JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)  (อ่าน 19798 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: LOVE: 'CAUSE OF HEART 14.03.2018
«ตอบ #150 เมื่อ14-03-2018 17:39:00 »

หวานกันเข้าไป

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: JUST...ONLY YOU 15.03.2018
«ตอบ #151 เมื่อ15-03-2018 09:42:07 »

Chapter XXII Just…Only YOU

 

เสียงแห้งแหบพร่าสั่นสะท้านโรยแรงของร่างบางที่รวบรวมแรงกำลังในวาระสุดท้ายเพื่อเพียรพยายามเค้นแต่ละถ้อยคำให้เอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางไร้สีโลหิต

“พี่ชายครับ”

“ครั้งนี้ เปลี่ยนกัน ได้ไหมครับ”

“ครั้งนี้..... ให้ผม ไปก่อน”

“ให้ผม ไปรอ พี่ชายก่อน”

เด็กน้อยเอ่ยเหมือนมิได้ซาบซึ้งถึงหัวใจของคนเป็นพี่ที่ใกล้จะขาดรอนตามลมหายใจรวยรินของน้องน้อยในอ้อมกอด

“พี่จะรีบตามไป”

ร่างเล็กจึงสะดุ้งสุดตัว และดิ้นรนฝืนสุดกำลังเพื่อยกมือเรียวบางมาแตะลงที่ริมฝีปากพี่ชาย ก่อนละล่ำละลักสะอึกสะอื้นหอบบางจนคำตอบขาดหายเป็นช่วง

“ไม่.....ไม่ครับ”

“ชาตินี้ ผมรอ และผม จะไปรอ”

“ขอเพียง พี่ชาย จะรอ ผมบ้าง รอที่นี่”

“พี่ชาย ต้องสัญญา ต้องให้สัญญา”

“ใช้ชีวิต ที่เหลืออยู่ ให้มีความสุข ให้คุ้มค่า”

“ไม่มีอรุณ พี่คงไม่มีวันมีความสุขได้อีก” ร่างที่ไร้วิญญาณจะดำรงคงอยู่ได้อย่างไร ถ้าขาดซึ่งหัวใจรัก ความเข้มแข็งสุดท้ายของคนเป็นพี่คงยืนหยัดอยู่ได้เพียงแค่ส่งดวงใจอันเป็นที่รักเดินทางไกลไปก่อนให้สิ้นเสร็จสมบูรณ์ แล้วพี่จะรีบตามไป หากสิ่งมิคาดคิดเกิดขึ้น คำมั่นที่มิอาจปฏิเสธด้วยความประสงค์สุดท้ายของยอดดวงใจ

“ได้โปรดเถิด...พี่ชายครับ ดูแลคุณก๋ง ดูแลท่านอา ดูแลเจ้าจ้อย”

“ทำทุกอย่าง ให้สมบูรณ์ ตอบแทน ทำแทน ผมด้วย”

“ผมจะรอ ผมจะคอย ไม่ว่านาน แค่ไหน จะคอย เพียงพี่ชาย คนเดียว”

“สัญญา นะครับ ทำเพื่อผม ทำแทนผมด้วย”

“อรุณ......................”

 

(16 ปีต่อมา)

คืนเดือนมืดอับแสงที่แสนเกลียดชัง แม้แสงที่เคยพร่างพราวด้วยดาวดวงน้อยก็ลิบหายคล้ายคล้อยด้วยมิอาจฝืนต้านทานทนกระแสลมหนาวที่พัดพาละอองหยาดฝนเม็ดเล็กปลิวปรายเมื่อท้ายฤดูวสันต์ย่างเข้าคิมหันต์ฤดู ความเหน็บหนาวที่แสนกรีดลึกปาดบาดผิวกายหยาบเข้าไปปวดแปลบเจ็บลึกกดซ้ำถึงเลือดเนื้อภายในหัวใจที่ด้านชาไร้เรี่ยวแรงกำลัง

คงใกล้เวลาแล้วสินะ...

ร่างสูงของชายวัยกลางคนในชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวหม่นที่ยืนทอดสายตามองสวนฝรั่งที่เคยสดใสเขียวขจี หาก ณ บัดนี้ใบไม้ต่างเปลี่ยนสีที่ปลิดปลิวร่วงหล่นลงสู่พื้นพสุธาธาตุดินที่โอบอุ้มแข็งแกร่งยิ่งนัก

วันหนึ่งไม่นานนัก... ภาระหน้าที่พันผูกเคยเหนื่อยหนักโหมโรมเร้า พันธกิจที่ให้คำมั่นสัญญาใกล้สมบูรณ์ลุล่วงเสร็จสิ้นแล้วนะยอดรัก

คุณก๋งร่มโพธิ์ใหญ่แห่งตระกูล ท่านจากสิ้นรุดล่วงลาลับไปก่อนหลายปี กิจการงานทุกสิ่งจึงถูกแบ่งจัดสรรให้ลงตัวโดยกงสีที่ผู้ถือครองประโยชน์ส่วนใหญ่เอ่ยปาก ผลกำไรทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นกรรมสิทธิ์อุทิศแก่สาธารณประโยชน์

หนึ่งชีวิตที่เหลือและอดทนฝืนรอ สิ้นแล้วในความหวนหาปรารถนาในสิ่งใดแม้แต่สัมผัสมธุรสอ่อนหวานอาหารฝีมือล้ำวิจิตร ยังฝืนกลืนกล้ำ เพียงเพราะ ‘หน้าที่’ หากแม้แต่เรือนไม้หลังใหญ่ใจกลางสวน บัดนี้ก็ว่างเปล่ารกร้าง ด้วยเจ้าของที่รีบรุดเดินทางจากชาติภพ ณ ปัจจุบันไปได้ไม่นาน

“อา… ขอไปก่อน ขอบคุณมากชาย” ร่างกายชายชราตรงหน้าที่ทรุดโทรมเกินวัย ญาติพี่น้องผู้ใดที่เคยได้สัมผัสใกล้ชิดต่างรู้ ชายที่เคยเจริญวัยในสังคมดูแลตัวเองดียิ่ง แม้ท่านจะยืนหยัดฝืนยิ้มสดใสปานใด หากเมื่อสิ้นไร้แรงใจการดำรงชีวิตทุกอย่างจึงแปรเปลี่ยน ชายที่อ่อนไหวด้วยอารมณ์ศิลป์ เมื่อพระทัยไร้สิ้นเครื่องยึดเหนี่ยวหน่วงนำ จึงลุ่มหลงพิษร้ายอรรถรสแท้แห่งเมรัยเกินกว่าจะป้องปราม จนกระทั่งเสาหลักต้นสุดท้ายในชีวิตสั่นคลอนรอเพียงเวลาล้มลง

“ท่านอา”

“ชายต้องเข้มแข็ง อีกไม่นาน”

“อา... จะไปบอกคนที่เฝ้ารอ อีกไม่นาน... การรอคอยจะสิ้นสุดจบสิ้นสักที...”

“ครับ ท่านอา ฝาก...ฝากบอก...” ลมหายใจสุดท้ายที่จากไปพร้อมกับรอยยิ้มแย้มเยือน

“ฝากด้วยครับ ฝากบอก... ฝากด้วย...” วาระสุดท้ายกับดวงพักตร์ที่เปี่ยมสุขชายชราที่เสมือนหวนกลับย้อนคืนวัยดังชายหนุ่มแรกแย้มฉายชัด

คนมารับคงทำให้พึงใจ

ความพันธสัญญาที่ก้าวล่วง ภารกิจที่โหดร้ายต่อหัวใจจนเกินไป...จบสิ้น

ใบปริญญาที่จัดแจงให้ใส่กรอบแขวนอยู่ที่ฝาผนังเหนือโต๊ะหนังสือ ซึ่งเจ้าตัวภาคภูมิ และยืนหยัดมั่นคงไขว่คว้ามาได้ด้วยความมานะ อุตสาหะ เด็กชายตัวน้อยที่เคยวิ่งเล่นสดใสซุกซน มิเคยกลับมาเป็นได้ดังเดิม ตั้งแต่เพื่อนเล่นเจ้าชีวิตลาจาก

เหตุใด ไฉนจะมิรู้ ความรักพันผูกมากมาย

ใครบ้างไม่ตกหลุมรัก...แก้วตา

“เป็นอย่างไรบ้างเรา”

“คุณชาย... ลุกขึ้นมาทำไมครับ”

“ไม่เป็นหรอก เรารู้ตัว... ของเราดี” คนมองด้วยความฉงนประหลาดใจ ราชนิกุลที่ล้มหมอนนอนป่วยเกือบครึ่งปี ลุกขึ้นเดินเหินรอบวังตั้งแต่อรุณรุ่งจนย่ำค่ำ ขาที่เคยไร้เรี่ยวแรงกลับฟื้นคืนมาแข็งแกร่งคงมั่น

ใครจะรู้...

“งานเป็นอย่างไรบ้าง...เจ้าจ้อย”

“เหนื่อยมากไหม ต้องดูแลทั้งที่นี่ ทั้งช่วยงานที่ห้าง”

“มิได้ครับ คุณชาย มิได้หนักมากมายอะไร”

“ขอบใจนะ ขอบใจเรามาก...” เด็กน้อยเติบโตกล้าแกร่ง ใกล้เข้าสู่วัยสร้างฐานรากตั้งมั่นครอบครัว หากมิต้องมาคอยพะวงรับใช้เจ้านายคนเดิม

ถึงเวลาแล้วจริงๆ สินะ

วางใจได้แล้ว เห็นไหมคะ... ยอดดวงใจของพี่

“พรุ่งนี้ก่อนรุ่งเช้า... ขึ้นไปพบเราที่ห้องหน่อย มีอะไรจะให้ช่วย”

“ครับ”ร่างสูงผละจากห้องเล็กชั้นล่างด้วยหัวใจสงบปลอดโปร่ง และเต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้มเยือนสดใสฉาบฉาย

คนป่วยที่ลุกขึ้นฝืนเดินแคล่วคล่องทำเอาทั้งวัง ลอบยิ้มประหลาดใจ

หากมิมีใครใคร่รู้...

ราตรีมืดมิดมิได้เป็นอุปสรรคของคนที่เกิด และโตที่นี่ ย่างก้าวมั่นคงก้าวเดินตัดตรงสู่ใจกลางสวน ต้นปีบสูงใหญ่แข็งแกร่งคงมั่น หากดอกไม้สีขาวนวลก้านยาวร่วงหล่นปรายโปรยด้วยสายลมที่พัดแผ่วบางเบาดังตั้งใจทายทัก

“อรุณ....... น้องหรือ......” เสียงที่หลุดร้องครางครวญเรียกหา

‘เจ้าแสงจันทราน้องน้อยของพี่ยาเจ้าอยู่ ณ แห่งหนใด’ หัวใจร้องร่ำเพรียกหา กรุ่นกลิ่นหอมละมุนชายโชยปลอบโยนหัวใจที่แห้งแล้งปวดร้าวดังสายน้ำทิพย์หอมหวานชื่นใจ

“พี่รู้... อีกไม่นาน” เช่นนี้สินะ วาระสุดท้ายที่ท่านอาแย้มเยือน การเดินทางต่อไปมิได้น่าตกประหม่าหวาดกลัว เมื่อมีคนเฝ้ารอ...

 

กายหยาบที่ยังคงมีทุกข์ติดพันเหนื่อยหอบสิ้นแรงทรุดกายนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกรอยอดีตลงในหัวใจ มือที่ตกทิ้งอยู่ข้างร่างสัมผัสความนุ่มนวลอ่อนละมุนเย็นฉ่ำ ของดอกปีบสีขาวดอกเล็กซึ่งเต็มไปด้วยหยดหยาดน้ำค้างที่ประพรม

ความแข็งแกร่งมั่นคงของต้นไม้แห่งความทรงจำนำพา...

กลิ่นหอมที่ซึมซาบดังดอกปาริชาตหน่วงนำอตีตาหวนย้อนคืน...

 

“อรุณ...... อรุณไปไหนมีใครเห็นบ้าง” เสียงตะโกนก้องตึก ที่ทำให้สาวน้อย สาวใหญ่ที่กำลังง่วนกับงานตรงหน้าลอบอมยิ้มให้กับความร้อนรนเอาแต่ใจของเจ้าของวังตัวน้อยรุ่นต่อไป

“อยู่กับหม่อมไหมที่ศาลากลางสวนเจ้าค่ะ” เสียงตอบเต็มไปด้วยความชื่นชมเอ็นดู

“อุ๋ย...คุณชาย ค่อย ๆ วิ่งเจ้าค่ะ” ก่อนขาเล็กที่กระโจนทะยานห้อวิ่งแบบไม่คิดชีวิต เพียงเสี้ยววินาทีจึงมายืนหอบ

“ลมอะไรพัดมาถึงนี่จ๊ะ ชายเกิ้ง” คนเป็นแม่เอ่ยทักบุตรชายคนโตที่หน้าแดงก่ำหอบจนตัวโยน หากคนตอบยังคงมิได้เอ่ยตอบสิ่งใด หากทรุดตัวลงนั่งริมเสื่อก่อนส่งสายตาเพิ่งพิศมือบางที่บรรจงเลือกคัดดอกปีบด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม พร้อมความฉงนสงสัย

‘ชอบหรือไร’ หากสิ่งที่คิดมิได้กล่าวเพราะใจรู้ จึงหันกลับมาเจื้อยแจ้วเจรจา

“แม่จ๋าทำอะไรครับ”

“ทำยาเส้นให้ท่านชาย ชายอยากมาช่วยแม่อีกแรงไหมคะ” คนฟังมิได้ตอบคำถาม หากยังคงมองนิ่ง

ยาเส้นจากเมืองนอกของท่านพ่อถูกปรุงกลิ่นตกแต่งใหม่ให้หอมหวนรสชาติแห่งแผ่นดินเกิด ด้วยความเชี่ยวชาญชำนาญของศูนย์รวมดวงใจของบ้าน

เสน่ห์ซึ้งละเอียดอ่อนหวานล้ำซึ่งกำลังถ่ายทอดมาโดยตรงยังเพื่อนเล่นเพียงคนเดียวช่างขัดตาขัดใจ จึงแอบกระซิบถามเบา ๆ เอาเรื่อง

“แล้วเราทำอะไร”

“ช่วยแม่จ๋าเก็บ และคัดดอกปีบค่ะ ดอกช้ำ ๆ แม่จ๋าไม่ใช้ อรุณจะเอาไปเล่นต่อ” ใบหน้าเล็กยิ้มเยือนเปี่ยมสุขออกมาจากดวงตาใสโศก ก่อนหันกลับไปบรรจงคัดแยกดอกไม้สีขาวในกระด้งใบน้อย

“สนุกหรือไร” เสียงกระซิบสะกิดใจทำให้สมองน้อย ๆ ได้ฉุกคิด ดวงตาเรียวเล็กที่แอบเหลือบเหลียวมองแม่จ๋าที่ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินด้วยความขลาดอาย ก่อนหันกลับมายิ้มแหย ๆ ขึ้นตอบพร้อมส่ายหัวระริก

“งั้นไปเล่นกัน” คนชวนไม่พูดเปล่า คว้าข้อมือพร้อมเตรียมลาก

“พี่ชาย... แต่แม่จ๋า” ร่างน้อยเซถลาพร้อมประท้วง

“อะไรกันชาย อยู่ดี ๆ มาแย่งลูกมือแม่ได้อย่างไรจ๊ะ”

“เดี๋ยวชายไปตามนวลมาให้แม่จ๋าแทนนะครับ”

“แล้วนั่นจะลากน้องไปไหน... ชาย... ชายเกิ้ง....”

 

“ถ้าไม่ชอบคราวหน้าก็บอกไปว่าไม่ชอบ” คนเป็นพี่มิอาจเข้าใจความเมตตาปรานีความรักที่ยิ่งใหญ่ที่เด็กน้อยได้รับเท่าใดก็มิอาจหาสิ่งใดทดแทน

ทำให้มิเคยกล้าเอ่ยปฏิเสธสิ่งใด

“มาขึ้นมา” มือใหญ่เอื้อมลงมายื้อยุดช่วยฉุดน้องน้อยขึ้นต้นชมพู่มาด้วยกัน

“เกาะดี ๆ ระวังมด เคยปีนไหม”

“ไม่ครับ”

“เป็นผู้ชายต้องหัดปีนต้นไม้” โลกใหม่ที่อีกคนฉุดกระชากอีกคนเข้ามาอยู่ด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ความเหงาโดดเดี่ยวที่ค่อย ๆ มลายหายไปด้วยความอบอุ่นใส่ใจที่มีให้กัน

“เกาะแน่น ๆ”

“ระวังนี่ด้วย รังมดแดงเห็นไหม ใบไม้ที่ห่อกลม ๆ นั่น ข้างในมีไข่มดแดง แม่มดจะหวงอย่าไปยุ่งกับมัน”

“ครับ” เด็กน้อยตอบว่องไว หากความสงสัยในความไร้เดียงสาทำให้ยังคงคิด ในใบไม้ที่ห่อกลมข้างในเป็นเยี่ยงไร หากถูกขัดด้วยผลชมพู่สีแดงที่ยื่นมาตรงหน้า

“นี่ไงเลือกลูกแดง ๆ แบบนี้กินได้ หวานแล้ว มานั่งนี่ เกาะดี ๆ ด้วย” น้อยคนจะรู้พี่ชายที่โผงผางคล่องแคล่ว และใจร้อนเป็นไฟ หากห่วงหาอาทร และดูแลน้องน้อยดียิ่ง เด็กชายที่สมบูรณ์พร้อมพรั่งเผื่อแผ่แบ่งปัน และเป็นผู้ให้... สิ่งที่หัวใจดวงน้อยขาดหาย

“อร่อยไหม หวานนะ”

“เอ๊ะ ระวังลูกนี้มีหนอนเจาะนี่เห็นไหม... เดี๋ยวนะ” คนพี่ยืดกายปีนป่ายสูงขึ้นเพื่อเด็ดดึงผลไม้สุขสีแดงฉ่ำที่ปลายกิ่ง

“ลองลูกนี้ดู” มดน้อยยิ้มแฉ่ง กินกรวบรวดเร็วจนคนเป็นพี่อมยิ้มภูมิใจ ก่อนปีนขึ้นอีกและสูงขึ้นอีก เพื่อเก็บชมพู่สีแดงรสหวานมาให้มดตัวน้อยลองลิ้มชิมรส

โดยสุดคะเน... ความสูงสุดเอื้อม

“ตุ๊บ”

“พี่ชาย.....” เด็กน้อยตื่นตะลึงทิ้งตัวลงมา หล่นกองทาบทับ

“โอ๊ย...อรุณ” ความเจ็บแต่แรกมิเท่าเจ้าตัวบางถลาลงมาทับซ้ำ จนน้ำตาเล็ด

“ขอโทษครับ พี่ชาย... อรุณ” หากคนที่ต้องร้องไห้กลับไม่มีน้ำตา เมื่อต้องกอดคนที่ร้องสะอึกสะอื้นไว้ในอก

“ไม่เป็นไร... พี่ไม่เป็นไรนะอรุณ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” หากเจ้าตัวน้อยยิ่งปลอบยิ่งร้อง จึงต้องกอดปลอบลูบหลังลูบไหล่อยู่พักใหญ่ เด็กขี้แยจึงลืมเลือน

“ไม่เจ็บแล้วเห็นไหม ขึ้นใหม่ได้แล้ว มาขึ้นมา” ก่อนชี้ชวนเจ้าเด็กน้อยแก้มใสที่เปรอะเปื้อนหยาดนี่หลั่งริน ขึ้นมาบนต้นชมพู่อีกครั้ง ก่อนมือของพี่ชายจะบรรจงเช็ดซับร่องรอยคราบน้ำตา

“ผู้ชายเขาไม่ร้องไห้ กันรู้ไหม น้องพี่ต้องเข้มแข็ง ต่อไปอรุณต่อเข้มแข็งนะ” ธาตุพลังแห่งความแข็งแกร่งยืนหยัดถ่ายทอดปลูกฝัง อีกสิ่งที่พี่ชายมิเคยรู้แต่อยู่ในหัวใจดวงน้อยตลอดมา ต้องเก่งเข้มแข็งเหมือนพี่ชาย กระจาดที่เคยมีดอกปีบกระจัดกระจายหากตอนนี้บรรจุผลชมพู่แดงปลั่งเต็มพิกัด

“เดี๋ยวพี่จะไปขอแบ่งเกลือกับน้ำตาลที่โรงครัว อรุณถือขึ้นตึกก่อนไหวไหม” เจ้าตัวน้อยตากลมพยักหน้ารับก่อนพี่ชายจะวิ่งลับหายไป โดยหารู้ไม่ว่าเจ้าตัวเล็กโหนตัวว่องไวขึ้นต้นชมพู่อีกครา... ด้วยความสงสัยใคร่รู้ที่เต็มเปี่ยม

 

“เกิ้ง.... ชายเกิ้ง ใครก็ได้ไปตามคุณชายมาที่นี่เดี๋ยวนี้” น้อยครั้งที่คนเป็นแม่จะขุ่นข้องหมองเคือง

“เกิ้ง ทำอะไรไปรู้ไหม” เด็กชายยังฉงนสงสัย

“ชายทิ้งน้องไว้ที่ไหน”

“อรุณยังไม่กลับเหรอครับ” ด้วยความหิวกระหาย และมิได้ชื่นชอบพอใจผลไม้ และของหวานดังมดน้อย เมื่อเข้าไปในห้องครัวกลิ่นอาหารเย้ายวนใจจึงทำให้ลืมใครอีกคนเสียสนิท

“เดี๋ยวเข้าไปดูผลงานของชายนะ น้องของชายถูกมดกัดทั้งตัวจนเป็นไข้ ท่านพ่อให้คนไปตามหมอฝรั่งมาดูอยู่”

“แต่ตอนนี้แม่ต้องลงโทษ”

เสียงหวายที่กระทบเนื้อทำให้คนน้องผวา

“พี่ชาย......”

“แม่ครับ แม่จ๋า อย่า.......” ภาพเด็กตัวน้อยที่ยังคงแดงกล่ำด้วยพิษไข้วิ่งถลาเข้ามารับรอยหวายแทนพี่ชาย

“อรุณ......” ทำให้คนเป็นแม่ยืนนิ่งอึ้ง

“อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้คนดี น้องพี่ต้องเข้มแข็งไม่เป็นอะไร พี่ไม่เป็นไร”

“แม่จ๋า อรุณผิดเอง พี่ชายห้ามแล้ว เตือนแล้วอรุณไม่ฟัง อรุณไม่ฟังเอง แม่จ๋าตีอรุณ ทำโทษอรุณเถอะครับ” เด็กน้อยใจเด็ดลุกขึ้นยืนแทนที่พี่ชาย

“ไม่ครับแม่ครับ ชายเอง ชายปล่อยน้องทิ้งไว้เอง แม่จ๋าต้องตีชายถูกแล้ว อรุณหลบไปก่อน รอพี่ตรงนี้ก่อน” ภาพเด็กสองคนที่ยื้อยุดจนล้มลงกอดกันร้องไห้กลมทำเอาน้ำตาคนเป็นแม่ไหลนอง

หรือว่าจะเป็นจริง... หรือคำทำนายจะเป็นจริง

คืนค่ำฝนตกดังฟ้ารั่ว เสียงฟ้าร้องสนั่นครืนครางร่างเล็กยังคงซมด้วยพิษไข้ผวาหาอ้อมกอดของคนข้างกาย

“พี่ชาย...”

“ไม่เป็นไรพี่อยู่นี่” ห้องนอนลูกชายทั้งสองเห็นที่ปีกเหนือ มีเพียงทั้งคู่ที่รู้ ห้องของผู้เป็นพี่ไม่เคยได้ใช้นอนจริง ด้วยข้ออ้างในความคิดเด็กน้อย ‘พี่ไม่ชอบเก็บที่นอน’ สองร่างเด็กเล็กที่นอนเบียดกันบนเตียงหลังน้อย ตั้งแต่คืนแรกที่รับน้องชายคนใหม่เข้ามาจึงเป็นกิจวัตร ด้วยอีกคนที่เต็มใจยินยอม

“ไม่เป็นไรพี่อยู่ที่นี่ พี่จะไม่ทิ้งอรุณไปไหน” ความอบอุ่นที่ทำให้เจ้าตัวน้อยคลายยิ้ม กับภาพแมวตัวเล็ก เปียกฝนมอมแมมในหัวที่ทำให้เจ้าตัวโตกอดกระชับแบ่งปันไออุ่นด้วยความแสนห่วงหาอาทร ความรักความพันผูกปลูกฝังล้ำลึก

หากอนาคต...ไฉนเลยใครจะล่วงรู้

 

“พี่จะรีบกลับ”

การเดินทางท่องเที่ยวกะทันหัน ความตื่นเต้นที่จะได้เปิดโลกผจญภัยของผู้เป็นพี่ทำให้ไร้ซึ่งความกังวลในสิ่งใด เพลิดเพลินกระทั่งหลงลืมเด็กผู้ชายตัวน้อยที่เฝ้ารอชะเง้อคอยหาคนที่ให้คำมั่น

จากหนึ่งชั่วโมง... เป็นหนึ่งวัน จากหนึ่งอาทิตย์... เป็นหนึ่งเดือน

จากหนึ่งปี.... เป็นสิบปี จากความซึมเศร้า... เป็นร่างปราศจากวิญญาณ

 

ความทรงจำฝังลึกเฉลยเปิดเผยขึ้นในวาระสุดท้าย ความรักความผูกพันในอดีตตรึงตราแน่นแฟ้น เด็กน้อยที่ไม่เคยรู้ความเอาแต่ใจ และไร้เดียงสาตั้งแต่วัยเยาว์ผูกรั้งมัดดวงใจดวงน้อยให้เป็นของตน นานแสนนาน... ถ้าเพียงรู้... ถ้าเพียงระลึกได้

วันเวลาที่สูญเปล่าไป... คงไม่ปล่อยผ่านแม้เสี้ยวนาทีที่จะเหลียวมองผู้ใด

 

 

“ขอบใจจ้อย” ห้องปิดตายด้วยหัวใจ ถูกเปิดสลัก ร่างสูงก้าวข้ามผ่านเข้าไปคล่องแคล่วรวดเร็ว ก่อนผู้ที่จะก้าวคล้อยตามติดยังคงสงสัยเอาพละกำลังแรงกายมาจากไหน

ห้องนอนใหญ่ปีกใต้ที่เชื่อมต่ออีกห้อง ไม่มีใครก้าวล่วงผ่านเข้ามาตั้งแต่...เจ้าของห้องนอนเล็กลาจากไกล... เบื้องหลังตั้งตรงสง่างามยืนตระหง่านนอกระเบียงนิ่ง เนิ่นนาน..

 

“จ้อย”

“ครับ” คนตอบสะดุ้งจากความหลังครั้งอดีต

“ฉันอยากฝากเก็บจดหมายนี่ไว้...” ปึกจดหมายสีเก่าคร่ำคร่าจากลิ้นชักโต๊ะหนังสือที่ถูกเปิดออก

“ฉันเชื่อว่าจ้อย คงรู้เรื่องระหว่างฉันกับ ‘คุณ’ ของเราบ้างแล้ว และที่ฉันเลือกฝากไว้ที่เราเพราะรู้ว่า คงไม่มีใครที่รัก ‘คุณ’ ไปมากกว่าเราสองคน แม้มันจะไม่ได้มีความลับสลักสำคัญอะไร หากคงพอไว้อ่านไว้ดูเล่นได้ ทุกตัวอักษร ทุกตัวหนังสือ ช่างเก็บสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของเจ้าตัวเอาไว้หมดจด ทำให้อดที่จะ..... คิดถึงไม่ได้” เสียงที่เงียบงัน หากสะท้อนความรู้สึกที่อัดแน่นฝังลึก

การเดินทางครั้งนี้ คงมิสามารถนำ ‘ของรัก’ สิ่งใดติดตัวไปด้วยได้

นอกจากความรัก และความทรงจำ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีวันลืมเลือน

“ว่าง ๆ ลองอ่านดู ฝากดูแลเก็บไว้ เผื่อว่าสักวันหนึ่ง...” เสียงที่ขาดหายด้วยอนาคตที่คนทั้งคู่ก็มิอาจล่วงรู้

“แล้วฉันอยากจะฝากนี่ไว้ด้วย” ซองจดหมายซองใหญ่สีน้ำตาลสภาพใหม่ ถูกยื่นให้คนรับจดหมายมองด้วยความสงสัยใคร่รู้

“พินัยกรรม”

“คุณชาย...”

“ไม่มีอะไร ไม่ต้องตกใจไป ฉันแค่อยากทำอะไรให้เรียบร้อยสมบูรณ์ ‘ก่อน’ ก็แค่นั้นเอง’

“ครับ”

“แต่ถ้าฉันไป... จริงๆ ในจดหมายฉบับนี้ ฉันเขียนยกบ้านหลังนี้ไว้ให้เรา”

“ไม่ครับ คุณชาย ผมรับไว้ไม่ได้” เด็กหนุ่มยื่นคืนจดหมายซองใหญ่คืน ทั้งที่เก็บปึกจดหมายสีเก่าไว้แนบอก ทำให้คนมองลอบยิ้ม

“จ้อย รับไว้เถิด ฝากดูแล ‘บ้าน’ แทนฉัน ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนความกตัญญูที่มีให้ฉันและ ‘คุณ’ ตลอดมา รับไว้ ไม่ต้องเกรงใคร สมบัติอื่น ๆ ให้เขาแบ่งกันไป แต่ ‘บ้าน’ ฉันขอยกให้เราเก็บไว้ ขอยกให้คนที่รักและเห็นคุณค่าของสถานที่แห่งนี้”

 

เสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่ก้าวเดินออกไปของว่าที่เจ้าของวังคนใหม่ ก่อนที่เจ้าของวังที่ถูกต้องตามเชื้อสายคนสุดท้ายจะเดินก้าวไปตรงหน้าภาพวาดที่ถูกผ้าคลุมปกปิดไว้

‘พี่ชาย... ภาพที่ขอไว้ ภาพวาด ที่สัญญา ว่าจะวาดให้ เสร็จแล้ว นะครับ’

‘เป็นสิ่งสุดท้าย เป็นอย่างสุดท้าย เป็นภาพสุดท้าย ที่ผมจะให้ได้ พี่ชายเก็บไว้นะครับ’

‘ค่ะพี่จะเก็บไว้ หากพี่จะเก็บจะจดจำทุกภาพ ทุกความทรงจำของเราทั้งสองคน’

‘พี่จะเก็บความรักของเราไว้ในดวงใจดวงนี้ ไว้ในวิญญาณนี้’

ภาพที่ไม่เคยเปิดออกตั้งแต่ครั้งนั้นทำให้มือใหญ่ยังคงค้าง ภาพในอดีต... ความทรงจำมากมายจนเกินไป

รู้อยู่แล้วว่าภาพนี้เป็นภาพอะไร และความรู้ ความรัก ทำให้เบาใจ เจ้าของวังคนใหม่จะเพียรเก็บทุกสิ่งไว้เป็นอย่างดี แม้มิได้เห็นด้วยตา หากสัมผัสได้ด้วยหัวใจรัก         พี่กำลังจะเดินทางติดตามเจ้าไป ด้วยความรักความทรงจำที่ฝังมั่นในวิญญาณ

ร่างที่ทรุดลงนอนยาวบนตั่งไม้ทอดมองวิวทิวทัศน์อันงดงาม

16 ปีแล้วที่ไม่ได้เห็นภาพนี้ 16 ปีเต็มที่ยังตราตรึงในหัวใจ

ร่างน้อยในอ้อมกอดที่ลาจากไกล

‘พี่ชาย......สัญญา สัญญานะครับ’

‘..........พี่สัญญา จะทำทุกอย่างให้เสร็จให้เรียบร้อย แล้วพี่จะรีบตามไป จะตามไปนะคะคนดี’

‘ครับ ผมจะรอ.....’

‘อย่าร้อง อย่าร้องนะครับ’ รอยยิ้มทั้งน้ำตาของร่างสูงที่นอนเดียวดาย กับความทรงจำที่ย้อนคืน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าใครที่ทำให้ ‘ยอดรัก’ เข้มแกร่งยืนหยัดได้เพียงนั้น คำพูดปลุกปลอบที่ผลัดกัน

พี่ชายที่เคยปลอบน้องน้อยตลอดมา

หากในวันนั้น น้องน้อยได้ยืนหยัดทดแทน

‘ชาตินี้ ผมเป็นฝ่าย รอพี่ชาย ตลอดเลยชาติหน้า จะให้ พี่ชาย รอบ้าง’

‘พี่เต็มใจจะรออรุณ รออรุณคนเดียว จะรักเพียงน้องคนเดียว ทุก ๆ ชาติไป’

‘เพราะว่าวันหนึ่ง พี่จะตามไป จะตามหาน้องของพี่ สุดที่รักของพี่ให้พบ และวันนั้นพี่สาบาน พี่จะไม่รั้งรอ จะไม่รอคอย จะไม่ปล่อยวันเวลาผ่านเลยไปดังเช่นชาตินี้พี่จะตามไป จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำทุกวินาทีให้มีค่าที่สุด สำหรับรักของเรา’

‘พี่จะตามไปหาดวงใจของพี่ให้พบพี่สัญญา’

‘ครับ... ผมจะรอ’

“อรุณ...............ยอดรัก” รอยยิ้มอ่อนบางเปี่ยมสุขของลมหายใจสุดท้าย และการเดินทางที่เฝ้ารอคอย

 

“เขน เขน ทำไมมานอนที่นี่”

“รุ่ง.........” ร่างสูงที่โผเข้าหารวบร่างบางไว้ในแนบอกแน่น ภาพฝันความทรงจำที่เลือนหาย คล้ายม่านบางเบาที่กลับมาทำหน้าที่ปก และปิดทำให้ร่างสูงรู้เพียง...

ความฝันที่สุดแสนทรมาน....

หากใคร... หรืออะไร... มลายหายสิ้น

 

“เขนเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” มือบางที่เช็ดไล้คราบน้ำตาที่ยังคงอยู่บางเบานุ่มนวล

“รุ่ง...เขนฝันร้าย”

“เด็กน้อย ฝันร้ายร้องไห้นี่นะ” รอยยิ้มบางแย้มเลียนล้อ เจ้าตัวหาได้รู้เพียงแค่รอยยิ้มน้อย ๆ หากเสมือนน้ำทิพย์สมานบาดแผลภายในจิตใจความรู้สึกเหน็บหนาวอ้างว้างบาดลึกในจิตใจค่อย ๆ หายวับไปอย่างไม่รู้ตัว

“แล้วมาทำอะไรที่นี่อะ มานอนอะไรตรงนี้ รุ่งหาซะทั่ว” ใบหน้าคมครุ่นคิดก่อนตอบ

“เขน เขนลงมาเก็บของ ก่อนที่...”

“ก่อนที่...”

“ก่อนที่จะเห็นภาพภาพวาด... แล้วไม่รู้ทำไม... เหมือนเผลอหลับไปตรงนี้”

สายตาที่ทอดมองตามกันไปยังรูปภาพอวดโฉมตั้งตระหง่านเบื้องหลัง ภาพวาดที่ยังคงตั้งอยู่ในเฟรมขาตั้ง และยังคงมีผ้าขาวพาดคลุมอยู่ส่วนหนึ่ง ก่อนที่ร่างบางจะผละออกจากอ้อมกอดลุกขึ้นมองเพ่งพิศพิจารณา ร่างสูงที่ยังคงใจไม่ค่อยดีจึงรีบรุดลุกตามก่อนสอดแขนรั้งหลังบางมาติดชิดแนบอกอุ่น

แม้จำไม่ได้แล้วว่าฝันสิ่งใด

หากที่รู้แท้แน่นอนคือสิ่งใด ที่หัวใจต้องการ

“เหมือนเคยเห็นที่ไหน”

“อืม” ความรู้สึกส่งผ่านที่ทำให้ใบหน้าหวานหันกลับมามองคนรัก หลายอย่างที่สัมผัสได้คล้ายคลึงกันในสถานที่นี้ ยิ่งทำให้แปลกประหลาดใจ หากเมื่อไม่มีคำตอบในสิ่งใดจึงหันกลับย้อนมอง

“เสียดายนะมาเก็บไว้อย่างนี้ น่าจะใส่กรอบดี ๆ ไปแขวนไว้หลังเปียโน แต่...”

“ครับ”

“แต่ไม่รู้ว่าของใครน่ะสิ”

“งั้นเดี๋ยวโทรถามเจ้าของไหม”

“อืมงั้น ลองถามพ่อก่อน เดี๋ยวรุ่งโทรเอง คิดถึงพอดี”

“อ้าว แล้วลูกชายพ่ออ่ะ” จมูกคมเรียกร้องความสนใจ แสดงสิทธิกดลึกฝังลงเก็บกลิ่นกรุ่นหอมอ่อนบางบนแก้มนวล

“อะไรเล่า เขนก็อยู่ด้วยกันทุกวันต้องคิดถึงไหม”

“เขนยังคิดถึงรุ่งทุกลมหายใจเลย” ก่อนซุกซบออเซาะลงบนไหล่เล็ก

“พ่อเหมียวขี้อ้อนจังเลย เหมียวแพ้กระจุยแล้ว” เสียงหัวเราะใสที่ทำเอาโลกหม่นหมองกลับมาสีชมพูสวยสดใสอีกครั้ง

“เออเกือบลืมไปเลย รุ่งตามหาเขนว่าจะพาลูกเหมียวไปหาหมอฉีดยาสักที”

“ครับ”

“งั้นไปก่อนเถอะเดี๋ยวร้านหมอปิด เดี๋ยวได้โทรไปหาคุณพ่อด้วย”

“ครับผม”

“วันนี้ ว่าง่ายจัง”

“เขนว่าง่ายมาแต่ไหนแล้วเถอะ อยู่ในโอวาทตลอด ๆ”

“เหรอ...เขนเหรอ ขอให้จริงเถอะ” ร่างบางผันตัวออกจากอ้อมกอด ก่อนดันร่างสูงให้เดินนำออกไปจากห้องเก็บของ

“ไป..ไปได้แล้ว”

“ไม่ไป” คนปฏิเสธกลับพลิกตัวหันหลังกลับมากอดร่างบางเฉกเช่นเดิม

“อ้าว...ทำไมละ”

“เขนไปทุกที่ที่มีรุ่ง รุ่งไปไหน เขนก็จะไป ไปไหนก็จะไปด้วยกัน”

“ก็ไปด้วยกันไง” คนในอ้อมกอดงงงวยสงสัย

“งั้นรุ่งเดินนำไปก่อนเขนจะตามติดทุกฝีก้าวเลย”

“แปลก ๆ นะ” คนพูดยิ้ม หากยอมเดินนำออกมาก่อน ร่างสูงจึงก้าวติดชิดเดินตามพร้อมกับสองมือที่ยังคงเกาะกุมอยู่ไม่ห่าง ก่อนที่ทั้งสองจะหันกลับมองภาพปริศนาอีกครั้งและปิดห้องเก็บของลง

หากมินาน ‘ภาพแห่งความทรงจำ’ จะหวนย้อนกลับคืนตกทอดมาสู่เจ้าของโดยสมบูรณ์อีกครั้ง

 

“ถึง… ม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทรไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธารขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา” คนที่เดินนำหยุดเดินกะทันหัน และยกมือที่ขึ้นมาแตะหน้าผากคนที่เดินตาม

“ไม่สบายจริง ๆ หรือเปล่า”

“เปล่านี่” คนตอบทำตาโต เพราะถูกขัดจังหวะการร้อง

“เห็นดูเพี้ยน ๆ ร้องเพลงก็เพี้ยน ๆ” รอยยิ้มล้อเลียนของคนฉลาดพูด หากเกินคาดคำตอบของคนตอบ

“เพี้ยนเพราะรัก ทำใจเถอะรุ่ง” ร่างบางจึงหันกลับฉับพลันอีกครั้ง ก่อนเดินหนีให้ ร่างสูงต้องวิ่งตามอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงหัวเราะที่กลับมาดังสรวลกึกก้องวังศศิธรอีกครั้ง

ซึ่งหารู้ไม่ว่าเป็นอีกครั้ง และอีกครั้ง





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: LOVE: JUST...ONLY YOU 15.03.2018
«ตอบ #152 เมื่อ15-03-2018 13:29:40 »

 :กอด1:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: ฺBELONG TO YOU 16.03.2018
«ตอบ #153 เมื่อ16-03-2018 08:13:19 »

 :L3:Chapter XXIII: Belong to YOU

 

กลิ่นหอมจางรวยรินของดอกปีบสีขาวที่แตกยอดชูช่อเต็มต้นสูงตั้งตระหง่าน ‘ริมรั้วสีขาว’ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าถูกสร้างขึ้นมาใหม่ไม่นานนี้ ซึ่งถึงแม้จะมีความพยายามอย่างยิ่งในการประดิษฐ์ให้มีรูปแบบทางศิลป์หรือความงดงามให้มีความร่วมสมัยใกล้เคียงกับตัวตึกเพียงใด ถึงกระนั้นแม้ไม่ใช่วิศวกรโดยอาชีพเช่นผม ก็สามารถดูรู้ได้โดยง่ายว่าสิ่งก่อสร้างนี้มิใช่ของเก่าแต่ดั่งเดิมเหมือนดังองค์ประกอบอื่น ๆ ของตัวตึก อาจด้วยโครงสร้าง และวัสดุที่ใช้ซึ่งมีความแตกต่างกันตามยุคสมัย ทำให้ความทรงคุณค่าแปลกแผกกันตามกาลเวลา ผมหยุดยืนพิจารณาความแตกต่างของรั้วสูงสีขาวกับตัวตึกโบราณสองชั้นสีเหลืองนวลที่ถูกตกแต่งซ่อมแซมให้อยู่สภาพที่ยิ่งกว่าน่ามองชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ในความคลับคล้าย... มีความเก่าและใหม่ที่ไม่กล่ำกรายใกล้เคียง

เฉกเช่นเดียวกับลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ในมือ และดอกปีบที่ถูกลมพัดต้องตกกระจายพร่างพราวเต็มพื้นสวน กลีบดอกสีขาวละอออองละเอียดอ่อนดุจกัน

ในความคลับคล้าย... หากกรุ่นกลิ่นหอมละมุนทรงเสน่ห์มิได้เสมอเหมือน

“เฮอ.....” ผมได้แต่ถอดถอนหายใจก่อนหอบช่อลิลลี่ช่อใหญ่ไว้แนบอก และเริ่มก้าวเดินตัดตรงมุ่งสู่ด้านหน้าของตึก รวมทั้งทำได้เพียงส่งรอยยิ้มตามมารยาทที่แสนจะแห้งแล้งเต็มทนตามสภาพความเป็นจริงภายในหัวใจให้กับสาว ๆ บริกรที่ร้านขนมหวาน และปลีกตัวขึ้นสู่ชั้นสองของตึกอย่างรวดเร็ว ‘โดยลำพัง’

 

“ฝากไว้ก่อน... เขนรู้ใช่ไหม”

“เขนรู้...” บทสนทนาสุดท้ายระหว่างผมกับเจ้าของช่อลิลลี่ที่ยังคงวนซ้ำดังก้อง ความทรงจำยังคงแจ่มชัดบาดลึกราวกับเกิดขึ้นในวินาทีนี้...

‘สองดวงตาที่สบประสานเป็นหนึ่ง’ ก่อนที่ระยะทางจะพรากจากให้ไกลตา...

ผมบรรจงวางช่อดอกไม้สีขาวละมุนที่ทะนุถนอมแนบอกไว้ที่เบาะผ้าฝ้ายสีขาวบนตั่งไม้ และผละออกมาทรุดตัวลงที่ม้านั่งพร้อมสูดลมหายใจภายนอกระเบียง

เพียงอาทิตย์เดียว... ระยะเวลาเพียงอาทิตย์เดียว... ที่ทุกอย่างแปรเปลี่ยน...

‘ไม่ไปไม่ได้เหรอ...’ เสียงร้องอ้อนวอนที่ดังก้องภายในหัวใจ หากไม่สามารถพูดได้

“เขน... ว่ายังไง” น้ำเสียงที่ทอทอดอ่อนหวานละมุนละไม

“ตามใจรุ่ง...” หากไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมรู้เพียงแต่ว่า ‘ผมรักเขาเกินกว่าที่จะฉุดรั้ง’

“แย่จริง! มารู้กระชั้น แล้วต้องไปหลายเดือนด้วย” นี่โกรธแล้วใช่ไหมรุ่ง?

“คนดี... อย่าคิดมากสิคะ” ผมกระชับวงแขนที่โอบร่างบาง พร้อมบีบมือที่สอดประสานกันเบา ๆ เพื่อส่งผ่านกำลังใจ แม้จะตระหนักดีว่าภายในหัวใจของตัวเองก็กำลังจะหมดสิ้นแรงกำลังไม่ต่างกัน

“แป๊บเดียวใช่ไหมเขน...”

“ใช่ค่ะแป๊บเดียว... แค่สองสามเดือน จะมาเทียบกับเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกัน จนลมหายใจสุดท้ายของเขนได้อย่างไง... จริงไหม”

“เนอะ...แป๊บเดียว แป๊บเดียว รุ่งต้องท่องไว้! แป๊บเดียวๆๆๆๆๆๆ”

“ค่ะแป๊บเดียว...” ผมฝืนพูดอะไรมากไปกว่านั้นไม่ไหว โชคดีที่เด็กน้อยที่เดินผละจากไปยังคงมีสมาธิท่องแต่คำนั้นต่อไป จนไม่ได้หันกลับมาเห็นร่างที่กำลังจะไร้หัวใจ

 

“มาที่นี่ทำไมล่ะเขน?” ในเมื่อชีวิตต้องก้าวเดินไปข้างหน้าผมก็ต้องยอมรับมัน... ไม่ว่ามันจะขัดกับความปรารถนาภายในหัวใจของผมมากขนาดไหน

“ซื้อเสื้อกันหนาวติดไปเพิ่มหน่อยเถอะรุ่ง ไม่รู้ว่าที่จีนจะหนาวมากไหม ซื้อติดไปเพิ่มสักตัวสองตัวนะ”

“ของเก่าก็ยังมี ตอนที่ซื้อไปเหนือครั้งที่แล้ว ร้านนี้เลย” เสียงทอดหวานไพเราะกับรอยยิ้มที่แย้มเยือนนำเราสองกลับไปสู่ความทรงจำในวันวาน

“เขนรู้... แต่เขนอยากให้รุ่งอุ่นขึ้น ซื้อติดไปก่อนนะ ยิ่งมีมากขึ้นเท่าไหร่... เขนก็ยิ่งอุ่นใจเท่านั้น” ผมรู้ว่าเหตุผลที่ผมให้มันไม่เข้าท่า แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้โยเยในตอนต้นถึงเดินรุดหน้าเข้าร้านไปก่อนในตอนนี้ จนผมอดที่จะยิ้มกับท่าทีกระตือรือร้นนั้นไม่ได้ ก่อนที่จะแอบถอนหายใจเบา ๆ และก้าวติดตามไป

ทำทุกชั่วโมงให้มีค่า เก็บเกี่ยวทุกนาทีแห่งความสุข และทำทุกวินาทีเพื่อเธอ

หากต้องยอมรับ... ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าจะเสแสร้งอดทนเข้มแข็งแค่ไหน... ความเป็นจริงที่เราสองคนต้องเผชิญอยู่ก็กำลังกัดกิน และช็อคประสาทของผมทีละนิด

“เขน” จึงทำให้ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียก ก่อนที่จะอดขำออกมาไม่ได้

“ฮึ้ย... ขำอารายอะ ช่วยดึงหน่อยสิ” เสียงโวยวายทำให้ผมต้องรีบเข้าไปช่วยดึงเสื้อกันหนาวที่พันหัวพันหูของคนตรงหน้าจนยุ่งวุ่นวายออก

“อ้วนขึ้นนะเรา M ใส่ไม่เข้าแล้ว” ผมพูดไปกลั้นขำไปอย่างสุดความสามารถ หากไม่หลอดพ้นสายตาอันคมกริบ

“เขน! นี่นายกล้าว่าเราอ้วนเหรอ” เสียงหาเรื่องของนักเลงปากซอย ที่ทำให้ผม...

“ป... เปล่าครับที่รัก” ต้องยำเกรง

“เขนแค่คิดว่า... ไซด์ M รุ่นนี้มันคงเล็กไปแน่ ๆ เลย ไซด์ไม่ได้มาตรฐานเลยเนอะ...” คิ้วยังขมวด มุกนี้ไม่ช่วยเลย ก็ต้อง... ตามน้ำต่อไป

“แต่ผ้านุ่มดีนะรุ่ง สีครีมเข้ากับรุ่งด้วย รุ่งชอบใช่ไหมเขนรู้ ทำไงดีเสียดายจัง ” สายตาที่ยังคงมองมาพร้อมกับคำถามเดิมที่ผมไม่กล้าตอบ

“เขน!!!” เสียงดุที่จะมีนาน ๆ ครั้งของรุ่ง ทำเอาผมร้อน ๆ หนาว ๆ เลยทีเดียว

“ครับ”

“ไปหยิบ L มาเลย” มุกที่เล่นเอาเงิบ ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนดังลั่นห้องลองเสื้อ

“ชู่ว์... เขน อายคนอื่นเขา หัวเราะเบา ๆ สิ” ก่อนที่ผมจะถูกตีรัว ๆ และหัวเราะจนน้ำตาเล็ดไปพร้อม ๆ กัน

เพียงอาทิตย์เดียว... ระยะเวลาเพียงอาทิตย์เดียว... เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเสียงหัวเราะสดใสทุ้มกังวานของคนรักของผมยังดังก้องติดตรึงภายในหัวใจ หากระยะเวลาเพียงชั่วพริบตาที่โชคชะตาได้กระชากดวงใจของผมออกไปจากอกอีกครั้ง

 

ดวงตาคมกริบเรียวยาวของชายที่ทอดกายนอนฟุบอยู่ที่ตั่งไม้ ‘ตัวเดิม’ ริมระเบียง ค่อยเปิดขึ้นก่อนที่จะกะพริบเล็กน้อยเพื่อปรับระดับความเข้มของแสงสีส้มที่ยังคงจับต้องสาดทอดทอแสงผ่านริมระเบียงเข้ามา

หยาดน้ำตาที่ยังคงรินไหล... กับ ‘ภาพสุดท้ายในฝัน’

ภาพที่ไม่ได้เห็นมานานกลับแจ่มชัดในหัวใจ และเลือนหายในชั่วพริบตา สร้างความเจ็บแปลบสะท้านสะเทือนในหัวใจจนเหลือจะกล่าวสิ่งใด

‘ใคร... คนนั้น’ ที่พันผูกลึกซึ้งในวิญญา ยังคงเฝ้ารอคอยเพรียกหา...

‘ใคร... คนนั้น’ ที่หัวใจแสนหวนหา คลับคล้ายใกล้เคียง...

หากใจยังฟ้องว่า...มิใช่

น่าแปลกคือ ‘ใคร...คนนั้น’ ไม่เคยย่างกรายเข้ามาสอดแทรกอยู่ในความฝันได้เลยในยามที่ดวงใจอันเป็นที่รักอยู่ข้างกาย หากเพียงชั่วอึดใจที่ร่างที่มีวิญญาณคงอยู่โดยไร้หัวใจ ภาพ ‘ใคร...คนนั้น’ มักย้อนมาสร้างความปวดแปลบในทรวง

‘ใคร...’

กลิ่นหอมฟุ้งอ่อนหวานรัญจวนใจดึงสติ ออกมาจากห้วงความคิดที่วนวก รอยยิ้มที่ผุดขึ้นเพียงเพราะ... ความคิดถึง ‘เจ้าของช่อดอกไม้’ ผมกำลังใกล้เคียงคนบ้า

ผมยอมรับ รอยยิ้มเกิดขึ้นพร้อมกับร่องรอยของน้ำตา

หากแต่ได้ขึ้นชื่อว่า.... ‘บ้ารักรุ่ง’ ผมยอม

ปลายนิ้วเรียวยาวไล้แตะกลีบดอกสีขาวอย่างแผ่วเบาด้วยแสนรักแสนคะนึงหา ก่อนที่จะประคองดอกไม้งามไว้แนบอกอีกครั้งและพยุงกายค่อย ๆ ลุกขึ้น หากความปวดที่แทรกขึ้นมาในเสี้ยววินาทีทำให้ร่างสูงซวนเซทรุดนั่งลงอีกครั้ง

‘ปวดหัว’ เพราะนอนทับตะวัน กระมัง...


“พี่ว่าอาหารแมวมันกินได้ปะ โคตรหอมเลย”

“มันมี อ.ย. ด้วยนะพี่ อย่อย... ใช่ไหมเหมียว”

“เฮอ...” เด็กแสบที่แวะมาป่วน (ขอกินข้าว) ในช่วงค่ำยังไม่ไม่ยอมกลับบ้านไปง่าย

“ไหนบอกว่าไม่ชอบดูบอล”

“ผมไม่ได้มาหาพี่ ผมมาหาเหมียว” คำตอบของเขาที่ห่างไกลกลับความเป็นจริง.... ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าจะมาแย่งเหมียวกินข้าวน่าจะถูกมากกว่า ผมได้แต่ถอนใจแม้จะรู้... เขาทำตามใบสั่ง

 

“พี่ไปแล้ว...ฮรึก...แล้ว... แล้วใคร” เด็กโค่งกอดพี่ชายร่างบางของเขาไว้แทบทั้งตัวที่หน้าประตูทางเข้าสนามบิน พร้อมร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบที่ครอบครัว และน้องชายแท้ ๆ ของเขายังยืนอึ้ง และคนรักยังแอบจะอิจฉาไม่ได้ ‘มึงกอดเมียกู อีกแล้วเฟรม’

“แวะไปหาพี่เขนด้วยนะ น้องกีตาร์ก็ยังอยู่ เครื่องดนตรีก็ยังอยู่ที่เดิม” หากพี่ชายที่ยิ้มรู้ทันทำให้เด็กโยเยเขินอาย ก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่อง

“ผมเบื่อบอล”

“หืม...”

“พี่เขน ชอบชวนดูแต่บอล” นั่นไง

“ก็... ปิดเสียงไว้ให้พี่เขนดูแต่ภาพไง เฟรมก็เล่นดนตรีไป ไม่ต้องนั่งดูด้วยกันก็ได้”

“พี่รุ่งไม่อยู่ พี่เขน แม่งดุ... เผด็จการ” ในที่สุดก็เป็นความผิดของผมจนได้

“ก็ไลน์บอกพี่” ไม่ค่อยเข้าข้างกันเลย

“ผมจะไลน์ 24 ชั่วโมงเลย พี่อย่าลืมคิดถึงผม”

“อืม”

นี่ถ้าเมื่อก่อนเขาไม่ได้ทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ผม ผมก็ควรจะระแวงศัตรูหัวใจที่อยู่ใกล้ตัวคนนี้ให้มาก หากเมื่อมันมานอนแผ่ดีดกีตาร์ดูบอลเป็นเพื่อนจริง ๆ ก็ทำให้รู้ว่านอกจากทำตามคำสั่งของพี่ชายเขาแล้ว เขาก็ยังเผื่อแผ่ความเป็นห่วงมาให้ผมบ้างนิดหน่อยด้วย

“ง่วงว่ะพี่”

“ไป... กลับไปนอนไป เดี๋ยวพี่ก็จะนอนเหมือนกัน”

“อืม... เดี๋ยวพี่รุ่งก็ถึงแล้วป่ะ เดี๋ยวก็คงโทรมา งั้นผมกลับก่อน”

“อืม ขับรถดี ๆ”

“เออ...พี่ นมลูกเหมียวที่เหลือในขวด เดี๋ยวผมช่วยกินนะ พรุ่งนี้พี่ได้เปิดกล่องใหม่ ให้เด็ก ๆ กินนมที่เก็บไว้หลายวันมันไม่ดี” ผมได้แต่กุมขมับก่อนพยักหน้าให้กับเหตุผลแม่น้ำทั้งห้าที่ถูกชักมาให้เหตุผล

 

เฟรมกลับไปพร้อมกลับความเงียบเหงาที่กลับมาหาผมอีกครั้ง ด้วยร้านขนมที่ปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ และปีกชั้นบนอีกฟากที่ยังหาคนมาเช่าไม่ได้ ตึกทั้งตึกจึงมีผมเพียงคนเดียว...

ท่ามกลางความมืดกับแสงสลัวริบหรี่จากโคมไฟที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือริมห้องไม่อาจส่งแสงแรงกล้ามาได้ถึงบริเวณหน้าระเบียง ลมเย็น ๆ ที่พัดพาน้ำค้างยามค่ำคืนเข้ามาให้ความสดชื่นและหนาวเหน็บในเวลาเดียวกัน ในขณะที่ผมค่อย ๆ นั่งแก้ริบบิ้นสีแดงสด และแยกเจ้าดอกไม้แสนสวยออกจากช่อ ก่อนที่จะริดเกสรด้านในทิ้ง

“ฝากไว้ก่อน... เขนรู้ใช่ไหม”

“เขนรู้...” เจ้าดอกลิลลี่ที่ไม่สามารถเดินทางไปพร้อมเจ้าของได้ ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไรรุ่งรักลิลลี่ทุกดอกที่ผมเป็นคนให้ เขาเก็บทุกดอกที่ผมให้ ผมจึงต้องสานหน้าที่นั้นต่อให้สำเร็จเสร็จสิ้น ก่อนที่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์จะดังขึ้นให้ต้องละมือจากกิจกรรมทั้งหมดทั้งมวล

“รุ่ง...”

“ทำอะไรอยู่” เสียงใสจากปลายทาง โชคดีที่เครื่องมือสื่อสารสมัยนี้ช่วยให้คนที่หวนหาแสนไกลเหมือนดังกำลังปรากฏตัวมากระซิบที่ข้างหู

“คิดถึง ‘ใครบางคน’ อยู่”

“อิจฉา ‘ใครคนนั้น’ จัง”

“รุ่งก็คิดถึงเขนบ้างสิ เขนจะได้อิจฉาตัวเองบ้าง”

“เป็นมากนะนี่ เฟรมแวะมาเล่นไหม...”

“ต้องถามว่าแวะมาป่วนไหม... นี่ขนนมลูกเหมียวกลับไปเกือบหมดตู้เย็นแล้วมั้ง” เสียงหัวเราะสดใสที่ดังแว่วเติมความชุ่มชื่นให้หัวใจแห้งผาด

“เอาน่า น้องยังเด็ก”

“เหอะ...รุ่งเข้าข้างอะ”

“ใครว่า รุ่งอยู่ข้างเขนเถอะ อืม... นี่มาถึงสักพักแล้ว เข้าที่พักเก็บของเสร็จ แล้วรีบโทรมาเลย เพราะรู้ว่ามีคนคิดถึง”

“คิดถึง... คิดถึงมาก... คิดถึงใจจะขาดแล้วรุ่ง...”

“ฮือ... ไม่กี่ชั่วโมงเองเขน”

“จริง ๆ นะ”

“ครับ เชื่อแล้ว”

“แป๊บเดียวนะเขน”

“ครับ แป๊บเดียว...” เสียงจากปลายสายทั้งสองเงียบลง หากสองดวงใจที่กำลังจูนหาคลื่นส่งผ่านกำลังใจให้แก่กัน

ผมเชื่อ... ไม่ว่าคนที่ต้องเดินทางไกลพลัดบ้านพลัดเมือง หรือคนที่ต้องอยู่คนเดียวที่ ‘บ้านของเรา’ ต่างก็ต้องทนต่อสู้ฝ่าฟันกับความคิดถึงที่ถาโถมมากมายไม่ต่างกัน

“ทำอะไรอยู่” คำถามแรกที่ย้อนกลับมาถามอีกครั้ง เพื่อขจัดความเงียบงันภายในหัวใจ

“หัดจัดดอกไม้...”

“เวิร์คไหม...”

“ระดับนี้แล้ว”

“ระดับนี้นี่ ระดับไหน...”

“ระดับคนรักของรุ่งไง ไม่เชื่อรีบกลับมาดูผลงานนะครับ” ผมพูดพร้อมกับยกดอกลิลลี่สีขาวนวลขึ้นมาชิดชม ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงความแตกต่างสำหรับคนไปส่งกับคนที่เดินทาง...

“เหนื่อยไหม... รุ่ง”

“นิดหน่อย”

“อาบน้ำหรือยัง”

“ไม่อาบได้ไหม” เสียงอ้อนที่ทำให้อยากจะหายตัวไปบีบจมูกเล็ก ๆ ซะวินาทีนี้ หากแต่เมื่อทำไม่ได้...

“อาบน้ำก่อนนะครับคนดี แล้วนอนพักผ่อนนะ พรุ่งนี้ก็ต้องเข้าบริษัทแล้ว”

“เขนก็เหมือนกันนะ”

“ครับผม” ผมต้องเป็นเด็กดี

“รีบนอนนะ”

“ครับผม” ผมต้องว่าง่าย

“อาบน้ำก่อนนะ”

“ครับผม” เพื่อรอคอยเจ้าของดวงใจ

“รักนะ”

“ครับ รักเหมือนกันครับ”

“ไม่ ‘ครับผม’ แล้วเหรอ”

“ครับผม” ผมรู้ว่าเขากำลังยิ้มเพราะผมกำลังยิ้ม

“รอนะ”

“เขนจะรอรุ่งคนเดียวนะ”

“ครับผม” เสียงตอบล้อเลียนอ่อนหวานแผ่วเบา... ก่อนที่การสัญญาณการติดต่อข้ามโลกจะขาดหายไป พร้อมกับเขาทั้งสองข้างที่ลุกขึ้นหยัดยืนด้วยพลังใจที่กล้าแข็ง

‘เขนจะรอ... เขนจะรักรุ่งคนเดียว...’

‘ยอดดวงใจ’



#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: ฺWIND 19.03.2018
«ตอบ #154 เมื่อ19-03-2018 11:15:55 »

Chapter XXIV: WIND

 



วิ้ว... วิ้ว... สายลมหนาวเหน็บ พัดโบกแรงผ่านช่องตึกสูงระฟ้าทำให้เกิดเสียงดังหวีดหวิว

แสงไฟในย่านธุรกิจของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ส่งแสงระยิบระยับงดงามจับตา หากวิวทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจในเบื้องหน้าไม่ได้ช่วย... บรรเทาความทรมานร้าวลึกในหัวใจ

เสียงถอนหายใจแรงดังขึ้น ก่อนที่ร่างบางของชายหนุ่มที่ยืนหยัดเดียวดายอยู่หน้าระเบียงจะค่อย ๆ สูดเอาอากาศที่หนาวเย็นภายนอกเข้าไปกรีดลึกเติมซ้ำย้ำความเจ็บปวดภายในหัวใจ

อีกครั้งแล้วสินะ...  ความห่างไกลอีกครั้ง ที่ทำให้หัวใจหวิวหวามหวาดกลัวจับขั้วหัวใจทุกครั้ง แม้ครั้งนี้เครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในมือจะช่วยย่อโลกให้เข้ามาใกล้ และสามารถส่งผ่านได้แม้แต่เสียงลมหายใจของคนรักที่อยู่ไกลห่าง หาก... มันไม่ได้ช่วยส่งผ่านความอบอุ่นของอ้อมแข็งแกร่งมาเติมเต็มความรู้สึกขาดหาย... ภายในหัวใจได้เลย

ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า? หากไม่รู้ทำไมความสัมพันธ์ระหว่างสองเรา มักมีเรื่องของระยะทางและความห่างไกลมากร่ำกรายกลางกั้นสม่ำเสมอ แม้มันเป็นเหมือนเครื่องพิสูจน์ความมั่นคงภายในหัวใจของเราตลอดมา หากก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้หัวใจเจ็บปวดร้าวรานเสมอ...

‘ไม่ใช่ผมอยากมา...’ หากมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมสามารถปฏิเสธเฉกเช่นเดียวกัน

ในการทำงานที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็น ‘พนักงาน’ ไม่ว่าคุณจะมีความสามารถเก่งฉกาจมากมายขนาดไหน... ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงสถานะความเป็น ‘ลูกจ้าง’ ที่ไม่สามารถทำทุกอย่างตามแต่ใจ ตามแต่ความปรารถนาของตนได้อยู่นั่นเอง

ผมไม่ปฏิเสธว่าการได้รับโอกาสมาทำงานที่นี่ เป็นความท้าทาย และต่อยอดการเรียนรู้ในสาขาวิชาชีพ พร้อมทั้งมุมมองธุรกิจอย่างมหาศาลในชีวิตการทำงาน หากแต่มันก็กำลังสะกิดบาดแผลเล็ก ๆ แผลเดิมที่ไม่มีวันจางหายไปจากหัวใจ

“เขนจะรอรุ่งคนเดียวนะ” ประโยคเดิมที่เขาบอก คำพูดเดิมที่เขาบอก

แทบจะทำให้ขาดใจ... ผู้ชายคนนั้นเป็นเช่นนั้นเสมอ...

‘เขนจะรอ.......สัญญาว่าจะรอ.......รุ่งคนเดียวเสมอ’

ภาพเด็กผู้ชายคนนั้นยังตราตรึงอยู่ในความคิดของผม แม้เขาจะไม่มีวันจำได้ หากมันทำให้คนที่ไม่เคยลืม... เช่นผมอดที่จะยิ้มด้วยความภาคภูมิใจพร้อมกับกำลังสะกิดบาดแผลเก่าในหัวใจในเวลาเดียวกัน

ใครจะไม่อยากให้คนรักจำเหตุการณ์ความทรงจำระหว่างสองเราที่มีให้กันได้

หากแต่... ถ้าไม่ได้ หากเขาคนนั้นก็ยังคงรักมั่นเสมอ... เพียงแต่เรา

มันก็ให้ความรู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจอยู่เช่นนั้น

 

“มาที่นี่ทำไมล่ะเขน?” ผมถามด้วยความประหลาดใจ ด้วยห้วงเวลาการเตรียมตัวที่กระชั้น หากไม่เทียมเท่าเวลาเตรียมใจที่ทำให้ผมแทบไม่อยากขยับไปไหน ถ้าไม่ใช่เพียงเพราะ... ‘เขา’ ผู้เป็นคนพามา

“ซื้อเสื้อกันหนาวติดไปเพิ่มหน่อยเถอะรุ่ง ไม่รู้ว่าที่จีนจะหนาวมากไหม ซื้อติดไปเพิ่มสักตัวสองตัวนะ”

“ของเก่าก็ยังมี ตอนที่ซื้อไปเหนือครั้งที่แล้ว ร้านนี้เลย” ผมยิ้มให้กับความทรงจำในวันวาน

สองปี... แล้วสินะ

หน้าหนาวในสองปีที่แล้วที่เราได้กลับมาพบกันอีกครั้งก่อนที่จะขึ้นไปลำปาง ร้านเสื้อร้านเดิมที่เราเคยมาซื้อด้วยกัน ผมยังจำ... ความรู้สึกระทึกภายในหัวใจในวันนั้นได้แจ่มชัด เสมือนมันเกิดขึ้นเมื่อวาน...

“เขนรู้... แต่เขนอยากให้รุ่งอุ่นขึ้น ซื้อติดไปก่อนนะ ยิ่งมีมากขึ้นเท่าไหร่... เขนก็ยิ่งอุ่นใจเท่านั้น” ประโยคธรรมดาที่ทำให้หัวใจกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง พร้อมกับความตื้นตันมากมายที่ถาโถม จนทำให้น้ำตาเอ่อล้น

เป็นอีกครั้งที่... เขาทำเช่นนี้

ผมควรจะดีใจหรือเสียใจ... ที่เหตุการณ์เดิมของ ‘เดฌาวูว์’ กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง

ครั้งแรกที่ผมเดินทางไปอังกฤษ ผมก็ไม่ได้จัดกระเป๋าเอง หวังว่าคุณจะเข้าใจความรู้สึกที่มากมายท่วมท้นเอ่อล้นหัวใจของผมอยู่ในตอนนี้ และมันยิ่งทำให้ผมต้องการ...

“อืม...” สัมผัสเรียบลื่นเนียนนุ่มของหมอนอุ่นที่รายล้อมพร้อมกับผ้านวมผืนใหญ่บนเตียงกว้างอำนวยช่วยให้การนอนหลับเป็นไปอย่างเต็มตื่น หากแต่เพียง... มือบางค่อย ๆ ลูบไล้เอื่อยช้าควานหา... ร่างอุ่นแข็งแกร่งที่เคยคลอเคล้าเคียงข้าง

‘ไม่อยู่... ไปไหน...’

การต่อสู้ภายในของความฝันกับความจริงยืดเยื้อติดพัน หาก ‘ความหวนหา’ ทำให้ฝืนดันกายออกมาจากผ้านวมนุ่มที่ห่อหุ้มได้สำเร็จ ก่อนจะสอดส่ายสายตาแลหา

“เฮอ...” อดไม่ได้จะทอดถอนหายใจให้กับ...

ระยะเวลาเพียงไม่นานที่ใช้ในการควานหาเสื้อนอนสีขาวบางนุ่มที่ไม่รู้อยู่ส่วนไหนของเตียง หากเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปสำหรับการติดกระดุมเม็ดเล็กที่เรียงราย แต่มันก็ทำให้สามารถรวบรวมสติที่โบยบินกลับมาได้ในเวลาเดียวกัน ก่อนที่จะก้าวลงจากเตียงมุ่งตรงสู่...

“เขนทำให้ตื่นเหรอคะ”

ร่างสูงที่นั่งจัดกระเป๋าอยู่หน้าตั่งไม้ กับข้าวของมากมายที่เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการเคลื่อนย้ายจากอีกห้องหนึ่งมาที่ห้องนี้ด้วยความเงียบเชียบในความมืดมิด พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่เปิดกว้างแผ่หลาอยู่ที่พื้น

“อือ.....” หากมันเป็นความจริงไม่ใช่หรือ ก็เขนไม่อยู่... ที่ทำให้ผมตื่น

“เขนขอโทษ” ผมถอนใจเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าให้กับ ‘ความจงรัก’ ของผู้ชายคนนี้ ก่อนที่ยืนพิงยืดเอากรอบประตูไม้ที่เชื่อมกึ่งกลางระหว่างห้องเป็นหลักยืดร่าง ก่อนจะถามไปหาวไป

“หาว... แล้วเขน... มาทำอะไรตอนนี้ล่ะ”

“เขน.....” เสียงอึกอักของผู้ชายตรงหน้า กับสายตาที่กำลังปรับภาพของผมทำให้เริ่มเห็นโครงร่างที่รางเลือนชัดเจนขึ้นในแสงจากโคมไฟอันริบหรี่

“นอนไม่หลับเหรอ...” รอยคล้ำใต้ตาเป็นหลักฐานฟ้องทุกสิ่ง จนจำเลยที่มิอาจกลับคำให้การได้พยักหน้ายอมรับเบา ๆ ความผิดจึงลดลงไปครึ่งหนึ่งเมื่อจำเลยให้ความร่วมมือกับรูปคดี

ผมจึงก้าวเดินต่อไปเพื่อหาหลักยึดที่อุ่นกว่าเบื้องหน้า... แผ่นหลังกว้างแข็งแกร่งที่แผ่กระจายความร้อน มัดกล้าม และเนื้อแท้ที่ลูบลื่นน่าสัมผัส ความง่วงมึนงงที่ทำให้ซวนเซซบลง และชวนให้แนบหูฟังเสียงหัวใจที่เต้นแผ่วเบา...

“ไม่หนาวเหรอ...” คำถามที่กระซิบแผ่วเบากับคนจัดกระเป๋าที่ไม่ยอมใส่เสื้อ พร้อมกับสอดวงแขนกอดกระชับจากด้านหลัง

“อุ่นแล้วครับตอนนี้” คำตอบที่ทำเอากลั้นยิ้มไม่อยู่

“เขนนอนไม่หลับทำไมไม่ปลุกรุ่งล่ะ”

“ก็พรุ่งนี้รุ่งต้องเดินทาง เขนอยากให้รุ่งพักผ่อน...”

“แล้วตื่นมานั่งจัดกระเป๋าคนเดียวนี่นะ รุ่งจัดเองพรุ่งนี้ก็ยังทัน”

“เขนอยากทำให้ ให้เขนทำให้เถอะนะ”

“แล้วเขนจะให้รุ่งนอนได้ยังไง... จริงไหม...”

“จะเสร็จแล้วครับ เดี๋ยวเขนรีบตามไปนะคนดี”

“ไม่อะ... จะนอนตรงนี้ ถ้าไปนอนก็ต้องไปนอนพร้อมกัน”

“แฟนใครน่ารักที่สุดในโลกเลย” ผมได้แต่ส่ายหน้ากับหลังกว้าง เขนไม่รู้หรอกว่าประโยคนั้นถ้าจะให้ถูกผมต้องคนพูดเป็นมากกว่า

ในความโชคร้ายที่สุด... ผมก็เป็นโชคดีที่สุดเสมอมา

เพียงเพราะมี... เขา

 

“เสร็จแล้วครับ”  เสียงกระซิบข้างหูปลุกผมจากการงีบสั้น ๆ อันแสนสุข

“อือ...”

“ไปนอนกันเนอะ” ผมพยักหน้า หากมันยากมากที่จะต้องตัดใจผละจากความอบอุ่นที่ซุกซบอยู่ ณ ขณะนี้

“มาเร็วไปนอนกัน ลุกขึ้น... อื๊บ” ร่างของผมถูกแกะออกจากแผ่นหลังอย่างนุ่มนวล ก่อนจะถูกดันให้ลุกขึ้น

“ใจร้าย...”

“รุ่งไปนอนก่อนนะ เดี๋ยวเขนปิดกระเป๋าแล้วเดี๋ยวตามไปนะครับ”

“ม่าย...อะ ถ้าไป... ต้องไปด้วยกัน” ผมส่ายหัวพร้อมกับตาที่ยังคงลืมไม่ขึ้น

“อย่างอแงนะคะ” ประโยคกระซิบแผ่วเบา... ปลอบโยน หากกลับเปิดเผยชัดเจนคำว่ารักในสายตา’ ที่ผสมผสานความเอื้ออาทรทะนุถนอมและแสนเอ็นดู สร้างความอบอุ่นวาบขึ้นในหัวใจเปี่ยมล้น ทำให้ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะรวบรวมเศษเสี้ยวความกล้าที่กระจัดกระจายไปทั่วหัวใจที่กำลังหวั่นหวามอ่อนยวบ

“ม่าย...” ก่อนที่จะแบะปากและยืนยันคำเดิม ‘เรื่องอะไรจะไล่กันไปนอนหนาวคนเดียว... นี่คืนสุดท้ายนะ’

“งั้น... อะ รุ่งนั่งทับกระเป๋าให้หน่อยเดี๋ยวเขนรูดซิป” ตาที่เคยลืมไม่ขึ้นเบิกขึ้นอย่างฉับพลัน ‘แค่เถียงไม่ขึ้น นี่ถึงขนาดต้องใช้กันเลยนะเขน...’ ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะแล่นขึ้นมาฉับพลันในหัว

“รุ่ง.....” เสียงโวยวายที่หาความจริงใจได้ไม่

“ก็... ให้นั่งทับ” ผมกระซิบตอบข้างหูก่อนที่ฝังจมูกลงไล้ที่ลอนผมยุ่งฟู

“ก็ให้นั่งทับกระเป๋า” เห็นได้ชัดว่าคนเถียง ‘ปากไม่ได้ตรงกับหัวใจ’ เพราะความปรารถนาของตรงหน้าที่ไวต่อสิ่งเร้าและการกระทำตอนนี้... อ้อมแขนที่กอดกระหวัดสองมือที่ลูบไล้ใต้เนื้อผ้า ซื่อสัตย์กว่าคำพูดเป็นไหน ๆ

“ก็ไม่อยากนั่งทับกระเป๋า… อยากนั่งทับคน” และเมื่อริมฝีปากบางของคนเบื้องล่างเตรียมขยับที่จะเถียงข้าง ๆ คู ๆ ต่อ ผมก็ตัดสินใจได้ว่าคำพูดทุกคำไม่น่าจะมีความสำคัญอีกต่อไป ในเมื่อความหวานลึกล้ำในรสสัมผัสเนียนแนบเป็นคำตอบให้กับทุกสิ่งได้ครบถ้วนสมบูรณ์…

 

ความห่างไกล... กัดกินทรมาน หากในวันนั้นแตกต่างจากวันนี้...

ผมคงไม่สามารถเทียบเคียงเปรียบเปรยว่า... ความเจ็บปวดเพราะความรักที่ไม่สมหวัง หรือความเจ็บปวดเพราะความรักที่ถูกพรากจากให้ห่างไกล

สิ่งใดรวดร้าวกว่ากัน

หากผมรู้ชัดในความรักคงมั่นที่ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งมีให้ผมเสมอมาและตลอดไป ‘ช่อลิลลี่’ สีขาวสวยสดงดงาม ที่แม้จะมีน้อยคนที่รู้ลึกซึ้งถึงความผูกพันสลับซับซ้อนของเรื่องราว หากผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งเน้นย้ำซ้ำเตือนให้ครอบครัวของผม คนรอบข้างของผม และตัวผมเอง... ‘รู้’… ไม่ว่าอย่างไร...

“ฝากไว้ก่อน... เขนรู้ใช่ไหม”

“เขนรู้...”

อีกครั้งที่สองเราต้องพรากจากกัน ด้วยระยะทางแสนห่างไกล...

อีกคราสายลมเย็นจัดพัดแรงกรัดกร่อน ความรู้สึกเปราะบางภายในหัวใจ...

 

หาได้รู้ไม่... ‘ธาตุใดแกร่งเท่า... ทาสรัก’

หากหัวใจของเราสอง ‘รู้’ ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอ...



#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: ฺKNOW 19.03.2018
«ตอบ #155 เมื่อ19-03-2018 11:24:48 »

Chapter XXV: KNOW

 

“เฮือก... รุ่ง...” ผมสะดุ้งตื่นขึ้น พร้อมกับรวบรวมสติของตัวเองกลับมาจากความฝันที่วุ่นวายวกวน ณ ช่วงเวลาสั้นๆ ที่โลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความจริงทับซ้อน ก่อนที่... ทุกอย่างจะรางเลือนหายไป...

ความฝันไม่เคยเป็น... ความจริง หากแต่ผมปฏิญาณกับตัวเองไว้ แม้ความจริงไม่เคยเป็นได้ดังฝัน แต่ผมจะมุ่งมั่นพยายามและทำทุกทางให้ความใฝ่ฝันเป็นจริง

เพราะ ‘รู้’ ณ ที่แห่งนั้นมี ‘ยอดดวงใจ’ เฝ้าคอย

ดึกดื่นค่อนคืนเป็นเวลาหลายคืนแล้วที่ผมนอนหลับไม่เต็มตาและสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก การนอนคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อครั้งหนึ่งเคยมีคนข้างกายที่เคยนอนกกกอดไว้ในอ้อมอกทุกคืน

อากาศเย็นจัดกับหยาดน้ำค้างที่ประพรมพื้นเฉลียงระเบียง ทำให้ผมตัดสินใจเปิดประตูรับลม และความสดชื่นยามค่ำคืนเข้ามาในห้อง ทดแทนสายลมประดิษฐ์ของเครื่องปรับอากาศ

ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนบนตั่งไม้เพื่อสดับรับฟังเสียง... จิ้งหรีดเรไรตัวน้อยในสวนเล็ก ๆ หลังวังที่ร้องระงม และสูดลมหายใจลึก ๆ เก็บเกี่ยวลมเย็นที่พัดมาจากสถานที่อันห่างไกลเข้าไปบรรเทาเบาบางความเงียบเหงาภายในหัวใจ และแหงนหน้ามอง...

‘พระจันทร์... ดวงเดิม ดวงเดียว ในหัวใจ’

แสงอ่อนนวลที่เปล่งประกายทองแสงเจิดจ้าในคืนเดือนหงายราวกับจะปลุกปลอบประโลมหัวใจดังมิตรแท้ หากยังคงไม่สามารถบรรเทาเบาบางความคิดถึงหวนหา... เสี้ยวหน้าเรียวอ่อนบางที่ยกยิ้มในความทรงจำ

คืนทุกข์... คืนสุข... คืนเศร้า... คืนหวาน... คืนเหงา... ความทรงจำมากมายระหว่างสองเรา...

ผมยิ้มให้กับคืนที่ต้องยืนหยัดเดียวดาย... กับเจ็บปวดในคำปฏิเสธครั้งแรก

ผมยิ้มให้กับคืนที่ไหวหวั่นสั่นหัวใจ.... คืนค่ำสุดท้ายที่เราจากกันที่ลำปาง

ผมยิ้มให้กับคืนที่สมองรวดร้าว... หากโจ๊กถ้วยเดียวที่เปลี่ยนทุกสิ่ง

ผมยิ้มให้กับความปรารถนา... ที่กลับกลายเป็นความจริงในวันเด็ก

ผมยิ้มให้กับความสุข... ของระยะเวลาหนึ่งปีที่เราอยู่เคียงคู่กัน

ผมยิ้มให้กับรุ่งอรุณสุดท้าย... ที่ใช้เวลาทุกวินาทีร่วมกันบนตั่งตัวนี้

เสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอกลับมาอีกครั้งพร้อมสติที่เริ่มล่องลอย...

‘พี่ชาย...’ความอบอุ่นในวันวานเยียวยาความเหงาในหัวใจ รอยยิ้มที่ฉาบเคลือบใบหน้าคมที่ต้องสะท้อนแสงจันทร์เปี่ยมสุขมากมายในความฝัน

หากเจ้าตัวหาได้รู้ไม่... หน้านวลลอออองของ... ‘ชายในฝัน’

ทับซ้อนซ่อนเร้นดวงวิญญา... หากหาใช่...

 

ผมรู้ทุก ๆ อย่างแปรเปลี่ยนเคลื่อนไปตามกาลเวลา หากอย่างน้อยสิ่งเล็ก ๆ ก็สร้างรอยยิ้มและกระตุ้นการทำงานของหัวใจ... เสียงแรกของเช้าวันใหม่... ยังคงเป็นเสียงของคนคนเดิม

“ตื่นได้แล้ว... เขน”

“อืม...ครับ คิดถึงจังเลย”

“รู้แล้ว...  อาบน้ำแต่งตัวไปทำงานนะ เดี๋ยวรุ่งเข้าประชุมก่อน ตื่นนะเขน...”

“ครับ”

 “อย่านอนต่อนะ”

“ครับผม”

“คิดถึงนะ”

“ครับที่รัก” ประโยคสนทนาสั้น ๆ ของคนคุยไม่เก่งจบลงซ้ำ ๆ แบบเดียวกันในทุก ๆ เช้า หากมันย้ำชัดความมั่นคงซื่อตรงในหัวใจของเราทั้งคู่

ภาพในห้องประชุม กับอารมณ์ขันที่แสนมีเสน่ห์ของเจ้าของภาพที่บรรยายมาทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้

‘อยากกินซาลาเปา’ แน่นอนว่าภาพที่ส่งมา... ไม่ใช่ของกิน หากเป็นหน้าคนที่กลมดิกที่เรียกได้ว่าแต้มจุดก็กินได้เลย

‘เอิ่ม... 5555555’ ไฟแดงอีกสามสิบวินาที ผมใช้เวลาให้คุ้มค่าโดยการหามุมที่หล่อที่สุด และทำภารกิจรายงานตัว

’อาบน้ำเสร็จแล้ว น่ากินกว่าไหม’ ผมพิมพ์ข้อความลงไป ก่อนจะมุ่งหน้าฝ่าฟันการจราจรต่อไปพร้อม ๆ กับตั้งใจรอคำตอบด้วยใจจดจ่อ

‘ม่ายอะ’

‘โกหก บ้างก็ได้’

‘นี่แหละโกหก’

‘แฟนใครน่ารักจังเลย’

‘ขอหล่อบ้างได้ไหม’

‘หล่อที่สุด’

‘>//////<’

‘ขับรถอยู่นี่ หยุดเล่นโทรศัพท์เลย’

‘ประชุมอยู่นี่ หยุดเล่นโทรศัพท์เหมือนกัน’

‘ O _ o ‘

 

ผมตัดใจวางโทรศัพท์... เพราะถือคติ ‘สามีที่เชื่อภรรยาจะเจริญ’ และตั้งใจขับรถอย่างไร้สมาธิต่อไป... จะอะไรล่ะครับ ก็คนที่ประชุมอยู่ยังคงขยันส่งรูปนั่นนี่มาให้ดูอย่างไม่หยุดหย่อน

“เฮอ... แฟนใครน่ารักจริง ๆ” อย่าไปบอกคนอยากหล่อนะครับ

“โอม... จงเงยขึ้นมา... เงยขึ้นมา... เงยขึ้นมา...” เสียงที่ประดิษฐ์ร้องขึ้นมาไม่ได้ใกล้เคียงนักร้องดัง หากคล้ายคลึงการสวดภาษาเขมรดึงให้ผมต้องมนต์และเงยหน้าขึ้นมาได้จริง ๆ ด้วยความรำคาญ

“อะไร...”

“นี่พี่เป็นคนชวนผมมากินข้าว?” ไม่ต้องให้ทายผมเชื่อว่าคุณรู้ว่าใคร

“ก็ใช่ไง”

“แต่ใจคอ พี่จะไม่คุยกับผมสักคำ”

“ก็กินข้าว จะคุยได้ไง”

“แล้วได้กินสักคำยังพี่” คำถามที่ทำเอาผมนิ่งอึ้งกับอาหารที่วางเต็มโต๊ะตรงหน้า มาตั้งแต่เมื่อไหร่

“ก็... ไม่ค่อยหิว” ครับผมแถอย่างไม่ต้องสงสัย

“ถ้ากินโทรศัพท์ได้กินไปแล้วมั้ง? ไม่ใช่สิ…” เด็กแสบทำถ้าครุ่นคิดให้รอฟัง

“ถ้ากินคนที่คุยด้วยได้คงกินไปแล้ว อันนี้แน่นอน”

“เออ...” ผมก็เขินเป็นนะครับ หากเขินได้ไม่นานก็ต้องมาปัดป้องอธิปไตยในอาหารของตัวเองพัลวัน นี่เรียกให้กินเพราะสิ่งนี้ใช่ไหมไอ้เด็กแสบ

“เฮ้ย... ถ่ายรูปก่อน”

“โอย... ที่ถ่ายไปก็เท่านั้นแหละพี่เขน คนที่พี่ส่งไปให้ดูเขาถ่ายสวยกว่าเยอะ”

“ก็ จะถ่าย...” ผมบ่นมุบมิบ หากก็ยังกดถ่าย ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาอีกครั้ง

“นี่ถ้าไลน์เสียตัง เดือนกว่านี่คงหมดไปหลายล้าน” เสียงเปรยแว่วดังขึ้นก่อนจะเงียบหายไป...

“อืม” แต่งภาพเรียบร้อย... ไม่มีฝีมือเราก็ใช้แอ็พช่วย จะยากอะไร

‘น้องไก่ ทานด้วยกันนะครับ’ ก่อนกดส่งและเงยหน้าขึ้นมา

“เฮ้ย... นั่นไก่พี่”

“ก็ผมกินแทนพี่รุ่ง ไม่เชื่อพี่ลองไลน์ไปถามต่อก็ได้”

เรื่องอะไรหละครับ พี่น้องเขาเข้าข้างกันแน่นอน ทายได้เลย พี่ชายเขาต้องตอบว่า... ‘เด็กมันกำลังโต’ และกว่าจะถามจะตอบได้ก็หมดกันพอดี... น้องไก่ของผม

‘ขอนอกใจสัก 10 นาทีนะครับ ที่รัก’

 

การพลัดถิ่นฐานบ้านเกิด... ทำให้การทำงานที่ถึงแม้เป็นรูปแบบเดิม ๆ เหนื่อยหนักมากมายกว่าเดิมหลายต่อหลายเท่า จนทำให้แทบจะเอาชีวิตไม่รอดในห้องประชุมในทุก ๆ วัน และหลับใหลสลบลงแทบทุกคืน หากเมื่อตื่นมาแล้วพบภาพที่ถูกส่งมาตอนตีสามกว่า...

‘พระจันทร์... ดวงเดิม ดวงเดียว ในหัวใจ’

ก็ยิ่ง... ตอกย้ำให้หัวใจ ‘รู้ซึ้ง’ ความปรารถนาที่แท้จริงคืออะไร

‘น้องไก่ ทานด้วยกันนะครับ’ ข้อความที่ทำให้เผลอยิ้มอยู่กลางห้องประชุมที่เคร่งเครียด และยังหาข้อสรุปไม่ได้ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้า

‘นอกใจเหรอ’ ผมกดพิมพ์ไปทั้ง ๆ ที่รู้... ใครคนนั้นไม่มีวัน

ก่อนที่ถอนใจเบา ๆ เก็บเกี่ยวรอยยิ้มและความสุขไว้ในหัวใจและเงยหน้าขึ้นมาต่อสู้กับศึกเบื้องหน้าต่อไป ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด ที่ต่างคนต่างคร่ำเคร่งพิจารณากับข้อมูลการวิเคราะห์ Feasibility โครงการใหม่ที่ผมจดจำได้ทุกหน้า ทุกตัวเลข ทุกตัวอักษรเพราะเป็นคนใช้เวลาเกือบเดือนในการปลุกปล้ำทำเองมากับมือ

หากกลับพบสายตาใครคนหนึ่ง... ที่ตั้งใจมอง และผมก็ไม่ได้สนใจ

ก็จะให้ทำอย่างไร... ก็คนมันมีความสุข

ถ้าเขาจะทุกข์เพราะตัวเขาเองที่ไม่ยอมหยุด ถ้าเขาจะทุกข์เพราะตัวเขาเองที่ไม่เคยจำ มันก็เรื่องของเขา

“คุณอาร์ท... คุณอาร์ท”

“อะไร...”

“เอ่อ... ขอโทษครับ ตกลงเรื่องที่ดินยังคงติดข้อกฎหมายในการถือครองตรงนี้ครับ” ในที่สุดสายตาที่ก่อกวนใจผมเล็กก็หลุดเลื่อนเลือนหายไป

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่เขาคนนั้นคือเหตุผลในการที่ผมถูกเรียกตัวมาเตรียมความพร้อมในการเปิดสาขาใหม่ในต่างประเทศครั้งนี้ ที่จะถือเป็นการกลั่นแกล้งก็เรียกได้ หากพี่ชายของผมกลับให้มุมมอง

“เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเรารุ่ง ใจเราใครที่ไหนจะมาบังคับได้ จริงไหม” ผมได้แต่พยักหน้ารับ หากความโกรธเคืองในใจมันก็ไม่ได้หมดหายไปง่าย ๆ เพราะผมก็ยังคนเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อ

“ครับ ผมมั่นใจหัวใจตัวเอง แต่ผมก็ไม่ได้อยากไป นี่ครับพี่”

“ถ้าอย่างนั้น เอาใหม่ ถ้าไม่มีเรื่องคุณอาร์ท ไม่มีเรื่องเขน ไม่มีเรื่องความรัก แล้วลองคิดถึงโอกาสในการทำงานในการเรียนรู้ พี่ว่ามันไม่ได้มาง่าย ๆ นะรุ่ง”

“ผมเข้าใจครับพี่บลู แต่...”

“รุ่งยังไม่ต้องให้คำตอบพี่ก็ได้ แต่ลองกลับไปคิด ไปปรึกษา ไปตัดสินใจร่วมกันดู แล้วค่อยมาให้คำตอบอาทิตย์หน้าก็ได้” พี่ชายคนดีคนเดิมของผมเตือนสติและให้มุมมองที่ผมต้องยอมรับ และทำให้ผมตัดสินใจเปิดรับโอกาสในครั้งนี้

 

ก็ไม่เลวนักหรอกครับ นอกจากความคิดถึงที่กัดกินหัวใจอย่างร้ายกาจแล้ว ประสบการณ์ การเรียนรู้ในวิชาชีพจากโอกาสครั้งนี้มากมายมหาศาลนัก ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาเพียงเดือนกว่าที่แสนจะเหนื่อยจะหนักมาก แต่ก็คุ้มค่าจริง ๆ

ผมจะเก็บเกี่ยวทุกวันเวลาที่มีค่านี้ไว้ และก้าวเดินไปช้าๆ  พร้อมกับความคงมั่นในหัวใจ ซึ่งเราสองต่าง ‘รู้’ ผมจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อสักวันหนึ่งเมื่อโอกาสมาถึง ผมจะได้พร้อมสำหรับ ‘คำตอบ’ ที่มีในหัวใจ

‘อ่านหนังสือหลายร้อยเล่ม ไม่เท่ากับการเดินทางหนึ่งร้อยลี้’

ประสบการณ์ตรงที่ผมได้รับจากการสัมผัสเรียนรู้วิถีชีวิต ผู้คนวัฒนธรรม ตึกรามบ้านช่องที่แปลกหูแปลกตาแตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอน คือแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรักการเดินทาง

หากนอกจากนี้... ยังคงมีบางอย่างที่ยากจะอธิบาย... ซึ่งมันมักทำให้ผมมีโอกาสได้เดินทางบ่อยครั้ง ทั้งที่ตัวเองปรารถนาและไม่ได้ต้องการเลยก็ตาม รวมทั้งมันมักจะแวะเวียนทายทักมาให้ผมต้องพลัดถิ่นฐานบ้านเกิดอยู่เสมอ ๆ

อากาศเย็นสบายช่วยอำนวยให้การเดินทอดน่องสบายๆ จากร้านอาหารย่านใจกลางเมืองที่จัดงานเลี้ยงรับรองลูกค้ากลับสู่โรงแรมที่พักใช้เวลาเพียงไม่นาน และด้วยร้านค้าสองข้างทางที่ทำให้เพลินตาเพลินใจ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งก็มายืนอยู่ที่หน้าลอบบี้โรงแรมแล้ว หากเหงื่อเม็ดเล็กจากไรผมก็ยังคงผุดออกมา น่าจะเป็นเพราะเสื้อกันหนาวที่คนซื้อให้กำชับนักกำชับหนาว่าให้ใส่ติดตัวตลอดเวลา จนทำให้เหงื่อออกมามากขนาดนี้

แล้วนี่ทำไมผมต้องทำตามด้วย

ทั้ง ๆ ที่คนบังคับก็ไม่มาอยู่เห็นสักหน่อย จึงอดไม่ได้ที่จะขำตัวเองเบา ๆ และตัดสินใจแบ่งปันความสดใสในใจให้กับใครอีกคนได้รับรู้

“เขน นอนหรือยัง”

“รอคนใจดีโทรมา”

“มุกนี้ยังเล่นอยู่อีกเหรอ”

“เขนจะเล่นจนกว่าเฟรมเลิกเล่นกีตาร์เลย”

“มีสำนวนแบบนี้ด้วยเหรอ?”

“มีสิ จากเหตุการณ์จริงเลยเนี่ย ไปเล่นห้องอื่นก่อนได้ไหม เฟรม”

“โถ... พี่ตึกมันกว้างผมเหงา นั่งด้วยคน ผมจะนั่งเงียบ ๆ เลย” เสียงที่แผ่ว ๆ ที่สอดแทรกเข้ามาในสายเข้ามาทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ สายลับของผมทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเคย

“เฮอ.....”

“มาอีกแล้วหรือ” และเราต้องทำให้แนบเนียน

“เห็นบอกว่านมที่บ้านหมด นี่มาปล้นกันชัด ๆ เลย”

“ดีแล้วไง เขนจะได้ไม่เหงา”

“เขนไม่เหงา แต่เขนคิดถึงรุ่ง”

“ก็พูดคำเดียวนี่ทั้งวัน คิดถึ๋ง... คิดถึง... คิดถึง.....” เสียงที่แทรกเบาลงทุกที ๆ ก่อนที่จะหายเงียบไป

“เขน..... เขน.....” ผมย้ำไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสัญญาณที่ขาดหายหรือเปล่า

“ครับ”

“อะไร สัญญาณไม่ดีเหรอ”

“ป..เปล่า... เขนหนีเฟรมมาอะ”

“แล้วนี่เขนอยู่ที่ไหน”

“ในห้องน้ำ” เสียงแผ่วเบา เขากำลังอายผมรู้ และมันทำให้ผมกลั้นหัวเราะไม่อยู่

“อย่าขำสิรุ่ง” หากผมยังหยุดหัวเราะไม่ได้

“คนเขาอุตส่าห์คิดถึง”

“ก็ไม่ได้ห้ามคิดถึงสักหน่อยนี่นา”

“เหนื่อยไหมครับ...”

“อืม... เหนื่อยจังเลยเขน”

“บินไปตอนนี้นะ ไปสนามบินตอนนี้เลย”

“ไม่ต้องเลย... ไหนใครบอกว่าจะรอ”

“แต่เขนคิดถึงรุ่ง”

“รุ่งก็คิดถึงเขน แต่เขนรอก่อนนะ รอรุ่งแป๊บเดียว”

“ครับเขนจะรอรุ่ง แป๊บเดียวจริง ๆ นะ”

“อืม...”

“อืม... แปลว่าเขินใช่ไหม เขนจำได้”

“ทำไมแบบนี้ความจำดีจัง”

“ก็เขนมีรุ่งคนเดียวนี่นา เขนรักของเขนขนาดนี้ รู้ไหมรุ่ง...”

“รู้.....รอนะ”

“ครับผม”

“รีบอาบน้ำนอนนะ”

“ครับ รุ่งก็เหมือนกันนะ”

“พรุ่งนี้เขนโทรมาปลุกนะ”

“ครับ”

“ฝันดีนะ”

“ฝันดีครับ... ที่รัก”





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: MIRACLE 19.03.2018
«ตอบ #156 เมื่อ19-03-2018 11:29:44 »

 :pighaun:Chapter XXVI: Miracle

 

ริมฝีปากอ่อนบางสีชมพูระเรื่อเอิบอิ่มขยับเขยื้อนเอื้อนเอ่ยเจื้อยแจ้วเจรจา จมูกเล็กเชิดรั้นน้อย ๆ เฝ้าเตือนให้รู้ว่าความงดงามอันอ่อนหวานชวนให้หลงใหลนั้น หาใช่ความจริงพิสุทธิ์ไม่ ขนตาบางสีอ่อนยาวราวอิสตรีส่งให้ดวงตาเรียวเล็กโดดเด่นพรักพร้อมเติมเต็มแต่งแต้มไปด้วยประกายระยิบนัยน์ตาสดใสเจิดจ้ายิ่งทำให้ทุกองค์ประกอบเสมือนถูกบรรจงเสลาสลักประดิษฐ์ร้อยเรียงออกมาเป็นประติมากรรมชิ้นเอก

“คุณอาร์ท... คุณอาร์ท”

“อะไร...”

“เอ่อ... ขอโทษครับ ตกลงเรื่องที่ดินยังคงติดข้อกฎหมายในการถือครองตรงนี้ครับ” เสียงเรียกที่ทำให้ผมต้องรวบรวมสมาธิกลับมาอยู่กับการประชุมตรงหน้าอีกครั้ง

หัวใจที่เจ็บปวดรวดร้าวราวกับเศษแก้วแตกกระจายเป็นเสี่ยง… จนเริ่ม ‘ชินและชา’ ยิ่งทำให้ฉงนสงสัย... ทำไม ‘ชีวิต’ ทั้งชีวิตที่ไม่เคยต้องไขว่คว้าเพียรพยายามกับสิ่งใด ๆ

ไฉนเลย... สิ่งที่เฝ้าปรารถนาใฝ่ฝันสูงสุด

กลับมิมีทาง... ทั้งที่อยู่ใกล้แค่คืบ

 

 

‘อดทน’  ผมไม่ปฏิเสธว่าผมต้องใช้ความอดทนรอคอย...

ในสิ่งที่เรียกได้ว่า ‘แทบจะเป็นไปไม่ได้’ และมีความหวัง ‘เพียงน้อยนิด’

หากแต่ถ้าความหวังเพียงน้อยนิดนั้น เปรียบเสมือนลำแสงเล็ก ๆ เท่ารูเข็มที่สาดส่องเข้ามาในเวิ้งถ้ำใหญ่อันมืดมิดอับแสงหนาวเหน็บ และเฉียบเย็นเช่นนี้มาเป็นเวลาเนิ่นนานราวกับว่าจะชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงแค่นั้นมันก็พอเพียงที่จะทำให้ผมดิ้นรนสุดแรงพยายามทุกหนทาง

ไม่ว่าจะยากเพียงไหน... ไม่ว่าจะลำบากอย่างไร... หรือแม้แต่... จะดูด้อยค่า และเลวร้ายในสายตาของ ‘เขา’ แค่ไหนก็ตาม

ผมก็จะทำ

มื้ออาหารที่เปี่ยมสุขแม้ผมจะรู้ซึ้งแก่ใจดีว่าทุกอย่างเป็นเพียงหน้าที่ และความรับผิดชอบที่ทำให้เขามานั่งอยู่เคียงข้างผม ณ ตรงนี้ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธหัวใจของตัวเองได้เลยว่าผมกำลังมีความสุขมากมายเพียงไหน

“ขึ้นรถสิ”

สายลมเย็นพัดหวีดหวิวกระโชกแรง จนทำให้แขนของผมเกือบจะรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมอกเพื่อทำตามความปรารถนาในหัวใจได้สำเร็จ หากความระแวดระวังปราดเปรียวทำให้ใครคนนั้นเอี้ยวตัวหลบได้แนบเนียนก่อนที่จะตอบเบา ๆ หากหนักแน่นชัดเจน

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากเดินดูอะไรเล่นนิดหน่อย” คำตอบที่ทำให้ผมทำได้แต่เพียงมองตามเบื้องหลังของชายรูปร่างบอบบางที่กำลังเดินจากไป

‘คำปฏิเสธที่รักษาน้ำใจ’ หากผมรู้ว่านั่นคือคำมั่นที่ย้ำชัดในจุดยืน

ทุกวินาทีที่เป็นเวลางาน เขาทำเพื่อผม หากทุกลมหายใจที่นอกเหนือจากนั้น เขาแสดงชัดว่าเป็นของ... ของใคร

สายลมเย็นกราดบาดผิวเพียงเพราะความสะเพร่าลืมตัว ผมลืมเสื้อโค้ชไว้บนห้องด้วยแต่แรกที่คิดเพียงว่าจะเดินออกมาไม่นาน เพื่อมาดู ๆ ให้แน่ชัดว่าคนที่เฝ้ารอได้มาถึงที่พักอย่างปลอดภัย หากเมื่อไม่พบที่ห้องจึงเดินเลยลงมาหน้าลอบบี้ และเลยเถิดจนมาถึงหน้าโรงแรมจนในตอนนี้

ลืม... จริงแล้วผมคงลืมทุกอย่างตั้งแต่ได้พบกับเขา ลืมความโลเล ลืมไม่แน่ใจในตัวเอง ลืมชีวิตที่ปล่อยไหลเลื่อนไปตามกระแสแห่งวันและเวลา คนที่ไม่เคยประสบพบพานหรือเกี่ยวข้องความยากลำบากมากร่ำกราย ยิ่งมีอุปสรรค ยิ่งทำให้ท้าทาย ยิ่งทำให้ความปรารถนา ยิ่งทำให้ความใฝ่ฝันลุกโชนโชติช่วงพ้นทวี

หากเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ไม่ได้มีค่าแม้เพียงเศษเสี้ยวที่ทำให้ผมยังจมอยู่ในความรักครั้งนี้เป็นเวลาเนิ่นนาน แต่ทั้งหมดเป็นเพราะ เขาทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น เป็นลูกที่ดีขึ้น เป็นผู้ชายที่ดีขึ้น จนกระทั่งสามารถมายืนอยู่ได้ ณ จุด ๆ นี้ จึงทำให้ผมไม่แปลกใจว่าทำไมผมต้องมายอมทนรอ... อะไรเช่นนี้

ไอขาวจาง ๆ ของลมหายใจอุ่นที่ออกมาทางจมูกกับแก้มแดงปลั่งดังลูกตำลึงสุกยิ่งย้ำชัดความตั้งใจ เขายินยอมเลือกทางที่ลำบากกว่าเพียงเพราะใครคนหนึ่งเช่นกัน

หากผมไม่ต้องการที่จะรับรู้ว่าเพราะอะไร

 

การหลีกเร้นหลบเลี่ยงเกิดขึ้นฉับพลันพร้อม ๆ กันในวินาทีที่เขาเดินเข้ามา ชายที่เดินเรื่อย ๆ เอื่อยสบายตัดผ่านลอบบี้ จึงไม่ทันสังเกตใครอีกคนที่ทรุดซ่อนตัวลงหลังโซฟาอย่างเฉียดฉิว

ด้วยความเร็วที่เร่งรุดเพื่อหลบให้ทันสายตาคม กับอากาศแห้ง ๆ หนาวเย็นเบาบางทำให้ลมหายใจติดขัด อาการของโรคประจำตัวที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ต้องหลับตาลงสูดลมหายใจ หาก... เมื่อเสียงเคยคุ้นแว่วใสเอื้อนเอ่ย สมาธิความตั้งใจแต่เดิมก็ขาดสะบั้น

“เขน นอนหรือยัง”

“มุกนี้ยังเล่นอยู่อีกเหรอ” น้ำเสียงที่เปี่ยมสุขเจือปนเสียงหัวเราะใสทำให้หัวใจที่เต้นแรงถี่รัวในหัวอกเกิดอาการปวดแปลบแทบขาดใจ

เจ้าตัวหารู้ไม่... คำก็ ‘เขน’ สองคำก็ ‘เขน’ เหมือนดังมีดเชือดเฉือนลงในเนื้อของหัวใจ ‘ตัวอยู่กับเราใจอยู่กับใคร’ ทำไมผมจะรู้... หากโทษใครมิได้นอกจากตัวเอง

“รีบอาบน้ำนอนนะ”

“พรุ่งนี้เขนโทรมาปลุกนะ”

“ฝันดีนะ”

หากในห้วงแห่งความเจ็บปวดร้าวลึก... เวลาเพียงไม่นานปานชั่วนิจนิรันดร์ เสียงบทสนทนาที่จบไป ดังสายน้ำเย็นจัดสาดทั่วร่างทั้งร่างโอนเอนสั่นไหวไร้การควบคุมใกล้เลื่อนลอย สติที่มีน้อยนิดบังคับให้ขาสองข้าวหยัดยืนขึ้นก้าวเดินอีกครั้ง... ในหนทางที่เลือกเอง

แต่ละก้าวย่างแห่งความทุกข์ทรมานลากผ่านไปอย่างช้า ๆ ‘อีกนิดเดียว’ ความรั้นในหัวใจยังคงเพียรฝืน จนกระทั่งนำพาร่างของตัวเองมาอยู่ที่โถงลิฟต์กระจกใสชั้นที่พักได้สำเร็จ

ไม่กี่ก้าว... เพียงไม่กี่ก้าว... จะได้พักผ่อนเสียที

หากแต่เพียงไม่หันไปเหลียวมอง... กระจกใสริมทางเดินที่เบื้องหลังโชว์โฉมวิวทิวทัศน์แห่งแสงไฟในเมืองธุรกิจตระการตาชวนให้หยุดมอง ไอน้ำขาวขุ่นที่แต่งแต้มยังคงชัดเจนบ่งบอกให้รู้ชัดว่าคนบรรจงสร้างขึ้นเพิ่งเดินพ้นผ่านไปไม่นาน...

‘KHEN’ ตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัว คมชัดบาดลึกตัดขั้วหัวใจ...

ทำให้แรงใจสุดท้ายขาดลง

 

“เฮอ...”

“ลำบากใจเหรอ” ภายในห้องพักที่เงียบเชียบเฉียบเย็นเสียงถอนลมหายใจเบา ๆ ดังขึ้นเป็นระยะ จึงอดไม่ได้ที่จะพลั้งปากถามออกไปจนทำให้ซีกหน้าหวานราวปูนปั้นเหลือบหันแลสายตาถอนกลับมาจากจุดเดิมที่เคยทอดมองออกไปไกลแสนไกล แววตานิ่งมั่นคงที่จับจ้องพินิจพิเคราะห์เนิ่นนานก่อนเสียงเบาทุ้มกังวานจะเล็ดลอดผ่านริมฝีปากบางออกมา

“..... ถ้าผมตอบว่า ‘ไม่’ คุณก็ต้องคิดว่าผมโกหก”

“แต่ผมก็จะตอบว่า ‘ไม่’ อยู่ดี”

“รุ่ง...”

“ไม่หรอก... ผมไม่ได้ลำบากใจอะไรจริง ๆ นอนพักเถอะ ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้ ‘เป็นเพื่อน’ จะไม่ไปไหน สัญญา...” เสียงสุดท้ายราวมนต์สะกดให้สองสายตาประสานความเข้าใจภายในที่ลึกซึ้งระหว่างกัน ก่อนที่พ็อกเก็ตบุ๊คสีขาวเล่มหนาจะถูกยกขึ้นมาพิจารณาให้ความสำคัญ แสดงออกชัดถึงความตั้งใจที่จะหยุดทุก ๆ อย่างไว้เพียงแค่นั้น

สามวันแล้วตั้งแต่คืนวันนั้นที่อาการของโรคประจำตัวของผมกำเริบ และแทรกซ้อนรวมกับอาการของไข้หวัดใหญ่ที่ผสมโรงเข้ามาทำให้ต้องมาล้มหมอนนอนเสื่ออยู่ที่ต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้

หากมันเป็น ‘ปาฏิหาริย์’ สำหรับผม

ใครจะคิด... ว่าคนคนแรกที่เฝ้าคิดถึง คนคนแรกที่หัวใจหวนหาปรารถนา จะมาเป็นคนคนแรกที่ได้เห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งเป็นคนเดียวที่คอยดูแลพยาบาลอยู่ข้าง ๆ ผมมาจวบจนวันนี้

“นอนไม่หลับเหรอครับ” เสียงเรียกเบา ๆ ที่ดึงผมกลับมาจากห้วงความคิด

“อืม...” ผมตอบพร้อมจับจ้องมองคนที่ลุกขึ้นขยับมายืนชิดข้าง ๆ เตียง

“ได้เวลาทานยาก่อนอาหารแล้วครับ คุณอาร์ททานก่อน เดี๋ยวผมจะไปยกอาหารมาให้” มือบางหากแข็งแกร่งเข้ามาประคองร่างคนป่วยก่อนที่จะสอดหมอนรองหลังให้พิงอย่างรวดเร็ว

“ยาครับ นี่น้ำ” ผมรับยาเม็ดขมมาเพื่อกลืนลงคอ ก่อนจะดื่มน้ำตามช้า ๆ เมื่อป่วยปฏิกิริยาทางร่างกาย และสมองมักจะช้าลงเป็นธรรมดา

หากแต่ความแคล่วคล่องนุ่มนวลของใครอีกคนที่ฉวยแย่งแก้วน้ำออกไปจากมือ หลังจากที่ผมดื่มเสร็จ และเลื่อนหมอนออกให้ผมกลับมาลงนอนตามเดิม ทำให้ผมรู้สึกทึ่ง ผู้ชายคนนี้มีอะไรหลายอย่างให้ประหลาดใจเสมอ ๆ

ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไร ไม่เคยรู้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร ไม่เคยรู้ว่าเขากำลังทำอะไร และมันคงเป็นเหตุที่ทำให้ผมไม่เคยพิชิตหัวใจเขาได้เลยสักครั้ง

“ยังพอมีเวลาใช่ไหม”

“ครับ อีกครึ่งชั่วโมงค่อยทานอาหาร”

“เราคุยกันบ้างได้ไหมรุ่ง... คุยกันแบบที่ไม่ใช่เจ้านายคุยกับลูกน้อง”

ผมรู้... น้ำเสียบอันแหบแห้งร้องขอว้อวอนของตัวเองแสนจะไม่น่าฟัง หากผมตัดสินใจแล้วว่า... ผมคงต้องพูดมันออกไป

“ครับ” คนตอบทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมอย่างงดงาม ระยะห่างของการวางตัวอย่างเหมาะสมทำได้ดียิ่งกว่ากุลสตรีใดที่ผมเคยพบ

“ยังโกรธผมอยู่ไหม” ผมถามลอย ๆ หากคำตอบที่ได้รับแสดงชัดว่าคนตอบเข้าใจ... สวยและฉลาด

“ไม่ครับ ผมเข้าใจ ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำของตัวเอง” รอยยิ้มจาง ๆ จากคนที่เราเฝ้าคอยทำให้หัวใจชุ่มชื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน ความเข้าใจลึกซึ้งที่ส่งผ่านแววตา ทำให้ความหวังเล็ก ๆ ของผมเกิดขึ้นเรืองรองดังแสงอาทิตย์ที่จับต้อง ณ ปลายท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ หรืออาจจะเป็น ‘ปาฏิหาริย์’ จริง ๆ

“คุณรู้... เหตุผลของผม” ผมถามเพื่อย้ำความหมายในดวงตานั่น

‘เหตุผล’ ที่ผมไม่เคยบอกแต่เพียรพยายามแสดงออกให้เห็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไป เพียงเพราะ... ‘รัก’

“ผมคิดว่าผมทราบ” อาการทอทอดเสียงพร้อมกับก้มหน้าลงน้อย ๆ ทำให้หัวใจผมกำลังจะละลาย

“แล้วไม่โกรธ”

“ครับ”

“ทำไม...”

“ถ้าผมเป็นคุณ ผมก็อาจทำแบบคุณ เรื่องบางเรื่อง… ‘หัวใจก็ไม่ค่อยจะมีเหตุผล’ สักเท่าไหร่ จริงไหมครับ”

“แล้ว...ผมพอจะมีโอกาสบ้างไหม...” ผมถามออกไปก่อนจะกลั้นใจฟังคำตอบ ห้องทั้งห้องเงียบสนิทลงอีกครั้งพร้อมกับแววตาใสเป็นประกายระยับเจิดจ้าที่ผมไม่เคยล่วงรู้ความหมาย

“คุณก็น่าจะรู้คำตอบดี” ผมคิดว่าผมรู้... หากผมไม่อยากยอมรับความหวังที่ดับวูบลง

“ทำไม... ล่ะรุ่ง”

“เรื่องบางเรื่อง... หัวใจไม่ค่อยมีเหตุผลนัก หรอกครับ”

ผมรักคนฉลาด หากครั้งนี้ความฉลาดนั้นกลับกรีดลึกบาดเนื้อหัวใจของผมไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกมากมายภายในที่อัดแน่นทำเอาจุกจนพูดไม่ออก รวมทั้งไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่ไหลหลั่งออกมาได้ จนทำให้ผมต้องเบือนหน้าหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ต่อหัวใจคู่นั้น

ความเงียบกลับมาครอบคลุม... เวลาผันผ่านไปสักพักจนผมแน่ใจว่าสามารถบังคับน้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่ให้สั่นเครือได้

“เขามีอะไรดี... อย่างนั้นเหรอ” หากแต่แล้วก็ยังคงสะดุดเล็กน้อย

“เฮอ..... ถ้าเทียบกับคุณ ก็คงไม่”

“แล้วทำไม... ถึงไม่รักผมบ้าง...” หมดแล้ว... ผมยอมหมดทุกอย่างแล้ว...หากคำตอบที่ได้ยิ่งตอกย้ำความชัดเจนด้วยตรรกะแบบเดิม

“..... ถ้าวันไหนคุณเลิกรักใครคนนั้นในหัวใจของคุณได้ คุณลองมาบอกวิธีนั้นให้ผมทราบบ้างสิครับ”

“ไม่มีวัน... เลยใช่ไหม...”

“ผมเชื่อว่าคุณรู้...” น้ำตาที่เหือดแห้งจากนัยน์ตาที่เหือดแห้งร้าวระบมไหลนองท่วมท้นหัวใจ

“ผมขอโทษ... ผม...” ใครคนนั้นหยุดบทสนทนาของเราไว้เพียงแค่นั้น ส่วนผมก็ไร้กำลังกายหรือกำลังใจที่จะเอ่ยสิ่งใดอีกต่อไปได้ ทั้งที่หัวใจร้องก้อง

มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษ หรือไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องมารู้สึกผิดต่อกันเลย

ผมผิดเอง ทั้ง ๆ ที่มันชัดจนมาตั้งแต่ต้น ผิดเองที่ฝืนทน

 

ผมผิดเองที่เพียรทำทุกอย่าง พยายามทุกทาง...

หากวันนี้ผมรู้แล้ว... วันนี้ผมยอมแล้ว…

“เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้” ผมรีบรวบรัดตัดสายทางไกล เมื่อคนเฝ้าไข้ยกถาดอาหารเข้ามาวางที่โต๊ะอาหารไม่ไกลจากเตียง

“ตามนั้น แค่นี้” คิ้วเรียวบางที่ยกขึ้นแสดงความสงสัยใคร่รู้ หากความเงียบและความสุภาพทำให้ผมไม่มีวันได้ยินคำถามที่เกิดขึ้นภายในใจ

“ทานข้าวครับ จะได้ทานยาหลังอาหาร”

“อืม” รอยยิ้มอ่อนบางที่ส่งมาทำให้ผมรู้ว่าในที่สุดสิ่งที่ผมตัดสินใจทุก ๆ อย่างจะถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์

เพื่อ... ‘เขา’ เพียงคนเดียว





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: LOVE: MIRACLE 19.03.2018
«ตอบ #157 เมื่อ19-03-2018 18:03:47 »

 :mew1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: LOVE: MIRACLE 19.03.2018
«ตอบ #158 เมื่อ19-03-2018 19:27:11 »

ดีหรือร้ายละนั้น

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: IS...YOU 20.03.2018
«ตอบ #159 เมื่อ20-03-2018 14:14:26 »

Chapter XXVII: Is… YOU

 





ขาดหาย... หัวใจของผมกำลังรู้สึกขาดหาย ค่ำคืนแรกที่ต้องกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง ด้วยเกินจะกักเกี่ยวเหนี่ยวรั้งคนที่ไม่ได้มีใจให้กันมาอยู่เคียงข้างอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อเขาคนนั้นแสดงออกถึงความห่วงใย และความปรารถนาดีที่มีให้โดยบริสุทธิ์ใจ ยิ่งทำให้รู้สึกละอายแก่ใจ หากการกระทำบางอย่างหัวใจจะตัดสินไปแล้ว แปรเปลี่ยนไม่ได้

แต่ทำไม... กลับรู้สึกเช่นนี้

‘รัก’ ไม่เคยผิด หากแต่คำว่า ‘รัก’ ผลักดันให้กระทำเช่นไรนั่นต่างหากที่อาจจะเกิดข้อผิดพลาด หากเพื่อรอยยิ้มนั้น หากเพื่อความสุขนั่นผมยอม...



กุหลาบงามมักมีหนามแหลมคม

แสงอาทิตย์สดใสยามเช้าที่สาดส่องลำแสงผ่านม่านม้วนโปร่งเข้ามาตกกระทบหยาดน้ำหยดเล็ก  ๆ ที่จับต้องแต่งแต้มกลีบขาวอ่อนบางเป็นประกายพราวพร่าง ดอกกุหลาบขาวนับพันที่ถูกจัดแต่งแทรกแซมทั่วห้องทำงานที่มีขนาดกะทัดรัด ยิ่งอยู่ในอุณหภูมิอบอุ่นที่พอเหมาะ ยิ่งทำให้กลิ่นหอมรวยรินรัญจวนอบอวลไปทั่ว

ใครเล่าจะปฏิเสธความงดงามหวานละมุนของกลีบกำมะหยี่สีขาวที่คลี่แย้มผลิบานความงดงามที่สมบูรณ์ต้องตาตรึงหัวใจ... เนรมิตได้ด้วยน้ำ ‘เงิน’

หากทำไมความเพรียกพร้อมบางประการ... ไม่ว่าจะเพียรหรือพยายามแค่ไหน แม้แลกด้วยหัวใจรัก หรือแม้แต่ชีวิต ก็มิมีวันได้ครอบครองหัวใจ

‘เรื่องบางเรื่อง... หัวใจไม่ค่อยมีเหตุผล’ ประโยคย้อนยอกธรรมดา ๆ หากกลับเป็นเหตุผลที่แน่นหนักเสมือนกำแพงหนาที่กั้นกลางเส้นทางระหว่างเรา  สมองดังหนามที่คมกริบสร้างรอยแผลลึกบอบช้ำให้แก่ผู้อาจเอื้อมกรายกร่ำ หัวใจแกร่งดังเพชรแท้กรีดเน้นย้ำชัดเจน

ไม่ว่าเช่นไร... ก็ไม่มีวัน

“เฮอ...” เสียงทอดถอยลมหายใจเพราะรู้ชัด ‘ของขวัญ’ สิ่งนี้ก็มิสามารถสั่นคลอนความตั้งใจหรือแปรเปลี่ยนสิ่งใด ๆ และไม่มีเคียงค่าแม้เพียงครึ่งของน้ำใจอันแสนบริสุทธิ์ของผู้ให้ หากก็เป็นสิ่งทดแทนความรักและความปรารถนาดีจากดวงใจของผู้รับที่ต้องการตอบแทน

“คุณอาร์ท” เสียงทักนุ่มจากน้ำเสียงทุ้มกังวาน พร้อมกับดวงตากลมที่เบิกกว้างกวาดมองทั้งห้องเพียงชั่วครู่ ก่อนที่สีหน้าจะนิ่งสงบราบเรียบอีกครั้ง อย่างยากจะคาดเดาสิ่งใดเฉกเช่นเดิม

“ผมมาขอบคุณ” เสียงแหบแห้งที่ใช้ความพายามอย่างยิ่งในการเพียรบังคับให้ไม่สั่นไหว

“ขอบคุณจริง ๆ รุ่ง ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง ขอบคุณน้ำใจ ขอบคุณที่ช่วยดูแล แม้”

“อย่ากังวลไปเลยครับ ผมบอกแล้วว่าผมเต็มใจ” รอยยิ้มอ่อนโยนดังน้ำทิพย์ปลอบประโลมหัวใจที่ไหวหวั่นจวนเจียนจะขาดรอน

“ยังไงก็ขอบคุณมาก”

“ครับ”

“ชอบไหม...”

“ชอบ?” คำถามบ่งบอกให้รู้ถึงไหวพริบและสติที่เต็มเปี่ยม ย้อนกลับให้คนขุดหลุมพรางพลาดตกลงไปเองอย่างหมดท่า

“ดอกกุหลาบ”

“ก็ดีนี่ครับ”

“ผมดีใจ” และมันก็ย้ำให้ผมรู้อีกครั้งว่า ชีวิตนี้ผมเกิดมาเพื่อแพ้พ่ายต่อใคร

แสงสะท้อนจากกุหลาบงามจับต้องเสี้ยวใบหน้าผ่องนวล แม้มิได้สวยพรรณพิลาศเลิศล้ำลออออง หาก‘งามพิศ’ มิว่ามุมใดก็ละมุนละไมจับตาจับดวงใจชวนให้หลงใหลเฝ้าฝัน เร่งเร้าความรู้สึกที่ติดตรึงอยู่ในหัวใจให้เปี่ยมล้น และร้อนรนดังลมหายใจเฮือกสุดท้ายแห่งชีวิต

“รุ่ง ถ้าผมจะถามอีกครั้ง...”

“คุณก็จะได้คำตอบเดิม” เสียงตอบเรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ หากแววตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยความเข้าใจลึกซึ้ง จึงทำให้หัวใจของผมยังคงดื้อดึง

“แล้วถ้าผมยังยืนยัน... ขอโอกาส... เพียงจะบอก...”

“ครับ... ผมจะฟัง” เพียงชั่วอึดใจที่ผู้ฟังตอบรับ หากวินาทีต่อมาที่ผู้พูดตัดสินใจย่างก้าวลงสู่ห้วงเหวลึกช่างแสนยาวนาน ทั้ง ๆ ที่รู้...

“ผ... ผมรักคุณ ผมรักคุณรุ่ง ไม่ว่าคำตอบของคุณจะเป็นอย่างไร ผมก็อยากให้คุณรู้ไว้ว่าผมรักคุณ...” และแล้วสายตาที่มองเลยผ่านก็จับภาพบุคคลเบื้องหลังผู้ฟัง ‘เขา’ ยืนอยู่ตรงนั้น ในที่สุดเขามาถึง

หากแต่นี่คือเวลาของผม วินาทีสุดท้ายที่เป็นของผม

และผมจะทำมันให้ดีที่สุดเพื่อตัวของผมเอง


“ผมอยากเห็นคุณมีความสุข และผมเชื่อว่าผมจะทำให้คุณมีความสุขได้ หัวใจของผมเป็นของคุณมาตลอด และเป็นของคุณมานานแล้ว ก่อนที่ ‘เขาคนนั้น’...” ไม่สิ ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวถึง...

“ผมรักคุณรุ่ง... ขอแค่เลือกผม... ขอแค่รักผม... ขอให้เป็นผม... ได้โปรด”

“ผมก็รักคุณครับ...”

 

 





คำสั่งด่วน! คำสั่งแรกที่ดูจะไร้ความน่าจะเป็นใด ๆ มารองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผมที่ทั้งชีวิตยึดมั่นหลักเหตุและผล มันยิ่งทำให้เกิดความคับข้องใจเป็นอย่างมากที่จะปฏิบัติตามคำสั่งโดยไร้ซึ่งเหตุผล หากแต่... มันเป็นคำสั่งแรกที่ตอบโจทย์แห่งหัวใจ ดังนั้นผมจึงไม่แม้จะพักพิจารณาเลยสักนิดก่อนการเดินทางด่วนครั้งนี้

คิดถึงเหลือเกิน... ยอดรัก

แบบก่อสร้างเอกสารลับที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดอยู่ในซองปิดผนึกถูกกอดไว้แนบอกตลอดการเดินทาง เพราะมันเป็นเหมือนดังพาสปอรต์ใบเบิกทางของการเดินทางครั้งนี้

ใครจะรู้ความคิดถึงลึกล้ำร้ายกาจ ใครจะเชื่อว่าแม้เคยไกลห่างจากกันมานานนับปี ก็มิได้เทียมเท่าครั้งนี้ เมื่อความผูกพันทางกายลึกซึ้ง ความผูกพันทางใจที่เป็นหนึ่ง เมื่ออีกครึ่งถูกพราก... ดังครึ่งหนึ่งในชีวิตที่ขาดหาย

แสงจันทร์ดวงโตนวลผ่องทอแสงงดงามกระจ่างตา เมื่อยิ่งได้พิศจากระยะที่ใกล้ขึ้นกว่าเดิม ยิ่งทำให้อยากไขว่คว้ามาเชยชม หากทำได้แต่เพียงยกมือสัมผัสหน้าต่างบานน้อยที่เปิดวิสัยทัศน์ให้มองออกสู่ภายนอกที่เวิ้งว้าง

ยิ่งทำให้แสนคิดถึงคะนึงหา ‘เจ้าแสงจันทรายอดดวงใจ’

ข้อความมากมายที่แม้จะใช้เวลายาวนานเพียงใด ก็เกินกว่าจะเลื่อนดูข้อความที่ถูกส่งมาได้ทั้งหมด หากแต่นิ้วยาวก็ยังคงสัมผัสกดเลื่อนหน้าจอเพื่อทบทวนทุกคำ ทุกข้อความอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้ม ตลอดชีวิตไม่เคยติดโทรศัพท์มากขนาดนี้ หากตอนนี้มันคือ หูที่คอยสดับรับฟังและแทนปากที่เจื้อยแจ้วเจรจาความในใจ

ระยะหลังที่ผ่านมาคุยกันน้อยลง เพราะ... ใครคนนั้น

หากผมเข้าใจและไว้ใจคนของผมเป็นอย่างยิ่ง

การเดินทางที่คล่องตัวด้วยกระเป๋าเป้สัมภาระใบเล็กที่พกติดตัวเพียงใบเดียวกับซองเอกสารสำคัญนั่นทำให้การเดินทางผ่านประเทศรวดเร็วว่องไวดังใจคิด ภาระหน้าที่สำคัญที่ต้องมาปฏิบัติใช้เวลาเพียงไม่นานเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่จัดเตรียมด้วยมือของตัวเองเพื่อใครอีกคนนั้นในครั้งก่อนเพียงพอ และใช้ร่วมกันได้อย่างไม่ต้องสงสัย การเตรียมตัวเดินทางติดตามหาเจ้าของดวงใจครั้งนี้จึงสั้นนัก

พร้อมกับความลับที่ต้องการทำให้ประหลาดใจ

คิดถึงเหลือเกิน... อีกไม่นานเราจะได้พบกัน

ทุกก้าวย่างที่เดินตัดตรงมุ่งสู่รถโดยสารสาธารณะ สถานที่จุดหมายปลายทางถูกยื่นให้กับคนขับก่อนตกลงทำความเข้าใจเรียบร้อยพร้อมแสงอาทิตย์วันใหม่อันแสนอบอุ่นสาดส่องมาในหัวใจ หากภาพวิวทิวทัศน์ภายนอกตลอดทางที่แสนตื่นตาตื่นใจไม่สามารถดึงดูดความสนใจออกไปจากจุดมุ่งหมายที่รอคอย ร่างสูงมองตรงยืดคอชะเง้อชะแง้แลหา คอยลุ้นตลอดเวลาให้การเดินทางครั้งนี้สิ้นสุดลง

ปลายทางดังภาพฝัน

สถานที่ที่เกือบคุ้นเคยด้วยภาพถ่ายมุมต่างที่ยอดรักเพียรส่งมาให้ยิ่งทำให้หัวใจระทึก สองขาที่นำพาหัวใจที่ล่องลอยเดินไปไร้การควบคุม ออฟฟิศว่างเปล่าไร้ร้างผู้คนด้วยเช้านัก จึงทำให้สมองคิดจะทิ้งตัวทรุดลงที่โซฟาโซนต้อนรับแขก หากแต่... กลิ่นหอมหวานฟุ้งตลบอบอวลกับเสียงคนคุยกันแผ่วเบาดึงความสนใจ

ความอยากรู้ฉุดสองขาให้ก้าวเดินอีกครั้ง ห้องทำงานส่วนในสุดเปิดประตูแง้มไว้โดยไม่ตั้งใจเผยภาพที่แสนงดงามราวเนรมิต สวนกุหลาบขาวนับพันส่งกรุ่นกลิ่นเย้ายวนใจ หากหัวใจหยุดลงกับภาพเบื้องหลังของร่างบอบบางงามระหงที่ยืนโดดเด่นท่ามกลางสวนดอกไม้ ใครเล่าจะจำหัวใจรักของตัวเองไม่ได้ ในที่สุด...

“ร...” เสียงที่กำลังจะเปล่งออกไปถูกหยุดลงฉับพลันเมื่อได้แว่วเสียงของใครอีกคน

“ผมก็อยากให้คุณรู้ไว้ว่าผมรักคุณ...” ประโยคของใครคนนั้นที่ได้รับฟังทำให้การทำงานของสมองของผมหยุดลง

‘อะไร?’ คำถามที่ส่งผ่านสายตากร้าวส่งตรงถึงชายคนนั้นที่ทอดสายตามายังผม เขาเห็นผมหากแต่เขายังคง...

“ผมอยากเห็นคุณมีความสุข และผมเชื่อว่าผมจะทำให้คุณมีความสุขได้ หัวใจของผมเป็นของคุณมาตลอด และเป็นของคุณมานานแล้ว ก่อนที่ ‘เขาคนนั้น’” สงครามที่ถูกประกาศชัดและไม่เว้นวรรคให้ ‘ส่วนเกิน’ สอดแทรก

“ผมรักคุณรุ่ง... ขอแค่เลือกผม... ขอแค่รักผม... ขอให้เป็นผม... ได้โปรด”

ผิดเวลา ผิดเวลาแน่ ๆ ณ ตรงนี้ ที่นี่ผมเป็นแค่ ‘ส่วนเกิน’ ทุกประโยค ทุกวลีทุกถ้อยคำ เคลื่อนช้าหากกดแผลลึกบาดฉกรรจ์ลงในหัวใจ ทำให้กลไกปกป้องตัวเองสั่งให้หลีกหนี ผมหันหลังกลับพร้อมจะก้าวเดิน... หากแต่จะดีกว่านี้มาก ถ้าไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายที่แสนไพเราะอ่อนหวานนั่น



“ผมก็รักคุณครับ...”







#JKLTHESERIES


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: JKL THE SERIES: LOVE: IS...YOU 20.03.2018
« ตอบ #159 เมื่อ: 20-03-2018 14:14:26 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: LOVE: IS...YOU 20.03.2018
«ตอบ #160 เมื่อ20-03-2018 18:54:09 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: RECOVER 21.03.2018
«ตอบ #161 เมื่อ21-03-2018 14:28:36 »

Chapter XXVIII: RECOVER

 

“ผมก็รักคุณครับ...”

ภารกิจที่เสร็จสิ้นพร้อมหัวในรักที่แตกแหลกสลาย หากหน้าที่ของผมในตอนนี้เป็นเพียงแค่... ‘ผู้ส่งเอกสาร’ และบัดนี้เอกสารสำคัญฉบับที่แนบมากับหัวใจตลอดการเดินทางนั่นก็ได้ถูกส่งถึง ‘ผู้รับ’ เป็นที่เรียบร้อย!!!

หากเพียงแต่ถ้า ’ผู้ส่งเอกสาร’ รู้ตัวมาก่อนว่าตนเองมีบทบาทเพียงแค่นี้ จะได้หักจะได้ห้ามไม่ให้ทั้งชีวิต... ทั้งหัวใจ... มอบไว้ให้เพียง... แค่เธอ

เรื่องยุ่ง ๆ ที่สนามเนื่องจากการเลื่อนไฟลท์การเดินทางทำให้เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมมากพอสมควร แต่ในเมื่อตอนนี้ผมไม่ต้องการอยู่ที่นี่ ไม่ต้องการอยู่ที่ประเทศนี้แม้อีกเพียงเสี้ยววินาทีก็ผลักดันทำให้ยินยอมทุกสิ่ง

ยอมแม้กระทั่ง... หนีหัวใจของตัวเอง

ความเจ็บปวดในหัวใจร้าวรานกับความทรมานในทุกลมหายใจ บังคับให้ร่างกายหลีกหนีนั้นไม่เท่ากับความด้านรุ่งภายในหัวใจที่รู้ทั้งรู้... แต่สมองยังเพียรเฝ้าปฏิเสธความเป็นจริง

ถ้าเพียงแต่ผมไม่อยู่ตรงนั้น ถ้าเพียงแต่ผมไม่รับรู้ ถ้าเพียงแต่ผมยังเฝ้ารอ... เขาอยู่ในที่ที่เป็นของเรา ที่ที่เป็น ‘บ้านของเรา’ เขาก็ยังเป็นคนรักของผม ไม่ใช่หรือ...

การโกหกตัวเองที่ร้ายกาจ ดังลมหายใจที่คมแหลมกรีดแทงลึกลงในหัวอก

ต่อให้คนทั้งโลกจะตราหน้าว่าโง่... ผมก็ยินยอม

ความคิดที่วกวนวุ่นวายในสมองผสมรวมกับความทรมานในหัวใจทำให้ผมเพียรพยายามหลับตาลง เหลือเวลาอีกพักใหญ่ในการรอคอยที่จะลากร่างวิญญาณของตัวเองกลับบ้านของเรา

น่าขำสิ้นดี ก่อนการเดินทางครั้งนี้... ในวินาทีที่ผมรอขึ้นเครื่องในไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมยังคิดเพียงแต่ว่า ‘ความคิดถึงนั้นช่างร้ายกาจนัก’ หากตอนนี้ผมรู้ซึ้งแก่ใจดีแล้ว ว่าเทียบกันไม่ได้เลย ความคิดถึงไม่ได้เศษเสี้ยว...

เมื่อต้องมารับรู้ว่า... ‘กำลังจะเสียของรัก กำลังจะเสียคนรักไป’

 

กลิ่นหอมจางบางอ่อนโบกโชยมาพร้อมกับกระแสลมของเครื่องปรับอากาศภายในตัวอาคารรับรองผู้โดยสารชั้นใน กลิ่นที่ไม่ต้องลืมตาขึ้นมองก็รับรู้กลิ่นที่คุ้นเคยมานานแสนนาน... ดังดอกปริชาติดึงภาพฝันในวันวานย้อนคืน

ความทรงจำที่ยังคงแจ่มชัดใหม่สดในหัวใจ วันแรกที่ก้าวไปในร้านขายดอกไม้ที่มหาวิทยาลัย ‘ดอกไม้สีขาว’ งามงดผุดผาดชูช่อลอออองในตู้ทำความเย็น หากเมื่อกลีบกำมะหยี่แข็งแกร่งสัมผัสกับความอบอุ่นภายนอกก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกรำจายไปทั่ว

ความงดงามที่มิอาจเสมอเหมือน หากร่องรอยเสน่หาตราตรึงคลับคลาคล้ายคลึงในหัวใจ

ไม่รู้ทำไม... แต่มันต้องใช่ เท่านั้นที่หัวใจรับรู้

ภาพดอกไม้งามในวันวานที่ไหลย้อนคืน... ซ้อนทับกับรอยยิ้มบาง ดวงตาเล็กที่เบิกกว้าง หากจ้องมองดอกไม้นิ่งหน้าล็อกเกอร์ แววตาที่ไม่สามารถคาดเดาทุกสิ่ง หากยังคงรักษาพกพาดอกไม้ไว้แนบกาย ใบหน้าอ่อนละมุนยามนอนของผู้ป่วย ที่มิได้รับรู้ถึงการมาของเจ้าของดอกไม้ แสงอาทิตย์ยามเช้าที่จับต้องใบหน้าพร้อมสายตาที่ทุกข์ระทม ก่อนยื่นคืนดอกไม้งาม รอยยิ้มสดใสแย้มเยือนหยอกเย้าพร้อมรับดอกไม้ทุกดอก สร้างความสุขล้นในหัวใจ

‘ดอกลิลลี่สีขาว’ ดอกแล้วดอกเล่า ช่อแล้วช่อเล่า... ใครจะคาดคิดว่ามิได้ตรึงตราเทียบเทียมได้กับสวนกุหลาบละลานตานับพัน ใครจะคาดคิดว่าเวลาเพียงสั้น ๆ จะทำให้หัวใจใครแปรเปลี่ยน ถ้ารู้... เพียงรู้จะไม่ปล่อย จะไม่ยอมให้เป็นเช่นนี้ หากแต่ใครเล่าจะย้อนวัน ย้อนเวลาได้

หยาดน้ำจากในตาที่ไหลหยดรินอาบหน้า ความรวดร้าวในหัวอกบวกผสมเพิ่มเติมกับภาพประหลาด... ‘ดอกลิลลี่สีขาว’ อีกดอกหนึ่งที่มิเคยคุ้น หากสร้างความปวดแปลบร้าวฉานขึ้นมาในหัวสมองที่เกือบมึนงง ทำให้ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการนำพาร่างที่มีสภาวะสั่นไหวจากอาการกำเริบของโรคเก่าเข้าไปนั่งประจำที่บนสายการบิน

ยาเม็ดเล็กที่พกติดตัวตลอดเวลาถูกกรอกเข้าปากทันทีที่ได้รับเครื่องดื่มที่ร้องขอจากพนักงานบนเครื่อง ก่อนหลับตาลงอีกครั้งด้วยความเหนื่อยอ่อนทั้งกาย และใจ สติที่หลงเหลือเพียงเล็กน้อยค่อย ๆ เคลื่อนหลุดหายเพราะยาที่ออกฤทธิ์กดประสาทฉับพลัน

หากแต่ภาพ ‘ดอกลิลลี่’ ดอกนั้นกลับชัดเจน

พร้อมคำถามสุดท้ายก่อนสติขาดหายไป

“ใคร?”

‘......................ยินดีด้วยนะ’

‘อืม....................ขอบคุณมาก’ 

 

 











“ไง... นั่งเครื่องบินเล่นทั้งวันนี่มันสนุกไหม”

“....................................” สีหน้าที่ตกตะลึงเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง พร้อมกับดวงตาแดงช้ำยังคงจ้องมองนิ่งต้องร้องไห้มาแน่ ๆ

‘เฮอ.....พ่อเหมียวนะ พ่อเหมียว น่าตีจริง ๆ’

“หน้าซีดเลย... เป็นอะไรหรือเปล่าเขน มีไข้ไหม” หากเมื่อเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าคมขาวซีดเย็นเฉียบ

“ก็ไม่...” หากยังไม่ทันพูดจบดีว่าไม่มีไข้ ร่างทั้งร่างที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงก็ถูกรั้งฉุดดึงปลิวเข้าสู้อ้อมกอดที่กระชับแน่นกลางสนามบิน ก่อนคำแรกแหบห้าวจะหลุดออกมา

“รุ่ง.....” เสียงเรียกที่อดจะทำให้ยิ้มกว้างไม่ได้

“แล้วคิดว่าใคร”

“ทำไม...”

“ก็ไม่ทำไม... เดี๋ยวเล่าให้ฟัง แต่ปล่อยก่อน นี่รู้กันทั้งประเทศแล้ว” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปเริ่มจะอู้อี้ เพราะผมเริ่มจะหายใจลำบาก ก่อนที่ร่างจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ

“กลับ ‘บ้านเรา’ กันนะ”

“แต่...”

“อย่าดื้อสิ บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวเล่า มาตามมา” หากเจ้าตัวยังคงยืนเอ๋อดัง ‘เด็กน้อยน่าสงสาร’ ทำให้ผมต้องตัดใจกุมมือ และลากพ่อแมวดื้อที่เดินเช็ดน้ำหูน้ำตาป้อย ๆ ออกมาจากสนามบิน

“เลิกร้องก่อนอายเขา”

“เดี๋ยว ต.ม. คิดว่ารุ่งล่อลวงเขนมาขายจะยุ่งนะ” ทั้งปลอบ ทั้งขู่กันอยู่นานเด็กน้อยถึงจะเลิกร้อง ก่อนที่จะมานั่งตั้งสติไล่เรียงถามฟื้นความจำเพื่อตามหารถกันจนพบ

“แล้วกระเป๋าล่ะ รุ่ง”

“จะเก็บอะไรได้ทัน ได้กระเป๋าทำงานติดตัวมาด้วยนี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

“โชคดีที่พกหนังสือเดินทางมา ไม่งั้นจะตามเด็กหนีเตลิดกลับบ้านทันไหม ป่านนี้นั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งหารถไม่เจอนอนอยู่ที่สนามบินแล้ว”

“เขนก็กลับแท็กซี่” เจ้าแมวดื้อยังคงหาทาง

“เก่งจริงพ่อคุณ ขับรถไหวแน่นะ”

“ไหว”

“นี่กี่นิ้ว” ผมถามด้วยความแน่ใจ เมื่อคนข้าง ๆ ยังดูมึนงง

“สามนิ้ว”

“นี่สีอะไร” ก่อนจะชี้ไปที่หนังสือเดินทางสองเล่มที่ยึดไว้ในมือ

“แดงน้ำตาล”

“อือไป งั้นกลับบ้านได้”

“รุ่ง...” ผมเชื่อว่าสติเขากลับมาครบสมบูรณ์พร้อมที่จะขับรถกลับบ้านได้ ก็ตอนเขาปรับเบาะเอนลงได้ทันจังหวะที่ริมฝีปากของเราเนียนแนบแอบชิดกันพอดีนี่เอง รวมทั้งต้องเสียเวลาอีกพักใหญ่ในการปัดป่าย ถกเถียง ขู่เข็ญ ห้ามปรามกันอยู่นานเรื่องข้อกฎหมายที่ว่าด้วยการทำอนาจารในที่สาธารณะ กว่าที่รถขับเคลื่อนสี่ล้อคันเดิมจะเคลื่อนออกจากลานจอดรถได้

ช่างไม่เห็นใจหัวอกคนคิดถึงบ้านกันบ้างเลย

 

ลมหายใจที่ถูกช่วงชิงขาดหายทันทีที่ประตูบานสูงถูกปิดลงพร้อมเหตุผลมากมายที่ไร้ซึ่งความหมายอีกต่อไป ด้วยเรื่องราว และความเข้าใจที่ขาดหาย ถูกปรับเปลี่ยนแก้ไขมาในช่วงระยะเวลาการเดินทางกลับสู่บ้านของเรา

“ผมก็รักคุณครับ...”

“ได้ยินแค่นั้น!!! ”

“ก็เขนได้ยินแค่นั้น... ” เสียงแตกแหบพร่าแสดงความเจ็บปวดอย่างเปิดเผย ทำให้ยิ่งสงสารจับใจระคนความหมั่นไส้เล็กน้อย

‘ความจริง... ก็น่าปล่อยให้เจ็บต่อไปหรอก’ สมองคิด หากหัวใจไม่ยินยอม

“เฮอ... เลือกจังหวะได้ดีจริง ๆ แต่ถึงได้ยินอย่างนั้นจริง เขนก็เชื่อเหรอว่าความจริงจะเป็นอย่างนั้น”

“ก็............” เสียงอึกอักทำให้ผมได้แต่ผมถอนหายใจอีกครั้งกับ ‘โชคชะตาที่เล่นตลก’ ทำให้ความเชื่อมั่นในหัวใจของเราสองต่างกันอย่างสิ้นเชิงเป็นเพราะ ‘ความทรงจำในอดีตที่มิได้เคียงใกล้เสมอเหมือน’ ความแตกต่างที่ไม่ว่าจะเพียรพยายามก่อเติมเพิ่มถมเท่าไหร่... ก็ไม่มีวันเหมือนกัน

                เมื่อภาพในอดีตตั้งแต่วินาทีแรกที่เราพบกันมีเพียง... ผมแค่คนเดียวที่ยังคงจำจดตรึงตรา และรู้ซึ้งถึงความรักที่แสนคงมั่นในทุกวินาทีอยู่เพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่อดีตของเราในความทรงจำของอีกคนกลับเริ่มต้นหลังจากนั้นเป็นเวลานาน และเป็นความรักข้างเดียวที่เจ็บปวดตลอดมา

หากจะโทษใครได้... ในเมื่อผมเลือกแล้วที่จะกลับคืนมา

ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง เรื่องราวต่างๆ จึงถูกเรียงถ้อยร้อยความแต่ต้นอีกครั้งพร้อมกับเติมเต็มความสมบูรณ์

“ผมรักคุณครับ... ผมรักและเคารพคุณมาตลอด คุณไม่ใช่เจ้านาย แต่คุณ ‘เป็นพี่’ ของผมด้วย และผมคงยังยืนยันคำตอบเดิม หวังว่าคุณจะเข้าใจ” ประโยคที่ออกมาจากปากของผมอีกครั้ง หากครั้งนี้ต้องอาศัยความเชื่อมั่น และศรัทธาในหัวใจของใครคนนั้น ที่จะเลือกด้วยตัวเองว่าจะเชื่อหรือไม่

“แล้ว?”

“แล้ว... เขาก็คงเข้าใจ ถึงยอมบอกว่ามีใครมายืนแอบฟังแล้วหนีเตลิดออกมา” หน้าแมวหงอยที่ขับรถนิ่ง ๆ สลดลงจนอดที่จะปลอบไม่ได้

“เขน...”

“เขนขอโทษ” ตาแดงกล่ำ ทำให้อดที่จะซุกซบศีรษะลงที่ลาดไหล่กว้างไม่ได้

“ไม่เห็นมีอะไรต้องขอโทษเลย”

“เขนทำเรื่องให้ยุ่งหมดเลย”

“ไม่เห็นมีอะไรจะยุ่งเลย”

“ก็รุ่งกลับมาแล้ว... เขนทำให้รุ่งเสียงาน แค่เรื่องส่วนตัว ไม่น่า...” ความเชื่อใจกลับมิใช่ปัญหาเท่ากับความปรารถนาให้คนรักเป็นสุขใจ

“ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวหรอกเขน... แต่มันเป็นเรื่องของเรานะ และงานรุ่งเสร็จแล้ว รุ่งคุยกับคุณอาร์ทแล้ว รุ่งไม่ไปไหนแล้ว... รุ่งจะอยู่กับเขนนะ” แม้เอ่ยถึงขนาดนี้ หากสีหน้าใครบางคนก็ยังไม่ดีขึ้น

“เขน..... เป็นอะไร ไม่ดีใจที่รุ่งกลับบ้านเหรอ...”

“เขน.....” เสียงของความเชื่อมั่นที่ขาดหาย จึงเป็นหน้าที่ของอีกคนที่ต้องแบ่งปัน

“ชีวิตนี้ทั้งชีวิตของรุ่ง... ไม่มีอะไร ไม่มีใคร สำคัญไปกว่า ‘เรา’ เลยนะเขน ‘เรา’ ที่ต้องมี ‘เรา’ ที่มีเราสองคน”

“ ‘เรา’ ที่มี ‘เขนเป็นของรุ่ง’ และ ‘รุ่งที่เป็นของเขน’ เป็นของเขนเพียงคนเดียวเสมอ...”

 







เสื้อผ้าข้าวของถูกฉีกรั้งดึงทึ้งออกจากร่างและถูกทิ้งกระจัดกระจายตามทางเดินที่ทอดยาว ร่องรอยเรียวลิ้นและฟันคมถูกฝากฝังทิ้งไว้ทั่วลำคอระหง และไหล่บาง ก่อนจะลงไล้แต่งแต้มรสสัมผัสดูดดื่มลึกล้ำร้อนเร่าที่ปลายยอดอกสีหวานมันวาวเป็นประกาย

“ข... เขน พอก่อน ไปที่ห้อง... อ... อื้อ... ไปที่เตียงก่อน” ฝ่ายรับเพียรรั้งตั้งสติที่หลงเหลือนิดน้อยของตัวเองให้กลับมา ก่อนที่จะถัดกายขึ้นมาจากพื้นทางเดินแข็งที่เฉียบเย็น

ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ และกินเวลาพอสมควรในการฉุดรั้งสองร่างที่เกี่ยวกระหวัดรัดแน่นชิดแนบด้วยผิวกายที่ไร้ซึ่งเสื้อผ้าอาภรณ์ ไปพร้อมๆ  กับรองรับจูบร้อนที่ถูกป้อนปรนเปรอไม่ห่างไปจนถึงจุดหมายที่ตั้งใจ

ความเหนื่อยอ่อนทำให้ร่างบางที่นอนเหยียดยาวบนเตียงกว้างหอบหายใจน้อย ๆ ก่อนที่ร่างที่ทับทาบจะเพียรกระซิบขู่เข็ญแหบห้าวถ้อยคำที่ย้อนยอกบอกให้รู้ถึงสติที่มีน้อยกว่าน้อย

“รุ่งเป็นของเขนนะ... เป็นของเขน ของเขนคนเดียว”

หากแต่ที่หลากใจ คนหลงลุ่มเมามัวกระทำการทุกอย่างตามสัญชาตญาณตามความต้องการได้อย่างเชี่ยวชาญช่ำชอง ถ้อยคำซ้ำ ๆ ที่เพียรพร่ำเน้นย้ำจูบซับกดลงบนผิวกายพร้อมรอยรื้นแดงที่ประกาศชัดความเป็นเจ้าของประปรายกระจายทั่ว

สองร่างเกี่ยวกระหวัดรัดแน่นโหยหาทวีโหม กลิ่นกายที่เคยคุ้นจุดกระตุ้นอารมณ์พิศวาสภายในจนลุกโชน ความแนบแน่นนวลเนียนจนยากที่จะอธิบายสิ่งใดในหัวสมองที่ขาวโพลน

หากรสสัมผัสด้วยรอยจูบจุมพิตคลึงเคล้า ฝ่ามือใหญ่และนิ้วเรียวยาวที่ฟอนเฟ้นกลับชัดเจนตราตรึงไปทั่วทั้งสองร่างที่พันเกี่ยว การสนองตอบที่เทียมเท่าถ่ายทอดหมื่นล้านคำพรรณนาความคะนึงหาที่มีต่อกัน ลมหายใจร้อนแรงสะท้อนไหวในหัวอกตลอดการดูดดื่มรัดรวบสัมผัสส่วนไหวอ่อนเนิ่นนาน กลืนกินไปทั่วทั้งร่างจวนเจียรจะขาดใจ

บทรักเนียนแนบแอบชิดลุกล้ำเร็วรวด สองร่างค่อย ๆ ผสานรวมเป็นหนึ่งหยุดนิ่งทิ้งระยะปรับตัวปรับใจ ความอึดอับคับแน่นทำให้เสียงหอบหายใจขาดหาย ก่อนรอยจุมพิตจะเพียรซับลากไล้ทั่วใบหน้าหวาน เสียงแว่วแหบพร่ากระซิบกระซาบปลอบประโลมด้วยแสนรักและภักดี

สัมผัสที่ร้างราห่างหายดังไฟสุม ความคิดถึงดังลมแรงพัดกระพือโหม

ผู้เฝ้าคอยหักห้ามเพลิงร้อนที่เผาไหม้ภายในหัวใจตน รอจนลมหายใจยาวผ่อนคลายความตึงเครียด จังหวะเนิบช้าจึงเริ่มต้นก่อนเสียงแตกแหบพร่าจะกระซิบ

“ขอเข้าลึก... นะคะ” สองขาเพรียวถูกยกขึ้นพาดบ่าจัดทางวางท่ารวดเร็ว ก่อนที่ร่องรอยประสานกายจะกดย้ำลงลึก จนร่างบางที่รองรับผวาหนี หากมิสามารถฝืนแรงอ้อมกอดแกร่งที่ประคองกอดฉุดรั้งแน่นหนา

“อ...อย่า...เขน... ฮรื่อ.....” เสียงครางเบา ๆ ในขณะที่ใบหน้าที่ส่ายสะบัดพร้อมเรียวนิ้วที่จิกลงบนไหล่หนาเพื่อบรรเทาเบาบางความลึกล้ำภายใน

“นิดเดียวนะรุ่ง อีกนิดเดียว” รอยกดย้ำควานคว้านสัมผัสลึกภายในจนพบจุดสัมผัสสั่นไหวและเพิ่มแรงกระชั้นตอกย้ำ จนแขนบางที่เคยผลักผละหนีกลับมาดึงรั้งเพียรขอความแนบติดชิดใกล้ทำให้รอยยิ้มแย้มเยือนแห่งความสุขสมชัดเจน

จังหวะรักแรงระรัวทวีโหมยาวนาน ผันผ่านดังระลอกฟองคลื่นขาวสูงชันในฤดูมรสุมม้วนตัวซัดสาดกระทบหาดครางครืน เสียงหอบหายใจที่ดังก้องบวกผสานเรียงร้อยกับเสียงแหบห้าวและเสียงกรีดร้องทุ้มหวานครวญครางนำพาสองร่างขึ้นสู่สรวงสวรรค์อันพร่างพราวไร้จุดสุดสิ้น ฉุดรั้งสองดวงใจภายในหัวอกด้านขวากลับมาแนบชิดเต้นแรงเติมเต็มกันและกันอีกครั้ง... และอีกครั้ง

 

จุมพิตรับอรุณที่ปลุกปลอบยอดรักให้ฟื้นตื่นลืมตาในยามเช้า หวานหอมลึกล้ำจนเกือบลืมหายใจ หากเมื่อหักใจปล่อยละรสจูบเด็กง่วงที่ยังคงงุนงงงัวเงียก็มุดหนีลงไปในกองหมอนนุ่มและผ้าห่มผืนหนาฟูอีกครั้ง เรียกเสียงหัวเราะในคอที่แผ่วเบา และรอยยิ้มกว้างที่แสนเปี่ยมสุข อาการที่กักเก็บปิดบังดีขึ้นทันตา แม้ยาเม็ดที่กินไปก่อนหน้าก็หาได้เทียมเทียบยาใจขนานนี้ไม่

“รุ่งจ๋า..... สายแล้วตื่นทานข้าวนะครับ”

“อืม... เขนกินก่อนเลย”

“เขนอยากกินกับรุ่งนี่นา”

“เขนกินเลย รุ่งยังไม่หิว”

“สายแล้ว... กินผิดเวลาไม่ดีนะ เดี๋ยวโรคกระเพาะกำเริบ”

“ฮื่อ.....” เสียงปฏิเสธผสมรวมกับเสียงกรนน้อยด้วยความตั้งใจ

“รุ่ง... รุ่งจ๋า..... เขนมีสองทางให้เลือก”

“จะลุกขึ้นมากินไข่ตุ๋นกับเขนก่อนแล้วนอนต่อ... หรือจะนอนต่อแล้ว...”

“เอาข้อสอง” นั่นไงคนหลับตอบเร็วเชียว

“แน่ใจนะ ฟังให้จบก่อนไหม” เด็กดื้อส่ายหัวกับหมอนดุกดิกทำให้อดกดจูบเบา ๆ ที่เรือนผมก่อนกระซิบต่อไม่ได้

“หรือรุ่งจะนอนต่อแล้วให้เขนกิน” ดวงตาที่เบิกกว้างพริ้มลงอีกครั้ง เมื่อจุมพิตกลืนกินยาวนาน ลมหายใจอุ่นที่ทอดถอนแรงพร้อมกำปั้นที่ทุบลงในอ้อมอกเบาๆ ดึงสติให้หวนคืน

“ยังไม่ทันเลือกก็กินก่อนแล้ว” เสียงโยเยและสายตาที่มองค้อนสร้างเสียงหัวเราะเบา ๆ

 

อ้อมแขนแกร่งที่ผายออกเปิดกว้างรองรับร่างบอบบางที่ถลาเข้ามาซุกซบลงและค่อย ๆ ประคองสองขาที่ไร้เรี่ยวแรงให้เหยียดยืน ก่อนภาพสะท้อนจากกระจกยาวสะกดสายตาใครบางคนให้หยุดนิ่ง ความงดงามที่น่าหลงใหลดับความหิวในรสอาหาร แต่กลับสร้างกระหายในบางสิ่ง เนิ่นนานจนใบหน้าหวานเงยขึ้นมองด้วยความสงสัยก่อนมองตามสายตาคม ร่างเปลือยที่ถูกประคองกอดแนบชิดหยัดยืนเคียงคู่ ภาพบางภาพซ้อนทับเป็นริ้วสร้างความปวดแปลบในสมองก่อนจะรางเลือน สิ่งใด?

หากเพียงเพราะ... เสียงประท้วงบางเบาที่ฉุดรั้งสติกลับคืน พร้อมความงามเฉิดฉายของสีกุหลาบระเรื่อที่แต้มแต่งบนใบหน้า ทำให้ลืมเลือนหมดสิ้น

“เขน...”

“อยากกิน... อย่างอื่นมากกว่าอาหารเช้าแล้วรุ่ง”

“ม... ไม่นะ หิวแล้วนะเขน โอ๊ยแสบท้อง เดี๋ยวโรคกระเพาะกำเริบนะ” ความร้ายกาจชาญฉลาดของเหตุผลที่นำมาใช้ต่อรองได้ผล

หากเจ้าตัวคงมิได้ตระหนัก มิเพียงอาหารเช้ามื้อนี้ ไข่ตุ๋นจะอ่อนหวานนุ่มนวลละมุนละไมเป็นพิเศษด้วยวิวทิวทัศน์ที่แสนเสน่หา หากวันนี้ทั้งวันเวลายังคงทอดช้าเนิ่นนาน มีหรือที่ยอมปล่อยให้หนีรอดพ้นมือไปเสีย

ต่อให้เก่งเพียงใด ต่อแกร่งแค่ไหน

หากแต่เมื่อในหัวอกยังคงมีดวงใจ ก็ย่อมแพ้พ่ายต่อความรัก





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: LOVE: RECOVER 21.03.2018
«ตอบ #162 เมื่อ21-03-2018 15:15:21 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: LOVE: RECOVER 21.03.2018
«ตอบ #163 เมื่อ22-03-2018 10:07:28 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: ANSWER 22.03.2018
«ตอบ #164 เมื่อ22-03-2018 17:41:08 »

Chapter XXIV: ANSWER

 

“คิดถึงจังเลย” ผมพิมพ์ข้อความ และส่งทันทีที่หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ หากรอไม่นานข้อความที่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วก็บอกชัดถึงความใส่ใจที่ไม่แพ้กัน

“ยังไม่ถึงสิบนาทีเลยนะเขน นี่ก็อยู่ชั้นเดียวกันด้วยเถอะ” ความซึนเล็ก ๆ ที่ทำให้เสน่ห์ของผู้ชายสวยคนนี้เพิ่มขึ้นมหาศาล แค่นี้ก็หลงจะแย่อยู่แล้วนะรุ่ง

“แต่เขนใจจะขาดอยู่แล้ว... ขอเขนไปนั่งด้วยนะ...นะรุ่ง...” ผมพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลงพร้อมเตรียมเก็บของทันที ยังไงซะร่างกายย่อมปรารถนาอยู่ติดชิดใกล้กับหัวใจเป็นธรรมดา

“อยากมา... ก็มาเลย รุ่งไม่อยู่กำลังจะไปประชุมนะเขน”

“อ้าว...”

“วันนี้น่าจะประชุมทั้งวัน แต่แวะมาก็ได้นะ น้องบ่นๆ คิดถึง”

“ม่ายอะ อย่างนั้นเขนรอกินข้าวนะครับ” เรื่องอะไรผมจะไปให้เจ้าเด็กแสบก่อกวน

“มีนัดแล้ว”

“ห๊ะ” ใช่ครับ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่เราห่างกัน แล้วเขาไปรับนัดใครตอนไหน

“จริง”

“T________T”

“จะประชุมแล้ว อย่างอแงนะเขน อายลูกเหมียว” พูดซะเห็นภาพเจ้าลูกเหมียวลายเสือสามตัวนั่นที่ชอบร้องหาเวลาแม่ไม่อยู่ด้วย

“ไม่อาย... กลับไปบ้านเขนจะร้องแข่งกับเจ้าสามทหารเสือนั่น แล้วจะฟ้องเหมียวด้วยว่าแม่ไม่สนใจพ่อ”

“ฟ้องเลย”

“โถ... ง้อหน่อยสิ”

“ประชุมแล้ว ;P”

“รุ่ง...”

“รุ่งจ๋า....” เมื่อไม่ได้รับคำตอบพร้อมกับปฏิกิริยาใด ๆ ตอบกลับ แสดงว่าเขาต้องเริ่มประชุมแล้วแน่นอน ผมจึงตัดใจกางหน้าจอโน้ตบุ๊กขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เสียงแซวไม่เบาจะดังขึ้นจากโต๊ะข้างๆ 

“หัวเน่าแล้วเหรอ... ไอ้เสือ” เจ้านายที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แย้มเยือนส่งมา

“อย่างว่า... ก็น่าเห็นใจนะ ก็เพิ่งกลับมา”

“ยังไม่หายคิดถึงเลยพี่” ผมพูดพร้อมทั้งถอนหายใจเบาๆ

“เออ...เอาน่าอย่างน้อยก็กลับมาอยู่ประเทศเดียวกันแล้ว” หากประโยคถัดมามันแปลก ๆ ต้องพูดว่า... ‘อย่างน้อยก็กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว’ ไม่ใช่เหรอ อาจจะเป็นเพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของผม หัวหน้าจึงเดินมาเฉลยถึงโต๊ะ

“เอ่อ... ไปเหนือหน่อยไหม เขน”

“หา.....พี่”

“โปรเจคใหญ่ท่าจะมีปัญหาว่ะ น่าจะต้องเปลี่ยนทีมเร่งให้เปิดให้ได้ปลายปีนี้”

“เอ่อ...”

“จริงๆ พี่อยากไปเองนะ แต่... นายไม่ให้ไป”

“แล้ว... พี่ก็ไม่ไว้ใจใครเท่าเขน โทษที ช่วยดูให้พี่หน่อยได้ไหม”

“เชียงใหม่เหรอพี่” ผมเอ่ยย้ำความมั่นใจ ก่อนที่จะหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองสักพัก

“อืม... คิดดูก่อนก็ได้ พี่...” ก่อนจะตัดสินใจตอบอย่างรวดเร็ว

“ได้ พี่ผมไปได้ แต่... ผมไปพักที่บ้านเก่าที่ลำปางได้ใช่ไหมพี่”

“ได้สิ ไม่น่าจะไกลจากเชียงใหม่เท่าไหร่ถ้าเทียบกับรถติดในกรุงเทพสบาย ๆ เลย แต่เขนแน่ใจเหรอลองคุยกับรุ่งก่อนไหม”

“ผ..... ผม เดี๋ยวผมคุยเองพี่ แต่ผมไปได้จริง ๆ” ดูพี่เชนจะแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับซึ่งก็ไม่แปลกเพราะผมก็ยังแปลกใจหัวใจตัวเอง หากแต่นี่เป็นวิธีเดียวไม่ใช่หรือรุ่งฉลาด ถ้ายังคงอยู่ติดใกล้กันเกือบ 24 ชั่วโมงทุก ๆ วันเช่นนี้ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่าจะเก็บ ‘ความลับ’ ครั้งนี้ไปได้ยาวนานแค่ไหน... ถ้าห่างกันสักนิดให้ทุกอย่างดีขึ้น... ก็น่าจะดีกว่า

 

 







“พี่ไม่กินน้ำซุปเหรอ ผมขอได้ไหม...” ชีวิตอันแสนเศร้าของผม ต้องมาจบลงด้วยมื้ออาหารที่ถูกรีดไถโดยน้องชายสุดแสบ

“เออ...”

“อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นสิพี่ นี่ผมยังไม่เห็นเศร้าเลย แค่มื้อเดียวเอง อย่าคิดมาก” ประโยคปลอบใจของ ‘ผู้รู้’ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายลมหายใจเบา ๆ หากแต่กลับสะดุดกึกเพราะประโยคต่อมา

“พี่รุ่งเขาคงเบื่อหน้าพี่บ้างอะไรบ้าง แค่นั้นแหละ”

“ไอ้เฟรม” ผมรู้ว่าน้องชายสุดที่รักกำลังแกล้ง

“อย่าคิดมาก อย่า.....” หากคำพูดที่หยุดกะทันหัน และใบหน้าที่ซีดลง ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะทัก

“เฟรม... เป็นอะไร” ก่อนที่จะมองตามสายตาหยุดนิ่งที่มองออกไปหน้าร้านอาหาร

ภาพหนุ่มสาวที่เดินเคียงข้างพูดคุยสนิทสนมปานคู่รักและอากัปกิริยาที่กระตือรือร้นของหญิงสาวพร้อมกับรอยยิ้มน้อยของผู้ชายที่ผมรักทำให้... แอบเจ็บเสียดน้อย ๆ ภายในหัวใจ หากแต่... ผมรู้จักคนของผมดี

“ก็เขามากินข้าวด้วยกันไง ไหนบอกไม่ให้คิดมาก”

“พี่ ม...ไม่หึงเหรอ... นั่น...นั่น พี่รุ่งนะ” เสียงตะกุกตะกักทำให้ผมยิ้ม

“ก็พี่ของนายเขาเป็นผู้ชาย ไม่แปลกหรอก” เฟรมมองผมอย่างประหลาดใจชัดแจ้ง และผมก็มองกลับด้วยความแปลกใจไม่แพ้กัน

“ต...แต่.....” เด็กแสบที่ทำท่าทางเหมือนวางตัวไม่ถูก ทำให้ผมกลับมามองมันอีกครั้งอย่างพินิจพิเคราะห์ และเริ่มระแวงน้อย ๆ ว่าไอ้นี่มันเป็นอะไร

 







การประชุมโปรเจคใหม่ที่เพิ่งตกปากรับคำเมื่อเช้าเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวในช่วงบ่าย เมื่อพี่ชายของผมเดินมาบอก

“ฝ่ายโครงการเขาจะคุยกันเลยบ่ายนี้ เขนว่างไหม ได้เข้าไปฟังปัญหาตั้งแต่ต้นด้วยกันเลย” ประโยคที่ทำให้ผมกับพี่เชนมานั่งชิวดื่มกาแฟฟรีในห้องประชุมเพื่อรอคอย

“ไงเชน... อ้าวตกลงเป็นนายเหรอ” หากที่ไม่รู้มาก่อน คือ นายคนที่ดูแลโครงการซึ่งเพิ่งเดินเข้ามา คือคนเดียวกันกับที่เพิ่งกลับมาจากจีน

“ครับ” ผมตอบออกไปได้แค่นั้น ก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้น้อย ๆ และนั่งลง ก่อนที่หัวหน้าโครงการมาดเข้มจะเข้ามาในห้อง พร้อมเสนอแผนโครงการเดิมที่ล่าช้าพร้อมกับปัญหาที่มากมายที่เกิดในทุก ๆ ส่วน และซีดลงทุกที ๆ เมื่อถูกคุณอาร์ทถามไล่ทีละประเด็นซึ่งเจ้าตัวไม่สามารถให้คำตอบได้

“มือใหม่” พี่เชนกระซิบ ในขณะที่ผมได้พยักหน้ารับ ในการทำโครงการระดับนี้ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือแผน และคนที่สำคัญที่สุดก็คือหัวหน้าโครงการ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจถ้าโครงการนี้จะมีปัญหา ในที่สุดเมื่อประธานที่ประชุมลุกขึ้นด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้ดี และกล่าวก่อนที่จะเดินออกไป

“คุยกันไปก่อนเดี๋ยวผมมา” ก็ยิ่งทำบรรยากาศเงียบ และตึงเครียด

“ขอผมดูผังโครงสร้างได้ไหมครับ” ผมจึงรีบทำลายความอึดอัด และหาทางออกให้ตัวเอง และพี่ชาย โดยนำผังเดิมมานั่งดูเพื่อศึกษาพร้อมกับพี่เชนในขณะที่ทีมอื่น ๆ ก็คุยกันเบา ๆ ก่อนที่นายกลับมาอีกครั้งพร้อมสีหน้าที่ดีขึ้นพร้อมกับ ไอ้เด็กแสบ

“ผมตามทีมดีไซน์เข้ามาด้วย จะได้เคลียร์กันไปเลย” ปัญหาจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่แยกทีมผู้เชี่ยวชาญออกจากทีมผู้บริหารทำให้ปัญหาด้านเทคนิคบางอย่างเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อหัวหน้าโครงการไม่มีความชำนาญที่เพียงพอ

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แม้ผมมารู้ทีหลังว่าที่คุณอาร์ทได้เจ้าเฟรมมาเพราะทั้งฝ่ายออกแบบวิ่งวุ่น และไม่มีใครอยู่ที่โต๊ะเลย นอกจากเฟรม หากความเห็นที่เจ้าเด็กนี่ให้ทุกความเห็นก็ใช้การได้ดี จนกระทั่งคุณอาร์ทตัดสินใจ

“เฟรมเคยทำงานกับเขนมาก่อนใช่ไหม”

“ครับ” เด็กแสบตอบในขณะที่ผมพยักหน้ารับ

“แล้วติดโครงการอะไรอยู่หรือเปล่า”

“ผมช่วยพี่บลูดูโปรเจคสมุยอยู่ครับ”

“อืม...” นายรับคำเงียบ ๆ ก่อนขอตัวและเดินหายออกไปนอกห้องอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับการตัดสินใจสำหรับที่ประชุม

“ผมคุยกับบลูแล้ว นอกจากฝ่ายโครงการจะส่งเขนไปเสริมทีมให้คุณ ก็จะส่งเฟรมไปช่วยดูเรื่องดีไซน์ให้ด้วย ยังไงปลายปีนี้ต้องเปิดให้ได้ แล้วเดี๋ยวผมส่งมือขวาผมลงไปช่วยดูช่วงแรกก่อน มาพอดี”

ประตูห้องประชุมที่เปิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนผู้ชายที่เข้าจะกวาดตามองทั่วห้องและพยักหน้าทักทายทุกคนนิด ๆ และเดินมานั่งที่ว่างข้างเจ้านาย

“ห้องโน้นเลิกแล้วเหรอ”

“ครับ สรุปงานเสร็จแล้ว เดือนหน้า Construction design ก็น่าจะเสร็จ”

“ดี” ความสนิทที่ไม่ว่าใครก็เห็น ทำให้ผมแอบอึดอัดเล็กน้อย

“เดี๋ยวเก่งช่วยส่งข้อมูลให้เขนกับเฟรมลองเวิร์คกันดูก่อนเรื่องแผน แล้วลงพื้นที่ให้เร็วที่สุดเหลือเวลาไม่มาก แล้วรุ่งช่วยเป็นพี่เลี้ยงเก่งดูภาพรวมช่วงแรกให้หน่อย แต่ยังไงโปรเจคที่นี่ก็ต้องขึ้นด้วย” ประโยคธรรมดาหากนำมาซึ่งภาระงานที่เพิ่มขึ้น มันแปลตรง ๆ ตัวว่า... ‘งานเดิมก็ต้องทำ งานใหม่ก็ต้องเสร็จ’ คิ้วบางจึงยกขึ้นพร้อมจดโน๊ตรายละเอียดอย่างว่องไวโดยไม่ได้มองหน้าคนพูดที่จ้องมอง ก่อนตอบรับด้วยเสียงเรียบนิ่งอย่างยากจะคาดเดา ช่วยทำบรรยากาศให้จริงจังขึ้นทันตา

“ครับ”

“ฝากดูรายละเอียดแล้วประสานงานกับเก่งแทนผมหน่อย ถ้าโอเคแล้วค่อยวางมือ”

“ครับ” ใบหน้าหวานที่เงยมองพร้อมรอยยิ้มที่ส่งอ่อนบางให้ทำให้สีหน้าหัวหน้าโครงการดีขึ้น

“งั้นก็ตามนี้ อาจจะต้องขึ้นล่องหน่อยขึ้นเครื่องไหวไหม” ประโยคท้ายของนายที่เบาลง หากทั้งห้องก็ยังเงี่ยหู

“ครับ แต่ผมชอบ... นั่งรถไฟ” คำตอบที่หลายคนงงพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก และดวงตาเป็นประกายระยิบที่ตั้งใจมองตรงมา เกือบพรากวิญญาณออกจากร่าง

ความมั่นคงที่มากกว่าคำพูด คำตอบบางสิ่งชัดเจนด้วยการกระทำ

 







อาหารมื้อเย็นในห้องประชุมกับรายละเอียดโครงการถูกแตกแผ่แยกขยายอธิบายความ ไปพร้อม ๆ กับคำแนะนำอุดรอยรั่วที่แนบเนียนจากคนที่ทำท่าเหมือนจะใส่ใจอาหารมากกว่างาน หากผมรู้ว่ามันไม่จริง และทำให้ผมไม่แปลกใจว่าทำไมฝ่ายบริหารถึงอยากได้ตัวผู้ชายคนนี้นัก

“ไข่ม้วน นี่ไม่กินเหรอ” ประโยคคุ้น ๆ คล้ายเมื่อกลางวัน หากแต่ครั้งนี้มาจากคนพี่

“อืม” ส้อมถูกจิ้มรวดเร็วว่องไวข้ามโต๊ะ ทำเอาหลายคนแอบอมยิ้ม ในขณะที่คนหัวโต๊ะแอบมองเงียบๆ

“เปลี่ยนที่ไหมพี่” เจ้าเด็กแสบข้างผมผู้ซึ่งไม่เคยรับรู้สถานการณ์แซว หากแต่

“ลุกมาเลย” ไม่คิดว่าจะมีคนตามน้ำแนบเนียน

ในที่สุดข้าวกล่องสองกล่องตรงหน้าก็ถูกเลือกแย่งกินด้วยความสบายใจจนหมดเกลี้ยงทั้งคู่ ทำให้อดกระซิบไม่ได้

“อิ่มไหม”

“นิดหน่อย ใช้พลังงานเยอะประชุมทั้งวัน”

”เหรอ... นึกว่าอิ่มอกอิ่มใจตั้งแต่กลางวัน” ผมพลั้งปากออกไป ทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้หึงเลยจริง ๆ และคนตอบก็ให้คำตอบที่ทำให้รู้ว่าไม่สะทกสะท้านอะไร

“ต้องกินตุนไว้ก่อนจะ... ตรอมใจ” หากเน้นคำที่ทำให้ต้องถาม

“ตรอมใจ?”

“คนรักจะหนีไปต่างจังหวัดแต่ไม่ยอมบอก... น่าตรอมใจไหมหล่ะ”

“รุ่ง.....”

“แล้วถ้าจะหึงเรื่องเมื่อกลางวันลองดู... อะไรรอบ ๆ ตัวให้ดี”

“อะไรรอบ ๆ ตัว นี่คืออะไร”

“จ้างก็ไม่บอก...” หากคำถามที่ไม่ได้คำตอบ และถูกนำพาให้เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ชวนให้ยังคงสงสัยภายในใจ

“อยากกลับบ้านแล้วคิดถึงเหมียว”

“แล้วพ่อเหมียวล่ะ”

“นั่งอยู่ด้วยกันต้องคิดถึงอีกไหมล่ะเขน”

“ก็เขนคิดถึงรุ่ง” ผมเชื่อว่าแววตาที่วูบไหว เกิดจากหัวใจรักทั้งดวงใจที่เป็นของผม ก่อนจะถูกดึงกลับเข้ามาลุยงานตรงหน้าอีกครั้ง

“เรื่องอย่างนี้ขยันจริงเชียว เอาความขยันมาทำงานเลยจะได้รีบกลับ ดูนี่ ดูนี่เลยจะแก้ยังไงนะเขน”

รอยยิ้มที่ส่งให้กันพร้อมความสุขที่ได้กลับมาทำงานด้วยกันอีกครั้ง เรียกคืนภาพบรรยากาศในวันวาน ความเห็นที่แตกต่างบนพื้นฐานความเข้าใจทำให้กลบเกลื่อนช่องว่าง และปัญหาที่มากล้น

‘ปัญหา’ บางอย่างถูกเติมเต็มด้วย ‘คำตอบ’ บางสิ่ง

หากบางปัญหา... กลับเป็นทางตัน เมื่อคำตอบ... ยังคงรางเลือนเจือจาง แต่ผมเพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บช่วงวันและเวลาดีๆ นี้ไว้

เพื่อเตรียมรับกับอะไร ๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: SECRET 27.03.2018
«ตอบ #165 เมื่อ27-03-2018 10:44:15 »

 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:Chapter XXX: Secret

 

สายลมเย็นสดชื่นพัดโบกโบยโชยเอื่อยจากทุ่งนากว้างสีเหลืองทองที่ปลิวไสวดังคลื่นมหรรณพสาดซัดเข้าหาแผ่นพื้นปฐพีผ่านเฉลียงที่บัดนี้ไร้ร้างว่างเปล่าปราศจากเครื่องเรือนใด ๆ ตรงเข้าหน้าต่างบานกว้างเข้าสู่บ้านไม้หลังเดิม เตียงกว้างกลางห้องที่บัดนี้มีเพียงร่างโปร่งบางนอนทอดกายนอนซุกซบอยู่ท่ามกลางกองหมอนนุ่มและผ้าห่มอุ่น ใบหน้าหวานล้ำชวนให้หลงใหลยวนเย้าใจทำให้อดใจที่จะกดจูบจุมพิตลงที่เรือนผมนุ่มไม่ได้

“ตื่นได้แล้วครับที่รัก”

“อืม... เขน” เสียงครางบางแผ่วก่อนจะพลิกหน้าหันหนีพร้อมเสียงลมหายใจยาวที่ดังสม่ำเสมอต่อเนื่องทำให้อดนึกสงสารคนที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางไกลไม่ได้

ปกติการเดินทางที่ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษโดยเครื่องบิน หากเมื่อเปลี่ยนมาเป็นรถไฟถึงแม้จะเป็นตู้นอนก็ตามให้อย่างไรก็ยังคงเพลียมากกว่า เพราะใช้ระยะเวลาในการเดินทางยาวนานที่ใช้กว่าครึ่งวัน

‘ก็รุ่งอยากขึ้นรถไฟนี่นา’ ถ้อยคำน้อยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เพียงเพราะว่าตลอดมาตัวเองเป็นผู้เพียรตามใจและทำทุกอย่างสร้างทุกทางเพื่อให้คนรักมีความสุข และปฏิญาณในหัวใจไว้แล้วว่าจะทำเช่นนี้ตลอดไป

“รุ่งจ๋า... ไหนใครว่าจะไปตลาดเช้าครับ” เสียงกระซิบข้างหูเบา ๆ ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ทอดทิ้งเวลาให้งีบต่อสักพัก

ด้วยระยะเวลาที่ได้เรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกัน ทำให้ผมรู้ถึงจุดอ่อนที่จะปลุกเร้าความปรารถนาของผู้ชายคนนี้ ใบหน้าหวานที่หันกลับมาพร้อมดวงตาเล็กที่เปิดขึ้นมองนิ่งประมวลผล ก่อนจะเปล่งเสียงที่ยังติดแหบพร่าเล็กน้อย

“ทำไม... ตื่นเช้าจังอะ เขน” คำถามแรกของคนฉลาด ที่สะท้อนในใจ...

ผมจะปกปิด ‘ความลับ’ นี้ได้นานสักเท่าไร

“เช้า ๆ อากาศดีตื่นนะคะ ไปตลาดเช้าหาอะไรทานกันนะ” คำตอบที่ไม่ตรงคำถามจึงเพียรเอ่ยเกลื่อนกลบ

“อืม... กอดหน่อย” เสียงครางต่ำจากลำคอ ก่อนที่คนงัวเงียจะโผเข้าหาอ้อมอกอุ่นทำให้อดจะยิ้มกว้างไม่ได้

“ไม่อยากไปทำงานเลย” คนขยันยังคงเอ่ยงึมงำ มาตรการเบี่ยงเบนความสนใจล่อหลอกเด็กน้อยไปทำงานจึงเริ่มขึ้น

“เราไปตลาดเช้า หาอะไรอร่อย ๆ ทานกันนะคะ”

 







ปาท่องโก๋ตัวโต น้ำเต้าหู้และขนมหลายหลากชนิดถูกวางอัดแน่นคู่กับสัมภาระหลังรถ หากแต่อาหารที่ส่งกลิ่นหอมร้ายกาจเช้านี้คงจะเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งที่คนที่นั่งเคียงข้างกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย

“ดอกไม้เขนเลยเป็นหมันเลย” ผมมองเจ้าลิลลี่สีขา วและริบบิ้นสีแดงที่ถูกวางทิ้งเอาไว้หน้าคอนโซลรถ

“กองทัพต้องเดินด้วยท้องไงอะเขน อิ่มกายกับอิ่มใจไม่เหมือนกันหรอก”

“จ้า... ยอมแพ้แล้วจ้า แฟนใครน้า... น่ารักที่สุด”

“เฮอ... อย่าเลย อย่าคิดว่ารุ่งไม่เห็นนะ” ดวงตาเล็กที่ตวัดคมดังแม่เสือจิกมาทำให้เสียวสันหลังแปล กๆ หากทำให้เสียงหัวเราะใสประสานก้อง

ไม่มีอะไรหรอกครับ

เอาเป็นว่าเช้านี้เรทติ้งความนิยมชมชอบที่เคยพุ่งสูงในหมู่แม่ค้าสาว ๆ ในตลาดเช้าที่สร้างสมมากว่าครึ่งปีของผมตกลงยิ่งกว่าราคาหุ้นที่ถูกทุบเสียอีก เพราะรอยยิ้มแสนหวานกับดวงตาใสที่เบิกกว้างเพียงรอยยิ้มเดียวที่สะกดให้ผมอดใจไม่ไหวที่จะแสดงความเป็นเจ้าของโอบกอดคนที่เดินเคียงคู่

“เจ๊ที่ร้านดอกไม้บอกเลยว่าเป็น ‘วันอกหักแห่งลำปาง’ เลยนะวันนี้”

“ระวังให้ดี อย่าให้รู้เชียว...”

“จ้า... กลัวแล้วจ้า” ผมรีบตอบ ก่อนลิ้มรสข้าวเหนียวหมูปิ้งรสกลมกล่อมจากมือบางที่ป้อนเข้าปากอย่างรวดเร็ว

ก็เรื่องอะไรจะยอมแลก...

ดอกไม้หลากสีริมทางหรือจะเทียมเทียบ... ดอกลิลลี่ขาวแสนหอมอ่อนหวาน

‘ดอกไม้แห่งความรัก’ ยอดดวงใจเพียงดอกเดียว

 

ปัญหาต่าง ๆ ในโครงการใหญ่ค่อย ๆ ถูกสะสางจากทีมงานมืออาชีพ และเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ที่เข้ามารับไม้ต่อ เวลาเพียงหกเดือนเศษที่ทำให้แผนการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือใกล้ลุล่วง ทีมงานฝ่ายบริหารที่เข้ามาตรวจสอบงานทุกคนจึงมีสีหน้าและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ

“เป็นอย่างไงบ้างรุ่ง” เจ้านายหันมาถามผู้ช่วยที่ยังคงก้มหน้าขะมักเขม้นดูผังขยายเทียบกับโครงสร้างจริง

“เทียบกับแผนแล้วภาพรวมออกมาค่อนข้างดี ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรครับ” ผมแอบอมยิ้ม เพราะบอกไปใครจะเชื่อว่าเด็กชายขี้เกียจจอมงอแงที่อ้อนไม่อยากมาทำงานในตอนเช้าจะเป็นคนคนเดียวกับผู้ชายจริงจังคนนี้

“โอเค งั้นเที่ยงแล้วไปพักเถอะ บ่ายค่อยมาเดินดูต่อ” เมื่อนายบอกทีมงานจึงเริ่มแยกย้ายสลายตัว

“เอ่อ... คุณอาร์ทครับ เดี๋ยวผมกับเฟรมขอไปคุยรายละเอียดกับโรงหนังชั้นบนต่ออีกนิดนะครับ”

“มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ” เจ้าเด็กแสบเริ่มกระสับกระส่ายหากมืออาชีพตอบรวดเร็ว

“เปล่าครับแค่อยากคุยเพิ่มเติมเรื่องแบบนิดหน่อย”

“แล้วไม่ออกไปทานข้าวด้วยกันหรือ”

“พอดีผมมีนัดกับเพื่อนไว้ เดี๋ยวคุยงานเสร็จค่อยออกไปทีเดียว”

“อืม ตามใจแล้วกัน” เมื่อนายออกเดินไป ผมจึงแซว

“ยังไม่ได้เคลียร์อีกเหรอเฟรม” ปัญหาเก่า ๆ กับลูกค้ารายใหญ่ที่เจ้าเด็กแสบดองไว้

“เขนอย่าแกล้งน้อง หิวข้าวก็ไปกินก่อนเลย” และพี่ชายก็ปกป้อง

“ไม่อะ เขนจะรอรุ่ง”

“เสียใจด้วย มีนัดแล้ว” เจ้าเด็กแสบตอบพร้อมยิ้มกริ่ม

“อ้าว...” ผมคิดว่าข้ออ้างไม่อยากไปกินข้าวกับเจ้านายซะอีก

“มีนัดจริง ๆ เดี๋ยวคุยกับโรงหนังเสร็จจะเลยไปกับเฟรมเลย แล้วบ่ายเจอกัน”

“แล้วทำไมเฟรมไปได้ล่ะ” รอยยิ้มหวานแทนคำตอบก่อนเดินผ่านเลยไป ไม่แสบเท่าไอ้เด็กน้อยที่มาตบบ่าพร้อมพยักหน้าให้อย่างเข้าใจ และเดินตามพี่ชายไป

“ไอ้แสบ...”

 







“ยังไม่หายงอนอีกเหรอเขน” ผมอดทักไม่ได้เมื่อเสียงคนขับที่ปกติช่างพูดช่างคุยเงียบกริบมาตลอดทาง

“....................................” หากพ่อเหมียวยังคงนิ่งสนิท

“งอนจริง ๆ เหรอ...” แม้จะตีหน้าเศร้าหากก็ทำให้อดยิ้มในใจไม่ได้ ไม้เด็ดจึงถูกงัดมาใช้อย่างรวดเร็ว ศีรษะค่อยทิ้งลงซบไหล่ก่อนที่จะเอ่ย... กระซิบเบาๆ

“รุ่งอยู่อีกไม่กี่วันก็จะกลับแล้วนะ คนที่บอกว่า... คิดถึงกันเขาทำกันแบบนี้เหรอเขน”

“รุ่ง.....”

“งอนอะไรครับ รุ่งขอโทษ รุ่งทำอะไรให้เขนโกรธเหรอ” ใครว่า... ไม่ซีกจะงัดไม้ซุงไม่ได้

ไม่ว่าอะไรที่ว่าแกร่ง... มักมีจุดที่อ่อนไหวที่สุดเสมอ

ในกรณีนี้คือ... หัวใจ

“...ก...ก็ เขนไม่ได้โกรธรุ่งสักหน่อย เขนแค่... น้อยใจ”

“น้อยใจอะไรครับ เรื่องเมื่อกลางวันเหรอ” จำเลยปากแข็งเมื่อถูกต้อนถูกทางก็พยักหน้ารับ

“ไม่มีอะไรหรอก เขนไม่เชื่อรุ่งเหรอ”

“แล้วทำไมต้องเป็นแพรวา!” คนหลุดสะดุดถามทันทีที่เผยความกังวล

“นี่เขนแอบตามไปใช่ไหม น่าตีจริง ๆ”

“ก...ก็...”

“เคยรู้อะไรบ้างไหมเขน...”

“......................” แม้ไม่มีเสียงตอบ หากหน้าคมที่ส่ายไหวน้อย ๆ ทำให้รู้... พ่อคนใสซื่อบริสุทธิ์ ถ้าผมบอก ‘ความลับ’ เขาคงช็อคแน่ หากแต่แววตาเศร้าหม่นน่าสงสารก็ทำให้อดเฉลยไม่ได้...

“เขนไม่รู้เหรอว่าน้องแพรเขาขายพื้นที่โปรเจคเชียงใหม่”

“รู้... แต่เขาก็ไม่ค่อยมาเชียงใหม่ถ้ารุ่งไม่มา” ประโยคทำให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมที่คิ้วขมวดผูกโบ

“เขนแน่ใจเหรอ...ว่าแพรว่าไม่มาเวลาที่รุ่งไม่มา เขนไม่สงสัยเหรอว่าทำไมเฟรมถึงยอมนอนโรงแรมที่เชียงใหม่คนเดียว ไม่ยอมมาอยู่กับเขนที่ลำปาง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยชอบอยู่โรงแรมเลย เดาได้หรือยัง?”

“ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเฟรมเลย”

“ไม่เกี่ยวกับเฟรม... เขนมองว่าเป็นเรื่องของรุ่งกับแพรวางั้นเหรอ” ผมถามออกไปพร้อมรอยยิ้มที่กลั้นต่อไปไม่ไหว

“ก..ก็... ไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าบอกว่าไม่ใช่ จะเชื่อไหม”

“เขนเชื่อรุ่ง แต่เขนไม่เชื่อแพรวา... แล้วถ้าไม่ใช่รุ่งกับแพรวาแล้ว...” คนขับรถทางไกลเพิ่งสะดุดความคิด ก่อนชิดข้างทางและหยุดรถอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกโต และหันมามอง

“คิดออกหรือยังว่าทำไมน้องไม่มาอยู่กับเขน...”

“เฟรมกับแพรวา?”

“นานแล้วเขน... ตั้งแต่รุ่งกลับมาจากจีนเลยละมั้ง”

“งั้นก็ตั้งแต่...”

“ตั้งแต่?” ใบหน้าคมเข้มแต่งแต้มสีเลือดฝาดระเรื่อและละล่ำละลักตอบกระซิบ

“ตั้งแต่... ที่เขนเริ่มสงสัย”

“สงสัยรุ่งกับแพรวา?”

“..............................” สายตาที่เสหลบทำให้อดไม่ไหว

“คิดมากคนเดียวอีกแล้วเขน รุ่งบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ถามอะ”

“ก็เขน...”

“เปลี่ยนกันบ้างคราวนี้รุ่งจะงอนบ้างแล้ว”

“โอ๋..... รุ่งยกโทษให้เขนนะ เขนผิดไปแล้ว”

“นี่...ใจแข็งนะจะบอกให้”

“นะ นะคะ”

“ไม่รู้ไม่ชี้” หากแต่ถ้าผมรู้วิธีการว่าจะง้อเขาอย่างไร มีหรือที่เขาจะไม่รู้วิธีสยบหัวใจของผมเอาไว้ที่เขาเพียงคนเดียว... ร่างบางถูกดึงปลิดปลิวโดยง่ายกระทบอกแกร่งชั่ววินาที รสจูบที่แนบชิดนวลเนียนเรียกร้องสัมผัสที่หวนหาลึกซึ้ง ถ้อยคำกระซิบพร่าปลอบโยนพลอดพร่ำพรรณนาภาษารักที่หวานยิ่ง ความซื่อสัตย์คงมั่นที่ทอดถ่ายผันผ่านจากร่างสู่ร่างที่ตราตรึง ก่อนที่เสียงหัวเราะเล็ก ๆ และเสียงกระซิบคุยกันเบา ๆ ของสองร่างที่ยังคงซุกซบกอดเกี่ยวจะใช้เบาะในรถเพียงตัวเดียวตลอดเส้นทางการเดินทางทอดยาวอีกครั้ง

 







แสงไฟสีเหลืองนวลอ่อนสาดส่องทั่วลานกว้าง ซุ้มประตูโค้งบวกผสมรวมกับลวดลายไม้ฉลุริมเฉลียงและทรงหลังคาแบบล้านนาส่งให้สถาปัตยกรรมโดดเด่นงามสง่า ‘สถานีรถไฟนครลำปาง’ ที่ตั้งตระหง่านคงมั่น หากตรงข้ามกับความรู้สึกภายในหัวใจที่เปราะบาง ส่งให้สองมือที่ยังคงประสานแน่นเกาะกุมส่งแรงใจตลอดระยะเวลาชั่วไม่กี่อึดใจที่ยังคงเหลือ... ความสุขชั่วพริบตาผันผ่านอย่างรวดเร็ว แม้ระยะทางจะไม่ได้ทำให้ความรู้สึกในดวงใจผันแปร หากแต่ก็ทำให้ความคิดถึงกัดกร่อนลึกซึ้ง

“เขนกลับก่อนก็ได้ ดึกแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปทำงานสาย”

“รุ่งไม่กลับไม่ได้เหรอ” เสียงกระซิบเบาแตกพร่าแผ่วเบาดังขึ้นจากชายหนุ่มที่นั่งเคียงข้างกันที่ม้านั่งไม้สีน้ำตาลหนาที่ดัดแปลงจากไม้หมอนรองรางรถไฟ

“พ่อเหมียวอย่างอแงนะ เหมียวกับลูกเหมียวรอรุ่งอยู่บ้าน ฝากน้อง ๆ ร้านขนมหวานข้างล่างไว้หลายวันแล้ว... เกรงใจเขา”

“งั้นเขนกลับบ้านเราด้วยได้ไหม” ร่างสูงทอดเสียงออดอ้อนงอแงพร้อมสายตาที่ร้องขอวิงวอน ทำให้หัวใจเกือบมลายหายสิ้น

“อีกแป๊บเดียวนะเขน เดี๋ยวศูนย์เปิดเขนก็ได้กลับบ้านแล้ว”

“เขนอยากกลับบ้านกับรุ่ง” แรงบีบเบาที่มือบางส่งสารความใจในที่เปี่ยมล้น

“เดี๋ยวรุ่งก็มาใหม่ เดี๋ยวรุ่งมารับแล้วครั้งหน้าเรากลับด้วยกันนะ”

“ครั้งหน้าเมื่อไหร่อะ”

“ไม่นานหรอกเขน” คำปลอบที่สะท้อนในใจ... จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่... จะต้องห่างไกลกันอีกนานแค่ไหน...แผนที่เคยคิดไว้ภายในใจนานเท่าไหร่ถึงจะเป็นจริง

“เขนจะรอ... จะรอ.......รุ่งคนเดียวเสมอ” หากคำ ‘คำเดิม’ ที่เวียนซ้ำมาปลุกปลอบให้กำลังใจกลับทำให้ความรู้สึก... เหมือนใจจะขาด

“รอแป๊บเดียวนะ”

“ใช่ครับ แป๊บเดียว...”

“ใกล้เวลาแล้ว เดี๋ยวรถไฟก็มาแล้วเขนกลับก่อนเถอะ” ผมพูดขึ้นเมื่อคนข้างสีหน้าซีดหม่นลงทุกที มือบางที่เกาะกุมถูกยกขึ้นคลี่ออกก่อนประทับรอยจุมพิต

“เขน... รอ... รุ่งนะ” หน้าคมที่ซีดจัดกับริมฝีปากเฉียบเย็นที่แตะลงช่างทรมานหัวใจ ร่างสูงลุกขึ้นยืนนิ่งเนิ่นนาน ก่อนตัดใจหันหลังและเดินจากไป

ทำไม... โชคชะตาฟ้าชอบเล่นตลก

ทำไม... เส้นทางแห่งชีวิตมักถูกฉีกพรากไม่ให้ใกล้กรายกัน

 

คำถามที่คั่งค้างในใจ กับคำตอบที่เคยคิดไว้จึงเริ่มปะติดปะต่อชัดเจน

ถ้าไม่... ต้องการ ‘พรากจาก’ ต้องทำอย่างไร...

 

ร่างสูงฝืนเดินโงนเงนด้วยอาการโรคเดิมเรื้อรังที่กลับมากำเริบถี่กระชั้นมากขึ้นทุกที ๆ หากน่าแปลกอาการดังกล่าวห่างหายไปนานเพียงคนรักกลับมาอยู่แนบชิด พร้อมทั้งกลับมาทันทีที่ดวงใจถูกพราก

‘คงเพราะลืมกินยาละมั้ง’

ความปวดที่ร้าวลึกในสมองทำให้ต้องความพยายามอย่างมากก่อนจะนำพาร่างมาถึงตัวรถก่อนซวนซบลงอยู่นาน...

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า... ถ้าไม่คิด

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า... ถ้าไม่อยากรู้

อาการนี้ก็จะไม่กลับมากำเริบ หากแต่ห้ามได้หรือ... ในเมื่อภาพของใครคนนั้นนับวันยิ่งชัดเจน... ‘ชายในชุดผ้าฝ้ายสีขาว’ คลับคล้ายละม้ายเหมือน

‘ความลับ’ ที่ปกปิด... มากว่าครึ่งปี เพียงเพราะความปรารถนาภายในใจที่ลึกซึ้ง มือสั่นด้วยร่างกายที่อดทนดิ้นรนฝืนเปิดประตูและใช้สติสุดท้ายนำพาร่างเข้าไปนั่ง ลมหายใจที่หอบกระชั้นเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายเย็นจัดเบาหวิว... ตาที่ลืมไม่ขึ้นหากแต่มือยังคงคลำควานหาขวดยาในที่เก็บของหน้ารถที่เปิดออก

ความพยายามสุดท้าย... เพียงเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงปรารถนา...

ไม่ว่าจะใคร่รู้ และพันผูกกับ ‘ผู้ชายในความทรงจำ’ คนนั้นเพียงใด

 

หากยังคงมอบชีวิตทั้งชีวิตและทุกลมหายใจให้ ‘ผู้เดียว’

ยาขมที่ถูกกลืนโดยปราศจากน้ำ

 

ภาพที่ทับซ้อนในความมืดมิดที่หนาวเย็น รอยยิ้มที่แสนอ่อนหวาน...

‘พี่ชายครับ...’

 

หากแต่... เสียงสะอื้นร่ำร้องเพรียกจากที่ห่างไกลฉุดรั้งให้หันหา...

“เขน!!! เขนเป็นอะไรทำไมไม่บอกรุ่ง อย่าทำอย่างนี้ อย่าทำอย่างนี้นะ”

“เขน..... เขน......” ดวงตาที่ถูกฝืนให้ลืมขึ้นรับภาพสุดท้าย และใช้เรี่ยวแรงพลังใจสุดท้ายยกมือขึ้นเกลี่ยซับน้ำตาที่ไหลริน

“อย่าร้อง... อย่าร้องไห้นะรุ่ง...” ก่อนที่ทุกอย่างจะหายลับไป...





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: RELEASE 27.03.2018
«ตอบ #166 เมื่อ27-03-2018 10:47:49 »

 :katai5:Chapter XXXI : RELEASE

 

การเดินทางของชีวิตมักมีหนทางที่ต่างออก... มาเป็นบททดสอบให้เราตัดสินใจ หากสิ่งที่ไม่รู้คือทำไม...ในการตัดสินใจเกือบทุกครั้ง

‘เหตุผลและหัวใจ’ มักให้คำตอบที่ต่างกัน

ในความมืดมิดที่เหน็บหนาวเสียงกรีดร้องแหบห้าวยังคงก้องหู หยาดน้ำตาใสที่ไหลรินไม่ขาดสายยังคงติดตามิอาจลืมเลือน การตัดสินใจอีกครั้งคงต้องเกิดขึ้นในเร็ววัน

“รุ่ง... รุ่งจ๋า” เสียงเรียกบางเบาที่เพียรพร่ำกระซิบบอกข้างหูปลุกผมให้ตื่นลืมตาจาก ‘ความฝัน’ หากเมื่อภาพแรกของวัน คือรอยยิ้มอันอุ่นของชายผู้เป็นที่รัก ก็ทำให้ผมรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่สดใสอีกวัน

“ตื่นแล้วเหรอเขน... ทานน้ำไหม” ผมหันหาโต๊ะข้างเตียงพร้อมกับรินน้ำส่งให้ ก่อนยืนมองใบหน้าที่ซีดเซียวค่อย ๆ กลืนกินน้ำที่ละน้อย ก่อนส่งแก้วกลับคืนและกางอ้อมกอดกว้างออกรอรับร่างให้ซุกกลับลงไปในอกอุ่น

“ทำไมรุ่งมานอนตรงนี้ ทำไมไม่ขึ้นมานอนดี ๆ ล่ะคะ”

“อ...เอ่อ เมื่อคืนนอนอ่านหนังสือตรงนี้เพลินไปนิดไม่มีอะไรหรอก เช้านี้เขนอยากทานอะไร”

“เขนอยากไปตลาด”

“ไว้ให้หายดีก่อนนะ”

“เขนไม่เป็นอะไรแล้วสักหน่อย”

“ก..ก็ให้หายดีก่อนไง ค่อยไปนะ อยากทานอะไรเดี๋ยวรุ่งไปปลุกเฟรมออกไปซื้อให้ก่อนไปทำงาน”

“เขนป่วยคนเดียวเดือดร้อนกันหมดเลย”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ รุ่งกับเฟรมอยากดูแลเขนนะ ทานโจ๊กดีไหม ทานอะไรอ่อน ๆ ก่อน เดี๋ยวรุ่งบอกให้เฟรมซื้อมาจะทานด้วยกัน เขนรอก่อนนะ” ผมผละออกจากอ้อมกอดอุ่นก่อนเดินไปรวบม่านที่ปลิวไสวตามสายลมยามเช้า ก่อนหันมายิ้มให้กับร่างสูงที่นอนมองเหยียดยาวอยู่บนเตียงและเดินข้ามห้องออกไป

“เฟรม... เฟรมตื่นไหวไหม” สภาพของคนอดนอนติดต่อกันมาหลายคืนไม่ต่างกันระหว่างเราทั้งสองคน ตาที่แดงกล่ำสะลึมสะลือเปิดขึ้นมามอง ก่อนลุกขึ้นอย่างอัตโนมัติ

“พี่เขนตื่นแล้วเหรอพี่”

“อืม...” ผมกลับมาประหยัดคำพูดอีกครั้งและความเข้าใจลึกซึ้งที่ส่งผ่านระหว่างกัน จึงไม่มีคำถามใด ๆ ที่ต้องถามต่อ

“งั้นเดี๋ยวผมรีบไปรีบมานะพี่”

“ขอโจ๊กนะ”

“ครับ”

 

 

“เฟรมไปทำงานแล้วเหรอ”

“อืม...” เมื่อคนถามจ้องมองพร้อมใบหน้าที่สงสัยน้อย ๆ คนตอบจึงรู้ตัวและปรับเปลี่ยนถ้อยคำดัดแต่งมากมายและฝืนปล่อยไหลหลั่งออกมาเพื่อกลบเกลื่อนภาวะอารมณ์ในหัวใจ

“ออกไปแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นน้องคงแวะมาคุยเห็นว่ามีประชุมเช้าแต่บ่ายว่าง น่าจะกลับเร็ว เขนลุกไหวไหมกินโจ๊กกันก่อนจะได้กินยา” เมื่อร่างสูงพยักหน้ารับผมจึงรับเข้าไปช่วยพยุงและสอดหมอนไว้ใต้หลังและนั่งลงข้าง ๆ ก่อนยกถ้วยโจ๊ก ใช้ช้อนตักขึ้น และเป่าบรรเทาความร้อน

“รุ่งเลยขาดงานหลายวันเลย” โจ๊กคำโตถูกป้อน พร้อมกับแย้งกลับไปด้วยอารมณ์สดใสมากมายที่ค่อย ๆ ปรุงแต่งขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“ได้พักร้อนหลายวันต่างหาก ไม่ได้หยุดยาวมานาน ได้พักผ่อนสมใจเลยทีนี้”

“แต่...” ผมจึงรีบป้อนอีกคำและแย่งชิงพูดก่อน

“เขนไม่อยากให้รุ่งอยู่ด้วยเหรอ” ใบหน้าคมส่ายไหวน้อยๆ

“งั้นก็ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอก รุ่งคุยกับพี่บลูกับคุณอาร์ทแล้ว อยู่ที่นี่ก็ทำงานได้เหมือนกัน”

“เขนทำให้รุ่งต้องลำบากอีกแล้ว” ผมสกัดคำพูดอีกครั้งโดยช้อนที่ลำเลียงส่งต่อโดยไม่ขาดระยะ

“อย่าพูดอย่างนั้นสิเขน รุ่งไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อย รุ่งแค่อยากอยู่กับเขน อยากดูแลเขนแค่นั้นเองนะ เขนจะได้หายไว ๆ เราจะได้กลับบ้านของเรากันนะ”

ดวงตาของคนป่วยยังคงสดใสเป็นประกายระยิบเมื่อพูดถึงบ้าน รอยยิ้มบางแสนอบอุ่นที่คลี่ออกเติมแรงใจให้กับคนเคียงข้าง มือที่ประสานบีบให้กำลังใจทำให้การตัดสินใจยากยิ่ง

ลมหายใจที่ทอทอดยาวสม่ำเสมอของคนบนเตียงทำให้เวลาที่ผันผ่านค่อย ๆคลายความกังวลใจ ก่อนจะละมือจากงานที่กองตรงหน้าและหันไปมองถังสีขาวทรงสูงที่ตั้งเรียงรายริมระเบียงก้านยาวที่มีใบเขียวชอุ่มของเจ้าดอกลิลลี่สีขาวที่ค่อย ๆ แย้มผลิบานไล่ทีละดอกนานช้าอย่างอดทน ความสวยหวานละเมียดละไม หากแข็งแกร่งนัก

กรรไกรตัดกิ่งในมือจึงใช้เพียงบรรจงเลาะเล็มใบสีเหลืองที่ใกล้ร่วงโรย และดอกที่บานเต็มที่ที่ถูกเก็บมาใส่แจกันด้านในห้อง ก่อนที่จะถูกส่งเข้าโรงงานเล็กเพื่อเก็บรักษาสภาพไว้ทีละดอก ๆ ใครเลย... จะปล่อยทิ้งดอกไม้ที่แทนความรักและความคงมั่นพวกนี้ได้

อาหารเย็นที่แสนอบอุ่นบนเสื่อผืนโตริมระเบียง เจ้าน้องคนเล็กที่ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้แนบเนียนดียิ่ง เรื่องราวสนุกสนานต่าง ๆ ที่เพียรนำมาเล่าสร้างบรรยากาศให้บ้านน้อยหลังเล็กของเราที่ลำปางให้กลับมาสดใสและเต็มไปเสียงหัวเราะอีกครั้งดังวันวาน

ขอได้ไหม ขอเพียง... หยุดเวลาไว้ ณ ตรงนี้… เพียงแค่นี้

 

 

“ขอบใจมากเฟรม”

ผมบอกเบา ๆ เมื่อเราสองคนพาคนป่วยที่นอนพิงไหล่ของผม และสลบไสลไปกลางวงสนทนากลับมานอนที่เตียง

“คงหลับสักพักใช่ไหมพี่ เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวกลับมา”

“อืม...”

แสงอาทิตย์แสงสุดท้ายของวันที่ลาจากหายไปพร้อมกับความมืดที่เริ่มโรยตัวทำให้หัวใจสั่นไหว... แม้จะมีหัวใจรักที่มั่นคงเพียงไหนแข็งแกร่งสักเพียงใด... ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าผมกำลังหวาดกลัวช่วงเวลาค่ำคืน

ความหวังที่นับวันเริ่มลดน้อยถอยลงจนรางเลือน... จนทำให้ไหวหวั่นว่าจะสามารถประคับประคองร่างกายและหัวใจของตัวเองให้ทนรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อีกต่อไปได้นานมากน้อยเพียงใด

‘เขน... รุ่งถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม’

‘ครับ’

‘ช่วงนี้เขนฝัน... แปลก ๆ บ้างไหม’

‘................................’ ความเงียบที่ผิดปกติกับนัยน์ตาไหววูบทำให้ผมให้รู้

“เขน...” แต่ในเมื่อคำตอบที่ได้รับ ไม่ว่าจะเพียรถามอีกกี่สิบครั้งก็ยังคงเป็น

“ม...ไม่นี่รุ่ง มีอะไรเหรอ”

เป็นผมเองที่ไม่กล้า... แม้จะรู้ดีว่า

‘ยาที่ผมให้ไปช่วยได้เฉพาะกับอาการที่กำเริบในขณะที่คนไข้ยังคงมีสติ แต่ในสภาวะที่ไร้สติ... เมื่ออาการกำเริบในขณะที่คนไข้กำลังหลับลึกหรือกำลังฝันแบบกรณีนี้ นอกจากยากดประสาทที่ให้ไปก็ไม่มีวิธีใดที่จะรักษาอาการนี้ได้ ถ้าจิตสำนึกส่วนลึกของคนไข้เองยังปรารถนาให้ความฝันนั้นเกิดขึ้น ยากดประสาทที่ให้ก็จะได้ผลน้อยลงทุกวันๆ ทางที่ดีวิธีแก้ต้องเริ่มจากตัวคนไข้เอง’

“พี่เขนยังไม่ยอมบอกเหรอพี่” ผมจึงให้คำตอบน้องเพียงแค่ส่ายหน้าเบา ๆ

“ดื้อของจริงเลย หรือเราจะอัดวีดีโอไว้ให้ดู จะได้ปฏิเสธไม่ได้”

“ไม่ได้หรอกเฟรม... พ..พี่”

“ผมพูดเล่นพี่ผมเข้าใจ แต่...” เฟรมเงียบไป หากผมเชื่อว่าที่เขาเข้าใจคงถูกต้องเพียงส่วนเดียว นอกจากใจของผมรับไม่ได้ที่จะทนเห็นภาพพวกนั้นถูกบันทึกแล้ว

 

ผมยังรู้สึกว่าถึงผมอาจจะ... ใช่หรือไม่ใช่ ‘ใครคนนั้น’ ก็ตาม...

แต่เป็นผมแน่นอนที่ทำให้มันเป็นอย่างนี้

 

เพราะการตัดสินใจครั้งนั้น... การตัดสินใจของผมที่จะกลับมา...

ความเห็นแก่ตัวของผมที่จะกลับมา... เพียงเพราะความสุขของตัวเอง...

 

เสียงสะอื้นร่ำไห้จวนเจียนขาดใจกับร่างสูงใหญ่ทั้งร่างที่สะท้านสั่นไหวปานลูกนกน้อยที่พลัดตกจากรังปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“เขน... เขน...” ร่างสูงถูกรวบเข้าหาอกเพื่อปลอบประโลม น้ำตาที่รินไหลเป็นทางเนืองนองเปี่ยมล้นดวงตาที่ยังคงปิดสนิท

“เขนเป็นอะไร... อย่าร้อง... เขน...” หน้าคมที่ส่ายสะบัดกับอาการดิ้นรนร้อนใจพร้อมเสียงร้องไห้แห่งความทุกข์ทรมาน

“อย่า... อย่าทิ้ง... อย่าไป...”

“ไม่ไปไหน ไม่ไปไหนนะเขน... เขน รุ่งอยู่ตรงนี้เขน”

“ม..ไม่ อย่าทิ้งพี่... อย่า... ได้โปรด...” มือที่ไขว่คว้าไร้ทิศทางกับเสียงร้องร่ำที่ดังขึ้น

“เขน... เขนตื่นก่อน เขน... อยู่กับรุ่งนะเขน...”

“ไม่ปล่อย... ปล่อย... รอก่อน... รอพี่ไปด้วย... ให้พี่ไปด้วย...” ห้องที่เปิดออกก่อนแสงไฟจะถูกเปิดขึ้นแสดงให้เห็นร่างบางที่ยังคงกอดรั้งร่างสูงที่เริ่มดิ้นรนหาหนทาง

“พี่รุ่ง” เฟรมเข้ามาพร้อมกับริ้วผ้ายาวสีขาวหนา ก่อนที่ผมจะตัดใจพยักหน้า

“ที่ขาก่อนเฟรม”

“ปล่อย... ปล่อย... อย่าได้โปรด” ร่างสูงที่เริ่มดิ้นรนร้องก้อง แรงพลังจากจิตใต้สำนึกที่ผลักดันต่อต้านทำให้แรงของผู้มีสติสองคนเกือบฉุดรั้งไม่อยู่

“เขน... เขน... ฟังรุ่งนะ ฟังรุ่งก่อนนะเขน”

“ไม่... ไม่อย่า... ฮรือ.....” เสียงร้องที่ดังก้องกับร่างที่ถูกมัดติดตรึงอยู่กับที่ บีบหัวใจของบุคคลที่รักให้ร้าวระบมทรมาน

“เฟรมขอบใจมาก ออกไปก่อนเถอะ” ชายหนุ่มที่เคยแย้มเยือนยิ้มเริงร่าดูดี หากบัดนี้สภาพที่ไม่ว่าใครก็ยากที่จะรับไหว

“แต่พี่...”

“พี่อยู่ได้ เฟรมช่วยปิดไฟให้หน่อย” ผมปฏิเสธรวดเร็ว หากเฟรมยังคงเชื่อฟังและยินยอมพยักหน้า ก่อนเดินกลับไปพร้อมกับความมืดที่เข้ามาปกคลุมอีกครั้ง

หน้าคมยังคงส่ายจะบัดกรีดร้องสะอื้นก้องสะท้อนทั่วห้องที่ถูกปิดประตูหน้าต่างทุกบานเพื่อปิดกั้นเสียงไม่ให้ไปรบกวนยามวิกาลของบ้านใกล้เรือนเคียง มือบางที่เพียรพยายามกดซับเช็ดหน้าตาและลูบผมเบา ๆ ปลอบโยนประโลมร่างที่ยังคงฝืนแรงผูกมัดอย่างทุรนทุราย

“ปล่อย... อย่าทิ้ง... อย่าทิ้งพี่... กลับมาก่อน พี่ไม่มีใคร พี่ไม่เหลือใครแล้ว กลับมา... กลับมาก่อน...”

“ปวด... ปวดหัว... ฮึก.....”

“เขน...เขนฟังรุ่งนะ เขนอย่าคิดนะ เขนสัญญาแล้ว เขนสัญญาแล้วไงว่าจะไม่คิด” ร่างสูงผ่อนคลายทรุดซวนลงหายใจหอบเพียงพักเดียว ก่อนกรีดร้องเสียงดังก้องต่ออีกครั้งและอีกครั้ง

ทุกวินาทีที่ผันผ่านกรีดแทงบีบคั้นหัวใจของคนที่สติครบครัน ร่างบางค่อย ๆ ทรุดกายหมดแรงลงข้างเตียงในขณะที่คนรักยังคงดิ้นรนให้พ้นพันธนาการ เสียงสะอื้นเหนื่อยหอบต่อเนื่องเป็นระยะเริ่มบางเบาลงในสติ...

หากเสียงที่กรีดหวีดร้องของตัวเองที่ดังก้องถูกปกปิดเก็บกักอยู่ในหัวใจของชายที่นั่งกอดเข้าซบหน้าปิดปากกลั้นสะอื้นอยู่ข้างเตียงสะท้อนความเจ็บปวดเกินจะรับไหวพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลในความเงียบ

ทำไม... ทำไมต้องเป็นเขน ทำไม... ไม่ใช่รุ่ง

ทั้ง ๆ ที่... อุบัติเหตุครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะรุ่งไม่ใช่เขน แต่ทำไมกว่าสิบปีที่ผ่านมาต้องเป็นเขนที่ต้องทนทรมานแค่คนเดียว ทั้งที่ทั้งหมดเกิดขึ้น เพราะ ‘รุ่ง’ เพียงคนเดียว ทุกอย่างเพราะ ‘รุ่ง’ แค่คนเดียว

เสียงหวีดร้องที่แหบแห้งครวญครางดังขึ้นอีกครั้งฉุดรั้งให้ร่างบางรวบรวมแรงกายค่อย ๆ ลุกขึ้นไปกกกอดคนรักโดยหมายจะแบ่งเบาความเจ็บปวดรวดร้าวถ่ายทอดแบ่งปันผ่านร่องรอยแห่งสัมผัสรัก หากกลับกลายความเจ็บปวดที่รวมรวมเข้าด้วยกันเท่าทวี เสียงสะอื้นยาวหอบโยนทำให้รู้ถึงร่างกายที่เหนื่อยอ่อนล้า หากคำพร่ำพรรณนาแห่งความรวดร้าวที่ยังคงส่งผ่านถ้อยคำที่พร่ำเพ้อ

“อย่าทิ้ง... อย่าทิ้งพี่......” หากเหนือความคาดหมาย ‘ถ้อยคำสุดท้าย’ ดังดาบที่ฟันฟาดฟางเส้นสุดท้ายที่หน่วงเหนี่ยวเกี่ยวรั้งให้ยังคงอยู่

“ฮรึก....... กลับมา........... กลับมาก่อน.........อรุณ...........”

 

ร่างบางที่ยังคงยืนพิงกรอบประตูริมเฉลียงปล่อยสายตาทอดมองทิ้งฟ้ากว้างเวิ้งว้าง ‘ดวงจันทร์’ ที่แสนรักแสนคะนึงหาใกล้ลาจาก พร้อมกับแสงแรกแห่งดวงอาทิตย์ที่จับต้องที่ขอบฟ้าทอแสงเรืองรอง เช้าวันใหม่ยังคงวนเวียน... ทุกชีวิตต้องก้าวเดินต่อไป ไม่ว่าจะเป็นหนทางใดก็ตาม

การตัดสินไม่ยาก... หากทำจริงไม่ง่าย

เสียงกุกกักจากเบื้องหลังทำให้ร่างโปร่งแลหันกลับไปมองร่างสูงที่นอนทอดยาวร้างไร้พันธนาการใด ๆ อยู่บนที่นอน พร้อมสติที่กำลังจะฟื้นคืนรับเช้าวันใหม่อีกคราพร้อมกับ ‘ความฝัน’ อันโหดร้ายในยามค่ำคืนจะผันผ่าน

หากยังคงทนยื้อยุดกันอยู่เช่นนี้... จะทนได้อีกนานเท่าไร

หากที่ไม่ได้คาดคิด

“สวัสดีครับ นี่ผมอยู่ที่ไหน” ความรุ่งเย็นวาบปกคลุมทั่วร่างพร้อมความเจ็บปวดที่ร้าวลึกทรมานภายในทำให้ใช้เวลาในห้วงความคิดประมวลผลยาวนาน

“เอ่อ... คุณ คุณครับ ขอโทษที ไม่ทราบว่าผมอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ก่อนจะรวบรวมฝืนตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าด้วยเกินกักเก็บความรู้สึกที่เอ่อล้น

“ล..ลำปาง”

“เอ๋อ ใช่ผมลืมไปได้ยังไง ผมทำโปรเจคเชียงใหม่อยู่สิใช่ไหม” ประโยคที่แสดงชัดว่าสิ่งที่ลืมคงจะมีเพียงอย่างเดียวเช่นเดิม

“คุณไม่สบาย”

“ครับ... ขอบคุณครับที่ช่วยดูแล คุณชื่ออะไรครับ”

“..........................รุ่ง รุ่ง ฮ...ฮึก... ผมขอตัวเดี๋ยว” กลไกปกป้องตัวเองนำพาผมออกมาทรุดตัวลงหน้าประตูนอกห้องได้ทัน ที่ปล่อยเสียงโฮสะอื้นร่ำไห้ออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลหลั่งเกินเก็บกดอีกต่อไป

ดังภาพที่ฉายวนกลับทับซ้อน...

ที่ทำให้ผมทราบแล้วว่าเรื่องนี้กำลังจบลงเช่นไร...

ช่วงเวลาของอาหารเช้า และกลางวันผ่านไปอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ดี พร้อมกับความลับที่ผมไม่ได้บอกใครแม้แต่น้องชายของตัวเอง คนป่วยที่ดูอารมณ์ดีช่างพูดช่างคุยช่างสอบถาม และดวงตาที่เป็นประกายระยิบเช่นเดิม ก่อนที่จะหลับลงอีกครั้งด้วยฤทธิ์ยาในช่วงบ่าย

ผมรู้... เขาจะตกหลุมรักผมอีกครั้ง

หากใครจะรู้บ้างว่ามันช่างแสนเจ็บปวดร้าวระบมกับความคิดที่ว่า... ไม่ว่าอย่างไรผู้ชายคนนี้จะวนย้อนกลับมารักคนเดิมในทุก ๆ ครั้ง พร้อม ๆ กับผมหัวใจรักของผมที่รักตัวตนภายในของเขาทุกคนที่ผมได้พบ

 

“รุ่ง...” เสียงเรียงรั้งผมออกมาจากห้วงความคิดที่วกวน ก่อนที่จะวางทิ้งกรรไกรตัดกิ่งไม้อย่างรวดเร็วและเดินกลับไปที่เตียง พร้อมรอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ครับ คุณตื่นแล้วเหรอ เข้าห้องน้ำไหมเดี๋ยวผมพาไป”

“อืม” ผมประคองร่างสูงและพยุงให้ลุกขึ้น ก่อนที่ดวงหน้าของเราจะอยู่ห่างกันแค่คืบพร้อมกับดวงตาสองคู่ที่สบประสานจ้องมอง รอยยิ้มอ่อนบางพร้อมจมูกคมที่กดลงมาที่ไรผมทำให้หลากใจ

“คุณ...”

“รุ่งเป็นอะไร ทำไมต้องเรียกเขนว่าคุณด้วย” ผมหันหน้าหนีจมูกคมของคนป่วยที่ซุกไซร้ลงมา

“ป...เปล่า เขนอย่าสิ จะไปเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอ” ก่อนที่จะพาคนป่วยที่ซุกซนไปทำธุระได้สำเร็จ เหตุการณ์พลิกผลันฉับพลันกับอาการใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นแปลกประหลาดตลอดวันเริ่มทำให้รู้สึกกังวลในหัวใจ

“เย็นนี้เฟรมจะกลับช้าหน่อย เดี๋ยวเรากินข้าวกันก่อนนะเขน”

“ไปกินที่ระเบียงนะ เขนเบื่อเตียงจะแย่แล้ว”

“ได้สิ”

 

“รุ่ง.....รุ่งจ๋า....” เสียงกระซิบของร่างสูงนอนซุกซบอยู่ในอ้อมกอดเล็ก ๆ บนเสื่อสีน้ำตาลเข้มซึ่งปูยึดเต็มพื้นที่ระเบียงที่เปิดกว้างรับลมเย็น

“ครับ”

“ตอบจ๋าได้ไหม”

“จ๋า.......”  เสียงทอดยาวอ่อนหวานด้วยความตั้งใจ

“ง่วงจังเลย”

“เขนง่วงเขนก็นอนสิ เดี๋ยวรุ่งพาไปนอน”

“เขนนอนตรงนี้กับรุ่งได้ไหม”

“ดึก ๆ น้ำค้างจะลงนะเขน เข้าไปข้างในดีกว่า” ผมดันกายหมายจะลุกขึ้น หากร่างสูงที่ยังคงวางหัวซุกซบที่อกกลับทิ้งน้ำหนักและดึงมือกลับมาสอดประสานก่อนจะวางไว้แนบหัวใจ

“งั้นนอนตรงนี้อีกนิดนะ”

“อืม...”

“รุ่ง...”

“จ๋า......” ผมตอบตามที่เขาบอกไว้

“เหนื่อยไหม”

“เหนื่อยอะไร ไม่เห็นเหนื่อยเลย” ผมตอบกลบเกลื่อนรวดเร็ว

“เสียงสูงเชียว”

“ไม่สักหน่อย”

“รุ่งจ๋า...”

“จ๋า.......” ผมแกล้งตอบอีกครั้ง

“ดีมาก งั้นเขนขออะไรอีกอย่างได้ไหม”

“ขอหลายอย่างก็ได้”

“แต่เขนอยากขออย่างเดียว”

“งอแงนะ อย่างเดียวก็ได้ อะไรล่ะ”

“เดี๋ยวเขนบอก แต่รุ่งต้องสัญญาก่อนว่าจะทำให้เขน”

“อ้าวเขนก็ต้องบอกก่อนว่าอยากได้อะไรสิ”

“ไม่อะเขนงอแง... เขนอยากให้รุ่งสัญญาก่อนนะ สัญญานะรุ่ง”

“ก็ได้ สัญญาก็ได้”

“รุ่งสัญญาแล้วนะ”

“อืม...”

“รุ่ง......”

“จ๋า........”

“ไม่ว่ายังไง... รุ่งอย่าทิ้งเขนนะ...............” เสียงเงียบลงชั่วอึดใจด้วยความลังเล ก่อนที่ทุกอย่างจะทะลักทลายพรั่งพรูออกมา

“รุ่งอย่าทิ้งเขนไปไหนนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม... รุ่งอย่าปล่อยมือนี้ อย่าทิ้งเขนไปนะ เขนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีรุ่ง” เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นทำให้หัวใจของผมแทบจะร้าวราน

“เขน.....”

“รุ่งสัญญาแล้วนะ”

“เขนรู้อะไร เขนรู้แล้วใช่ไหม” ร่างสูงพยักหน้าเบา ๆ ในอกพร้อมยกมือทั้งสองที่ยังคงสอดประสานกันขึ้นมาโชว์ริ้วร่องรอยแดงที่เกิดจากพันธนาการในช่วงค่ำคืน

“รุ่งไม่ต้องสนใจนะ ไม่ว่าเขนจะเป็นยังไง ไม่ว่าเขนจะเจ็บแค่ไหน ขอแค่ตื่นมาเขนเห็นหน้ารุ่งนะ ขอแค่รุ่งอยู่กับเขน เขนยอม... เขนรักรุ่ง รุ่งอย่าทิ้งเขนนะ รุ่งสัญญาแล้วนะ”

“......................................” ผมอึ้งเพราะกำลังถูกดักทางออกหมดสิ้นทุก ๆ หนทาง

“นะ รุ่งนะ...”

“............................”

“รุ่ง...... ไม่รู้ล่ะ รุ่งสัญญาแล้ว”

“ต...แต่............”

“ไม่มีแต่”

“เขนอย่าเอาใจสิ”

“เขนจะเอาแต่ใจ”

“...........................”

“รุ่งสัญญา... สัญญาแล้ว...” เสียงแห้งแหบพร่ากับหยาดน้ำตาที่หลั่งรินบีบหัวใจให้รวดร้าว

“งั้นเรากลับบ้านกันนะเขนนะ กลับไปรักษานะ”

“อืม... เขนจะกลับไปรักษา แต่รุ่งต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้นะ”

“รุ่งสัญญาแล้วไง”

“จริง ๆ นะ” ผมเกลี่ยเช็ดร่องรอยน้ำตาใสให้ผู้ชายขี้อ้อนที่เงยหน้าขึ้นมาคาดคั้นขอคำตอบ

“จริงสิ” ก่อนจะกลั้นใจตอบพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองอยู่ภายในหัวใจ

“ปวดหัวจังเลย” คนปากแข็งยอมบอกอาการของตัวเองเป็นครั้งแรก

“งั้นกินยานะเขน” ร่างสูงพยักหน้าอย่างว่าง่ายและลุกขึ้นเดินตามฉับพลัน ก่อนที่ยาเม็ดเล็กพร้อมน้ำดื่มถูกกลืนลงคออย่างรวดเร็วและทอดกายทรุดลงนอนที่เตียง หากแต่ยังคงฉุดรั้งมือบางไว้แนบอก

“รุ่งจ๋า......”

“จ๋า....”

“ยะ...อย่าร้องไห้อีกนะ รุ่งของเขนต้องเข้มแข็ง ต้องยิ้มนะ ต้องมีความสุข ไม่ว่าจ...จะเกิดอะไรขึ้น เขนอยากเห็นรุ่งมีความสุขนะ” ดวงตาปรือปรอยด้วยอาการโรคและฤทธิ์ยา หากยังคงฝืน

“อืม...” ผมจึงรีบตอบรับแม้จะรู้แก่ใจว่า... ‘จะเป็นไปได้อย่างไร’

จูบฝากรักร่ำลาส่งเข้าสู่ห้วงนิทราบางเบากดลงบนริมฝีปากอย่างรวดเร็ว ก่อนคำพูดสุดท้ายหลุดออกมา

“พรุ่งนี้เจอกันนะ”

คำพูดธรรมดา... หากทวงย้ำคำสัญญา

“พรุ่งนี้พบกันเขน” เสียงตอบกระซิบหวานซึ้งเบาแผ่วที่ได้ยลยิน ทำให้ดวงตาคมหลับลงพร้อมรอยยิ้มบางเบา ก่อนเสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอจะดังขึ้นอีกครั้ง

การเดินทางของชีวิตมักมีหนทางที่ต่างออก... มาเป็นบททดสอบให้เราตัดสินใจ หากสิ่งที่ไม่รู้คือทำไม...ในการตัดสินใจเกือบทุกครั้ง

‘เหตุผลและหัวใจ’ มักให้คำตอบที่ต่างกัน

และคำตอบสำหรับครั้งนี้ ก็คือ.....





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: DEAR 27.03.2018
«ตอบ #167 เมื่อ27-03-2018 10:50:12 »

Chapter XXXII: DEAR

 

หลังจากที่ไม่ได้ขับรถเองพักใหญ่ ผมก็กลับมาขับรถฝ่าฟันการจราจรติดขัดด้วยตัวเองอีกครั้ง อาจจะโชคดีหน่อยตรงที่จุดหมายปลายทางของรถส่วนใหญ่กำลังมุ่งตรงเข้าสู่ย่านธุรกิจ ต่างจากผมที่มุ่งหน้าออกไปรุ่งนเมืองในเช้าวันนี้

“ผมมาติดต่อบ้าน 520 ครับ” ผมแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

“รบกวนช่วยแลกบัตรด้วยครับ”

“นี่ครับ”

การตัดสินใจไม่ยาก... และก็ไม่ง่าย หากครั้งนี้ผมทำสำเร็จจนได้

การลาออกจากบริษัทชั้นนำในประเทศที่มีความมั่นคงในอาชีพการงานใช้เวลานานพอสมควร และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคิดและทำโดยลำพัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการทำงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพื่อนร่วมงานเปรียบเสมือนครอบครัว และเจ้านายที่เปรียบดังผู้มีพระคุณ หากเมื่อเจตจำนงที่คงมั่น ทุกอย่างจึงลุล่วง

งานอิสระแบบที่ใฝ่ฝันมานานกับเวลา 24 ชั่วโมงที่กลับมาเป็นเจ้านายตัวเองอีกครั้งแม้ต้องมีวินัยในตัวเองเพิ่มขึ้นมากมายหากระยะเวลาสามเดือนเศษที่ผ่านก็สามารถพิสูจน์ว่าผมทำมันได้เป็นอย่างดี ลูกค้าที่ได้มาจากการแนะนำของพี่ ๆ เพื่อนๆ ในวงการ และงานโปรเจคพิเศษที่รับมาจากนายจ้างเดิมแบบรับเหมาช่วง ทำให้ธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัว และสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้โดยไม่ต่า งและไม่น้อยกว่ารายได้เดิมที่เคยได้รับ

“ถ้าตาม Requirement ประมาณนี้ ผมขอเวลาสักอาทิตย์ แล้วจะรีบส่งแบบดีไซน์มาให้ดูก่อนนะครับ”

“ตามนั้นได้ก็ดีครับ ตอนแรกพี่คิดว่าต้องใช้เวลามากกว่านี้ซะอีก” ผมได้แต่ยิ้มรับไม่อยากจะบอกเจ้าของบ้านว่าผมยังติดนิสัยทำงานแบบบริษัทเอกชนที่เร่งงานทุกงานเพื่อผลกำไรสูงสุดอยู่นั่นเอง

“งั้นผมขอตัวเลยนะครับ” ผมรีบขอตัวและขับรถออกมาจากงานแรกของวันที่เป็นไปได้ด้วยดีเหมือนเดิม ก่อนมุ่งตรงไปที่ไซด์งานก่อสร้างเพื่อดูงานโครงการสร้างศูนย์การค้าเดิมที่ยังคงติดพันรับผิดชอบและรับงานแบบเหมาช่วงมาดูแล

วันเวลายุ่งๆ หากเต็มไปด้วยความสุข

ตามที่เคยสัญญาไว้กับใครคนหนึ่ง

 

เวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วตลอดช่วงบ่าย เมื่อกลับมาทุ่มเทสมาธิอยู่กับโต๊ะเขียนแบบในห้องสมุดเล็ก ๆ ที่โปร่งโล่งด้วยประตูทรงสูงที่ทอดยาวสู่เฉลียงกว้าง กว่าจะรู้ว่าบ่ายคล้อยก็เมื่อเงยหน้าขึ้นมาดูเวลาบ่ายแก่ ๆ สายตาที่อ่อนล้าพอ ๆ กับหลัง และลำคอที่ปวดตึงฟ้องว่าต้องการพักผ่อน ตั่งไม้ตัวเดิมที่ตั้งอยู่ใกล้ประตูจึงถูกเลือกเป็นที่ทอดการลงนอนพร้อมหลับตาลง และทอดถอนหายใจ

ทุกการกระทำมักมีเหตุผลรองรับ และทุกเหตุผลมักอารมณ์มีเป็นผู้ชี้นำ

ผมใช้ทุกเวลาทุกนาทีให้มีค่า เพื่อบางสิ่ง... เฉกเช่นเดียวกับ ‘เขา’

จากเหตุการณ์แปรเปลี่ยนรวดเร็วเพียงชั่วพริบตาจาก ‘วันนั้น’ จวบจน ‘วันนี้’ ผมเชื่อมั่นว่าผมทำทุกอย่างดีที่สุดสำหรับเราทั้งสองคนมาโดยตลอด

หากแต่มีสิ่ง ‘สิ่งเดียว’ ที่ทำให้ผมยังคงเสียใจมาตราบเท่าทุกวันนี้คือ... ทำไมผมถึงไม่เคยรู้ ทำไมผมถึงไม่ทราบมาก่อน เพราะถ้าเพียงแต่ผมรู้เร็วกว่านี้สักนิด เรื่องนี้อาจจะไม่ลุกลามเกินเลยเพียงนี้

ทั้ง ๆ ที่ ‘ความลับ’ ที่เขาเพียรปกปิดซ่อนเร้นอยู่ใกล้เพียงเส้นผมบังตา ถ้ามีเวลากลับมาใส่ใจเพียงนิดจะเห็นขวดยามากมายพวกนี้ที่ผมไม่เคยสังเกตเห็นแอบซ่อนกระจัดกระจายอยู่เต็มทั่วบ้าน การปกปิดไม่ได้แนบเนียนเลยสักนิด หลักฐานชี้ชัดความเจ็บปวดรวดร้าวเรื้อรังสั่งสมมานานเกือบปีตั้งแต่ช่วงไกลห่างกันข้ามประเทศ

คราบน้ำตามากมายที่มองข้ามผ่านเลย...

หรือหากเพียงแค่พิจารณาถึงการตัดสินใจครั้งนั้นที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าคิดสงสัยเพียงสักนิดว่าทำไม... เขาถึงเลือกที่จะเดินทางไกลจากลา ทั้ง ๆ ที่เพิ่งได้กลับมาอยู่เคียงคู่

ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะสมเหตุสมผล ถ้าไม่ใช่การหนี... หรือปกปิดบางสิ่ง

 

ถ้าเพียงแต่ผมฉุกคิด... คงไม่สายไป...

คงต้องไม่ต้องมาทนทรมาน... ใช้ชีวิตโดยลำพังจมปลักอยู่กับความคิดถึง

พร้อมกับประโยค... ประโยคนั้นที่เพียรท่องตอกย้ำตัวเองเพื่อให้ยืนหยัด

‘รุ่งของเขนต้องเข้มแข็ง... เขนอยากเห็นรุ่งมีความสุข... รุ่งของเขนต้องไม่ร้องไห้’ ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมาเพียงเพราะ...

‘แค่แสบตานะเขน แค่แสบตาเท่านั้นเองเขน’

‘รุ่งไม่ได้ร้องไห้นะ ไม่ได้ร้องไห้จริงๆ’

 

ถังสีขาวทรงสูงสมาชิกใหม่ที่เจ้าน้องชายคนเก่า และน้องสาวคนใหม่ของผมส่งตรงมาให้จากลำปางมาตั้งเรียงรายที่ริมเฉลียงรวมกับเก้าอี้ตัวเดิมสองตัวที่ถูกส่งมาก่อนหน้า ท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟดวงน้อยภายในห้องหนังสือ ลมหนาวที่เริ่มพัดโบกโบยทำให้ลิลลี่ก้านยาวที่ปักแซมอยู่ไหวตามลมน้อย ๆ พร้อมกรรไกรตัดกิ่งในมือที่เริ่มทำงานเงียบๆ  เลาะเล็มใบที่เริ่มเหลือง และตัดคัดเลือกดอกที่เริ่มโรยราเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาสภาพต่อไป

‘บ้านของเรา’... เงียบสนิทปราศจากเสียงใด ๆ หลังจากที่เจ้าเหมียวน้อยสามทหารเสือกินอิ่ม และหลับใหลลงประจำที่ในตะกร้าใบใหญ่ พร้อมกับแม่เหมียวที่แวะมาบอกเมื่อสักครู่ว่าจะแอบหนีไปเที่ยวข้างนอก

กิจกรรมสุดท้ายก่อนเข้านอนจึงมีแต่เพียงสายลมหวีดหวิวเป็นเพื่อน และจบลงด้วยทักษะความชำนาญแคล่วคล่องของมืออาชีพที่ทำงานอดิเรกนี้สม่ำเสมอมาอย่างยาวนาว... เพียงเพราะความคงมั่นของใครบางคน

ร่างบางนำพาตัวเองเดินกลับมาสู่ที่ที่นอนกว้างนุ่มฟูและซุกกายลงนอนในที่ที่ไม่ใช่ที่ของตัวเอง สัมผัสที่เรียบเนียนของที่นอน และผ้าห่มอุ่น หากไม่มีวันเทียมเท่าสัมผัสของอ้อมกอดอุ่นพร้อมกับกรุ่นกลิ่นของเจ้าของที่... ที่ยังติดตรึงในความทรงจำ

‘เขนรักรุ่ง… รุ่งสัญญาแล้วนะ’ เสียงกระซิบพร่ำที่เคยย้ำบอก แต่...

ทำไมล่ะ... เขน

ในเมื่อเขนรักรุ่ง ทำไม...

ในเมื่อรุ่งรักษาสัญญา ทำไม...

 

‘พรุ่งนี้เจอกันนะ’ คำพูดสุดท้าย...

ที่ผมไม่เคยรู้ว่ามันคือ... ‘คำร่ำลา’

 

“พรุ่งนี้จะเจอกันใช่ไหมเขน” เสียงสะอื้นที่เกินกลั้น

“พรุ่งนี้เราจะพบกันใช่ไหม” พร้อมกับน้ำตาที่หลั่งริน

 

ตีสามกว่า ๆ ร่างกายที่ได้รับการพักผ่อนพอสมควรในสภาวะหัวใจที่แทบแตกสลาย น้ำตาที่เปียกชุ่มหมอนปลุกเร้าให้นำพาตัวเองให้ลุกขึ้น เมื่อมิอาจฝืนทนนอนอีกต่อไปได้

โคมไฟที่เปิดขึ้นในห้องสมุดเคยเป็นได้เพียงแสงสลัว... หากกลับสว่างไสวในช่วงกลางดึกที่มืดมิดไร้ซึ่ง ‘ดวงเดือน’ แสงสว่างตกกระทบรูปภาพวาดสีน้ำ

‘ภาพวาดศาลาไทย’ ท่ามกลางสวนสวยที่เคยถูกเก็บอยู่ในห้องเก็บของถูกนำมาใส่กรอบและแขวนติดในห้องที่ภาพนี้ถูกวาดขึ้น เรื่องราวที่เกินคาดฝันเปิดเผยขึ้นจากผู้เป็นพ่อซึ่งมีความรักในลูกชายของตัวเองอย่างมากล้น และแบ่งปันความรักนั้นมายังคนที่ลูกชายรัก

จดหมายปึกใหญ่ที่ถูกส่งมาอยู่ในมือด้วยความประหลาดใจในเบื้องต้น หากกลับไขบางสิ่งที่คั่งค้างในใจได้สำเร็จ ความบังเอิญที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และไม่มีทางพิสูจน์ด้วยหนทางสายวิทยาศาสตร์ หากเป็นคำตอบที่คนประสบพบเจอกับตัวเองยอมรับโดยจำนน

‘อย่าทิ้ง... อย่าทิ้งพี่...... กลับมา........... กลับมาก่อน.............อรุณ.......’

 

 

‘อรุณ’ คนนั้น

‘น้องน้อย’ ของ ‘พี่ชาย’ ในจดหมาย อาจจะเป็นคนในฝันซึ่งเป็นต้นเหตุของการพลัดพรากครั้งนี้ ความสลับซับซ้อนที่เหนือความเข้าใจ หากเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอชี้ชัดให้ยากยิ่งจะปฏิเสธ

เรื่องราวที่ได้รับการถ่ายทอด โศกนาฏกรรม และความทุกข์ทรมานของผู้จากไป และผู้เฝ้ารอคอยย้ำชัดว่า... ได้หวนกลับมาอีกครั้ง

หากแต่เพียง... เปลี่ยนตัวผู้เฝ้ารอ

และไม่มีใครล่วงรู้ว่าจะสิ้นสุดลง ณ ที่ใด

หากผู้ที่รับรู้ทำได้เพียงแต่... ‘รอคอย’ ต่อไปเพียงเท่านั้น

 

และในเมื่อเขาทำได้ ผมก็ต้องทำให้ได้

‘การรอคอย... ด้วยความรักตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต’

 

“ครับ เสร็จธุระแล้วผมจะรีบเข้าไป”

“ขอบคุณครับ” ผมกดวางสายทันทีเมื่อคนที่นัดไว้มาถึง เวลาวันครึ่งกับธุระสุดท้ายที่พึงกระทำก่อนที่จะใช้เวลาที่เหลือจัดสรรไว้เพื่อทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง

“สวัสดีครับ” ผมรับไหว้กลุ่มชายหนุ่มวัยนักศึกษาสามสี่คนที่ติดต่อมาเพื่อขอมาดูสถานที่

“เชิญทางนี้ครับ” ก่อนนำทั้งหมดขึ้นสู่ตัวตึกที่ปิดเอาไว้ และใช้เวลาเพียงไม่นานในการเจรจาข้อตกลงพร้อมกับความประหลาดใจเล็ก ๆ ที่ไม่คิดว่าเด็กอายุขนาดนี้จะมีความคิดความอ่านอย่างมีระบบมากถึงขนาดนี้ และมีทุนทรัพย์มากพอที่จะมาเช่าปีกเหนือที่วังศศิธรไปได้ จึงทำให้ผมใจอ่อน และยอมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

"แล้วยังไงเรื่องตกแต่งจะพี่ช่วยดูให้ก็ได้ แต่ต้องมีเวลามาคุยรายละเอียดอีกครั้ง พอดีวันนี้พี่มีธุระ”

“ถ้าอย่างงั้นพวกผมไม่รบกวนพี่รุ่งแล้ว เดี๋ยวผมติดต่อมาใหม่นะครับ” เจ้าเด็กหน้าตาคมคายพูดชัดฉะฉานพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้ผมอุ่นใจว่าอย่างน้อยต่อไปวังศศิธรก็จะไม่มีเพียงผม และครอบครัวเหมียวในตอนกลางคืนอีกต่อไป

บ้านคงเป็นบ้านมากขึ้น

หากจะสมบูรณ์ที่สุดถ้าเพียงแต่... เจ้าของบ้านกลับมา

 

ผมยังคง... รักษาสัญญา

แม้ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้เลยว่า... สิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกหรือผิด

 

หากแต่เมื่อตัดสินใจแล้ว... ผมก็พร้อมจะยอมรับผลของมันอีกครั้ง

 

สามเดือนกว่าที่ผมต้องมานอนที่นี่สลับสับเปลี่ยนกับคุณพ่อ และครอบครัวของเขา เพียงเพราะคนป่วยที่กลับมารักษาตัวยังคงนอนหลับเป็นเจ้าชายนิทราตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ซึ่งเป็นความจำเป็นที่เป็นเหตุผลทำให้เจ้านายยอมปล่อยให้ผมลาออกจากงานมาเพื่อบริหารเวลาทุกวินาทีตามความจำเป็น และความปรารถนาของตัวเอง

‘ดูผิวเผินอาการของคนไข้ดูดีกว่าประวัติการรักษาคราวที่แล้วมาก สภาพร่างกาย และอาการทางสมองเท่าที่เช็คไม่มีอะไรผิดปกติ แต่คนไข้เหมือนหลับลึกจมอยู่กับความฝัน และสภาวะไร้สติ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ และตัวของเขาเองแล้ว เราคงช่วยอะไรไม่ได้มาก’

ลักษณะอาการที่ว่านี้ ดีกว่าสภาวะที่ผม และเฟรมพบที่ลำปางมากมายนัก เมื่อคนป่วยยังคงเหมือนคนนอนหลับสนิท และมีเพียงอาการละเมอออกมาบ้างเป็นระยะ ๆ หากแต่เมื่อเวลาผ่านมาเนิ่นนานความกังวลจึงค่อย ๆ ทวีทบมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยร่างกายที่ต้องนอนนิ่งอยู่กับที่นานจนเริ่มมีผลต่อกล้ามเนื้อ และสร้างแผลกดทับ

“เขน..... เดี๋ยวรุ่งจะนอนแล้วนะ” เสียงกระซิบแผ่วดังขึ้นภายใต้ความมืดมิดของห้อง คนไข้หลังจากที่พลิกตัว นวด และทำกายภาพบำบัดเสร็จเรียบร้อย สองมือที่เฝ้าเกาะกุมอยู่ฝ่ายเดียวจึงยกมือของเจ้าชายนิทราขึ้นมา ก่อนซบใบหน้าลงแนบ

“วันนี้มีคนมาดูจะเช่าที่บ้านของเราแล้วนะ เราจะมีเพื่อนบ้านแล้วนะเขน เขนคงชอบ มีเด็ก ๆ มาอยู่บ้านเราคงจะครึกครื้นดี... เจ้าสามทหารเสือของเขนก็โตขึ้นมากแล้ว เฟรมมาบอกว่าอยากขอเอาไปเลี้ยงสักตัว แต่รุ่งบอกน้องไว้นะให้รอเขนก่อน เหมียวเป็นของเขน เจ้าสามตัวนั่นก็เป็นของ... เขนนะ เขนต้องตื่นมาบอกเฟรมเองนะว่าจะให้หรือไม่ให้”

“แล้ว... นอกจากเหมียวกับลูกเหมียวสามตัวนั่น เขนก็ยังมี... รุ่งที่เป็นของเขนอยู่นะ เขนอย่าลืมนะ รุ่งยังรักษาสัญญานะ รุ่งยังอยู่ตรงนี้กับเขนนะ รุ่งไม่ได้ไปไหนเลยนะเขน... รุ่งไม่เคยทิ้งเขนไปไหนเลยนะ”

“ข... เขนไม่ต้องรอใครคนนั้นแล้วนะ เขาคนนั้นอยู่ตรงนี้แล้ว เขนไม่ต้องหาเขาแล้ว รุ่งอยู่ตรงนี้แล้ว รุ่งมารอเขนตรงนี้แล้ว อรุณมารอพี่ชายแล้ว พี่ชายตื่นเถิดนะครับ”เสียงกระซิบหวานที่แหบพร่าเอ่ยช้าพูดพร่ำย้ำบอกหากไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ

“เขน... รุ่งอยากกินไข่ตุ๋นจัง... เขนตื่นมาทำให้รุ่งหน่อยได้ไหม... พรุ่งนี้หรือยังเป็นวันพรุ่งนี้หรือยัง... ที่เราจะเจอกันนะเขน... รุ่งรอเขนอยู่นะ... รอเขนคนเดียว...”

“พรุ่งนี้นะเขน... พรุ่งนี้ ร... รุ่งจะรอพรุ่งนี้ทุก ๆ วัน” เสียงสะอื้นเบา ๆ ให้กับความหวังที่นับวันจะเลือนราง มือบางข้างหนึ่งที่ผละปล่อยออกจากมือที่เกาะกุมยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่หลั่งริน ก่อนจะหักห้ามตัวเองอีกครั้ง

“รุ่งไม่ได้ร้องนะเขน แค่แสบตา แค่แสบตาจริง ๆ เขนนอนนะ แล้วพรุ่งนี้.....”

“พรุ่งนี้เราจะพบกัน... สุดที่รัก”

 

 

 

“ร...รุ่ง............”





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
«ตอบ #168 เมื่อ27-03-2018 10:55:31 »

 :sad4:Chapter XXXIII: LOVE

 

เหตุการณ์บางเหตุการณ์...

คลับคล้ายว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อน...

จนยากที่จะแยกแยะได้ว่าเรื่องใดเป็นความจริง เรื่องใดเป็นแค่ ‘ความฝัน’ ที่สะท้อนจากความรู้สึกที่ถูก“เก็บ”ไว้ ในเบื้องลึกของความทรงจำและสัมพันธภาพในอดีต

บางคนเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่า ‘เดฌาวูว์’ ความรู้สึกที่เสมือนสามารถคาดเดาเหตุการณ์ข้างหน้าได้หรือเสมือนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเคยประสบพบแล้วในอดีต มีหลากหลายทฤษฎีที่พยายามจะหาคำตอบให้กับความรู้สึกแบบนี้ของมนุษย์

ทางวิทยาศาสตร์มักจะอธิบายว่า เป็นการไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองที่เกิดการผิดปกติ แล้วทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้

บ้างก็ว่าเป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคนและทุกเวลา เป็นทั้งโลกคู่ขนาน และเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอันยาวไกล (ในอดีตชาติ) คล้ายๆ กับทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์

หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีก เราจะผ่านประสบการณ์มากมาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำ แล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน

 

 

 

คุณอยากรู้ใช่ไหม... ว่าอะไรเกิดขึ้นใน ‘ความฝัน’ ของผม

บอกผมหน่อยสิ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน...

หากในเมื่อความฝันยังคงเป็นได้เพียง ‘ความฝัน’ ที่ไม่มีวัน ‘เป็นจริง’ หรือ ‘หวนคืน’ ก็ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะยอมปล่อยสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของผมไป... 

เพียงเพราะแค่ความอยากรู้เท่านั้น... ไม่ใช่หรือ

ผมจึงเลือกที่จะหยุด และสิ้นสุดการเดินทางในการตามหา... ใครคนนั้น เพราะ ‘ประโยคสัญญารัก’ อันแสนเจ็บปวดที่ถูกทวงถาม และเสมือนยังคงดังก้องสะท้อนอยู่ภายในหัวใจ

‘พรุ่งนี้หรือยัง... เป็นวันพรุ่งนี้หรือยัง... ที่เราจะเจอกันนะเขน... รุ่งรอเขนอยู่นะ... รอเขนคนเดียว... พรุ่งนี้นะเขน... พรุ่งนี้ รุ่งจะรอพรุ่งนี้ทุก ๆ วัน’

ร่างกายที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เพราะการปรนนิบัติดูแลใกล้ชิดอย่างดียิ่งของครอบครัว และคนรักทำให้ผมใช้เวลาไม่นานในการพักฟื้นร่างกายก่อนที่พร้อมกลับมาเริ่มใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอีกครั้ง

หากสิ่งที่เกินความคาดหมายคือ ช่วงระยะเวลาสามเดือนที่ผมยอมเสียไป กลับทวีค่ามากมายมหาศาล เมื่ออาการป่วยเรื้อรังดูเหมือนจะหายขาดไปอย่างปาฏิหาริย์โดยที่วิทยาการทางการแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยได้ รวมทั้งอีกหนึ่งสิ่งที่ยังไม่มีใครล่วงรู้...

สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเฝ้าปรารถนารอคอยมาเป็นเวลานานนับสิบปี... กลับคืนมา

 

“เขน หมอนข้างหายอะ” เสียงหวานแหบแห้งยามเช้าทักขึ้น ก่อนที่ร่างบางจะเดินงัวเงียโซซัดโซเซข้ามห้องมาซวนซบลงหาหลักยึดในอ้อมอกแกร่ง อาการป่วยที่เจ้าตัวให้ชื่อว่า ‘พิษติดหมอนข้างเรื้อรังขั้นรุนแรง’ และร่ำร้องให้ต้นเหตุต้องรับผิดชอบ ผมจึงยอมความด้วยความยินดีพร้อมรับที่จะชดเชยความผิดครั้งนี้โดยการอุทิศตนเป็นหมอนข้างให้ตลอดชีวิต

ร่างสูงได้แต่ยืนยิ้มก่อนที่รวบสองร่างเข้าด้วยกัน และพยุงเดินไปทอดกายเอนนอนที่ตั่งไม้ตัวใหญ่กลางห้อง พร้อมทั้งรั้งมือบางห้ามเด็กน้อยไม่ให้ขยี้ตาด้วยความรุนแรง ก่อนอดที่จะกดจุมพิตเบา ๆ ลงเปลือกตาสีอ่อนบางด้วยแสนรักแสนเอ็นดูไม่ได้

“ฮื่อ... ตื่นเช้าจังเลย ไม่นอนต่ออีกหน่อยเหรอเขน... ฟ้ายังมืดอยู่เลย”

“เหมียวมาร้องหน้าห้องอยากเข้ามาหาลูก เขนเลยตื่นมาเปิดให้ แล้วเลยนอนไม่หลับ สงสัยจะนอนพอแล้ว นอนมามากแล้ว” ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง พร้อมกับโยกตัวเบา ๆ กล่อมคนที่มีทีท่าครึ่งหลับครึ่งตื่น

“อืม...”

“เขนว่าสงสัยเราต้องทำประตูแมวไว้ให้เหมียวแล้วนะรุ่ง เดี๋ยวต่อไปเจ้าสามทหารเสือโตก็ต้องออกไปเที่ยวเล่นกลางคืนเหมือนกัน”

“อ... อืม..... ใช่เจ้าสามหนุ่มนั่นจะโตแล้ว เมื่อไหร่เขนจะตั้งชื่อให้ลูกเหมียวสักทีล่ะ”

“เรียกเป็นรหัสดีไหม เหมียวหนึ่ง เหมียวสอง เหมียวสาม”

“สร้างสรรค์มากอะเขน” เสียงแซวที่ทำให้ผมอดแซวกลับให้ไม่ได้

“ก็สร้างสรรค์เหมือนชื่อแม่เหมียวนั่นเลย”

“ชื่อ ‘เหมียว’ นี่มีที่มาที่ไปนะ...” คนตั้งชื่อแม่แมวรีบร้อนตัว

“ที่มาที่ไปอะไรครับ”

“อยากรู้ใช่ไหมล่ะ...... ง่วงอะ เดี๋ยวค่อยเล่าวันหลัง” ผมอดยิ้มให้กับความโยเยไม่ได้

คนที่เคยบอกว่าจะเล่าหากด้วยพื้นฐานไม่ใช่คนช่างพูด เรื่องราวที่เล่าจึงมีเพียงแต่สาระหลักที่สำคัญ หากความเป็นจริงที่มีรายละเอียดลึกซึ้งมากมายถูกปล่อยผ่านเลย... ด้วยเหตุผลบางประการ

เด็กที่เคยขี้อายถึงขนาดนั้น... ก็ไม่น่าแปลกใจ

ไม่ว่าภายนอกจะแปรเปลี่ยนเพียงไหน... แต่ข้างในลึก ๆ ก็ยังคงเดิม

“.........ที่มาที่ไปที่ว่า... เพราะมีใครบางคนเคยแอบเรียกแฟนของตัวเองว่า ‘เหมียว’ มาก่อนใช่ไหมล่ะ เหมียวถึงได้ชื่อเหมียวน่ะ” ใบหน้าหวานที่เงยขึ้นมามองพร้อมกับดวงตาเรียวเล็กที่เปิดขึ้นกะทันหันเต็มไปด้วยความสงสัย

“ข... เขนรู้ได้ไงอะ”

“เขนรู้มากกว่านี้อีกนะ ใครคนนั้นขี้โกงไม่ค่อยยอมจะเล่ารายละเอียดที่ว่า...”

“เขนตกหลุมรักเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เดินก้าวตามครูประจำชั้นเข้ามาในห้องตั้งแต่วินาทีแรกที่เราสบตากัน เด็กขี้อาย โลกส่วนตัวสูงบางคนที่กล้าจะปฏิเสธขัดขืนดื้อเงียบตลอดเวลา แล้วหัวหน้าห้องก็ไม่เคยเอาชนะได้เลย เพราะหัวใจ... สั่งให้ยอม ยอมมาทั้งชีวิต ยอมไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด”

“แล้วก็... ‘ดอกลิลลี่สีขาว’ กับการสารภาพรักครั้งแรกในชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่เฝ้าปกป้อง เฝ้าดูแล เฝ้าทะนุถนอม เฝ้ารักและภักดีต่อผู้ชายอีกคนมาเนิ่นนาน... ถูกต้องไหมครับ”

“ข...เขนจำได้แล้วเหรอ” ผมคลี่ยิ้มก่อนพยักหน้ารับ ความลับที่ผมไม่ควรเก็บไว้อีกต่อไป โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเจ้าของความทรงจำร่วมกัน

“แต่จะจำได้หรือจำไม่ได้มันไม่สำคัญกับเขนอีกต่อไปแล้วนะรุ่ง ขอแค่รุ่ง ‘รู้’ ไว้ว่าไม่ว่าอย่างไรเขนจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปไหนอีกแล้ว ไม่ว่าเขนจะต้องลืมอีกกี่ครั้งก็ตาม”

“เขนอย่าพูดอย่างนั้น” มือบางที่ยกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก หยาดน้ำตาเม็ดเล็กที่เอ่อล้นรินไหลจากนัยน์ตาที่ไหวหวั่น ภาพความทรงจำในอดีตเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน และฝากบาดแผลปวดลึกรวดร้าวให้กับคนรักของผมสาหัสสากรรจ์นัก

“ไม่เป็นอะไรแล้วนะคะคนดีของเขน เขนไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ รุ่งจ๋า... ตอนนี้เขนรู้แล้วว่าอดีตแม้จะหอมหวานเพียงไหน หรือปวดร้าวปานใด ก็ไม่สำคัญเท่าปัจจุบันที่เราได้อยู่ด้วยกันเหมือนทุกวันนี้” ปลายนิ้วไล้ซับหยาดน้ำใสพร้อมเพียรกระซิบปลอบประโลมหัวใจที่บอบช้ำ

“เขน.....”

“อย่าร้องไห้นะคนดี... จำได้ไหม ‘ถ้ารุ่งเจ็บ... เขนก็เจ็บเหมือนกันนะ’” คำขู่ของเด็กน้อยในอดีตสร้างรอยยิ้มทั้งน้ำตาและเพิ่มเติมความแข็งแรงให้กับหัวใจ

“อืม... ”

“เขนรักรุ่งนะ รุ่งของเขน... สุดที่รักของเขน” ร่องรอยคราบน้ำตาที่ถูกนิ้วเรียวยาวเกลี่ยออกจากผิวหน้าอ่อนบาง สองสายตาจะสบประสานนิ่งเนิ่นนานสื่อความในใจที่ไร้ซึ่งคำพรรณนาเอื้อนเอ่ย ก่อนสัมผัสแห่งจุมพิตที่หวานซึ้งจากผู้ชายของผมจะทดแทนถ้อยคำรักร้อยพันที่พร่ำบอก

สองร่างที่ตามหา...

สองดวงวิญญาณที่เฝ้ารอ...

หัวใจรักดวงเดิมจึงหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง

 

เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดจากคนรักจบลง พร้อมกับปึกจดหมายกระดาษหนาสีเหลืองน้ำตาลเก่าคร่ำคร่าทั้ง 17 ฉบับจึงค่อย ๆ ถูกพับปิดลงอีกครั้ง... คำตอบที่ชัดแจ้งภายในหัวใจ หากไร้ซึ่งสิ่งใดมายืนยันมารองรับ

ในอดีต ‘หนึ่งคน’ เป็นผู้รอ... และยังคงรอเสมอแม้ลมหายใจจะถูกพรากจาก

ในอดีต ‘อีกหนึ่งคน’ รักษาคำมั่นจะตามหา ‘สุดที่รัก’ให้พบให้ได้ไม่ว่าอย่างไร

“เขนคิดยังไง” ดวงตาเรียวเล็กของคนที่อยู่เคียงข้างมองจ้อง ผมจึงได้แต่ทอดถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง ก่อนกระชับสองมือที่เกาะกุมเกี่ยวประสาน และตอบคำถาม

“มันเป็นอดีตไปแล้วรุ่ง มันจบไปแล้ว... “

“ตอนนี้เขนรู้แค่ว่า... เขนไม่สงสัยเรื่องที่พ่อเคยบอกเราสองคนแล้ว ที่นี่มีแต่ความรักความผูกพันของ ‘เจ้าของ’ กับ ‘สถานที่’ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วยนะ ‘รุ่ง’ แต่ในเมื่อชีวิตของเรายังมีวันนี้ และวันต่อ ๆ ไป... เราสองคนปล่อยให้อดีตจบไปพร้อมกับวันวานไม่ดีกว่าหรือ...”

“เขนเชื่อว่า... ในที่สุด ‘เรา’ ก็ได้กลับมาอยู่ ‘บ้านของเรา’ อีกครั้ง แล้วจริงไหม” ร่างบางที่ซุกซบลงในอ้อมกอดเป็นคำตอบรับที่ทำให้รับรู้...เรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ และไม่มีคำตอบสิ่งใดที่ครบถ้วนสมบูรณ์

หากแต่... ในเมื่อวันนี้ ‘เรายังอยู่เคียงข้างกัน’ สิ่งนี้ไม่ใช่หรือคือสิ่งที่ ‘เจ้าของวังทั้งสองคนต้องการ’

แค่อาจจะบังเอิญมันก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่ ‘เราสองคนต้องการ’ เช่นกัน

 

ช่วงสายๆ  ของวันกับการเตรียมงานที่ดูจะคึกคักวุ่นวายไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาหากเมื่อได้น้องสาวคนใหม่ของรุ่งที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยจัดการ เจ้าของบ้านที่ไม่รู้จะทำอะไรเช่นผม จึงต้องยอมทำตามคำสั่งของผู้บัญชาการโดยดี

“พี่เขนคะ น้องแพรบอกแล้วไงคะว่าให้ตั้งตรงนี้ขยับมานะคะ ขยับมาเลย ส่วนนั่นทำอะไรอะเฟรม อย่าชักช้าสิยกมาวางตรงนี้ คู่กันตรงนี้เลย” เราสองคนมองหน้ากันในสถานะจำยอม ก่อนที่เด็กแสบสิ้นลายจะกระซิบ

“นี่มันงานอะไรอ่ะพี่ เลี้ยงพระเพลหรืองานแต่ง”

“อ...เออ... ทำทำไปเถอะ” ผมตอบก่อนจะเช็ดเหงื่อที่เริ่มซึมออกมาตามไรผม

“พี่รุ่งคะ พี่รุ่ง ทางนี้ค่ะน้องแพรอยู่ทางนี้” น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปกะทันหันกับเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกทำให้อดหันกลับไปมองไม่ได้ ชายหนุ่มหน้าหวานที่อยู่ในชุดสูทลำลองกึ่งทางการสีขาวทั้งชุด

ในที่สุดก็ยอมจนได้สินะ ผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เพราะสิ่งนี้คืออีกสิ่งที่ทำให้ผมต้องยกความดีความชอบให้ผู้จัดการงานครั้งนี้ที่ช่วยเกลี้ยกล่อมให้ทุกสิ่งเป็นไปตามความปรารถนา หากแต่ก็ต้องยินยอม

“สองหนุ่มนี่ดูกางเต็นท์ตรงนี้ให้เรียบร้อยนะคะ พี่รุ่งคะเราไปดูซุ้มอาหารตรงโน้นกันไหมคะ น้องแพรเห็นพี่รุ่งยุ่ง ๆ น้องแพรเลยเลือกเองไม่ทันได้ถามเลย...” เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังต่อเนื่องพร้อมกับแขนเรียวที่ดึงรั้งคนรักของผมให้เดินตามไป ทำให้หันกลับมามองคนข้าง ๆ อีกครั้ง

“พี่มามองอะไรผมอ่ะ พี่เองไม่ใช่เหรอที่ขอให้เขามาช่วย” ไอ้เด็กแสบมันตอกกลับ เอาซะผมหงายไปต่อไม่ถูก

‘เออ... ยอมให้ครั้งนึงก็แล้วกัน’

เมื่อใกล้ถึงเวลางานเพื่อนฝูงญาติมิตรที่เชิญไว้อย่างไม่เป็นทางการของเราทั้งสองคนก็เริ่มทยอยมาร่วมงาน และแสดงความยินดีกับงานที่หลายคนออกจะสงสัยงงงวยเล็กน้อย และอมยิ้มในใจไม่ได้

“งานเลี้ยงพระขึ้นบ้านใหม่กับเปิดบริษัทใหม่นี่เขาใช้ดอกลิลลี่สีขาวตกแต่งทั้งงานเหรอเจ้าเขน” เสียงพี่ชายผมที่มาพร้อมกับพี่บลูที่ยิ้มกริ่ม

“นั่นไม่น่าสงสัยเท่ากับเจ้า... ของบ้านใส่สูทสีขาวมาต้อนรับแขกด้วยละมั้ง เรามาผิดงานหรือเปล่าเชน”

“งานนี้แหละครับพี่บลู เดี๋ยวพระจะมาถึงแล้วพวกพี่ขึ้นไปข้างบนตึกก่อนเถอะครับ เห็นรุ่งถามหาอยู่เมื่อครู่” ผมกลบเกลื่อน และรีบส่งต่อแขกอย่างรวดเร็ว

ผมก็รู้แล้วว่าทำไมเจ้า... ของบ้านอีกคน จึงไม่ยอมลงมาต้อนรับแขกด้วยกัน

ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะเขินมากมายขนาดนี้ เพราะเป็นคนต้นคิด และตัดสินใจวางแผนนี้ด้วยตัวเอง หากแต่เมื่อมาเจอสถานการณ์จริงกลับมาเขินเอาการอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

พิธีสงฆ์สิ้นสุดลงพร้อมกับงานเลี้ยงอาหารกลางวันที่เริ่มต้นขึ้น พร้อมเสียงกระซิบเบา ๆ ประปรายของแขกที่มาร่วมงานถึงภาพแสนประทับใจที่เพิ่งผ่านพ้น

ภาพเจ้า... ของบ้านชายหนุ่มสองคนที่หมอบรับน้ำพระพุทธมนต์อยู่เคียงคู่กัน สร้างความปีติยินดีให้กับญาติมิตร เพื่อนสนิท ผู้ที่รับรู้ และพบเห็นไม่น้อย แม้หลายคนจะได้รับรู้เรื่องราวความรักความผูกพันลึกซึ้งที่คนทั้งสองมีให้กัน และกันมากน้อยต่างกัน

หากความสุขที่เปล่งประกายออกมาจากรอยยิ้มและดวงตาของคนทั้งคู่ก็ฉายชัดความรักมั่นที่หาคำพรรณนาอื่นใดมาเปรียบเทียบเคียงมิได้

คู่แท้... ที่ไม่ว่าอย่างไร คู่แท้... ที่ไม่ว่าอุปสรรคมากน้อยแค่ไหน

ก็ไม่มีวันพรากจากความจงรักและภักดีที่มีต่อกัน

“โทษที นี่จะกลับกันแล้วเหรอ” เสียงใสที่ทักขึ้น ทำให้ผมเสมองออกไปนอกกลุ่มเพื่อน

“กลับแล้วรุ่งเดี๋ยวคราวหน้าไว้นัดกินข้าวกัน แล้วใครบางคนแถวนี้ก็หึงให้น้อย ๆ ลงบ้างนะ” ไทม์เปรยประโยคหลังลอย ๆ ก่อนที่เต้จะเข้าไปแตะบ่าเพื่อนของเขาเบา ๆ และพยักหน้าให้

“ไว้เจอกันปู่”

“แล้วเจอกัน ขอบใจมากอ้น”

“ไปแล้วว่ะเขน” เพื่อนสนิทของผมที่เดินมากอดคอ

“ขอบคุณว่ะตั้ม” ผมจึงตบหลังมันไปเบา ๆ

“เจอกันรุ่ง”

“อืม... แล้วเจอกัน ขอบคุณนะตั้ม” เราสองคนยืนส่งแขกกลุ่มสุดท้ายที่อยู่ช่วยเก็บงานจนเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่ความเงียบสงบจะเข้าปกคลุมบ้านของเรา ‘วังศศิธร’ อีกครั้ง

แสงแดดอ่อนยามบ่ายคล้อยที่สาดส่องผ่านต้นไม้ใหญ่ใบหนาลงมายังลานจอดรถหลังวังเป็นลำแสงทอดยาว สายลมอ่อนที่พัดกิ่งไม้ไหวปลิดปลิวดอกปีบสีขาวกลิ่นหอมให้ร่วงพราวเต็มสนามหญ้าใต้ร่มไม้ส่งกรุ่นกลิ่นหอมนวลยวนเย้าใจ ภาพชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่เสเดินเลี่ยงปลีกหนีไปยืนก้มเก็บดอกไม้สีขาวดอกเล็กโดยลำพังแสดงออกชัดแจ้ง

“งอนเหรอ... เขน” เสียงทักจากเบื้องหลังที่ทำให้รู้สึกขัดเขินเล็ก ๆ กับความรู้สึกเปี่ยมล้นที่มีในหัวใจ ไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้เลย...

“..................................”

“โอ๋... โอ๋ รุ่งต้องทำยังไงพ่อเหมียวถึงจะหายงอนนะ”

“................................” แต่ห้ามอย่างไร... อารมณ์แบบนี้

“คุยเรื่องงานนิดเดียวเอง นิดเดียวจริง ๆ เขนไม่เชื่อรุ่งเหรอ”

“เขนเชื่อรุ่ง... แต่เขนไม่เชื่อ...”

“คุณอาร์ทเขาเป็นพี่ชายของรุ่งแล้วนะเขน ไม่ได้ต่างอะไรจากพี่บลูหรอก”

“และทำไม...”

“ทำไมอะไรอ่ะ”

“ทำไมต้องมีพี่อย่างนี้ทุกคนด้วยหละ”

“อย่างนี้ นี่ยังไง”

“ก็อย่างที่...” ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง

“โอ๋... พ่อเหมียวขี้หึง” และผมก็รู้ว่าเขาแกล้งถามในตอนต้น

“ในเมื่อ ‘ไม่ได้รัก’ แต่มิตรภาพดี ๆ ความรู้สึกดี ๆ เราจะเก็บไว้ในรูปแบบอื่นไม่ได้เหรอ ถ้ารุ่งคิดเหมือนเขนนี่... รุ่งต้องหึงน้องแพรด้วยหรือไง”

“เขนกับน้องแพรไม่ได้มีอะไรสักหน่อย”

“คุณอาร์ทกับพี่บลูก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย”

“แล้วเด็กน้อยหน้าตาดีกลุ่มนั้นอีก พี่รุ่ง... พี่รุ่ง...” เสียงลอกเลียนแนบเนียน

“นั่นเพื่อนบ้านเรานะเขนที่รุ่งเคยเล่าให้ฟังไง เปิดเทอมหน้าพวกน้อง ๆ เขาก็จะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านกับเราแล้วนะ เขนมัวแต่งอนอ่ะเลยยังไม่ได้แนะนำให้รู้จัก” ผมฟังเสียงใส ๆ เล่าเรื่องราวรวดเร็วเงียบ ๆ จนใครบางคนสังเกตเห็นอีกจนได้

“........................................” ใบหน้าหวานที่เอียงคอยื่นหน้ามาช้อนมอง พร้อมด้วยสายตาบางอย่าง

“ความจำนี่มันกลับมาพร้อมกับนิสัยเดิมแป๊ะเลยนะเขน ถ้าใครเกิดเอาของขวัญหรือจดหมายมาให้รุ่ง จะต้องเอามาเผาอีกหรือเปล่าอ่ะ” แววตาที่เลียนล้อทำเอาผมไปต่อไม่ถูก

“ก็เขน” ร่างบางโผหาอ้อมอกแกร่ง สอดวงแขนกอดกระชับแบ่งปันความรู้สึกภายใน

“รักเขนนะ รุ่งรักเขนคนเดียว... เชื่อรุ่งนะ”

“เขนรู้ แต่...”

“ก็อดหึงไม่ได้” รอยยิ้มของใบหวานที่มองช้อน ไม้ตายที่หยุดทุกสิ่ง

“อืม... เขนขอโทษ”

“ขอโทษทำไมอ่ะเขน ก็รุ่งรักของรุ่งแบบนี้ รักเขนที่เป็นแบบนี้นี่นา...” อ้อมกอดเกาะเกี่ยวแบ่งปันความรักความเข้าใจอบอุ่นเนิ่นนาน

“รักเขนนะ รักเขนคนเดียว”

“ครับ เขนก็รักรุ่งนะ”

“รุ่งรู้...” เสียงและจังหวะการเต้นช้าหากสม่ำเสมอมั่นคงแห่งดวงใจของคนทั้งสองกลับมาเติมเต็มความรักลงในหัวใจกันและกันอีกครั้ง

“เราขึ้นบ้านไปพักผ่อนกันดีกว่านะ เขนเหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้ว” ร่างสูงคลายอ้อมกอด และเกลี่ยลูกผมน้อย ๆ ที่ตกลงมาระบดบังรอยยิ้มอ่อนหวานละมุน ก่อนจะถูกมือบางจะรั้งให้ก้าวติดเดินตาม

“เดี๋ยวรุ่งจ๋า...” มือใหญ่ที่รั้งไว้ ก่อนคนตัวโตจะก้มลงเก็บดอกไม้ขาวดอกน้อยสองสามดอกขึ้นมาอีกครั้ง

“จะไปวางไว้ที่โต๊ะหัวนอนหอมเย็นชื่นใจดีนะ”

“ครับ... ที่รัก” สองมือสอดประสานมั่นคงและรอยยิ้มแห่งความสุขที่ส่งผ่านถึงกัน

‘บ้าน’ หลังเล็กหลังเดิม...

ที่เคยเป็น ‘บ้านของเรา’ และคงเป็น ‘บ้านของเรา’ เสมอ...

ขอเพียงแค่... ‘มีเราทั้งสองคน’ ตราบลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

 

การเดินทางด้วยรถไฟแล้วต่อด้วยรถตู้ที่เช่ามากินเวลานานพอสมควรหากคุ้มค่าเมื่อเป็นความปรารถนาของยอดดวงใจ ‘งานวันเด็ก’ อีกปีที่ได้หวนกลับย้อนคืนมาที่จังหวัดเชียงรายอีกครั้ง แม้ของขวัญของฝากของเด็ก ๆ ที่สรรหาด้วยน้ำพักน้ำแรงของคนสองคน และเพื่อนฝูงญาติมิตรจะไม่ได้มากมายเทียมเท่าครั้งที่แล้ว หากเมื่อความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม ‘WISH LIST’ ครั้งนี้ก็เดินทางมาจนถึงจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ

รถตู้สามคันที่ขับตามกันมาในความมืดมาถึงที่หมายในยามดึกเหมือนดังเช่นครั้งที่แล้วหากครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเราสองคนและน้องชายเท่านั้น ‘เพื่อนบ้าน’ ที่จะย้ายเข้ามาอยู่ใหม่อาสาติดตามมาด้วยในการเดินทางช่วยทำให้การลำเลียงของ และตั้งเต็นท์ที่พักเป็นไปด้วยความเรียบร้อยรวดเร็ว

“แยกย้ายเข้านอนได้แล้ว” เสียงใสพี่ชายคนใหม่ของเด็ก ๆ กล่าวกำชับเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู หากใบหน้าซุกซนของแก๊งตัวป่วนที่ทำท่าจะดื้อก่อกองไฟ เล่นกีตาร์ร้องเพลงกันต่อกลับสลดวูบลงด้วยไอเย็นจัดของใครบางคนที่เดินกลับมาจากห้องน้ำพร้อมบอดี้การ์ดส่วนตัว ได้กวาดตาเรียวคมตวัดมองพร้อมกระจายกระแสกดดันบางอย่างไปทั่วบริเวณ ก่อนที่จะเดินนำมานอนก่อนอย่างว่าง่าย

“ราตรีสวัสดิ์ไอซ์” รุ่งทักด้วยอารมณ์ดีดุจเดิม

“ครับ” ก่อนสีหน้านิ่งเรียบเฉยเมยจะคลี่ยิ้มตอบทำให้เบาใจ และทำให้รู้ว่าผมสองคนอยู่นอกเหนือสถานการณ์การบังคับควบคุมดังกล่าว

“หลับฝันดีนะครับพี่รุ่ง พี่เขน” พร้อมกับอดที่จะมองส่วนผสมของความแตกต่างที่ลงตัวของคนคู่นี้ด้วยความประหลาดใจ

“ขอบใจมาก ” ผมตอบแทนคนข้าง ๆ ที่ยังคงยืนอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะยืนส่งเด็กทั้งหมดที่แทบจะเดินเรียงแถวมาทักทาย และแยกย้ายกันเข้านอน

เต็นท์ที่นอนเต็นท์ใหญ่ที่ถูกกระแสลมหนาวแรงจัดพัดไหวเป็นพลิ้วเป็นระลอกน้อย ๆ สำหรับสามคนนอนบัดนี้เหลือเพียงร่างสองร่างที่นอนกอดเกี่ยวแลกไออุ่น เมื่อน้องชายคนเดิมของรุ่ง ตีรถกลับไปนอนที่ตัวเมืองเชียงรายเพื่อรอรับน้องสาวของผม

“พรุ่งนี้ พรุ่งนี้นะเขน” เสียงกระซิบเบา ๆ ของคนในอ้อมกอดที่ทำให้ยกยิ้ม

“ครับพรุ่งนี้ รุ่งปลุกเขนด้วยนะ เราไปด้วยกันนะ” ผมกระซิบตอบรับข้างหู ก่อนกระชับอ้อมกอด และกดจูบลงบางเบาส่งคนรักเดินทางสู่ห้วงนิทรา

 

‘เจ้าแสงจันทร์ และดวงเดือน’

บนท้องฟ้ากว้างสีน้ำเงินเข้มสดใสที่แต่งแต้มไปด้วยกลุ่มเมฆน้อย และดวงดาวเล็ก โอบกอดรอบล้อมไปด้วยสายหมอกสีขาวเยือกเย็นเจือจางปกคลุมทิวเขาเขียวชอุ่มสูงชันดังท้องทะเลไหวเคลื่อนเอื่อยช้า

สายลมที่พัดผ่านพื้นแผ่นดินและฝืนฟ้าตามกระแสของฤดูกาลผ่านวันและเวลา นำพาละอองไอของความรักความผูกพันเหนือกาลเวลาหวนคืน สองร่างที่เกาะเกี่ยวกกกอดในอ้อมแขนของกันและกันแบ่งปันความอบอุ่นคงมั่นและภักดี

‘แสงแรก’ ของวันใหม่เรืองรองทอดทอประกายสีส้มอมชมพูจางจับต้องรอยยิ้มแสนหวานของใบหน้างดงาม

“คืนค่ำพรุ่งนี้เราจะพบกัน” เสียงใสบอกลาจันทร์เจ้ายอดดวงใจ

“แน่นอนเราต้องพบกัน” สัจวาจาประกาศแหบห้าวเน้นย้ำความคงมั่น

เส้นทางแห่งชีวิตขนานคู่ที่เฝ้ารอคอย... กันและกันสิ้นสุดลง

ณ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง... ตราบจนสิ้นลมหายใจ

 

การเดินทางอีกครั้งและอีกครั้งจะหมุนเวียนผ่าน

 

หากสิ่งที่หัวใจ ‘รู้’

‘พรุ่งนี้เราจะพบกัน... แน่นอน’

 

ของบางอย่าง...... คนบางคน.........

 

เกิดมา

 

เพื่อ........คู่กัน

เพื่อ..........เติมเต็มกัน

เพื่อ...........เป็นของกันและกัน

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

 

แม้ฝันดีหรือฝันร้ายจะผ่านเข้ามา

สักวันมันจะผ่านพ้นไป

 

เพราะความจริง ข้างในหัวใจของเราทั้งสองคน

เรา ‘รู้’ ..............ว่ามันจะเป็นความจริงอย่างนั้นเสมอ





#JKLTHESERIES


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
«ตอบ #169 เมื่อ27-03-2018 15:07:59 »

ฉันเสียน้ำตาไปมากมายเท่าไรคุณรู้บ้างไหม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
« ตอบ #169 เมื่อ: 27-03-2018 15:07:59 »





ออฟไลน์ andaseen

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 742
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-1
Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
«ตอบ #170 เมื่อ27-03-2018 15:57:25 »

ประทับใจ อิ่่มเอม ซึ้งใจ น้ำตาร่วง กับความรักของเขนกับรุ่ง ชอบเรื่องนี้มากกกกก :pig4:

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
«ตอบ #171 เมื่อ27-03-2018 20:42:38 »

 :กอด1:ชอบเรื่องนี้มากค่ะ

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
«ตอบ #172 เมื่อ28-03-2018 01:47:15 »

ก่อนอื่น ...
ขอชื่นชมในความสม่ำเสมอของการลงเนื้อหานะคะ
ตื่นมาก็ได้เจอทุกเช้า แต่ก็ตัดใจไม่อ่านจนกระทั่งเห็น END

วันนี้เลยคลิกกลับมาอ่านต่อ .. จนจบแล้วค่ะ
(และคำสะกดผิดก็มีบ้างประปรายนะคะ)

สำหรับเนื้อหาหลังจากที่หยุดอ่านไปในช่วงกลาง ๆ เรื่อง
ก็อย่างที่บอกไว้ค่ะ ว่าภาษาก็ยังสวยงาม แต่ ..
ภาษา...ก็ทำให้อารมณ์ครึ่งหลัง ยังย้วย ๆ ยาน ๆ เช่นเดิม

เหมือนย่ำ ๆ อยู่ที่ ย้ำกับอารมณ์เดิม ๆ มากเกินไป

ถ้ามีการลด ละ และหรือ ตัด 'คำ' ลงหน่อย
แล้วกระชับเนื้อหาให้แน่นขึ้นอีกนิด

จะครบ 'ความ' ที่นำสื่อแบบกระชากใจกว่านี้เยอะเลยค่ะ

สุดท้าย "ขอบคุณนะคะ" ที่ลงจนจบ
และจะรออ่านเรื่องต่อไปค่ะ







ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
«ตอบ #173 เมื่อ08-09-2018 16:11:40 »

กว่าจะอ่านจบเรื่องนี่ ร้องไห้จนตาบวมเลยค่ะ 555 มันเป็นความรู้สึกหวานๆ ละมุนละไม ผสมกับความหน่วงๆไปตลอดเรื่องเลย ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
«ตอบ #174 เมื่อ10-09-2018 17:45:03 »

 :pig4:  :pig4: :3123: :3123:

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
«ตอบ #175 เมื่อ25-11-2018 17:48:01 »

ตามมาจากเรื่องรักเธอคนเดียว

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
«ตอบ #176 เมื่อ07-04-2019 20:53:59 »

พีคมากจริงๆ ค่ะ ภาษาดีมาก เนื้อหาเยี่ยมมาก
อ่านแล้วอินมาก จุกอก น้ำตาไหลเลยค่ะ
วิธีการเขียน เชื่อมโยง ได้หมดเลย ดีจริงๆ

ลงตัวสักทีนะคะ ตามหากันมานาน
ความพยายามและการรอคอยที่สิ้นสุด
ความรักที่ไม่ลบเลือน ไม่ลืมเลือน
รักและอยู่ด้วยกัน ให้สมกับที่รอคอย
ไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหน ถึงจะจดจำไม่ได้
แต่ในใจและภาพจำไม่เคยจาง

ขอบคุณมากนะคะ สำหรับนิยายที่ดีมาก
จนถึงตอนนี้ยังอิ่มเอม และเจ็บในอกไปพร้อมกัน


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด