.
.
.
ตั้งแต่วันที่ได้เจอพี่โปรด ผมก็เฝ้าติดตามชีวิตพี่เขาจนคุณติ๊กเรียกผมว่าสตอล์กเกอร์ แต่ผมไม่โกรธเขาหรอก ผมจะเป็นแบบนี้เสมอกับสิ่งที่ผมสนใจ ทุกเย็นผมจะต้องหาโอกาสไปกินข้าวที่ใต้ตึกคณะแพทยฯ ตอนกลับหอพักผมจะต้องเดินผ่านคณะแพทยฯ เสมอต่อให้ทางมันจะอยู่คนละฟากกับหอพักของผมก็ตาม ผมยังทำงานอยู่ทุกวัน ประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อเก็บเงินซื้อกล้องถ่ายรูปสักตัว ผมอยากมีรูปของพี่เขาเก็บไว้ เพราะไม่ใช่ทุกวันที่ผมโชคดีเจอพี่โปรด จากนั้นการได้เห็นหน้าพี่โปรดแม้เพียงแค่ไม่กี่วินาทีในแต่ละวันก็กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตผม คุณติ๊กบอกผมว่า มันไม่ใช่เรื่องปกติเลย แต่ผมต่างหากที่ทำให้มันกลายเป็นเรื่องปกติ...
พี่โปรดเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสาม เมื่อสองเดือนก่อนผมรู้แค่นั้นแต่ตอนนี้ผมรู้ว่าพี่เขาเกิดวันไหน ชอบสีอะไร ชอบอาหารแบบไหน ขับรถยี่ห้ออะไร แชมพูที่ใช้ ครีมอาบน้ำ แบรนด์เสื้อผ้าที่ชอบ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับตัวพี่โปรด...ผมรู้ คุณติ๊กเคยถามผมอย่างจริงจังว่า ผมเป็นโรคจิตหรือเปล่า ซึ่งผมก็ไม่โกรธเขาตามเคย เพราะผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมแค่ชอบพี่โปรด ชอบมากอย่างที่ไม่เคยชอบใครขนาดนี้มาก่อน ผมซื้อกล้องได้เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา และตอนนี้บนผนังห้องของผมก็เต็มไปด้วยรูปพี่โปรด ผมชอบมอง เวลากลับจากที่ทำงานมาเหนื่อยๆ แค่ได้เห็นรูปพี่เขา...แค่นั้นผมก็ยิ้มได้
ผมหวังจริงๆ เลยว่า...สักวันผมจะมีโอกาสได้เข้าไปคุยกับพี่โปรด
“อื้อหืออออออ แจ่มโคตรรรรรรรร!!! กี่ชาติวะเนี่ยกว่าจะหาได้อย่างพี่โปรด อกเป็นอก เอวเป็นเอว สุดยอดดดดดด”
ผมไม่ได้สนใจเสียงซี๊ดซ๊าดหื่นกามของเพื่อนๆ ร่วมโต๊ะ แต่ที่ต้องหันไปมองเป็นเพราะชื่อพี่โปรด การได้เห็น ‘มาโปรด’ เดือนแพทย์ควงผู้หญิงไม่ใช่เรื่องแปลก และถ้าจะพูดว่าไม่ซ้ำหน้าก็คงจะไม่แปลกอีกเช่นกัน พี่โปรดเคยเป็นเดือนมหาลัยเมื่อสองปีก่อน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปีของคณะแพทยฯ มหาวิทยาลัยผมได้ตำแหน่งเดือน (ตามตำนานที่คุณติ๊กเล่าให้ฟัง) เลยทำให้พี่โปรดเป็นที่รู้จัก ทั้งกับรุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อนร่วมรุ่น แต่ผมว่า...ต่อให้ไม่รู้ว่าพี่โปรดเป็นเดือน ทุกคนก็คงสนใจพี่เขาอยู่ดี
“ไอ้ปลื้มแม่งมองตาค้างเลยวุ้ย! ฮ่าๆๆ เป็นไงไอ้มหา ตบะแตกแล้วเรอะเอ็ง”
ผมยกมือขยับแว่นนิดหน่อย มองคุณเฟรนเล็กน้อย ก่อนจะตอบตามสไตล์ของตัวเอง “เป็นนักศึกษาหญิงแต่แต่งตัวไม่มิดชิดอย่างนั้น ไม่สมควรครับ แถมยังผิดกฎ”
“บ๊ะ! ไอ้ปลื้ม ผู้หญิงเขามีดีก็ต้องโชว์สิวะ จะเก็บไว้ทำสากกะเบืออะไรเล่า!”
“คืนวันแต่งงานเป็นคืนที่สมควรโชว์ครับคุณกิม”
คุณกิม คุณเฟรนและคุณเปรม เพื่อนภาคเดียวกันที่นั่งรอบโต๊ะม้าหินอ่อนในตอนนี้ช่วยกันยื่นมือมาผลักหัวผม พวกเขาเป็นกลุ่มที่ผมสนิทด้วยมากที่สุด ตอนแรกก็งงๆ เหมือนกันว่าสนิทกันได้ยังไง แต่เพราะตอนที่ผมสืบรู้ว่าน้องชายของพี่โปรดเรียนภาคเดียวกับผมชื่อเปรม ผมก็เข้าไปคุยด้วยบ่อยๆ ถามเรื่องพี่โปรดบ้าง เรื่องอื่นบ้างสลับกันไปเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย จนสุดท้ายก็สนิทกับพวกนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
“กูถามจริงไอ้ปลื้ม หน้าอย่างมึงนี่เคยมีแฟนรึเปล่าวะ?”
“ไม่เคยครับ ตอนผมเรียนมัธยม พ่อผมบอกว่าให้เรียนจบมหาวิทยาลัยถึงจะมีได้ พ่อบอกว่ามีแฟนก็เหมือนมีภาระ อีกอย่างเสียการเรียน”
“นี่ทำไมมึงไม่บวชไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยหือไอ้ปลื้ม หลงมายังดินแดนโลกมนุษย์รึเปล่าเนี่ย กูจะเป็นลม”
ผมรีบส่งพิมเสนให้คุณเฟรนทันที เพราะดูเขาทำท่าจะเป็นลมจริงๆ แต่ก็โดนรุมผลักหัวอีกรอบ ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไร เพื่อนๆ ก็ยกมือไหว้อย่างพร้อมเพรียง ในทีแรกผมนึกว่าพวกเขาขอโทษผม แต่ความจริงแล้วพวกเขายกมือไหว้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมต่างหาก
“สวัสดีครับพี่โปรด ลมอะไรพัดมาที่ตึกวิดวะเนี่ย” คุณเปรมถามพี่ชายตัวเองพร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
“พาเด็กมาเรียน”
ผมถึงกับเคลิ้มไปเลยกับเสียงของเขา จนลืมที่จะยกมือไหว้ กล่าวคำสวัสดีที่ผมเฝ้าฝึกหน้ากระจกอยู่ทุกวัน
“ทำอะไรกันอยู่?”
“มินิโปรเจ็คก่อนมิดเทอมอ่ะพี่ กำลังร่างโฟลวชาร์ทกันอยู่ ว่าแต่พี่เหอะ เรียนหมอนี่มันว่างมากไง? เห็นตามรับตามส่งสาวแต่ละวันไม่ซ้ำหน้า”
คุณเปรมถามได้ตรงใจผมจัง ผมรู้ว่าพี่โปรดปฏิเสธคนไม่เป็น อัธยาศัยดี และใจดีพร่ำเพรื่อมาก ผมยังไม่เคยเห็นผู้หญิงของพี่โปรดมีปัญหาตบตีกันเลย เขาสามารถจัดระเบียบผู้หญิงของเขาได้ ทั้งๆ ที่ก็มีเหตุการณ์รถไฟชนกันอยู่หลายครั้ง
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เห็นน้องๆ เขาต้องลำบากนั่งรถเมล์มาเรียน พี่เลยว่าตามรับตามส่งดีกว่า หึๆ”
“แล้วนี่พี่ไม่มีเรียน?”
“มีแล็ปตอนเย็น ว่าแต่คนนี้ใครเหรอ? พี่เหมือนจะเจอที่ตึกคณะพี่บ่อยๆ”
คุณเฟรนกับคุณกิมส่งสายตามาเป็นคำถาม ส่วนคุณเปรมได้แต่หัวเราะหึๆ เหมือนคนโรคจิต ในขณะที่พี่โปรดยื่นมือขาวๆ หอมๆ มาสัมผัสที่ไหล่ผม
ดีใจจัง...พี่โปรดสังเกตเห็นผมด้วย
“สะ-สวัสดีครับ”
ผมยกมือไหว้แล้วขยับให้พี่โปรดได้นั่ง เพราะเหมือนพี่เขาจะยืนอยู่สักพักแล้ว พี่โปรดยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ แล้วนั่งลงข้างๆ ผม
ความจริงผมน่าจะพูดอะไรมากกว่านี้ แนะนำตัวก็ยังดี บอกว่าผมชื่ออะไร ชอบอะไร ความเข้ากันได้ของเราสองคน หรือจะเป็นเรื่องรถเบนซ์สปอร์ตคันใหม่ของพี่โปรด ผมอยากพูดกับพี่ให้มากกว่านี้...
“คนนี้ชื่อปลื้มอ่ะพี่ เรียนภาคเดียวกับผม ไอ้เรื่องที่มันชอบไปโผล่ที่ตึกคณะพี่บ่อยๆ ก็ถามเองละกัน หุๆ”
คุณเปรมนี่กวนตีนมากนะครับผมว่า แต่เป็นเพราะผมไม่ถนัดปะทะริมฝีปากกับใครผมจึงได้แค่เงียบ ความจริงผมไม่ได้เรียบร้อยหรือไม่สู้คน คำหยาบคายผมก็มีหลุดบ้างตอนฟิวส์ขาดแต่ส่วนใหญ่ผมจะสุภาพตลอด ผมแค่ชินที่พูดแบบนี้ ตอนเรียนมัธยมผมก็ไม่ได้ต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไป ผมดื่ม ผมเที่ยว สูบบุหรี่ ปี้หญิง ผมผ่านมาหมดแล้วแต่ตอนนี้เรื่องพวกนั้นมันไกลจากตัวผมมาก เพียงเพราะผมไม่มีเวลาและไม่มีเงินสำหรับเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว
“สวัสดีครับน้องปลื้ม”
“คะ-ครับ”
“พี่ชื่อมาโปรด แต่เรียกพี่โปรดก็ได้ เห็นที่ตึกบ่อยๆ นึกว่าเรียนแพทย์ซะอีก”
พี่คิดจริงๆ เหรอครับว่าผมเรียนแพทย์ เวลาผมเสนอหน้าไปทีไร ล่อใส่ช็อปวิดวะทั้งนั้นเลยนะครับ - -*
“ผมไม่ได้เรียนแพทย์หรอกครับ แหะๆ กับข้าวใต้ตึกคณะพี่โปรดอร่อยดีครับ ผมเลยไปบ่อยๆ แหะๆ”
พี่โปรดยิ้มให้ผม ก่อนจะพูดว่า “ป้านิ่มคงดีใจที่มีคนชอบกับข้าวที่ป้าทำมากขนาดนี้”
ผมได้แต่หัวเราะแหะๆ แล้วก็นั่งเงียบฟังพี่โปรดคุยกับเพื่อนๆ ไป พี่โปรดคุยเก่งครับ พูดเพราะมากด้วย ริมฝีปากคลี่ยิ้มเกือบตลอดเวลา ผมนั่งมองพี่โปรดจนพี่รู้ตัวอยู่หลายครั้งแต่พี่ก็ทำแค่หันกลับมาส่งยิ้มให้แล้วคุยกับเพื่อนๆ ผมต่อ
ผมสงสัยจังว่าความโชคดีทั้งชีวิตของผมหมดไปกับวันนี้หรือเปล่า...
ผมเห็นรอยยิ้มของพี่...
ผมได้ยินเสียงหัวเราะของพี่...
ผมได้กลิ่นน้ำหอมของพี่...
ทุกอย่างรอบตัวผมตอนนี้สดใสขึ้นมาทันตา ดีจริงๆ นะครับที่มีพี่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไปมั้ยครับน้องปลื้ม”
เสียงพี่โปรดทำให้ผมหลุดจากภวังค์ ผมหันไปทำหน้างงใส่พี่โปรดที่ยิ้มให้อีกแล้ว
“คะ-ครับ? อะไรเหรอครับ?”
“ไม่ได้ฟังเลยเหรอ?”
พี่โปรดหัวเราะเบาๆ ในขณะที่คุณเปรมยื่นมือมาผลักหัวผมหนึ่งที
“มองแต่หน้าพี่โปรดจนวิญญาณออกจากร่างเลยไงวะ ฮ่าๆๆๆ” คุณเปรมถามได้อย่างน่าถีบ
“เออว่ะ กูก็เห็นแม่งนั่งเงียบมองหน้าพี่โปรดตั้งนานละ ตกลงนี่มึงเป็นไรมากป่ะเนี่ยไอ้ปลื้ม”แล้วคุณกิมก็เสือกเข้ามาด้วยอีกคน
“นี่พี่โปรดนะครับเพื่อนปลื้ม ไม่ใช่แท่นบูชา มึงจะได้ทำตาเลื่อมใสขนาดนั้นนนน ฮ่าๆๆๆๆ” ปิดท้ายด้วยคุณเฟรนที่ผมคิดในใจว่า ครั้งต่อไปจะไม่ให้ลอกงานส่งแน่ๆ
“ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นซะหน่อย ว่าแต่พี่โปรดว่าอะไรนะครับ”
“พี่ชวนไปกินข้าวใต้ตึกคณะพี่” พี่โปรดยิ้มอีกแล้ว นี่พี่รู้ใช่ไหมว่าผมแพ้รอยยิ้มของพี่ ถึงได้ยิ้มให้บ่อยจังเลย “เห็นว่าปลื้มชอบ ไปกับพี่มั้ยครับ”
“เอ่อ...เดี๋ยวผมต้องไปทำงานแล้วครับ”
“ทำงานตั้งหกโมงโน่น ไปเถอะน่า ประหยัดค่าข้าวด้วยไงมึง พี่โปรดเลี้ยง” คุณเปรมว่าพลางเริ่มเก็บโฟลวชาร์ทที่ร่างกันไว้ใส่กระเป๋า
“แล้วพวกคุณเปรมไปมั้ยครับ”
“เย็นนี้นัดสาว” คุณเปรมว่า
“ส่วนกูจะไปรับแม่ที่สนามบินกับไอ้กิม มึงอ่ะใกล้สิ้นเดือนแล้วช็อตทุกที ไปกับพี่โปรดเหอะ ให้พี่โปรดเลี้ยงสักมื้อจะเป็นไร เนอะพี่เนอะ” คุณเฟรนว่าแล้วหันไปพยักเพยิดกับพี่โปรดที่ยิ้มน้อยๆ
“ไปเถอะ พี่เลี้ยงไหว”
“อ่า...คือว่าผม...”
ผมไม่ใช่จะเล่นตัวอะไรเลยนะ การได้กินข้าวกับพี่โปรดนั่นเป็นโคตรของโชคดีเลย แต่ถ้าพวกคุณเปรมไม่ไปด้วย ผมจะคุยอะไรกับพี่โปรดล่ะ ผมคุยไม่เก่งนะอีกอย่างพี่โปรดจะอายหรือเปล่าที่ไปนั่งกินข้าวกับคนอย่างผม
“ลุกเลยครับปลื้ม พี่หิวละ”
ไม่ว่าเปล่า พี่โปรดคว้าย่ามผมไปสะพายแล้วออกเดินนำทันที ไม่ลืมที่จะร่ำลาไอ้พวกสามทหารเสือที่ก็แยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเอง ผมวิ่งตามหลังพี่โปรดแทบไม่ทัน ขาก็ยาว แถมยังจ้ำอ้าวอย่างไม่รอใคร นี่จะตามควายเหรอครับพี่!! แต่สวรรค์แม่งลำเอียงกับผมชิบหาย ย่ามสีเขียวนั่นผมสะพายมาหลายเดือนไม่ยักกะมีใครมอง พอมันไปอยู่บนไหล่ของ ‘มาโปรด’ เท่านั้นแหละ สาวแท้สาวเทียมมองกันให้รึ่ม!
“พี่โปรดดดดดด รอผมด้วยยยยยย”
พี่โปรดหยุดรอให้ผมเดินตามให้ทัน ก่อนจะขมวดคิ้วเข้มๆ ใส่ แล้วว่าเสียงนุ่ม “ช้า”
“ก็พี่เล่นเดินอย่างกะควายหาย ผมจะตามทันมั้ยครับ”
“ปลื้มมัวแต่ลีลาท่ามากอยู่นั่น ถ้าพี่ไม่เร่ง จะได้กินเมื่อไหร่ล่ะ ผอมมากนะปลื้มอ่ะ อดมื้อกินมื้อเหรอ?” พี่โปรดว่าพลางมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะรื้อกระดาษกับปากกาในถุงย่ามของผมมาเขียนอะไรลงไปสักอย่างพร้อมกับพูดไปด้วยว่า “ไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ รู้หรือเปล่าว่าร่างกายคนเราต้องการสารอาหารให้ครบถ้วน อ่ะ นี่เบอร์พี่ หิวข้าวเมื่อไหร่ให้โทรมา ถ้าพี่ว่างพี่จะพาไปกินข้าวด้วย”
“ผมไม่มีมือถือครับ อีกอย่างคงไม่กล้ารบกวนพี่หรอก ขอบคุณในความมีน้ำใจของพี่นะครับ”
ผมไม่คิดว่าพี่โปรดจะใจดีขนาดนี้ พี่ท่านทำตัวได้สมกับชื่อมาโปรดจริงๆ แล้วเรื่องที่ผมไม่มีมือถือก็เป็นตามนั้น ไอโฟนของผมเอาไปขายมือสองตั้งแต่เดือนแรกที่ต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง ซึ่งจากนั้นก็ไม่มีปัญญาเก็บตังค์ซื้อมันมาอีกเลย อีกอย่างผมคิดว่าไม่จำเป็นด้วยในเมื่อผมไม่ได้ติดต่อกับใครมาสักสามชาติแล้ว
“เฮ้ย! ได้ไง เกรงใจอะไรกัน เพื่อนเปรมก็เหมือนน้องพี่ เห็นเปรมว่าปลื้มทำงานหนักมาก ต้องหาเงินใช้เอง อะไรที่พี่ช่วยได้ก็อยากช่วย”
“ผมขอรับไว้แค่น้ำใจนะครับพี่โปรด”
“น้ำใจมันอิ่มแค่ใจ ไม่ได้ทำให้ท้องอิ่ม ไปเถอะ หาอะไรกินกันดีกว่า ส่วนเรื่องมือถือ เดี๋ยวพี่หามาให้”
พี่โปรดเขาเข้าใจที่ผมพูดจริงๆ มั้ยครับเนี่ย -_-! ผมไม่อยากรบกวนเขาจริงๆ นะ ถึงผมจะรู้จักพี่เขา (ข้างเดียว) มานานก็เถอะ แต่อย่าลืมว่าพี่โปรดเพิ่งรู้จักผมวันนี้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำไป แล้วอะไรทำให้พี่เขาถึงขนาดยื่นมือมาช่วยขนาดนี้ เพราะผมเรียนรู้แล้วว่าโลกนี้มันไม่มีคำว่าฟรี เลยไม่ค่อยอยากจะเชื่อใครง่ายเท่าไหร่นัก
แค่สิบนาทีผมกับพี่โปรดก็มานั่งในร้านอาหารใต้ตึกคณะแพทยฯ ที่ผมมีปัญญาเข้ามาได้แค่นี้ เพราะแอเรียนี้เขาเข้มกันจริงจังครับถ้าไม่ใช่นักศึกษาแพทย์เหมือนว่าจะเข้าไม่ได้นะ เพราะมาแต่ละทีก็เห็นพี่ยามหน้าดุตรวจบัตรนักศึกษาก่อนเข้าตึกด้วย
พี่โปรดสั่งราดหน้ามาสองจานโดยไม่ได้ถามความเห็นจากผมว่าผมจะกินอะไรซึ่งแน่นอนว่าผมต้องกินที่พี่โปรดสั่งมาอยู่แล้ว อืม...ที่จริง พี่โปรดแกก็ให้ความรู้สึกเผด็จการนิดๆ นะครับ ไม่รู้สินะ...ผมว่าภายใต้ใบหน้าที่แสนใจดี ริมฝีปากคลี่ยิ้มตลอดเวลา แถมพูดจาสุภาพอ่อนโยนนี้ อาจจะซ่อนอะไรไว้มากมายก็ได้
แต่ยังไงซะ...ผมก็ถอนความรู้สึกที่มีให้กับผู้ชายคนนี้คืนมาไม่ได้ซะแล้ว
“ทำไมปลื้มชอบจ้องหน้าพี่ล่ะครับ มีอะไรหรือเปล่า?”
ผมกระพริบตาปริบๆ กับคำถามของพี่โปรด ...แน่ล่ะว่าผมมีคำตอบอยู่แล้ว แต่ก็เลือกที่จะส่ายหน้าตอบกลับไป
“จริงหรือ?”
“คะ-ครับ”
พี่โปรดนิ่งไปสักพัก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ปลื้มโกหกไม่เก่งนะ แล้วพี่ก็ไม่ชอบคนโกหกด้วย”
“คือ...ผม...”
“ปลื้มถามเรื่องของพี่กับเปรมด้วย...ใช่ไหม?”
นี่..คุณเปรมเอาเรื่องแบบนี้ไปบอกพี่โปรดด้วยเหรอครับ? -*- แล้วมันธุระกงการอะไรของไอ้คุณเปรมที่มันต้องเอาพฤติกรรมของผมไปปากสว่างบอกคนอื่นด้วย ถึงคนอื่นที่ว่าจะเป็นพี่โปรดก็เถอะ! รู้สึกอยากถีบหน้าคนขึ้นมาฉับพลัน ผมก็ว่าผมเนียนถามไอ้คุณเปรมมันแล้วนะครับ ถึงว่า...แม่งชอบมองผมแล้วยิ้มแปลกๆ
“ทำไปเพื่ออะไรเหรอ?”
บ๊ะ!! พี่โปรดนี่ เห็นผมเงียบไม่ตอบก็ถามใหญ่เลย พี่ควรจะหุบปากแล้วนั่งเงียบอย่างผมบ้างนะ -*-!
“ว่าไงปลื้ม”
ทำหน้าหล่อเป็นเหี้ย! แต่ก็กดดันผมจังเลย! อะไรเนี่ย คาดคั้นให้ได้อะไร? มีอะไรในกอไผ่หรือไงครับท่าน!
“ปลื้ม?”
“ผมชอบพี่ครับ!”
โอ๊ะ! ตายล่ะ! พี่โปรดหุบปากไปได้ก็จริง แต่ก็เล่นเอาระหว่างเรามีแต่ความเงียบอย่างฉับพลัน พี่โปรดเลิกคิ้วแล้วมองผมอย่างหยั่งเชิง จากนั้นก็...
“เรียนหนักหรือเปล่าช่วงนี้” เปลี่ยนเรื่องคุย...
พี่โปรดโคตรเก่งเลยครับผมว่า...นอกจากจะหล่อระดับตำนานแล้ว พี่เขายังสามารถทำให้คำสารภาพของผมกลายเป็นเพียงอากาศธาตุ
บอกตามตรง... เจ็บเหี้ยๆ T_______T
“ว่าไงครับปลื้ม? พี่ถามว่าเรียนหนักหรือเปล่า?” พี่โปรดยังสติลถามผมต่ออย่างไม่สะทกสะท้านกับอาการหน้าซีดเหงื่อตกของผม พี่ทำร้ายจิตใจคนอื่นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบนี้มากี่ครั้งแล้วครับพี่!
“หนะ-หนักครับ”
“เห็นเปรมว่าปลื้มเรียนเก่ง ช่วยๆ น้องพี่ด้วยแล้วกัน ถ้าเปรมผ่านมีนได้ พี่จะพาไปเลี้ยงมื้อใหญ่ อืม...ราดหน้าคงได้แล้ว เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้ ปลื้มไปเอาน้ำมาให้ทีนะ”
พี่โปรดสรุปเองทั้งหมด แล้วก็ลุกไปเอาราดหน้าจากป้าแม่ค้า ส่วนผมก็ได้แต่เดินไปกดน้ำใส่แก้วอีกมุมของร้านพลางนึกในใจว่า มื้อใหญ่พี่ท่านคงจะไม่ได้เลี้ยงผมแน่ๆ คุณเปรมฉลาดมากก็จริง แต่ความขี้เกียจก็ไม่ได้น้อยไปกว่าความฉลาดเลย คะแนนจะหลุดมีนบ้าง เกินมีนบ้าง ไม่ใช่เรื่องที่คุณเปรมเขาใส่ใจอยู่แล้ว
ผมไหวไหล่เล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจกับเสาคอนกรีตที่ใกล้กับที่กดน้ำ ต่อให้ผมจะคิดสักพันรอบแล้วว่าผมกับพี่โปรดไม่มีทางเป็นไปได้ ผมไม่มีทางสมหวัง แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้ความรู้สึกที่ผมจริงจังกับมันมากนี้ต้องจบลงเพราะพี่โปรดทำเป็นไม่รับรู้อย่างนี้เลย
แต่ผมจะทำอะไรได้อีกล่ะ...นอกไปจากทำใจ
..................................................To be continue....................................
ฝากผู้ชายที่ชื่อมาโปรดด้วยนะคะ