- 2 - “พะยะค่ะเสด็จพ่อ ข้าจักคุมการรบอยู่บนกำแพงเมือง พร้อมกับใช้ค่ายกลพายุดำทะเลทรายในด่านแรก หากข้าศึกทำลายฝ่าด่านเข้ามาได้ เรายังมีระเบิดของผักตบเป็นด่านสอง ด่านสามคือเกราะอาคมที่ข้าจักรวมพลังมหาธาตุ
และยืมพลังของมุกราตรี รักษาครอบคลุมพื้นที่วังหลวงอีกชั้น ส่วนสุดท้ายคือกองทัพทั้งหมดหากต้านไม่อยู่
คงต้องยอมพลีชีพกันแล้ว”ทั้งหมดคือแผนรับมือที่วางไว้ถึงสี่ขั้น ทำถึงขนาดนี้ข้าศึกยังบุกเข้ามาได้
มีหนทางเดียวคงต้องสู้จนตัวตาย เพราะไม่เหลือหนทางเลือกอีกแล้ว
“ข้าจักไม่ปล่อยเจ้าสู้ลำพัง” มหาโหราผู้เฒ่าเอ่ยวาจากับองค์ชายผู้เป็นศิษย์รัก พระองค์สบตาพระอาจารย์
“ขอบคุณมากท่านอาจารย์ กระนั้นข้ายังยืนกรานให้ท่านอารักขาเสด็จพ่อ เสด็จแม่ พระปิตุลา น้องหญิงศศิธร
มารดาของผักตบภายในเขตพระราชฐาน หากเกิดเหตุการณ์มิชอบมาพากลเห็นท่าไม่ดี ฝากท่านนำพวกเขาทั้งหมด
หลบหนีไปซุกซ่อนยังหุบเขาที่พำนักท่านด้วยเถิด”
“รอให้ถึงเพลานั้น ข้าจักนำพวกเขาไปซ่อนตัว” แผนการทั้งหมดถูกกำหนดก่อนเลิกองค์ประชุม
โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแยกย้ายไปทำงานในหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมาย
ผักตบต้องไปคุมการประดิษฐ์อาวุธระเบิด เมื่อรู้ว่ามีวัตถุดิบตามที่ต้องการ
ถือว่าไม่เสียเที่ยวเมื่อสามารถทำระเบิดขึ้นได้ ผู้คนยุคสมัยนี้ไม่มีใครรอบรู้เกี่ยวกับการสร้างระเบิดมาก่อน
“ผักตบ..เจ้าได้รับบาดเจ็บ อย่าเพิ่งทำการใดให้ข้าตรวจบาดแผลของเจ้าเสียก่อนเถิด”
องค์ชายทักท้วงทันที หลังทรงเสด็จตามผักตบเพื่อดำเนินไปยังห้องเตรียมการผลิตระเบิด
“บาดเจ็บ..ไม่นี่ผมสบายดี” ผักตบหยุดเดินหันเผชิญหน้าคนถามด้วยท่าทีงงงันเล็กน้อย จู่ๆ มาบอกว่าเขาบาดเจ็บ
“เจ้าแน่ใจเช่นนั้นหรือ แล้วใยถึงมีโลหิตเปื้อนชุดที่เจ้าสวมใส่เล่า”
พระองค์ยืนกราน พร้อมกับชี้ดัชนีไปยังบริเวณก้นของผักตบเป็นการแสดงหลักฐานในพระดำรัสให้รับรู้ด้วย
ฝ่ายถูกทัก รีบรั้งเสื้อคลุมที่สวมมาดู ก่อนจะหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นวงเลือดเปื้อนเป็นดวงใหญ่
แน่นอนเขารู้ว่าเลือดนี้มาจากที่ไหน
“มะ..ไม่มีอะไร คงนั่งทับอะไรมา” รีบแก้ตัวทันที แต่คงไม่เนียนสำหรับยุพราชหนุ่ม
ที่มีสายพระเนตรแหลมคมทรงเห็นพิรุธในคำตอบ ซึ่งเจ้าตัวกำลังกลบเกลื่อนปิดบังบางอย่างเอาไว้
“เจ้ากำลังปิดบังสิ่งใด” พระองค์รับสั่งถาม โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้มีเวลาแก้ตัว
“ปิดบังอะไร..ไม่มีหรอกน่า” ผักตบรีบปฏิเสธ
“เจ้ากล่าววาจาเท็จ สีหน้าเจ้าบ่งบอกเราเช่นนั้น” พระองค์ไล่บี้ต่อ
“จะอะไรกับผมอีกครับ..เจ้าชาย แค่ชุดเปื้อนเลือดผมบอกไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไรสิครับ
ขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บ คุณไปก่อนเลยเดี๋ยวผมตามไป ตกลงตามนี้นะ”
พูดจบไม่รอให้อีกฝ่ายซักถาม หันหลังเดินลิ่วตรงดิ่งกลับยังตำหนักวาโยทิพย์สบถอยู่คนเดียว
‘เพี้ยนอะไรดันมาวันนี้ ปกติต้องอีก 5 วัน ผิดที่ผิดเวลาหน่อย..ดันมาก่อนกำหนดด้วยเหรอเนี่ย’ ส่วนยุพราชหนุ่มหาได้ทำตามที่ผักตบบอกไม่ เนื่องจากทรงเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น ดวงเนตรพระองค์ไม่ฝาดแน่
ที่เห็นโลหิตแผ่กระจายเป็นวงกว้างจากบั้นท้ายของผักตบ ย่อมมีบาดแผลที่เจ้าตัวพยายามปกปิด
ไม่ต้องการให้พระองค์วิตกกังวลพระทัย ยิ่งทำให้ไม่สามารถวางเฉยดูดาย
แม้นรู้ว่าอีกฝ่ายหวังดีไม่ต้องการให้ทรงเป็นห่วงก็เถอะ
ยุพราชหนุ่มครุ่นคิดเช่นนั้น ก็สะกดรอยตามผักตบกลับยังตำหนักวาโยทิพย์
แทนที่จะไปห้องเตรียมผลิตระเบิดอย่างที่ควรจะเป็น
ผักตบรีบรื้อค้นกระเป๋ายกใหญ่ จนเจอสิ่งที่ต้องการ ‘ผ้าอนามัย’
ค่อยถอดชุดที่ใส่ออกเปลือยตัวล่อนจ้อน โดยไม่รู้มีใครอีกคนลอบมองผ่านช่องประตูที่ปิดเอาไว้
จากนั้นภารกิจเช็ดเลือดที่ไหลออกจากตูดก็เริ่มขึ้น เช็ดจนหมดค่อยใส่ผ้าอนามัยติดกางเกงชั้นใน
สวมกางเกงซาฟารีเสื้อยืดคอกลมแทนชุดที่ใส่มา คงไม่ต้องบอกว่าเปื้อนเลือดเป็นด่างดวง
ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากพับเก็บรอไปซักเพียงวิธีเดียว
กระดาษทิชชู่ที่ใช้เช็ดเลือด จัดการเก็บทิ้งลงถังขับถ่ายปิดฝาตามเรียบร้อยเพื่อเป็นการทำลายหลักฐาน
ถอนหายใจโล่งเมื่อทุกอย่างลงตัวแก้ไขปัญหาเรียบร้อย ถึงกับสะดุ้งเมื่อประตูห้องเปิดออก
พร้อมกับร่างกายสูงใหญ่ของคนที่ไม่อยากเจอก้าวเข้ามา ปิดประตูเสร็จพระสุรเสียงทุ้มกังวานทรงรับสั่งขึ้น
“เจ้าย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัส เราเห็นหมดแล้ว เจ้าบอบช้ำภายในสาหัสเช่นนี้
จักเก็บงำปกปิดไปใย เห็นแก่เรายอมให้ตรวจรักษาเจ้าเสียเถิด เช่นนั้นเราคงรู้สึกผิดนัก
ที่ยอมให้เจ้าช่วยเหลือบ้านเมืองของเราโดยไม่นึกถึงตัวเอง ใยมิใช่เราเห็นแก่ตัวไปเสียแล้ว
หากไม่รู้ย่อมไม่ผิด แต่นี่เรารู้แล้วเจ้ามิอาจบังคับให้เราเพิกเฉยได้” พระดำรัสพรั่งพรูเป็นพรวน
ผักตบอึ้งค้างไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสะกดรอยตามเขามา ยังดีที่เข้าใจไปคนละเรื่อง
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ คุณก็เห็นแล้วนี่ผมสบายดี คุณกำลังเข้าใจผิด จะให้บอกยังไงดี
เอาเป็นว่าผมไม่ได้บาดเจ็บภายใน สิ่งที่คุณเห็นเป็นเรื่องปกติในร่างกายผม จะเรียกว่าโรคประจำตัวก็ไม่ผิด
แต่เชื่อเถอะมันไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรหรอก ผมชินแล้ว” เขารีบอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง
พร้อมกับยืดอกแสดงความมั่นใจ..ว่าเขารู้สึกสบายมาก ไม่ได้เจ็บปวดตรงไหน
“เรามิเคยได้ยินได้ฟังมีโรคประหลาดเช่นนี้ ใยมีโลหิตไหลออกจากทวารของเจ้าเล่า”
“แค่กๆ..คะ..คือประหลาดมันก็น่าประหลาดอยู่หรอก แต่คุณอย่าสนใจเลย เอาเป็นว่าผมสบายดี พอใจไหม”
ผักตบถึงกับสำลักน้ำลาย เมื่อเจ้าชายผู้ดื้อรั้นบอกมาแบบนั้น เฉตัดบทเสียดื้อๆ
“เจ้ากำลังพยายามมิให้เรากังวล แต่เราจักทำเช่นนั้นก็ต่อเมื่อเจ้าให้เราตรวจร่างกายจนแน่ใจเสียก่อน”
พระองค์ยืนกรานหนักแน่นไม่ยอมถอยเช่นกัน ภายในพระทัยมิอาจให้บุรุษตรงหน้าเป็นอะไรลงไป
มิเช่นนั้นความหวังที่มีคงพังทลายไม่เป็นชิ้นดี
“เฮ้ย! จะมาขอดูก้นชาวบ้านไม่ได้นะคุณ”
ผักตบแกล้งโวยวายกลบเกลื่อน ต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกอับอาย จะได้เลิกวุ่นวายกับเขาเสียที
“เจ้าละอายที่จะให้เราตรวจก้นเจ้า” ทรงรับสั่งถามตรงๆ
“ไม่อายก็บ้าแล้ว มีคนสติดีที่ไหนมาให้คนอื่นดูก้นกันบ้างล่ะ”
“เราไม่เถียงวาจาเจ้าดอก ย่อมยกเว้นกรณีคนผู้นั้นบาดเจ็บตรงส่วนนั้น ใยมิยอมให้หมอทำการตรวจรักษาด้วยเล่า”
“คุณเป็นหมอหรือไง ถึงได้ทู่ซี้จะตรวจก้นผมให้ได้” ย้อนให้ได้อาย
“แม้นเราไม่ใช่หมอหลวง แต่มีความรู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ไม่ด้อยกว่าผู้ใด พระบิดาของเราได้รับพิษร้ายกาจยิ่ง
เราคือผู้ทำการรักษาให้พระองค์ เพียงบาดแผลบอบช้ำตกเลือดภายใน มิเกินความสามารถของเราแต่อย่างใด
คงมีแต่เจ้าที่ดื้อรั้นเกี่ยงงอนเช่นนี้” พระองค์กลับกล่าวโทษเป็นความผิดของผักตบ
“อ้าว! อะไรกันคุณ กล่าวหาผมเสียงั้น เป็นคุณกล้าแก้ผ้าให้ผมดูหรือเปล่าล่ะ” ผักตบย้อนถามทันควัน
“นั่นย่อมได้ เพียงแต่เจ้าเอ่ยวาจาใดแล้ว ประสงค์จักดูร่างกายของเราเสียเล่า”
เจอท้าทายแบบนี้ เล่นเอาคนถามไม่ทันคิด..ยืนอึ้งแดกเป็นที่เรียบร้อย
“เฮ้ย! นี่ไม่อายเลยเหรอ ผมไม่หน้าด้านนะ..เจ้าชาย” แต่ก็หัวไวแถเอาตัวรอดเร็วปรื๋อ
“ใยเจ้ากล่าวหาเราแทน มิใช่เจ้าดอกที่ท้าทายเรา ขืนยังถกเถียงกันไม่มีข้อยุติ จักเสียเพลาทำการอื่นเป็นแน่
เช่นนั้นเราคงต้องล่วงเกินแล้ว ขออภัยด้วย” พูดจบยกพระหัตถ์ผายวาดท่วงท่าสง่างาม พร้อมพระดำรัสทุ้มกังวานฟังนุ่มหู
“สายลมจงฟังเรา ตรึงร่างกายบุรุษผู้นี้ในบัดดล” สิ้นพระสุรเสียง
ผักตบก็รับรู้ถึงสายลมวนรอบร่าง พร้อมกับตัวแข็งทื่อกระดิกอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิ้วมือก็ด้วย
“อือๆๆ” ได้แต่ส่งเสียงอยู่ในคอไม่สามารถเปิดปากพูด ส่งสายตาจ้องพระพักตร์หล่อเหลาอย่างดุดัน
แต่องค์ยุพราชหนุ่มหาได้สนพระทัยไม่ กับตรงเข้าช้อนอุ้มท่าเจ้าสาวอย่างอ่อนโยน
ก้าวฉับๆ พาวางนอนบนเตียงอย่างนุ่มนวล จากนั้นไม่เสียเวลาพลิกร่างผักตบคว่ำ
ก่อนขมวดพระโขนงผูกโบกลับมาพลิกนอนหงาย ปลดตะขอรูดซิปกางเกงอย่างถือวิสาสะ
จับถอดออกหมดทั้งชั้นนอกชั้นใน สีพระพักตร์ดูตกพระทัยที่เห็นลิ่มเลือดติดอยู่กับผ้าอนามัยที่ถอดออกมา
รีบพลิกร่างกายผักตบนอนคว่ำ ไม่สนสายตาอีกฝ่ายที่วาวดุอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อคนทำ
ดันจับเขาพลิกไปพลิกมาอย่างกับตุ๊กตา ถอดกางเกงโดยไม่สนเขาจะอายเลยสักนิด
“นี่หรือที่เจ้าบอกว่าเล็กน้อย โลหิตไหลหมดตัวใยมิใช่เรื่องใหญ่” พระองค์ดำรัสเปรยให้ได้ยิน
ผักตบได้แต่ตอบอู้อี้ในคอเพราะเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ อีกฝ่ายหาได้สนพระทัย
กลับทาบพระหัตถ์ลงบนก้อนเนื้อกลมแน่นหยุ่นมือ แล้วกำหนดจิตเดินพลังมหาธาตุวายุเพื่อทำการรักษาให้
ตามที่ทรงเข้าพระทัยว่ามีอาการบาดเจ็บบอบช้ำภายในร่างกาย
พระนาสิกผุดเม็ดเหงื่อ เมื่อทรงรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างภายในร่างกายผักตบ
พระโขนงเข้มขมวดมุ่นพันกันยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ กระทั่งถอนพระหัตถ์ออกจากก้อนเนื้อกลมแน่นหยุ่นมือ
แล้วผายพระหัตถ์ถอนวายุธาตุที่สะกดร่างผักตบเอาไว้ออก
“สายลมเอ๋ย..จงปลดปล่อยเขาเถิด” สิ้นพระสุรเสียง ผักตบถึงค่อยขยับตัวได้อีกครั้ง
“เจ้ามีลมปราณอิสตรี โลหิตก่อเกิดออกจากทวารดุจเดียวอิสตรีพึงมี เจ้าเป็นบุรุษที่มีธาตุของอิสตรี
ซึ่งสามารถให้กำเนิดทารกด้วยหรือนี่” ผักตบอึ้งตาเหลือกเป็นที่เรียบร้อย เมื่ออีกฝ่ายสรุปเสร็จสรรพ
กว่าจะตั้งสติคว้ากางเกงมาสวมอย่างลืมอาย เพราะอารามตกใจกับสิ่งที่ถูกค้นพบ
“เจ้ามีสิ่งใดจักบอกกล่าวเราหรือไม่” พระองค์พระพักตร์แดงฉานปานร่ำสุรารสเลิศ
ผักตบเห็นอาการเข้านึกโมโหกึ่งหมั่นไส้อย่างไม่มีเหตุผล
“เพี้ยนอะไรมาหน้าแดงเอาตอนนี้ ก่อนหน้าจับผมถอดกางเกงจับก้นโดยไม่ขออนุญาต..ไม่ยักอาย”
กลายเป็นชวนทะเลาะพาลใส่เสียดื้อๆ
“นั่นเราหาได้คิดอันใดเพราะเจ้าเป็นบุรุษ หลังรู้ว่าเจ้ามีความเป็นอิสตรี
เราพานรู้สึกผิดที่ล่วงละเมิดกระทำกิริยาไม่เหมาะสมต่อเจ้า เช่นนี้ใยมิอาจไม่รับผิดชอบได้
เฮ้อ! คงเป็นชะตาฟ้าลิขิตมิอาจฝืนอันใดเสียแล้ว” ทิ้งท้ายด้วยการถอนพระทัยหนัก ค่อยดำรัสเหมือนยอมรับชะตากรรม
“พูดอะไรของคุณ” ผักตบไม่เข้าใจ
“เราจักรับเจ้าเป็นชายา” สิ้นกระแสรับสั่ง
“เฮ้ย! ไม่เอา..จะรับผมเป็นชายาบ้าบอไปทำไม ผมกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” เขารีบปฏิเสธพัลวัน
“เราทำตามประสงค์ของเจ้ามิได้ดอก เราล่วงเกินเจ้าแล้ว ซ้ำยังร่วมห้องผ่านราตรีกันอีก
ทั้งที่เจ้ามีความเป็นอิสตรีภายในกาย ถึงปกปิดมิมีผู้ใดล่วงรู้ กระนั้นเจ้ากับเราต่างรู้แก่ใจ
ยังจำกฎมณเทียรบาลได้หรือไม่ ชายหญิงมิใช่คู่วิวาห์สามีภรรยา มิอาจร่วมห้องผ่านราตรีได้
แม้นมารดาของเจ้าเองยังมิอาจพำนักร่วมกับเจ้า แต่เรากับเจ้าได้ละเมิดกฎนี้ร่วมกัน
ย่อมมิอาจเพิกเฉยไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่กระทำ” ดำรัสเปรยอย่างจนหนทาง ทำเอาผักตบอึ้งไปกับความคิดของอีกฝ่าย
“นี่คุณ..ถ้าคุณไม่พูดผมไม่บอกใครจะรู้ สำคัญเราสองคนก็ไม่ได้มีอะไรกันเสียหน่อย คุณไม่ต้องรับผิดชอบผมหรอก
อีกอย่างผมแมนพอที่จะไม่เรียกร้องให้คุณมารับผิดชอบ ถึงเดิมทีไม่เต็มใจพักร่วมห้องคุณก็เถอะ
ขอร้องอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายได้ไหม แค่ข้าศึกจะบุกตีเมืองอีกไม่กี่วันก็ปวดหัวพอแล้ว
อย่าเอาเรื่องขี้ปะติ๋วมาเป็นภาระเลยวะครับ..คุณเจ้าชาย” ผักตบพยายามหว่านล้อม ให้อีกฝ่ายเห็นพ้องไปกับเขาด้วย
“เราเป็นรัชทายาทว่าที่กษัตริย์แห่งไตรคาน ตรัสแล้วมิอาจคืนคำ แม้นเจ้าจักใจกว้าง ไม่ให้เราแบกรับความผิดครั้งนี้
แต่เรามิอาจย่ำยีเกียรติของเราด้วยน้ำมือเราดอก เรื่องนี้เจ้ามิต้องหว่านล้อมอันใด ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราจัดการ
หลังเสร็จศึกสงครามเราจักนำเจ้าเข้าพิธีอภิเษกทันที มิให้เป็นที่ครหาของปวงประชาเป็นอันขาด วางใจเราเถิด”
“โธ่โว้ย! บ้าบอไปใหญ่แล้ว เชิญคุณแต่งคนเดียวเถอะ คนเขาไม่แต่งด้วยจะบังคับให้แต่ง
เอาอะไรคิดหืม อีกอย่างผมไม่ต้องการเป็นชายาใคร ผมแมนเต็มร้อย ต้องการเป็นสวามี”
“เราเข้าใจในความอึดอัดของเจ้า แต่เจ้าจักต้องยอมรับความจริง เจ้าสามารถให้กำเนิดทารก
สืบสายเลือดของราชวงศ์ผู้ใดจักให้เจ้าเป็นพระสวามีกันเล่า แม้นใจเจ้าต้องการแต่ก็ต้องยอมรับในความจริงข้อนี้
นอกจากเป็นพระชายาให้เราเท่านั้น ใช่มีแต่เจ้าที่ลำบากใจ เราเองยังต้องมีเรื่องสะสางอยู่อีกมาก
ด้วยเราเองมีคู่หมั้นคือน้องหญิงศศิธรมาก่อนแล้ว จำต้องขอราชทานพระราชโองการจากเสด็จพ่อ
ยกเลิกการหมั้นหมายในครั้งนี้..เมื่อเราต้องอภิเษกกับเจ้าแทนเสียแล้ว”
“ฟังดูช่างเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ผมไม่ขอรับความหวังดีข้อนี้ คุณแต่งกับองค์หญิงศศิธรคู่หมั้นเถอะ
อย่ามายกเลิกเพราะผมเป็นปัญหา ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ดูคุณออกฉลาดหลักแหลม ไหงกลายเป็นงี่เง่ากับเรื่องบางเรื่อง
จนน่าโมโหขนาดนี้ได้วะครับ..เจ้าชาย” ผักตบอดประชดเข้าจนได้
เขาไม่ได้ต้องการอย่างที่อีกฝ่ายพยายามยัดเยียดให้สักหน่อย
“เอาเถอะ เราสองคนมิอาจพูดคุยกันในเพลานี้ ล้วนทำให้เจ้ากับเราบาดหมางใจกันเปล่าๆ
ไว้เสร็จภารกิจบ้านเมืองเรากับเจ้าคงได้ปรึกษากันอีกครั้ง” นั่นคือการตัดบทสนทนาของพวกเขา
ที่องค์ชายวายุภักษ์เป็นผู้ตัดสินพระทัยให้ยุติ เมื่อไม่เห็นประโยชน์ที่จะทุ่มเถียงโดยความเห็นสองฝ่ายไม่ตรงกันอีกต่อไป..
“ผมบอกไว้ก่อน ต่อให้ผ่านศึกสงคราม ผมก็ไม่รับปากเป็นชายาคุณเด็ดขาด เรื่องนี้ปิดประเด็นไปเลย
ไม่ต้องพูดถึงเป็นดีที่สุด” ผักตบยังคงยืนกรานหนักแน่น องค์ยุพราชหนุ่มมิได้โต้เถียงเขาอีก
นอกจากเปลี่ยนมาชวนไปทำงานที่คั่งค้างให้เสร็จ
“เสียเพลามาพอสมควรทีเดียว ขืนล่าช้าระเบิดที่เจ้าจักประดิษฐ์เกรงไม่เสร็จทันการ” พอองค์ชายเตือน ผักตบก็ยอมลดทิฐิ
“งั้นก็รีบไป เดี๋ยวก็เสียบ้านเมืองเพราะมัวแต่จะจับผมแต่งหรอก”
อดเหน็บไม่ได้ ก่อนสาวเท้านำออกประตู โดยองค์ชายทอดเนตรมองตามแผ่นหลังอีกฝ่าย
ฉายพระเนตรขบขันปนเอ็นดู นึกงงเช่นกันที่อีกฝ่ายเมินตำแหน่งที่พระองค์เต็มใจยกให้
ทั้งที่กุลธิดาทั่วแผ่นดินต่างต้องการแย่งชิงกันครอบครองนักหนา ผักตบกลับปฏิเสธท่าเดียว
ใยมิทำให้พระองค์ต้องขบคิดถึงความแปลกแยกในข้อนี้
กระนั้นก็ทรงตั้งพระทัยเอาไว้มั่น เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้
คงมีหนทางเดียวที่พระองค์จักไม่รู้สึกผิดต่อผู้ใด แม้แต่องค์หญิงพระคู่หมั้นก็เช่นกัน
ด้วยเหตุผลที่มีไม่ให้ผิดต่อกฎมณเทียรบาล ย่อมเพียงพอแล้วที่จักยกอ้างในการนี้..
สวรรค์คงหาทางออกให้แก่พระองค์เรียบร้อยแล้ว..
มาอัพตามนัดแล้วนะคะ เจอกันอีกทีวันพฤหัสบดีค่ะ
ตอนหน้าบู๊สะเทือนแผ่นดิน ใครรอชมฉากบู๊ได้ดูสมใจ
พบกับไหวพริบปฏิภาณอันชาญฉลาดของผักตบได้ในตอนหน้าจร้าาา
ขอบคุณทุกกำลังใจที่ติดตามกันเช่นเคย

ปล.องค์ชายทรงเครียดที่หาวิธีแก้ปัญหาไม่ออก ตอนนี้เริ่มเห็นช่องทางแล้ว 5555!!
