B.L.O.O.D.L.I.N.E
NINE
YACHT
“นี่ใบเสร็จครับ” ผมส่งใบเสร็จค่าองุ่นให้กับซุปเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังคุณภาพดีในเมือง เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตของไทย แต่จะขายของที่รับจากไร่โดยตรง ได้คุณภาพและราคาไม่แพง ไม่ว่าใครก็ซื้อกินง่าย นอกจากพวกผักผลไม้ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมากมายน่าซื้อใช้
“พ่อยอร์ช อันนี้ป้าให้ ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ครีมอาบน้ำแบบมีสครับเปลือกองุ่น ของจากไร่เราเลยนะ ป้าๆเขาลองทำดู คุณภาพดีเทียบของนอกเลยเชียวละ” ป้าโอ๋เจ้าของร้านยิ้มกว้างอวดสรรพาคุณ ผมรับน้ำใจมาไม่ปฏิเสธ เพราะถึงบอกว่าไม่เอาเพราะความเกรงใจ ป้าแกก็ให้มาอยู่ดี เป็นประจำจนผมเริ่มชิน
“ขอบคุณครับป้า ผมจะลองใช้ดูนะครับ”
“จ้า อย่าลืมแบ่งให้หนูโยของป้าด้วยนะ ไปเรียนเมืองกรุงไม่ค่อยเห็นหน้า ป้าคิดถึง”
ไม่ใช่แค่ป้าที่คิดถึง ผมกับพ่อก็ยังไม่หายคิดถึงเด็กแสบเลย กลับบ้านมาอยู่ให้ชื่นใจได้ไม่กี่อาทิตย์ก็รีบกลับกรุงเทพเพราะมีธุระ ตอนกลับก็ไม่ยอมให้ผมไปส่ง นั่งเครื่องกลับเอง ผมเป็นห่วงแทบแย่ แต่ดีที่ถึงมหาวิทยาลัยอย่างปลอดภัย
“ได้ครับ ผมจะส่งไปให้น้องใช้ที่นู่น ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ลานะครับ”
“จ้า ขับรถดีๆนะ”
ผมหิ้วถุงขวดครีมอาบน้ำจำนวนห้าขวดกลับไปที่รถ ก่อนจะนึกออกว่ายังมีของอย่างอื่นที่ต้องซื้อกลับบ้าน จึงเก็บของไว้ในรถ จังวะที่ปิดประตู หางตาเห็นแวบๆคล้ายมีคนมองผมอยู่ แต่พอหันขวับไปดูด้านซ้ายมือ กลับมีแต่ความว่างเปล่า ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาดูปกติดี และผมก็ไม่เห็นคนที่น่าจะรู้จักสักคน
“สงสัยตาฟาด” ผมเลิกสนใจ เดินข้ามถนนไปที่ร้านขายยาฝั่งตรงข้าม
“รับอะไรดีครับ” เภสัชกรหน้าหวานไม่เข้ากับเสียงทุ่มต่ำถาม
“เอาแคลเซียมแบบเม็ดสามกระปุกครับ” ผมบอก เภสัชกรเดินไปหยิบ ผมกินเองกระปุกหนึ่ง อีกสองกระปุกของพ่อ ทำงานใช้แรงพวกแคลเซียมจำเป็นมากสำหรับร่างกาย
“ทั้งหมดหนึ่งพันหกร้อยยี่สิบบาทครับ”
ผมล้วงเงินในกระเป๋าสตางค์จ่ายแบบพอดี รับถุงใส่ของมาถือแล้วเดินออกจากร้าน มอง มองซ้ายขวาดูให้แน่ใจว่าข้ามถนนได้ก่อนจะเดินข้าม แต่ถุงยาในมือลื่นหลุดกลางถนน ผมรีบก้มลงเก็บ เสียงบีบแตรดังลั่นยาวเหยียด ผมสะดุ้งลุกขึ้นด้วยความตกใจ แสงแดดแยงตาพร่าจนมองอะไรไม่เห็น เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายจากคนรอบข้างดังเซ็งแซ่ ผมก้าวถอยหลัง วินาทีนั้นคิดว่าไม่รอด ถ้าหากไม่ได้มือหนาที่เย็นเชียบของใครบางคนดึงถอยหลังอย่างแรง
ตุ้บ!
ล้มลงกระแทกพื้นทับคนที่เข้ามาช่วย ดวงตาผมปิดสนิท ได้ยินเสียงสบถดังข้างใบหู
“damn it!!!”
ปรี้นนนน
โครม!!!
ผมลืมตามองเหตุการณ์ตรงหน้า รถกระบะสภาพโทรมเกยอยู่บนถนน เกิดความชุลมุ่นวุ่นวาย ผมถูกฉุดให้ลุกขึ้นยื่นแบบที่ยังสติหลุด หันไปมองคนที่ช่วย ตกใจจนหายใจผิดจังหวะ
“เอเดน” เขาคือคนที่ผมไม่คิดฝันว่าจะเจอในเวลานี้
“ซุ่มซ่าม คุณอยากตายหรือไง” เขาบ่น ช่วยประคองตัวผมให้ยืนทรงตัวอยู่ “เป็นอะไรไหม” น้ำเสียงอ่อนลงนิดหน่อย แต่ก็ห้วนอยู่ดี
ผมส่ายหน้า “ไม่ ผมไม่เป็นไร” เจ็บข้อเท้านิดเดียว เท้าคงพลิกตอนที่เขาดึงผมให้พ้นวิถีรถ
ควันลอยโขมงออกจากรถที่เกือบจะชนผม มีคนเข้าไปช่วยคนขับออกมา ผมเดินเขย่งเท้าเข้าไปใกล้ เอเดนดึงตัวผมไว้ ผมบอกเขาว่าจะเข้าไปดูสักหน่อย เขาถึงเดินตามมา
คนขับรถหัวแตกเลือดอาบหน้า เป็นผู้ชายอายุน่าจะสักสี่สิบ ตาของเขาดูลอยแปลกๆ ใบหน้าแดงกล่ำ พูดอ้อแอ้ร้องเจ็บฟังไม่รู้เรื่องคล้ายคนเมา
ไม่นานก็มีตำรวจตามมาดูโดยที่ผมไม่รู้ว่าใครโทรแจ้ง ได้เรื่องว่าคนเมาขับรถฝ่าไฟแดงมาแล้วก็กลัวตำรวจตามจับเลยขับรถเร็วเกินกว่ากำหนดมากเพื่อหวังจะหนีแต่ดันมีผมขวางทางเอาไว้แบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมก็เลยเป็นอย่างที่เห็น
ผมไม่ได้เอาความหรือเรียกร้องค่าเสียหายจากคนขับรถ ไม่ใช่ว่าผมใจดี แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมายดีกว่า ดูท่าแล้วน้าแกก็ไม่มีเงินมาจ่ายค่ายาหรือค่ารักษาพยาบาลให้ผมหรือเอเดนที่มีแผลถลอกตรงแขนหรอก แค่โดนโทษขับรถในขณะที่เมาเหล้าจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ไหนจะโทษขับรถฝ่าไฟแดง ใบขับขี่ก็ไม่มี ผมว่าก็หนักเอาการ ไม่ต้องให้ผมไปฟ้องร้องอะไรเพิ่มเติม น้าแกก็คงเข็ดไม่กล้าทำอีก
อีกอย่างผมก็ขี้เกียจจะต่อความยาวสาวความยืด เจ็บนิดเดียวไกลหัวใจ คิดเสียว่าฟาดเคราะห์ แต่ใครอีกคนที่ช่วยผมไว้ดูจะไม่เห็นด้วย เขาหน้าขัดใจ ลากผมกลับรถ
“ทำไมคุณไม่เอาเรื่องผู้ชายคนนั้น ผมคิดว่าคุณไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นัก”
“แล้วแต่คุณจะคิด” ผมบอกเรียบๆ มองเขาที่ไม่ยอมเดินอ้อมไปที่ฝั่งคนขับ “คุณจะไปไหน”
เขาแบมือตรงหน้าผม ผมทำหน้างงให้เขาหงุดหงิดเล่น “เอากุญแจรถมา ผมขับเอง”
“เอาไปทำไม รถผม ผมขับเองได้”
เขาทำหน้าหน่าย “กุญแจรถ”
“คุณจะไปกับผมเหรอ” ผมถาม ไม่ได้หวังกวนประสาท
“ใช่ ที่นี้จะเอามาได้หรือยัง”
ผมส่งกุญแจรถให้เขา ก็ดีเหมือนกัน ขาเจ็บแบบนี้ กว่าจะขับถึงบ้าน คงได้ระบมร้าวเดินไปได้เป็นวันๆ ผมเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ ส่วนเขาก็นั่งแทนที่ผม สตาร์ทรถแล้วก็ออกตัวอย่างเร็ว ผมบอกให้เขาขับช้าๆลงหน่อย ซึ่งเขาก็ทำให้แบบที่เรียกว่าช้าลงนิดหน่อยจริงๆ
เพิ่งรู้อีกอย่างว่าเขาเป็นคนที่กวนประสาทใช่ย่อย ผมแอบมองเขา ดวงตาสีเขียวเข้มคุกรุ่น เอเดนเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์แบบที่ผู้ชายแมนเต็มร้อยอย่างผมกล้าเอ่ยปากชมแบบไม่อิจฉาเลยว่า เขาดูดีแบบที่ผู้ชายหลายคนพยายามจะเป็นแต่ก็ไม่มีวันเป็นได้
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาดูน่าสนใจก็คือดวงตาของเขา
จนผมอยากรู้ว่า อะไรกันที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาที่แสนลึกลับคู่นั้นกัน
“คุณมาทำอะไรที่นี่” ผมถาม เรียกว่าชวนคุยก็น่าจะได้ ภายในรถเงียบเกินไปจนเกิดความอึดอัด
“...” เอเดนไม่ตอบ แต่ปรายสายตามองเหมือนจะถามกลับมาว่าผมจะอยากรู้ไปทำไม
“ต้องไปหาหมอไหม” เขาไม่ตอบคำถาม เปลี่ยนเรื่องคุยเสียอย่างนั้น ผมไหวไหล่ ก็ไม่ใช่เรื่องของผมสักเท่าไหร่
“ผมน่ะแค่ขาพลิกไม่ต้องหาหมอหรอก แต่คุณสิ แผลถลอกเลือดไหล จะไปให้หมอทำแผลให้ไหม” เลือดที่แขนของเอเดนไหลเป็นทางยาว เจ้าตัวแค่เหลือบมองเหมือนไม่ทุกข์ร้อน
“แผลนี่เพราะคุณ เขาพูดนิ่งๆจนผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นการกล่าวโทษจริงจังหรือเพียงแค่ล้อเล่นหน้าตาย”
“อ่า ผมขอโทษก็แล้วกัน และก็ขอบใจมากนะครับที่ช่วย” ถ้าไม่ได้เขา ผมคงเข้าไปนอนจมกองเลือดใต้รถกระบะคันเก่งสนิมเขรอะหรือไม่ก็อาจจะนอนสิ้นใจอยู่กลางถนน
“ผมไม่เขาใจเลยจริงๆ คุณปล่อยผู้ชายคนนั่นไปได้ยังไง” อยู่ๆเขาก็โมโหขึ้นมา
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง” ผมถามความเห็น
“สั่งสอนมันให้หลาบจำ” น้ำเสียงเขาชวนขนลุก ใบหน้าของเขาดุดันน่ากลัวแม้ผมจะเห็นเพียงด้านเดียว
“กฎหมายจะเป็นตัวสั่งสอนเขาเอง ผมคิดว่านั่นเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”
เขาร้องเหอะเสียงขึ้นจมูก เหยียบคันเร่งเร็วขึ้น ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนไปทำไม ในเมื่อคนที่ควรเดือดร้อนอย่างผมกลับไม่เดือดร้อนเท่าที่ควรนัก
“นี่คุณ” ผมเรียก เขาไม่หันมามอง ทำเหมือนไม่ได้ยิน “เป็นห่วงผมเหรอ” ผมแกล้งแซวต่อ
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ” เขายกยิ้มมุมปาก ดูมีเสน่ห์และเจ้าเล่ห์ในเวลาเดียวกัน
“ก็ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงผม แล้วทำไมคุณถึงต้องโกรธเป็นฝืนเป็นไฟ” เอเดนเป็นคนที่เข้าใจยากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาตลอดอายุยี่สิบหกปี
“เพราะผมเกลียดคนประเภทคุณมากที่สุดยังไงล่ะ”
รถหยุดชะงักอย่างแรงเมื่อมาถึงบ้าน ต้องแปลกใจอีกครั้งที่เขาสามารถขับกลับมาที่ไร่และจอดตรงหน้าบ้านได้แบบไม่ต้องถามทาง และผมก็มัวแต่เถียงกับเขาจนลืมที่จะบอกทางกลับบ้าน แต่นี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องที่เขาพาผมกลับมาบ้านถูก ที่สะกิดใจผม ทำให้ผมเริ่มตึงๆขึ้นมาก็ตรงที่เขาว่าผมแบบไม่มีสาเหตุ
“ประทานโทษเถอะนะครับคุณ คนแบบผมมันเป็นยังไง” ผมฉุนเล็กน้อย
“ประเภท อ่อนแอ ทำตัวเป็นพ่อพระใจบุญ ทำตัวน่าสมเพช สุดท้ายคุณก็จะถูกความใจดีงี่เง่าของคุณกลับมาทำร้าย คนประเภทคุณจะไม่มีวันได้เป็นผู้ล่า แต่จะเป็นได้แค่เหยื่อผู้หน้าสงสารตลอดชีวิต”
ผมไม่เข้าใจที่เขาพูด ไม่รู้ว่าเขาต้องการสื่ออะไรกันแน่ แต่มันออกจะไร้สาระไปสักหน่อยนะผมว่า ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันตรงไหนกับการที่ผมปล่อยให้กฎหมายจัดการคนผิด อย่างที่อารยะชนพึงกระทำ แทนวิธีป่าเถื่อนอย่างพวกคนป่า เขาต้องการให้ผมทำอะไร เข้าไปต่อยคนที่ขับรถผมเหรอ แบบนั้นมันไม่เรียกว่าเข้มแข็งหรอกนะ
“คุณจะบอกว่าคุณเข้มแข็ง โหดเหี้ยม และใจร้ายสินะ ใช่ไหม คุณคงเป็นคนแบบนั้น ถ้ามีคนเดินเหยียบเท้าคุณโดยไม่ตั้งใจ คุณก็คงจะทำให้เขาเจ็บคืนสินะ” ผมย้อนถาม หัวเราะเยาะหยันในลำคอ แววตาสีเขียวเข้มขึ้นแปลกตา ผมรู้ว่าเขาโกรธจัดที่ผมพูดแบบนั้น แต่เขาทำให้ผมอารมณ์เสียเอง ช่วยไม่ได้
“ก็ถ้าใครทำให้ผมเจ็บ มันก็ต้องได้รับผลตอบแทนที่สาสมเช่นเดียวกัน”
“คุณจำเป็นต้องแก้แค้นทุกคนเลยเหรอ”
“ก็เพื่อไม่ให้มันกล้าอีกซ้ำสอง”
“ผมไม่คิดเลยนะว่าคุณจะมีความคิดที่เด็กขนาดนี้ คุณควรรู้จักให้อภัยบ้าง”
ผมว่าเขาเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ทำตัวกร่างวางอำนาจ ต้องการเป็นที่หนึ่ง เป็นใหญ่ ให้รู้ว่าข้าน่ะเจ๋งกว่าใคร เหมือนเด็กที่ถูกเพื่อนหยามหน้า ต้องซัดมันให้หน้าหงาย มันจะได้ไม่กล้าหือ อย่างที่เคยเห็นเด็กๆในรุ่นของโยชิเป็นตอนสมัยที่น้องชายผมอยู่อนุบาลสอง เอเดนทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นแบบนั้น
“โตได้แล้วนะเอเดน คุณต่างหากที่จะอยู่บนโลกใบนี้ลำบากถ้ามีความคิดแบบนี้ ไม่ใช่ผม” ผมสอน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอายุมากกว่าผมไหม แต่เขาทำให้ผมอยากจับมาอบรมสักชั่วโมงสองชั่วโมง โดยไม่ทันได้คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ผมสมควรทำกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน
“คุณกำลังสอนผมอย่างนั้นเหรอ” เอเดนหันมาทางผมทั้งตัว น้ำเสียงสีหน้าและแววตาของคนตรงหน้าโหดเหี้ยมอย่างที่ผมกล่าวหาไว้เมื่อตะกี้ เขากลายเป็นคนที่ผมไม่เคยรู้จัก
“เปล่า ผมแค่พูดในสิ่งที่ผมคิด”
“คุณคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะมาวิจารณ์ว่าผมควรเป็นแบบไหนหรือไม่เป็นแบบไหนงั้นเหรอ”
ผมอึ้ง นั่นสินะ เราไม่ได้สนิทกันจนถึงขนาดที่ผมจะพูดสั่งสอนเขาได้ ผมคงต้องบอกตัวเองสินะว่าคนตรงหน้าไม่ใช่น้องชายผมที่ผมจะว่ากล่าวตักเตือนด้วยความหวังดี เขาเป็นแค่นักธุรกิจที่ผ่านมาแล้วสนใจจะสั่งไวน์จากไร่ผมไปขายที่ร้านของเขาเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของเขา เพราะสิ่งที่ผมทำมันไม่ต่างอะไรกับการแส่ไม่เข้าเรื่อง
“ผมแค่คิดว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้” ผมผ่อนเสียง ก้มหน้านิดหน่อยส่ายหัวเบาๆ “ผมก็แค่หวังดี แต่มันคงจะเกินไป ผมขอโทษด้วยก็แล้วกัน ต่อจากนี้ถ้าคุณยังสนใจในตัวผลิตภัณฑ์ของผม ผมก็ยินดีร่วมงานกับคุณ แต่ถ้าคุณไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร ขอบคุณอีกครั้งสำหรับที่ช่วยผมในวันนี้ และขอโทษที่พูดจาเสียมารยาทกับคุณ”
“...”
“แต่ถ้าคุณไม่ลืม คุณตัดสินผมจากความคิดของคุณก่อน” ผมทวนสิ่งที่เขาเคยพูด ก่อนจะกระพริบตาทีหนึ่งช้าๆไล่ความไม่สบายใจ “ผมจะให้คนงานไปส่งคุณเข้าเมืองก็แล้วกัน ผมคงไม่รบกวนเวลาคุณไปมากกว่านี้”
พูดจบผมก็เปิดประตูลงจากรถ เดินกลับเข้าบ้าน โทรสั่งลูกน้องให้พาแขกกลับไปส่งในตัวเมือง ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรมากมาย อาจจะแค่เสียดายถ้าหากเอเดนเลิกคิดที่จะนำไวน์ของผมไปขายที่ร้านของเขา อดสร้างชื่อเสียงให้กับไร่ที่ผมและพ่อพยายามมาทั้งชีวิต
“ช่างมัน” ไม่มีใครผิดใครถูก เขาว่าผมก่อน ผมก็แค่ว่ากลับ ความคิดความเห็นไม่ตรงกัน บางทีทำธุรกิจร่วมกันอาจไปไม่รอด จบทุกอย่างไว้แค่นี้คงดีกว่
ทางด้านเอเดนที่มองตามหลังลูกชายเจ้าของไร่องุ่นหายเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกแปลกๆในความรู้สึก
“เพื่อนงั้นเหรอ” เสียงโทนต่ำพูดพึมพำ เพียงแค่สายลมหนึ่งหอบที่ผัดผ่าน เอเดนก็ขจัดความยุ่งเหยิงในจิตใจทิ้งเหลือเพียงคิดถึงสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น
“นายเป็นแค่หมากในกระดานของฉัน ไม่ใช่เพื่อน และไม่มีวันเป็น สุดท้ายเหยื่อก็เป็นได้แค่เหยื่อ ไม่มีทางลุกขึ้นมายิ่งใหญ่สู่นักล่าได้” “ขอโทษครับ คุณเอเดนหรือเปล่าครับ” สำเนียงภาษาอังกฤษสำเหนียงแปร่งๆฟังแทบไม่รู้เรื่องถามขึ้น เอเดนปรายตามอง ทำเอาคนงานถึงกับก้มหน้าหลบดวงตาที่แฝงไปด้วยอำนาจลึกลับด้วยความหวั่นเกรง
“มีอะไร” เอเดนถามกลับ
“คือคุณยอร์ชให้ผมพาคุณกลับเข้าเมือง” คนงานพูดเสียงสั่น
“ไปบอกเขา ว่าผมจะค้างที่นี่ ให้เขาเตรียมห้องเดิมให้ผมด้วย เร็วที่สุด”
“...” คนงานฟังไม่ทันเลยได้แต่ยืนอึ้ง เอเดนเห็นแล้วก็หงุดหงิด ตวาดออกไปเสียงดัง
“บอกเขาว่าฉันจะนอนที่นี่ ไปเซ่!”
“ครับๆ”
เหอะ นี่แหละมนุษย์ ไม่ได้เรื่อง ไร้ประโยชน์ น่ากำจัดทิ้งให้สิ้นซาก