- 2 -“ขอประทานอภัย ข้าได้รับสาส์นแต่มิได้อยู่ในภาวะสนใจอันใด
จึงมิล่วงรู้สาเหตุ หากท่านไม่ยุ่งยากแล้ว รบกวนบอกมาเถิด” องค์หญิงศศิธรรู้สึกแปลกๆ
กับสายพระเนตรงดงาม แถมรอยแย้มสรวลจริงใจขององค์หญิงต่างแดนผู้นี้
พระองค์ไม่อยากคิดอันใด แม้นสายพระเนตรและพระสรวลที่มอบให้จักเป็นมิตร
คลับคล้ายทอดผ่านความรู้สึกเสน่หามาให้ด้วยเช่นกัน พานให้รู้สึกแปลกพระทัยอย่างอธิบายไม่ถูก
“ข้ามาเพื่อจักทำหน้าที่ฟื้นฟูบ่อน้ำในตำหนัก เจ้ามีปัญหาอันใดหรือไม่ หากไม่ลำบากเจ้ามากนัก
รบกวนนำพาข้าไปยังบ่อน้ำได้หรือไม่น้องหญิง” องค์หญิงชลธารรับ สั่งชี้แจงจุดประสงค์ในทันที
“ข้าเข้าใจแล้ว เยี่ยงนั้นท่านพึงกระทำเถิด แต่ข้าคงมิสามารถรับเกียรตินำพาท่านไปยังบ่อน้ำดอก
การนี้คงต้องให้ลำพึงผู้รับใช้ใกล้ชิดของข้าเป็นผู้ต้อนรับท่านเสียแล้ว”
องค์หญิงศศิธรปฏิเสธอย่างไม่ให้น่าเกลียด โดยไม่ขัดประสงค์ของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่รับคำเชิญด้วยเช่นกัน
“โอ้! ข้าคงคาดหวังมากไปกระมัง คิดว่าเจ้าจักเป็นผู้นำพาข้าไปด้วยตนเอง นอกจากการนี้แล้ว
ข้ายังมีหนทางแก้ไขปัญหาที่ทำเจ้าทุกข์ใจ ใคร่ปรึกษาเป็นการส่วนตัว หากเจ้าไม่สนใจย่อมไม่เป็นไร
เช่นนั้นให้ผู้รับใช้เจ้านำพาข้าไปเสียเถิด” องค์หญิงชลธารอ่อยเหยื่อให้ปลากินเบ็ด
นับว่าได้ผลทีเดียว ดวงเนตรงามไหววูบ..ก่อนจะเปลี่ยนพระทัยในทันที
“ท่านกล่าวเยี่ยงนี้แล้ว เห็นทีข้าคงต้องรักษามารยาท เชิญท่านตามมาเถิด..ส่วนพวกเจ้ามิต้องตามมาหรอก
ห้ามมิให้ผู้ใดย่างกรายเข้ามาในบริเวณบ่อน้ำของเราเป็นอันขาด” องค์หญิงศศิธรใช้พระสุรเสียงหวานละมุนเป็นครั้งแรก
ค่อยรับสั่งกำชับนางกำนัลส่วนพระองค์ตามหลัง
แล้วหันวรกายนำเสด็จองค์หญิงชลธาร ให้ย่างพระบาทตามเข้าสู่เขตของบ่อน้ำในตำหนัก
องค์หญิงต่างแดนกลับแย้มสรวล โดยเจ้าของตำหนักที่ดำเนินนำ หาได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นี้ไม่
ในพระทัยกลับรุ่มร้อน ใคร่รู้เรื่องที่อีกฝ่ายยกอ้าง จักปรึกษาปัญหาซึ่งพระองค์ทุกข์ตรมขณะนี้...
“เบื้องหน้าท่านคือบ่อน้ำตำหนัก ไม่มีน้ำมาหลายปีแล้ว เป็นเพียงบ่อว่างเปล่า
ยังดีที่ข้าสามารถอาบน้ำได้ กระนั้นก็ต้องให้นางกำนัลไปตักยังตำหนักพระมเหสีมาให้
หากท่านสามารถฟื้นฟูให้บ่อกลับมามีน้ำดังเก่า คงสะดวกแก่ข้ามากทีเดียว”
องค์หญิงศศิธรวางพระพักตร์เฉยชา ทรงเก็บความต้องการในเรื่องที่อีกฝ่าย
นำมาสร้างความสนพระทัยไว้อย่างมิดชิด พระองค์รับสั่งเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับภารกิจ
ที่องค์หญิงต่างแดนทรงอาสาจักนำความสมบูรณ์..ฟื้นฟูบ่อน้ำในตำหนักมาดำรัสเท่านั้น
สร้างความขบขันพระทัยให้องค์หญิงชลธารไม่น้อย ที่ได้เห็นการวางองค์เชิดหยิ่ง
ทรงเนียนไม่กล่าวถึงเรื่องที่พระองค์นำมาเป็นสิ่งดึงดูด
ถือว่าองค์หญิงผู้นี้ทำให้พระองค์หรรษาพระอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง จนนึกแผนการทดสอบบางอย่าง
ด้วยความแยบยลนัก ประหนึ่งพระองค์เป็นราชสีห์กำลังหลอกล่อกวางสาวผู้งดงาม เนื้อหวานโอชาตรงหน้าแล้ว
“ก่อนที่ข้าจักเรียกเทพมหาธาตุวารี ฟื้นฟูบ่อน้ำให้เจ้าไว้ใช้ ข้ามีเรื่องขอความร่วมมือเจ้าแล้ว
เรื่องนี้สำคัญยิ่งต้องเป็นความลับ เจ้ารับปากข้าได้หรือไม่” องค์หญิงผู้ผ่านประสบการณ์ช่ำชองมามากกว่า
ทรงเริ่มเดินแผนการที่หมายมั่นในพระทัย
“เรื่องอันใดกัน ใยข้าต้องให้ความร่วมมือกับท่าน ทำเยี่ยงนี้แล้วข้าจักได้ประโยชน์อันใดตอบแทน
เมื่อไม่มีรายละเอียดข้ามิสามารถรับคำ” องค์หญิงศศิธรกลับดำรัสอย่างชาญฉลาด
หาได้แสดงถึงความอ่อนเดียงสาอันใด แต่ในสายพระเนตรของผู้ล่า
กลับสร้างความขบขันให้พระองค์ชมความบันเทิงไม่หยุดหย่อน
แค่อีกฝ่ายตรัสถามเหมือนออกตัว แสดงให้เห็นว่าตะครุบเหยื่อ..ที่พระองค์ทรงดักล่อเข้าไปเต็มๆ
“ใยกล่าวเยี่ยงนี้เล่า หากเจ้าไม่ได้ประโยชน์มีหรือข้าจักยื่นเงื่อนไข ข้ากำชับว่าเป็นความลับย่อมสำคัญยิ่ง
เจ้าไม่สามารถแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้โดยเด็ดขาด แม้แต่พระปิตุลาพระบิดาของเจ้าก็มิอาจให้ล่วงรู้”
องค์หญิงชลธารยังคงเดินแผนการอย่างต่อเนื่อง
“ท่านลองบอกมาฟังดู หากข้าเห็นว่ามีประโยชน์ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะแพร่งพรายผู้ใด
รวมถึงเสด็จพ่อของข้าก็ด้วย ถ้าหากเรื่องราวมีความจำเป็นต้องปิดบัง ข้าย่อมเข้าใจในข้อนี้”
พระองค์กลับไม่อาจทนรอเนื้อหาสาระต่อไปได้ ทรงเป็นฝ่ายเร่งเร้าขึ้นเสียเอง
“ข้ารู้ว่าเจ้าเสียใจต่อการถูกถอนหมั้น จากองค์ชายวายุภักษ์ใช่หรือไม่ ข้าเองไม่ได้รู้สึกดีใจในเรื่องนี้”
องค์หญิงชลธารเริ่มเปิดปม
“เหตุอันใดท่านไม่ดีใจกับงานอภิเษกของอนุชาท่านเล่า เป็นเรื่องที่ข้าหาน้ำหนักให้เชื่อได้ยากยิ่ง
ท่านกำลังหลอกลวงข้ากระมัง” องค์หญิงศศิธรตรัสท้วงติง โดยไม่ปิดบังพระอาการแม้แต่น้อย
“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่มีน้องชาย จึงไม่รู้หัวอกผู้เป็นพี่จักยินดีได้เยี่ยงไรกัน
หากน้องชายผู้เป็นทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ อภิเษกเป็นชายาของผู้อื่น
แม้นน้องชายข้าอภิเษกตบแต่งชายาข้าจักไม่รู้สึกกระไร เจ้าคงไม่ลืมกระมังว่า
น้องชายของข้ากำลังจักเป็นชายาองค์ชายวายุภักษ์ ว่าที่อดีตพระคู่หมั้นของเจ้า
ถ้าหากพวกเขารักใคร่กัน ข้ามิไร้ทายาทสืบราชบัลลังก์
แก้แค้นกอบกู้แผ่นดินให้เสด็จพ่อเสด็จแม่ผู้ล่วงลับเสียเล่า
เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องการขัดขวางความรักของพวกเขา
ย่อมมีวิธีไม่ยากเย็นอันใดหากเจ้ารับปากร่วมมือกับข้า เรื่องนี้เจ้าจักได้พระคู่หมั้นของเจ้าคืน
ส่วนข้าจักได้นำน้องชายกลับเวฬุวรรณนคร เพื่อวางแผนทวงคืนราชบัลลังก์ต่อไป”
องค์หญิงศศิธรพอรับฟัง ถึงกลับเข้าใจถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายชักชวนพระองค์ให้ร่วมมือด้วย
โดยกำชับให้เก็บเป็นความลับมิให้ผู้ใดล่วงรู้ เรื่องนี้คือการทำให้องค์ชายวายุภักษ์กับผักตบแตกคอกันนั่นเอง
ถือเป็นความผิดร้ายแรงมากทีเดียว หากมีผู้ใดล่วงรู้เข้า
“ท่านจักให้ข้าทำเยี่ยงไร” ความต้องการทวงคืนพระคู่หมั้น ย่อมมีมากกว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่เห็นแก่ตัว องค์หญิงก็เช่นกัน เมื่อมีช่องทางเป็นไปได้ พระองค์ไม่รีรอหรือลังเลที่จะกระทำ
“ข้าจักร่ายมนตรามหาเสน่ห์บนร่างเจ้า หากองค์ชายวายุภักษ์ได้สัมผัส
พระองค์จักหลงใหลในตัวเจ้า สลัดพระทัยจากน้องชายข้าขึ้นมาทันที เพียงแค่นี้เจ้าก็จักได้พระคู่หมั้นของเจ้าคืน
ส่วนข้าก็จักนำผักตบกลับเวฬุวรรณ เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจักมีเสี้ยนหนามทิ่มแทงใจอีกต่อไป
น้องชายข้าไม่ได้พำนักที่นี่ พระคู่หมั้นเจ้าย่อมเป็นของเจ้าไปตลอดกาล”
แผนการที่ฟังแล้ว สร้างความหวังให้องค์หญิงผู้ซึ่งจนหนทางทวงคืนพระคู่หมั้นไปแล้ว
ได้พบทางออกอีกครั้ง พระองค์ย่อมยินยอมร่วมมือด้วยแน่นอน
“เช่นนั้นข้าร่วมมือกับท่าน แล้วท่านจักร่ายมนตรามหาเสน่ห์ให้ข้าได้เมื่อไหร่
แผนการจักเริ่มได้ตอนไหน ก่อนหรือหลังงานพิธีอภิเษกสมรส
ข้าต้องการให้ขัดขวางพิธีอภิเษกสมรสจักทันการหรือไม่” องค์หญิงศศิธรกลับพระทัยร้อนไปแล้ว
หลังปักพระทัยเชื่อมั่นว่าองค์หญิงชลธารสามารถช่วยเหลือพระองค์
ให้ดำเนินแผนการทวงองค์ชายวายุภักษ์คืนได้สำเร็จ
“เรื่องระยะเพลาข้าไม่สามารถรับปากเจ้า ขึ้นอยู่กับเจ้าสามารถใกล้ชิดองค์ชายวายุภักษ์ได้หรือไม่
ก่อนที่เจ้าจักกระทำเยี่ยงนี้ต้องผ่านการเข้าพิธีลงมนตรามหาเสน่ห์ของข้า 7 ราตรี
ซึ่งพอดีกำหนดงานอภิเษก คงไม่ทันการขัดขวางแน่ ปัญหาคือกฎมณเฑียรบาล
ช่วงนี้องค์ชายวายุภักษ์..จักต้องไม่ปฏิสันถารยุ่งเกี่ยวกับอิสตรีเป็นการส่วนพระองค์
ข้าว่านี่คือปัญหาที่เจ้าคงมิสามารถเข้าใกล้พระองค์ได้ คงต้องรอผ่านพิธีอภิเษกเสียแล้ว
แต่เจ้าไม่ต้องกังวลอันใด ต่อให้พวกเขาเข้าพิธีอภิเษก สุดท้ายก็ต้องสลัดรักต่อกัน
รอพระราชโองการของเหนือหัวอนิละ แต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายาแทนน้องชายของข้า..ก็ไม่เสียหายกระไร”
การหว่านล้อมขององค์หญิงชลธารมีความน่าเชื่อถือ..แม้แต่องค์หญิงศศิธรยังไม่สามารถโต้แย้งได้
นับจากมีกำหนดวันงานอภิเษกขึ้น องค์ชายวายุภักษ์ก็มิให้อิสตรีใกล้ชิดเป็นการส่วนพระองค์
โดยเฉพาะการเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ยิ่งไม่สามารถกระทำเป็นอันขาด แม้แต่นางกำนัลรับใช้ก็เช่นกัน
เปลี่ยนเป็นมหาดเล็กซึ่งเป็นบุรุษทั้งหมด บัณเฑาะก์เองยังถูกสั่งห้าม พระองค์ทรงไม่แผ้วพานย่างใกล้อิสตรี
นอกจากพบพานโดยมีผู้อื่นร่วมปฏิสันถารพร้อมหน้า
ถือเป็นขนบธรรมเนียมปฏิบัติของไตรคาน ซึ่งสืบทอดมายาวนานเพื่อรักษาเกียรติพระชายา
ว่าจักทรงไม่นอกพระทัยนอกวรกายต่อผู้ที่จักร่วมเป็นคู่ชีวิต ของว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป เรื่องนี้ผู้คนย่อมทราบเช่นกัน
“เมื่อเป็นเยี่ยงนี้..ข้าจักรอให้ผ่านงานอภิเษกเสียก่อน
ระหว่างนี้ข้าต้องให้ท่านลงมนตรามหาเสน่ห์แก่ร่างกายข้า แล้วต้องกระทำเยี่ยงไรหรือ”
องค์หญิงตรัสถาม เมื่อรู้ถึงข้อกำหนดที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
หากรั้นไปขอเข้าเฝ้าองค์ชายวายุภักษ์ก่อนพิธีอภิเษก ก็คงไม่มีโอกาสที่จะอยู่กันตามลำพังดังที่ตั้งใจไว้
เมื่อไม่มีทางเลือกต้องรอเวลาตามที่องค์หญิงชลธารทรงชี้แนะ
“เจ้าเขินอายหรือไม่ หากต้องเปลื้องอาภรณ์ไม่เหลือสักชิ้น ให้ข้าลงมนตรามหาเสน่ห์ต่อร่างกายเจ้า
การลงมนตราจักต้องกระทำส่วนตัวระหว่างข้ากับเจ้าเท่านั้น
ข้ามิใช่บุรุษล้วนมิมีสิ่งใดที่เจ้าต้องเสียเกียรติหรือเสื่อมเสีย
ถ้าเจ้ายินยอม ราตรีนี้ข้าจักลักลอบมาพบเจ้าที่ห้องบรรทม
แต่เจ้าต้องมิให้มีนางกำนัลหรือผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ใกล้บริเวณ
เช่นนั้นข้าจักลักลอบเข้ามาพบเจ้าลำบาก อย่าลืมต้องเก็บเป็นความลับ
ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึงความผิดปกตินี้เป็นอันขาด”
องค์หญิงชลธารย้ำถึงเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติต่อองค์หญิงศศิธร นางไม่เสียเวลาคิดสักนิด
เรื่องอายย่อมมีบ้าง แต่พระธิดาที่ได้รับการปรนนิบัติจากเหล่านางกำนัลตั้งแต่เล็ก
ย่อมเคยเปลื้องอาภรณ์..โดยฝีมือนางเหล่านั้น มีอันใดให้อับอายอีกเล่า
ในเมื่อผู้ที่จักยลโฉมพระวรกายคือองค์หญิงผู้งดงามไม่ยิ่งหย่อน
แน่นอนพระวรกายเองก็คงงดงามไร้ที่ติไม่ต่างกัน เยี่ยงนี้มีอันใดที่จักเสียหายได้
“ตกลงข้าจักกระทำตามที่ท่านกล่าว ราตรีนี้ท่านจงมาหาข้าเถิด”
องค์หญิงเจ้าของตำหนัก..ทรงตกปากรับคำเสร็จสรรพ
“ดีมาก! เจ้าเด็ดขาดเยี่ยงนี้ถือว่าข้ามองคนไม่ผิด มาเถิดข้าจักฟื้นฟูบ่อน้ำให้เจ้าไว้อาบให้ชื่นใจ..สายวารีจงฟังข้า
จงบังเกิดสายธารให้ข้า ณ บัดนี้” ผายพระหัตถ์..พร้อมพระบัญชาเรียกใช้เทพมหาธาตุวารี
ฉับพลันมวลคลื่นของสายน้ำ ก็หมุนเป็นเกลียวขึ้นมาเบื้องหน้า สร้างความมหัศจรรย์ให้องค์หญิงศศิธร
ต่อพลังอำนาจที่บังเกิดเป็นยิ่งนัก ก่อนเกลียวคลื่นน้ำขนาดใหญ่
จะพุ่งลงภายในบ่อที่มีขนาดเท่ากับครึ่งสระน้ำมาตรฐานทั่วไป
ลักษณะเป็นวงกลมไม่แตกต่างพระตำหนักวาโยทิพย์ กลายเป็นน้ำใส จนสามารถมองเห็นพื้นข้างใต้ได้
องค์หญิงผู้ถือครองเทพมหาธาตุ แย้มสรวลกับท่าทีตื่นตระหนกขององค์หญิงศศิธร
ที่ได้พบเห็นพลังอำนาจของพระองค์ แต่มีบางอย่างที่พระองค์รู้สึกพระวรกายแปลกไป
หลังเรียกใช้พลังเทพมหาธาตุรู้สึกวิงเวียนพระเศียรไปครู่ใหญ่
“น้ำเย็นมาก ข้าจักแหวกว่ายได้เยี่ยงไร นอกจากตักไปต้มเช่นเคย
น่าเสียดายนัก..ฤดูนี้ตกค่ำอากาศหนาวเย็นยิ่ง” องค์หญิงศศิธรแม้จะยินดีปรีดาที่มีน้ำในบ่อของตำหนัก
แต่ก็ไม่อาจดีใจได้หมด เมื่อทรงยอบวรกายจุ่มพระหัตถ์สัมผัสอุณหภูมิของน้ำรู้สึกเย็นมาก
พานรู้ว่าพระองค์ไม่สามารถลงแหวกว่ายสรงสนาน..ในสระน้ำดังที่ต้องการได้
“เช่นนั้นข้าจักทำให้น้ำอุ่น หลังจากนี้ข้าจักทำให้น้ำในบ่อเจ้าอุ่นต่อเนื่องถึง 7 ทิวา
เพื่อให้เจ้าชำระร่างกายสะอาดหมดจด ข้าจักสามารถลงมนตราให้ขลังยิ่งขึ้น” องค์หญิงชลธารทรงรับสั่ง
“ท่านสามารถกระทำให้น้ำในบ่ออุ่นได้หรือ”
องค์หญิงเจ้าของตำหนัก ทรงรู้สึกแปลกพระทัยกับพระดำรัสที่ได้รับฟังยิ่งนัก
“ข้าย่อมสามารถ..มหาธาตุอัคคีจงฟังข้า จงแผดเผาสายวารีในบ่อน้ำให้อุ่นขึ้น ณ บัดนี้”
พระองค์ผายพระหัตถ์ เปล่งบัญชาเรียกใช้เทพมหาธาตุอัคคีขึ้นมาทันที หลังดำรัสยืนยันกับผู้ที่ตั้งคำถาม
พลันบังเกิดเปลวไฟมหึมา แผ่คลื่นความร้อนจนองค์หญิงศศิธรถึงกับเซถอยไปหลายก้าว
ก่อนจะไม่รับรู้ถึงคลื่นความร้อนจากลูกไฟก้อนโตที่กำลังหมุนวนอยู่เหนือผิวน้ำ
หารู้ไม่ว่าองค์หญิงชลธารพอรำลึกได้ว่าพระองค์ทรงหลงลืมสร้างเกราะมหาธาตุ
คุ้มกันวรกายให้ผู้ที่ประทับด้วย ก็ทรงรีบสร้างเกราะมหาธาตุขึ้นมาทันที
องค์หญิงศศิธรไม่รู้สึกถึงคลื่นความร้อนแล้ว น้ำในสระเริ่มมีควันสีขาวลอยกรุ่น
จนรับรู้ได้อุณหภูมิของน้ำเพิ่มสูง จากน้ำเย็นจัดเปลี่ยนเป็นน้ำอุ่นไปแล้วเรียบร้อย
แต่ผู้ที่สามารถทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ กลับสีพระพักตร์ซีดเซียวแลดูน่าเป็นห่วง
ไรพระเกศากลับชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อผุดซึมแล้ว แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่า
มีพระโลหิตไหลย้อยออกจากพระนาสิก โดยที่เจ้าของพระวรกายไม่รู้องค์เลยด้วยซ้ำ
“ท่าน..ใยมีโลหิตไหลออกนาสิกท่านเล่า”
องค์หญิงศศิธรถึงกับเบิกพระเนตรด้วยความตกพระทัย เมื่อผินพักตร์ไปเห็นเข้าพอดี
“อ๊ะ! โลหิตข้าไหลเช่นนั้นหรือ” ไม่ตรัสเปล่า ทรงใช้พระดัชนีป้ายดูพร้อมกับหยาดโลหิตสีแดง
ติดมากับดัชนีเป็นหลักฐาน ยังความประหลาดพระทัยให้องค์หญิงชลธาร
หลังทรงเรียกใช้เทพมหาธาตุต่อเนื่อง พระองค์ทรงรูสึกวิงเวียนเหมือนพระลมจับ
แต่ก็ยังฝืนทนไว้ได้ไม่หนักหนา จู่ๆ พระโลหิตไหลออกนาสิกย่อมไม่รู้สาเหตุแล้ว
“ข้าว่าท่านฝืนเรียกใช้พลังเทพมหาธาตุ ถึงได้เกิดอาการเยี่ยงนี้
ท่านไปพักยังห้องบรรทมของข้าก่อน รอให้อาการดีขึ้นค่อยกลับตำหนัก”
องค์หญิงศศิธรเป็นฝ่ายเข้าไปประคองพระวรกายองค์หญิงชลธาร โดยไม่ห่วงความสวยพระองค์เองแม้แต่น้อย
น้ำพระทัยที่ทรงแสดงออก สร้างความประทับใจให้กับองค์หญิงต่างแดน
สำคัญกลิ่นพระวรกายที่ได้สูดดมใกล้ กลับทำให้พระองค์รู้สึกดี
เป็นกลิ่นหอมของมวลบุปผาที่จำแนกไม่ได้ รู้เพียงแค่หอมละมุนมอมเมาพระองค์ให้คล้องพระกรโอบกอด
เนียนทำเป็นอ่อนแรงให้อีกฝ่ายประคองพากลับยังห้องบรรทม..ภายในพระทัยกลับฟูฟ่องคับแน่นพระอุระ
ดวงหทัยเต้นกระหน่ำ อย่างที่ไม่เคยบังเกิดมาก่อน..รู้แต่เพียงว่าพระองค์ใคร่ใกล้ชิดสนิทแนบแบบนี้ไปอีกนานๆ...?
มาอัพตามนัดค่ะ เจอกันอีกทีวันจันทร์นะคะ พร้อมกับแจ้งเปิดโอนจองนิยายเรื่องนี้ค่ะ
ในเล้าฯ จะอัพจบเหลืออีกไม่เกิน 7 ตอนนะคะ ส่วนเนื้อหาเล่ม 3 กับตอนพิเศษ
จะอยู่ในหนังสือค่ะ คงจบก่อนสิ้นเดือนนี้ค่ะสำหรับ 7 ตอนที่เหลือนะคะ
ปล.ใครที่เชียร์คู่หญิงธารกับหญิงอ้าย ได้สมใจกันแน่ค่ะ แต่จะจบสวยหรือไม่คอยติดตามกันต่อไป
