B.L.O.O.D.L.I.N.E
SEVEN
เบื้องหน้าผมเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาตืชื่อดังกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ในที่สุดผมก็ขัดคำสั่งอาซาแล้วกลับมาที่นี่ก่อนที่เขาจะเป็นคนไปรับ
บอกตรงๆเลยว่าผมทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว และผมคิดว่าผมรู้จักอาซาดีแม้ว่าจะกลับมาเจอกันอีกครั้งในชาตินี้ได้ไม่นาน ผมจะไม่มีทางได้คำตอบจากการโทรถาม ถ้าจะเค้นความจริงจากปากอาซา ผมคิดว่าพูดคุยกันต่อหน้าน่าจะได้เรื่องที่สุด
ผมสงสัย สับสนและเป็นกังวลว่าจะมีสิ่งไม่ปกติกับตัวผมมากไปกว่าการที่ได้รับรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างอาซา ถึงแม้อาซาจะบอกผมว่า ปานนี้เขาเป็นคนทำไว้ตอนที่เขากับผมลึกซึ้งกันครั้งแรกเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว เขาไม่ได้เล่าว่าทำไปเพื่ออะไร และผมก็ไม่เคยคิดสงสัยจนกระทั่งเมื่อวันก่อน
ก่อนกลับกรุงเทพเขาสั่งหนักสั่งหนา ลงโทษผมที่ดื้อเพื่อเป็นการเตือนปนข่มขู่ ว่าห้ามผมขัดคำสั่งเขาโดยเด็ดขาด แต่จะให้ผมทำยังไงกับความอยากรู้ที่เพิ่มขึ้นทุกวินาที
ผมกำลังคิดว่า ถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ ปานงูเป็นแค่ปานธรรมดาที่อาซาทำขึ้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ อเล็กจะกุเรื่องขึ้นมาทำไม เขาจะพูดให้ผมคิดมากไปทำไม คำพูดที่เหมือนจะรู้เรื่องทุกอย่างมันยากที่จะเลิกสนใจ กลับกัน ถ้าหากนี้ไม่ใช่ปานธรรมดา ทั้งความหมายและรูปภาพในหนังสือที่ระบุชัดเจน ทำไมอาซาไม่บอกผมตั้งแต่แรก ในเมื่อผมก็รู้เรื่องพวกมนุษย์กลายร่าง และรับรู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไรที่นอกเหนือจากมนุษย์สามัญ
หรือแท้จริงแล้ว อาซาต้องการจะปิดบังผม
มันบ้ามากกว่าที่ผมคิด
ผมเลือกที่จะกลับไปที่หอพักของตัวเองก่อนไปหาอาซา ก่อนมาพ่อกับพี่ยอร์ชก็ซักไซ้ใหญ่โตว่าทำไมผมถึงขอกลับกรุงเทพเร็วกว่ากำหนด เพราะเหลือเวลาอีกตั้งสิบวันก่อนเปิดเทอม แต่ผมทนรออยู่เฉยๆต่อไปไม่ไหว กว่าจะหาข้ออ้างของการกลับมามอกะทันหันให้พ่อกับพี่ยอร์ชพาผมกลับมาที่แอชยูก็ต้องโกหกคำโตไปหลายคำ ในทั้งคู่ยอมให้ผมกลับก่อนเวลาแต่โดยดี
ห้องพักของผมอยู่ในสภาพเดียวกับตอนที่กลับบ้าน แสดงว่าอาซาไม่ได้กลับมาที่ห้อง เขาคงจะพักอยู่ที่บ้านหลังแอชยู ผมวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ที่โซฟา แล้วทิ้งตัวนั่งลง ขากลับผมนั่งเครื่องบินกลับมาเพราะไม่อยากให้พ่อหรือพี่ยอร์ชขับรถมาส่งผมถึงที่นี่ และการนั่งเครื่องบินก็เร็วกว่าขับรถหลายเท่า แค่ชั่วโมงกว่าๆผมก็มาถึงที่หมาย
ไม่รู้หรอกว่าอาซาจะรู้หรือยังว่าผมขัดคำสั่งเขาแล้วกลับมาที่นี่ ทุกฝีก้าวของผมไม่เคยรอดหูรอดตาของอาซา ที่จริงผมก็หวั่นๆอยู่เหมือนกันว่าจะต้องโดนอาซาโกรธหนักแน่ๆ แต่ถ้าให้ทนรออีกสิบวันผมก็ทนไม่ไหว ถ้าไม่รู้ให้ได้เร็วๆนี้ ผมจะต้องบ้าตายเพราะความเครียดรุมเร้า
ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ ยังไม่เที่ยงวัน ไม่รู้ว่าอาซาจะอยู่ที่บ้านพักของเขาหรือออกไปทำธุระจัดการปัญหายุ่งยากที่ไหนหรือเปล่า ผมไม่กล้าโทรไปหา ถ้าจะโดนดุโดนต่อว่าก็ขอให้เป็นต่อหน้าทีเดียวดีกว่า
จะมานึกหวั่นอะไรตอนนี้โยชิ ลุยไปเลย! นายมีสิทธิ์รู้ความจริงเกี่ยวกับนายทุกเรื่อง ก็แค่อาซาที่อาจจะดุไปบ้าง ไม่มีอะไรต้องกลัวเลยสักนิด
หรือเปล่า?
ผมเลือกที่จะไปหาอาซาที่บ้านพักในทันที แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้า บริเวณโดยรอบแอชยูเงียบเชียบ มีผู้คนอยู่ประปราย อาจเป็นเพราะยังไม่เปิดเทอม นักศึกษาโดยส่วนมากยังไม่กลับจากบ้าน
ลมหนาวพัดแรงระลอกหนึ่งขณะที่ผมเดินไปตามทางเดิน ห่อไหล่เข้าหากันเพื่อหลบลมหนาว แต่มันก็แทบไม่ช่วยอะไร กลุ่มชายหญิงจำนวนห้าคนที่นั่งเล่นบนสนามหน้าใกล้ทางเดินที่ผมจะต้องเดินผ่านมีแววตาไม่ค่อยเป็นมิตร ผมเลี่ยงที่จะเดินเข้าไปใกล้ โดยการเดินอ้อมโถงทางเดินไปยังอีกฝั่ง แล้วค่อยเลี้ยวซ้ายตรงไปยังป่าหลังมหาวิทยาลัย
คนเหล่านั้นน่าจะเป็นมนุษย์กลายร่าง ผมก็แค่สังเกตเอาจากแววตาที่ทอประกายนักล่ามากกว่ามนุษย์ปกติ ที่เห็นได้บ่อยก็จากอาซานั่นแหละ เขาเคยบอกผมว่า พวกมือใหม่มักมีอคติกับพวกมนุษย์ธรรมดาจนถึงเข้าขั้นเกลียดชัง มากกว่าที่จะมีปัญหากับพวกเดียวกับหรือพวกอื่น
ประตูทางเข้าบ้านพักของอาซาปิดสนิท ผมเริ่มตระหนักถึงปัญหาการเข้าไปข้างใน ทุกครั้งที่เคยเข้าออก ถ้าประตูไม่เปิดทิ้งไว้อย่างครั้งแรก ก็จะมีคนพาเข้าไปเสมอ ไม่ค่อยได้เข้าออกตามลำพัง ประตูนี้ไม่มีกุญแจไขเข้าออก ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันใช้ระบบอะไร รู้แค่ว่า ผมไม่สามารถเปิดมันได้ด้วยการผลัก
“แย่ชะมัด” ผมมองลอดช่องว่างรั้วเหล็กเข้าไปข้างใน เผื่อจะเห็นฟรินน์ในร่างคนหรืองูเลื้อยเล่นตรวจตราความเรียบร้อยในบ้านผ่านมา แต่เท่าที่เห็น มดสักตัวยังไม่มีเดินผ่าน
เงยหน้าสูงขึ้นอีกหน่อยจะเจอกับแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมที่เชื่อมติดบนประตูทางเข้า ประทับตราสัญลักษณ์กลุ่มของอาซา งูที่แสนดุร้ายอ้าปากกว้างโชว์เขี้ยวแหลม
หรือว่า...
ผมยกมือขึ้นสูงเสมอตราสัญลักษณ์ ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ ที่ผ่านมาผมไม่เคยสังเกต แต่ถ้าจำไม่ผิด เหมือนผมจะจำภาพได้ลางๆว่าอาซาและพวกเพื่อนของเขาจะเปิดประตูด้วยการแตะมือบนตราประจำกลุ่ม
เรียวมือที่เล็กกว่าแผ่นเหล็กรูปงูอยู่มากสั่นไหวเล็กน้อย ค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้ที่ละนิดๆ
ผมอาจจะเปิดได้ เพราะผมก็เป็นเหมือนพวกเขา
เป็นนากินี
หมับ!
“เฮ้ย! อื้อ!!” ผมสะดุ้งโหยงกับมือใครก็ไม่รู้ที่วางหนักบนบ่า รีบหันหลังไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็พ่นลมหายใจออกจมูกดังพรืด “จูเลียต! ให้ตายเถอะ เธอเกือบทำฉันหัวใจวาย”
“ขวัญอ่อนเกินไปหน่อยนะนาย”
“เธอมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงต่างหาก เป็นใครก็ตกใจ” ยกมือลูบอกเรียกขวัญ หัวใจยังเต้นแรงอยู่เลย
“นายมาทำอะไรที่นี่” จูเลียตทำหน้าหนักใจ หรือมองอีกทีเธอกำลังเหนื่อยหน่ายผม
“มาหาอาซา” ผมตอบอย่างจริงจัง
“เท่าที่ฉันรู้มา อาซาห้ามนายมาที่นี่เองไม่ใช่เหรอไง” เธอยกมือกอดอก พักขาข้างหนึ่ง ท่าทีสบายไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ก็อย่างว่า เธอจะเดือดร้อนไปทำไม ในเมื่อคนที่จะโดนลงโทษคือผมไม่ใช่จูเลียต แต่ไหนๆก็มาแล้ว ผมไม่คิดจะหันหลังกลับ
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเข้าเลยต้องมา”
“นายโดนดีแน่ๆ” รอบยิ้มเหมือนสะใจมากกว่าจะเห็นใจ ผมชินเสียแล้วกับการแสดงออกของจูเลียตที่มีต่อผม
“ไม่บอกก็รู้”
“ดื้อรั้นแบบนี้ระวังจะไม่ตายดี” เธอยกมุมปากขึ้นข้างเดียว
“ขอบใจที่เตือน” ผมยียวนเธอทั้งๆที่ก็เครียดแทบบ้า
“บอกไว้เลยว่าอาซาเอานายตายแน่”
ผมเบ้หน้าเซ็ง เหอะ ก็คงจะอย่างนั้น
“แล้วเมื่อกี้นายจะทำอะไร” จูเลียตตัดบทต่อล้อต่อเถียง เอนหน้ามองไปทางข้างหลังผม ผมหันมองตาม
“อ่อ” ผมร้องครางในคอเบาๆ “จะลองเปิดประตูน่ะ”
จูเลียตทำหน้างง “แล้วทำไมไม่เปิดละ เปิดซิ”
เธอพยักหน้าให้ผมทำ ก็ว่าจะเปิดอยู่ถ้าเธอไม่เข้ามาขัดจังหวะให้ผมตกใจเสียก่อนอ่ะนะ ผมหันกลับที่ประตูอีกครั้ว เอี้ยวมองจูเลียตที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“เอามือแตะบนตรานี่ใช่ไหม” ผมถาม เธอพยักหน้าเนือยๆ เพิ่งมองเห็นร่องรอยความเหนื่อยล้า พวกเขาคงเหนื่อยกับปัญหาที่เกิดขึ้นมาก เพราะงั้นผมยิ่งรู้สึกว่าผมควรต้องช่วยเหลือพวกเขา ถ้าหากว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน
ทันทีที่ผมแตะฝ่ามือลงบนแผ่นเหล็ก ประตูก็ปลดล็อกเสียงดังกริ๊ก แล้วอ้าออกเล็กน้อยให้ผมดันเปิดกว้าง ผมตื่นเต้นที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ย้ำชัดว่าผมก็เป็นนากินีคนหนึ่ง
มันก็รู้สึกดีนะที่ทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย
จูเลียตเดินนำหน้าเข้าบ้าน เราไม่ได้คุยกันอีก ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว และอีกอย่าง เธอคงเหนื่อยเกินกว่าที่จะหาเรื่องมาทะเลาะถกเถียงกับผม
เดินฝ่าป่ามาจนถึงตัวบ้านได้ จูเลียตก็ทิ้งผมให้ยืนเคว้งคว้างกลางบ้านอยู่คนเดียว ส่วนเธอแยกตัวขึ้นห้องไปนอน แล้วทีนี้ผมจะเอายังไงต่อดี บ้านเงียบสนิทคล้ายไม่มีคนอยู่ ผมหันซ้ายหันขวา
“โยชิ” เสียงหวานเรียก
“ปารีส เอ่อ สวัสดี” ผมทักทายเธอ ปารีสเดินเข้ามาหาผม ในมือเธอมีโรสแมรี่ที่ปลูกไว้หลังบ้านติดมือมาด้วย เธอคงออกไปเก็บมันมาเพื่อทำอาหาร
“สวัสดี” เธอยิ้มอบอุ่นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะทำหน้าเครียด ผมยิ้มเก้อ “อาซายังไม่รู้ใช่ไหมว่าเธอมา”
การมาของผมคงเป็นเรื่องเลวร้ายมาก
“ยัง”
“เฮ้อ” ปารีสถอนหายใจ
“แต่ฉันมีเรื่องจำเป็นมากจริงๆที่ต้องมา”
“เดาว่ามากพอให้เธอกระตุ้นต่อมอาละวาดของเจ้างูดำนั่น” ก็ฟังดูดีนะ
ผมยิ้มแหย “เขาอยู่ไหนเหรอ”
“อยู่บนห้องนะ เพิ่งกลับมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วเอง”
“อ่อ ขอบใจนะ ฉันขอตัวก่อน”
“ระวังตัวด้วยละ” ปารีสมองผมด้วยแววตาเป็นห่วง ผมยิ้มปลุกขวัญและกำลังใจ แล้วก็เดินขึ้นไปที่ห้องของอาซา ทุกอย่างในบ้านเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมเลิกมองสำรวจบ้านเมื่อมาถึงหน้าห้องที่คุ้นเคย หมดเวลาทำใจ
ผมลองบิดลูกบิดดู ปรากฏว่าไม่ได้ล็อค ผมเปิดประตูออกช้าๆ ไม่ให้เกิดเสียงรบกวนคนที่นอนอยู่ด้านใน ผมแทรกตัวผ่านประตู ยืนค้างเติ้งอยู่กับที่ มือสองข้างที่อ้อมจับลูกบิดทางด้านหลังอออกแรงดันปิดประตูช้าๆ ดวงตาจับจ้องคนที่นอนทอดกายไร้เสื้อปกปิดท่อนบนอยู่บนเตียงหลังโต
แกร๊ก
“ฟู่”
ใจเย็นไว้ที่รัก ใจเย็น ผมข่มความกลัว ย่องให้เกิดเสียงเบาที่สุดไปที่โซฟาริมหน้าต่าง ตายังคงมองอาซาว่าเขารู้สึกตัวหรือเปล่า ทุกอย่างในห้องยังคงนิ่งเงียบ ผมทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟา รอให้เขานอนให้เต็มอิ่มก่อนแล้วค่อยคุย ถ้าอาซานอนไม่เต็มอิ่ม เขาจะอารมณ์เสียง่ายกว่าปกติสามถึงสี่เท่า
ผมละสายตาจากอาซา มองสำรวจห้องอย่างไม่มีอะไรทำ เงียบเกินไป ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของคนนอนหลับ
“...!!!”
เวรแล้ว อาซาไม่ได้หลับ
“ไง” เขาทักผมทั้งที่ยังหลับตา ผมฝืดคอจนกลืนน้ำลายลำบาก
“...” ผมถึงกับพูดไม่ออก เม้มปากแน่น จนกระทั่งอาซาลืมลุกขึ้นนั่งจ้องผมตาดุ
“คำพูดของฉันไม่มีความหมายสินะ” เสียงเขาน่ากลัวเกินไป พาลเอาใจร่วงไปอยู่ที่ปลายเท้า
ผมรู้ว่าเขาโกรธมาก แต่ต่อให้รู้ร่วงหน้าว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผมก็ยังยืนยันคำเดิมที่จะมา หลายๆอย่างไม่เป็นปกติ เอเดนไม่รู้จะมาไม้ไหน คนตายที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน และอยู่ๆผมก็เจอกับอเล็ก เขาบอกทำนองว่ารอยปานผมมีอะไรที่พิเศษ และหนังสือเล่มนั้นก็เขียนไว้ในทำนองเดียวกัน และเมื่อนึกย้อนไปถึงฝันร้าย ผมก็แทบไม่ต้องคิดอะไรอีก
ถ้าหากว่ารอยปานจะเป็นตัวไขปริศนาให้ผมเลิกกลัวงูแล้วกลับไปเป็นนากินีเต็มตัว อะไรๆคงจะดีไม่น้อย ผมจะได้ยืนต่อสู้เคียงข้างอาซาได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ตอนนี้ให้ผมเป็นงูเป็นอะไรก็ได้ ที่สามารถปกป้องดูแลคนที่รักไม่ว่าจะเป็นพ่อ พี่ยอร์ช อาซา และเพื่อนรอบข้างคนอื่นๆ ผมก็ยินดีอย่างยิ่ง
ผมยังจำได้ติดตา นิกกี้ที่ตายให้อ้อมอกผมโดยที่ผมช่วยอะไรเธอไม่ได้ เธอต้องตายไปเพราะเรื่องของเรา การสูญเสียเพื่อนที่แสนดีอย่างไม่มีวันหวนกลับตลอดกาล เป็นบทเรียนราคาแพงที่ผมไม่ต้องการให้เกิดกับใครซ้ำสอง
ครั้งเดียวก็เกินพอ
“ฉันรู้ว่านายไม่พอใจ แต่ฉันมีเรื่องจำเป็นจริงๆ ฉันร้อนใจมากจึงต้องรีบมาหานายที่นี่” ผมทำใจกล้าลุกไปหาอาซาบนเตียง แต่ทำได้แค่นั่งลงเคียงข้าง ไม่กล้าเข้าใกล้แนบชิด เขากำลังโกรธจัด ดูได้จากแววตาแข็งกร้าวและเย็ยชาดุจน้ำแข็ง
เขาไม่พูดอะไร ผมจึงพูดต่อ “ตอนที่นายกลับมา ฉันก็ทำตามที่นายสั่งนะ ไม่ได้คิดจะมาที่นี่เอง”
“แล้วมาทำไม” เสียงต่ำของเขาเย็นชาจนน่าใจหาย ความเดือดดานปรากฏอยู่ในดวงตาสีดำสนิทของเขา ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง
“อาซา ฟังฉันหน่อย อย่าเพิ่งโมโห ขอร้องล่ะ” เสียงผมสั่น แววตาคงฉายชัดทุกความอัดอั้นที่ล้นทะลักในอก มีแต่ความกังวล ไม่เข้าใจ เหมือนคนตาบอด มันช่างทรมาน
“พูดมา” ใบหน้าของเขาแดงก่ำ สันกรามเครียดขึง
ผมหลุบตาต่ำก่อนเล่า มือประสานกันแน่น “พอนายกลับมาที่นี่ ฉันก็ไปลงเรียนมวยไทย เพื่อไว้ป้องกันตัวเอง”
อาซาตวัดสายตามองผมเขม็ง ผมยิ้มแห้งใส่ “แต่มีคนๆหนึ่งในค่ายมวยบอกกับฉันว่า ปานบนหน้าอกที่นายทำไว้ มันไม่ปกติ”
“ใครบอกนาย” เขาถามรวดเร็ว ผมลังเลว่าจะบอกดีไหม แต่พอสบดวงตาวาวโรจน์คุกรุ่นแล้วก็ตัดสินใจได้ว่าผมควรบอกอาซาทุกอย่าง เพื่อความปลอดภัยของชีวิต
“ครูสอนมวย เขาชื่ออเล็ก”
“...” อาซานิ่งเงียบ
“ปานของฉัน ที่นายทำไว้ มันมีอะไรมากกว่าที่ฉันรู้หรือเปล่า”
“...” เขาเงียบไป ไม่นานแต่ก็ไม่ปกติ ก่อนที่เสียงแหบสั่นจะตอบกลับมา “ไม่มีอะไร”
แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น “แน่ใจนะอาซา ฉันเดาว่ามันไม่ใช่รอยปานธรรมดาที่นายสร้างเอาไว้เป็นที่ระลึก บอกฉันได้ไหม ฉันคิดว่าฉันควรต้องรู้”
“มันไม่มีอะไร นายต้องเชื่อฉัน” คำพูดช่างคลุมเครือ ไร้ความกระจ่าง
ผมส่ายหน้า “นายก็รู้ว่าฉันไม่เชื่อ”
“ฉันเป็นคนทำ นายจะรู้ดีกว่าฉันได้ไง” เราเริ่มจะทะเลาะกันอีกรอบ ฟังจากน้ำเสียงเข้มต่ำแฝงไปด้วยความดุดันก็พอจะรู้ว่าผมไปกวนอารมณ์เขาเข้าให้อย่างจัง
“ก็เพราะว่าฉันอ่านเจอในหนังสือ เกี่ยวกับความลับของปาน และมันมีรอยปานรูปอยู่ที่อยู่บนหน้าอกของฉันอยู่ในนั้น รอยปานที่นายทำไว้ คนเขียนวาดเอาไว้ในหนังสือพร้อมกับบอกว่า มันเป็นรอยปานต้องห้าม และยังเขียนเอาไว้ว่า สมบัติล้ำค่า ฝังติดตรึงตราใต้รอยจารึก มันหมายความว่ายังไงกันแน่” ผมคาดคั้นเอาคำตอบ อาซาเงียบไปอีกหนก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจ
“อย่าไปสนใจมันโยชิ ไม่มีอะไรทั้งนั้น เลิกอ่านหนังสือบ้าบอ เลิกฟังใครก็ตาม เชื่อแค่ฉัน เท่านั้นที่นายควรต้องทำ” เขากัดฟัน พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพูดแบบไม่ใส่อารมณ์หรือตะคอก
“นายกำลังสั่งฉัน?” ผมย้อนถาม เขาหน้าบึ้งขึ้นมาทันควัน
“ใช่ ฉันสั่ง และนายต้องทำตาม”
“ทำไม มันต้องมีอะไรแน่ๆ นายบ่ายเบี่ยง มันร้ายแรงมากนักเหรอ” เราสองคนจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย อารมณ์ผมก็เริ่มไม่คงที่แล้วเหมือนกัน
“ทำไมต้องมากเรื่องด้วย”
นี่เขา...
“นายไม่รู้หรอกว่าฉันพยายามปกป้องนายมากขนาดไหน ในขณะที่นายพยายามพุ่งเข้าหาอันตราย”
ผมเบ้ปาก น้ำตาจะไหลลงเสียให้ได้ ผมเงียบ เป็นนัยยะว่าผมกำลังโกรธ ที่เขาไม่พูดความจริง ยิ่งเขาไมบอกผมก็ยิ่งอยากรู้ ยิ่งปิดบัง และผมไม่พอใจเอามากๆ แต่เพียงประโยคต่อมาที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีซีด ทำเอาความโกรธทั้งหมดพลันมลายหายไป
“You'll never love yourself half as much as I love you” น้ำเสียงของเขาเศร้าและเจ็บปวด
และสิ่งที่ผมตอบกลับไปก็คือ
“Because now I love you more than myself, more and more” ผมถ่ายทอดทุกความรู้สึกผ่านดวงตาให้เขาได้รับรู้และเข้าใจ
สุดท้ายผมก็ไม่ได้คำตอบของคำถามที่ผมต้องการรู้ อาซาเดินออกไปจากห้อง เขาสั่งให้ผมนอนพักผ่อน ตื่นมาแล้วค่อยคุยกันอีกที ผมก็ได้แต่นั่งนิ่ง ไม่มีอะไรกระจ่าง มีแต่ทำให้สงสัยจนเกิดความทรมาน จิตใจผมจะสงบได้ยังไง ถ้าสมองยังเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีใครคิดจะให้คำตอบ ผมเริ่มปวดหัวเพราะอาการเครียด
ยังไงผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่าปานนี้มีความหมายว่ายังไง
ถ้าอาซาไม่ยอมบอก ผมก็จะไปถามเอาจากคนอื่น ผมคิดว่าน่าจะมีอีกคนที่ช่วยผมได้
เจ้าของร้านขายหนังสือ
วันต่อมาผมแอบออกจากบ้านของอาซาตอนที่พวกเขาออกไปข้างนอกกัน เหลือแค่จูเลียตกับปารีสอยู่บ้านกันสองคน ผมบอกกับพวกเธอว่าจะออกไปหาเติร์ด พวกเธอก็เลยไม่ได้ถามอะไร
เมื่อวานผมทำเป็นไม่ถามไม่ซักไซ้เรื่องปานต่อ อาซาเหมือนจะกังวลว่าผมจะถามเขาเช่นกัน เขาพยายามทำตัวให้ยุ่ง แต่เขาจะรู้ไหมว่ามันยิ่งทำให้ผมสงสัยหนักว่าอะไรที่เขากำลังปิดบัง
ผมทำเวลาในการเดินทางกลับหอเพื่อไปเอาหนังสือแล้วมาที่ร้านหนังสือให้เร็วที่สุด ก่อนที่อาซาจะกลับบ้าน ตรอกแคบนี้เคยเกิดเรื่องราวการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวระหว่างผม จูเลียตและพวกแวร์วูฟ ผมเผลอก้มมองที่ข้อมือ ไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลือ แต่ผมยังคงจำความเจ็บปวดยามที่กงเล็บแหลมคมฝังลงบนเนื้อ
แค่คิดก็ขนลุกซู่
ผมหยิบน้ำหอมออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างแล้วพรมฉีดลงบนตัวอีกครั้งเพื่อกลบกลิ่นอาซาที่คิดตัว เมื่อแน่ใจแล้วว่าตัวผมมีแต่กลิ่นน้ำหอมคล้ายกับว่าใช้อาบแทนฉีด ก็รีบเดินจ้ำไปที่ร้านหนังสือเก่าอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ว่าพวกเจ้าตัวประหลาดจะโผล่มาตอนไหน คราวนี้ไม่มีจูเลียตอยู่ด้วย ผมคงสู้พวกมันไม่ไหว
กริ๊ง~
เสียงกระดิ่งดังเฉกเช่นครั้งแรก และภายในร้ายก็ยังคงเงียบราวป่าช้า ผมมองหาคุณลุงเจ้าของร้าน บนเคาน์เตอร์ไม้ยาวติดกับประตูร้านมีหนังสือวางซ้อนทับอยู่หลายกอง สูงเกือบเท่าหัวผม ผมเขย่งปลายเท้ามองผ่านหนังสือก่อนจะสะดุ้งตกใจก้าวถอยหลังเมื่ออยู่ๆคุณลุงก็โผล่พรวดขึ้นมา
“อ้าว เธอนี่เองหรือพ่อหนุ่ม คราวนี้อยากได้หนังสืออะไรละ” คุณลุงยิ้มอย่างเป็นมิตร
“เปล่าครับ คือว่า ผมมีเรื่องจะถาม ถ้าคุณลุงพอจะทราบเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้” ผมล้วงหนังสือ Mysterious Birthmark ใส่ให้คุณลุง ร่างท้วมสูงเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ นำไปที่โต๊ะๆเล็กๆติดกระจกมองเห็นถนนหน้าร้าน ผมนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
“อ่านตรงไหนไม่เข้าใจเหรอ” มือเหี่ยวย่นจับแว่นที่ห้อยที่คอขึ้นสวม เหลือบตามองผมก่อนจะก้มมองหนังสือ มือพลิกเปิดอ่าน
“คุณลุงเคยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วใช่ไหมครับ” ผมเริ่มต้นถาม
“ใช่ ฉันอ่านตั้งแต่ยังเด็ก จดจำได้เกือบทุกบรรทัด ทุกตัวอักษร ฉันถึงได้ขายให้เธอ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องอ่านมันอีกแล้ว”
ผมยิ้มกว้าง รู้สึกมีความหวัง “ดีเลยครับ คือผมอยากรู้เกี่ยวกับเนื้อหาในหน้าสุดท้าย”
คุณลุงเงยหน้ามองผมอีกครั้ง สายตาที่คุณลุงมองผมเปลี่ยนแปลกไป “หน้าสุดท้ายไม่มีเนื้อหาเขียนเอาไว้”
“ผมทราบครับ แต่ว่า ผมอยากรู้ว่าปานต้องห้ามสองแบบที่อยู่ในหนังสือมันมีความหมายว่ายังไง คนที่เขียนไม่ได้บอกอะไรเพียงแค่...”
“สมบัติล้ำค่า ฝังติดตรึงตราใต้รอยจารึก” คุณลุงเอ่ยแทนผม
“ใช่ครับ” ผมพยักหน้า
คุณลุงถอดแว่นออก ปิดหนังสือแล้วส่งคืนให้ผม “ขอโทษด้วยทีฉันต้องบอกเธอว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเนื้อหาในหน้าสุดท้ายทั้งนั้น”
“แต่เมื่อกี้คุณลุงบอกผมว่า คุณลุงอ่านเล่มนี้จนจำได้” ผมจับสังเกตสีหน้าของคุณลุง ถ้าหากไม่รู้ ก็ไม่น่าจะแสดงแววตาตกใจให้เห็น
“ใช่ฉันพูด แต่เธอก็รู้ว่าหน้าสุดท้ายมันไม่มีอะไรเขียนไว้ ฉันว่าเธอไม่ต้องอยากรู้หรอก เว้นแต่ว่าเธอจะมีปานต้องห้ามบนตัว”
“เปล่าครับ ไม่มี” ไม่รู้ทำไมผมถึงรีบปฏิเสธ คือผมไม่รู้ว่าผมควรบอกใครต่อใครไหมว่ามีรอบปานรูปงูต้องห้ามอยู่บนตัว
“ถ้างั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องใส่ใจ ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก ฉันขอตัวก่อน”
.....................
หึหึ มาลงตอนนี้ไม่เรียกว่าดึกละเช้าเลยล่ะ บอกทีว่าการนอนยังจำเป็นอยู่ไหม
ตอนหน้าจะเป็นพาร์ทของอาซา ทีนี้จะได้รู้กันล่ะว่าปานบนหน้าอกหนูโยชิหมายความว่ายังไง แล้วทำไมอาซาถึงไม่ยอมบอกให้โยชิรู้
ที่จริงแต่งช่วงตอนที่เจ็ดแปดเก้านี่แบบเล่นเอาเครียดมากอยู่ เพราะมันเหมือนจะไขปริศนาให้กระจ่าง แต่ก็ไม่ได้เฉลย เลยกลายเหมือนดูยืดเยื้อ (หรือคิดไปเอง) คือจุดแก้ปมมันมีช่วงของมันอยู่ ซึ่งยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าที่วางพล็อตไว้แบบนี้มันโอเคไหม กว่าจะเอาออกมาได้ก็แก้แล้วแก้อีก ตั้งแต่ตอนที่แล้วละ เขียนลบเขียนลบอยู่สี่ห้ารอบได้
ที่จริงก็ยังลังเลที่จะเอาตอนนี้มาลง เพราะรู้สึกว่ามันยังไม่โอเคเท่าไหร่ ทั้งๆที่ก็ร่างพล็อตไว้แบบนี้ แก้ยังไงมันก็ได้แบบนี้ เลยคิดว่าเอามาลงให้คนอ่านๆก่อน แล้วก็แต่ต่อไปเรื่อยๆ บางทีถ้าพ้นจุดนี้ไปได้ อาจจะมองเห็นอะไรมากขึ้น ไม่งั้นก็ไม่ต้องไปไหนพอดี ติดมันอยู่แค่อีสองสามตอนนี้แหละ
ฮุ่ยๆ การเขียนนิยายแฟนตาซีนี่มันยากจริงๆ ก็ได้แต่พยายามเพื่อนคนอ่านของเราต่อไป
ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ ริริอ่านแล้วมีกำลังใจ ยิ่งมีคนทวงยิ่งอยากแต่งต่อเร็วๆ ตอนหน้าจะมาลงให้เร็วกว่านี้นะคะ ขอแต่งตอนที่ 10 ให้เสร็จก่อนแล้วกัน
เลิฟยู จูฟฟฟ