- 2 -กระโจมที่อยู่ห่างไปพอสมควร สตรีสองนางกำลังนัวเนียบนเตียง ปรนเปรอกามตัณหาอย่างหลงใหล เสียงครางพร่ากระสันรัญจวนเล็ดลอดสอดประสานกันอยู่ตลอดเวลา
“องค์หญิง..ข้าพระองค์ไม่ไหวแล้วเพคะ” เสียงหวานแว่วของดรุณีวัยกำดัด บิดกายเร่าด้วยความซ่านเสียวสุดทน
บุคคลที่นางเอ่ยนามกลับเป็นองค์หญิงชลธาร ทรงคร่อมวรกายบดคลึงฝากรอยจุมพิตทั่วร่างอรชร
ส่วนเว้าส่วนโค้งงดงามด้วยวัยแรกแย้ม ปทุมถันนั่นเล่ารับการขย้ำบีบจากหัตถ์เรียว กลีบปากสีสดบดจูบตอบโต้ไม่มีถอย
ด้านล่างต่างบดเบียดเสียดสีปานจะลุกเป็นไฟแล้ว รสนิยมส่วนพระองค์ทรงพิสมัยกลิ่นกายอิสตรี
ยิ่งหลงใหลอย่างหนัก เมื่อได้สัมผัสตอนพระชนม์ 17 ชันษา
พระองค์ไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นได้เยื่องไร ทรงหาได้มีพระประจำเดือนดุจสตรีพึงมี
แม้จะทรงพระศิริโฉมจนเป็นที่อิจฉาในหมู่สตรี พระองค์กลับชมชอบสรีระสตรีเช่นเดียวกัน
ทรงปลดปล่อยพระกำหนัดกับอิสตรีตั้งแต่นั้นเรื่อยมา หาได้มีพระทัยปฏิพัทธิ์ต่อบุรุษไม่
แม้นทรงมีพันธะผูกพันอภิเษกกับองค์ชายธรณิณในกาลข้างหน้า กระนั้นหาได้ทรงวิตกแต่อย่างใด
ทรงคิดไว้ในพระทัยพิธีอภิเษกจักกระทำตามหน้าที่ ย่อมไม่มีการร่วมหอก่อความสัมพันธ์ทางกายแน่
จักทรงอยู่ร่วมกันดุจพี่น้อง แต่ในสายตาผู้คนทั่วทั้งนครย่อมเข้าใจว่าพระองค์เป็นคู่อภิเษก
คงมีเพียงองค์ชายธรณิณเท่านั้น ที่จะทำสัญญาลับต่อกัน
ที่สุดแล้วพระองค์รู้พระทัยดีว่า ทรงพิสมัยต่ออิสตรีลึกล้ำไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้
ต่อให้ยังไงก็มิอาจชื่นชอบร่างกายบุรุษที่พระองค์ให้ความรู้สึกรังเกียจเสียด้วยซ้ำ ถ้าต้องมีการสัมผัสลึกล้ำต่อกัน
เรื่องนี้แม้แต่พระปิตุลาก็มิทรงล่วงรู้ ล้วนเป็นความลับที่เก็บงำมาเนิ่นนาน...
>
>
“เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ” พระดำรัสตรัสถามดังจากด้านหลัง ทำให้ผักตบที่ยืนคิดเพลินๆ
รับลมอยู่ในสวนกระบองเพชรของพระตำหนัก ถึงกับแปลกใจไม่น้อย ปาเข้ามาสี่วันแล้วที่ไม่เห็นเงาคนถามในยามค่ำคืน
ดันมาโผล่ให้เห็น ทั้งที่ตอนนี้จากการตีเกราะบอกเวลาของทหารยาม
น่าจะเที่ยงคืนไปแล้ว..ทำไมอีกฝ่ายกลับมาปรากฏตัวอยู่อีก
“ถามผม..แล้วคุณทำไมยังไม่นอน” เขาไม่ตอบ กลับถามคืนเฉย
“เราถามเจ้าก่อน สมควรเป็นเจ้าให้คำตอบเรา” พระองค์ไม่ยอมตอบเช่นกัน ใช้วิธียอกย้อนได้สมน้ำสมเนื้อ
ผักตบจ้องคนพูดนิ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าจะถูกย้อน เริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ
“เห็นอยู่ผมยืนอยู่ในสวน จะถามทำไมว่ายังไม่นอน ถ้านอนผมจะมายืนที่นี่หรือครับ”
กวนใส่เสียเลย สองสามวันมานี้ทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกัน
ต่างคนต่างมีหน้าที่ องค์ชายคุมการซ้อมรบของทหารด้วยตนเอง เพื่อเตรียมรับมือข้าศึก
ส่วนผักตบหมกอยู่กับฝ่ายสรรพาวุธที่เขาคัดเลือกจากการสัมภาษณ์ช่วยกันประกอบระเบิด
เพิ่งมีเวลาหายใจหายคอเมื่อทุกอย่างดำเนินการแล้วเสร็จตามกำหนด
ล่าสุดหน่วยข่าวกรองส่งรายงานมาว่า กองทัพข้าศึกเดินทางใกล้เข้ามาแล้ว วันมะรืนคงประชิดยังนคร
องค์ชายได้มีพระบัญชา ให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมประชุมปรึกษาโค้งสุดท้ายในเช้าพรุ่งนี้
เขาก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับสาส์นจากองครักษ์หน้านิ่ง เป็นผู้นำมามอบให้ด้วยตัวเอง
“เราเห็นเจ้าไม่นอนจึงไต่ถาม เพียงอยากรู้มีเหตุอันใดทำให้เจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ ทั้งที่เป็นเพลาหลับพักผ่อน”
พระองค์พระทัยเย็นใช้สุรเสียงทุ้มนุ่มมิได้ยอกย้อนดังเดิม รู้ดีขืนทำแบบนั้นผักตบคงไม่รามือ
ต่อปากต่อคำไม่สิ้นสุด บทจะรั้นก็ดื้อเอาเรื่อง นิสัยข้อนี้พระองค์เริ่มเรียนรู้พอสมควร
“ผมนอนไม่หลับ เลยออกมาสูดอากาศ” ผักตบยอมลดท่าทีลง เมื่อองค์ชายไม่ยียวนกวนโมโหเขาอีก
“มีเรื่องใดรบกวนใจเจ้า ใช่จักเป็นเรื่องการศึก” พระองค์ทรงถามด้วยพระสุรเสียงเอื้ออาทร บ่งบอกให้รับรู้ว่าทรงเป็นห่วง
“เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเข้าร่วมสงครามจริง ไม่เหมือนนั่งดูจากในหนังในละคร”
พอพูดประโยคนี้ก็ต้องชะงัก พระพักตร์คนฟังเริ่มแสดงอาการพระโขนงขมวดปมพันกันยุ่งไปแล้ว
“หมายถึงการแสดงไม่ใช่ของจริง..บ้านเมืองที่ผมจากมาเขามีการแสดงเหล่านี้ให้ชม แต่คราวนี้มันเป็นของจริง
ใช้ชีวิตผู้คนเดิมพันจะไม่ให้กังวลคงเป็นไปไม่ได้” ผักตบบอกตามที่รู้สึก เขาอดห่วงไม่ได้ ล่าสุดปัญหาเรื่องน้ำ
เป็นเรื่องใหญ่ยังไม่มีทางแก้ไข แหล่งน้ำในนครเริ่มจะตื้นเขินเรื่อยๆ เหลือไว้กินไว้ใช้ได้อีกไม่เกินสิบกว่าวัน
“เราเข้าใจความรู้สึกเจ้า จึงอยากขอบใจเป็นการส่วนตัวที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยเหลือพวกเรา
หลายวันมานี้เจ้าคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” ดวงเนตรคมทอดอ่อน..มองใบหน้าขาวช่างหล่อเหลา
อย่างต้องการบอกความรู้สึกว่าทรงเป็นห่วง พระสุรเสียงฟังดูอบอุ่นอ่อนโยนยิ่งนัก
“มะ..ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ ไม่ต้องขอบคุณผม ที่จริงถ้าไม่มีคุณไปพาผมกับแม่มาที่นี่
ป่านนี้เราสองแม่ลูกยังไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงเลยด้วยซ้ำ ถือว่าคุณช่วยผม..ผมช่วยคุณเป็นการตอบแทน
เราต่างไม่ติดค้างว่าไหม” ผักตบไม่กล้าสบเนตรคมที่มองไม่วางตา วางหน้าไม่ถูกกับการโดนอีกฝ่ายจ้องเขาแบบนี้
ไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน พูดให้ถูกเขาไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว
ใกล้ชิดพูดคุยสนิทใจได้เท่าคนตรงหน้า พานทำให้หัวใจดันเต้นแปลกๆ ควบคุมได้ลำบาก..
“เจ้าช่างถ่อมตัวนัก รู้หรือไม่พสกนิกรไตรคานของเรายกย่องเชิดชูเจ้าเป็นปราชญ์แห่งแผ่นดินไปแล้ว
ชื่อของเจ้าเป็นที่ถูกกล่าวขานไปทั่ว ผู้คนไม่น้อยต้องการยลโฉมของเจ้า มากกว่ารับฟังจากคำบอกเล่า”
พระดำรัสองค์วายุภักษ์ ทำเอาผักตบกลั้นขำไว้ไม่ได้ หลุดหัวเราะอย่างไม่ทันเก็บอาการ
“คึคึ!!...ผมนึกว่าการสร้างกระแส จะเก่งเฉพาะยุคของผมเสียอีก ยุคเก่าล้าหลังหลายพันปีก็ใช่ย่อย
นึกภาพตอนผมยืนโบกมือทักทายผู้คนทำอะไรแบบนั้นแล้วอดขำไม่ไหว โทษทีที่เสียมารยาทหัวเราะต่อหน้าคุณ
มันน่าขำน้อยซะเมื่อไหร่..ปราชญ์แห่งยุคเชียวนะ ไว้ผมจะยืดอกรับคำชมก็ต่อเมื่อเราขับไล่ข้าศึกไปได้
เมื่อยังไม่ถึงเวลานั้น ผมไม่กล้ารับไว้หรอกครับละอายใจตายชัก..ถ้าเกิดเราแพ้ขึ้นมาล่ะก็ ไม่เท่ากับผมวางแผนห่วยนะสิ”
“แม้นเราจักพ่ายแพ้ ย่อมไม่มีใครกล่าวโทษเป็นความผิดเจ้าดอก เจ้าเป็นผู้ใดฝีมือเพลงอาวุธหามีไม่
ได้ชื่อเป็นผู้ถือครองเทพมหาธาตุกลับมิอาจเรียกใช้เทพธาตุได้ ใยมิต่างจากบุคคลธรรมดา
แต่เจ้ากลับมีมันสมองเฉลียวฉลาด วางแผนการรบใช้สิ่งประดิษฐ์ที่เจ้ามีให้เกิดประโยชน์ต่อพวกเรา
ข้อนี้ต่างหากทำให้เจ้าสมควรได้รับการยกย่องเชิดชู ‘เจ้าคือวีรบุรุษในใจเรา’ แทนการขอบคุณ ขอจงรับสิ่งนี้เอาไว้
อย่าได้ถอดออกจากนิ้วเป็นอันขาด” พูดจบล้วงเอาแหวนมรกตกลมเกลี้ยงออกมาให้ผักตบดู
อีกฝ่ายมองด้วยความงุนงง แต่ไม่ได้ถามอะไรไป เขารอองค์ชายพูดต่อให้จบ
“นี่คือธำมรงค์มรกตมีความสำคัญต่อเรานัก จงสวมติดนิ้วเอาไว้อย่าได้ถอด มันจักเป็นเกราะกำบังมนตราชั่วร้าย
ตลอดจนศาสตราวุธทุกชนิดให้เจ้าได้ เจ้าเองมิอาจสร้างเกราะกำบังกาย จงสวมธำมรงค์เอาไว้ รับปากเราได้หรือไม่
ว่าเจ้าจักเก็บรักษาตลอดไป” พระองค์กลับย้ำขอคำสัญญาผักตบ สายพระเนตรที่ใช้ทอดมองขณะมีกระแสรับสั่ง
ดูจริงจังเกินกว่าจะเป็นการรับสั่งตามปกติ
“เออ..สวมแหวนวงนี้เนี่ยนะ” เขารู้สึกเขินสายตาคนให้ พานไม่อยากรับ บรรยากาศแวดล้อมบวกสถานที่
อีกทั้งคำพูดของคนให้ ถึงไม่ใช่การขอแต่งงาน แต่มาเน้นย้ำให้สวมแหวนมันออกไปแนวนั้นกลายๆ
“เป็นไรไปแล้ว ลังเลอันใดใบหน้าถึงซับสีโลหิต ลำบากใจหรือเจ้า เราเป็นห่วงรู้หรือไม่
ยามรบเพลาคับขันเราเกรงจักมิอาจปกป้องเจ้าได้ทัน หากมีธำมรงค์วงนี้ยังพอคุ้มภัย รับไปเถอะนะ”
พระองค์กลับใช้พระสุรเสียงวิงวอนแทนแล้ว หลังเข้าพระทัยว่าผักตบไม่อยากรับแหวนมรกต
เพราะเขาเล่นเงียบ ยืนหน้าแดงเป็นลูกพลับสุกไปเสียเฉยๆ
“เฮ้อ! ก็ได้..เดี๋ยวคุณจะพานคิดว่าผมลำบากใจ ความจริงลำบากใจอยู่พอสมควร”
ผักตบตัดบทหยิบแหวนมาสวมปากบ่นไปด้วย เขาตั้งใจให้เจ้าของได้ยิน นิ้วชี้ดันใส่ไม่ลง
นิ้วกลางไม่ต้องพูดถึง นิ้วชี้สวมไม่ได้ประสาอะไรกับนิ้วกลาง ลองนิ้วนางกลับสวมได้พอดี
สำคัญนิ้วนางมือขวาใส่ไม่ได้ แม่เจ้า!..นิ้วนางมือซ้ายคล่องปรือไม่มีติด เหมือนทำมาเพื่อนิ้วนี้เสียอย่างนั้น พอดีเป๊ะ!
“หึ!..เหมือนจะรู้เนอะ ต้องน้องนางข้างซ้าย” ผักตบคุยกับตัวเองแต่เป็นการพูดออกแนวประชด
“ถึงกับลำบากใจในการสวมใส่ธำมรงค์ของเราเชียวหรือ”
เจ้าของแหวนมรกตทอดเสียงตัดพ้อ คนฟังยังจับกระแสความรู้สึกได้ชัด
“เอาน่า..น้อยใจอะไรกันคุณ ผมก็ใส่แล้วไงครับ คนที่สมควรคิดมากคิดเยอะจึงเป็นผม
คุณรู้ไหมขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมที่บ้านเมืองผม การรับแหวนคนอื่นมาสวมนิ้วนาง..หมายความว่ายังไง”
ผักตบนิ่วหน้าถามน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย เขาหมั่นไส้หนุ่มหล่อตัวโตตรงหน้าที่ดันออกอาการน้อยใจ
ในคำพูดที่ไม่จริงจังของเขาเสียอย่างนั้น
“เราย่อมมิอาจรู้ได้” พระองค์ยอมรับตรงๆ
“หมายความขอแต่งงาน..ถ้าคนรับไม่ปฏิเสธแปลว่าตอบรับคำขอ เข้าใจหรือยังทำไมผมถึงอึดอัด”
ผักตบอธิบายอย่างใจเย็น เผื่ออีกฝ่ายจะรับรู้ในความกระอักกระอ่วนของเขา ที่อ้ำอึ้งต่อการรับแหวน
“เป็นเช่นนั้นดอกหรือ..ย่อมมิต่างธรรมเนียมของเราดอก การมอบของแทนใจให้คนผู้หนึ่ง
แปลว่าผู้ให้ขอมาเป็นคู่วิวาห์ แม้นยังไม่มีพิธีอย่างเป็นทางการ แต่การรับรู้ย่อมทราบกันดีว่า
ฝ่ายที่มอบให้ได้ขอผู้รับสิ่งของเพื่อการวิวาห์ เป็นคู่ชีวิตของเขาเรียบร้อยแล้ว”
“หา!..คุณอย่าบอก” ผักตบอ้าปากค้าง ละคำพูดในประโยคเอาไว้ ไม่กล้าต่อจนจบ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” องค์ชายแย้มสรวลชนิดหล่อฉิบหายวายป่วง ถ้าใครเห็นพระพักตร์ยามนี้
แต่ผักตบกลับมองว่าเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์สุดๆ
“เฮ้ย! ถ้างั้นเอาคืนไปผมไม่รับ คุณวางแผนหลอกล่อผมนะครับ” เขาโวยตั้งท่าถอดแหวนออกจากนิ้ว
ฝ่ายที่ตัวโตกว่ากลับรวบมือเขาเอาไปกุมทั้งสองข้าง บังคับไม่ให้ถอด พร้อมกับสบตาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพราว
อย่างคนมีความสุข ผักตบไม่รู้สักนิด ว่าแหวนมรกตที่สวมอยู่มันกำลังเปล่งประกายเขียวนวลกว่าปกติ
นั่นเป็นเพราะมันถ่ายทอดความรู้สึกคนใส่สู่เจ้าของที่มอบให้ องค์ยุพราชหนุ่มย่อมรับรู้ได้
ว่าหนุ่มหล่อตรงหน้าตกอยู่ในภาวะลำบากพอดู ในการควบคุมจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อที่พวกเขาต่างเรียกว่า ‘หัวใจ’
“เจ้ามิอาจถอดออกจากนิ้วหากเราไม่อนุญาต แหวนมรกตวงนี้มีพลานุภาพตามที่เราบอกแก่เจ้ามิได้โป้ปด
ให้แหวนคุ้มครองปกป้องเจ้าแทนเราเถิด ส่วนเรื่องยอมรับคำขออภิเษกของเราหรือไม่ ให้เพลาเป็นผู้ตัดสิน
อย่าได้ด่วนผลีผลามปฏิเสธคำขอของเราในตอนนี้ ถึงเพลานั้นเจ้าอาจเปลี่ยนใจ เรามั่นใจแม้นเรามิใช่สตรีงดงามในแผ่นดิน
ที่เจ้าใคร่อยากครอบครอง แต่ถ้าเทียบกับบุรุษแล้ว เราหาได้ด้อยกว่าใคร เช่นนั้นเจ้าควรภูมิใจ
ที่มีพระสวามีสง่างามดังเราเป็นคู่ชีวิต”
“แค่กๆๆ..บ้าเอร้ย! ชมตัวเองก็เป็น เอาเหอะอยากคิดอยากทำอะไรตามใจ ผมยอมรับคุณหล่อมาก
แต่อย่าลืมผมก็พอตัวไม่ได้ด้อยกว่าคุณหรอก แล้วทำไมคนหล่อสองคนต้องมาเป็นผัวเมียกันเองครับ
รบกวนช่วยเอาเรื่องนี้เก็บกรุก่อนดีไหม..ประสาทว่ะ!” ประโยคทิ้งทวนที่สองหนุ่มเสวนาร่วมกัน
ก่อนผักตบจะปลีกตัวหนีเข้าห้อง โดยอ้างว่ารู้สึกง่วงแล้ว เหตุผลแท้จริง เขาทนมองหน้าคนอวยตัวเองไม่ไหว
มีอย่างที่ไหนเชียร์ตัวเองให้เขารับเป็นสามี ยอมมาเป็นเมียเขาสิ..จะรับไว้พิจารณา..หึหึ!
มาอัพให้ตามนัดค่ะ ลงตอนนี้ยังไม่ครบ แค่ 70% จะมาต่ออีกทีตอน 3 ทุ่มนะคะ
เพราะฉากบู๊กำลังปั่นและแก้ไขให้ได้ตามที่ต้องการอยู่ ฉากนี้มีแอ็คชั่นเยอะ ยากพอสมควร
และส่งผลต่อตอนต่อไปเป็นอย่างมาก ดังนั้นอีก 30% รออ่านนิดนึง 3 ทุ่มค่ะ ขอเวลาเกลาเนื้อหานานพอสมควร
ขอบคุณทุกแรงใจแรงเชียร์ที่คอยติดตามผลงานกันมาตลอด ขอบคุณจากใจอีกครั้งนะคะ
