http://www.youtube.com/v/C9waZzFZSegฟังเพลงนี้ไปด้วยก็ดีนะคะ ตอนที่ 20ความรักคืออะไร... เป็นคำถามที่คนหลายร้อยล้านคนต้องการคำตอบ และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น...
ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับพี่โปรด เริ่มตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเจอเขา ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าเรื่องของผมกับเขานั้น...ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทางเลยแม้สักนิดที่เขาจะหันมาแล้วสังเกตเห็นว่าคนอย่างผมมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ พี่โปรดเป็นเหมือนสิ่งที่อยู่ไกลออกไป เกินเอื้อมมือถึง ซึ่งแน่นอนว่ารักข้างเดียวของผมก็ไม่มีทางสมหวัง ความรู้สึกในตอนนั้นเจ็บปวดอยู่มากก็จริง แต่ผมก็ยังมีความสุขที่ได้แอบรักเขาไปวันๆ แค่ได้เห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขายังคงมีรอยยิ้ม แค่นั้น...ก็ทำให้ผมยิ้มได้ไปอีกหลายวันแล้ว
แต่ในทางกลับกัน...ตอนนี้...แม้ว่าผมจะสมหวังมานานแล้วก็ตาม ผมกลับ...ไม่มีความสุขเหมือนอย่างที่คาดหวังไว้เลย ความสัมพันธ์ในระยะแรกเป็นเหมือนผีเสื้อที่ชิมน้ำหวานได้ไม่รู้เบื่อ...แต่นานวันเข้า ของเก่าๆ มันก็เริ่มเสื่อมราคา ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไร รู้สึกแบบไหนเวลาที่อยู่ด้วยกัน แล้วเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้แม้กระทั่งคืนนี้เขาจะกลับมานอนที่ห้องไหม และเพราะความไม่รู้...ผมถึงได้ไม่สบายใจ
‘อยากรู้ก็โทรถาม คนเป็นแฟนกันถ้าเรื่องแค่นี้ยังถามไม่ได้ ก็ไม่ใช่สาระละนะ -_-‘ คุณเฟรนให้คำตอบกลับมาทางแชทเฟซเพราะผมพิมพ์ถามไปว่าควรจะทำยังไงดีในเมื่อตอนนี้ตีหนึ่งแล้วแต่พี่โปรดยังไม่กลับ
‘จะกวนพี่เขารึเปล่าล่ะครับ พี่โปรดอาจจะติวหนังสืออยู่กับเพื่อน’
‘แค่โทรถามเพราะเป็นห่วง เรื่องปกติจะตายไป มึงคิดมากบ้าบออะไรเนี่ยปลื้ม’
มันเคยเป็นเรื่องปกติ...จนพักหลังมานี้กลายเป็นความน่ารำคาญ ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิด...แค่ผมถามว่าจะกลับเมื่อไหร่ พี่โปรดก็อารมณ์เสียใส่คิดว่าผมตามจับผิดเขา ...ทั้งๆ ที่ผมก็แค่เป็นห่วงเขาเท่านั้นเอง
‘ครับ คุณเฟรนนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมลองโทรหาพี่โปรดดูครับ’
‘อืมๆ มีไรก็โทรหากูละกันนะ นอนละๆ ฝันดี’
คุณเฟรนออฟไลน์ไปแล้ว แต่ผมก็ยังจ้องไอโฟนตัวเองไม่เลิก เดี๋ยวนี้การจะโทรหาพี่โปรดในแต่ละครั้ง หัวใจผมจะเต้นแรงเสมอ...เพราะมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร...
แต่มันก็เหมือนอย่างทุกครั้ง จังหวะการเต้นของหัวใจผมกลับมาเป็นปกติเมื่อสายแรก...ไม่มีคนรับ สายที่สองก็ไม่ต่างกัน ผมโทรจนแน่ใจแล้วว่ายังไงก็คงไม่มีคนรับสายเลยตัดใจวางไอโฟนลงข้างตัว
ทำไม...ถึงเป็นแบบนี้ล่ะครับพี่
ครืดดดดดดดดด....ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด...ครืดดดดดดดดดดดดดดดดด...
ผมรีบคว้าไอโฟนขึ้นมาทันที แต่แล้วก็รู้สึกผิดหวังอย่างฉับพลัน เมื่อเบอร์ที่โทรเข้า ไม่ใช่เบอร์ของคนที่ผมรอ
“ครับคุณเปรม”
“ทำไรวะ ทำไมยังไม่นอน”
“อ๋อ...ผมดูการ์ตูนครับ คุณเปรมมีอะไรรึเปล่า”
ทุกครั้งที่ผมรอพี่โปรด คุณเปรมจะต้องโทรมาคุยเล่นและผมก็มักจะให้คำตอบแบบนี้กับเขาเสมอ...ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกว่าคุณเปรมเขารู้...ว่าผมกำลัง...แย่
“ก็ไม่มีไร แล้วนี่...พี่กูยังไม่กลับเหรอวะ?”
“ครับ...คงติวหนังสือกับพวกเพื่อนๆ เขาแหละครับ”
ผมหวังให้เป็นอย่างนั้น...ถึงพี่อาร์มกับพี่ซอลจะตอบไลน์ผมว่าพี่โปรดไม่ได้อยู่กับพวกเขา พี่กิ๊งก็อยู่กับแฟนและพี่โจก็อยู่คอนโดพี่เจม...แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังหวังว่าพี่โปรดจะอยู่กับเพื่อนของเขาสักคน...
“ปลื้ม...เป็นไรวะ เสียงแปลกๆ”
“เปล่าครับ”
“อืม ดีละ แล้วจะนอนยัง”
“ยังครับ ผมยังไม่ง่วงเลย”
“งั้นลงมาข้างล่างหน่อย...รถกูจอดอยู่หน้าเซเว่น”
“หืม? คุณเปรมมาทำอะไรแถวนี้ล่ะครับ”
“บอกให้มาก็มาเถอะน่า เร็วๆ ด้วย”
ผมไม่ได้รีบร้อนลงไปพบคุณเปรม แต่กำลังพยายามโทรหาพี่โปรด ซึ่งจนแล้วจนรอดผมก็ยังต้องฟังเสียงเพลงรอสายเช่นเคย
‘ลงมาให้ไว ชอบปล่อยให้กูรอนะมึง’
ข้อความจากคุณเปรมทำให้ผมตัดใจเลิกโทรหาพี่โปรดอีกครั้ง ก่อนจะคว้าเสื้อแขนยาวมาสวมทับเสื้อนอนอีกชั้น ดึกๆ อย่างนี้น้ำค้างลงครับ ช่วงนี้กรุงเทพไม่รู้เป็นไร อากาศหนาวแปลกๆ
ผมลงลิฟธ์มาถึงชั้นล็อบบี้ของคอนโด เดินอย่างไม่รีบเร่งไปยังประตูทางเข้าออก แล้วข้ามถนนเดินไปยังมินิคูปเปอร์ที่มีผู้ชายร่างสูงยืนพิงกระโปรงหน้าอยู่
“ไง กว่าจะลงมาได้ ลีลาเหลือเกิน” คุณเปรมว่าทันทีเมื่อเห็นหน้าผม ก่อนจะยื่นมือมาผลักหัวผมเบาๆ
“ผมขี้เกียจนี่ครับ”
“ข้ออ้างว่ะ เอ้า นี่ กูซื้อโจ๊กมาให้ ไว้กินพรุ่งนี้เช้านะ”
ผมรับถุงโจ๊กที่ภายในบรรจุปาท่องโก๋ไว้หลายตัวมาจากคุณเปรม ก่อนจะบอกขอบคุณเขาเบาๆ
คุณเปรมใจดีกับผมมาก เขาบอกว่าเพราะเราเป็นเพื่อนกันและเพราะผมเป็นแฟนกับพี่ชายของเขา เขาเลยใจดีกับผมมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าพี่โปรดจะไม่ชอบความใจดีของเขาเลยก็ตาม แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก พี่โปรดจะชอบหรือไม่ ตอนนี้มันสำคัญน้อยลงไปทุกทีแล้วสำหรับผม
“ขึ้นไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เก้าโมงกูมารับ”
“ครับ”
คุณเปรมเดินมาส่งผมจนถึงทางเข้าคอนโด บอกฝันดีเสร็จเขาก็ข้ามถนนกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไป
ผมกลับขึ้นมาบนห้องก็เจอพี่โปรดนั่งเล่นไอโฟนอยู่ที่โซฟาแล้ว ตอนที่ผมเดินเข้ามาเขาแค่เงยหน้าขึ้นมามองแล้วก้มลงไปสนใจไอโฟนในมือต่อ
“พี่กลับมาเมื่อไหร่เหรอครับ”
“ก็ไม่นาน”
“ไปไหนมาเหรอครับ”
“เดี๋ยวนี้พี่ไปไหนต้องรายงานปลื้มด้วยเหรอ?”
ทำไมถึงพูดกับผมอย่างนี้ล่ะครับ...ผมทำอะไรให้ไม่พอใจเหรอ...
แต่ผมก็ไม่ได้ถามออกไป ผมแค่เดินเอาโจ๊กมาเก็บในครัวเงียบๆ
“พี่เอาเงินเข้าบัญชีไว้ให้แล้วนะ ไปเช็คดูด้วยละกัน” เขาพูดเพียงแค่นั้นก็เดินเข้าห้องนอนไป
ผมทำได้แค่ยืนนิ่ง ก้มมองมือตัวเองที่กำลังสั่น ปวดแปลบที่อกจนต้องยกมือขึ้นกุมไว้
บอกผมทีสิครับพี่...บอกผมทีว่าผมต้องทำยังไงถึงจะชินกับความห่างเหินที่เกิดขึ้น...ต้องทำยังไง...ผมกับพี่ถึงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้...ผมต้องแก้ไขที่จุดไหน...พี่บอกผมได้มั้ยครับ...ว่าผมทำผิดอะไร ทำไมถึงได้ทำกับผมแบบนี้
.
.
.
ผมกำลังแย่...ชีวิตกำลังถึงจุดที่ไม่รู้จะเดินไปทางไหน...เวลาผ่านไปแต่ความทรมานใจของผมไม่ได้ลดลงเลย ผมไม่เข้าใจการกระทำของพี่โปรด เราไม่ได้พูดคุยกันเหมือนอย่างที่เคยเป็น เวลาที่เจอกันเขาก็เอาแต่ก้มหน้าเล่นไอโฟนในมือโดยมีผมนั่งเงียบอยู่ข้างๆ ห้องที่เคยเป็นของเรากลับกลายเป็นผมที่ต้องอยู่เพียงลำพัง ผมไม่รู้ว่าพี่โปรดไปนอนที่ไหน ผมถามแล้วแต่ไม่เคยได้คำตอบ พอๆ กับที่หลายๆ คำถามของผมถูกความเงียบของเขาเข้าสกัดหรือไม่คำถามเหล่านั้นก็เป็นต้นเหตุทำให้เราทะเลาะกัน
ผมมีแต่ความไม่รู้โอบล้อมรอบตัว...อึดอัดและทรมานทุกทีที่มีใครเอาเรื่องของพี่โปรดมาเล่าให้ผมฟัง อยากร้องไห้ออกมาทุกครั้งที่ได้ยินว่าข้างกายเขามักมีใครอีกคนอยู่ด้วยเสมอ
แล้วผมล่ะ...เป็นใคร?
ผมยังจำเป็นต้องอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกไหม?
ช่วยบอกผมทีสิครับพี่...
“อุ้ยย! สวัสดีค่ะพี่ปลื้ม จำส้มได้ใช่มั้ยคะ สายรหัสของพี่มาโปรดน่ะค่ะ ที่เราเจอกันวันเลี้ยงสาย จำได้มั้ยเอ่ยยย” ผมคงลืมไปแล้วล่ะครับถ้าน้องไม่แนะนำตัวเต็มยศขนาดนี้
“ครับ จำได้”
พี่โปรดเคยพาผมไปเลี้ยงสายกับเขาด้วย และดูเหมือนว่าน้องผู้หญิงคนนี้จะไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่ ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไม
“ส้มก็มองแล้วมองอีกนะคะว่าใช่พี่ปลื้มรึเปล่า คิดนานอยู่เหมือนกันว่าจะเข้ามาทักดีหรือไม่ทักดี เพราะก็ไม่ค่อยแน่ใจ บังเอิญว่าเมื่อกี้เห็นปู่รหัสของส้มเพิ่งขับรถผ่านไป เห็นมีตุ๊กตาหน้ารถนั่งไปด้วย ก็นึกว่าเป็นพี่ปลื้ม เลยแปลกใจว่าทำไมยังเห็นพี่มาเดินอยู่ที่นี่ เอ๊ะ...งั้น ใครล่ะคะที่นั่งรถไปกับพี่มาโปรด”
ผมจ้องหน้าเด็กส้มนิ่งอย่างไม่คิดจะเปิดปากพูดอะไรออกไป กริยาท่าทางและการพูดส่อให้เห็นว่าน้องขาดการอบรมจากทางบ้านมามากเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นผมไม่ควรจะถือสาคนที่มารยาททางสังคมไม่ค่อยสูงใช่ไหมครับ
“จะพูดอีกนานมั้ยครับน้อง ถ้ายังอีกนานพวกพี่จะได้ไปหาข้าวแดกก่อนแล้วกลับมาฟังอีกที” คุณเฟรนพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินชนไหล่เด็กส้มที่ไม่รู้ว่าว่างมากหรืออย่างไรถึงได้คาบข่าวมาบอกผมถึงที่ตึกคณะ ทั้งๆ ที่คณะของนางกับคณะของผมก็ไม่ได้ใกล้กันเลยแม้แต่น้อย
“กรี๊ดดดด! ไร้มารยาท!”
ถ้าเด็กนี่เรียนจบเมื่อไหร่ รบกวนทางมหาลัยแจ้งผมด้วยนะครับว่านางจะไปประจำโรงพยาบาลไหน เวลาผมป่วยจะได้ไม่แอดมิทที่นั่น -_-
คุณเปรมดึงแขนผมให้เดินตามพร้อมกับส่ายหน้าให้คุณเฟรนไม่ให้หันกลับไปต่อปากต่อคำกับเด็กส้มนั่นต่อ พวกผมเดินมาถึงโรงอาหารคณะ ก่อนผมจะขอตัวแยกออกมาโทรศัพท์ และอีกเช่นเคยที่เขาไม่รับสายผม ไม่ว่าจะกี่ครั้งแต่หลายวันมานี้เขาไม่ยอมรับสายผมเลยแม้สักครั้งเดียว
ปึก!
ผมก้มเก็บซากไอโฟนที่ถูกอัดเข้ากับผนังปูนแรงๆ ก่อนจะขว้างมันกระทบที่เดิมอีกครั้งและเหยียบซ้ำจนหน้าจอแตกละเอียด
“ปลื้ม...เป็นไรวะมึง คือ...กูแค่จะมาบอกว่ากูซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้แล้ว” คุณเฟรนมองผมอย่างตกใจก่อนสายตาจะเลื่อนมาหยุดที่รองเท้าของผม
ผมพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ เพราะผมไม่ชอบเลยเวลาที่โดนพาล แล้วคุณเฟรนก็คงจะไม่ชอบเช่นกัน
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร กลับเข้าไปข้างในกันเถอะครับ”
“มีเรื่องอะไรก็บอกกูได้นะมึง”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
คุณเฟรนมองผมอย่างไม่เชื่อ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ผมเดินเข้ามาในโรงอาหารพร้อมกับคุณเฟรน ก่อนเขาจะขอตัวไปซื้อน้ำแล้วบอกให้ผมไปรอที่โต๊ะก่อนได้เลย ผมเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่มีผู้ชายสามคนนั่งหันหลังเรียงกันอยู่
“เพื่อนพี่เต้ใช่ป่ะวะที่ไปร้านเหล้ากับเสี่ยเมื่อคืนน่ะ...ชื่อพี่แม็คป่ะมึง ท่าทางก็โอเคนะ แบรนด์เนมหัวจรดเท้าแบบนั้นกูว่าคงไม่ธรรมดา แต่ยังไงในสายตากู กูก็ว่าไอ้ปลื้มกินขาดกว่าว่ะ” เสียงของคุณกิมไม่ได้ทำให้เท้าของผมหยุดชะงัก แต่เป็นเพราะสิ่งที่เขาพูดออกมาต่างหากที่ทำให้ผมลืมวิธีการเดินไปอย่างฉับพลัน
“พูดขึ้นมาทำเหี้ยไรวะไอ้กิม เดี๋ยวไอ้ปลื้มมันก็ได้ยินเข้าหรอก”
“โทษๆ”
“อย่าเผลอพูดขึ้นมานะมึง กับไอ้เฟรนก็ห้ามพูด เดี๋ยวได้เป็นเรื่อง แล้วนี่พี่ชายมึงจะเอายังไงกับเพื่อนกูวะไอ้เปรม เสี่ยก็เสี่ยเถอะ ทำไอ้ปลื้มเสียใจกูไม่เอาไว้แน่อ่ะ ทำเป็นเล่นไปนะ เพื่อนกูไม่ใช่ของตายนะมึง”
“มึงกล้าไปผลักอกชกหน้ามันป่ะล่ะไอ้ติ๊ก ถ้ากล้ากูควักจ่ายตอนนี้เลยห้าพัน”
“ไว้กูทำใจกับตีนเบอร์สี่สิบกว่าของเสี่ยได้ก่อนละกัน -*- แล้วนี่ทำไมไอ้เฟรนมันไปนะ...นาน อะ..อ้าววว ไอ้ปลื้ม ยืนอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” คุณติ๊กทำหน้าตกใจมากที่เห็นผม
ถ้าผมตอบไปว่าผมยืนอยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว พวกเขาจะว่ายังไงกันนะ...แต่...เพื่อความสบายใจของเพื่อนทั้งสามคน ผมเลยยิ้มแล้วตอบไปว่า “เพิ่งมาครับ คุยอะไรกันอยู่ครับ นินทาผมรึเปล่า”
“เปล่าๆๆๆๆ ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมึงเลยนะ! จริงๆ” คุณติ๊กว่าพลางใบหูขึ้นสีแดงระเรื่อ เขาเป็นหนุ่มหน้าดุที่ถ้ามีการฆ่ากันตายในหมู่พวกผมเขาก็คงโดนสงสัยเป็นคนแรกว่าเป็นฆาตกร แต่ใครจะรู้ดีเท่าผมล่ะว่าคุณติ๊กเป็นคนซื่อที่โกหกได้แย่ยิ่งกว่าผมซะอีก
“ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมเชื่อแล้ว”
“ฮ่าๆๆๆๆ กูเป็นคนจริงจังไง ใช่ป่ะไอ้กิม”
“ใช่ๆ ถูกต้องนะคร้าบบบ สัดติ๊กกกกกก”
ผมยิ้มให้กับท่าทางของเพื่อนๆ ก่อนจะจัดการก๋วยเตี๋ยวที่คุณเฟรนซื้อมาให้
“ปลื้ม หน้าซีดนะ ไม่สบายเหรอ” คุณเปรมยื่นมือข้ามโต๊ะมาแตะหน้าผากผม
“ปวดหัวนิดหน่อยครับ”
“งั้นบ่ายนี้ไม่ต้องเรียนแล้ว กูพากลับห้องละกัน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไหว”
แค่ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้นอนแค่นั้น ไม่ได้ป่วยอะไรมากมายหรอก
“งั้นถ้าไม่ไหวก็บอกพวกกูละกัน เอ้านี่ กินเยอะๆ ด้วย ผอมจะตายอยู่ละ” คุณติ๊กว่าพลางยื่นมือมาผลักหน้าผากผม ก่อนจะแบ่งน่องไก่ของเขามาให้
ดีจริงๆ นะครับที่มีพวกเขาอยู่ด้วย...ลำพังแค่ตัวผมเองแล้ว ผมคงยิ้มออกมาอย่างนี้ไม่ได้แน่...
.
.
.
ตีสองยี่สิบห้านาที...
ผมยังคงนั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืนของกรุงเทพซึ่งมองไม่เห็นดาวแม้แต่ดวงเดียวเพราะแสงสว่างมีมากเกินไป วันนี้ก็อีกเช่นเคยที่ผมนั่งรอการกลับมาของเขา หลายครั้งที่ผมพบว่าการรอนั้นไร้ค่าเมื่อเขาไม่เคยกลับมาเลยสักครั้ง ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา เราไม่ได้ทะเลาะกันเลยด้วยซ้ำ...หรือที่พูดให้ถูก...เราไม่ค่อยได้คุยกันมากกว่า
พี่โปรดแค่โทรเข้ามาที่ห้องวันละไม่กี่ครั้ง และแต่ละครั้งก็แค่บอกผมว่าเขามีธุระ ธุระ และก็ธุระเยอะแยะไปหมด ผมไม่ได้ถามหรือตั้งข้อสงสัยอะไรทั้งนั้น ผมทำแค่ขานรับแล้วก็วางสาย ไม่ใช่ว่าผมโกรธหรือน้อยใจอะไรเขา...แต่ผมแค่เจ็บปวดกับเสียงของใครอีกคนที่ดังลอดมาตามสายจนไม่อยากพูดอะไรให้มากความก็เท่านั้นเอง
‘ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้’ เป็นคำถามที่ผมเฝ้าถามตัวเองทุกวัน ถามซ้ำๆ วันละหลายร้อยรอบ เพราะผมไม่เข้าใจจริงๆ มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน...ความรักของเรามันจืดจางลงตั้งแต่เมื่อไหร่...หรือผมจะแค่เข้าใจไปเองว่าระหว่างเรามีความรู้สึกนั้นอยู่
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ยาที่กินเข้าไปช่วยบรรเทาได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น ...ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาตั้งแต่นั่งเรียน ห้องเรียนเป็นเหมือนนรกน้ำแข็งที่เปิดแอร์ได้อย่างไม่เกรงใจคนที่กำลังจะป่วยอย่างผมเลยสักนิด พวกคุณเปรมดูจะเป็นห่วงผมมาก แต่ผมก็บอกพวกเขาไปแล้วว่าไม่เป็นไร ผมดูแลตัวเองได้แน่นอน เพราะตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่เวลาไม่สบายก็ต้องหาข้าวหายากินเอง พ่อกับแม่ให้ความสำคัญกับคนไข้ของตัวเองเสมอ แต่กับผมพวกเขาเหมือนจะลืมความรู้สึกนั้นไป ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพวกเขาอยู่แล้ว
เพราะทุกครั้งที่ผมมอบความคาดหวังไว้กับใคร...ผมมักจะต้องเจอกับความผิดหวัง
ซึ่งมัน...ไม่ได้ต่างอะไรเลยกับความรู้สึกของผมในตอนนี้
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงง...กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง...กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
โทรศัพท์ไร้สายส่งเสียงร้องอยู่ที่โต๊ะข้างๆ ผมเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาแล้วกดรับ
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะพี่ปลื้ม นี่ส้มเองนะคะ พี่ปลื้มอยู่ที่ไหนคะเนี่ย”
“อยู่ที่ห้องสิครับ” ผมขมวดคิ้วพลางตอบคำถามเด็กส้มไป ไม่รู้ว่าโทรมาด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่นะผู้หญิงคนนี้ โทรเข้าเบอร์บ้านนะแม่คุณ ผมคงรับสายได้จากข้างนอกมั้งครับ -_-
“ตายจริง! นี่พี่ยังอยู่คอนโดพี่มาโปรดอยู่อีกเหรอคะเนี่ย ไม่รู้ว่าแกล้งโง่หรือโง่จริงๆ กันคะ ถึงได้ไม่รู้ว่าตอนนี้คนเขาเบื่อเขาเอือมระอาพี่เต็มทีแล้ว”
“ถ้ามีเรื่องจะพูดแค่นี้พี่วางสายนะครับ”
“อุ้ยยย! อย่าเพิ่งวางสิคะ ส้มโทรมาบอกด้วยความหวังดีนะคะเนี่ย ถ้าพี่ปลื้มไม่อยากโง่ มาดูให้เห็นกับตาสิคะ แล้วจะรู้ว่าส้มไม่ได้โกหก”
“.....”
“พี่แม็คเขาน่ารักดีนะคะ เป็นกันเองแถมยังน่ารักอีกด้วย เมื่อวานพี่โปรดพามาที่คณะด้วยค่ะ แล้วนี่ส้มก็ยังมาเจอที่ร้าน SSS อีก แล้วจะไม่ให้ส้มโทรมาบอกพี่ปลื้มได้ยังไงกันล่ะคะ ส้มเป็นห่วงพี่มากนะคะเนี่ย”
“.....”
ร้านที่เด็กส้มนั่นบอกมาผมก็รู้จัก เพราะนั่นเป็นร้านประจำของพวกผมเวลานัดกินเหล้ากัน แต่ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะไปดีไหม... ถ้าผมไป...ก็เท่ากับผมยอมรับแล้วว่าตลอดเดือนกว่าๆที่ผ่านมาระหว่างผมกับพี่โปรด...มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ผมไม่ได้โง่...ผมรู้ดี...แต่ผมก็แค่...ยังไม่อยากยอมรับ
ยังไม่อยากคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกทิ้ง...เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ผ่านมา
“พี่ปลื้มคะพี่ปลื้ม ยังอยู่มั้ยคะเนี่ย”
“ยังอยู่ครับ แล้วพี่ก็ขอบใจที่โทรมาบอกนะครับ...พี่หวังว่าผลบุญในการทำความดีของส้มครั้งนี้ จะนำพาให้ดวงวิญญาณของส้มไปสู่สุขคตินะครับ สวัสดี”
ผมกดตัดสายเพื่อป้องกันเสียงกรี๊ดที่จะดังตอบกลับมา ก่อนจะก้มมองโทรศัพท์ในมือตัวเองอีกครั้ง
เด็กส้มไม่ใช่คนแรกที่โทรเข้ามาบอกผมเรื่องนี้...มีผู้หญิงที่ไม่เห็นด้วยเรื่องที่ผมคบกับพี่โปรดโทรมาก่อนหน้านี้หลายคน มีบางคนที่ทักแชทเฟซมาด่าผมว่าหน้าโง่ก่อนจะโดนผมบล็อคไป และมีอีกหลายคนที่ติดแท็กรูปของพี่โปรดกับใครคนนั้นมาทาง IG ของผมจนตอนนี้ผมต้องเลิกเล่นไปแล้ว
ผมไม่ได้โง่หรือยื้อเวลาให้ตัวเองได้อยู่ตรงนี้ต่อ...แต่ผมแค่รอให้พี่โปรดพูดก็แค่นั้น แค่บอกผมว่าไม่รักผมแล้ว...แล้วผมจะไปทันที...ไม่ใช่ให้ผมต้องรับรู้จากคนอื่น ต้องถูกใครต่อใครมาด่าว่า ‘โง่’ อย่างนี้
ผมไม่มีสมบัติติดตัวอะไรมากนัก แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดที่ยัดใส่ถุงย่ามได้พอดิบพอดี นอกนั้นเป็นของที่พี่โปรดหามาให้ซึ่งผมคงไม่จำเป็นต้องเอาติดตัวไปด้วย ผมวางกุญแจรถ คีย์การ์ด บัตรเครดิต บัตร ATM สมุดเงินฝากและกุญแจห้องไว้บนโต๊ะทำงานของพี่โปรด กวาดตามองรอบห้องอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูแล้วเดินออกมา
ผมไม่ได้ตัดสินใจเพราะโทรศัพท์จากเด็กส้มหรือคำพูดจากใคร แต่ผมคิดเรื่องนี้มาได้สักพักแล้ว...เขาไม่แม้แต่จะกลับมาอยู่กับผม เพราะมีผมอยู่ที่นี่...พี่โปรดถึงได้ไปนอนค้างที่อื่น ถ้าเขาเบื่อผมขนาดนั้น...คนที่ควรจะไปก็คือผู้อาศัยอย่างผมเอง ไม่ใช่เจ้าของห้องอย่างเขา
ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ
พี่โปรดเห็นผมเป็นตัวอะไร...
..........................................To be continue....................................
ให้เลือกเพลงสำหรับตอนนี้หนึ่งเพลง สำหรับคนเขียนคือเพลงที่โพสไว้ แล้วสำหรับพวกคุณล่ะคะ เพลงอะไร?
แม็คเพื่อนพี่เต้เป็นใคร แนะนำให้ไปอ่าน So what: ตอนที่ 28 ช่วงท้ายๆ / เต้ได้กล่าวไว้ 
ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ กันค่ะทุกคน