B.L.O.O.D.L.I.N.E
TWELVE
เราเดินทางมาที่คอนโดของเติร์ดหลังจากที่พูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวของอาซาเสร็จ เพื่อทำการเจรจากับปุยเมฆ ส่วนที่เหลือจะออกเฝ้าสังเกตการณ์เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องน่าสลดซ้ำอีกครั้ง
ผมยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าแมวตัวเล็กจะเป็นมนุษย์กลายร่างได้ยังไง และจะมีฤทธิ์เดชยังไง การแยกร่างจะเป็นเหมือนแยกวิญญาณออกจากร่างแบบในทีวีหรือเปล่าก็ยากที่จะคาดเดา
“โทรบอกเพื่อนนายสิ”
“อืม” ผมโทรศัพท์หาเติร์ด ยังไม่ชัวร์ว่าเขาอยู่คอนโดหรือไปที่ไหนหรือไม่
“ฮัลโหล” อีกฝั่งรับสาย
“สวัสดี ฉันโทรมารบกวนหรือเปล่า” ผมถามอย่างเกรงใจ อาซามองหน้าผมตั้งใจฟังทั้งๆที่เขาก็คงไม่ได้ยิน
“ไม่รบกวน ฉันกำลังนอนดูหนังอยู่คอนโด”
เข้าทางเลย “พอดีเลย ฉันกับอาซาอยู่หน้าคอนโดนาย อาซาจะมาขอดูห้องกับรายละเอียดซื้อคอนโด เขาอยากได้เก็บไว้ บอกว่าน่าอยู่ดี” ผมพูดตามบทที่คิดเอาไว้แต่แรก
“อ่อ ได้ดิ มาเลยๆ เดี๋ยวฉันลงไปรับ” น้ำเสียงกระตือรือร้น ผมพยักหน้าให้อาซารับรู้ว่าไปได้สวย
“ฉันกับอาซารอที่ล็อบบี้นะ”
อาซาลงจากรถ อ้อมมาเปิดประตูให้ ผมยิ้มขอบคุณสุภาพบุรุษของผม ในมือถืออาหารเล็กๆน้อยๆที่ปารีสทำมาให้เติร์ด ยังมีอาหารที่ปรุงสำหรับแมวเอาไว้แทนคำขอบคุณแม้คนช่วยจะไม่รู้เรื่องด้วย
นั่งรอที่ล็อบบี้ไม่นานเติร์ดก็ลงมารับพร้อมกับปุยเมฆเหมือนเมื่อวานไม่มีผิด เชื่อแล้วว่าคงทิ้งไว้ที่ห้องคนเดียวไม่ได้ คงต้องใช้คำว่าคน เพราะปุยเมฆเป็นแมวพิเศษ
“รอนานไหม” เติร์ดเลิกคิ้วถาม
“ไม่นานหรอก ขอโทษที่มารบกวนนะ”
“เฮ้ๆ ไม่ต้องเกรงใจ เพื่อนกันทั้งนั้น ใช่ไหมคุณอาซา”
“เป็นกันเองดีกว่านะ”
“ฮ่าๆๆ เมื่อกี้ผมล้อเล่น งั้นโยชิ นายพาอาซาขึ้นไปรอที่ห้องฉันก่อน ฉันจะไปเอาเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับคอนโดในสำนักงาน” เติร์ดส่งคีย์การ์ดให้ผม ก่อนจะส่งปุยเมฆให้ด้วย ผมขมวดคิ้วงงๆ ปุยเมฆขืนตัวไม่ยอมมา แต่อาซายื่นมือไปคว้าหมับ เจ้าแมวน้อยดิ้นร้องเสียงแหลม
“ฝากเอาขึ้นไปที พ่อฉันแพ้ขนแมว ถ้าเอาไปด้วยคงไม่ดี แค่ขนที่ติดตามตัวก็น่าจะทำให้พ่อฉันคัดจมูกไปทั้งวัน” เติร์ดลูบหัวปุยเมฆที่ทำตัวแข็งอยู่ในอ้อมแขนของอาซา ช่างน่าขัน แมวน้อยทำตาอ้อนใส่เจ้าของ “เดี๋ยวพี่ตามไปนะ หนูขึ้นไปกับเพื่อนพี่ก่อนนะเด็กดี”
“เมี้ยวววว” เสียงอ้อน กระพริบตาปริบๆ
“ฝากด้วยนะ จำห้องได้ใช่ไหม”
“ได้สิ” ผมจำได้ว่าอยู่ชั้นที่สิบเจ็ด คอนโดนี้มีสิบเก้าชั้น แถมชั้นของเติร์ดก็มีแค่สองห้องเท่านั้น ยังไงก็ไปถูก
เติร์ดเดินแยกไปอีกทาง ผมกับอาซามองหน้ากันก่อนจะมองแมวน้อยปุยเมฆอย่างพร้อมเพรียง โอกาสเป็นใจขนาดนี้ ไม่เรียกว่าโชคดีได้หรือ
ผมรีบพาอาซาไปที่ห้องของเติร์ด ไม่รู้ว่าเติร์ดจะใช้เวลาไปเอาเอกสารนานเท่าไหร่ แต่เราต้องคุยกับปุยเมฆให้รู้เรื่องก่อนที่เติร์ดจะกลับมา
ทุกย่างก้าวที่พยายามเร่งให้ถึงลิฟต์ ทุกจังหวะนาทีที่เคลื่อนตัวตามเลขลิฟต์ไม่ทันใจเท่าที่ควร ผมตบเท้าเคาะจังหวะ เหลือบมองอาซาเป็นระยะ เขายืนนิ่ง ใจเย็น รอแค่ให้ลิฟต์เปิดเมื่อถึงที่หมาย ส่วนเจ้าปุยเมฆ แมวตัวเล็กขดตัวเกร็งอยู่ในอ้อมกอดอาซา จนเมื่อผมเอื้อมมือไปลูบที่หัวและคาง เจ้าปุยเมฆถึงผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย ผมมองสัตว์ตัวเล็กไร้พิษสงอย่างมีความหวังพร้อมกับวิตกกังวล
ถ้าหากปุยเมฆไม่ยอมช่วย เราจะทำยังไง มาถึงห้องของเติร์ด ผมสอดคีย์การ์ดใส่ช่อง เสียงประตูเปิดดังคลิก ผมผลักประตูออกเบามือให้อาซาเข้าไปก่อน มองซ้ายขวานอกห้องจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้ ผมจึงปิดประตู
“โยชิ” อาซาเรียกผม
“ว่าไง”
“ฝากดูลาดเลาที่ประตูที ส่วนฉันจะคุยกับเจ้านี่เอง” อาซายังไม่ยอมปล่อยปุยเมฆลงแม้ว่าเจ้าตัวเล็กขนปุยจะเริ่มพยศดิ้นหนีอีกครั้ง “อยู่เฉยๆ ไม่งั้นฉันจะจับนายทุ่มลงกับพื้น” อาซาพูดขู่ แต่ปุยเมฆไม่ฟัง กางเล็บข่วนมือขาวซีดจนได้เลือด
“รีบเถอะ ทางนี้ฉันจัดการเอง” ผมบอกอย่างร้อนรน กลัวเติร์ดกลับมาก่อน
อาซาพาปุยเมฆหลบไปด้านในก่อนจะได้ยินเสียงทุ่มต่ำแหบพร่าพ่นพูดในภาษาที่ไม่อาจเข้าใจ...ภาษาพาเซล ถ้าผมหลุดจากการสะกดจิต ผมกาจจะฟังเข้าใจ จากนั้นเสียงแมวร้องในโทนเสียงต่างกันเป็นจังหวะเร็วราวกับคนพูด ผมอยากเข้าไปดูว่าทั้งสองคนคุยกันยังไง พวกเขาเข้าใจกันได้ยังไง มันน่าทึ่งมากอย่างน่าเหลือเชื่อ
ตาส่องตาแมวมองดูต้นทาง ถ้าเติร์ดกลับมาจะได้บอกอาซาทัน เสียงพูดคุยในภาษาสัตว์เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งเสียงขู่ฟ่อๆของอาซายามที่เขาอารมณ์ไม่ดีหรือโกรธจัด อีกทั้งเสียงของปุยเมฆที่ร้องขู่ในโทนเสียงคำราม มีข้าวของกระจัดกระจาย ผมกลัว
“ซี่ๆๆ ซี่!!!”
“เมี้ยว เมียว เมี้ยว เมี๊ยวววว!!!”
ฟังแล้วน่าปวดหัวอยู่ไม่น้อย ต่อให้ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจว่าคุยอะไรกัน แต่รู้ได้อย่างหนึ่งเลยคือ การเจรจากับปุยเมฆไม่ราบรื่นอยากที่คิด
ตึกๆๆ
แปะ!
“อึก” ผมสะดุ้ง อาซามาอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ใบหน้าเครียดจัด มือที่วางบนไหล่ผมเย็นเชียบเกินปกติ เขากำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์โมโห
“เพื่อนนายกำลังขึ้นมา ฉันได้กลิ่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว นายออกไปถ่วงเวลาไว้ก่อน”
“ไหวหรือเปล่า ปุยเมฆไม่ยอมเหรอ”
“ไม่เป็นไร ฉันจัดการได้”
“ได้แน่นะ นายจะไม่ทำอะไรแมวของเติร์ดใช่ไหม”
“ฉันไม่ฆ่ามันหรอกน่า อย่างน้อยๆก็ตอนนี้”
“อาซา” ผมเรียกชื่ออาซาเสียงอ่อย
“เอาน่า ไว้ใจฉัน ช่วยที่หน่อยนะที่รัก” อาซาก้มลงจูบปากผมเน้นๆแต่แค่ภายนอกทีหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้าไปข้างใน ตามมาด้วยเสียงของหล่นโครมใหญ่ ผมไม่มีเวลามากพอให้เข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น รีบออกจากห้องเพื่อดักรอเติร์ดที่หน้าลิฟต์
ช่วงเวลาสุดระส่ำระส่าย ใจเต้นเร็วรัว ทำตัวไม่ต่างจากโจรผู้ร้าย ทั้งที่ความจริงแล้วแค่มาขอความช่วยเหลือจากแมวตัวหนึ่ง อะไรๆอาจจะง่ายกว่านี้หากเติร์ดเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา เราจะได้ไม่ต้องทำลับๆล่อๆปกปิดเรื่องที่สุดแสนจะยิ่งใหญ่
ติ้ง!
เสียงลิฟต์ทำลายความคิด ผมยืดตัวยืนตรง มือที่ประสานกันสั่นไหว เงาสะท้อนที่ปรากฏบนแผ่นโลหะที่ใช้ทำประตูลิฟต์ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองหน้าเหวอไม่น่ามอง ผมรีบปรับสีหน้า ไม่ถึงสองวินาทีประตูลิฟต์ก็เปิดอ้าออก ค่อยๆเห็นเสี้ยวหน้าของเติร์ดเป็นภาพสโลว์เชื่องช้า ผมใจเต้นแรงเป็นอีกเท่าตัว เติร์ดสังเกตเห็นผม หัวคิ้วเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าผมจดจ้องเติร์ดไม่วางตาก็คงไม่มีทางสังเกตเห็น
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ” เติร์ดถาม ผมฉีกยิ้มแห้งๆ
“พอดี เอ่อ...ฉันกำลังจะ กำลังจะ” ผมชี้มือชี้ไม้มั่วไปหมด เติร์ดกดหน้าตั้งใจฟังสิ่งที่ผมจะพูด ผมไม่เป็นธรรมชาติ ตื่นตระหนกเกินไป ผมควรจะต้องสงบนิ่งมากกว่านี้
ผมลอบสูดลมหายใจลึกๆก่อนจะเรียกสติกลับคืนมา “ฉันกำลังจะลงไปซื้อเครื่องดื่มสักหน่อย ข้างล่างมีร้านค้าไหม นายพาฉันไปหน่อยสิ”
“เครื่องดื่ม? ในห้องฉันก็มีนี่” เติร์ดว่าทำหน้างุนงง
“แต่ไม่มีของที่อาซาขอบดื่มน่ะ นายพาไปหน่อยสิ”
“อ่อ ได้สิ” ผมรู้สึกได้ว่าเติร์ดเกิดความสงสัย แค่เขาไม่ถามออกมา ขนาดผมยังคิดเลย อาซาจะมาอยากกินน้ำอะไรตอนนี้ แต่ยังดีที่ข้ออ้างของผมยังไม่แปลกประหลาดเกินกว่าสถานการณ์ที่เราดำเนินอยู่
ผมดันตัวเติร์ดกลับเข้าลิฟต์ หวังว่าจะพอถ่วงเวลาได้ ที่เหลือคงต้องให้เป็นหน้าที่ของอาซา ลงมาถึงชั้นล่าง ผมว่ามันเร็วเกินไปหน่อยจนอยากจะวนลิฟต์กลับขึ้นไปแล้วลงมาอีกรอบ โชคร้ายชั้นสองคือร้านสะดวกซื้ออยู่ห่างจากลิฟต์ไม่ถึงยี่สิบก้าว ผมไม่เคยสังเกตเลยว่าร้านตั้งอยู่ตรงนี้
ผมยืนอยู่หน้าตู้ขายเครื่องดื่ม เติร์ดเดินไปดูขนมของกิน พร้อมกับนมให้ปุยเมฆ เขาบอกแบบนั้น ผมรู้ว่าอาซาชอบกินเกินไป แต่ยังไม่ได้เอื้อมมือไปหยิบ ผมอยากจะมีพลังวิเศษสื่อสารกับอาซาได้แม้เราจะอยู่กันคนละที่ จะได้รู้ว่าเขาคุยกับปุยเมฆไปถึงไหนแล้ว ได้เรื่องหรือยัง เจรจาพูดคุยสำเร็จอย่างที่หวังหรือเปล่า ผมคิดเพ้อเจ้อสะระตะไปเรื่อย จนเติร์ดเดินมายืนอยู่ข้างๆ
“เลือกได้หรือยัง”
“ฉันกำลังคิดอยู่น่ะ” ผมหันไปบอก ตัดสินใจเอาไงเอากัน ผมหยิบน้ำแอ๊ปเปิ้ล อาซาชอบกินมาก เขากินได้แทนน้ำเปล่า ผมหยิบมาสองขวดเล็ก
“ในตู้เย็นฉันก็มีนะ” เติร์ดยื่นหน้ามามองของในมือผม
“อาซาชอบกินยี่ห้อนี่น่ะ” ความจริงคือกินยี่ห้อไหนก็ได้ ถ้าไม่ถูกปากก็แค่เลิกกิน
“ก็ยี่ห้อนี้เลยนะ ฉันก็ชอบ อร่อยดี”
ผมยืนค้างไปเสี้ยววินาที “หรอ ทำไมฉันหาไม่เจอนะ ฮะๆๆ” หัวเราะแก้เก้อ
ได้ของที่แอบอ้างว่าต้องการเป็นที่เรียบร้อย ก็ไปจ่ายเงิน รวมเวลาทั้งหมดทั้งสิ้นไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ เติร์ดเดินนำไปที่ลิฟต์ ผมไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไรเพื่อถ่วงเวลา เพราะสาเหตุสำคัญที่มาที่นี่ก็คืออาซาอยากเป็นคนมาดูคอนโด ถ้าจะให้เติร์ดพาไปไหนมาไหน ก็ควรจะต้องพาอาซาไปไม่ใช่ผม ถ้ารู้ก่อนก็คงบอกว่าเป็นผมเองที่อยากจะซื้อ
ลิฟต์เปิดออก คนที่ออกมาคือคนที่ผมไม่ควรให้พวกเขาเจอตัวว่าอยู่ที่นี่ ผมรีบหันหลังหนี ดีที่เติร์ดยืนอยู่ข้างหน้าผม เขาบังตัวผมพอสมควร
“เอเดนมันจะกลับมาถึงนี่ตอนกี่โมง”
“อีกไม่นานหรอก เห็นว่ามีเหตุขัดข้องนิดหน่อย ยอร์ชรู้เรื่องไม่ควรรู้ของพวกเราตอนที่เอเดนไปหาผู้กุมความลับ เลยเสียเวลาจัดการนิดหน่อย แต่ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว น่าจะมาถึงสักเย็นๆ ตอนนี้เราก็ออกไปจัดการเรื่องอื่นๆก่อน ถ้ามาถึงมันคงโทรมาเองนั่นแหละ” เสียงพูดคุยค่อยๆเบาลงจากระยะห่างที่พวกเขาค่อยๆเดินห่างออกไปจนบริเวณที่ผมยืนอยู่ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากความเงียบ
เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีชื่อพี่ยอร์ชเอ่ยออกมาจากปากสองคนนั้น “เอ้า ยืนเหม่ออะไรโยชิ เข้ามาสิ จะไม่ขึ้นไปเหรอไง” เติร์ดเดินออกจากลิฟต์มาเรียกผม ผมหันมองไปตรงทางออก ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแม้แต่คนเดียว “ไปเถอะ” เติร์ดเรียกอีกรอบ ผมจึงเดินเข้าไปในลิฟต์แบบตัวลอยๆ
กลับมาถึงห้องของเติร์ด เขาจัดการสแกนนิ้วลงบนแถบกระจกสีดำข้างๆตัวเสียบคีย์การ์ด ผมมึนตึ้บคิดอะไรไม่ออก สมองอื้ออึง อยากพุ่งเข้าไปหาอาซา บอกเล่าเรื่องที่ได้ยืนมาเมื่อตะกี้ให้เขาฟัง
“กลับมาแล้วเหรอ” อาซาเดินออกมารับพวกเราด้วยท่าทีปกติแต่ที่ไม่ปกติคือดวงหน้าหล่อเคร่งเครียด ด้านหลังที่เดินตามมาก็คือปุยเมฆ ผมมองหน้าอาซาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี หน้าเขาเข้มขรึมยิ่งขึ้นเมื่อจับอาการของผมได้
“มีอะไรหรือเปล่า” เขาถามผม พลางหันมองเติร์ดที่ก้มลงไปอุ้มปุยเมฆไว้ในอ้อมแขนแล้วก้มหน้าจุ๊บหัวเจ้าสัตว์หน้าขน
“หืม อะไรเหรอ” เติร์ดทำหน้างง ผมปรับสีหน้าใหม่ แต่ก็ไม่คล้ายว่าจะดีขึ้น อาซาจ้องเขม็ง ผมยิ้มให้เขา
“ฉันรู้สึกไม่ดีนิดหน่อยน่ะ ไว้ดูคอนโดวันหลังได้ไหม” อาซาเดินมายืนข้างๆผม ยกมือแตะแก้มเช็คอุณหภูมิ ผมช้อนสายตาขึ้นสบกับดวงตาสีเข้ม อาซามองผมอย่างเป็นห่วง ลูบศีรษะผมแผ่วเบา
“ได้สิ” เขาบอกกับผมเสียงนุ่ม ผมแสบจมูกไปหมด กลั้นก้อนสะอื้นในลำคอ กลัวเหลือเกินว่าพี่ยอร์ชจะเป็นอะไร เอเดนจะทำอะไรพี่ชายผมบ้าง ทำไมต้องไปยุ่งกับพี่ยอร์ช พี่ผมไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
“ขอโทษทีนะเติร์ด ไว้วันหลังฉันจะมาใหม่”
“ไม่เป็นไร” เติร์ดพูดกับอาซา ก่อนจะหันมาพูดกับผม “ส่วนนายก็ไปพักผ่อนเถอะ เอกสารนี่เอากลับไปอ่านก่อนก็ได้ ไว้หายดีแล้วค่อยมาดู”
อาซารับเอกสารมาถือไว้ มืออีกข้างโอบไหล่ประคองร่างกายเล็กบางที่ไร่เรี่ยวแรงของผม ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ ทำจิตใจให้เข้มแข็ง ตั้งสติควบคุมจิตใจ
พ้นออกมาจากห้องของเติร์ด อาซารั้งผมให้หยุด แต่ผมส่ายหน้า “ไว้ไปที่รถก่อนนะ ฉันจะเล่าให้ฟัง”
“ก็ได้” อาซาพาผมกลับไปที่รถ ขับพ้นคอนโดจนแน่ใจแล้วว่าน่าจะปลอดภัยที่จะคุย ไม่มีใครรู้ว่าจะมีพวกของเอเดนคอยจับตาดูอยู่หรือเปล่า ถึงอาซาจะใส่แว่นดำ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอำพลางออร่าที่แผ่ออกมาจากผิวกายสีขาวสะท้อนแสงแดด
รถชะลอหยุดหยุดที่ตรอกเล็กแคบวิ่งเข้าออกได้ทางเดียว ไม่มีผู้คนเดินผ่านสัญจร ตึกทั้งสองข้างก็ร้างโทรมไร้คนอยู่อาศัย
“โยชิ เกิดอะไรขึ้น” อาซาถามหน้านิ่ว
“ฉันเจอกับพวกชาร์ลและเบนข้างล่างคอนโด” ผมกลืนก้อนน้ำลายลงคอ “เขาพูดถึงพี่ยอร์ชด้วย เขาบอกว่าเอเดนจัดการกับพี่ยอร์ช ฉันไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร แต่อาซา พี่ยอร์ชกำลังตกอยู่ในอันตราย!” ผมพูดรัวและเร็วจนอาซาต้องจับไหล่ของผมทั้งสองข้าง ในสายตามั่นคแน่นแน่สะกดให้ผมหยุดนิ่ง
“ค่อยๆพูด ค่อยๆเล่า ช้าๆนะ” ผมปลอบผมทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกดี หรือเขาจะคิดมากกับท่าทางของผม
ผมเม้มปากแน่น แล้วถอนหายใจแรง “ชาร์ลพูดว่าเอเดนจัดการกับพี่ยอร์ช และจับตัวผู้กุมความลับได้ อะไรสักอย่างทำนองนี้ แต่ฉันจับใจความไม่ได้ตั้งแต่ที่ได้ยินชื่อพี่ยอร์ชแล้ว อาซา พี่ยอร์ชจะเป็นอะไรไหม”
“โทรไปถามสิ” เขาเสนอแบบไม่ต้องคิดนาน
ผมเบิกตากว้าง สะบัดหัวไล่ความโง่เง่า หยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาพี่ชายที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต รอไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำ ก็มีคนรับสาย
“ไงเจ้าตัวเล็ก คิดถึงพี่หรือไง”
เสียงแบบนี้ “พี่..พี่ยอร์ช” ผมเสียงสั่น ยิ้มทั้งน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่าพี่ยอร์ชไม่ได้เป็นอะไร น้ำเสียงอย่างคนสบายดี อาซายิ้มดีใจร่วมกับผม ลูบหัวลูบแก้มผมอย่างอ่อนโยน
“ก็พี่เองน่ะสิ เป็นอะไร เสียงสั่นๆ”
“เปล่า พี่ยอร์ชไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม” ผมถามไถ่ให้ได้ความ
“เป็นอะไรคืออะไร? พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย สบายดีมาก” เสียงชัดเจนมีชีวิตชีวา
“แล้วเอเดน ไปที่นั่นหรือเปล่า” ผมถามถึงตัวการที่ทำให้ผมเครียด
“เอเดนเหรอ เปล่านี้ เขาไม่ได้มานะ” พี่ยอร์ชตอบเสียงฉงน ผมแปลกใจ จะไม่ไปได้ยังไง ในเมื่อผมได้ยินมากับหู ได้ยินมาจากปากเพื่อนสนิทของเอเดนได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ
“พี่ยอร์ชแน่ใจเหรอ” ผมย้ำถาม
“แน่ใจสิ ใครจะเข้าออกไร่เรา มีเหรอที่พี่จะไม่รู้ไม่เห็น”
“ก็จริง” แต่สิ่งที่ผมได้ยินมา
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ๆถึงได้ถามถึงเอเดน”
“อ่อ...เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมแค่โทรมาถามเฉยๆเท่านั้นเอง”
“แน่ใจเหรอ” พี่ยอร์ชคงไม่เชื่อง่ายๆ
“ก็...ผมเป็นห่วงพี่ยอร์ชกับพ่อ เขาอาจจะไว้ใจไม่ได้ก็ได้นะพี่ยอร์ช”
“หึหึ เด็กน้อยของพี่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไม่มีใครทำอะไรพ่อกับพี่ชายคนนี้ได้ พวกเราจะดูแลตัวเองโอเคไหมครับ”
“ครับ”
“แต่เราก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ พี่กับพ่อก็เป็นห่วงโยชิมาก รักเรามาก รู้ใช่ไหม”
“โยรู้ โยรักพ่อกับพี่ยอร์ชมากนะครับ”
“ฮ่าๆๆ ขี้อ้อนจริงๆ ไว้แค่นี้ก่อนนะโย พี่มีงานเยอะทีเดียว เสร็จงานพี่จะโทรไปหาใหม่”
“ครับ อย่าหักโหมมากนะ ทั้งพ่อและพี่ยอร์ชต้องพักผ่อนมากรู้ไหม”
“ครับคุณน้องชาย บายนะ แล้วคุยกัน”
“ครับ” ผมวางสาย ค่อยหานใจได้ทั่วท้องหน่อย
“ว่าไงบ้าง” อาซาถาม ยังไม่ออกรถจากตรอกแคบ แสงแดดสลัวลงจนเกือบมืด เมฆก้อนใหญ่ลอยอยู่เหนือหัวเราเท่าที่สังเกต
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่ยอร์ชสบายดี และที่สำคัญ เอเดนไม่ได้ไปที่นั่น มันจะเป็นไปได้ยังไงอาซา ก็ในเมื่อฉันได้ยินชาร์ลพูดแบบนั้นจริงๆ”
อาซาถูปลายคางรุนแรงใช้ความคิด “เขาอาจจะไปที่นั่นจริงๆ แต่ที่พี่ชายนายไม่รู้ อันนี้สุดจะเดา แต่อย่าเพิ่งวางใจอะไรเด็ดขาด เขากำลังวางแผนใหญ่ ตอนที่นายไปถ่วงเวลาเติร์ด ฉันให้เจ้าปุยเมฆแอบแยกร่างไปที่ห้องของสองคนนั้น” ดวงตาดำเกรี้ยวกราดดั่งพายุในมหาสมุทร
“หมายความว่าปุยเมฆยอมช่วยนายแล้วเหรอ”
“อืม”
“แล้วได้เรื่องว่ายังไงบ้าง ทำไมเขาถึงยอมช่วยละ นายคุยกับเขาว่ายังไง”
“ก็ไม่มีอะไร”
ผมไม่เชื่อ ปุยเมฆมีท่าทีต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด “ไหนว่าจะไม่มีความลับกับฉันแล้วไง”
“เฮ้อ” เขาถอนหายใจ ก้มหน้าลงต่ำจนเกือบชิดใบหน้าของผม”ฉันบอกนายไม่ได้เพราะมันเป็นความลับของเจ้าแมวนั่น”
“ความลับ?” ผมรอฟังเหตุผล
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกนะ เรื่องที่เลวร้ายที่ฉันรู้มาจากเจ้าแมวนั่นมากกว่าที่ทำให้ฉันแทบบ้า”
เขาดูไม่เหมือนอย่างที่พูด แต่อาซาควบคุมอารมณ์ได้ดีเสมอมา จนกระทั่งตอนนี้ เขาดูควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ อาจเป็นได้ว่า เมื่อตะกี้ผมกำลังจิตตกไร้ที่ยึดเหนี่ยว อาซาเป็นคนเดียวที่ช่วยผมได้ เขาจึงเลือกที่จะพับเก็บเรื่องเครียดของตัวเอง และหันมาเป็นที่พึงให้คนอ่อนแอเช่นผม
“ความจริงแล้ว ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่เมื่อวาน เจ้าแมวนั่นก็ไปเยี่ยมเยียนสองคนนั้นเป็นที่เรียบร้อยมาแล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
“ปุยเมฆบอกว่าได้กลิ่นแปลกๆ เป็นกลิ่นงูผสมกลิ่นแมว เลยแวบออกจากห้องไปดู แล้วก็เจอชาร์ลกับเบนในห้องชั้นข้างบน ตอนนั้นเบนกำลังคุยโทรศัพท์กับเอเดนอยู่ มีเรื่องผู้กุมความลับอย่างที่นายบอกด้วย และผู้กุมความลับเป็นพวกไลแคน...”
“มั่นใจได้ไหมว่าเรื่องจริง” ผมถาม เผื่อว่าปุยเมฆอาจจะฟังผิด
“มนุษย์กลายร่างครึ่งคนครึ่งแมวมีความจำที่ดีเลิศ จดจำสิ่งที่ฟังแม้จะเบามากและได้ยินเพียงครั้งเดียว ก็สามารถจำได้เหมือนอัดเทป”
“จริงเหรอ” อะไรจะน่าทึ่งได้ถึงขนาดนี้
“ใช่ สรุปได้คร่าวๆว่า พวกนั้นตามหาผู้กุมความลับที่เพิ่งจะมารู้ว่าเป็นพวกไลแคนไม่ใช่พวกนากินีมาตั้งแต่ต้น” อาซาหยุดเว้นวรรค ดวงตาสีดำมือสนิทแทบไร้เงาสะท้อน ดุดันน่ากลัวจนผมเกิดอาการหนาวสั่น “จริงอย่างที่ฉันคิดไว้”
อย่าบอกนะว่า
“เอเดนต้องการหัวใจบาซิลิซก์ เขากำลังจะแย่งชิงหัวใจของเรา” เขาพูดกัดฟันกรอด
ไม่จริงใช่ไหม ถึงจะคิดไว้เกินครึ่งว่ามันจะต้องออกมาในรูปแบบนี้ แต่ก็ยังหวังอยู่ว่าสิ่งที่เอเดนต้องการใจไม่ใช่สิ่งลึกลับในตัวเราสองคน
“แล้วเราจะเอายังไงต่อไป” ผมถามเสียงพร่า
“เอเดนกำลังจะพาผู้กุมความลับมาที่นี่ ฉันคิดว่า คนๆนี้จะต้องรู้อะไรเกี่ยวกับหัวใจบาซิลิกส์ ไม่งั้นเอเดนไม่ตามหาตัวเขาแทบพลิกแผ่นดิน” สีหน้าแววตาของอาซาดุร้ายเกินไป ผมใจไม่ดี เอื้อมมือกุมมือที่เย็นจนคล้ายเหล็กแหลมของอาซาไว้ ถ่ายทอดความอบอุ่นน้อยนิดผ่ายผิวกายด้วยการสัมผัส
“เขาจะมาวันนี้” ผมพูด
“ใช่ และสิ่งที่เราต้องทำก็คือ...” เขาหยุด ผมคิดว่าเป็นการหยั่งเชิงให้ผมได้คิด
“นายจะแย่งชิงผู้กุมความลับเหรอ” บอกทีว่าอาซาไม่ได้อยากให้ผมพูดแบบนี้
“ฉลาดมากที่รัก”
“อาซา...”
“นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำ”
ดูจากอารมณ์ของอาซาแล้ว อะไรก็หยุดเขาไม่อยู่
ปึก!
แรงกระแทกจากหลังคารถทำผมสะดุ้ง อาซาไวกว่าผมมาก เขาดึงตัวผมเข้าไปกอด แขนที่รัดกอดเสมือนเขากางปีกปกป้องผมจากอันตราย บางอย่างร่วงลงมากระแทกหลังคารถเรา ผมและอาซาต่างกวาดสายตามองข้างนอกรถ และหางตาก็เห็นร่างคนกลิ้งลงมาทางฝั่งอาซา ใบหน้าที่แนบเกือบติดกระจกเกือบทำผมหัวใจวาย ถ้าใบหน้านั้นไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เรารู้จัก
“ไอ้ฟรินน์!!!” อาซาคำราม
ฟรินน์เคาะกระจกเรียกอาซาอย่างร้อนรน อาซาลืมโกรธฟรินน์ชั่วขณะที่ทำให้เราตกใจ เขารีบปลดล็อคให้ฟรินน์เข้ามาในรถ กลิ่นคาวเลือดลอยเตะจมูก บนเสื้อสีดำเปียกเป็นวงกว้าง และนั่นคงเป็นคราบเลือด
“เกิดอะไรขึ้น” อาซารีบถาม
“ฉันเจอมันแล้ว คนที่ฆ่าพวกมนุษย์แล้วโยนความผิดมาให้เรา”
“...!”
“มันแข็งแกร่งมาก ฉันพลาดท่ามันเลยหนีไปได้”
“นายไปเจอมันได้ยังไง” อาซาสตาร์ทเครื่องยนต์ออกรถ บาดแผลของฟรินน์น่าเป็นห่วงเล็กน้อย
“มันกำลังจะลงมือฆ่าเด็ก ฉันไปเจอเข้าโดยบังเอิญ มันคงไม่หนีไปได้ ถ้าลูกน้องเราไม่ถูกมันจัดการตั้งแต่แรก แต่ฉันจำกลิ่นมันได้ ฉันคิดว่าถ้าคืนนี้เราออกล่าตัวมัน...”
“ไม่ได้!” อาซาพูดแทรก รถกระตุกเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปกติ
“แต่นี่มันโอกาสของเรา” ฟรินน์แย้ง ผมเองก็อยากรู้เหตุผลของอาซา
“นี่เป็นแผนลวงให้เราไปที่อื่น เอเดนกำลังจะพาผู้กุมความลับมาที่นี่ และเขาต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของเรา”
อย่างนี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้ว แต่ฟรินน์เป็นคนเดียวที่ตามไม่ทัน
“ผู้กุมความลับคืออะไรอีกวะ”
“ฉันรู้สาเหตุที่เอเดนมาที่นี่แล้ว เราจะคุยกันเรื่องนี้ทันทีที่ถึงบ้าน”
ระหว่างทางผมคิดว่า วิชามวยที่เรียนไม่จบหลักสูตร จะช่วยอาซากับพวกได้บ้างไหม
………….
สวัสดีปีใหม่กันอีกรอบ หลังจากที่ทักทายกันในหน้าเพจแล้ว
ตอนนี้แปลๆในความรู้สึกของริริอยู่บ้าง อาจมีได้ปรับแก้ในภายภาคหน้า แต่ตอนนี้ปัจจุบันนี้ออกมาได้เป็นแบบนี้
จะพยายามมาให้เร็วกว่านี้นะคะ ขอบคุณมากๆสำหรับคนที่ยังตามอ่านแม้ว่าริริจะมาลงให้ช้ามากก็ตามที แต่ไม่ได้ทิ้งไปไหนนะคะ แค่ไม่มีเวลาเท่านั้นเอง
เรื่องราวเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หลายคนลุ้นให้พี่ยอร์ชกับเอเดนคู่กัน หึหึ ก็นะ ถ้ามันจะคู่กันแล้ว ก็ไม่แคล้วกันหรอก อิอิ
ถ้ามีคำผิดขอโทษด้วยนะคะ ยังไม่ได้เช็คคำ มาลงก่อน เพราะจะนอนแล้ว พรุ่งนี้ตื่นไปทำงานแต่เช้า
รักคนอ่าน รักคนเม้น รักทุกกำลังใจที่ให้กันมา
กอดๆ :กอด1:เจอกันตอนที่13
บาย