B.L.O.O.D.L.I.N.E
TEN
Yoshi
สิ่งพิเศษที่มาพร้อมรอยปานบนหน้าอก
หัวใจครึ่งหนึ่งของบาซิลิสก์อยู่ในตัวผม อีกครึ่งอยู่กับอาซา
อย่าได้ถามว่าผมรู้สึกยังไงกับความจริงที่อยากรู้นักหนา เพราะผมเองก็ไม่รู้ กลัวกับสิ่งที่ฝั่งอยู่ในตัว กลัวกับความลี้ลับผิดปกติ แต่ก็ตื่นเต้นกับความพิเศษที่ได้มาจากอาซา ผมดีใจที่เรามีหัวใจดวงเดียวกัน และคิดว่ามันไม่น่ามีปัญหาอะไร ในเมื่อผมก็อยู่กับมันมาได้ตั้งนาน
บาซิลิสก์...ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง เพราะอาซาเป็นบุตรของอสรพิษผู้ยิ่งใหญ่ เขาถึงได้เก่งกว่าใคร เก่งกว่าเจอร์โรมที่ร้ายกาจ ป่านนี้ไปกบดานอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ แต่ไม่มีเขาก็ดี ผมยังคงเกลียดเขา เพราะเขาฆ่าเพื่อนของผม
ตอนนี้ผมรู้ความลับอะไรหลายๆอย่าง แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีกว่าจะแก้ปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ตราบใดที่เรายังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเอเดน
เมื่อคืนผมบอกกับอาซาถึงข้อสันนิฐานที่ผมคิดหลังจากที่รู้เรื่องที่ตัวเองมีหัวใจแห่งบาซิลิซก์ในตัว บางทีเอเดนอาจจะรู้หรือเปล่าว่ามีอีกครึ่งอยู่ที่ผม เขาถึงได้เข้ามาวุ่นวายกับผมและครอบครัว แต่อาซาแย้งกลับว่า ถ้าเอเดนต้องการหัวใจบาซิลิซก์เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจครองโลกจริง และรู้ว่าครึ่งหนึ่งอยู่ที่ผม เขาไม่มีทางปล่อยให้ผมลอยนวล หากแต่ว่า เอเดนไม่รู้เรื่องนี้เพียงพอ เขาถึงยังได้ไม่ลงมือทำอะไรไปมากกว่าสร้างความวุ่นวายให้อาซาด้วยการฆ่าคนบริสุทธิ์และโยนความผิดให้พ่องูของผมกลายเป็นแพะ
“ตื่นแล้วเหรอ”
“อืม” ผมครางตอบในลำคอ นอนมองคนตัวสูงที่สวมเพียงกางเกงยีนส์ทรงเดฟสีดำหน้ากระจก แผ่นหลังสีขาวซีดเต็มไปด้วยรอยเล็บลากเป็นทางยาว ไม่คิดว่าผมจะทิ้งร่องรอยไว้บนร่างกายที่แสนจะเพอร์เฟกต์ของอาซามากขนาดนี้ เห็นแล้วเจ็บแทน
มากกว่าสิ่งอื่นใด ผมรู้สึกเขินกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจนไม่กล้ามองหน้าคนรักตรงๆ
ก็ผม...เรียกร้องตั้งหลายครั้ง
ก็...ก็
ก็ใครใช้ให้เขาแกล้งผมกันละ พอกันที ผมควรจะเลิกเรื่องนี้ มีแต่จะทำให้หน้าร้อนเห่อ
"คิดอะไรลามกอยู่เหรอไง" อาซากระซิบข้างหู ผมตกใจ มัวแต่คิดบ้าๆจนใจลอย
แต่ใครจะไปยอมรับ “เปล่าสักหน่อย”
“หึหึ” หัวเราะแบบนี้ แม้จะไม่ไดพูดล้อเลียน แต่ความหมายของมันก็บอกให้รู้ว่าเขาไม่เชื่อ
ผมตีสีหน้าให้เป็นปกติ กระแอมไอเบาๆ “จะออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอ ไปทำอะไร” ผมอยากรู้ทุกอย่างที่อาซากำลังทำ ถ้าพอมีอะไรช่วยได้ผมก็อย่างช่วย
อาซาถอนหายใจ ดึงผมเข้าหา โอบไหล่หลวมๆ “ออกไปคอยสังเกตการณ์หาเบาะแสคนร้าย เอเดนไม่ลงมือทำเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองแน่ๆ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือล่าตัวคนที่ทำมือทำ”
“แล้วรู้เหรอว่าใคร” ผมถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้ แต่ก็ต้องทำ ไม่ง่ายและก็ไม่ยากที่จะหาตัว”
“ยังไง” ผมคงดูโง่มากในสายตาใครหลายคน เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ
“ไม่ว่าเราไปที่ไหน ถ้ามีพวกนากินีอยู่ในระยะใกล้ เรารู้แน่ๆ เมื่อรู้ว่าใครเป็น ขอบเขตในการเฝ้ามองก็จะน้อยลง”
“แต่ถ้าคนที่ทำซ่อนตัวล่ะ”
“นั่นแหละคือปัญหา แต่ฉันคิดว่ามันต้องลงมือทำอีก เพราะฉะนั้นเวลานี้ เราก็ต้องลงมือทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะฆ่ามนุษย์บริสุทธิ์ไปมากกว่านี้”
“แล้วนายรู้ไหมว่าตอนนี้เอเดนอยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้ ฉันยังหาไม่เจอ”
“นายไม่ได้กลิ่นเขาเลยเหรอ”
“ได้กลิ่นอยู่ แต่บางเบามากจนแทบสัมผัสไม่ได้ และบางทีก็ไม่ได้กลิ่นเลยอย่างตอนนี้”
“นายดมกลิ่นได้ไกลแค่ไหน”
“ถามเหมือนฉันเป็นสุนัข”
“เปล่า ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” ผมรีบแก้คำพูดเพราะกลัวอีกฝ่ายเคือง “ฉันหมายความว่าระยะทางแค่ไหนที่นายสามารถได้กลิ่นพวกเดียวกัน”
อาซายิ้มบางขำในลำคอ กดจูบที่ขมับค้าง “ฉันรู้หรอกน่า ถ้าอยู่ในระยะหนึ่งกิโลเมตร กลิ่นก็พอสัมผัสได้ แต่ถ้าเลยไปถึงสองกลิ่นจะเริ่มจาง และถ้าไกลมากกว่ารัศมีสามกิโลก็จะไม่ได้กลิ่น”
“หมายความว่าตอนนี้เอเดนไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ”
“อาจจะใช่และไม่ใช่”
“ยังไง” ผมจะต้องดูโง่อีกกี่ครั้งกันนะ ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ไม่มีใครไม่โง่ก่อนฉลาด ต้องเริ่มจากการไม่รู้ พอเรียนรู้ก็จะเข้าใจได้ในภายหลัง
“มันก็มีวิธีกลบกลิ่นอยู่บ้าง อย่างเช่น นายจำได้ไหม ทุกครั้งที่เจอเจอร์โรม เขามักใส่เสื้ออะไร”
“เสื้อหนังอะไรสักอย่าง”
“หนังงู”
“หืม จริงเหรอ งูตัวขนาดไหนถึงจะได้เสื้อตัวใหญ่ขนาดนั้น”
“ก็ใช้งูหลายตัวไง”
“เขาใช้กลิ่นงูกลบกลิ่นหมาป่าของตัวเองเหรอ แต่ฉันไม่เห็นได้กลิ่นเลยตอนที่อยู่ใกล้เขา”
“คนปกติไม่ได้กลิ่นงูหรอก แต่พวกเราจะได้กลิ่นกันเองตามสัญชาติญาณ”
“ถ้าทำแบบนั้น แม้แต่พวกนายก็จะไมได้กลิ่นเอเดน แล้วเขาจะใช้อะไรกลบกลิ่นงูของตัวเองกัน”
“ไม่รู้สิ”
“แบบนี้ไม่แฟร์เลย มีแต่พวกเราที่หัวหมุน ทำอะไรก็มีแต่เสียเปล่า”
“แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
“ก็ใช่” ผมยอมรับต่อคำพูดที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ “มีอะไรให้ฉันช่วยไหม” อาสาแข็งขัน อาซาเลิกคิ้วสูงทำหน้าฉงนใส่ผม
“ช่วยอยู่เฉยๆดีกว่า”
ผมทำหน้าเซ็ง หมดอารมณ์คุยต่อเมื่ออาซาพูดเหมือนน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของผมจะไปทำให้เขาเดือดร้อน มากกว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์
“อย่ามาร้องให้ช่วยทีหลังก็แล้วกัน”
“ไม่น่าเกิดขึ้นนะ”
“อาซา!” ผมขึ้นเสียงแข็ง แต่อาซากลับหัวเราะร่า เลิกสนใจผม ลุกขึ้นไปแต่งตัวต่อ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องผมลุกขึ้นอาบน้ำ
โทรศัพท์ผมดังขณะที่กำลังแต่งตัว ผมวางหวีลงบนโต๊ะกระจก เดินไปหยิบโทรศัพท์มาดูและกดรับสายเติร์ด ตั้งแต่ปิดเทอมเราติดต่อกันน้อยครั้งมาก ส่วนมากเป็นข้อความสั้นๆมากกว่าที่จะโทรคุย
“ไง” ผมทักปลายสาย ยกมือสางผมให้เข้าที่เข้าทาง
“อยู่ไหน” เติร์ดถามสั้นๆ
“อยู่แอชยู” ผมตอบ
“ดีเลย” เสียงเติร์ดดีใจลิงโลด ได้ยินเสียงร้องเหมียวดังแว่วเข้ามา น่าจะเป็นปุยเมฆ “ฉันเพิ่งย้ายของเข้าคอนโดใหม่วันนี้ ว่าจะรบกวนนายมาช่วยจัดห้องหน่อย น้องปุย อย่าไปซนตรงนั้น มานั่งนี่”
“จริงเหรอ ทำไมย้ายไปอยู่คอนโดละ” ผมถาม มองตัวเองในกระจกจนเป็นที่แล้วก็ทิ้งตัวนอนเล่นบนเตียง ตาก็มองประตูรออาซา
“ก็อยู่หอข้างในฉันเลี้ยงน้องปุยไม่ได้ เลยซื้อคอนโดอยู่แทน”
ก็รู้อยู่ว่าคนที่มาเรียนที่ได้ไม่ใช่คนธรรมดา ทุกคนต้องมีเงินมากๆ หรือไม่ก็มีความสามารถที่โดดเด่น ผมไม่เข้าข่ายทั้งสองอย่าง อาจจะรวยแต่ไม่มาก และผมก็ไม่ได้ฉลาดไอคิวสองร้อยกว่า เห็นได้จากเรื่องยุ่งเหยิงของอาซากับเอเดนที่ผมยังคงโชว์ความโง่ไม่จบไม่สิ้น
แต่ที่ได้มาเรียนก็เพราะว่า...ตัวผมมีจิตวิญญาณของบาซิลิสก์ในตัว หรือเรียกว่าผมก็เป็นนากินีตนหนึ่ง
“ลงทุนขนาดนั้น แต่คอนโดนี้เขาให้นายเลี้ยงสัตว์หรือไง ที่ไหนก็ไม่ให้เลี้ยงไม่ใช่เหรอ”
“คอนโดนี้ของบ้านฉันเอง”
อ่อ ต่อให้เลี้ยงก็คงไม่มีใครว่าหรือไล่ออก
“ตกลงนายว่างมาช่วยฉันไหม”
“ว่าง จะให้ฉันไปหาที่ไหน”
“ที่ The Prior Condo ตรงถนน T ถ้ามาไม่ถูกก็โทรมานะ”
“ได้ๆ แล้วเจอกัน”
“ขอบใจมาก”
ผมวางสาย พอดีกับที่อาซากลับเข้ามาในห้อง ในมือเขามีถาดอาหารเช้าสำหรับเราสองคน ที่หายไปคือไปเตรียมอาหารเช้ามาหรอกเหรอ
“อาซา วันนี้ฉันขอไปหาเติร์ดนะ พอดีเขาย้ายเข้าคอนโด เลยให้ฉันไปช่วยจัดของ”
อาซาขยับนั่งบนเตียง คิ้วขมวด “แถวไหน”
“The Prior Condo ตรงถนน T”
“อืม ห้ามก่อเรื่องนะ” เขาพูดเสียงดุ ผมหน้างอ
“รู้แล้วน่า ย้ำจังเลยนะเรื่องนี้” ผมคว้าเอาแฮมเข้าปากเคี้ยวฉับๆ
“ก็นายมันซน ชอบหาเรื่องตลอดเวลา”
“พูดมาก กินเข้าไปเลย” เอาแฮมยัดปากเลยนี่
อาซามาส่งผมที่คอนโดใหม่ของเติร์ด ตึกสูงออกแบบล้ำสมัย ลวดลายที่สร้างขึ้นจากวัสดุทั้งเหล็กหรือก่อนปูนเป็นรูปร่างแปลกประหลาดแต่ดูสวยงาม แต่ละมุมของคอนโดหรูประดับไปด้วยไม้ประดับเป็นแนวดิ่งลงมา สงสัยว่าใครจะเป็นคนลดน้ำ หน้าฝนคงไม่มีปัญหา แต่ในหน้าร้อนกับหน้าหนาวคงลำบากไม่น้อย
คอนโดนี้ไกลจากแอชยูนิดหน่อย แต่เดินทางสะดวก เป็นเส้นที่รถไม่ติด คงเพราะแบบนี้ ทำให้คอนโดนี้ราคาเช่าต่อเดือนเกือบแสน คงไม่ต้องพูดถึงราคาเต็ม เป็นบุญจริงๆที่ได้มาเหยียบ
ผมยืนรอเติร์ดหน้าคอนโด ข้างๆกันมีหนุ่มหล่อสวมแว่นกันแดดเรย์แบนยืนพิงประตูรถ เขาดูดีแม้อยู่ในเสื้อยีนส์สีอ่อนพับแขนเสื้อกับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีดำ สวมรองเท้าหลังพร้อมตามล่าหาตัวเอเดน
ผมออกแนวอิจฉา อาซาดูดีเกินไป ผมกลายเป็นเด็กกะโปโลไม่คู่ควร ยามมีคนเดินผ่านและมองคนข้างกายผมด้วยความสนใจ ความหึงหวงคืบคลานครอบงำจิตใจ ไม่อยากให้ใครก็ตามมองคนรักของผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาจะครอบครอง
แต่แล้วก็รู้สึกดีใจเกินจะเอ่ย กับความจริงที่ว่า อาซาเป็นคนรักของผม ‘คนเดียว’ และเขาก็รักผม ‘คนเดียว’
เพียงผมเท่านั้นที่ได้ครอบครองหัวใจของพ่องูตัวร้าย
“โยชิ!” เสียงทุ้มนิดๆแต่ก็ใสอยู่ในทีตะโกนเรียกผม เติร์ดเดินมายิ้มให้ผม สองแขนอุ้มปุยเมฆแมวที่นิกกี้เก็บไว้ได้เอาไว้อย่างหวงแหน
แต่แค่ลงมารับผม ถึงกับต้องอุ้มเจ้าแมวตากลมลงมาด้วยเหรอ อะไรจะติดกันปานนั้น
“แมวนั่น” เสียงอาซาดังเหนือหัวเหมือนกระซิบ ผมเหลือบตาสูงมองอาซาด้วยความแปลกใจ ท่าทีเกร็งๆเวลาเจอแมว คงไม่ใช่เพราะกลัวหรอกนะ
จะว่าไป...เมื่อตอนนั้น บนรถระหว่างไปร่วมพิธีฝังศพนิกกี้ อาซาที่พันอยู่ที่คอผม ก็เกร็งตัวไม่ต่างจากตอนนี้เมื่อเติร์ดอุ้มปุยเมฆขึ้นรถ
เป็นไปได้สองอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวแมวก็แสดงว่าปุยเมฆต้องมีอะไรพิเศษที่พอจะกระตุ้นอาซาได้
“ไฮอาซา” เติร์ดทักอาซาเมื่อเดินมาถึง
“ไฮ” อาซาทักตอบ แต่ตามองปุยเมฆคล้ายกำลังประเมินสถานการณ์ ส่วนเจ้าแมวลายเสือจากที่เอนหัวซบอกเจ้าของ ก็ผงกหัวขึ้นมองอาซาไม่วางตา
ไว้กลับไปค่อยถามอาซาว่าอะไรเป็นอะไร
“วันนี้ฉันขอยืมตัวโยชิหน่อยนะ” เติร์ดพูดเหมือนขออนุญาตกับอาซา คนตัวสูงพยักหน้าเล็กน้อยยินยอม
“ฝากด้วยแล้วกัน ตอนเย็นฉันจะมารับกลับ” อาซาพูดกับเพื่อนของผมก่อนจะหันสายตากลับมาหาผม “จะออกไปไหนก็โทรบอกฉันด้วย” ถ้าถอดแว่นกันแดดออก คงได้เห็นสายตาของเขากำลังแสดงความเป็นห่วง
“อืม ไปทำงานเถอะ ระวังตัวด้วยนะ” ผมพูดเสียงเบากับอาซาให้ได้ยินกันเพียงสองคน เขาก้มลงจูบที่หน้าผากผมก่อนจะขึ้นรถขับออกไป เติร์ดล้อผมทางสายตา ผมเลยพูดไล่มันขึ้นคอนโดเป็นการกลบเกลื่อน
ห้องของเติร์ดอยู่เกือบชั้นบนสุด อยู่ต่ำลงมาแค่สองชั้น ชั้นถัดไปเห็นว่าเป็นของแขกวีไอพีมากๆที่เช่าไว้ปีหนึ่งแบบจ่ายค่าเช่าเต็มจำนวน ทั้งสองห้อง เป็นเงินหลายล้านบาท ส่วนบนสุดเป็นของพ่อเติร์ด ส่วนชั้นที่เพื่อนผมอยู่มีสองห้องเช่นกัน ห้องหนึ่งของพี่ชาย อีกห้องก็ของเติร์ดที่เป็นน้องชาย
“ห้องสวยดีนะ”
ต้องชมคนออกแบบห้อง เป็นสัดเป็นส่วนลงตัว ไม่มีจุดให้ตำหนิ เฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลเข้มประดับให้องดูอบอุ่น ไม่เยอะชิ้น มองแล้วสบายตา
เติร์ดวางปุยเมฆลงบนพื้น เจ้าเหมียวเดินวนคลอเคลียรอบขาเจ้าของ เอาหน้าถูไถไปมาออดอ้อน เติร์ดก็ได้แต่หัวเราะเอ็นดู
“ขี้อ้อนจริงๆนะ ไปนอนบนเบาะดีๆไป เดี๋ยวพี่จะจัดห้อง” เติร์ดพูดกับแมว และเหมือนปุยเมฆจะฟังเข้าใจ เลิกเคล้าเคลียเดินไปนอนแหมะบนเบาะนุ่มข้างๆโซฟา
“ดูมันเชื่อฟังนายดีเนอะ” ผมพูด หยุดสำรวจห้อง
“หึหึ แรกๆก็รบกันอยู่นาน แต่เห็นอ้อนแบบนี้ บทจะดื้อขึ้นมาก็ไม่ฟังเหมือนกัน ข่วนได้แผลมาหลายที่แหละ” ปากบ่นแต่มองเจ้าเหมียวด้วยความเอ็นดู เจ้าตัวที่ถูกพูดถึง โงหัวขึ้นมองตาปริบๆก่อนจะส่งเสียงโต้ตอบ
เหมียวว!
“เปล่านินทา นอนไปซะ” นั่นละ ถึงได้ยอมนอนต่อแต่โดยดี
ฉลาดเกินไปหรือเปล่านะ
“ให้ช่วยทำอะไรบ้าง” ผมถาม มองข้างของที่วางเกลื่อนกระจัดกระจาย
“ยังไม่รู้ แปบนะ กำลังงงอยู่” เติร์ดเกาหัว มองข้าวของก่อนจะเริ่มลงมือหยิบจับ ผมช่วยเอากล่องหนังสือเรียนเรียงเข้าชั้นหนังสือ ข้างๆเป็นโต๊ะไว้ทำงาน ผมช่วยเท่าที่ทำได้ เท่าที่พอจะรู้ว่าอะไรควรเก็บไว้ตรงไหน อย่างเช่นของในครัว ก็เก็บๆเข้าตู้เข้าลิ้นชัก ของกินก็เอาเข้าตู้เย็น งานง่ายๆไม่มีอะไร
เติร์ดกำลังจัดของในห้องนอน ส่วนปุยเมฆก็นอนกลางวันสบายใจ จนกระทั่งเก็บจัดข้าวของเสร็จ ก็ได้เวลากินข้าวเที่ยง ที่เลยมาเกือบชั่วโมง
เรานั่งกินอาหารตรงโซฟานั่งเล่น เปิดโทรทัศน์ดูที่กำลังฉายหนังทางช่องเคเบิลทีวี ทั้งผมและเติร์ดนั่งกับพื้นจัดการอาหารกันเงียบๆ มีพูดคุยกันบ้างตามประสา บนตักของเติร์ดก็มีเจ้าปุยเมฆนอนซบนิ่งๆ
“คิดถึงนิกกี้เนอะ” ผมพูดหลังจากที่จัดการข้าวผัดหมดจาน เติร์ดชะงักมือ หันมองผม ดวงตาไหวสั่นเล็กน้อย เจ้าปุยเมฆเองก็ส่งเสียงเบาๆคล้ายจะออกความเห็นเรื่องที่ผมหยิบมาพูด
“อืม” เติร์ดพยักหน้า ตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวช้าๆจนหมดคำ ก่อนจะลุกเอาจากไปเก็บ แล้วกลับมานั่งที่เดิม
“ป่านนี้คงนอนมองเราอยู่บนท้องฟ้าสายใจละ” เติร์ดยิ้ม ผมดีใจที่เพื่อนทำใจได้
“ยังรักมากอยู่ไหม ไม่เป็นไรนะ” ผมแตะมือที่ไหล่กว้าง
“รัก...แต่ทำใจได้แล้ว นิกกี้คือความทรงจำดีๆในช่วงเวลาหนึ่ง อย่างน้อยๆก็มีเจ้านี่ไว้ให้ดูต่างหน้า” เพื่อนตัวโตของผมก้มมองก้มกลมๆขนฟูฟ่องบนตัก แต่ดูเหมือนคำพูดจะไม่เข้าหู ปุยเมฆเงยหน้าร้องเสียงแข็ง แล้วก็ลุกเดินหนีไปเลย
“อ้าว” ผมมองตามงงๆ เติร์ดก็ไม่ต่างกัน แต่ไม่ได้ตามกลับ “มันเป็นอะไร” ผมถาม
“ไม่รู้สิ งอนมั้ง”
“งอนเรื่อง”
“ไม่รู้สิ”
อ้าว แล้วตกลงมันยังไงเนี่ย
“ปุยเมฆชอบเป็นแบบนี้ บางทีฉันก็รู้สึกแปลกๆ แต่ก็นะ จะเอาอะไรกับแมวมาก แค่เหมือนจะคุยกันรู้เรื่องในบางทีก็ดีแล้ว”
“แต่ก็ช่วยทำให้ไม่เหงาใช่ไหมละ”
“ช่วยได้ดีเลยล่ะ”
ผมขยับตัวนั่งบนโซฟา เติร์ดเดินไปเอาผลไม้ในตู้เย็นออกมากินล้างปาก นอนดูทีวีรอให้ถึงตอนเย็น ผมเล่าเรื่องที่ไร่ให้เติร์ดฟัง เขาบอกว่าอยากไปบ้าง คราวหน้าคงไม่พลาดไปกับผม เราคุยกับเรื่องเปื่อย หลายต่อหลายเรื่องจนผมเริ่มง่วง เผลอหลับไปจนกระทั่งตอนเย็น เสียงโทรศัพท์ดังปลุก
“รออยู่ข้างล่างนะตรงล็อบบี้นะ” อาซาบอกมาในสาย ผมอือออลุกนั่งงัวเงีย เติร์ดเลยไล่ผมไปล้างหน้าในห้องนอนให้สดชื่น
เติร์ดมาส่งผมข้างล่าง ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่แน่นหนามาก เกือบทุกจุดต้องใช้คียการ์ดในการเข้าออก ดูยุ่งยากวุ่นวาย แต่ก็ดูปลอดภัยมากทีเดียว
ผมมองหาอาซาไม่ยาก เขาโดดเด่นอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา อาซามองเห็นผมก็ลุกขึ้นยืน เห็นตาเขาเหลือบมองไปทางข้างหลังผมที่มีเติร์ดอุ้มแมวเดินตามมา ผมรู้แล้วว่าทำไมเติร์ดต้องอุ้มปุยเมฆลงมาด้วย
เจ้าแมวตัวนี้ไม่ชอบอยู่ลำพังในห้อง เติร์ดเล่าว่า ถ้าปล่อยทิ้งไว้ แม้เพียงไม่กี่นาที เจ้าปุยเมฆก็จะอาละวาดทำลายข้าวของเป็นการประกาศสงครามย่อมๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน เติร์ดจำเป็นต้องพาแมวลงมาด้วยทุกครั้ง
แบบนี้จะไปเรียนยังไง คงไม่ได้ต้องพาไปด้วยหรอกนะ
“ฉันไม่ได้ใช่งานแฟนนายหนักหรอกนะ วางใจได้” เติร์ดพูดกับอาซาขำๆ อาซาแค่ยิ้มบางๆ
“กลับเลยไหม” เขาถามผม
“อืม ไปก่อนนะเติร์ด ไว้เจอกันเปิดเทอม ไปก่อนนะเจ้าปุยเมฆขี้งอน” ผมขยี้หัวแมวด้วยความหมั่นเขี้ยว เติร์ดกลับขึ้นห้อง ผมกับอาซาก็เดินไปที่ลานจอดรถ ขึ้นรถมาได้อาซาก็ส่งกระดาษทิชชู่เปียกให้ ผมมองของในมือใหญ่งงๆ
“เช็ดมือซะ ฉันไม่ชอบกลิ่นแมว” ผมถึงได้เข้าใจ รับมาเช็ดมือจนสะอาด
“กลัวแมวเหรอ” อาซายังไม่ออกรถ แต่สตาร์ทเครื่องยนต์ติดเอาไว้
“ไม่ได้กลัว แต่ไม่ชอบ” แล้วทำไมต้องทำหน้าเครียดด้วย
“ไม่กลัวก็ไม่กลัว” ผมทำหน้ารู้ทัดอาซาเลยขยี้หัวผมแรงๆ ถอยรถออกจากที่จอด ขับช้าๆออกจากลานจอดรถขอคอนโด ก่อนจะเบรดเอี๊ยดอย่างแรง หัวผมเกือบจะทิ่มคอนโซลรถ แต่ดีที่อาซาเอามือมารองไว้ หัวผมเลยไม่แตก
“เป็นอะไรอาซา” ผมถาม ใจเต้นเร็วเพราะตกใจ อาซาไม่ตอบ เอี้ยวตัวมองไปข้างหลัง ผมมองตาม มองเห็นผู้ชายสองคนเดินอยู่ ผมไม่รู้ว่าอาซามองใคร จนกระทั่งทั้งสองคนหันด้านข้างให้เห็น คนหนึ่งผมไม่คุ้นหน้า แต่อีกคนไม่มีทางที่จะลืม
“ชาร์ล...” ผมเอ่ยชื่อคนๆนั้นเสียงแผ่ว
“อยู่ที่นี่นี่เอง”
บทจะเจอมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ แสดงว่าเอเดนอยู่ที่นี่เองสินะ
“ตอนที่นายมา นายไม่ได้กลิ่นพวกเขาเหรอ” ผมสงสัยเลยถาม อาซาส่ายหน้าเครียดจัด
“พวกเขาคงทำอะไรสักอย่างให้ฉันไม่ได้กลิ่น แต่ช่างมัน ยังไงก็เจอตัวแล้ว” คนพวกนี้ร้ายกาจเหนือขั้น
“อาซา เอายังไงต่อไปดี” ผมถาม อาซาขับรถต่อ แต่จอดเทียบฟุตบาตรหน้าคอนโดเติร์ด เขาใช้ความคิดอยู่สักพัก ก่อนจะมองผมด้วยสีหน้าจริงจังจนผมเครียดตาม
“ฉันคิดว่าเรื่องนี้ต้องให้เพื่อนนายกับแมวของเขาช่วย” อาซาบอก แต่ผมไม่เข้าใจ
“ยังไง เติร์ดกับปุยเมฆจะช่วยอะไรได้ แล้วพวกเขาจะไม่เป็นอะไรเหรอ” ผมกังวลใจ ไม่อยากให้เพื่อนต้องมาเสี่ยงอันตราย ไม่อยากให้เติร์ดเป็นเหมือนนิกกี้
“ไม่ต้องห่วง มันจะไม่เป็นเหมือนครั้งนั้น” อาซาลูบแก้มผมให้ความมั่นใจ เขารู้ว่าผมไม่สบายใจเรื่องอะไร
“นายจะบอกเติร์ดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดเหรอ” ให้เติร์ดรู้เรื่องที่พวกเขาเป็นงูเนี่ยนะ
“เปล่า ฉันแค่จะยืมตัวแมวของเขา”
“ปุยเมฆนั่นเหรอ ยังไง” ผมไม่เห็นว่าแมวตัวแค่นั่นจะช่วยอะไรได้
“เอเดนชอบแมวมาก ถ้าเราให้ปุยเมฆเข้าไปในห้องของเอเดน เราจะต้องรู้แน่ๆว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร” ยิ่งอาซาพูดผมก็ยิ่งงง
“อาซา นั่นมันแมวนะ ต่อให้มันฟังเอเดนกับเพื่อนคุยกันรู้เรื่อง มันจะมาบอกเราได้ยังไง” ผมแย้ง ไม่เห็นด้วยกับความคิดแปลกๆของอาซา
“อย่าโง่น่าที่รัก” เขาว่าผม ผมไม่โกรธ แต่หน้าตึงหน่อยๆ
“ฉันโง่ตรงไหน” ผมเชิดหน้าย้อนถามเอาเรื่อง
“แมวตัวนั้นมันไม่ใช่แมวปกติ” อาซาตอบนิ่งๆ แต่ผมนี่ขนลุกไปทั่วล่าง
“นายว่าไงนะ” ถ้าไม่ใช่แมวปกติ แล้วเป็นแมวอะไร”
“มันเป็นเหมือนพวกฉัน แต่ดูท่าว่าจะยังกลายร่างไม่ได้ แต่เพราะมันไม่ใช่แมวปกติธรรมดา มันจึงมีความสามารถพิเศษแบบที่แมวทั่วไปไม่มี เพราะงั้นฉันถึงบอกว่า ฉันต้องให้แมวของเพื่อนนายชั่ว” น้ำเสียงกระตือรือร้นมีความหวัง ผมรีบปรับความคิดให้เท่าทันอาซา
“แล้วปุยเมฆมีความสามารถพิเศษยังไง”
“ความพิเศษมีไม่มาก ก็แค่มีเก้าชีวิต แยกร่างได้เก้าร่าง เราสามารถใช้เจ้านั่นเข้าไปหาเอเดน โดยใช้ร่างใดร่างหนึ่งของมันเข้าไปหา เพื่อล้วงความลับ และเพราะเอเดนชอบแมวมาก ถ้าให้เจ้าแมวนั่นทำเป็นแมวหลงทาง ฉันเชื่อว่าเขาจะต้องเลี้ยงไว้แน่ๆ”
โอ้แม่เจ้า ไม่คิดเลยว่าแมวตัวเล็กๆแค่นั้นจะพิเศษได้ขนาดนี้
“แล้วปุยเมฆจะยอมเหรอ นายคุยกับมันรู้เรื่องหรือไง” ผมถาม ถึงปุยเมฆจะช่วยได้ มันจะยอมช่วยเราหรือเปล่า ถูกจับได้มีแต่ตายกับตาย
“ก็ต้องลองดู” อาซามีอาการไม่มั่นใจนิดๆ
“แล้วเอเดนจะไม่รู้เหรอว่าปุยเมฆไม่ใช่แมวธรรมดา” ขนาดอาซายังรู้ นับประสาอะไรกับเอเดน เขาก็ต้องรู้สิ
“ถ้าเป็นร่างแยก ไม่มีทางรู้แน่นอน แต่ที่ฉันรู้ เพราะที่ฉันเห็นคือร่างจริงยังไงละ”
ซับซ้อนดี น่าเวียนหัวชะมัด
“สรุปนายก็จะให้ปุยเมฆช่วยเรื่องนี้” ผมถามย้ำอีกครั้ง
“อืม ไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาที่นี่อีกครั้ง บอกเพื่อนนายด้วยแล้วกัน” อาซาขับรถกลับบ้าน ผมและอาซาต่างคนต่างตกอยู่ในความคิดของตัวเอง เขาคงกำลังคิดถึงแผนการที่จะล้วงความลับจากเอเดน โดยมีปุยเมฆแมวมหัศจรรย์แยกร่างได้ช่วย แต่ในหัวผมกำลังคิดว่า...ถ้าเติร์ดรู้ว่าปุยเมฆไม่ใช่แมวธรรมดา แต่เป็นครึ่งคนครึ่งแมว มันจะเป็นยังไง
น่าคิดจริงๆ
.......................
ไม่รู้จะพูดอะไรมาก ใครไม่เข้าใจตรงไหนถามนะคะ ต่อจากนี้จะมาอาทิตย์ละครั้งหมด หมดสต็อคละ แย่จุง
มีคนสงสัยว่า ตกลงอาซาเป็นนากินีหรือเป็นบาซิลิสก์กันแน่ อาซาเป็นนากีนี เพราะนากิกีเป็นชื่อเรียกของพวกงูกลายร่างได้ที่เกิดจากบาซิลิสก์ ไม่งงนะตัวเอง เพียงแค่อาซาพิเศษตรงที่ว่าอาซาเป็นเชื้อสายโดยตรงไม่ได้เกิดจากไอพิษเหมือนตัวอื่นๆ แต่เป็นการกำเนิดแบบเชื้อสายยังไง จะมีเฉลยในตอนหน้าๆนะจ้ะ
ใครยังติดตามอยู่บ้าง ยังมีคนอ่านอยู่ใช่ไหมจ้ะ ริริไม่ได้หายไปไหนนะ ยังแต่งอยู่จ้า
ขอบคุณคอมเม้นทุกคอมเม้นนะคะ อ่านแล้วชื่นใจ รักคนอ่านทุกคน