช่นครั้งแรก และภายในร้ายก็ยังคงเงียบราวป่าช้า ผมมองหาคุณลุงเจ้าของร้าน บนเคาน์เตอร์ไม้ยาวติดกับประตูร้านมีหนังสือวางซ้อนทับอยู่หลายกอง สูงเกือบเท่าหัวผม ผมเขย่งปลายเท้ามองผ่านหนังสือก่อนจะสะดุ้งตกใจก้าวถอยหลังเมื่ออยู่ๆคุณลุงก็โผล่พรวดขึ้นมา

        “อ้าว เธอนี่เองหรือพ่อหนุ่ม คราวนี้อยากได้หนังสืออะไรละ” คุณลุงยิ้มอย่างเป็นมิตร

        “เปล่าครับ คือว่า ผมมีเรื่องจะถาม ถ้าคุณลุงพอจะทราบเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้” ผมล้วงหนังสือ Mysterious Birthmark ใส่ให้คุณลุง ร่างท้วมสูงเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ นำไปที่โต๊ะๆเล็กๆติดกระจกมองเห็นถนนหน้าร้าน ผมนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

        “อ่านตรงไหนไม่เข้าใจเหรอ” มือเหี่ยวย่นจับแว่นที่ห้อยที่คอขึ้นสวม เหลือบตามองผมก่อนจะก้มมองหนังสือ มือพลิกเปิดอ่าน

        “คุณลุงเคยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วใช่ไหมครับ” ผมเริ่มต้นถาม

        “ใช่ ฉันอ่านตั้งแต่ยังเด็ก จดจำได้เกือบทุกบรรทัด ทุกตัวอักษร ฉันถึงได้ขายให้เธอ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องอ่านมันอีกแล้ว”

        ผมยิ้มกว้าง รู้สึกมีความหวัง “ดีเลยครับ คือผมอยากรู้เกี่ยวกับเนื้อหาในหน้าสุดท้าย”

        คุณลุงเงยหน้ามองผมอีกครั้ง สายตาที่คุณลุงมองผมเปลี่ยนแปลกไป “หน้าสุดท้ายไม่มีเนื้อหาเขียนเอาไว้”

        “ผมทราบครับ แต่ว่า ผมอยากรู้ว่าปานต้องห้ามสองแบบที่อยู่ในหนังสือมันมีความหมายว่ายังไง คนที่เขียนไม่ได้บอกอะไรเพียงแค่...”

        “สมบัติล้ำค่า ฝังติดตรึงตราใต้รอยจารึก” คุณลุงเอ่ยแทนผม

        “ใช่ครับ” ผมพยักหน้า

        คุณลุงถอดแว่นออก ปิดหนังสือแล้วส่งคืนให้ผม “ขอโทษด้วยทีฉันต้องบอกเธอว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเนื้อหาในหน้าสุดท้ายทั้งนั้น”

        “แต่เมื่อกี้คุณลุงบอกผมว่า คุณลุงอ่านเล่มนี้จนจำได้” ผมจับสังเกตสีหน้าของคุณลุง ถ้าหากไม่รู้ ก็ไม่น่าจะแสดงแววตาตกใจให้เห็น

        “ใช่ฉันพูด แต่เธอก็รู้ว่าหน้าสุดท้ายมันไม่มีอะไรเขียนไว้ ฉันว่าเธอไม่ต้องอยากรู้หรอก เว้นแต่ว่าเธอจะมีปานต้องห้ามบนตัว”

        “เปล่าครับ ไม่มี” ไม่รู้ทำไมผมถึงรีบปฏิเสธ คือผมไม่รู้ว่าผมควรบอกใครต่อใครไหมว่ามีรอบปานรูปงูต้องห้ามอยู่บนตัว

        “ถ้างั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องใส่ใจ ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก ฉันขอตัวก่อน”




.....................
        หึหึ มาลงตอนนี้ไม่เรียกว่าดึกละเช้าเลยล่ะ บอกทีว่าการนอนยังจำเป็นอยู่ไหม
        ตอนหน้าจะเป็นพาร์ทของอาซา ทีนี้จะได้รู้กันล่ะว่าปานบนหน้าอกหนูโยชิหมายความว่ายังไง แล้วทำไมอาซาถึงไม่ยอมบอกให้โยชิรู้
        ที่จริงแต่งช่วงตอนที่เจ็ดแปดเก้านี่แบบเล่นเอาเครียดมากอยู่ เพราะมันเหมือนจะไขปริศนาให้กระจ่าง แต่ก็ไม่ได้เฉลย เลยกลายเหมือนดูยืดเยื้อ (หรือคิดไปเอง)  คือจุดแก้ปมมันมีช่วงของมันอยู่ ซึ่งยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าที่วางพล็อตไว้แบบนี้มันโอเคไหม กว่าจะเอาออกมาได้ก็แก้แล้วแก้อีก ตั้งแต่ตอนที่แล้วละ เขียนลบเขียนลบอยู่สี่ห้ารอบได้
        ที่จริงก็ยังลังเลที่จะเอาตอนนี้มาลง เพราะรู้สึกว่ามันยังไม่โอเคเท่าไหร่ ทั้งๆที่ก็ร่างพล็อตไว้แบบนี้ แก้ยังไงมันก็ได้แบบนี้ เลยคิดว่าเอามาลงให้คนอ่านๆก่อน แล้วก็แต่ต่อไปเรื่อยๆ บางทีถ้าพ้นจุดนี้ไปได้ อาจจะมองเห็นอะไรมากขึ้น ไม่งั้นก็ไม่ต้องไปไหนพอดี ติดมันอยู่แค่อีสองสามตอนนี้แหละ
        ฮุ่ยๆ การเขียนนิยายแฟนตาซีนี่มันยากจริงๆ ก็ได้แต่พยายามเพื่อนคนอ่านของเราต่อไป
        ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ ริริอ่านแล้วมีกำลังใจ ยิ่งมีคนทวงยิ่งอยากแต่งต่อเร็วๆ ตอนหน้าจะมาลงให้เร็วกว่านี้นะคะ ขอแต่งตอนที่ 10 ให้เสร็จก่อนแล้วกัน
        เลิฟยู จูฟฟฟ  :mew1:



       

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2792
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
ปานนี่ต้องมีอะไรแน่ๆๆๆๆๆๆ
ชักจะสงสัยมากขึ้นทุกทีๆ
รออาซามาเฉลยยยยยน้าาาา

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
มันแปลกๆนะ อาซา
ห่วงมาก แต่ไม่บอกอะไรเลยอ่ะ
มันก้อเหมือน ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ นั่นล่ะ
สุดท้ายโย คนที่เราเปนห่วง ก้อวิ่งเจ้าอันตรายเพร่ะความไม่รู้ อยู่ดีอ่ะ
ถ้าเป็นห่วงกันจิงๆ มันก้อต้องพูดกันด้วยเหตุด้วยผลไหม ดีกว่ามาสั่งๆๆให้ทำตาม มันไม่ได้ผลหรอก
เพราะเปนคนอ่าน คนอ่านก้อไม่ทำตามค่ะ -_-^^

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
สงสารโยชิอ่ะ
สรุปรูปปานนั่นมันมีความหมายว่าอะไรกันแน่

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ลุ้นต่อไป รออาซามาบอกกกก

ออฟไลน์ ☾❤Nyanpire❤☽

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1836
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-2
ยิ่งไม่บอกก็ยิ่งสงสัยหนัก กลัวโยชิจะเจอคนไม่ดีเข้า
มันร้ายแรงมากเหรอ?ถึงบอกไม่ได้เลย
สงสัยมากๆๆๆๆ

ปล. เป็นกำลังใจให้คนเต่งนะ สู้ๆ :L2:

ออฟไลน์ jbook

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :z3: ลุ้นมากๆๆๆ>////< ติดตามจ้า

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
อาซามาเฉลยเร็วๆน้า
ข้องใจกะปานนี้มากอ่ะ
โยชิน้อยน่าสงสารจริงๆ
ถามใครก็ไม่มีใครบอกเลยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ปานมีความลับอะไรกันแน่นะ ทำไมอาซาถึงไม่ยอมบอก

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
สงสัยว่าทำไม อาซา ถึงไม่บอก หนูโย ไปว่าปานนั้นมีความหมายว่าอะไร

ปิดบังอยู่แบบนี้แล้วจะได้อะไรขึ้นมานะ

หน่วงจิตดีจัง


ออฟไลน์ shikyu3211

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1
อยากเห็นโยชิกลายร่างเร็วๆจัง

ออฟไลน์ •ผั๑`|nกุ้va’ด•

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-69
รออ่าน พร้อมแอบไขปมในใจ...

ออฟไลน์ question09

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1501
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-10

ออฟไลน์ loveromance

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
คิดว่าอาซาคงมีเหตุผลแน่ๆ แต่อาจจะเป็นเหตุผลที่ใหญ่ถึงบอกโยชิไม่ได้ งืมๆๆ

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
พี่ริมาแล้ว

ดีใจเดี๋ยวขอตัวไปอ่านก่อนจ้า

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
ปานมันต้องมีอะไรแน่ๆ

อาจเป็นปานที่สะกดโยชิไม่ให้กลายร่างเป็นงูไหมเอ่ย

เดาๆไปก่อน

รอๆพาร์ทของอาซาจ้า

รออย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว

เป็นกำลังใจและติดตามเสมอจ้ากด+

ออฟไลน์ Yร้าย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
หนูโยจัง...ทำไงจะได้รู้ความจริง......
มาอิป้าจะช่วยไขความลับให้.....แต่ต้องไป
ขออนุญาตท่านอาซสก่อนน๊าาาา...หุหุ...

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
อาซาบอกเหอะนะ ไม่งั้นโยชิอาจจะมีอันตรายก้อได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
มาให้กำลังใจจ้า

แล้วจะมาอีกตอนเมื่อไร

แบบว่าอยากอ่านมากๆ

ออฟไลน์ Kissing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
โธ่ หนูโยชิที่น่าสงสาร พี่ยังอยทกรู้เลยว่าปานนั่นมันมีความหมายว่ายังไง   :z3:

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
มาให้กำลังใจจ้า

แล้วจะมาอีกตอนเมื่อไร

แบบว่าอยากอ่านมากๆ
วันอังคารอาจจะมานะตัวเอง รออีกนิดๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ loveromance

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
 :z13:
รับทราบ :katai5:

ออฟไลน์ RiRi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 568
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +595/-8
    • RiRiWorld
B.L.O.O.D.L.I.N.E
EIGHT





        ใบหน้าของชายหนุ่มวัยรุ่นผู้เคราะห์ร้ายเกร็งขึงอย่างทรมาน ดวงตาเบิกกว้างแทบถลน แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไอสีขาวขุ่นระเหยออกจากร่างกายที่เริ่มกลายเป็นสีเทาเข้มอย่างรวดเร็ว ผิวกายและเสื้อผ้าแปลเปลี่ยนจากความอ่อนนุ่มเป็นแข็งกระด้าง และในชั่วพริบตาเดียว ร่างที่เคยมีเลือดเนื้อก็กลายเป็นรูปปั้นหินสลัก ล้มลงกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นซอยแคบ

        ตัวการก่อเหตุกลายร่างกลับเป็นคนก่อนจะยกร่างหินผ่านความมืดอย่างเงียบเชียบ นำไปทิ้งไว้หน้ามหาวิทยาลัยนานาชาติชื่อดังใจกลางกรุง ไม่มีผู้ใดรู้ ไม่มีผู้ใดเห็น นอกจาก...

        “นี่ก็เป็นรายที่สิบหกแล้ว” เสียงก้องใสบอกกับเพื่อนคนสนิท

        “ยังไม่พอ ต้องมากกว่านี้จนกว่ามันจะถูกไล่ออกจากสถาบัน ไอ้อำนาจของผู้ใดคุ้มครอง” เอเดนมองไปยังจุดเกิดเหตุนิ่งๆ ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆทั้งสิ้นกับการกำจัดมนุษย์เยี่ยงมดปลวก

        “จะอยู่รอดูไหมว่าใครจะมาเจอศพหิน” อาซาเริ่มไหวตัวทัน ตามเก็บซากก่อนที่จะถึงหูคนในสถาบันเสมอ

        “ช่างมัน ใครจะเจอก็ช่าง แต่ยังไงคนที่ตายก็คือคนที่ตาย ถึงไม่เจอศพยังไงก็เป็นข่าวอยู่ดี”

        “แล้วกับนักฆ่า จะให้เอายังไง” ชาร์ลถาม ยกมือขึ้นแตะท้องแขนอีกฝ่ายแล้วเดินกลับไปที่รถยนต์ใหม่เอี่ยมป้ายแดงสีดำด้านที่จอดอยู่ไม่ไกล เอเดนเหลือบตามองชาร์ลแล้วตอบ

        “ฆ่าทิ้งซะ แล้วหาคนใหม่” เพื่อตัดปัญญาในภายหน้า การกำจัดผู้รู้เห็นเสียแต่เนิ่นๆเป็นทางออกที่เอเดนเลือก

        “ต้องเสียพวกฝีมือดีไปอีกหนึ่ง” น้ำเสียงเอ่ยอย่างแสนเสียดาย

        “หรือนายอยากตายแทนมัน”

        “ไม่ละ ขอบใจที่ทำให้ฉันตัดสินใจได้เด็ดขาดมากขึ้น” ก็อย่างที่เอเดนคิด ถ้าไม่กำจัดพวกสมรู้ร่วมคิดก่อน อาจเป็นพวกเขาที่แย่ก่อนที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการ

        “ทำไมไอ้เบนยังไม่ติดต่อมาอีก” ดวงตาคู่งามแต่เต็มไปด้วยความเร้นลับมองทางข้างหน้าที่กำลังมุ่งกลับคอนโดหรู

        “มันไปถึงที่ซ่อนกายของผู้ชายคนนั้นแล้ว แต่ดันเป็นที่อยู่เก่า เลยต้องตามสืบเรื่องที่อยู่ใหม่” ชาร์ลตอบ

        “โทรบอกมันด้วยว่าให้เร่งมือหน่อย ก่อนที่ไอ้อาซามันจะไหวตัวทัน”

        “ก็โทรไปบอกมันเองสิ” ชาร์ลยียวน ทำให้เอเดนตวัดตามองตาขวาง

        “แกนั่นแหละจัดการ คนของแกไม่ใช่เหรอไง”

        “ฮ่าๆๆ จัดการได้ก็ดีสิ” ดุยังกับอะไรดี

        “แกตามไปช่วยเบนก็แล้วกัน” เอเดนเอ่ยหลังจากคิดถี่ถ้วนดีแล้ว ชาร์ลเลิกคิ้วสูงเหลือบตามองคนด้านข้าง

        “แล้วนายล่ะ?”

        เอเดนกระตุกยิ้มมุมปากบางๆ นัยน์ตาวิบวับ “ฉันว่าจะไปที่ไร่องุ่นนั่นอีกสักรอบ”

        “ไปทำไมวะ” ชาร์ลเกิดข้อสงสัยอีกครั้ง

        “ไปหาเบี้ยตัวน้อยในกระดาน”






        ASA

        สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการที่จะรับรู้มากที่สุดก็คือ ‘ความจริง’ กลับกัน สิ่งที่มนุษย์กลัวและไม่อาจยอมรับได้ก็คือ ‘ความจริง’

        โยชิอยากรู้เรื่องปานบนหน้าอกที่ผมทำไว้ ผมยอมรับว่ามันไม่ใช่แค่ปานหรือรอยตำหนิที่ผมทำเพื่อแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ไม่ได้ทำเพียงเพราะเสน่ห์หา มันมีอะไรที่ซ่อนลึกลงไปมากกว่านั้น เกินกว่าที่โยชิจะรับได้เมื่อรับรู้ ตอนนี้เขายังไม่รู้ก็ย่อมอยากรู้เป็นธรรมดา แต่พนันได้เลยว่าเมื่อโยชิรู้ความหมายของมัน เขาจะต้องนึกเสียใจที่พยายามจะเค้นหาความจริง

        ผมรักโยชิมากก็จริง แต่ผมก็ทำให้เขาเห็นว่าผมไม่ได้ตามใจเขาไปเสียทุกเรื่อง ผมพร้อมที่จะใช้อำนาจและความแข็งแกร่งที่มีเพื่อดุและสั่งสอนให้โยชิเชื่อฟัง แต่ทั้งหมดก็เพื่อตัวเขาเอง ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อเขาคนเดียวเท่านั้น ที่ผ่านมาผมพยายามมามากแค่ไหนที่จะปกป้องโยชิ ไม่ว่าจากอันตรายภายนอก หรือสิ่งที่ผมฝังใส่ในจิตวิญญาณ อยู่ใต้รอยปาน และมันคือเหตุผลหลักที่ว่าทำไมผมถึงไม่ยอมให้โยชิกลายร่างเป็นงู

        “อื้อ” เสียงหวานดังอื้ออึงเบาๆ

        “ชู่ไม่มีอะไร นอนซะ” ผมตบหลังโยชิกล่อมให้นอนหลับสบาย ดึงผ้าห่มคลุมให้จนถึงคอ

        ผมเพิ่งกลับมาจากออกลาดตระเวน และวันนี้ก็มีคนกลายเป็นหินอีกหนึ่งราย ดีที่ลูกน้องผมไปเจอก่อนที่จะมีใครมาพบ

        เอเดนเริ่มก่อกวนหนักขึ้น ผมพยายามตามหาตัวเขาเพื่อหยุดยั้ง แต่ยังไม่พบว่าเขาพักอาศัยอยู่ที่ไหน ลูกน้องที่ส่งไปเฝ้าที่บ้านของโยชิรายงานว่าเอเดนไม่ได้ไปที่นั่น และที่อื่นๆในกรุงเทพก็ยังหาไม่พบ

        สิ่งที่เขาต้องการและตามมาเอาถึงที่นี่ ผมคิดว่าผมรู้ว่ามันคืออะไร เพียงแค่ผมไม่รู้ว่าเขารู้ได้ยังไง ในเมื่อคนที่รู้มีแค่ไม่กี่คน ผม...ชายแก่เมื่อพันกว่าปีก่อน และสัตว์ร้ายในตำนาน

        นึกย้อนไปเมื่อวันที่ผมรู้ว่าผมเป็นใคร และผมมีอะไร วันที่เปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างในชีวิตผมไปตลอดกาล



        ภายในบ้านหลังเล็กกลางหุบเขา มีเพียงผมและดาร์เรลอยู่กันเพียงสองเรา หลังจากที่ผมหนีออกจากบ้านเพื่อมาใช้ชีวิตอยู่กับคนที่รัก ผมไม่ลงรอยกับที่บ้าน และไม่คิดอยากจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเสตรนเบิร์ก

        ‘อาซา ตื่นได้แล้ว วันนี้ต้องออกไปหาอาหารไม่ใช่เหรอไง’ เสียงหวานใสเพราะหูดังปลุกผมในเช้าวันหนึ่ง

        ‘อีกนิดนะดาร์เรล’ ผมงัวเงียร้องขอ

        ‘ไม่นิดแล้ว ถ้าไม่ลุกขึ้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ’ ทำเสียงขู่ที่ไม่ได้น่ากลัวแม้แต่นิด

        ‘...’ ผมใกล้จะเคลิ้มหลับอีกรอบ

        ‘ข้าจะใจร้ายแล้วนะถ้าเจ้าจะหลับอีกรอบ!’

        ผมผงกหัวขึ้นจะก้อนนุ่นยัดในหนังสัตว์ขนฟูฟ่อง ‘เจ้าใจร้ายกับข้าตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วล่ะที่รัก’

        ‘อะไรของเจ้า ข้าไปใจร้ายกับเจ้าตอนไหนมิทราบ!’ ใบหน้าหวานเบ้เพราะเขินอายหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่ในสายตาผม ดาร์เรลทำหน้าแบบไหนก็น่ารักน่าชังไม่เสียหมด

        ผมยิ้มกริ่มก่อนจะตอบ ‘.ใจร้ายตรงที่เมื่อคืนเจ้าใช้งานข้าหนักทั้งคืน พอข้าถามว่าพอไหมๆ เจ้าก็เอาแต่ร้องว่าเอาอีกๆ ข้าเหนื่อยล้าไปทั้งตัว ไม่มีแรงไปหาอาหารให้เจ้าแล้วเช้านี้’ ผมแหย่งูน้อยของผมคำโต ใบหน้าขาวกลายเป็นสีแดงจัด นั่นแหละ ที่ผมชอบ

        ‘เจ้างูดำบ้า!!!’

        ‘เจ้าก็งูน้อยสีขาวจอมลามก’

        ‘จอมลามกนั่นมันเจ้าต่างหากอาซา!!! อย่ามาใส่ร้ายข้านะเจ้างูดำนิสัยไม่ดี!!!

        ‘ยอมรับมาเถอะน่าว่าเจ้าต้องการข้ามากๆๆ มากแบบไม่มีที่สิ้นสุด’

        ‘ข้าจะเริ่มไม่ต้องการเจ้าก็ตอนนี้แหละ’ เขาทำหน้าเบื่อหน่อย

        ‘ฮ่าๆๆ เจ้านี่น่ารักจังเลยเมียข้า’

        ‘ยังไม่หยุดล้อข้าใช่ไหม ได้ งั้นเจ้าตาย!’ สิ้นเสียงโวยวาย ร่างบางก็กลายร่างเป็นงูสีขาวนวลทั้งตัวตัวใหญ่พร้อมกับสะบัดหางฟาดตัวผมปลิวไปติดกับฝาบ้าน แรงจุดเสียดทำให้หัวเราะไม่ออก

        ‘ยอมแล้วทูนหัว ใจเย็นๆ ข้าไปแล้ว จะไปล่าเนื้อกวางแสนอร่อยมาให้เจ้าสักสิบตัว อย่าเพิ่งโมโหหิวนะ ใจเย็นๆนะที่รัก ใจเย็นๆ’

        ผมรีบออกจากบ้านเพื่อไปหาอาหารมาให้ดาร์เรล ผมเดินผ่านเส้นทางคุ้นเคยเข้าไปในป่าลึก มองหาเหยื่อดีๆสักสองสามตัวเอากลับไปไว้ทำอาหาร เรากินทั้งแบบสดตอนที่อยู่ในร่างงู และกินแบบมนุษย์ธรรมดาตอนที่อยู่ในร่างมนุษย์ เราไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิตแบบใดแบบหนึ่ง

        กวางสาววัยขบเผาะเดินผ่านม่านสายตา ผมหรี่ตาเล็งก่อนจะกลายร่างและพุ่งเข้าโจมตี ของโปรดของดาร์เรล เขาจะต้องดีใจกระโดดกอดผมแน่นสักทีที่หาของโปรดไปให้เข้าได้

        สวบ!

        เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นไม่ไกล ผมหันหัวมองก่อนจะกลายร่างเป็นคน ในป่านี้มีแค่ผมกับดาร์เรลอาศัยอยู่ แต่ทำไมกลิ่นที่สัมผัสได้กลับเป็นกลิ่นของมนุษย์ แล้วมันใดนั่น ร่างสูงใหญ่ในผ้าคลุมสีดำก็เดินออกมาจากพุ่งไม้รกทึบ

        ‘เจ้าเป็นใคร เข้ามาในเขตของข้าได้อย่างไร!’ ผมถามเสียงดุร้าย ขู่คำรามผู้มาเยือน

        ‘โอ้บุรุษแห่งนายท่าน ข้ามาดี มิได้มาร้าย’ น้ำเสียงอ่อนโยนของคนแก่ไม่อาจทำให้ผมเกิดความไว้วางใจ เขาเดินมาหาผมช้าๆ ผมไมได้ถอยหนี ไม่กลัวสิ่งอื่นใดบนโลกใบนี้

        ‘เจ้าเป็นใคร’

        มือเหี่ยวที่โผล่พ้นผ้าคลุมกายสีดำยกดึงผ้าคลุมหัวออก เผยให้เห็นใบหน้าแปลกประหลาดอย่างที่คนปกติไม่มี ดวงตาปูดโปนไม่น่าดู ผิวหนังเหี่ยวย่นและแห้งติดกระดูก ริมฝีปากตกยกยิ้มบางๆ ทุกสัดส่วนเครื่องหน้าเต็มไปด้วยรอยบาดแผลผุผองเหมือนเหยื่อโชคร้ายที่เคยถูกผมสาดกรดพิษใส่ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็น่าจะตายไปแล้ว

        ‘ข้าคือผู้ส่งสารให้แก่บุตรของนายท่าน’

        ‘ที่นี่ไม่มีคนที่เจ้าต้องการตามหาหรือส่งสารให้ รีบออกไปจากบริเวณของข้าก่อนที่ข้าจะโมโห’ ถึงยังไงผมก็ไม่ไว้ใจใคร และไม่ชอบให้ใครหน้าไหนเข้ามาในเขตความเป็นส่วนตัว

        ‘มีสิและข้าก็พบเขาแล้ว’ เจ้าคนแก่หัวเราะเสียงน่าขนลุก ผมขมวดคิ้วหงุดหงิด

        ‘หาพบแล้วก็ออกไปจากพื้นที่ของข้าซะ ก่อนที่ข้าจะฆ่าเจ้า’ ผมหมุนกายก้มลงคว้ากวางป่าขึ้นแบกบนไหล่ แต่พอเงยหน้าก็พบกับผู้บุกรุกที่มายืนขวางทาง ทั้งที่อยู่ไกลกว่าสิบเก้า แต่ทำไมถึงได้รวดเร็วเพียงนี้ ผมเริ่มระวังตัวมากขึ้น นึกเป็นห่วงดาร์เรลที่บ้าน

        ‘ท่านอยากรู้ไหมว่าบุรุษแห่งนายข้าคือใคร’

        ‘ไม่ ข้าไปอยากรู้ ออกไปจากเขตของข้าเดี๋ยวนี้!!!’

        ‘แต่ข้าคิดว่าท่านจำเป็นต้องรู้’ ชายแก่เดินเข้ามาใกล้ กลิ่นสาบงูแบบที่ไม่เคยได้กลิ่นฉุนกึกเข้าจมูกอย่างจัง เต็มไปด้วยอำนาจความน่ากลัว ตามมาด้วยน้ำเสียงที่จะตามหลอกหลอนผมไปอีกนานแล้วนาน ‘เพราะท่านคือบุรุษแห่งนายข้า’

        ผมตรงกลับบ้านไม้หลังเล็กด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ความจริงอื้ออึงอยู่ในหัวทำให้เกิดความสั่นไหวข้างในอก คำทำนายของพ่อเจอร์โรมที่เคยพูดเอาดังสะท้อนสลับกับคำพูดของชายแก่

        ‘เด็กคนนี้ โตขึ้นจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าแห่งโลกใบนี้ เขาจะครอบครองทุกอย่างไว้ภายใต้อำนาจของเขา’

        ‘ท่านคือบุตรของนายข้า ผู้ยิ่งใหญ่ที่แสนโหดร้าย บุตรแห่งบาซิลิสก์’


        นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกกลัวตัวเองจับใจ

        ยิ่งไปกว่านั้น ผมดันทำเรื่องที่ไม่ควรกับชีวิตของโยชิ ความหมายของปาน ความเลวร้ายที่ผมจับใส่ให้เขาโดยที่ตัวเองไม่รู้ ผมเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่คิดไม่นึกถึง ผมคิดว่าผมลืมไปหมดแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่ เมื่อโยชิถามถึงเรื่องปาน มันทำให้ผมร่า ผมไม่เคยหลีกหนีชะตากรรมของตัวเองพ้น และมันคงถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องถูกโยชิเกลียดเพราะสิ่งที่ทำไว้กับเขา

        “อื้อ!” เสียงครางสะดุ้งเรียกผมออกจากวังวนความคิด โยชิกระพริบตาปริบๆ หน้ามุ่ยคล้ายคนจะร้องไห้ ฟ้าเริ่มสร่างเมื่อเข้าสู่วันใหม่มาหลายชั่วโมง

        “ขอโทษ เจ็บเหรอ” ผมกระซิบถาม มัวแต่คิดเรื่องเก่าๆจนเผลอกดรอยช้ำบนตัวโยชิ รอยเขียวแกมม่วงดูน่ากลัวเมื่อปรากฏอยู่บนผิวกายขาว เจ้าตัวดีได้มาจากการที่แอบไปฝึกมวย

        “อาซา” โยชิเรียกชื่อผมเสียงง่วง ผมก้มจูบหน้าผากเขาไปที แทบไม่หลงเหลือความโกรธที่โยชิหนีกลับมาหาผมเพียงลำพัง

        ผมไม่ได้โกรธที่โยชิอยากรู้ความจริงที่เกี่ยวกับตัวเขา แต่ผมโกรธ ผมโมโหที่ตัวเองไม่กล้าที่จะพูดความจริงต่างหาก เพราะผมกลัวว่าจะเสียโยชิไป ผมยังไม่ลืมว่าก่อนที่โยชิจะตายคราวนั้น เขาจากไปพร้อมคำสาป เรากลับมารักกันอีกครั้ง แต่เขาไม่ยักเกลียดผม ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ครั้งนี้ผมเลยควบคุมตัวเองไม่อยู่ กลัวว่าความจริงที่โยชิอยากรู้จะเป็นบ่อเกิดให้คำสาปออกฤทธิ์

        ผมจะอยู่ยังไงถ้าเสียเขาไปอีกครั้ง

        “ฉันขอโทษนะ” ผมกระชับกอดโยชิแน่น ได้ยินเสียงสั่นของตัวเองชัดเจนก้องหู โยชิซุกหน้าลงกับอก สอดมือกอดเอวผมแน่น เงยหน้ามองผมทั้งที่ตาปรือปรอย

        “ฉันก็ขอโทษที่ไม่เชื่อฟัง” โยชิทำหน้าเหมือนเด็กสารภาพความผิด

        “รู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นห่วงนายมาก” ผมพูดเสียงอ่อนโยน

        “ฉันรู้ ฉันเองก็เป็นห่วงนายเหมือนกัน อยากดูแลนาย อยากอยู่เคียงข้าง ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปพร้อมๆกับนายนะอาซา” แววตาเว้าวอนน่าสงสารพาลเอาใจอ่อนยวบ

        “ฉันรู้ นายเลยต้องเจ็บตัวเพราะฉัน” ผมลูบมือไปตามผิวนิ่มมือ สัมผัสรอยช้ำแผ่วเบา ไม่กล้าลงแรง กลัวโยชิจะเจ็บ คนในอ้อมกอดก้มมองแผลของตัวเองแล้วหัวเราะเบาๆ

        “ไม่เป็นไรหรอกน่า แบบนี้ก็แมนๆดีออก” โยชิพูดติดขำ ผมรู้ว่าเขาไม่อยากให้ผมเครียด

        “ขอโทษนะ ที่เมื่อวานฉันว่านายแรงๆ” ถึงตอนที่โมโหจะพยายามทำใจเย็น แต่ก็ไม่วายพ่นคำเชือดเฉือนใส่โยชิ

        “ไม่เป็นไร ฉันไม่โกรธ”

        “ฉันเกลียดตัวเองจริงๆที่ทำให้นายเสียใจ”

        “ช่างมันเถอะนะ อย่าโทษตัวเองอีกเลย เราเริ่มใหม่ทุกอย่างได้”

        แม้จะมาเกิดเป็นคนใหม่ แต่โยชิไม่เคยเป็น เขาเป็นทั้งโยชิและดาร์เรลที่ผมรักยิ่งกว่าใครในโลกนี้

        ผมจูบโยชิเพื่อให้เขาปลอบประโลมคนที่ไร้แสงสว่างในชีวิตอย่างผม ขอเพียงความรักจากคนๆนี้ที่จะช่วยเยียวยาให้ผมหายกลัว ขอเพียงเป็นคนๆนี้ที่ผมจะอ่อนแอต่อหน้าเขา

        “บอกได้ไหมว่าปานที่นายทำไว้มันหมายถึงอะไร”

        ผมนิ่งงัน ยังมีอีกประโยคที่ชายแก่คนส่งสารพูดทิ้งท้ายไว้

        ‘ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึงตัวตนของเจ้า แม้แต่คนที่เจ้ารักก็ตาม มิเช่นนั้น ชีวิตเจ้าจะพังพินาศย่อยยับ’

        ผมเกิดความลังเล แต่เมื่อคิดดูแล้ว ไม่มีอะไรจะทำให้ชีวิตย่อยยับได้ นอกจากการที่ไม่มีคนๆนี้อยู่เคียงใจเคียงกาย เพราะฉะนั้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ขอแค่เขาไม่ไปจากผมก็พอ

        “ถ้าบอกไปนายจะต้องเกลียดฉันแน่ๆ” ผมยิ้มเศร้า

        “ไม่มีทาง ฉันไม่มีวันเกลียดนาย” โยชิเช็ดหยาดน้ำตาให้ผม แล้วก้มลงจูบซับอย่างอ่อนโยน กระซิบอ่อนหวานให้จิตใจผมสงบ “ไม่ว่ามันจะเลวร้ายขนาดไหน ฉันสัญญาด้วยชีวิตที่มีค่าเพียงเล็กน้อยชีวิตนี้ ว่าฉันจะไม่มีทางเกลียดนาย ไม่มีทางเกลียดคนที่รักฉันมากอย่างที่นายเป็น เพราะฉันเองก็รักนายมากเหมือนกัน”

        ผมแนบแก้มกับมือบาง หลับตาลงซึมซับไออุ่นจากคนตัวเล็ก ก่อนจะลืมตาเพื่อเข้มแข็งให้ได้เฉกเช่นคนตรงหน้า

        “นากินีถือกำเนิดจากไอพิษของบาซิลิสก์ แต่ฉันไม่ใช่ ฉันคือบุตรที่ก่อกำเนิดจากเลือดเนื้อของเขา ฉันจะกลายเป็นคนที่ครองโลกอย่างที่คนที่ฆ่านายบอกกับพ่อของฉัน ถ้าหากว่าฉันไม่ฝังสิ่งหนึ่งลงไปพร้อมกับรอยปานบนตัวนายอย่างไม่รู้ตัว”

        “มัน...มันคืออะไร”  โยชิถามเสียงสั่นเล็กน้อย แต่แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้ ผมวางมือลงบนหน้าอกบางข้างซ้าย ตรงกับตำแหน่งหัวใจที่แสนบริสุทธิ์

        “มันคือหัวใจของเขา หัวใจของบาซิลิสก์ ครึ่งหนึ่งมันอยู่ในตัวนาย ฝั่งแน่นไม่เสื่อมคลายตราบจนทุกวันนี้” ผมรอดูปฏิกิริยา โยชิค่อยๆเบิกตากว้างขึ้นเรื่อๆ เขาตกใจแทนที่จะช็อคอย่างที่ผมคาดคิด

        ผมยิ้มข่มขื่น “รู้แบบนี้แล้ว นายจะเกลียดฉันไหม”

        “เรื่องจริงเหรออาซา!” โยชิพูดแบบไม่ค่อยมีสติ

        “อืม คิดผิดหรือเปล่าที่อยากรู้” ผมบอกแล้ว คนเรามักเสียใจที่อยากรู้ความจริง

        “ไม่ๆ คือ มันเหนือความคาดหมาย แบบว่า ฉันเริ่มกลัวตัวเองนิดๆ” โยชิวางมือทับบนมือของผมที่ยังไม่เอาออกจากหน้าอกอีกฝ่าย

        “ฉันรู้ ฉันถึงไม่อยากบอกนาย” เพราะตอนที่ผมรู้เรื่อง ผมก็กลัวตัวเองเหมือนกัน

        “แต่ฉันไม่ได้เกลียดนายนะ” โยชิรีบบอก

        “ขอบใจ”

        “แล้ว...มันจะมีผลอะไรไหม แบบว่า บาซิลิสก์ที่ฉันเคยอ่าน เขาเป็นสัตว์ที่ร้ายกาจมาก มันจะเป็นอันตรายหรือเปล่า”

        ผมสูดลมหายใจแล้วครุ่นคิด

        “ฉันเองก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้” ตาลุงแก่คนนั้นไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้  หลังจากนั้นพออยากรู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อผมดันฝังหัวใจอีกครึ่งไว้ที่ดาร์เรล เขาก็หายตัวไป ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จนกระทั่งปัจจุบัน

        “แต่มันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็อยู่มาตั้งขนาดนี้แล้ว” โยชิคาดคะเน ผมคิดตาม เห็นด้วยเล็กน้อย เพราะที่ผ่านมาไม่เคยคิดเรื่องนี้จริงจัง ทำเพียงฝังกลบมันให้อยู่ในซอกหลืบที่เล็กที่สุดของความทรงจำ

        “ความจริงบอกฉันตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน” โยชิพูดหน้าเซ็ง

        “เพราะคนๆนั้นสั่งห้ามไม่ให้ฉันบอกนาย” ผมบอกแค่นั้น ไม่พูดให้จบทุกคำตามที่บุคคลผู้นั้นกล่าวเตือน “และที่จริงฉันยังกังวลอยู่อีกเรื่อง” ผมถอนลมหายใจยาวแต่ไร้เสียง

        “อะไรเหรอ บอกได้ไหม”

        “อยากรู้ไหมละ” ผมเย้าเสียงพร่า ทั้งที่มันไม่มีอะไรน่าจำหรือสนุก มันจะเป็นหายนะถ้าหากว่าสิ่งที่ผมคิดเป็นความจริง

        “ถ้านายอยากบอก ฉันก็อยากรู้”

        ผมยิ้มเอ็นดูเด็กน้อยของผม ก่อนจะที่รอยยิ้มจะเลือนหายไป

        “ฉันกำลังคิดว่า สิ่งที่เอเดนต้องการก็คือ...” ผมหยุดพูด แต่โยชิคงฉลาดมากที่จะเข้าใจว่าอะไรที่ผมเป็นกังวล

        “เขาต้องการหัวใจบาซิลิสก์งั้นเหรอ”

        “ฉันไม่แน่ใจ แต่ที่รู้ๆ ให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาดว่ามันอยู่ที่ตัวนายอีกครึ่งดวง”

        แต่ถ้าเอเดนต้องการมันจริงๆ ผมจะทำทุกทางเพื่อขัดขวางเขา เพราะถ้าเขาได้มันไป ไม่ใช่แค่ชีวิตผมเท่านั้นที่จะสูญสิ้น แต่โลกใบนี้คงย่อยยับเป็นจุล

         “ไม่เป็นไรนะอาซา เราจะปกป้องมันด้วยกัน หัวใจของเราสองคน ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้”

        ผมน่าจะรู้ ผมน่าจะจำได้ว่าคนรักของผมเขาเก่งเสมอเมื่อปราศจากความกลัวเกรง การสะกดจิตทำให้เขากลัวงูจนเหมือนจะกลายเป็นคนอ่อนแอ แต่แค่เหมือนเท่านั้น เพราะการสะกดจิตไม่อาจเกาะกินจิตวิญญาณแห่งนักสู้ของเขาได้ เราเคยต่อสู่ฝ่าผันอุปสรรคร่วมกัน ไม่มีสักครั้งที่เขายอมแพ้ และครั้งนี้โยชิทำให้ผมเห็นแล้วว่า เขาแข็งแกร่งพอที่จะสู้ไปพร้อมผมอีกครั้งหนึ่ง

        ‘ไม่เป็นไรนะอาซา เจ้ายังมีข้า ไม่มีใครรักเจ้าก็ช่างปะไร แต่รู้ไว้ว่าข้ารักเจ้าที่สุด ไม่ว่าอุปสรรคจะยากเย็นแค่ไหน ข้าสัญญา ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า ต่อสู้ไปกับเจ้า ขอแค่มีเรา ทุกเรื่องใหญ่จะกลายเป็นเรื่องเล็กเพื่อให้เราจัดการและข้ามผ่านมันไป เชื่อข้าไหม’

        พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า เราทั้งสองตระกองกอดกันหลับพักเอาแรง เพื่อต่อสู้ในวันข้างหน้าใกล้จะถึงนี้ ก่อนที่จะเคลิ้มหลับ ผมกระซิบคำหวานเป็นกำลังใจให้เราทั้งสองคน

       
        “Do you know? I like ‘US’”

        “I know”


        เสียงหวานตอบกลับให้ชื่นใจก่อนหลับฝันดี


       
.....................
        มีอะไรงงไหม ถ้างงสอบถามได้นะคะ แล้วจะมาตอบในตอนหน้า
        ปมเรื่องหัวใจบาซิลิสก์ไม่ได้มีเพียงแค่นี้นะคะ จะเฉลายส่วนที่เหลืออีก โปรดติดตามตอนต่อไป อิอิ
        รักคนอ่าน กอดๆ
:mew1: :กอด1: :pig4:
       
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2014 22:33:19 โดย RiRi »

ออฟไลน์ shikyu3211

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1
ร่วมกันสู้แล้วผ่านมันไปให้ได้นะ

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2792
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
เริ่มเข้มข้นแล้ววว
ต้องติดตามๆ
รอตอนต่อไปน้าาาาา

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:   

เอเดนนนนนนนนนนน  แกจะไปทำอะไรพี่ยอร์ชอ่ะ ห๊าาาา ตอบมาเลยนะ เค้ายอมให้แกทำพี่ยอร์ชได้กรณีเดียวคือจับทำเมีย  :hao7:

ออฟไลน์ BeauBeeiiz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะ เข้มแข็งไว้

คนคิดร้าย ยังไงก็ต้องแพ้จ๊ะ

สู้ๆนะ

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
ทั้งสองคนต้องชวยกันดูแลหัวใจของกันและกันน้า
ฟันฟ่าอุปสรรคไปให้ได้
สู้ๆนะทุกคนนนน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด