- 3 - “อ๊ะ..อ้าหห์” สุรเสียงครวญครางหวานกระเส่า จากวรกายงดงามแน่งน้อยบิดเร่าอย่างทรมานปนสุขสม
โดยมีวรองค์ซึ่งงดงามไม่แพ้กันเป็นผู้ชักนำมอบความกระสันซ่าน ให้ผู้มิเคยมีประสบการณ์ได้สัมผัสรู้แล้ว
ยามวิกาลดึกสงัด กลับเกิดบทรักร้อนฉ่า..สองหญิงงามระดับล่มแผ่นดินโรมรันพันตูอยู่บนเตียงบรรทม
ภายในห้องพำนักเจ้าของตำหนัก
องค์หญิงดรุณีวัยแรกแย้ม ดุจดอกไม้งามหอมหวานล่อหลอกให้ผู้คนมัวเมา..ในความงดงามหอมหวาน
ของเกสรได้ไม่ยาก อีกหนึ่งเจนสังเวียนกามโลกีย์ ใช้เพทุบายอ้างมนตรามหาเสน่ห์เป็นตัวผลักดันให้เกิดการยินยอม
ปลุกพระกำหนัดด้วยน้ำมันหอมระเหย ที่ใช้นวดคลึงพระวรกาย สวมบทจอมขมังเวทย์แลดูเป็นที่น่าเชื่อถือยิ่งนัก
ฝ่ายร้อนพระทัยประสงค์ได้พระคู่หมั้นกลับคืน ให้ความเชื่อถือมิมีความคลางแคลงสงสัย
เนื่องจากผู้กระทำพิธีคือผู้ใกล้ชิดดุจธิดาของจอมขมังเวทย์แห่งยุค ซึ่งไม่มีใครในแผ่นดินไม่รู้จัก ‘พระปิตุลาแห่งเวฬุวรรณ’
จึงตกหลุมพรางยอมให้สัมผัสพระวรกายแนบชิด มึนเมาไปกลับพระอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่น
ด้วยน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์พิเศษเพื่อการนี้ บวกฝีไม้ลายมือที่เข้าใจจุดกระสันอิสตรี
มีหรือที่นางกวางสาวจักหนีจากน้ำมือนางพญาราชสีห์ไปได้ สุดท้ายกลายเป็นเริงโลกีย์ปรนเปรอสวาท
ระหว่างอิสตรีต่ออิสตรีเพศเดียวกัน
แม้ไม่มีส่วนเชื่อมต่อดังเช่นบุรุษ แต่หาได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ในเมื่อสตรีผู้มีความชื่นชอบหลงใหลในอิสตรี
มีประสบการณ์และช่ำชองในการชักนำคู่เสพสังวาสเดินทางสู่ฝั่งฝัน
ใช้เพลาเกือบค่อนรุ่งที่พวกนางมัวเมาในรสกามตัณหา สุขสมเปรมปรีดิ์อย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้
โดยเฉพาะองค์หญิงที่เพิ่งได้รับรู้รสสัมผัสเช่นนี้ครั้งแรก ย่อมอิ่มเอมหวามไหวติดพระทัยในรสชาติแล้ว
บ่อน้ำในตำหนัก กลับเป็นน้ำอุ่นให้พวกนางสรง ชำระล้างวรกาย
ยังมีเพลาเล็กน้อยคอยโลมไล้ซึ่งกันและกัน..ชวนวาบหวิวทิ้งท้ายให้จดจำ
ผู้เริ่มเพทุบาย กลับพบพานความสุขสมตราตรึงพระทัย ในความพิลาศหวานล้ำของหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งไตรคาน
ผู้คาดหวังพิธีกรรมที่ได้รับคำมั่นจากฝ่ายดำเนินแผน เพิ่มมนตรามหาเสน่ห์ให้วรองค์สามารถสยบพระทัยอดีตพระคู่หมั้น
ให้ตกอยู่ภายใต้อุ้งหัตถ์ของพระองค์อีกครั้ง
ทรงพึงพอพระทัยต่อรสชาติสุขสมที่ได้รับ โดยมิรู้สึกเสื่อมเสียในพระเกียรติแม้แต่น้อย ในเมื่อพวกนางล้วนเป็นอิสตรีทั้งคู่
ผ่านไปราตรีแรกราตรีสองสามสี่ ราชธิดาไตรคานแลผุดผ่องมีน้ำมีนวลพระวรกาย..เปล่งปลั่งงดงามผิดหูผิดตา
วงพักตร์ที่เคยเศร้าโศกกลับไม่พานพบความหมองเศร้าอันใดอีก นอกจากประกายเจิดจรัส
เคลือบแฝงความมาดหมายบางอย่าง..ยากที่จะมีผู้ใดล่วงรู้ได้
ต่างกับองค์หญิงต่างแดนนับวันดูซีดเซียว พักตร์งามเคยเจิดจรัสเปล่งรัศมีบาดตาแก่ผู้พบเห็น
แลน่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย พระองค์ทรงเสวยไม่เป็นไปตามเพลาดังเคย กลับทรงบรรทมตื่นยามพระอาทิตย์ขึ้นถึงศีรษะ
สร้างความประหลาดใจให้แม่เล็กพอสมควร พอเธอไต่ถามดูยังคงไม่ได้รับความกระจ่าง
นอกจากรู้เพียงว่าองค์หญิงชลธารต้องการพักผ่อนวรกาย
“แม่ครับพี่ธารเป็นอะไรหรือเปล่า ผมไม่เห็นหน้าหลายวันแล้ว”
ผักตบถามแม่เล็ก หลังไม่เจอหน้าค่าตาพี่สาวฝาแฝดร่วมโต๊ะเสวยมื้อค่ำ พูดให้ถูกไม่เจอหน้ากันเลยก็ว่าได้
“เขาไม่เป็นไรหรอก..เหมือนจะชอบหลับชอบนอนตื่นเอาเที่ยงวัน พระอาทิตย์ไม่ตรงกบาล
แม่ไม่เห็นลุกจากเตียงหลายวันแล้ว พอตื่นมาก็อาบน้ำทานข้าวแล้วก็ไปขลุกอยู่ตำหนักองค์หญิงอ้าย
ไม่รู้ไปสนิทอีท่าไหน ที่รู้ก็ไม่ได้ถามจากเขานะตบ แอบตะล่อมถามเอากับพวกนางกำนัลแทน
จึงรู้ว่าเขาไปอยู่ตำหนักองค์หญิงอ้าย กลายเป็นสนิทกันไปแล้ว กลับก็มืดค่ำดึกดื่น นี่ก็ยังไม่กลับแม่เข้านอนโน้น
บางวันแม่หลับไปแล้วก็ไม่รู้หรอกว่าเขากลับมาตอนไหน พักนี้แม่หลับสนิทดีเสียด้วย
เรื่องของเขาแม่ซักถามอะไรมากไม่ได้ ดูวุ่นวายเรื่องส่วนตัวเขาเปล่าๆ”
แม่เล็กเล่าให้ลูกชายฟัง องค์ชายวายุภักษ์ทรงสดับฟังนิ่ง
โดยไม่มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น หรือไต่ถามอะไรเลย
“ผมนึกว่าพี่เขาป่วย หายหน้าหายตาไม่เจอเลย ถ้าเขามีเพื่อนแก้เหงาก็ต้องปล่อยไป ช่วงนี้ผมยุ่งพอสมควร
พรุ่งนี้งานเสร็จแล้ว จากนี้ก็เตรียมอภิเษกอีก องค์ชายบอกจะมีช่างอาภรณ์มาลองชุดที่ใช้ในพิธีให้ผม
แถมพวกดูแลผิวพรรณอีก เหมือนเข้าคอร์สเจ้าบ่าวเจ้าสาวซะงั้น ไม่ยักรู้โบร่ำโบราณก็มีด้วย
เขาย้ำเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ..ปฏิเสธไม่ได้ครับ ตัวเขาก็ต้องให้ความร่วมมือเช่นกัน
ตารางต้อนรับแขกที่จะมาร่วมพิธีพวกทูตานุทูตยาวอื้อเลยแม่ คงยุ่งวุ่นวายไปจนถึงงานแต่งทีเดียว
ช่วงนี้ผมเลยไม่มีเวลาไต่ถามพี่เขาเหมือนกัน แม่ถามให้หน่อยเขาต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
เสื้อผ้าที่จะร่วมพิธีองค์ชายกำชับพวกที่ดูแลเรื่องนี้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ทั้งของแม่ของพี่ธารด้วย
ถือเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายผมที่จะเข้าร่วมพิธี ศักดิ์ฐานะพี่ธารเป็นที่รู้จักของแขกเหรื่อเป็นอย่างดี
ถ้าพี่เขาขาดเหลืออะไรแม่บอกบุปผาราตรีได้เลย ให้เธอเป็นธุระจัดหาให้ก็แล้วกันนะครับ องค์ชายกำชับพวกเธอไว้ให้แล้ว”
“ไว้แม่จะถามเขาให้ ดูว่าที่ผัวแกซิตบ ไม่พูดไม่จาฟังพวกเราพูดอย่างเดียว”
แม่เล็กรับคำ ก่อนหันไปหยอกลูกเขยแทน
“แม่พูดจาน่าเกลียด ผัวเผออะไรกัน” ผักตบหน้าแดงหูแดง
“อ้าว! ไม่ใช่ผัวจะให้เรียกยังไง อย่าบอกถึกขนาดนี้เขาจะยอมเป็นเมียแกฮึ!
พนันล้านฉันเอาบาท ไม่มีทางเป็นไปได้แน่” แม่เล็กแย้งทันควัน
“โธ่แม่! ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น เรียกให้ฟังดูดีกว่านี้หน่อยสิ
พระสวามีหรือแฟนก็ได้..เล่นล่อซะผัวเชียว” ผักตบโอดครวญ
แทบยกมือกุมขมับกับความคิดเกรียนขั้นเทพของแม่ตัวเอง
“ชิช่ะ! พอได้เป็นพระชายา ฟังคำว่าผัวไม่ได้แล้ว กระแดะไปไหม”
“ไปกันใหญ่แล้วแม่” ผักตบอึ้ง เถียงไม่ออก
“อันใดคือผัวกระนั้นหรือ” องค์ชายทรงแทรกขัดตรัสถามด้วยความสงสัยพระทัย หลังสองแม่ลูกเน้นคำนี้เป็นพิเศษ
“อ้าว! นี่ก็ไม่รู้เรื่องอีก” แม่เล็กไม่ตอบ หันไปมองพักตร์คมคายที่ดูยังไงก็ไม่เบื่อ กลับทอดเนตรรอฟังคำตอบจากเธอนิ่ง
“แม่ครับ..เขาไม่รู้ศัพท์สามัญที่พวกเราใช้หรอก ที่นี่เขาเรียกคู่รักหรือไม่ก็สามีภรรยา” ผักตบรีบแก้ความเข้าใจให้แม่ใหม่
“อุวะ! ฟังนะองค์ชาย ที่บ้านแม่เขาเรียกผู้ที่เป็นพระสวามีว่า ‘ผัว’ ส่วนคนเป็นพระชายาว่า ‘เมีย’..”
แม่เล็กหันไปอธิบายให้องค์ชายวายุภักษ์รับทราบความหมาย
“ผัว..เยี่ยงนั้นเป็นเราที่ท่านกล่าวถึง ผักตบคือเมียของเราเข้าใจถูกหรือไม่”
องค์ยุพราชหนุ่มทรงสรุป ผินพักตร์ไปขอคำยืนยันจากผักตบ ซึ่งนั่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่
“ตอบเขาไปสิ จะอายทำไมลูกฉัน” แม่เล็กมีความสุข ที่ได้แกล้งผักตบให้อายจนหน้าแดงหูแดง
“แม่ไม่บอกเขาเองล่ะ ก่อเรื่องก็สานให้จบ มาโยนให้ผมทำไมหืม..ตั้งใจแกล้งผมใช่ไหม”
ลูกชายค้อนแม่ โยนให้แม่เป็นคนรับผิดชอบเสียเอง แม่เล็กกลั้นหัวเราะท้องแข็ง
“ถูกแล้วองค์ชาย ทีหลังให้เรียกผักตบว่าเมีย ไม่ต้องชายาให้มันยุ่งยาก เรียกแทนตัวองค์ชายว่าผัว”
แม่เล็กแนะนำว่าที่ลูกเขยด้วยสีหน้าอมยิ้ม กลั้นหัวเราะสุดชีวิต
“แม่มมม!!” ผักตบเหลือทนกับความเกรียนของแม่ ชอบแกล้งลูกให้หลุดฟอร์มพาอายตลอด..เผลอแหวเสียงหลง
“คุณอย่าไปฟังแม่มาก เรียกตามที่นี่แหละ” ผักตบรีบแก้ไขความเข้าใจองค์ชายเสียใหม่ ด้วยอาการหน้าแดงแปร๊ด
องค์ชายวายุภักษ์จ้องชายาด้วยความขบขัน แม้ไม่รู้กลในเคลือบแฝงความหมาย ทรงคาดเดาอาการแม่ลูกคู่นี้
คงเป็นคำเรียกขานที่ทำให้ชายาพระองค์ขวยเขินเป็นแน่
“เราจักทำตามที่เจ้ากล่าว” พระองค์รับคำ ส่วนแม่เล็กระเบิดเสียงหัวเราะเป็นที่เรียบร้อย
“ฮะฮ่าๆ..อยากปรบมือให้ลูกชายจริงเว้ย ไม่ทันไรสามารถเอาผัวอยู่ในโอวาทแล้ว..เก่งจริงลูกชายช้านน!!”
เป็นประโยคที่ผักตบถึงกับเผลอเรียกแม่เสียงหลงอีกครั้ง
“แม่มมม!!” ความหรรษาบนโต๊ะเสวยมื้อค่ำ จบลงด้วยพระมเหสีให้นางกำนัลมาเชิญแม่เล็กไปเข้าเฝ้า
พระองค์มีพระประสงค์จัดอาภรณ์พร้อมเครื่องประดับ สำหรับใส่ร่วมพิธีอภิเษกให้แม่เล็กด้วยพระองค์เอง
เป็นอันว่าแม่เล็กมีภารกิจเข้าเฝ้าพระมเหสี องค์ชายวายุภักษ์ว่าที่พระสวามี ใช้เวลาอยู่กับผักตบต่ออีกเล็กน้อย
ค่อยกลับยังตำหนักรับรองส่วนพระองค์ เพื่อให้เขาได้พักผ่อนเมื่อทรงเห็นสมควรแก่เวลา
ผักตบมีความสุขมาก กับสภาพความเป็นอยู่ขณะนี้ ยิ่งเห็นแม่เล็กปรับตัวได้ไม่มีปัญหาเขาก็หมดห่วง
คลายกังวลว่าแม่จะคิดถึงยุคที่จากมา พอเห็นแม่มีความสุข มีอารมณ์ขันหาเรื่องหยอกเย้าเขาได้แบบนี้ค่อยเบาใจ
เสียงหัวเราะของแม่ถือเป็นยาชูกำลังแขนงวิเศษ ก่อนเข้านอนไม่ลืมแวะไปห้องแม่ ดูว่าพี่สาวชลธารกลับหรือยัง
ปรากฏไร้วี่แววองค์หญิงฝาแฝดผู้พี่ ผักตบไม่คิดพี่สาวจะกลับดึกขนาดนี้
รู้สึกแปลกใจพอสมควร ต่อให้สนิทกับองค์หญิงศศิธรมากแค่ไหน ก็ไม่น่ากลับดึกติดพันเพลินจนกระทั่งลืมเวลา
ตัดใจเข้านอนด้วยความรู้สึกคลางแคลงใจไม่น้อยเลยทีเดียว..
>
>
“ใยท่านพาข้ามาตำหนักเจ้าพี่วายุเล่า” องค์หญิงศศิธรรับสั่งถามองค์หญิงชลธาร
หลังอีกฝ่ายพาพระองค์เสด็จมายังห้องบรรทมที่พำนัก
“วันนี้ไม่มีใครอยู่ อนุชาข้าออกไปกับพระคู่หมั้นเจ้าแต่เช้าตรู่ ส่วนมารดาไปเข้าเฝ้าพระมเหสี
ข้าให้เจ้ามาที่นี่เพราะจักลงอาคมมนตรามหาเสน่ห์ให้เจ้าในเพลากลางวัน” พระองค์ทรงรับสั่งอธิบายเหตุผล
“ท่านเคยบอกข้าจักกระทำยามราตรี ใยทำเพลานี้ได้”
“เจ้าอย่าได้สงสัยอันใดน้องหญิง ที่ข้าบอกต่อเจ้าล้วนเห็นว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาผู้ใด
หากข้ากระทำเพลากลางวันดอก เสด็จพ่อของเจ้าย่อมเสด็จมาพบเจ้าเป็นประจำ
เยี่ยงนั้นข้ากับเจ้าจักมีเพลาใดให้กระทำ เรื่องสำคัญซึ่งมิอาจเปิดเผยแพร่งพรายเยี่ยงนี้ ย่อมต้องกระทำยามราตรี
ข้านำเจ้ามากระทำยังตำหนักห้องพำนักของข้า เพราะปลอดโปร่งไม่มีผู้ใดสามารถระแคะระคายเรื่องราวได้
เข้าใจแล้วหรือไม่” การชี้แจงเหตุผลเป็นที่กระจ่าง องค์หญิงศศิธรพอสดับฟังก็คล้อยตามไม่มีข้อกังขา
“เยี่ยงนั้นท่านก็ลงมือเถอะ ข้ามิสามารถใช้เพลาอยู่ที่นี่ได้นานนัก
หากเสด็จพ่อทรงถามถึงจักสงสัยได้ ที่มิทรงเห็นข้าอยู่ในตำหนัก”
“เช่นนั้นเราเริ่มกันเถอะ เพียงไม่นานเจ้าจักสามารถทวงคืนคู่หมั้นของเจ้าได้แล้ว
อดทนอีกนิดทุกอย่างใกล้สัมฤทธิ์ผล วายุภักษ์มิสามารถต้านทานมนตรามหาเสน่ห์ในกายเจ้าได้แน่”
พระดำรัสสร้างความมั่นพระทัยให้องค์หญิงศศิธร ก่อนวรกายงดงามเปี่ยมเสน่ห์ของอิสตรี
จักโลมไล้ปลุกเร้าซึ่งกันและกันอย่างรู้หน้าที่ ไม่มีพระอาการเคอะเขินแม้แต่น้อย ทรงชินชาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หลังได้ร่วมกระทำภารกิจต่อเนื่องมาหลายราตรี ต่างรู้พระทัยลึกซึ้งไปแล้ว
โดยมีเงื่อนไขพันธสัญญาเป็นสิ่งผูกยึด ให้ขัตติยนารีทั้งสองพระองค์เกี่ยวพันต่อกัน
จักให้ความร่วมมือในเรื่องที่ตั้งพระประสงค์หวังให้สำเร็จลุล่วง
ย่อมไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางความมุ่งมั่นในพระทัยไปได้
การร่วมเสพสังวาสระหว่างอิสตรี จึงเริ่มขึ้นภายในห้องบรรทมยังตำหนักวาโยทิพย์
โดยมิมีผู้ใดล่วงรู้เนื่องจากไม่ได้อยู่แม้แต่ผู้เดียว
ส่วนข้าราชบริพารไม่มีใครกล้าวุ่นวาย ทรงมีพระประสงค์ใช้เพลาส่วนพระองค์
คือการรับสั่งมิให้รบกวน พวกเขาจึงได้แต่รับพระบัญชาโดยไม่มีข้อแม้
ทั้งสองพระองค์ล้วนมีพระอำนาจที่ต้องน้อมรับ ให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตามกฎระเบียบภายในวังหลวงนั่นเอง...
มาอัพตามนัด เหลืออีก 6 ตอนจบสำหรับภาคแรกนี้นะคะ (ภาค 2 อยู่ในหนังสือรุ่นลูกค่ะ)
เจอกันอีกทีวันพุธ กับงานอภิเษก พร้อมกับเรื่องราวเดินทางสู่จุดไคลแม็กของเรื่องแล้วนะคะ
ปล.ใครสนใจเก็บเรื่องนี้ในรูปเล่มหนังสือ ดูรายละเอียดหน้า 1 ได้เลยค่ะ เปิดโอนจองวันนี้วันแรกค่ะ
ปกหนังสือเล่ม 3 รุ่นลูกนะคะ เล่ม 2 เป็น กลกะลา VS องค์ชายธรณิน จะเอามาอัพให้ดูวันหลังครบทุกเล่มค่ะ
ตอนนี้ดูปกเล่ม 3 ไปก่อน ระหว่าง สุริยัน & ดารา
[/i]