:hao6:Chapter XXX: Secret
สายลมเย็นสดชื่นพัดโบกโบยโชยเอื่อยจากทุ่งนากว้างสีเหลืองทองที่ปลิวไสวดังคลื่นมหรรณพสาดซัดเข้าหาแผ่นพื้นปฐพีผ่านเฉลียงที่บัดนี้ไร้ร้างว่างเปล่าปราศจากเครื่องเรือนใด ๆ ตรงเข้าหน้าต่างบานกว้างเข้าสู่บ้านไม้หลังเดิม เตียงกว้างกลางห้องที่บัดนี้มีเพียงร่างโปร่งบางนอนทอดกายนอนซุกซบอยู่ท่ามกลางกองหมอนนุ่มและผ้าห่มอุ่น ใบหน้าหวานล้ำชวนให้หลงใหลยวนเย้าใจทำให้อดใจที่จะกดจูบจุมพิตลงที่เรือนผมนุ่มไม่ได้
“ตื่นได้แล้วครับที่รัก”
“อืม... เขน” เสียงครางบางแผ่วก่อนจะพลิกหน้าหันหนีพร้อมเสียงลมหายใจยาวที่ดังสม่ำเสมอต่อเนื่องทำให้อดนึกสงสารคนที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางไกลไม่ได้
ปกติการเดินทางที่ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษโดยเครื่องบิน หากเมื่อเปลี่ยนมาเป็นรถไฟถึงแม้จะเป็นตู้นอนก็ตามให้อย่างไรก็ยังคงเพลียมากกว่า เพราะใช้ระยะเวลาในการเดินทางยาวนานที่ใช้กว่าครึ่งวัน
‘ก็รุ่งอยากขึ้นรถไฟนี่นา’ ถ้อยคำน้อยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เพียงเพราะว่าตลอดมาตัวเองเป็นผู้เพียรตามใจและทำทุกอย่างสร้างทุกทางเพื่อให้คนรักมีความสุข และปฏิญาณในหัวใจไว้แล้วว่าจะทำเช่นนี้ตลอดไป
“รุ่งจ๋า... ไหนใครว่าจะไปตลาดเช้าครับ” เสียงกระซิบข้างหูเบา ๆ ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ทอดทิ้งเวลาให้งีบต่อสักพัก
ด้วยระยะเวลาที่ได้เรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกัน ทำให้ผมรู้ถึงจุดอ่อนที่จะปลุกเร้าความปรารถนาของผู้ชายคนนี้ ใบหน้าหวานที่หันกลับมาพร้อมดวงตาเล็กที่เปิดขึ้นมองนิ่งประมวลผล ก่อนจะเปล่งเสียงที่ยังติดแหบพร่าเล็กน้อย
“ทำไม... ตื่นเช้าจังอะ เขน” คำถามแรกของคนฉลาด ที่สะท้อนในใจ...
ผมจะปกปิด ‘ความลับ’ นี้ได้นานสักเท่าไร
“เช้า ๆ อากาศดีตื่นนะคะ ไปตลาดเช้าหาอะไรทานกันนะ” คำตอบที่ไม่ตรงคำถามจึงเพียรเอ่ยเกลื่อนกลบ
“อืม... กอดหน่อย” เสียงครางต่ำจากลำคอ ก่อนที่คนงัวเงียจะโผเข้าหาอ้อมอกอุ่นทำให้อดจะยิ้มกว้างไม่ได้
“ไม่อยากไปทำงานเลย” คนขยันยังคงเอ่ยงึมงำ มาตรการเบี่ยงเบนความสนใจล่อหลอกเด็กน้อยไปทำงานจึงเริ่มขึ้น
“เราไปตลาดเช้า หาอะไรอร่อย ๆ ทานกันนะคะ”
ปาท่องโก๋ตัวโต น้ำเต้าหู้และขนมหลายหลากชนิดถูกวางอัดแน่นคู่กับสัมภาระหลังรถ หากแต่อาหารที่ส่งกลิ่นหอมร้ายกาจเช้านี้คงจะเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งที่คนที่นั่งเคียงข้างกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ดอกไม้เขนเลยเป็นหมันเลย” ผมมองเจ้าลิลลี่สีขา วและริบบิ้นสีแดงที่ถูกวางทิ้งเอาไว้หน้าคอนโซลรถ
“กองทัพต้องเดินด้วยท้องไงอะเขน อิ่มกายกับอิ่มใจไม่เหมือนกันหรอก”
“จ้า... ยอมแพ้แล้วจ้า แฟนใครน้า... น่ารักที่สุด”
“เฮอ... อย่าเลย อย่าคิดว่ารุ่งไม่เห็นนะ” ดวงตาเล็กที่ตวัดคมดังแม่เสือจิกมาทำให้เสียวสันหลังแปล กๆ หากทำให้เสียงหัวเราะใสประสานก้อง
ไม่มีอะไรหรอกครับ
เอาเป็นว่าเช้านี้เรทติ้งความนิยมชมชอบที่เคยพุ่งสูงในหมู่แม่ค้าสาว ๆ ในตลาดเช้าที่สร้างสมมากว่าครึ่งปีของผมตกลงยิ่งกว่าราคาหุ้นที่ถูกทุบเสียอีก เพราะรอยยิ้มแสนหวานกับดวงตาใสที่เบิกกว้างเพียงรอยยิ้มเดียวที่สะกดให้ผมอดใจไม่ไหวที่จะแสดงความเป็นเจ้าของโอบกอดคนที่เดินเคียงคู่
“เจ๊ที่ร้านดอกไม้บอกเลยว่าเป็น ‘วันอกหักแห่งลำปาง’ เลยนะวันนี้”
“ระวังให้ดี อย่าให้รู้เชียว...”
“จ้า... กลัวแล้วจ้า” ผมรีบตอบ ก่อนลิ้มรสข้าวเหนียวหมูปิ้งรสกลมกล่อมจากมือบางที่ป้อนเข้าปากอย่างรวดเร็ว
ก็เรื่องอะไรจะยอมแลก...
ดอกไม้หลากสีริมทางหรือจะเทียมเทียบ... ดอกลิลลี่ขาวแสนหอมอ่อนหวาน
‘ดอกไม้แห่งความรัก’ ยอดดวงใจเพียงดอกเดียว
ปัญหาต่าง ๆ ในโครงการใหญ่ค่อย ๆ ถูกสะสางจากทีมงานมืออาชีพ และเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ที่เข้ามารับไม้ต่อ เวลาเพียงหกเดือนเศษที่ทำให้แผนการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือใกล้ลุล่วง ทีมงานฝ่ายบริหารที่เข้ามาตรวจสอบงานทุกคนจึงมีสีหน้าและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“เป็นอย่างไงบ้างรุ่ง” เจ้านายหันมาถามผู้ช่วยที่ยังคงก้มหน้าขะมักเขม้นดูผังขยายเทียบกับโครงสร้างจริง
“เทียบกับแผนแล้วภาพรวมออกมาค่อนข้างดี ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรครับ” ผมแอบอมยิ้ม เพราะบอกไปใครจะเชื่อว่าเด็กชายขี้เกียจจอมงอแงที่อ้อนไม่อยากมาทำงานในตอนเช้าจะเป็นคนคนเดียวกับผู้ชายจริงจังคนนี้
“โอเค งั้นเที่ยงแล้วไปพักเถอะ บ่ายค่อยมาเดินดูต่อ” เมื่อนายบอกทีมงานจึงเริ่มแยกย้ายสลายตัว
“เอ่อ... คุณอาร์ทครับ เดี๋ยวผมกับเฟรมขอไปคุยรายละเอียดกับโรงหนังชั้นบนต่ออีกนิดนะครับ”
“มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ” เจ้าเด็กแสบเริ่มกระสับกระส่ายหากมืออาชีพตอบรวดเร็ว
“เปล่าครับแค่อยากคุยเพิ่มเติมเรื่องแบบนิดหน่อย”
“แล้วไม่ออกไปทานข้าวด้วยกันหรือ”
“พอดีผมมีนัดกับเพื่อนไว้ เดี๋ยวคุยงานเสร็จค่อยออกไปทีเดียว”
“อืม ตามใจแล้วกัน” เมื่อนายออกเดินไป ผมจึงแซว
“ยังไม่ได้เคลียร์อีกเหรอเฟรม” ปัญหาเก่า ๆ กับลูกค้ารายใหญ่ที่เจ้าเด็กแสบดองไว้
“เขนอย่าแกล้งน้อง หิวข้าวก็ไปกินก่อนเลย” และพี่ชายก็ปกป้อง
“ไม่อะ เขนจะรอรุ่ง”
“เสียใจด้วย มีนัดแล้ว” เจ้าเด็กแสบตอบพร้อมยิ้มกริ่ม
“อ้าว...” ผมคิดว่าข้ออ้างไม่อยากไปกินข้าวกับเจ้านายซะอีก
“มีนัดจริง ๆ เดี๋ยวคุยกับโรงหนังเสร็จจะเลยไปกับเฟรมเลย แล้วบ่ายเจอกัน”
“แล้วทำไมเฟรมไปได้ล่ะ” รอยยิ้มหวานแทนคำตอบก่อนเดินผ่านเลยไป ไม่แสบเท่าไอ้เด็กน้อยที่มาตบบ่าพร้อมพยักหน้าให้อย่างเข้าใจ และเดินตามพี่ชายไป
“ไอ้แสบ...”
“ยังไม่หายงอนอีกเหรอเขน” ผมอดทักไม่ได้เมื่อเสียงคนขับที่ปกติช่างพูดช่างคุยเงียบกริบมาตลอดทาง
“....................................” หากพ่อเหมียวยังคงนิ่งสนิท
“งอนจริง ๆ เหรอ...” แม้จะตีหน้าเศร้าหากก็ทำให้อดยิ้มในใจไม่ได้ ไม้เด็ดจึงถูกงัดมาใช้อย่างรวดเร็ว ศีรษะค่อยทิ้งลงซบไหล่ก่อนที่จะเอ่ย... กระซิบเบาๆ
“รุ่งอยู่อีกไม่กี่วันก็จะกลับแล้วนะ คนที่บอกว่า... คิดถึงกันเขาทำกันแบบนี้เหรอเขน”
“รุ่ง.....”
“งอนอะไรครับ รุ่งขอโทษ รุ่งทำอะไรให้เขนโกรธเหรอ” ใครว่า... ไม่ซีกจะงัดไม้ซุงไม่ได้
ไม่ว่าอะไรที่ว่าแกร่ง... มักมีจุดที่อ่อนไหวที่สุดเสมอ
ในกรณีนี้คือ... หัวใจ
“...ก...ก็ เขนไม่ได้โกรธรุ่งสักหน่อย เขนแค่... น้อยใจ”
“น้อยใจอะไรครับ เรื่องเมื่อกลางวันเหรอ” จำเลยปากแข็งเมื่อถูกต้อนถูกทางก็พยักหน้ารับ
“ไม่มีอะไรหรอก เขนไม่เชื่อรุ่งเหรอ”
“แล้วทำไมต้องเป็นแพรวา!” คนหลุดสะดุดถามทันทีที่เผยความกังวล
“นี่เขนแอบตามไปใช่ไหม น่าตีจริง ๆ”
“ก...ก็...”
“เคยรู้อะไรบ้างไหมเขน...”
“......................” แม้ไม่มีเสียงตอบ หากหน้าคมที่ส่ายไหวน้อย ๆ ทำให้รู้... พ่อคนใสซื่อบริสุทธิ์ ถ้าผมบอก ‘ความลับ’ เขาคงช็อคแน่ หากแต่แววตาเศร้าหม่นน่าสงสารก็ทำให้อดเฉลยไม่ได้...
“เขนไม่รู้เหรอว่าน้องแพรเขาขายพื้นที่โปรเจคเชียงใหม่”
“รู้... แต่เขาก็ไม่ค่อยมาเชียงใหม่ถ้ารุ่งไม่มา” ประโยคทำให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมที่คิ้วขมวดผูกโบ
“เขนแน่ใจเหรอ...ว่าแพรว่าไม่มาเวลาที่รุ่งไม่มา เขนไม่สงสัยเหรอว่าทำไมเฟรมถึงยอมนอนโรงแรมที่เชียงใหม่คนเดียว ไม่ยอมมาอยู่กับเขนที่ลำปาง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยชอบอยู่โรงแรมเลย เดาได้หรือยัง?”
“ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเฟรมเลย”
“ไม่เกี่ยวกับเฟรม... เขนมองว่าเป็นเรื่องของรุ่งกับแพรวางั้นเหรอ” ผมถามออกไปพร้อมรอยยิ้มที่กลั้นต่อไปไม่ไหว
“ก..ก็... ไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าบอกว่าไม่ใช่ จะเชื่อไหม”
“เขนเชื่อรุ่ง แต่เขนไม่เชื่อแพรวา... แล้วถ้าไม่ใช่รุ่งกับแพรวาแล้ว...” คนขับรถทางไกลเพิ่งสะดุดความคิด ก่อนชิดข้างทางและหยุดรถอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกโต และหันมามอง
“คิดออกหรือยังว่าทำไมน้องไม่มาอยู่กับเขน...”
“เฟรมกับแพรวา?”
“นานแล้วเขน... ตั้งแต่รุ่งกลับมาจากจีนเลยละมั้ง”
“งั้นก็ตั้งแต่...”
“ตั้งแต่?” ใบหน้าคมเข้มแต่งแต้มสีเลือดฝาดระเรื่อและละล่ำละลักตอบกระซิบ
“ตั้งแต่... ที่เขนเริ่มสงสัย”
“สงสัยรุ่งกับแพรวา?”
“..............................” สายตาที่เสหลบทำให้อดไม่ไหว
“คิดมากคนเดียวอีกแล้วเขน รุ่งบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ถามอะ”
“ก็เขน...”
“เปลี่ยนกันบ้างคราวนี้รุ่งจะงอนบ้างแล้ว”
“โอ๋..... รุ่งยกโทษให้เขนนะ เขนผิดไปแล้ว”
“นี่...ใจแข็งนะจะบอกให้”
“นะ นะคะ”
“ไม่รู้ไม่ชี้” หากแต่ถ้าผมรู้วิธีการว่าจะง้อเขาอย่างไร มีหรือที่เขาจะไม่รู้วิธีสยบหัวใจของผมเอาไว้ที่เขาเพียงคนเดียว... ร่างบางถูกดึงปลิดปลิวโดยง่ายกระทบอกแกร่งชั่ววินาที รสจูบที่แนบชิดนวลเนียนเรียกร้องสัมผัสที่หวนหาลึกซึ้ง ถ้อยคำกระซิบพร่าปลอบโยนพลอดพร่ำพรรณนาภาษารักที่หวานยิ่ง ความซื่อสัตย์คงมั่นที่ทอดถ่ายผันผ่านจากร่างสู่ร่างที่ตราตรึง ก่อนที่เสียงหัวเราะเล็ก ๆ และเสียงกระซิบคุยกันเบา ๆ ของสองร่างที่ยังคงซุกซบกอดเกี่ยวจะใช้เบาะในรถเพียงตัวเดียวตลอดเส้นทางการเดินทางทอดยาวอีกครั้ง
แสงไฟสีเหลืองนวลอ่อนสาดส่องทั่วลานกว้าง ซุ้มประตูโค้งบวกผสมรวมกับลวดลายไม้ฉลุริมเฉลียงและทรงหลังคาแบบล้านนาส่งให้สถาปัตยกรรมโดดเด่นงามสง่า ‘สถานีรถไฟนครลำปาง’ ที่ตั้งตระหง่านคงมั่น หากตรงข้ามกับความรู้สึกภายในหัวใจที่เปราะบาง ส่งให้สองมือที่ยังคงประสานแน่นเกาะกุมส่งแรงใจตลอดระยะเวลาชั่วไม่กี่อึดใจที่ยังคงเหลือ... ความสุขชั่วพริบตาผันผ่านอย่างรวดเร็ว แม้ระยะทางจะไม่ได้ทำให้ความรู้สึกในดวงใจผันแปร หากแต่ก็ทำให้ความคิดถึงกัดกร่อนลึกซึ้ง
“เขนกลับก่อนก็ได้ ดึกแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปทำงานสาย”
“รุ่งไม่กลับไม่ได้เหรอ” เสียงกระซิบเบาแตกพร่าแผ่วเบาดังขึ้นจากชายหนุ่มที่นั่งเคียงข้างกันที่ม้านั่งไม้สีน้ำตาลหนาที่ดัดแปลงจากไม้หมอนรองรางรถไฟ
“พ่อเหมียวอย่างอแงนะ เหมียวกับลูกเหมียวรอรุ่งอยู่บ้าน ฝากน้อง ๆ ร้านขนมหวานข้างล่างไว้หลายวันแล้ว... เกรงใจเขา”
“งั้นเขนกลับบ้านเราด้วยได้ไหม” ร่างสูงทอดเสียงออดอ้อนงอแงพร้อมสายตาที่ร้องขอวิงวอน ทำให้หัวใจเกือบมลายหายสิ้น
“อีกแป๊บเดียวนะเขน เดี๋ยวศูนย์เปิดเขนก็ได้กลับบ้านแล้ว”
“เขนอยากกลับบ้านกับรุ่ง” แรงบีบเบาที่มือบางส่งสารความใจในที่เปี่ยมล้น
“เดี๋ยวรุ่งก็มาใหม่ เดี๋ยวรุ่งมารับแล้วครั้งหน้าเรากลับด้วยกันนะ”
“ครั้งหน้าเมื่อไหร่อะ”
“ไม่นานหรอกเขน” คำปลอบที่สะท้อนในใจ... จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่... จะต้องห่างไกลกันอีกนานแค่ไหน...แผนที่เคยคิดไว้ภายในใจนานเท่าไหร่ถึงจะเป็นจริง
“เขนจะรอ... จะรอ.......รุ่งคนเดียวเสมอ” หากคำ ‘คำเดิม’ ที่เวียนซ้ำมาปลุกปลอบให้กำลังใจกลับทำให้ความรู้สึก... เหมือนใจจะขาด
“รอแป๊บเดียวนะ”
“ใช่ครับ แป๊บเดียว...”
“ใกล้เวลาแล้ว เดี๋ยวรถไฟก็มาแล้วเขนกลับก่อนเถอะ” ผมพูดขึ้นเมื่อคนข้างสีหน้าซีดหม่นลงทุกที มือบางที่เกาะกุมถูกยกขึ้นคลี่ออกก่อนประทับรอยจุมพิต
“เขน... รอ... รุ่งนะ” หน้าคมที่ซีดจัดกับริมฝีปากเฉียบเย็นที่แตะลงช่างทรมานหัวใจ ร่างสูงลุกขึ้นยืนนิ่งเนิ่นนาน ก่อนตัดใจหันหลังและเดินจากไป
ทำไม... โชคชะตาฟ้าชอบเล่นตลก
ทำไม... เส้นทางแห่งชีวิตมักถูกฉีกพรากไม่ให้ใกล้กรายกัน
คำถามที่คั่งค้างในใจ กับคำตอบที่เคยคิดไว้จึงเริ่มปะติดปะต่อชัดเจน
ถ้าไม่... ต้องการ ‘พรากจาก’ ต้องทำอย่างไร...
ร่างสูงฝืนเดินโงนเงนด้วยอาการโรคเดิมเรื้อรังที่กลับมากำเริบถี่กระชั้นมากขึ้นทุกที ๆ หากน่าแปลกอาการดังกล่าวห่างหายไปนานเพียงคนรักกลับมาอยู่แนบชิด พร้อมทั้งกลับมาทันทีที่ดวงใจถูกพราก
‘คงเพราะลืมกินยาละมั้ง’
ความปวดที่ร้าวลึกในสมองทำให้ต้องความพยายามอย่างมากก่อนจะนำพาร่างมาถึงตัวรถก่อนซวนซบลงอยู่นาน...
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า... ถ้าไม่คิด
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า... ถ้าไม่อยากรู้
อาการนี้ก็จะไม่กลับมากำเริบ หากแต่ห้ามได้หรือ... ในเมื่อภาพของใครคนนั้นนับวันยิ่งชัดเจน... ‘ชายในชุดผ้าฝ้ายสีขาว’ คลับคล้ายละม้ายเหมือน
‘ความลับ’ ที่ปกปิด... มากว่าครึ่งปี เพียงเพราะความปรารถนาภายในใจที่ลึกซึ้ง มือสั่นด้วยร่างกายที่อดทนดิ้นรนฝืนเปิดประตูและใช้สติสุดท้ายนำพาร่างเข้าไปนั่ง ลมหายใจที่หอบกระชั้นเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายเย็นจัดเบาหวิว... ตาที่ลืมไม่ขึ้นหากแต่มือยังคงคลำควานหาขวดยาในที่เก็บของหน้ารถที่เปิดออก
ความพยายามสุดท้าย... เพียงเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงปรารถนา...
ไม่ว่าจะใคร่รู้ และพันผูกกับ ‘ผู้ชายในความทรงจำ’ คนนั้นเพียงใด
หากยังคงมอบชีวิตทั้งชีวิตและทุกลมหายใจให้ ‘ผู้เดียว’
ยาขมที่ถูกกลืนโดยปราศจากน้ำ
ภาพที่ทับซ้อนในความมืดมิดที่หนาวเย็น รอยยิ้มที่แสนอ่อนหวาน...
‘พี่ชายครับ...’
หากแต่... เสียงสะอื้นร่ำร้องเพรียกจากที่ห่างไกลฉุดรั้งให้หันหา...
“เขน!!! เขนเป็นอะไรทำไมไม่บอกรุ่ง อย่าทำอย่างนี้ อย่าทำอย่างนี้นะ”
“เขน..... เขน......” ดวงตาที่ถูกฝืนให้ลืมขึ้นรับภาพสุดท้าย และใช้เรี่ยวแรงพลังใจสุดท้ายยกมือขึ้นเกลี่ยซับน้ำตาที่ไหลริน
“อย่าร้อง... อย่าร้องไห้นะรุ่ง...” ก่อนที่ทุกอย่างจะหายลับไป...
#JKLTHESERIES