B.L.O.O.D.L.I.N.E
SIXTEEN
YACHT
ไม่น่าจะลืมอะไรแล้วนะ ผมนึกทบทวนของที่ต้องเอาไปส่งในเมืองและของฝากสำหรับโยชิ น้องชายหัวแก้วหัวแหวน พักนี้เราคุยกันไม่บ่อย ผมงานยุ่งและพ่อเองก็มีธุระกับเพื่อนร่วมรุ่นถี่ในระยะนี้ แต่เราไม่เคยขาดการติดต่อกันนานเกินสองวัน
เมื่อวานมีออร์เดอร์จากกรุงเทพเข้ามากะทันหัน ไม่ว่าจะเป็นองุ่นหรือไวน์จากไร่ผม สตอร์เบอรี่จากไร่ของเพื่อน และตามตารางงานวันนี้ถือเป็นวันหยุดผม เลยถือซะว่าเข้าไปเยี่ยมน้องชายให้หายคิดถึง
“ฝากขนมไปให้น้องด้วย นี่ถ้าพ่อไม่ติดว่านัดกับคุณกาจปลัดอำเภอเอาไว้ว่าจะไปดูโรงเพราะเห็ดให้ท่าน พ่อคงไปด้วย คิดถึงเจ้าตัวเล็กชะมัด” พ่อส่งถุงขนมของโปรดโยชิมาให้ผมเก็บใส่รถ
“ไว้คราวหลังเราค่อยไปหาน้องพร้อมกัน ช่วงนี้บ้านเมืองไม่ค่อยปลอดภัย ผมเป็นห่วงโยชิยังไงไม่รู้” ผมละมือจากการตรวจเช็คเครื่องยนต์มองหน้าพ่อ
“คงไม่มีอะไรหรอก ทางมหาวิทยาลัยเขาก็น่าจะมีการคุ้มกันที่แน่นหนา เห็นออกข่าวว่าจัดการตำรวจมาคอยสอดส่องดูแลรอบๆบริเวณ คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ยังอดกังวลไม่ได้
“รถไม่มีปัญหาใช่ไหม” พ่อเดินเข้ามาช่วยเช็ครถ จนแน่ใจหายห่วงว่าไม่มีส่วนใดผิดปกติหรือเกิดอาการงอแงว่าจะเสีย “ตีหนึ่งแล้ว รีบไปเถอะ”
“ครับ ถึงแล้วผมจะโทรหานะพ่อ” ผมยกมือไหว้พ่อ
“ขับรถดีๆ ถ้าง่วงก็หาที่พักอย่าฝืนนะยอร์ช” พ่อเตือนอย่างเป็นห่วง
“ครับพ่อ”
ผมออกเดินทางในตอนมืด ไปถึงกรุงเทพก็น่าจะประมาณสิบเอ็ดโมงไม่ก็เที่ยง กำหนดส่งของตอนบ่ายโมง จากนั้นก็ค่อยแวะไปหาโยชิ ความจริง ถ้าไม่รีบผมคิดว่าจะพักกับน้องชายสักคืน
ขับรถตอนกลางคืนต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง เครื่องเสียงในรถเป็นเพื่อนแก้เหงาได้เป็นอย่างดี แต่ขับไปสักพักผมรู้สึกแปลกๆกันสองข้างทาง คล้ายกับว่ามีอะไรสักอย่างเครื่องไหว ผมเหลือบตามองแต่ก็ไม่พบอะไรดึงดูดสายตานอกจากเงามืดจากต้นไม้ทั้งสองฝั่ง ผมจึงเลิกสนใจ จนกระทั่งเริ่มรู้สึกตาล้าๆ จึงแวะปั๊มหากาแฟดื่ม
“ผมขอเอสเปสโซ่ร้อนแก้วหนึ่งครับ” ผมสั่งกาแฟกับพนักงาน
“รอสักครู่นะคะ” เธอลงมือทำในทันที
ผมนั่งรอกาแฟ สายตาก็มองออกไปข้างนอกร้านแล้วหยุดนิ่งอยู่ที่พุ่มไม้ ใครสักคนกำลังมองผมอยู่จากตรงนั้นพอเห็นว่าผมมอง เขาคนนั้นก็หลบฉากหายไป ผมลุกขึ้นยืนมองหาจากในร้าน แต่ใครคนนั้นหายไปแล้ว จะออกไปดูเสียงพนักงานก็ดังเรียกไว้ก่อน
“คุณคะ กาแฟที่สั่งได้แล้วค่ะ”
“อ่อ ครับ” ผมหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์จ่ายค่ากาแฟไปหกสิบบาท ผมหันไปมองตรงพุ่มไม้ที่เคยมีคนซุ่มมองผม แต่ขณะนี้วางเปล่าไม่มีใครสักคน
ผมดื่มกาแฟด้วยความรวดเร็วแล้วกลับไปที่รถ สตาร์ทเครื่องรอไว้แต่ยังไม่ไปไหน ผมอยากแน่ใจว่าไม่มีใครแอบมองหรือแอบตาม แต่เท่าที่มองสำรวจก็มีเพียงความว่างเปล่า ผู้คนที่ขับรถแวะเข้ามาในปั๊ม ไม่ว่าจะเป็นคนที่เดินไปเข้าห้องน้ำ คนที่ยืนกินบะหมี่หน้าร้านสะดวกซื้อ หรือคนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล ทุกคนที่เห็นดูไม่มีท่าทีน่าสงสัย
“ช่างเถอะ อาจจะตาฝาดไปเอง” ผมบ่นเบาๆ เลิกใส่ใจแล้วออกรถ
ถนนตอนกลางคืนโล่งเงียบ ผมจึงเร่งความเร็วรถเกินกว่ากำหนดเพื่อที่จะได้ไปถึงกรุงเทพไวขึ้น กาแฟช่วยให้ผมไม่เกิดอาการง่วงระหว่างทาง รวมไปถึงเพลงร็อคที่คอยกระตุ้นสมองผมให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ผมมองกระจกข้างและกระจกมองหลัง ไม่มีรถคันไหนขับตามผม สองข้างทางก็ไม่มีจุดผิดสังเกต บางทีผมอาจคิดไปเอง อาการง่วงและล้าสายตาอาจทำให้ผมมองพุ่มไม้ที่ปั๊มน้ำมันกลายเป็นคน
เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ ผมมาถึงกรุงเทพสิบเอ็ดโมงเช้า ผมกดโทรศัพท์โทรหาโยชิเมื่อขับมาถึงหน้ามหาวิทยาลัย ผมจอดรถข้างหอพักของโยชิ ลงมารอไม่นานโยชิและอาซาก็เดินออกมารับ
ผมเริ่มจะทำใจได้มากขึ้นกับการที่ต้องเห็นน้องชายสุดรักสุดหวงมีคนรักคอยอยู่เคียงข้าง
“พี่ยอร์ชหน้าง่วงมาก ทำไมไม่ขับมาตอนกลางวันละ” โยชิคล้องแขนผมพาเดินขึ้นหอพัก ปล่อยให้อาซาหอบหิ้วของฝากตามมาทีหลัง
ถึงห้องพักของน้องชาย ผมก็ขอตัวเข้าไปนอนพัก โดยไม่ลืมกำชับว่าให้ปลุกผมตอนเที่ยงเพื่อเอาของไปส่ง
“พี่ยอร์ชจะกลับมานอนกับผมไหม” โยชิถาม ข้างๆกันเป็นอาซาที่นั่งดูโทรทัศน์
“ไม่แน่ใจนะ พี่ว่าจะกลับบ้านเลย”
ตอนที่โยชิปลุก ผมเห็นข้อความในมือถือที่ส่งมาจากลูกน้องในไร่ ว่ามีคนอยากคุยเรื่องธุรกิจกับไร่ของเรา พ่อไม่อยู่ก็เลยไม่รู้จะให้ใครจัดการแทน
“น่าเสียดาย พี่ยอร์ชน่าจะนอนกับโยสักคืน” โยชิทำหน้าหงอย ผมขยี้หัวน้องชายด้วยความเอ็นดู
“ไว้คราวหลังนะ” ผมเตรียมตัวออกไปส่งของ กอดล่ำลาน้องชายจนหายคิดถึงก่อนจะฝากฝังโยชิกับอาซาให้ช่วยดูแลแทนผมกับพ่อ
“ขับรถดีๆนะพี่ยอร์ช ถึงบ้านแล้วโทรหาผมด้วย” เจ้าตัวเล็กพูดเสียงสั่นเครือ ผมยิ้มพยักหน้ากับคำสั่ง
ผลไม้ที่นำผมส่งขายเป็นผลไม้เกรดเอระดับส่งออกนอก แต่ไร่ของเราจะแบ่งขายในประเทศก่อนที่จะส่งขายออกนอกประเทศ ผมอยากให้คนไทยเราได้กินของดีมีคุณภาพในราคาที่ไม่แพง ซึ่งอาจจะต่างจากไร่อื่นที่มักผลิตเพื่อส่งออกนอกเพื่อให้ได้ผลกำไรจำนวนเยอะ แต่ผมกับพ่อคิดเห็นเหมือนกันว่า เราควรผลิตผลไม้คุณภาพดีเพื่อให้คนไทยได้บริโภค และราคาก็ต้องไม่แพง คนทุกระดับสามารถซื้อกินได้
ครอบครัวเราไม่ได้ต้องการเงินทองมากมายมหาศาล ต้องการแค่ความสุข สุขจากการเป็นผู้ใช้และผู้รับ
“ร้านสุดท้ายแล้วสินะ” ผมมองแผ่นที่ในกระดาษที่เพื่อนของผมส่งมาให้สลับกับร้านอาหารแนววิเทจที่น่าจะเป็นทั้งร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่และร้านอาหารไปในตัว เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นที่เดียวกัน ผมก็นำสตอเบอร์รี่ที่ลูกค้าสั่งเข้าไปส่ง พร้อมกับองุ่นแดงลูกโตสายพันธุ์ใหม่หนึ่งถุงจากไร่...
“ผมเอาสตอเบอร์รี่มาส่งครับ” ผมบอกกับผู้หญิงที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ แต่พอเธอเงยหน้าผมถึงกับก้าวเดินไม่ออกด้วยความคาดไม่ถึง
“ยอร์ช” เธอเอ่ยชื่อของผม
“แอนนา” ไม่คิดมาก่อนว่าจะเจอเธอที่นี่
แอนนา...แฟนเก่าของผม
“ไม่เจอนานเลยนะ” เธอเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ “วางบนโต๊ะก่อนสิ ท่าจะหนัก” เธอชี้มาที่กล่องผลไม้กล่องโตในมือผม
“อ่อ” ผมวางตัวไม่ถูกนิดหน่อย การได้เจอกับแอนนาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวทำผมไปไม่ถูกระดับหนึ่ง
“ลูกโตมาก ไร่ยอร์ชเหรอ ไม่ใช่ไร่ของคุณพัชระเหรอ” เธอหยิบสตรอเบอรี่ขึ้นดูด้วยใบหน้าติดสงสัย เธอยังเหมือนเดิมทุกอย่าง
“ไร่เพื่อนนะ พอดียอร์ชต้องเข้ามาส่งองุ่นในกรุงเทพพอดี พัชเลยฝากยอร์ชมา” ผมตอบ
“แล้วนี่ล่ะ” เธอเปิดถุงองุ่นดู
“ก็กะว่าจะเอามาให้ลองชิม เพื่อว่าจะเพิ่มลูกค้าได้” ผมทำแบบนี้ประจำเวลา เมื่อลูกค้าได้ลองแล้วชอบ เขาก็อยากจะสั่งและซื้อผลไม้จากไร่ของเรา และทุกรายก็กลายเป็นลูกค้าประจำที่ไม่คิดจะจากไปซื้อเจ้าอื่นอีกเลย
“ฮ่าๆๆ ยอร์ชนี่หัวคิดเจ๋งนะ นายยังคงเก่งเหมือนเดิม”
รอยยิ้มของเธอก็ยังเหมือนเดิม
“แอนนา อาหารกลางวันเสร็จแล้วนะ ทานเลยไหม” เสียงผู้ชายดังออกมาจากด้านในร้านก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมา
ผู้ชายคนนี้คือแฟนใหม่ของแอนนา น่าจะสามปีได้แล้วที่ทั้งคู่คบกันหลังจากที่แอนนาเลิกรากับผม ผมดีใจที่เธอเจอคนที่คอยอยู่เคียงข้างเธออย่างที่แอนนาต้องการ
“กินเลยสิ ยอร์ชจะอยู่ทานด้วยกันไหม” เธอเอ่ยชวน แฟนของแอนนายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร
“เพื่อนเหรอแอนนา” เขาถาม
“ใช่แล้ว ลืมแนะนำให้รู้จักกันเลย นี่ยอร์ชเพื่อนแอนนา และนี่ก็บอสแฟนเราเอง”
“สวัสดีครับ” ผมทักทาย เขาเองก็ทำเช่นเดียวกัน
“อยู่ทานข้าวกลางวันด้วยกันนะครับ เลทหน่อย เพราะช่วงเที่ยงที่ร้านยุ่งมาก” บอสชวนผมพลางจัดเตรียมตั้งโต๊ะ
ผมไม่ทันได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ โทรศัพท์มือถือก็ดังขัดจังหวะ คนที่โทรมาทำให้ผมเกิดอาการแปลกใจเป็นรอบที่สอง
...เอเดน...
“สวัสดีครับ” ผมรับสาย
“นายอยู่ที่กรุงเทพใช่ไหม” เอเดมถามคำถามชนิดที่ไม่มีการเกริ่นนำใดๆทั้งสิ้น
“ครับ” เขารู้ได้ยังไง
“ว่างหรือยัง” คำถามต่อมาตามมาติดๆ น้ำเสียงของเขาไม่ดีเท่าที่ควร
“เอ่อ...ก็ว่างนะครับ มีอะไรหรือเปล่า”
“มาหาฉันหน่อยได้ไหม”
“หืม อะไรนะครับ” ผมกำลังคิดว่าตัวเองอาจฟังผิดจนต้องถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ฉันบอกให้นายมาหาฉันที แค่กๆๆ” เสียงไอจากปลายสายฟังดูรุนแรงและน่ากลัว
“คุณอยู่ที่ไหน โรงพยาบาลเหรอ” ผมตกใจเล็กน้อยเพราะอาการไม่สู้ดีของเอเดน จนไม่ทันได้ตั้งข้อสงสัยในความแปลกหลายๆเรื่อง
“เปล่า ผมอยู่ที่บ้าน ผมจะส่งที่อยู่ไปให้ หวังว่าคุณจะมาถึงอย่างรวดเร็ว”
ติ๊ด
วางสายไปแล้ว
ผมเอาโทรศัพท์ออกจากหู ใช้สายตามองมันอย่างงุนงง จนกระทั้งแสงจากหน้าจอสว่างวาบพร้อมกับข้อความหนึ่งฉบับ มีที่อยู่กับข้อความสั้นว่า
‘อย่ามัวชักช้า รีบมาด่วน’
“ยอร์ช ทานข้าวกัน” แอนนาเรียก ผมหันหลังไปทางแอนนาและแฟนหนุ่มของเธอ
“ต้องขอโทษทีนะ พอดีฉันติดธุระนิดหน่อยคงต้องรีบกลับแล้ว” ผมรีบตอบแล้วรีบผละออกมาจากร้าน ไม่ได้สนใจท่าทางประหลาดใจจากคนทั้งสอง
ผมขับรถออกมาได้ไม่นานก็เริ่มจะคิดได้ว่า เอเดนรู้ได้อย่างไรว่าผมอยู่กรุงเทพ เขาพูดเหมือนรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ว่างหรือไม่ว่าง
“อย่ามัวชักช้างั้นเหรอ” ผมพึมพำกับตัวเอง “แปลกจังแหะ”
แล้วทำไมเขาต้องให้ผมไปหาด้วย เท่าที่ได้ยินดูเหมือนว่าเขาจะไม่สบาย แล้วชาร์ลล่ะ เพื่อนของเขาไปไหน ทำไมถึงโทรตามผม ถ้าหากผมไม่ได้มากรุงเทพพอดี เขาคงไม่คิดจะโทรตามผมจากเชียงใหม่หรอกนะ
แปลก...คำนี้คำเดียวลอยอยู่เต็มหัวไปหมด
ไม่นานผมก็มาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งตามที่เอเดนส่งแผนที่มาใหม่ เกือบหลงอยู่เหมือนกัน แต่ดีที่รถของผมมีอุปกรณ์ช่วยบอกทาง แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเร็วเท่าความต้องการของเจ้าของบ้านหรือเปล่า
ผมกดกริ่งอยู่เกือบห้านาที แต่ไม่มีคนมาเปิดประตู จึงลองเลื่อนประตูรั้ว ปรากฏว่าไม่ได้ล็อค ดังนั้นผมเลยถือวิสาสะเข้าไปในบ้านโดยที่ไม่มีใครอนุญาต ก็ในเมื่อเอเดนเป็นคนเรียกผมมา ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
บ้านหลังโตเงียบเชียบ ไม่มีคนอยู่สักคน ผมต่อสายหาเอเดนเพื่อถามว่าเขาอยู่ที่ไหน
“ขึ้นมาที่ห้องฉัน ชั้นสองขวามือสุด” เขาพูดทันทีที่รับสายแล้วก็วางไปเลย
“เผด็จการไปหรือเปล่า” ผมบ่นกับตัวเอง แต่ก็เดินไปตามทางที่เขาบอก
ห้องของเอเดนหาไม่ยาก ผมเคาะประตูตามมารยาทก่อนจะค่อยๆเปิดเข้าไป สัมผัสแรกที่ได้รับก็คือความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ผมเดินเข้าไปจนกระทั่งถึงเตียงนอน เอเดนอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าสาหัส
“คุณไปทำอะไรมา” ผมไล่สายตาสำรวจร่างกายอีกฝ่ายที่มีผ้าห่มผืนใหญ่ปิดตั้งแต่ช่วงเอวไปจนถึงปลายเท้า แต่แค่ช่วงบนก็ทำผมตกตลึงเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของเขาอิดโรย หัวแตก บริเวณช่วงหน้าอกมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ แขนของเขาช้ำเป็นวงกว้าง บาดแผลคล้ายถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส
“มีเรื่องนิดหน่อย” เขาตอบเสียงเบา ผมเลื่อนเก้าอี้นั่งลงข้างเตียง
“เพราะงั้นคุณถึงโทรเรียกผมมา อยากให้ช่วยอะไรไหม” ผมถามอย่างเป็นห่วง อย่างน้อยๆเขาก็เป็นคู้ค้าคนสำคัญ และผมถือได้ว่าเรารู้จักกันคล้ายจะเป็นเพื่อนเป็นรุ่นพี่ ถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยได้ผมก็อยากช่วย
“วันนี้ชาร์ลออกไปทำธุระข้างนอก ไม่มีใครอยู่บ้าน เลยอยากให้นายช่วยอยู่เป็นเพื่อนที”
“อ่อ ได้สิ ว่าแต่...คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่กรุงเทพ” ผมถามในสิ่งที่สงสัยมาตลอดทาง
“ชาร์ลโทรมาบอกว่าเห็นนายระหว่างทางไปทำธุระ” เขาตอบหน้านิ่ง ใบหน้าอิดโรยเพราะต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอ
ผมเข้าใจไม่ถามต่อ หมดข้อสงสัยทันที “คุณทานอะไรหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว”
“ยาล่ะ ทำไมคุณไม่อยู่โรงพยาบาล ผมว่าอาการคุณหนักเกินว่าจะพักผ่อนได้เองที่บ้านนะ อย่างน้อยๆก็จนกว่าจะโอเคกว่านี้” ผมตั้งข้อสังเกตตามที่เห็น
“ผมไม่ชอบโรงพยาบาล” เหตุผลของเขาชวนน่าขำเสียจริง
ตุ๊บ!
เมี๊ยววว
สิ่งมีชีวิตบางอย่างหล่นลงจากเตียง ก้อนกลมๆสีเทาขยับลุกขึ้นยืนแล้วเงยหน้ามองผม
“คุณเลี้ยงแมว?” ผมละสายตาจากเจ้าแมวตัวน้อยขึ้นมองเอเดนที่คงจะรู้เหมือนกันว่าแมวหล่นลงจากเตียง
ภาพลักษณ์ภายนอกของเอเดนออกจะขัดอยู่บ้างกับสัตว์เลี้ยงไซต์เล็ก หากเขาเลี้ยงล็อตไวเลอร์ผมคงไม่แปลกใจ
“ไม่เชิง” เขาตอบ ผมไม่หายสงสัย เขาจึงขยายความ “ชาร์ลเก็บได้แถวๆคอนโด มันตามติดไม่ปล่อย เป็นแมวไม่มีเจ้าของ ชาร์ลสงสารเลยเอามาเลี้ยง”
“สรุปแล้วคือแมวชาร์ล” ผมมองแมวตัวเล็กที่กำลังพยายามปีนกลับขึ้นไปบนเตียง แล้วมันก็ทำสำเร็จ เอเดนใช้มือเกาคางเจ้าสัตว์หน้าขนจนมันเริ่มเลื้อยนอนลงข้างกายคนเจ็บ
“อืม”
ผมเข้าใจละ ถ้าเป็นรายนั้นก็พอโอเค บุคลิกของชาร์ลเหมาะที่จะเลี้ยงแมวมากกว่าคนตัวโตที่กำลังนอนหายใจแผ่ว
“ผมว่าเอามันลงจากเตียงดีกว่า คุณไม่สบายอยู่”
“เป็นห่วงเหรอ” เขาเลื่อนสายตาขึ้นสบกับผม แววตาอ่อนล้าแต่กลับมีเสน่ห์จนน่ากลัว เพราะขนาดผมที่เป็นผู้ชายยังรู้สึกแปลก ใจเต้นแรงขึ้นมาดื้อๆ
“หึหึ ตลกน่า ผมแค่แนะนำตามที่เห็นสมควร” ผมเบนสายตาหนี ดวงตาสีเขียวสวยของเอเดนทำให้ผมหายใจผิดจังหวะ รู้สึกคับตึงช่วงอกแปลกๆ แต่ที่แน่ๆ ผมเริ่มวางตัวไม่ถูก
“คุณนอนพักเถอะ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าเพื่อนคุณจะมา”
สุดท้ายแมวตัวเล็กก็ยังคงนอนอยู่ที่เดิม แต่เอเดนหลับไปแล้ว ผมนั่งเฝ้าคนป่วยจนกระทั่งเย็น มีแอบงีบหลับบ้างเพราะผมเองก็พักผ่อนน้อย รู้สึกตัวตื่นอีกทีท้องฟ้าก็มืดสนิท
สองทุ่มแล้วหรือนี่ ผมเดินไปในห้องนอนของเอเดน คนป่วยนอนหลับบนเตียง เพื่อนของเขาทั้งสองคนก็ยังไม่กลับมา จะเอายังไงดี แต่ถ้าอยู่ดึกมากกว่านี้เกรงว่าผมจะกลับเชียงใหม่ลำบาก
“เอเดน” ผมเรียกเขา เอเดนรู้สึกตัวอย่างง่ายดาย เขามองผมนิ่ง “ผมจะกลับแล้วนะ มืดแล้ว”
“จะกลับยังไง” เขาถามเสียงแหบ ใบหน้าซีดเซียว
“ผมขับรถมา ก็คงต้องขับกลับ” ผมตอบ
“ดึกแล้วนะ” เขาว่า
“ก็ใช่ไง ผมเลยว่าจะขอกลับก่อน”
“ไม่ต้อง” เขาแย้ง ผมตีหน้างง ไม่เข้าใจ “คืนนี้นอนนี้ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
ผมเลิกคิ้วงุนงง “ไม่ได้หรอก”
“ได้สิ นายจะได้ช่วยดูแลฉันด้วย”
“นี่คุณกำลังขอร้องผมอยู่เหรอ” ผมหรี่ตาถาม
“แล้วคุณมีน้ำใจต่อลูกค้าไวน์รายใหญ่ในอนาคตของคุณหรือเปล่าละ” ช่างเป็นคนที่ใช้คำพูดได้เก่งกาจแม้ว่าจะป่วยก็ตามที
“ก็ได้ นี่ผมเห็นแก่ผลประโยชน์นะ”
“อะไรก็ช่าง แต่ตอนนั้นหิวแล้ว หาอะไรให้กินหน่อย” เขาทำท่าจะขยับลุกขึ้นนั่ง ผมจึงช่วยประคอง ก่อนจะเอ่ยคำพูดจิกกัด
“คุณนี่ใช้ผมเยี่ยงทาสเลยนะ”
“แล้วคุณจะไม่ทำให้หรือไง” น้ำเสียงที่ใช้ก็ไม่ได้เว้าวอน แต่ทำมันผมรู้สึกว่าดวงตาและสีหน้าของเขาคล้ายจะออดอ้อนอยู่ในที ผมน่าจะคิดไปเองมากกว่า เพราะใบหน้าของเอเดนเรียบเฉยอย่างกับไร้ความรู้สึก ผมเผลอคิดอะไรน่าขนลุกแบบนั้นได้ยังไง
ก่อนที่ผมจะเลอะเทอะไปมากกว่านี้ จึงตัดสินใจลงไปทำอาหารสำหรับคนป่วยและสำหรับตัวผม เป็นอาหารที่ทานง่ายๆสำหรับเราทั้งสองอย่างเช่นข้าวต้ม
...เราทั้งสองงั้นเหรอ...
“บ้าเอ้ย!” แม้จะเป็นแค่ความคิดแต่คำๆนั้นมันไม่น่าขนลุกไปหน่อยหรือไงที่จะใช้กับผมและเอเดน “พอๆ เลิกคิดอะไรบ้าๆซะทีไอ้ยอร์ช”
ผมปิดเตาแก๊สเมื่อข้าวต้มสุขได้ที่ เสียงร้องเมี๊ยวๆดังเข้ามาใกล้ เจ้าแมวตัวน้อยเดินเข้ามาในครัว มันคงจะหิว ผมมองหาอาหารแมวแล้วก็เจออยู่ที่พื้นข้างตู้เย็น ผมจัดการเทอาหารแมวใส่ภาชนะส่วนตัวของเจ้าตัวเล็ก แล้วปล่อยให้มันกินตามลำพัง ยังมีอีกคนที่รออาหารเย็นอยู่ข้างบน
“ข้าวต้มมาแล้วครับ” ผมถือถาดใส่ข้างต้มทั้งสองถ้วยเดินเข้าใกล้เอเดนอย่างระมัดระวัง
“ทำไมต้องข้าวต้ม” เขาเบ้หน้าคล้ายไม่ชอบใจ
“เพราะคุณป่วย ห้ามแย้งอะไร ผมทำแล้ว คุณต้องกินมันเข้าไปซะ” เห็นเขาทำท่าจะพูดแย้งเลยขัดเอาไว้ก่อน ผมไม่มีทางตามใจเขาถ้าหากว่าเขาไม่อยากกินสิ่งที่ผมทำมาให้
มีโต๊ะญี่ปุ่นอยู่ข้างเตียง คงมีไว้สำหรับการนี้ ผมหยิบออกมากางคร่อมช่วงตัวของเอเดน วางชามข้าวต้มไว้ตรงหน้าเขา ตามด้วยน้ำและยาเท่าที่ผมเห็นว่ามีบนตู้หัวเตียง
ผมนั่งลงกับเก้าอี้ตัวเดิมแล้วจัดการกินอาหารมื้อเย็น แต่กินได้แค่สองคำก็ต้องหยุด เพราะเอเดนเอาแต่จ้องหน้าผมไม่ยอมแตะอาหารแม้แต่นิดเดียว
“ทำไมไม่กิน ผมไม่ทำอย่างอื่นให้หรอกนะ” ผมดักคอเขาไว้ก่อน ถึงผมจะเห็นใจและเป็นห่วง แต่ก็ไม่ถึงขนาดยอมตามใจ ถ้าเขาเป็นโยชิน้องชายของผม ผมก็อาจจะทำให้อยู่หรอก แต่เผอิญว่าเขาไม่ใช่
“ก็ไม่ได้อยากได้อย่างอื่น”
“แล้วทำไมคุณไม่กิน”
“คุณจะไม่ป้อนผมหน่อยเหรอ”
“อะไรนะ” ถ้าผมกำลังกินข้าวต้ม ผมคงได้พ่นเม็ดข้าวใส่หน้าเอเดนไปแล้ว “ทำไมผมต้องป้อน”
ผมไม่เข้าใจ
เขาไม่ตอบ แต่พยายามขยับแขนที่ค่อนข้างใช้การลำบากให้ผมดู โอเค...ผมต้องทำมันสินะ
“ก็ได้ๆ” ผมวางชามข้าวต้มบนตู้หัวเตียง ขยับเลื่อนเก้าอี้เข้าชิดของเตียงมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ถนัดอยู่ดี
“ขึ้นมานั่งบนเตียงสิ” เขาบอก ผมทำตาม ระยะห่างจากเราเหลือไม่มาก อยู่ใกล้ขนาดนี้ ยิ่งทำให้ผมเห็นความน่ากลัวตามร่างกายของเขา ผมยังคงยืนยันว่าเขาควรจะไปโรงพยาบาล
“ป้อนสิ อย่าเพิ่งมองสำรวจร่างกายผม เพราะเดี๋ยวคุณจะได้สำรวจมากกว่านี้แน่ๆ”
ผมสะดุ้งเล็กน้อย คิดว่าเขาไม่น่าจะสังเกตเห็น “หมายความว่ายังไง”
“เพราะวันนี้ชาร์ลจะไม่กลับมาที่บ้าน แล้วคุณก็จะต้องเป็นคนเช็ดตัวให้ผม”
“ว่าไงนะ!” ผมอุทานเสียงดังอย่างลืมตัว เกือบปล่อยชามเข้าต้มหลุดจากมือถ้าหากไม่ได้มือเย็นชัดของเอเดนช่วยประคองเอาไว้
“ก็อย่างที่บอก ฝากด้วยแล้วกันนะคุณคู่ค้า”
...........
ตอนนี้เป็นคู่ค้า ภายภาคหน้าจะเป็นคู่ชีวิตหรือเปล่าก็ต้องติดตามและลุ้นเอานะ
ใครอ่านอยู่เม้นทักทายกันให้ชื่นใจหน่อยนะ ได้โปรดเถอะค่ะ พลีสสสสสสสสส