ตอนที่ 15ภูธิป “อึก!...[หมับ]...อูยยย จะกอดแน่นไปไหน”
อาการเจ็บแปลบบริเวณสะโพกเกิดขึ้นกับผมอย่างฉับพลัน จากการกอดรัดของวงแขนอบอุ่นของอีกคนที่โอบล้อมอยู่รอบตัว พาลให้ผมนึกเคืองเจ้าของมันขึ้นมา จนอยากผลักไสให้ออกห่าง แต่รอยแผลเป็นจางๆบริเวณหางคิ้วของคนหน้าเข้มที่เข้ามาในครรลองสายตา ด้วยใบหน้าดังกล่าวอยู่ห่างจากปลายจมูกผมเพียงฝ่ามือเดียวนั้น ส่งผลให้ผมหยุดทุกการกระทำ และลืมเลือนแม้กระทั่งความเจ็บแสบบริเวณช่องทางพิเศษที่ถูกล่วงล้ำมาเมื่อคืน
ผมไล้ปลายนิ้วแผ่วเบาไปตามรอยแผลเป็นจางๆนั้น ความรู้สึกผิดแล่นพล่านไปทั่วร่าง ยามนึกถึงที่มาของรอยตำหนิเล็กๆนี้ พร้อมกับสังเกตอาการของคนที่กำลังหลับใหลไปด้วย เพราะผมกลัวก็แต่ว่าหากไอ้ตูดหมึกรู้สึกตัว มันจะตื่นขึ้นมาโวยวายเจ้ากี้เจ้าการกับผมเข้าอีก
อย่างเมื่อคืนเรียกว่าผมทั้งง่วงทั้งเพลีย แต่ไอ้ตูดหมึกที่หลับคาอกผมเนี่ย ต่อมหวังดีดันทำงานดีเป็นพิเศษ บวกอาการหน้าด้านหน้าทนเข้าไปด้วย เพราะมันที่กำลังล่อนจ้อนดันเจ้ากี้เจ้าการ อุ้มผมที่ไม่มีอะไรติดกายเหมือนกันเข้าห้องน้ำ จับผมลงอ่างพร้อมบรรจงอาบน้ำให้ทั้งๆที่ไม่ได้ขอ และกว่าจะเสร็จผมก็แทบจะหลับคาอ่าง แต่ผมอดยอมรับไม่ได้ว่าไอ้ตูดหมึกหน้าทะเล้นคนนี้ มันอ่อนโยนกับผมได้อย่างไม่น่าเชื่อ และผลของการชำระล้างร่างกายก่อนนอน ผมก็หลับสบายยันเช้า ซึ่งก็น่าขอบคุณมันไม่น้อย แต่จะว่าไปมันไม่คุ้มกันสักนิดที่ผมต้องมานอนเจ็บสะโพกอยู่แบบนี้
คุณคงสงสัยกันแล้วล่ะสิว่ารอยแผลเป็นนี้ มันมีที่มาอย่างไร แล้วทำไมผมถึงดูเหมือนคนที่กำลังรู้สึกผิดเพราะรอยแผลเป็นนี้นัก และคงมีคนอีกไม่น้อยที่เดาไปว่ารอยแผลนี้เกิดขึ้นเพราะผม แต่ทำไมไอ้ตูดหมึกหรืออีกนัยหนึ่งคือแฟนหนุ่มของผมคนนี้ ที่ผ่านมามันถึงไม่มีทีท่าว่าจะจำผมได้ ถ้าหากผมเป็นต้นเหตุให้เกิดรอยแผลเป็นนี้ขึ้นมาจริงๆ
‘นั่นน่ะสิครับ!? ทำไมไอ้ดำตูดหมึกถึงจำไอ้หน้าหยกขี้แยไม่ได้กัน’ ในเมื่อวัยเด็กของเรามีเหตุการณ์ต่างๆร่วมกันมากมาย ทั้งๆที่ผมเห็นมันครั้งแรก ผมกลับนึกถึงใบหน้าในวัยเด็กของไอ้ดำตูดหมึก ซ้อนทับกับวงหน้าคมเข้มของชนนนในปัจจุบันได้ทันที แต่คงเป็นสัจธรรมล่ะมั้งครับ ที่คนกระทำผิดและสำนึกผิดแล้ว ย่อมจดจำรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ตัวเองก่อไว้ได้ และสามารถจดจำคนที่เราทำร้ายเค้าได้ติดตาติดใจ เหมือนผมคนนี้นายภูธิปที่จดจำนายชนนนได้ไม่ลืม...
วัยเด็กของผมไม่มีอะไรมาก กินและเล่นไปตามวัยเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่ช่วงจังหวะหนึ่งของชีวิตผม กลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตเด็กน้อยที่แสนสดใสร่าเริงอย่างผมมัวหมอง เมื่อพ่อบังเกิดเกล้าพบรักใหม่กับลูกน้องในที่ทำงาน และตัดสินใจทิ้งผมกับแม่ไปแบบไม่เหลียวหลัง
แม่ผกาของผมในตอนนั้น ยังเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาที่ไม่ได้มีรายได้ใดไปมากกว่า การส่งบทความลงในนิตยสารปลายแถวของคอลัมน์เล็กๆ อย่างเคล็ดลับแม่บ้านมือฉมัง ดังนั้นรายได้ส่วนใหญ่ของบ้านจึงมาจากพ่อที่เป็นหัวหน้าครอบครัว
เมื่อวันหนึ่งเราสองแม่ลูกถูกลอยแพจากคนเป็นสามีและพ่อ จึงเรียกได้ว่าเคว้งคว้าง แม่ผกาผู้หญิงที่แสนบอบบางร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตา ส่วนผมในวัยสี่ขวบมีแต่ความเศร้าและเสียใจ พร้อมความไม่เข้าใจกับคำถามที่ค้างคาว่าทำไมพ่อถึงทิ้งเราไป และกว่าแม่ผกาจะลุกขึ้นสู้ได้ ก็ทำเอาเราแม่ลูกบอบช้ำอย่างแสนสาหัสไปแล้ว ด้วยต่างไม่มีหลักยึดในชีวิต แต่ยังดีที่เพื่อนสนิทของแม่ ผู้ที่เป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง รู้ข่าวครอบครัวเราเข้า จึงเข้ามาช่วยเหลือและให้กำลังใจ พร้อมทั้งเอานิยายเก่าเก็บของแม่ที่แต่งยามว่างและไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาปัดฝุ่น ก่อนตีพิมพ์ในนามปากกาของพวงชมพู ซึ่งเป็นดอกไม้ที่แม่ชื่นชอบ และนิยายเรื่องแรกของแม่กลับเป็นที่ฮือฮาของนักอ่านนิยายแนวโรมานซ์
หลังจากนั้นชีวิตของเราแม่ลูกก็ดีขึ้น เหมือนดั่งฟ้าหลังฝน เมื่อหลักของครอบครัวอย่างแม่ผกา กลับมาเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตอีกครั้ง พาให้ความสดใสในชีวิตวัยเด็กของผมค่อยๆกลับคืน ด้วยความรักและความเข้าอกเข้าใจของเราสองคนแม่ลูก แม้จะมีรอยแผลเป็นเล็กๆอยู่ในใจเด็กชายภูธิปในวัยสี่ขวบก็ตาม
ส่วนเรื่องของพ่อนั้น ผมและแม่ไม่ได้ข่าวท่านอีกเลย จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อนตอนผมเรียนชั้นปอหก เราจึงได้ข่าวว่าท่านกำลังป่วยหนักจากโรคมะเร็ง ร่วมกับการตรอมใจจากการที่ภรรยาหนีไปมีสามีใหม่ เพราะไม่อยากทนอยู่กับสามีใกล้ตายอย่างพ่อผม แม่ผกาพาผมไปเยี่ยมท่านที่นอนเดียวดายอยู่คนเดียวที่โรงพยาบาล ซึ่งพ่อถึงกับตกใจที่เห็นเราทั้งคู่ ก่อนจะเอ่ยขอโทษแม่กับผมทั้งน้ำตา ต่อพฤติกรรมที่ท่านได้ทำกับเราทั้งคู่ไว้ ผมกับแม่ก็ได้แต่ให้อภัยเพราะเห็นแก่ความเป็นพ่อและอดีตสามี ซึ่งเราอยู่กับพ่อจนวาระสุดท้าย และเป็นการจากลาที่ผมไม่ติดใจเหมือนครั้งอดีต
หากย้อนไปในระหว่างช่วงชีวิตที่เหมือนมีมรสุมลูกใหญ่ของผมนั้น กลับมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างมิตรภาพระหว่างเด็กน้อยสองคนที่แทบไม่เคยคุยกันมาก่อน และเกือบจะเป็นคู่อริกันแล้วด้วยซ้ำ ผมกับนนเราเรียนอนุบาลโรงเรียนเดียวกันแต่อยู่คนละห้อง เรียกได้ว่าต่างคนต่างเป็นหนึ่งของห้องตัวเอง มีลูกสมุนวัยเดียวกันตามเป็นฝูง และทำตัวเป็นอันธพาลหมีน้อย แต่ไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือนะครับ แค่ออกแนวแย่งกันเล่นเครื่องเล่นมากกว่า หรือมีบ้างที่แย่งกันเป็นผู้นำเต้นในตอนเย็น ในช่วงสันทนาการของเด็กอนุบาลด้วยกัน เพื่อช่วงชิงคำชมจากคุณครูใหญ่ที่แสนใจดี
มิตรภาพของเราเกิดขึ้นเมื่อวันที่พ่อทิ้งผมกับแม่ไป เด็กชายภูธิปในตอนนั้นเศร้าเสียใจจนไร้ซึ่งคำบรรยาย แต่ก็ถูกแม่บังคับให้ไปโรงเรียนทั้งๆที่ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนสักนิด จำได้ว่าวันนั้นผมแอบหนีคุณครูไปนั่งร้องไห้คนเดียว อยู่แถวๆสนามเด็กเล่นข้างตึกเรียน ซึ่งเด็กชายชนนนคู่ปรับมาพบเข้าพอดี และเด็กก็คือเด็กไม่มีเก็บความขุ่นมัวก่อนหน้ามาเป็นอารมณ์ เพราะนนเข้ามาปลอบใจผมด้วยช็อกโกแลตแท่งโต
“นายร้องไมอ่ะ เอ้า! กินช็อกโกแลตซะ จะได้เลิกร้องไห้ คุณแม่เราซื้อมาจากเมืองนอกเลยนะ เห็นแก่ความเป็นเพื่อนของนายกับเรา ถึงแบ่งให้...กินสิ จ้องหน้าแล้วมันจะอิ่มมั้ย...โอ๊ย! ตบหัวเราไมเนี่ย”
“ฮึกๆ ขอบใจไอ้ดำตูดหมึก ฮึกๆ...อื้อ! อร่อย”
“โวะ! นายนี่มัน เอาเถอะเห็นว่าขี้เหร่นะถึงยอมให้ ฮ่าๆ...ไอ้หน้าหยกขี้แย! กิ๊วๆ เลิกร้องเหอะ ไม่งั้นเราจะล้อนายไม่เลิกเลยคอยดู...อร่อยเนอะ”
หลังจากนั้นน้องเบสและน้องนนของคุณครูหมูและคุณครูกุลก็เหมือนจะกลายเป็นเพื่อนรักกันขึ้นมา หากจะไม่เป็นเพราะเด็กหญิงผมเปียตาหวานที่เข้าเรียนกลางเทอมอย่างน้องเนย ผู้ที่มาแย่งความสนใจของน้องนนไปจากน้องเบสในวัยสี่ขวบ
ผมในตอนนั้นรู้แค่เพียงว่าน้องเนยแย่งเพื่อนคนสำคัญไป ทั้งๆที่น้องเนยมีทั้งพ่อและแม่มารับมาส่งไม่ขาด ส่วนผมแม้แต่แม่ยังไม่เคยมารับมาส่งเลยด้วยซ้ำ เพราะถูกจับให้นั่งรถโรงเรียนตั้งแต่พ่อทิ้งเราไป ยังดีที่นนเองก็นั่งรถคันเดียวกัน ผมจึงยังมีเพื่อนเล่นระหว่างทางไปกลับโรงเรียนและบ้าน แต่พอถึงโรงเรียนนายนั่นกลับทิ้งเพื่อนสนิทอย่างผม และวิ่งเข้าหาน้องเนยที่ใครๆต่างล้อเลียนว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน ซึ่งตอกย้ำว่าผมนั้นไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ จากภาพที่เห็นว่าทั้งคู่ยิ้มแย้มให้กัน ท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ
เด็กชายตัวเล็กที่รู้สึกว่าตัวเองขาด และไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆอยู่แล้ว แถมเพื่อนคนสนิทก็ไม่เห็นความสำคัญของกันดั่งเดิม จึงทำให้ผมคอยกลั่นแกล้งและหาเรื่องนนไม่เว้นแต่ละวัน จนเป็นที่รู้กันว่าเรากลายเป็นคู่กัดระหว่างห้อง มาตอนนี้ผมถึงเพิ่งรู้ว่าที่ทำไปนั้น ผมคงอยากเรียกร้องความสนใจจากไอ้ดำตูดหมึกนี่ต่างหาก
เรื่องมันยังไม่จบเท่านั้น เพราะเหตุการณ์หลังจากนี้ มันเป็นสาเหตุของรอยแผลเป็นจางๆ ที่ริมฝีปากผมกำลังสัมผัสมันอยู่ขณะนี้
วาเลนไทน์วันแห่งความรัก วันที่น่าจะมีแต่ความสุขและรอยยิ้ม ผมกลับทำให้ใครหลายคนต้องตกใจ ถึงขั้นหลั่งน้ำตาออกมา เมื่อผมกลายเป็นเด็กร้ายกาจแย่งน้องเนยมาจากน้องนน เด็กน้อยแสนดีของใครๆ ด้วยช็อกโกแลตและลูกอมถุงใหญ่ ก่อนควงน้องเนยไปเย้ยไอ้ดำตูดหมึกถึงห้อง ซึ่งนนเองก็ถึงกลับช็อก มองน้องเนยตาแดงและหันมาจ้องผมด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
ตอนนั้นผมมันเด็กก็ไม่คิดอะไร ออกจะถูกใจและสะใจด้วยซ้ำที่เห็นคู่ปรับเสียใจ ซึ่งความร้ายกาจของผมก็ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะตอนนั่งรถจากโรงเรียนกลับบ้าน ผมก็เยาะเย้ยนนด้วยคำพูดต่างๆนานา แถมก่อนขึ้นรถผมได้อ้อนให้น้องเนยหอมแก้ม เพื่อโชว์อดีตแฟนตัวดำอีกด้วย
“น้องเนยไม่ชอบไอ้ดำตูดหมึกอย่างนายหรอก ต้องเรานี่ กิ๊วๆ ไอ้ดำตูดหมึก”
“น้องเนยชอบเรา ไม่ใช่นาย! หยุดล้อเราเดี๋ยวนี้ ไอ้เด็กขี้แย...ไม่หยุดใช่มั้ย”
ระหว่างที่นนจะเข้ามาต่อยผม ท่ามกลางเสียงเชียร์ของเพื่อนๆในรถ และเสียงห้ามปรามของคุณครูประจำรถนั้น รถโรงเรียนก็จอดหน้าบ้านของผมพอดี ผมจึงเปิดประตูรถอย่างกะทันหัน ก่อนจะวิ่งลงรถหนีไอ้เด็กขี้โมโห แต่เป็นจังหวะที่นนกระโจนเข้าใส่ผมพอดี ทำให้ร่างเล็กๆลอยละลิ่วตกลงจากรถ หัวกระแทกพื้นอย่างจัง ก่อนตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของคนบนรถ ผมเองที่วิ่งเกือบถึงประตูรั้วก็ต้องหันกลับมา และช็อกไปกับภาพตรงหน้า ด้วยนนนอนหมดสติใบหน้าอาบไปด้วยเลือดอยู่ในอ้อมกอดของคุณครู
หลังจากนั้นผมจำอะไรไม่ค่อยได้ และแม่ผกาถูกครูใหญ่เชิญมาที่โรงเรียน ซึ่งพ่อและแม่ของนนก็ถูกเชิญมาด้วยเช่นกัน ส่วนผมถูกกันให้รออยู่นอกห้อง ก่อนจะถูกเรียกตัวเข้าไปทีหลัง และทำให้ผมรู้ว่าพ่อพลแม่อรเป็นผู้ใหญ่ใจดีมาจากเนื้อแท้ เพราะท่านทั้งคู่ไม่มีต่อว่าผมสักนิดที่เป็นต้นเหตุให้ลูกชายของท่านเจ็บตัว
แม่อรลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน หลังจากที่ผมก้มกราบขอโทษบนตักท่าน ตามคำแนะนำของแม่ผกา และท่านได้เอ่ยอภัยให้ผมด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานจนผมอบอุ่นไปถึงหัวใจ
“ไม่เป็นไรครับ น้องเบสไม่ต้องเสียใจนะครับลูก มันเป็นอุบัติเหตุ ตอนนี้น้องนนแค่ขี้เกียจเลยยังไม่อยากมาโรงเรียน แต่เดี๋ยวป้าไปตีสักทีสองที ขี้คร้านจะรีบมาโรงเรียน และกลับมาเล่นกับน้องเบสได้เหมือนเดิมนะครับ”
ผมโดนแม่อรหอมแก้มเป็นการปิดท้าย คำพูดของแม่อรในตอนนั้นสร้างความหวังให้แก่ผม ว่าผมจะมีโอกาสขอโทษนนด้วยตัวเอง และเราคงกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกครั้ง แต่ทว่าหลังจากนั้น น้องนนของใครๆกลับไม่ได้มาเรียนที่โรงเรียนอีกเลย ทำให้นับจากนั้นน้องเบสของครูหมูกลายเป็นเด็กเงียบขรึมขึ้นผิดตา ไม่สุงสิงกับเพื่อนวัยเดียวกัน และมันคงกลายเป็นนิสัยของผมไปแล้ว ด้วยไม่อยากผูกติดกับใครง่ายๆอีก กลัวว่าจะยึดติดกับคนๆนั้น จนกลับมาทำร้ายทั้งตัวเองและคนๆนั้นเข้าอีก เหมือนกรณีของชนนน
ส่วนมินิเอสเทรทขะมุกขะมอมในมือผมคันนี้ เจ้าของตัวจริงคือผมนี่แหละ ถามว่าแน่ใจได้อย่างไรว่ามันเป็นของผม ดูตัวบีบิดๆเบี้ยวๆตัวจางๆใต้ท้องรถนี่สิครับ ผมเป็นคนเขียนมันเองกับมือ ซึ่งไม่ต้องบอกว่าบีนั้นย่อมาจากอะไร ถ้าไม่ใช่ชื่อเล่นของผม
เมื่อคืนที่ผมเห็นมันครั้งแรก ยอมรับว่าทั้งตกใจและดีใจมาก ผมไม่คิดมาก่อนว่านายนนจะเก็บมันไว้จนถึงทุกวันนี้ แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่นนไม่รู้ว่าผมเป็นคนฝากมาให้ ด้วยวันหนึ่งผมเห็นพี่กานต์และจำได้ว่าเป็นพี่สาวของนน ผมจึงรีบวิ่งลงจากรถโรงเรียน และวิ่งกลับเข้าไปหาเธอด้วยความดีใจ ก่อนจะยัดมินิเอสเทรทของรักใส่มือพี่กานต์
“พี่ครับ ฝากให้น้องนนด้วยนะครับ และฝากบอกว่าน้องเบสขอโทษ ให้รีบกลับมาเรียนเร็วๆ น้องเบสรออยู่”
หลังจากนั้นผมก็รีบวิ่งกลับขึ้นรถโรงเรียน เมื่อคุณครูคุมรถตะโกนเรียก ไม่ทันได้คุยอะไรกับพี่กานต์ไปมากกว่านั้น และตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อนนได้รับมินิเอสเทรทของเล่นชิ้นโปรดของผมไปคงจะอภัยให้กันได้เอง และเราคงได้กลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง แต่สุดท้ายผมก็รอเก้อ นนไม่กลับมาเรียนที่โรงเรียนอีกเลย
จนกระทั่งปีก่อนที่ผมได้ย้ายเข้ามาเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ผมได้เจอกับไอ้ดำตูดหมึกอีกครั้ง ในฐานะรุ่นน้องผมหนึ่งปี!?
“อืม...เบสตื่นนานแล้วเหรอ ทำไมทำหน้าแบบนั้น เจ็บรึเปล่าครับ อ่า... เมื่อคืนลืมเลย เดี๋ยวนนไปเอายามาให้นะ” ผมคิดผิดซะที่ไหนกัน ไอ้ดำตูดหมึกตื่นมาก็กระวีกระวาดมีท่าทางร้อนรน จนผมปรับความรู้สึกแทบไม่ทัน ด้วยยังจมอยู่กับความคิดในอดีต แต่มือผมก็ไวพอที่จะคว้าท่อนแขนคล้ำแดดไว้ได้ทัน
“นน ใจเย็นๆ...ฉัน เอ่อ เบสไม่ได้เป็นอะไร” แม้จะกระดากปากแต่ไอ้ตาเขียวๆบนหน้าดำๆนั่น ก็ทำให้ผมต้องรีบเปลี่ยนคำแทบจะทันที
ใครที่คิดว่าไอ้ตูดหมึกนี่มันกลัวผม ขอให้คิดใหม่ ยิ่งผ่านเรื่องเมื่อคืนที่เราทำร่วมกันด้วยแล้ว เชื่อผมมั้ยว่าต่อไปนี้ ไอ้คนเดียวกันนี้มันคงยิ่งวางอำนาจเอาแต่ใจกับผมแน่ๆ แต่เอาเถอะอย่างน้อยที่นายนนทำ ก็ทำเพราะรักและหวังดีกับผม แล้วดูสิคราวนี้ล่ะยิ้มออกเชียว มีกลับขึ้นเตียงเข้ามาคลอเคลียอีกด้วย นี่ถ้าเป็นผู้ชายอื่นมาทำแบบนี้กับผมเข้าล่ะก็ มีหวังมันคงได้กลิ้งไปกับพื้นแล้ว
“ดีแล้วที่เบสไม่เป็นอะไร นนไม่รุนแรงไปใช่มั้ย เบสมีความสุขมั้ยอ่ะ” ฟังคำถามไอ้ตูดหมึกนี่สิครับ คิดได้ไงถึงถามออกมา
ผมถึงกลับหน้าร้อนวาบวางหน้าไม่ถูกเลย จะให้ตอบว่ามีความสุขมากแต่เจ็บบรรลัยก็ยังไงอยู่ แต่แทนที่ผมจะอายอยู่คนเดียว ไอ้คนถามดันหน้าแดงหูแดงเป็นเพื่อน มีเสหลบตาแต่ดันคว้ามือผมไปกุมเล่น จากที่พูดไม่ออกผมก็เริ่มขำกับท่าทางขี้อาย ไม่สมตัวและไม่สมหนังหน้าของไอ้ตูดหมึกหน้าเข้มนี่ แต่จะหลุดขำให้อีกฝ่ายรู้ตัวไม่ได้ครับ เดี๋ยวสถานการณ์เปลี่ยน มันจะพาลแกล้งโกรธกันและทำเนียนเข้ามาหาเศษหาเลยกับผมเกินจำเป็น อย่าว่าผมหวงตัวจนเว่อร์ไปเลย ทั้งๆที่ก็ไปถึงไหนๆกันแล้ว แต่นิสัยนายนนเป็นยังไงเราก็รู้กันอยู่ อย่าให้เผลอเชียวมีนัวเนียเข้าคลอเคลียตลอด
“อืม” จัดไปแบบสั้นๆพอได้ใจความ
ไอ้ดำตูดหมึกละสายตาจากหลังมือผม และค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตากัน ด้วยแววตาระยิบระยับถูกใจ พร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง ให้ผมได้ตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนผมจะเป็นฝ่ายหลบตาทั้งๆที่ใจสั่น ผมอดเจ็บใจตัวเองไม่ได้ทุกครั้ง ที่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถต่อตากับไอ้ดำตูดหมึกยามยิ้มกว้างๆแบบนี้ได้สักที
ผมไม่น่าหวั่นไหวไปกับรอยยิ้มจริงใจเปิดเผยนี่ตั้งแต่แรกเลย ไม่เช่นนั้นผมคงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ และคงไม่ได้มีแต่ผมหรอกที่ตกหลุมเสน่ห์รอยยิ้มของไอ้ดำตูดหมึก ทั้งๆที่แต่แรกเริ่มการที่ผมเอาตัวไปใกล้ชิดน้องธันว์ เพียงเพราะผมอยากให้ไอ้ดำตูดหมึกมันจำไอ้หน้าหยกขี้แยคนนี้ได้เท่านั้น ส่วนเรื่องการคบหาที่เลยเถิดมาถึงวันนี้ได้ ก็เกิดจากความหมั่นไส้อยากเอาคืนของผมที่มีต่อนนล้วนๆ คนอะไรหน้ามึนถือว่าตัวเองมีดีได้ขนาดนั้นกัน
ที่ผ่านมาผมไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าตัวมันจะรู้มั้ย ว่ามีเด็กในโรงเรียนเราจำนวนไม่น้อย ที่หลงใหลได้ปลื้มรองกัปตันรักบี้คนนี้ ด้วยรูปร่างบึกบึนสูงใหญ่สมาร์ทผึ่งผายต่างจากเพื่อนรุ่นเดียวกัน หากมันเดินมากับเพื่อนในกลุ่ม นนก็จะโดดเด่นมาแต่ไกล แม้ผิวจะเข้มไปหน่อย แต่กลับเสริมบุคลิกมาดแมนสมชายให้เพิ่มพูนขึ้น ยิ่งยามอยู่ในสนามรักบี้สภาพเหงื่อโทรมกาย บวกหน้าตาเอาจริงเอาจังในเกมด้วยแล้ว แฟนคลับรอบสนามมีกรี๊ดกันสลบ เรียกว่ามันขโมยซีนเพื่อนร่วมทีมไปจนหมดเลยทีเดียว
ไม่เท่านั้นอย่างตอนที่ไอ้ดำตูดหมึกนี่ ระเบิดเสียงหัวเราะดีใจยามได้ประตู จากการวิ่งอุ้มลูกหลบและนำลูกไปทุ่มในเขตฝ่ายตรงข้ามได้ แฟนคลับพวกนั้นกรี๊ดกระหึ่ม และแทบละลายลงไปกองอยู่บนพื้นตรงนั้น เมื่อรอยยิ้มเจิดจ้าของมันถูกแจกจ่ายไปทั่วสนาม ผมเองเห็นทีไรมีหมั่นไส้เจ้าตัวมันซะทุกครั้งไป
“นนดีใจที่ทำให้เบสมีความสุขได้ ขอบคุณครับที่มอบค่ำคืนอันแสนวิเศษให้นน รักเบสนะ” รอยยิ้มละมุนละไมมาพร้อมคำบอกรักจากน้ำเสียงนุ่มนวลชวนละลาย
ผมได้แต่จ้องดวงตาจริงใจคู่ตรงหน้าอย่างเผลอไผล มารู้สึกตัวอีกทีก็ตกอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง และนั่งกลางหว่างขาของเจ้าของถ้อยคำอ่อนหวานซะแล้ว พร้อมกับริมฝีปากที่บรรจงยิ้มละไมเริ่มเคลื่อนเข้าหา เพื่อมอบสัมผัสอ่อนหวานรับอรุณ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อนที่ต่างฝ่ายต่างเต็มใจปรนเปรอให้แก่กัน
ผมนายภูธิปคงกลายเป็นเด็กไร้มารยาทในสายตาผู้ใหญ่บ้านชลาสินธุ์เข้าแล้ว เพราะวันทั้งวันผมไม่ได้ลงไปทักทายเจ้าของบ้านเลย ด้วยได้แต่นอนนิ่งๆเป็นหมอนข้าง ให้ลูกชายเจ้าของบ้านกอดเล่นตลอดวัน พอคิดจะขัดขืนเพราะเริ่มรำคาญมือไม้ที่คอยป้วนเปี้ยนไปตามเนื้อตัว ผมก็ต้องใจอ่อนกับสายตาอ้อนๆกับเสียงออดๆทุกที
“เบสอ่ะ ขอกอดหน่อยก็ไม่ได้ ไม่รักนนสักนิดเลยเหรอ”
‘ถามหน่อยเถอะ ถ้ากูไม่รักมึง จะมานอนให้มึงลูบๆคลำๆอยู่แบบนี้มั้ย ไอ้ดำตูดหมึกเอ๊ย!’
..........................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะน้องเบสของไอ้ดำตูดหมึกมาตามสัญญาแล้วนะคะ คงรู้ที่มาที่ไปของมินิคันน้อยแล้ว
แถมเหตุการณ์ต่างๆก็เกี่ยวโยงสัมพันธ์กันไปหมด เพราะถ้าใครจำได้ (ถ้าจำไม่ได้ไปอ่านอีกรอบน้า)
ตอนแรกนนก็พูดถึงวันวาเลนไทน์ พูดถึงน้องเนย พูดถึงเรื่องอกหัก แต่ไม่ยักจำไอ้หน้าหยกขี้แยได้
แต่จะเพราะอะไรเดี๋ยวได้รู้ค่ะ และหากใครสังเกตดีๆ น้องเบสของแม่อรดันมีเรื่องให้ต้องคิดเกี่ยวกับ
ไอ้ดำตูดหมึกอีกสองข้อว่า
1.ทำไมนนถึงเรียนช้าทั้งๆที่เป็นเพื่อนอนุบาลมาด้วยกัน
2.ทำไมนนถึงไม่รู้ว่าเบสฝากมินิมาให้
ใครพอเดาคำตอบบ้างและเชื่อมโยงได้บ้างเอ่ย!?

เอาเป็นว่าไม่ต้องคิดให้ปวดหัว รอคำตอบในเนื้อเรื่องนะคะ จะค่อยๆเฉลยให้รู้ค่ะ
ตอนหน้าตามไปดูเสน่ห์เมียรักนักบาสของชนนนกันค่ะ ว่าจะทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรยุ่งๆบ้าง
และคนขี้หวงอย่างนนจะจัดการอย่างไร หรือได้แต่อดทนเพราะแสดงออกไม่ได้ เจอกันวันพุธค่ะ
+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
