B.L.O.O.D.L.I.N.E
FIFTEEN
รอยช้ำสีป่วงแกมเขียวเด่นชัดอยู่บนผิวสีขาวของอาซาแม้ว่าจะผ่านมาสามวันแล้วก็ตาม บนร่างกายที่แสนจะเพอร์เฟ็คของพ่องูนักสู้ยับเยินไม่น่าดู ผมป้ายยาทาที่หมอให้มาลงบนรอยช้ำเหล่านั้นจนทั่วทุกจุด
จุ๊บ~
“ขอบใจนะ” อาซาผงกหัวขึ้นจูบปากผมอย่างรวดเร็วก่อนจะลุกขึ้นนั่ง หันมองผมที่นั่งทำหน้าละห้อย
“ไม่เอาน่าโยชิ อย่าดื้อสิ เปิดเทอมแล้วนะ นายต้องไปเรียน”
ประเด็นหลักในวันนี้ไม่ใช่ว่าเราจะไปตามล่าหาความจริงหรือไปชกชิงตัวประกันที่ไหน แต่เป็นเพราะวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกสำหรับภาคเรียนที่สอง และสาเหตุที่ผมไม่อยากไปเรียนก็เพราะว่าเรื่องวุ่นวายยังคงค้างคาให้กวนใจ ผมรู้สึกว่าจิตใจตัวเองไม่พร้อมเรียนอย่างมาก
เราได้ตัวอเล็กซ์มาจากเอเดนแล้วก็จริง และตอนนี้อเล็กซ์ก็ปลอดภัยกลับมารักษาตัวที่บ้านได้แล้ว เขานอนพักที่ห้องรับรองทางปีกขวาของบ้านพักหลังนี้ ทุกคนในบ้านก็ปลอดภัยดีหายห่วง แต่จะนิ่งนอนใจได้อย่างไร ในเมื่อตัวการสำคัญอย่างเอเดนยังมีชีวิตอยู่ และเขาก็ยังคงต้องการหัวใจบาซิลิสก์อย่างไม่มีวี่แววว่าจะกลับตัวกลับใจ ซ้ำร้ายจะยิ่งแค้นอาซาละไม่ว่า
“ฉันคิดว่าฉันยังไม่พร้อม” ผมบอก อาซาหน้าเข้ม
“นายต้องพร้อม เป็นเด็กไม่ควรโดดเรียน พ่อกับพี่ชายนายจะว่าฉันได้ที่ทำให้นายเกเร แล้วก็หยุดคิดเลยว่าฉันเห็นแก่ตัวเองที่อาจจะโดนว่า ฉันเห็นแก่นายต่างหาก การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นหน้าที่ของนายในตอนนี้ เข้าใจไหม”
ร่ายมายาวเหยียดขนาดนี้ ไม่เข้าใจก็คงจะโง่เกินทน แต่ว่านะ...
“แต่อารมณ์ฉันไม่ไม่อยากไปนี่” นั่นแหละคือปัญหา ผมไม่มีอารมณ์ไปเรียน ถึงไปก็ไม่เข้าใจ
“ไม่เข้าใจก็ต้องไป”
ผมอึ้ง “นายเดาใจฉันได้เหรอ” ทำไมเขาถึงรู้
“ตลกน่า หน้านายต่างหากที่สื่อออกมา ไปเถอะ ไม่งั้นนายจะโดดหมายหัวจากโปรเฟสเตอร์ตั้งแต่วันแรก ถ้าเป็นเช่นนั้น ชีวิตนายจะหาความสงบสุขไม่ได้ตลอดเทอมนี้” อาซาพยายามเกลี่ยกล่อม ให้ความรู้ราวกับเด็กอนุบาลที่งอแงไม่ยอมไปโรงเรียน
“ไม่ขนาดนั้นมั้ง”
“ลองดูไหมล่ะ”
ผมเริ่มกลัวกับคำขู่ คิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็แย้งอะไรไม่ได้ ยอมจำใจไปเรียนทั้งๆที่ไม่อยากไปแบบสุดๆ
“เป็นเด็กดีนะ” อาซากอดผมโยกไปมาก่อนจะจุ๊บที่หน้าผาก ก่อนจะจูงมือผมออกจากห้องนอน เจอเข้ากับเวสตันพอดี ในมือของเวสตันถือถาดทำความสะอาดบาดแผลและถ้วยใส่ยา
“ไปทำแผลให้อเล็กซ์มาเหรอ” ผมทัก เราเดินลงไปข้างล่างพร้อมกัน
“อืม เพิ่งกินยาไป ร่างกายยังปรับสภาพไม่ค่อยได้เพราะถูกพิษของเอเดนทำลายไปพอควร”
อาซาเองก็โดนพิษของเอเดน ดีที่ว่าร่างกายของอาซาแข็งแรงกว่าอเล็กซ์อยู่มาก รู้มาว่าหลังจากที่ผมตายไปแล้ว หมายถึงตอนที่ถูกพ่อของเจอร์โรมฆ่าตาย อาซาเกเรมากจนกระทั่งมาเจอกับเวสตันก็เกเรไม่เลิกกว่าจะเป็นผู้เป็นคนได้ อาซาบาดเจ็บจากการมีเรื่องต่อสู้ทั้งกับพวกนากินีด้วยกันและกลุ่มอื่นมานับไม่ถ้วน ทำให้ร่างกายของเขาชินชากับความเจ็บปวด ผมว่าเวสตันน่าจะหมายถึงเจ็บจนชิน แต่ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บ
“ถ้าหากได้รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อเนื่องก็คงจะดีกว่านี้ แต่เราปล่อยให้อเล็กซ์อยู่ที่นั่นแล้วกลายเป็นเป้าอีกรอบไม่ได้” อาซาพูดหน้าครึม
ผมเทนมใส่ถ้วยตามด้วยซีเรียลธัญพืช วันนี้ปารีสกับจูเลียตออกไปข้างนอกแต่เช้า จึงไม่มีคนทำอาหารไว้ อะไรง่ายๆก็กินไปก่อน อีกอย่างความกังวลและความขี้เกียจทำให้น้ำย่อยของผมไม่ทำงาน ตักกินแค่ไม่กี่คำก็อิ่ม
“อิ่มแล้วเหรอ นายกินไปห้าคำเท่านั้น” อาซาถามอย่างสงสัย
“อืม ไม่ค่อยหิวน่ะ” ไม่อยากบอกเขาว่าท้องผมเต็มอืดไปด้วยความงอแง ถ้าลงไปชักดิ้นชักงอร้องว่าไม่ออกไปเรียนได้คงทำไปแล้ว
“ไปกันเถอะ นายสายแล้ว” อาซาลุกขึ้นยืนเตรียมไปส่งผมที่คณะ ผมเงยหน้ามองหน้าอาซาแบบเซ็งๆ อาซาทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคุณพ่อจอมเข้มงวด กำลังเคี่ยวเข็ญให้ลูกจอมเกเรอย่างผมไปโรงเรียน
ผมคว้าสายกระเป๋าคล้องที่บ่า เดินตามอาซาออกจากบ้าน มืออาซากวัดแกว่งอยู่ตรงหน้าผมแค่เอื้อม มีผ้าก็อตพันปิดแผล ผมเร่งก้าวขาให้ทันอาซา สอดมือเข้ากุมมือของอาซาเอาไว้ ไม่ลงแรงเพราะกลัวอีกฝ่ายเจ็บ แต่อาซากลับบีบกระชับมือผมเสียเอง
“ฉันจะนั่งรอจนกว่านายจะเลิกเรียนดีไหม” อาซาให้ข้อเสนอที่น่าสนใจ
แทบไม่ต้องคิด ผมตอบตกลงทันที “ดี...รอฉันนะ” ผมอ้อน
“เด็กหนอเด็ก” เขายิ้มอ่อนโยน ครั้งนี้ผมไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดเหย้าแหย่ที่มักไม่ชอบได้ยิน อยู่ๆก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
เดินมาจนถึงหน้าคณะวิทยาศาสตร์ เติร์ดนั่งเหยียดขาอยู่ที่ทางริมซ้ายของบันไดทางขึ้น เขากำลังนั่งอ่านหนังสืออะไรสักอย่างเพราะผมมองเห็นไม่ชัด แต่พอเดินเข้าไปถึงตัวจึงได้รู้
‘คู่มือการเลี้ยงแมว’ “ถึงกับต้องมาส่งเลยเหรอ” เติร์ดถามน้ำเสียงล้อ
“ก็ทำไมละ” ผมทำเป็นไม่อะไรกับคำล้อเลียน
“ก็ไม่ทำไมหรอก แค่นายกำลังทำให้ฉันอิจฉาเบาๆ เฮ้อ คนมีความรักนี่ดีจริงๆ” เติร์ดลุกยืนบิดขี้เกียจ แสงแดดส่องกระทบใบหน้าขาวใสของเพื่อนผม เมื่อขับกับผมสีน้ำตาลอ่อนทำให้เติร์ดดูเปล่งประกาย สาวๆข้างเคียงกระซิบกระซาบให้ความสนใจในตัวของเติร์ด เพียงแต่เจ้าตัวเลือกที่จะปิดกั้นตัวเอง เติร์ดอาจจะยังลืมนิกกี้ไม่ได้
ผ่านมากี่เดือนแล้วนะ แต่ทำไมผมยังรู้สึกเหมือนกับว่า...เพิ่งจะเจอเธอเมื่อวาน
กริ๊งงง
“ไปเข้าเรียนกันเถอะ” เติร์ดก้มลงหยิบหนังสือขึ้นมาจากพื้น ผมหันไปหาอาซา เขาสอดมือทั้งสองข้างใส่ไว้ในกางเกงยีนส์ตัวเก่ง
“ฉันไปเรียนแล้วนะ”
“อืม ฉันจะนั่งรอที่ม้านั่งข้างๆตึก” เขาบอก
“เลิกเรียนแล้วฉันจะรีบมาหาเลยนะ”
“หึหึ ไปเรียนได้แล้ว” อาซาไล่ ผมเลยจำใจเติร์ดเข้าอาคารเรียน ตรงจุดนั้น ผมหันกลับไปมองอาซา เขายังไม่เดินไปไหนเพื่อยืนรอส่งผม
“เลิกมองได้แล้ว รีบเดินเร็วเข้า” เสียงเติร์ดเรียกสติ
“อืม” ผมจำต้องละสายตาจากอาซา
หรือเป็นเพราะว่าเราไม่เคยห่างกันในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผมโหยหาเขามากยิ่งขึ้นทุกท่เวลาที่จะไม่เห็นอาซาอยู่ในสายตา
เกิดเรื่องแปลกประหลาดกับผมตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอม เพื่อนรวมคลาสเรียนมีปฏิกิริยาแปลกๆต่อผม พวกเขามองผมและกระซิบกระซาบกันเบาๆ ถึงจะไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดว่าอะไร แต่จากสายตาและท่าทางลับๆล่อๆเวลาพูดคุยกันในขณะที่สายตาเหลือบมองผม ถ้าไม่โง่ทุกคนก็น่าจะคิดได้ว่ากำลังถูกนินทา เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
“นายรู้สึกแปลกๆไหม” เติร์ดถามผมทันทีที่นั่งกับที่
ผมพยักหน้า “อืม ฉันไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม”
อย่างเช่น ใส่เสื้อกลับหน้ากลับหลัง ซิบไปได้รูด หรือทรงผมไม่เป็นทรง การถูกจับจ้องในเชิงนี้ค่อนข้างทำให้ผมจิตตกจนเสียความมั่นใจ
“จริงเหรอ คนนี้น่ะนะ” เสียงพูดคุยดังมาจากข้างหลัง ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมหันไปมอง
“ที่แท้ก็เป็นพวกฆาตกร” อีกคนสำทับ ผมมองหน้าพวกเขานิ่งๆ ไม่ได้เป็นการท้าทาย แต่ผมแค่ไม่เข้าใจว่าพวกเขาหมายถึงอะไร ทั้งสองคนที่ผมเคยเห็นหน้าปะปรายในชั้นเรียนหยุดคุยและมองไปที่หน้าชั้น ผมหันกลับมาพลางครุ่นคิด
เข้าเรียนได้ครึ่งชั่วโมง ผมไม่เป็นอันเรียน นักศึกษาบางส่วนยังคงให้ความสนใจผมอยู่เนืองๆ ผมเหลือบมองนาฬิกาเป็นระยะว่าเมื่อไหร่ชั่วโมงการเรียนการสอนจะจบลง ต่างกับเติร์ดที่ให้ความสนใจในเนื้อหาที่โปรเฟสเซอร์หนุ่มหน้าตาดีกำลังสอนอย่างจริงจัง เติร์ดเปล่าสนใจครูผู้สอน แต่เขาสนใจเกี่ยวกับเรื่องแมวที่โปรเฟสเซอร์กำลังพูดอยู่ต่างหาก ผมจึงเกิดความสงสัย ตั้งแต่ที่เห็นเติร์ดอ่านหนังสือเกี่ยวกับแมวเมื่อเช้านี้
“เดี๋ยวนี้หันมาสนใจแมวจริงจังแล้วเหรอ” ผมกระซิบชวนเติร์ดคุย เติร์ดละความสนใจการโปรเฟสเซอร์มองผมก่อนจะเอนหน้ามาตอบ
“ก็เปล่า แต่ช่วงนี้ปุยเมฆดูแปลกๆ นอนได้ทั้งวี่ทั้งวัน เรียกก็ไม่ตื่น หรือตื่นก็เหมือนไม่มีแรง ฉันกำลังคิดว่าปุยเมฆอาจจะกำลังป่วย แต่วันก่อนฉันพาไปหาหมอ หมอบอกว่าปุยเมฆปกติดี”
เป็นอย่างนี้นี่เอง ผมรู้สาเหตุที่ปุยเมฆที่อาการอย่างที่เติร์ดเล่า แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นสาเหตุที่ไม่ปกติธรรมดาเท่าไหร่ จะให้บอกว่าที่ปุยเมฆเอาแต่นอนเพราะแยกร่างช่วยงานอาซาอยู่ และที่ไม่มีแรงเพราะใช้พลังงานมากเกินความจำเป็นก็คงเป็นไปไม่ได้ ทำได้แค่เก็บเงียบเป็นความลับ
“คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง อย่างคิดมาก” ผมทำได้แค่ปลอบ
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น” เติร์ดพูดก่อนจะหันกลับไปสนใจบทเรียน
ผมนั่งเหม่อลอยจนกระทั่งหมดคาบเรียน ถ้าอาซาจะใช้มือถือเป็นกิจวัตรอย่างคนปกติบ้าง สามชั่วโมงที่ผ่านมาก็คงไม่น่าเบื่อเช่นนี้ โดยเฉพาะสายตาของใครหลายต่อหลายคนที่มองผมอย่างไม่เป็นมิตรแบบโจ่งแจ้ง
“กลับเลยหรือเปล่า” ผมถามเติร์ด
“น่าจะ อาซารอนายอยู่ใช่ไหม”
“อืม”
“งั้นแยกกันตรงนี้เลยแล้วกัน” เติร์ดวางมือบนไหล่ผม
“โอเค พรุ่งนี้เจอกัน บาย”
“บาย”
เติร์ดวิ่งเหยาะๆลงบันไดไป มองซ้านมองขวาก่อนจะข้ามถนนตรงไปยังหน้าประตูมหาวิทยาลัย ผมหมุนกายเดินไปหาอาซาที่บอกว่าจะนั่งรอที่ข้างตึก แต่พอเดินไปถึงกลับไม่พบใคร
จึก!
สัมผัสเย็นวาบที่ข้างแก้ม ผมสะดุ้งหันหลังทันที สายตาสบเข้ากับขวดน้ำเย็นเป็นสิ่งแรก ตามมาด้วยใบหน้าขาวสะท้อนแสง
“อาซา” ผมครางเรียกอีกฝ่ายเสียงระโหย ตกอกตกใจหมด
“ฉันไปซื้อน้ำมาให้ นายจะได้สดชื่น” เขาว่า ผมรับน้ำมาเปิดฝาดื่ม
“ขอบใจนะ”
“อยากแวะที่ไหนไหม หรืออยากกลับบ้านเลย” อาซาถาม ผมส่ายหน้า กลับบ้านเลยดีกว่า ผมไม่คิดอยากจะไปไหน
น่าแปลกอีกแล้ว พอผมอยู่กับอาซา ไม่มีใครสักคนที่สนใจผม ไม่มีการเหลือบมองหรือชี้ชวนให้คนรอบข้างมองมาที่ผม ไม่มีการกระซิบกระซาบคล้ายกำลังนินทา ไม่มีใครสนใจเราสองคนด้วยซ้ำ หรือผมจะคิดมากไปเอง
กลับมาถึงบ้านพักของอาซา ทุกคนลงมติกันแล้วว่าอยู่ที่นี่น่าจะปลอดภัยสุด ผมเลยไม่ได้กลับไปอยู่หอ ถ้าพ่อหรือพี่ยอร์ชมาหายังไม่รู้เลยว่าจะหาข้อแก้ตัวอะไรมาอ้าง
“เป็นไงบ้างโยชิ เปิดเทอมวันแรก” ฟรินน์ทักผมเมื่อก้าวเข้าบ้าน เขากำลังนั่งดูรายการแข่งขันแข่งม้า ขาที่พันเฝือกเอาไว้วางอยู่บนโต๊ะโซฟา มือก็หยิบแอ็ปเปิ้ลที่จูเลียตกำลังนั่งปลอกเข้าปากคำแล้วคำเล่าจนจูเลียตหน้าหงิก
“นี่! ฉันเป็นคนปลอกไม่คิดจะเหลือไว้ให้ฉันกินหรือไง”
“เอาน่าๆ ฉันบาดเจ็บอยู่นะ เป็นน้องสาวคนเล็กของบ้านก็หัดทำตัวให้มีประโยชน์หน่อย”
“เอาไปปลอกเองเลย น่ารำคาญ” จูเลียตโยนมีดใส่ตะกร้า ก่อนจะสะบัดหน้ามาทางผม อาซาเดินแยกออกไปตรวจตรานอกบ้าน
ผมเดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างจูเลียต ก่อนจะเอื้อมมือหยิบแอ็ปเปิ้ลมาปลอก
“เธอไม่ต้องไปเรียนเหรอ” ผมชวนจูเลียตคุย ยังไงๆเราสองคนก็ยังมีช่องว่างระหว่างกันและกัน มักรู้สึกเกร็งๆและเคอะเขินเวลาพูดคุย
“นี่คิดคำถามดีแล้วเหรอ” จูเลียตย้อนเรียบๆ ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง
“ก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอก” ผมยอมรับไม่อาย
“นายนี่ตลกชะมัด”
“ก็วันนี้ฉันเจอเรื่องแปลกๆในมหาวิทยาลัย อยากรู้ว่ามีใครโดนแบบฉันบ้าง” ผมเริ่มเปิดประเด็นที่สงสัย
จูเลียตหันมองหน้าผมอย่างสนใจ “เรื่องอะไร”
“พวกเด็กในแอชยูมองฉันแปลกๆ แถมยังกระซิบกระซาบถึงฉัน”
“ก็ไม่แปลก” จูเลียตหมดความสนใจ เหมือนเรื่องที่ผมพูดไม่ใช่เรื่องแปลก
“แต่ฉันว่ามันแปลก” ผมแย้ง
“นั่นเป็นเพราะพวกเขารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นมาว่าจากพวกนากินี เขาหาว่าเราจะทำให้ความมั่นคงของมนุษย์กลายร่างสั่นคลอน เลยเกิดความไม่พอใจและเริ่มหาเรื่องพวกเรา และนายเองก็เป็นนากินีถูกไหม ก็ไม่เห็นแปลกที่พวกนั้นจะหวาดระแวงนายไปด้วย” ฟรินน์ที่ให้ความสนใจกับโทรทัศน์เป็นฝ่ายตอบผม
“รวมไปถึงฉันเนี่ยนะ ก็ไหนอาซาบอกว่า...” ผมหยุดคิด คนพวกนั้นไม่มีทางได้กลิ่นงูจากผม เพราะวันนี้ผมไม่ได้ทำเลือดตัวเองไหลสักหยด
“ใช่ กลิ่นนากินีจากตัวนายจะไม่ลอยคละคลุ้งถ้าหากเลือดไม่ไหล แต่ขอบอกอะไรไว้อย่างหนึ่งเลยนะ บนตัวนายมีแต่กลิ่นของอาซา ไม่แปลกหรอกที่พวกนั้นจะเขม็งนาย ก็ในเมื่ออาซาเล่นแสดงความเป็นเจ้าของนายซะกลิ่นฟุ้งขนาดนี้” จูเลียตพูดหน้าเนือย ผมพยักหน้าเข้าใจ สรุปว่าผมเองก็กลายเป็นหนึ่งในบุคคลอันตรายที่ทุกคนในแอชยูกำลังไม่ไว้วางใจ
“ไม่ต้องคิดมากหรอกโยชิ ตราบใดที่นายยังอยู่ภายในแอชยู ไม่มีใครทำอะไรนายได้นอกจากมองและนินทา ไม่ต้องไปสนใจ เราไม่ได้ทำอะไรผิด” ฟรินน์หันมาให้กำลังใจผม
“ขอบใจ”
อย่างน้อยก็โล่งใจได้เปราะหนึ่ง
อาซาเดินกลับเข้ามาในบ้าน ตรงเข้ามาหาผมก่อนจะก้มหน้าลงกระซิบข้างหู “ขึ้นห้องกัน”
“อืม” ผมคว้ากระเป๋าลุกขึ้นยืน เดินไปตามการจับจูงจากมือที่เย็นเชียบ
“นี่” เสียงฟรินน์เรียกให้เราสองคนหยุด อาซาหันไปมองประมาณว่ามีอะไร ฟรินน์ยิ้มทำหน้ากรุ่มกริ่มก่อนจะพ่นประโยคที่ทำให้ผมหน้าร้อนฉ่า
“อย่าหักโหมมากล่ะ ไม่งั้นนายอาจจะหมดแรงจนกลับไปเป็นงูนะอาซา และโยชิก็อาจจะไปเรียนไม่ไหว” ฟรินน์เป็นโรคจิตที่ชอบพูดจาทะลึ่งกลั้นแกล้งให้ผมอาย ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกแกล้ง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่เห็นจะใช่ธุระของนายตรงไหน” อาซาพูดนิ่งๆ
“แหมๆ งั้นก็ตามสบายเถอะ”
ขึ้นมาบนห้อง อาซามองหน้าผมนิ่งๆ ค่อยๆสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ ผมแปลกใจกับท่าทางของอาซา ไม่ได้เดินถอนหนีจนอาซาคว้าตัวผมไว้ได้
“อะ อะไรกัน” ผมถาม ก็ใครใช้ให้อาซาก้มหน้าลงมาเหมือนจะจูบ ผมก็เลยเบี่ยงหน้าหนี
“อาบน้ำกัน” เขาพูด ขยับหน้าใกล้อีกนิด สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนอุ่น
“เอ่อ นายอยากอาบน้ำเหรอ งั้นเดี๋ยวฉันอาบให้” ผมเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมเวลาอาซาทำเจ้าชู้ใส่ผมมักเขินจนทำอะไรไม่ถูก อาซาไม่ได้ทำพร่ำเพรื่อ ผมถึงไม่ชินสักที แต่ไม่ได้หมายความว่าผมอยากให้เขาทำเจ้าชู้หว่านเสน่ห์ใส่ผมตลอดเวลาหรอกนะ ผมกำลังหาเหตุผลให้กับความเขิน
“เอางั้นก็ได้” อาซาถอนห่างหนึ่งก้าวให้ผมได้หายใจหายคอ “ถอดเสื้อผ้าให้ฉันสิ”
ผมตะลึงกับคำสั่ง “นายก็ถอดเองสิ ฉันจะไปเตรียมน้ำให้”
ผมเดินหนี แต่อาซาดึงแขนเอาไว้
“ถอดเสื้อผ้าให้ฉันสิ” คำพูดคล้ายเชิญชวน แต่เรื่องที่ชวนทำมันไม่ใช่การนั่งเล่นเกมหรือดูหนัง เขาควรรู้ว่าไม่ง่ายที่จะตอบตกลง
“นายก็ถอดเองได้นิ” ผมไม่ยอม
“ฉันถอดเองกับนายถอดให้จะเหมือนกันได้ไง เถอะน่า ดูแลฉันหน่อย” ริมฝีปากของเขาแย้มคล้ายพยายามกลั้นยิ้ม
“นายกำลังคิดอะไรทะลึ่งๆอยู่แน่ๆ”ผมเดาจากสีหน้าไม่น่าไว้วางใจของอาซา
“ก็ประมาณนั้น” เขายอมรับ รอยยิ้มที่เต็มเปรี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ทำให้ผมลมหายใจขาดห่วงทุกครั้งที่ได้เห็นปรากฏอยู่ใกล้สายตา
เพียงดวงตาสีดำวาววับส่องประกายเว้วอน ผมก็ยอมสยบทุกอย่างแทบเท้าพ่องูตัวร้ายตนนี้
มือเลื่อนขึ้นจับที่กระดุมเสื้อเม็ดบนสุดก่อนจะค่อยๆแกะออกทีละเม็ด สายตาผมไม่ได้ละไปจากอัญมณีสีดำแสนจะลึกลับคู่ตรงหน้า
เสื้อเชิ้ตสีดำหลุดออกจากร่าง ผมเบนสายตามองต่ำไล่จากลำคอแกร่งมาที่บ่าทั้งสองข้างที่ตั้งตรงตั้งมั่น ถัดลงมาเป็นหน้าอกที่เต็มไปด้วยมัดเนื้อที่สวยพอดีกำลังเซ็กซี่ สายตาเจ้ากรรมไม่ยอมหยุดอยู่เพียงแค่นั้น กลับย้ายที่จับจ้องกล้ามหน้าท้องเป็นลอนชวนหวิวไหว
อาซาจับมือทั้งสองข้างของผมแตะที่กระดุมกางเกงก่อนจะกระซิบข้างใบหู “แกะสิ นายจะได้มองต่ำมากกว่านี้ ของดีกำลังรอนายอยู่”
ขะ เขามัน...
“บ้า! ถอดเองไปเลย” ผมตวาดเสียงดัง เดินหนีเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงหัวเราะดังอยู่เบื้องหลัง ผมได้แต่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ผมกำลังจะเป็นคนทะลึ่งเพียงแต่เห็นร่างกายท่อนบนไร้เสื้อผ้าของอาซา ไม่รู้ว่าถ้าเห็นอาซาเปลือยทั้งร่างผมจะทำใจอยู่เฉยๆได้ไหม ทำไมความคิดของผมถึงได้ชั่วร้ายนัก
ผมเปิดน้ำอุ่นใส่อ่าง นั่งอยู่ริมขอบทำใจได้ไม่ถึงนาทีอาซาก็เดินเข้ามา ผมหันไปมองอย่างไม่คิดอะไร แต่กลายเป็นสิ่งที่ผมเพิ่งจะหลีกเลี่ยงปรากฏอยู่เบื้องหน้า
อาซาแก้ผ้าเดินโทงๆแบบไม่มีความอาย ผมได้แต่มองค้างเหมือนร่างกายถูกไฟฟ้าช็อตสักสิบโวลต์
อาซายิ้มขำ เดินผ่านหน้าผมก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำ ผมพยายามตั้งสติ ไม่ต้องอาย จะอายทำไม เคยเห็นมาแล้วทั้งนั้น ใจเย็นไว้
ผมหันกลับไปหาอาซาอีกทีหนึ่ง ก่อนจะเริ่มลงมืออาบน้ำให้อาซาอย่างตั้งใจมากกว่าครั้งไหนๆ เพื่อที่จะให้มันผ่านไปให้เร็วที่สุด อาซาก็ไม่ได้คิดกลั้นแกล้งผมมากไปกว่านี้ นั่นทำให้ผมเบาใจอาบน้ำให้อาซาจนสะอาดหมดจด ไม่ต้องห่วงเรื่องบาดแผล อาซาไม่มีปัญหากับการอาบน้ำทั้งที่แผลยังไม่หายดี
“อาซา ถามอะไรหน่อย” มัวแต่ใจเต้นจนลืมเรื่องที่สงสัย
“เอาสิ” เขาว่า เอนกายให้ผมบริการอย่างสบายใจ
“ทำไมครั้งนี้นายไม่หมดแรงกลายร่างเป็นงูตัวเล็กล่ะ” ผมถามอย่างสงสัย ถ้าฟรินน์ไม่พูดขึ้นมาผมก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย
“ทำไม อยากให้ฉันกลายร่างเป็นงูเหรอ” อาซาเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว หันมาหลิ่วตาใส่ผมอย่างไหลลื่น
“ไม่ใช่สักหน่อย แค่สงสัย” ผมทำหน้าจริงจัง อาซาหัวเราะในลำคอ
“เพราะฉันไม่ได้กลายร่างที่ใหญ่ที่สุด ตอนสู้กับเจอร์โรมรุนแรงกว่านี้มาก แถมเคี้ยวของวพวกอื่นมักส่งผลร้ายแรงกว่าพวกเดียวกัน”
“อ่อ” อย่างนี้นี่เอง ผมเข้าใจจึงไม่ได้ถามต่อ
“ตานายแล้ว ฉันจะอาบให้นายบ้าง” อาซาพูดอย่างมีน้ำใจ แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดมาก
“ไม่เป็นไร นายออกไปแต่งตัวเถอะ ฉันอาบเองได้” ผมดันหลังอาซาออกจากห้องน้ำ อาซาขืนตัวไม่ยอมขยับ ผมเลยทุบกลางหลังเขาไปที แต่อาซาไม่ยอม ตวัดตัวผมอุ้มขึ้นเดินกลับไปที่อ่างน้ำก่อนจะทิ้งร่างผมลงอ่างจนเปียกปอน แล้วเจ้าตัวก็ตามลงมา
อาซาลงมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าผมอย่างรวดเร็วในขณะที่ริมฝีปากฉกวูบดูดกลืนลมหายใจคนอื่นอย่างถือดี ผมหมดเรี่ยวแรงเพราะรสจูบที่สร้างความวาบไหวให้สั่นสะท้านไปทั้งผิวกาย
ไม่เหลือแล้วเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย อาซาถอนจูบที่ยาวนานเกือบสิบนาทีให้ผมได้หายใจอย่างใครใกล้จะหมดลม เขาลงมืออาบน้ำให้ผมดังที่บอก เพียงแต่การอาบน้ำของเขาสร้างความปั่นป่วนในช่องท้องและบริเวณหน้าอกไม่น้อย
(ต่อด้านล่าง)