เรื่องนี้เค้าแต่งเป็นเรื่องที่ 2 แต่เป็นโชตะเรื่องแรกคร้า
แนะนำติชมได้นะคร้า

Older Brother.......01
โป๊ก!!!
“โฮ้ย!!! ไอ้เหี้ยธาร แมร่ง ไปแดกรังแตนที่ไหนมาวะ” เสียงด่าทอจากไอ้แมนเพื่อนสนิทที่เพิ่งโดนขวดน้ำลอยละลิ่วไปโดนหัวมันพอดีเป๊ะดังขึ้น และก็ผมนี่แหละที่เพิ่งจะเตะอัดใส่มันไปแรงๆตามอารมณ์
“เสียอารมณ์กับน้องกับนุ่งมาหรือไงวะ เหอะๆ” ไอ้กายปากหมาหน้าหล่อสวยพูดเมื่อเห็นสีหน้าผมที่เดินมาถึงยังโต๊ะหน้าคณะที่พวกมันสามตัวนั่งอยู่
“ไรวะ กะอีแค่ผู้หญิงคนเดียว โอ่ เผด็จศึกซะก็สิ้นเรื่อง”ไอ้เซฟ เพื่อนสนิทอีกคนที่กำลังตั้งหน้าทำงานเพียงคนเดียวพูดแขวะผมไปในที
ผมน่ะหรือก็ได้แต่นั่งหน้านิ่งเก็บอารมณ์ตัวเองเอาไว้ วันนี้ตั้งใจว่าจะมาเรียนขืนระเบิดอารมณ์ตอนนี้ก็ไม่เป็นอันเรียนกันพอดี
ผมจีบผู้หญิงอยู่คนหนึ่งซึ่งปกติแล้วผมไม่เคยจะค่อยตามจีบใคร ไม่ได้หลงตัวเองนะแต่มันจริง หึหึ ผมเดือนคณะนะคร้าบจะบอกให้ ไม่ต้องจีบแค่กระดิกนิ้วผู้หญิงก็วิ่งหาแล้ว แต่คนนี้แมร่งเล่นตัวสัจ
“ไปเรียนเหอะ นั่งปากหมาอยู่ได้พวกมึง” ผมพูดบอกก่อนจะเดินนำไปในตึกเรียน
พวกผมเรียนนิติศาสตร์ปีสามแล้วครับ เพื่อนสนิทก็มี ไอ้เซฟหน้าหล่อและไอ้กายหน้าหวานที่เรียนคณะเดียวกัน ส่วนไอ้แมนหน้าเข้ม ไอ้นี่มันเรียนบริหารครับ ธุรกิจเค้าเยอะ ไอ้พวกเนี่ยแหละเรียกได้ว่าเป็นเพื่อน(พา)ตายได้เลยทีเดียว
เลิกเรียน.....
“คืนนี้มึงไปร้านป่ะ หรือยังไง” ไอ้แมนถาม ร้านที่ว่าก็คือผับของพวกผมเนี่ยแหละครับ
เราเริ่มทำกันตอนปีสองต่อจากพี่ไอ้แมนมันเพราะพี่มันไปเปิดที่อื่น พวกผมจึงร่วมหุ้นกันนิดหน่อยแต่พี่มันก็ยังเป็นที่ปรึกษาให้อยู่ และเห็นว่าไปได้สวยเลยเปิดมากันมาเรื่อยๆจนมีแขกประจำเยอะพอสมควร
อีกอย่างพวกเราเล่นดนตรีเองแต่ก็ไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่เรามีวงรุ่นน้องมาเล่นประจำสองวงเพื่อให้มันมีรายได้บ้าง เป็นรุ่นน้องที่มอเนี่ยแหละ
“ไม่ ไม่มีอารมณ์” ผมบอก จากนั้นก็นั่งคุยกะพวกมันครู่หนึ่งก่อนจะแยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง และผมก็กลับคอนโดตัวเอง
ผมมีบ้านนะแต่ไม่มีใครอยู่แม่อยู่ต่างจังหวัดไปๆมาๆ ส่วนพ่ออยู่ต่างประเทศมีพี่สาวสองคน คนหนึ่งมีครอบครัวแล้วแต่บ้างานเกินแถมไม่มีลูก ส่วนอีกคนนี้แล้วใหญ่เรียนจบแต่ไม่ยอมทำงานทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาจนพ่อแม่ปล่อยเลยตามเลย
“เฮ้อ........” ผมกลับมาถึงคอนโดก็มีไม่กี่อย่างที่ทำนอกจากอ่านหนังสือ(เชื่อป่ะ เชื่อสิเพราะมันจริง?)นอนไม่ก็ดูหนังและเล่นกีตาร์แต่งเพลงบ้างถ้ามีอารมณ์ ชีวิตแบบนี้มันหน้าเบื่อก็จริงแต่ผมก็ไม่ชอบความวุ่นวายเอาซะมากๆ
Tru……….. Tru………….
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากบนโต๊ะหน้าโซฟา และผมก็ไม่คิดที่จะรับเมือเห็นว่าเป็นใครโทรมา เอมี่ ผู้หญิงของผมที่เล่นตัวกับผมนั่นแหละ เหอะ อยากโทรก็โทรกูไม่รับซะอย่างจำทำมัย
Tru……….. Tru………….
Tru……….. Tru………….
“เหี้ย.....” เสียงโทรศัพท์ดังอยู่หลายรอบ และผมก็เริ่มรำคาญ จึงคิดจะกดปิดเครื่อง
แต่เมื่อยกขึ้นมาดูปรากฏว่ามันเป็นเบอร์ยัยพี่สาวตัวดีของผม รับสักหน่อยเผื่อว่ายัยนั่นจะมีปัญหาอะไรให้ผมปวดหัวเล่นอีก
“ว่า.................”
(นี่แกรับโทรศัพท์เสียงหวนแบบนี้หรอ ไอ้อีธาร) อีธารคือชื่อที่คนในครอบครัวใช้เรียกผมครับ
“แล้วโทรมาไม ถ้าขอเงินเนี่ย กูไม่ให้แล้วนะ” ผมพูดบอก ไม่ต้องตกใจครับ ผมกับพี่สนิทกันมากถึงได้พูดมึงกูกันได้ บางทีก็มีด่าแม่กันมั่ง(พ่อแม่เดี๋ยวกันนี่หว่า)
(ไม่ใช่ยะ พรุ่งนี้มารับฉันที่ xxx หน่อยพอดีฉันจะบินไปแคนนาดา)
“ไปหาผัวใหม่อีกหรอ หึ”
(ไอ้อีธาร!!!......โอ๊ย ไอ้เด็กนี่ มึงอย่าร้องได้มั้ย เงียบ!! เงียบ!!) ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ผ่านออกมาจากปลายสาย
“ลูกใครน่ะ........นี่! เอาลูกใครมาเลี้ยง” ผมถาม
(ก็ลูกติดผัวกูน่ะสิ จิ๊ มึงหยุดร้อง!!!! โอ้ย! กูจะบ้าตายอยู่แล้ว พรุ่งนี้มึงรีบมานะก่อนที่กูจะฆ่าไอ้เด็กนี่ทิ้ง)
แล้วยัยนั่นก็ตัดสายผมทิ้งไป เฮ้อออ พอมีเรื่องก็มาหากูพออยู่ดีก็หายหัวมัน เป็นแบบนี้ตลอด ถ้าไปต่างประเทศซะก็ดีเหมือนกันกูเบื่อพี่คนนี้เต็มทีแล้ว
“ไงวะ ไหนบอกไม่มีอารมณ์มาไง” ไอ้แมนทัก ตอนนี้ผมมานั่งดื่มอยู่กับไอ้กายในผับเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน
“นั่นใคร..............” ผมบุ้ยปากไปทางผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆเธอนั่งตรงกับผมพอดี และเธอส่งยิ้มมาให้ผมทุกครั้งที่หันมามอง
“เพื่อนของเด็กมึงนั่นแหละเห็นมาด้วยกัน มันเขี้ยวอีกล่ะสิมึง” ผมไม่ตอบเรียกเด็กในร้านมาและเขียนคำเชิญชวนใส่กระดาษนิดหน่อยก่อนจะให้ไปส่งให้เธอคนนั้น
“เหี้ย สอยเพื่อนก่อนเลยว่างั้น ไอ้สัจ!” เรานั่งกันต่อจนดึกและผับใกล้ปิดผมถึงได้ขอตัวกลับก่อน
เป็นดังคาดเมื่อเดินมาถึงรถคันหรูของผมก็พบกับร่างบางยืนอยู่ข้างๆ เธอสวยอึ๋มจริงๆขอบอกเธอยิ้มหวานให้ผมก่อนจะเข้ามาจูบปลายคางผมเบาๆ
ทีนี้ก็ไม่ต้องพูดอะไรมากขึ้นรถมานี่แค่ผมไม่จอดข้างทางก็ดีเท่าไหร่แล้ว ผมพาเธอมาโรงแรมชื่อดัง ก่อนจะเผด็จศึกกับเธอโดยไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบและจากประสบการณ์ของเธอ ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเธอผ่านมาเยอะใช่ย่อย และผมก็ไม่ลืมใส่ถุงผมไม่อยากเสี่ยงหรอกจะบอกให้
เมื่อทำกิจกรรมอันเร้าร้อนเสร็จผมก็ตรงกลับคอนโดทันทีไม่ลืมวางเงินไว้ให้เธอทั้งค่าโรงแรมและค่าตัว! เหอะ และมันก็จบ ผมไม่เคยพาใครมาคอนโดนอกจากเพื่อนๆ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่มีอะไรกับผู้หญิงผมจะพาไปโรงแรมและไม่เคยค้างคืนจนถึงเช้า
“เฮ้อ............” ผมอาบน้ำใหม่อีกรอบจากที่อาบมาจากโรงแรมอย่างลวกๆ ก่อนจะปล่อยตัวให้หลับลงบนเตียงกว้าง แต่ล่ะวันของผมที่ผ่านไปมันช่างน่าเบื่อจริงๆ แต่มันก็เป็นแบบนี้มานานจนชินซะแล้ว
Tru…………….. Tru……………..
“กูจะถึงอยู่แล้ว จะโทรอะไรนักหนา” ผมรับโทรศัพท์จากยัยพี่สาวตัวดีที่เอาแต่โทรไม่หยุดตั้งแต่โทรไปปลุกผมจนถึง ณ ขณะนี้
(อยู่ไหนแล้ว มึงรีบๆได้มั้ยห๊ะ!!!) เสียงแว๊ดๆปรอทแตกนั้น ทำให้ผมไม่อยากไปเลยแต่ครั้งนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายเถอะ
“เออ กูมาถึงแล้วอยู่ตรงไหน.........อืมๆ เห็นแล้ว” ผมกดวางสาย ก่อนจะจอดรถเทียบฟุตบาทลดกระจกลงดู
เห็นพี่สาวตัวเองยืนอยู่กับเด็กตัวเล็กแค่เอวคนหนึ่งที่มองเห็นไม่ถนัดนัก เพราะร่างเล็กใส่หมวกเอาแต่ก้มหน้าก้มตาร้องให้สะอื้นเบาๆ
“อย่าร้อนนะถ้าร้อง ฉันจะทิ้งไว้ข้างทางแน่ ขึ้นรถ!!!” ยัยนี่ตวาดใส่เสียงดัง จนเด็กนั้นสะดุ้งเกือบล้ม ก่อนจะดึงแขนแรงๆตามมาขึ้นรถด้านหลัง ส่วนตัวเองมานั่นหน้า
“ทำไมมาช้าจังวะ เครื่องจะออกอีกสามสิบนาทีแล้วนะ”
“อย่าเรื่องมาก กูมารับก็บุญแล้ว.....แล้วพ่อมันไปไหน” ผมถามพร้อมกับมองเด็กนั้นผ่านกระจกมองหลัง
“ตายแล้ว....!”
“ห๊ะ......ตายแล้ว เมื่อไหร่ ยังไง นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ แม่มันล่ะ” ผมตกใจนะสาบาน พ่อมันตาย แล้วก็ไม่ใช่ลูกของตัวเอง แล้วให้อยู่กับยัยนี่น่ะหรอ
“ตายก่อนพ่อมันอีก โอ้ย! แกรีบขับได้มั้ย”
ไม่นานเราก็มาถึงสนามบินยัยนั่นให้ผมนั่งกับเด็กนี่ ตอนที่ไปจัดการเรื่องสัมภาระและเที่ยวบิน ร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆผมใส่หมวกก้มหน้าตลอดพร้อมกับสะอื้นเบาๆไปด้วย
“เสร็จแล้ว อีกสิบนาทีเครื่องออก ฉันต้องขึ้นเครื่องแล้ว” เธอพูดจบก็เดินไปเลยโดยไม่ได้สนใจร่างเล็กที่กำลังวิ่งตามไปคว้าข้อมือ จนมาถึงทางเข้าผู้โดยสาร
“แกไปโอนเงินให้ฉัน สักแสนสิ......คือ........ฉันยืมก็ได้”
“ว่าไงนะ....นี่จะไปแต่ไม่มีเงิน อะไรวะ!!! เหี้ยจริงๆ” ผมต้องจำยอมล่ะ เหอะอย่างน้อยก็ให้มันไปให้พ้นๆ
“เดินทางดีๆแล้วกัน หวังว่าจะได้ ดีกลับมา ไม่ใช่กลับมาแค่ศพ”
“ไอ้เด็กบ้า.....แกก็.......โชคดีแล้วกัน” และเธอก็เดินเข้าไปทางห้องโดยสารโดยไม่รอร่างเล็กที่ยืนกำมือแน่น
“แม่........อึก.....อึก.....อือออออ.....” ร่างเล็กตรงหน้าผมร้องไห้ออกมาทันทีที่พี่สาวของผมพยายามดึงมือออก
“ขอโทษนะครับเข้าไม่ได้” ผมขมวดคิ้วทันที เมื่อได้ยินเจ้าหน้าที่พูดบอกพร้อมกับกันไม่ให้ร่างเล็กเข้าไป
“หมายความว่าไง เด็กนี่ต้องไปกับเธอนะ” ผมถามเสียงเข้มกลับไป
“ฉันไม่ใช่แม่แก แลัวฉันก็จะไม่เอาเด็กนี่ไปเป็นภาระเด็จขาด เหอะ” ยัยนั่นบอกออกมาขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบหนังสือเดินทางอยู่
“แม่....อึก....อือออออ....แม่......” ร่างเล็กร้องไห้ออกมาใหญ่พร้อมกับพยายามเข้าไปข้างในให้ได้
“แล้วจะทิ้งเด็กนี่ไว้งั้นหรอ....ออกมานี่เลยนะ กูบอกให้ออกมา!!!” ผมตวาดออกไปเสียงดังโดยไม่กลัวว่าเจ้าหน้าที่จะมาไล่ เพราะผมเริ่มโมโหขึ้นมาแล้วล่ะ
“ช่วยไม่ได้ เอาไปอยู่กับแกแล้วกัน เด็กนี่มันมีเงิน หรือไม่แกก็เอาไปทิ้งซะ” เธอบอกออกมาอย่างไม่อายก่อนจะเดินเข้าไปทางประตูผู้โดยสารโดยทิ้งร่างเล็กที่กำลังร้อนไห้ตัวโยงอยู่กับผมที่กำลังประติดประต่อเรื่องราวใหม่
ตกลงว่ายัยนั่นให้ผมมารับและพาเธอมาส่งสนามบินเพื่อที่จะไปแคนนาดาเพียงคนเดียวและทิ้งเด็กนี่ไว้กับ......ผม พร้อมกับเงินหนึ่งแสน อีเหี้ย
“โธ่โว้ย!!!!!!.....”
“อึกๆ.....อืออออ.....อึกๆ....อืออออ....แม่” และไอ้เด็กนี่มันก็ร้องไห้ไม่หยุด จากที่คนมองมากอยู่แล้วก็ยิ่งมองกันมากขึ้น ตอนนี้ผมเลยเหมือนพ่อที่โดนภรรยาทิ้งไว้พร้อมกับลูกที่กำลังนั่งร้องไห้หายแม่ตัวเอง
“เงียบ........” ผมกัดฟันบอก ก่อนจะดึงแขนร่างเล็กมาจากเจ้าหน้าที่
“อึกๆ.....อืออออ.....อึกๆ....อืออออ....แม่”
“เงียบบบบ....” ผมเริ่มปรับน้ำเสียงให้ดังขึ้น แต่แล้วก็ยังไม่หยุด กูรำคาญมากเลยตอนนี้อายคนด้วย
“อึกๆ.....อืออออ.....อึกๆ”
“กูบอกให้เงียบ!!!!!!” และแล้วเส้นความอดทนก็ขาดลง ไม่ว่าใครหน้าไหนผมก็ไม่สนเลยตวาดใส่มันเสียงดังลั่น จนคนสะดุ้งตกใจตามและต้องหันกลับมามอง แต่มันก็ได้ผลเด็กนี่ปิดปากเงียบ แต่ก็สะอื้นออกมานิดๆ
ผมลากแขนมันมาขึ้นรถพร้อมกับกระเป่าเสื้อผ้าใบขนาดกลาง อุ้มมันขึ้นรถ ก่อนจะขับรถกลับไปยังคอนโดหรูของตัวเอง คิดไปตลอดทางว่าจะทำยังไงกับเด็กนี่ดี
ไม่นานก็มาถึงคอนโด ผมหันกลับไปมองร่างเล็กที่ตอนนี้หลับไปแล้วแต่ก็ยังมีอาการสะอื้นออกมาเล็กน้อย ผมลงจากรถและอุ้มมันไว้ในอ้อมแขนอย่างเลี่ยงไม่ได้พาขึ้นมาถึงห้อง
“เวรฉิบ ทำกูแสบนักนะอย่าให้กูติดต่อได้กูจะเล่น แมร่ง” ผมรู้ว่าพี่สาวผมไปไหนไม่รอดไม่นานก็ซมซานกลับมา ถ้าไม่มีที่ให้เกาะกิน
ผมว่างร่างเล็กลงในห้องนอนตัวเองที่ไม่เคยมีใครได้เข้ามาก่อน ผมเสียอารมณ์กับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก และไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเด็กนี่ดี
จะโทรไปบอกแม่หรอ มีหวังได้โดนด่ากลับมาให้พาซวย ส่วนจะโทรหาพี่สาวอีกคนน่ะหรอ ผมไม่ได้ติดต่อกันเป็นปีๆแล้วล่ะ ตอนนี้ก็เหลือแค่เพื่อนล่ะนะ
“ไอ้เซฟ มึงมาหากูที่คอนโดหน่อยธุระ....เออนากูบอกว่าให้มาก็มาเหอะ” ผมวางโทรศัพท์ไว้ตรงหัวเตียง มองร่างเล็กที่กำลังหลับอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปถอดหมวกมันออก
ใบหน้าไร้ตำหนิเนียนใสกว่าเด็กปกติทั่วๆ ปากเล็กนิดเดียวสีชมพูระเรื่อ จมูกโด่งสีแดงที่เพิ่งผ่านการร้องให้มา เด็กนี่น่าจะเป็นลูกครึ่งฝรั่งเกาหลีอะไรเทือกนี้ผมว่า
“เฮ้อ......เวรกรรม” ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ (อาบน้ำครับ)
ผมใช้เวลาอาบน้ำสักพักออกมาพร้อมกับไอ้เซฟกับไอ้กายที่มาถึงพอดี แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยผมออกไปคุยกับพวกมัน ผมให้รหัสห้องกับพวกมันไว้น่ะ ก็มีแต่เพื่อนเท่านั้นที่ไว้ใจได้นี่
“ว่าไงคับ ไอ้คุณอีธาร ตกลงมีอะไร ถึงได้เรียกกูมา” ไอ้เซฟเริ่มถามก่อน
“กูจำได้ว่า บอกมึงคนเดียวไม่ได้บอกให้ไอ้กายมาด้วย”ผมเหน็บเพื่อนนิดหน่อยเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางอยากรู้เต็มที
“โธ่ ไอ้สัจ กูมาด้วยไม่ได้หรือไง เดี๋ยวนี้หัดมีความลับนะมึง” เหอะๆ ดูปากมันไม่ได้เข้ากับหน้าสวยๆของมันเลย
“พวกมึงพอจะหาคนเลี้ยงเด็กให้กูได้มั่งมั้ย....” ผมเริ่มถามเข้าเรื่อง
“ห๊ะ! เด็ก นี่...นี่มึงไปทำใครเค้าท้องวะ โธ่ๆ เหี้ยแล้วไง ทำยังไงถึงได้พลาดท่าได้ สงสารเด็กจริงๆ กี่เดือนแล้วว่ะ แมร่งเฮ้ยไม่น่าเลย”
“เหี้ย!!!!!.......ฟังกูก่อน เนี่ยแหละกูถึงไม่อยากให้มา” เริ่มมีน้ำหงุดหงิดแล้วคับ
“ก็ยัยพี่สาวตัวแสบของกูมันเอาเด็กนั่น...หมายถึงลูกของผัวเก่ามัน มาทิ้งไว้กับกูน่ะสิ ยัยนั้นหลอกให้กูไปส่งที่สนามบินเพื่อจะไปแคนนาดา แล้วทิ้งเด็กไว้กับกูเฉยเลย หลอกเงินกูไปแสนนึ่งด้วย เจ็บใจจริงๆ” ผมกัดฟันกรอดๆ ก่อนจะทุบกำหมัดลงบนโต๊ะรับแขก
“พี่น้ำน่ะหรอ......บ้าจริงพ่อแม่เด็กล่ะอยู่ไหน” ไอ้เซฟถาม
“ตายหมดแล้ว กูถึงได้หาคนเลี้ยงอยู่นี่ไง บ้าจริง!!! แล้วพวกมึงก็ต้องช่วยกูหาคนมาเลี้ยงมันด้วย ไม่งั้นกูจะเอาไปทิ้งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จะได้สิ้นเรื่อง!!!”
“จะช่วยได้ไง กูก็ไม่รู้ อย่าเอามาเกี่ยวกับกูเลย ไอ้กายโน้น” ไอ้เซฟโยนให้เพื่อนทันที
“เฮ้ย!!! กูจะช่วยได้ไง เด็กน่ะ ใช่เรื่อง เอาเด็กไปแล้วที่บ้านกูได้เฉกหัวกูออกจากบ้านพอดี เดี๋ยวก็โดนหาว่าไปทำใครท้องมาน่ะสิ ไม่เอาหรอก” นี่แหละคับไอ้กาย พูดสามคำกูก็เข้าใจแล้วสัจ
“ตกลงพวกมึงช่วยกูไม่ได้ งั้นพรุ่งนี้ก็เอาเด็กไปไว้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จบ!”ผมบอก
“เฮ้ย!! ได้ไงวะ ส่งสารออกเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จะทิ้งได้ไงกัน แล้ว.....เด็กอยู่...”
“อือออออออ ฮือๆๆ แม่..... อือออออ.....อึก....อืออออออ” เสียงเด็กร้องออกมาจากในห้อนนอนของผม ไอ้เซฟและไอ้กายหันไปมองหน้ากันก่อนจะลุกเดินไปดู ผมเดินตามพวกมันไปอย่างเซ็งๆ
เมื่อเข้ามาถึงในห้องพบว่าร่างเล็กนั่งร้องไห้อยู่ตรงปลายเตียง เอามือขึ้นขยี้ตาจนตอนนี้มันแดงไปหมดทั้งสองข้าง ไอ้เซฟกับไอ้กายทำอะไรไม่ถูกต่างก็ยืนมองหน้ากันเองอยู่อย่างนั้น
“นี่! เงียบ.....” ผมเข้าไปข้างๆร่างเล็กก่อนจะบอกเสียงเรียบแต่ร่างเล็กมันก็ยังไม่ยอมหยุด
“อือออออออ อึก ฮือๆๆ อึก....อือออออ”
“เงียบ!!!!........” ผมเริ่มตะคอกเสียงดังขึ้น
“อึก ฮือๆๆ อึก....อือออออ” และก็ยังไม่เงียบ เหี้ยเฮ้ย!!!! น่ารำคาญสุดๆ
“กูบอกให้เงียบ!!!! ได้ยินมั้ย!!!!!” ผมตะคอกสุดเสียงจนร่างเล็กสะดุ้งและก้มหน้าเอามือปิดปกตัวเองไว้ แต่ก็ยังสะอื้นออกมา
“เหี้ย ตะคอกหาพ่องมึง เด็กนะเว้ย” ไอ้กายเข้าไปจะกอด แต่ดูเหมือนร่างเล็กจะกลัว เมื่อเงยหน้าขึ้นมองพวกผมที่ยืนอยู่
ร่างเล็กเข้ามาจับชายเสื้อผมไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยแม้ผมจะปัดมือออก และยังเงยหน้าขึ้นมองผมทั้งน้ำตา มีวูบหนึ่งที่ผมรู้สึกสงสารแต่ก็วูบเดียวเท่านั้น
“เอ่อ น่ารักดีนี่หว่า มาคับพี่ไม่ทำไรหรอกนะ อย่าร้องนะอย่าร้องมาหาพี่เร็ว สาวน้อย” ไอ้กายพยายามเอื้อมมือเข้ามาหาแต่ร่างเล็กกลับหลบไปยืนข้างหลังผม
“จิ๊ .....ปล่อย....ปล่อยก่อน” ผมบอก และร่างเล็กก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ดูเหมือนจะกลัวผมมากแต่ก็กลัวไอ้กายกับไอ้เซฟมากกว่า
“อึก....ลี...ลีวายส์....อึก จะ....ไปหา..อึก...แม่...อึกๆ”
“มึงหยุดพูดถึงอีนั้น และฟัง....มึงไม่มีแม่ ตอนนี้มีแค่กูได้ยินมั้ย!!!” ผมย่อตัวลงจับไหล่ร่างเล็กไว้ ก่อนจะตะคอกใส่เสียงดัง
ร่างเล็กสะดุ้งมองผมก่อนจะก้มหน้าลงร้องไห้เงียบๆ จะสะอื้นออกมาแต่ไม่กล้าเปิดปากร้อน ไหล่สั้นไหวจนน่าส่งสาร ผมคิดนะว่าส่งสารแต่ผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ
“เอ่อ กูว่า เด็กน่าส่งสารออก กูก็อยากจะช่วยอ่ะนะแต่ว่า....เอ่อ กูว่ามึงอย่าพาไปสถาน....” ไอ้เซฟพูกบอก
“ไม่! ยังไงกูก็ไม่เอามาเป็นภาระ” ผมบอกตามที่ตัวเองคิด เรื่องรัยล่ะญาติก็ไม่ใช่นี่
“แต่มึงเพิ่งจะพูดว่า เด็กนี่มีแค่มึง ไม่ใช่หรอวะ” ไอ้กายพูดอีก ผมนิ่งไปแป๊บนึ่ง กูพูดอย่างงั้นหรอ
“พวกมึงกลับไปได้แล้ว ถ้าไม่คิดจะกู” ผมดึงมือออกจากร่างเล็กที่กำลังสะอื้นไห้อยู่ เดินออกมานอกห้องนอน
“งั้นกูกลับล่ะ ป่ะมึง อย่าเผลอตีเด็กเข้าล่ะ เฮ้อออ...” และไอ้เซฟกับไอ้กายก็พากันกลับ
ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่นาน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเด็กอยู่ในห้องและเงียบไป ผมเลยเดินเข้าไปดู ร่างเล็กนั่งกอดเข่าอยู่ข้างเตียง ร้องไห้เสียงเบาคงเป็นเพราะกลัวผมจะด่าว่าเอาอีก
ใช่ว่าผมจะไม่ส่งสารเด็กหรอกนะ แต่....ทำไมผมต้องแบกภาระที่ไม่ใช่ของตัวเองด้วย ในเมื่อเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน ลึกๆแล้วผมก็ไม่อยากพาเด็กไปไว้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหรอก แต่ผมไม่มีทางเลือก
“ลุกขึ้น......ไปกินข้าว......แล้วก็อย่าให้ต้องพูดซ้ำ” ผมบอก แกมสั่ง และร่างเล็กก็ลุกขึ้นจริงๆ ผมคิดว่าจะไม่รู้ฟังซะอีก
“อึก........อึก” ร่างเล็กปาดน้ำตาออกและยังคงสะอื้นออกมา ผมถอนหายใจก่อนจะก้มลงไปอุ้มร่างเล็กมาไว้ในอ้อมแขน
ร่างเล็กดูจะตกใจนิดหน่อย และเงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตาที่ผ่านการร้องไห้มานานแดงก่ำจ้องสบตาผม หน้าเนียนใสขึ้นสี แดงซ่านไปถึงหู ปากเล็กเม้มเข้าหากันเพราะกำลังเก็บเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองไว้ มันทำให้ผม...................
“เฮ้ออออ.........อย่ามองกูแบบนี้ กูไม่ชอบ” ผมอุ้มร่างเล็กไปยังห้องครัวเ ปิดน้ำจากอ่างล้างหน้าให้ และว่างร่างเล็กนั่งลงบนโต๊ะกินข้าว
ร่างเล็กมองผมตาปริบๆ คือ ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะทำอะไรให้เด็กนี่กินดีผมทำอาหารไม่เก่งด้วยสิ เออ ข้าวผัดแล้วกัน เอิ่ป ข้าวเมื่อเช้าเนี่ยแหละคงจะใช้ได้อยู่
ผมลงมือหยิบจับเครื่องครัวที่ไม่ค่อยได้จับนักและเริ่มผัดข้าวที่ว่า มีอะไรก็ใส่ๆลงไปหมด ใส่ซอสและทุกอย่างที่เป็นเครื่องปรุงก็คงกินได้และไม่นานก็เสร็จ ก้มลงไปดมดู อืมหอมดีแฮะ
“อ่ะ กินซะ......” ผมทักข้าวใส่จานใบเล็กให้ก่อนจะวางลงตรงหน้าร่างเล็กที่ขมวดคิ้วมองจานข้าวในมือผม
“ขะ...ข้าวผัด เค้าไม่ใส่....น้ำนั่นลงไป ฮะ” ร่างเล็กบอกพร้อมกับชี้นิ้วไปยังขวดเครื่องปรุงน้ำใสๆ เมื่อกี้กูใส่น้ำส้มสายชูหรอ
“เน้ กินได้นาไม่ตายหรอก” ผมพูด และใช้ช้อนทักข้าวเข้าปากชิมดู “ถุ้ย!!! แหวกๆ เหี้ย อย่างกะอ้วก แหวกๆ” แล้วก็เป็นอย่างนั้นแหละ อ้วกชัดๆ
อายเด็กมั้ยล่ะ สั่งมากินเหอะ หึหึ
<<<<<<<TBC>>>>>>>>
ฮิฮิ ดูการตอบรับถ้าน่าพอใจเค้าจะมาต่อเร็วๆๆน๊า
https://www.facebook.com/MirrorOnOnเรามีเพจแล้วจร้าทวงถามนิยายได้น๊า