Chapter 16 [THE END]
“นิล” คลาร่าสะกิดไหล่ผมในบ่ายวันทำงานวันหนึ่ง
“หืม?”
“แฟนคุณน่ะ คือจูเนียร์ใช่ไหม” ผมตกใจนิดหนึ่งตอนที่ได้ฟังคำถามของคลาร่า แม้ในใจก็คิดว่าเธอคงรู้เพราะพี่รันเล่นมารับผมอยู่บ่อยๆ แถมเรายังพูดภาษาไทยกันสองคนเสมอๆ และผมเองก็เคยบอกหล่อนไปแล้วว่าผมไม่ชอบผู้หญิง ซึ่งนั่นก็คงเดาได้ไม่ยากเท่าไรละมั้ง
“อืม” ผมตอบรับสั้นๆ แต่กลับมีเสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นรอบตัวผม
“เห็นมั้ยฉันบอกแล้ว กรี๊ดๆ”
“อะไรกัน เธอเป็นเจ้าของหนุ่มหล่อคนนั้นงั้นเหรอ”
“เล่าให้ฟังบ้างสิว่าคบกันได้ยังไง”
“แล้วเรื่องบนเตียงน่ะเขาร้อนแรงมั้ย”
ฯลฯ
สารพัดคำถามที่ดังขึ้นรอบตัวทำให้ผมหันไปส่งสายตาขุ่นเขียวให้คลาร่า แต่เธอกลับส่งยิ้มแหยมาให้ผมคล้ายว่าเธอก็ถูกบังคับให้มาถามเหมือนกัน ผมจึงได้แต่ถอนหายใจและยังไม่ได้ทันตอบคำถามใครสักคน เสียงปานฟ้าผ่าก็ดังขึ้น
“พวกเธอ!! ทำไมไม่ไปทำงาน” สตีฟที่โผล่มาจากไหนไม่รู้พูดเสียงเหี้ยมใส่สาวๆจากแผนกบัญชีและขู่ว่าจะตัดเงินเดือนถ้าพวกเธอยังไม่รีบไปทำงานกัน
แล้วพอเหล่าสาวๆพวกนั้นหายไปหมดแล้ว สตีฟจึงหันมาจ้องหน้าผมเขม็ง
“เฮ้ ผมไม่ได้ชวนพวกเธอคุยนะ” ผมรีบบอก และหันไปมองคลาร่าที่พยายามเข้ามาช่วยอธิบายเหมือนกัน
“ช่างเรื่องนั้นเถอะ ว่าแต่คุณเป็นคนรักของฮาร์คินส์จูเนียร์จริงเหรอ” ผมเหวอ และคลาร่าก็เหวอตอนที่สตีฟลากเก้าอี้มานั่งโต๊ะผม ผมหันไปสบตาคลาร่าแล้วก็หันมาพยักหน้าให้เจ้านาย
“คุณเคยลองถามเขามั้ยว่าเขาไม่สนใจจะดีลธุรกิจกับทางเราบ้างเหรอ?” ดวงตาสตีฟฉายแววขี้งกอย่างชัดเจนจนคลาร่าลากผมมาจากโต๊ะและบอกกับเจ้านายว่าสองคนมีลูกค้า
“ขอตัวนะคะสตีฟ เราสองคนต้องไปคุยกับลูกค้าค่ะ” ว่าแล้วก็รีบชิ่งออกมาโดยทิ้งไว้เพียงเสียง ‘ชิส์’ อย่างหงุดหงิดใจของเจ้านาย
ผมเข้าใจในสิ่งที่สตีฟพยายามจะสื่อนะ หากว่าบริษัทของสตีฟได้ร่วมลงทุนธุรกิจใดกับทางบ้านพี่รันละก็ นั่นถือได้ว่าเป็นการขยายตลาดได้อย่างดี ก็รู้ๆกันอยู่ว่าบ้านพี่รันเป็นเจ้าของโรงแรม แล้วถ้าพี่รันจ้างบริษัทของสตีฟไปก่อสร้างก็คงได้ผลตอบแทนไม่ใช่น้อย แถมถ้างานออกมาดีก็ยังได้ชื่อเสียงอีก แต่ไอ้คนกลางแบบผมนี่สิที่ไม่อยากยุ่งกับเรื่องธุรกิจพวกนี้เลย โชคดีที่คลาร่าก็เข้าใจดี
หลังจากที่ผมและคลาร่าเผ่นออกมาจากออฟฟิศแล้ว เธอก็พาผมมายังสถานที่นัดลูกค้าซึ่งเป็นคอฟฟี่ช็อป คลาร่าชี้ให้ผมดูหญิงสาวผมสีเข้มที่นั่งอยู่โซนส่วนตัวและบอกว่านั่นคือลูกค้าที่เราต้องมาคุยด้วย
“สวัสดีค่ะมิสจูลส์ เราสองคนมาจากอาคิเท็คทเวนตี้โฟร์ค่ะ ฉันคลาร่าและคนนี้คือนิลค่ะ เราเป็นสถาปนิกที่จะมาคุยเรื่องงานออกแบบออฟฟิศของคุณ”
“สวัสดีค่ะ ฉันอมีเลีย จูลส์ ต้องขอรบกวนคุณสองคนด้วยนะคะ” มิสจูลส์เชิญให้พวกผมนั่งลงที่โต๊ะ ผมจึงได้มีโอกาสพิจารณาหญิงสาวตรงหน้าอย่างชัดเจน เธอเป็นสาวอังกฤษโดยแท้ และสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจคือใบหน้าของเธอที่มีเค้าโครงคล้ายผมเหลือเกิน เว้นก็แต่ผมสีบรูเน็ตและดวงตาสีเขียวที่ทำให้เราสองคนดูแตกต่างกัน คลาร่าเองก็คงสังเกตได้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เรานั่งคุยงานกันโดยมีคลาร่าเป็นผู้ซักถามความต้องการของมิสจูลส์ และมีผมเป็นคนร่างแบบคร่าวๆด้วยดินสอ ซึ่งสตีฟชอบให้ใช้การร่างแบบด้วยมือมากกว่าคอมพิวเตอร์ เพราะเขาบอกว่ามันสะดวกและเราสามารถใส่รายละเอียดต่างๆลงไปได้แบบละเอียดยิบ ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะผมเองก็ชอบอะไรแบบเดิมๆด้วย
“เดี๋ยวผมจะเอาไปร่างแบบนะ” ผมบอกกับคลาร่าตอนที่เราคุยเสร็จแล้ว มิสจูลส์วางแก้วน้ำชาลงแล้วบังเอิญเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมพอดี ผมจึงส่งยิ้มให้เธอ แต่แว่บหนึ่งผมกลับรู้สึกได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรของเธอก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มดังเดิม
“ได้สิ งั้นเดี๋ยวฉันขอส่งมิสจูลส์ก่อนละกัน” ผมพยักหน้าให้คลาร่าและเก็บกระเป๋าไปรอที่รถ ในใจก็ยังตะหงิดกับสายตาไม่เป็นมิตรแว่บหนึ่งนั้น แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะผมเสียก่อน
“ฮัลโหลพี่รัน” ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงจากปลายทาง “คิดถึงนิลอะดิ”
‘รู้มั้ยว่าเดี๋ยวนี้ตัวเองปากหวาน’
“ไม่นะ ก็ปกติเหอะ”
‘หึ พี่ว่าไม่’ ผมรู้สึกได้เลยว่าพี่รันกำลังอมยิ้ม เพราะผมเองก็กำลังยิ้มอย่างกับคนบ้า อาการอินเลิฟมันเป็นแบบนี้นี่เองเนอะ
“แล้วโทรมามีไรเนียะ นิลออกมาคุยกับลูกค้า เดี๋ยวต้องกลับเข้าออฟฟิศอีกนะ”
‘พี่จะโทรมาบอกว่าอย่าทำงานเพลินจนลืมนัดเราเย็นนี้นะ’ ผมนึกถึงนัดดินเนอร์ที่พี่รันจะพาผมไปกินร้านที่เคยเล่าให้ฟังว่าเป็นแนวออแกนิคส์ ซึ่งผมอยากจะไปเก็บข้อมูลสูตรอาหารมาให้แม่ใช้บ้าง
“ไม่ลืมหรอก แค่นี้ใช่มั้ย”
‘ยัง’
“มีอะไรอีกครับ”
‘คิดถึง’
หน้าผมตอนนี้ -//-
“เหมือนกันแหละ” แล้วผมก็รีบวางสาย พอเอามือมาจับๆหน้าตัวเองก็รู้สึกว่ามันร้อนๆยังไงก็ไม่รู้แหะ
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะกระจกรถเรียกให้ผมหันไปมอง คลาร่ากำลังทำสายตาล้อเลียนผมโดยมีมิสจูลส์ยืนอยู่ด้านหลัง
“อ้าว” ผมร้อง
“ไม่ต้องอ้าวหรอก เผอิญรถของเธอมีปัญหาน่ะ เลยจะขอติดรถเราไปลงที่อู่รถแถวๆนี้” ผมพยักหน้ารับรู้และปลดล็อกให้สองคนเข้ามา คลาร่าเดินมานั่งที่นั่งข้างคนขับและมิสจูลส์นั่งเบาะหลัง ตลอดทางไปอู่ซ่อมรถมีแต่ความเงียบในห้องโดยสาร แม้ว่าคลาร่าจะพยายามชวนหล่อนคุยแค่ไหนแต่หล่อนก็แค่ถามคำตอบคำเท่านั้น พอผมขับมาถึงอู่รถหล่อนก็เปิดประตูลงไปและปิดเสียงดังโดยไม่ขอบคุณพวกเราสักคำ ผมและคลาร่าจึงได้แต่มองหน้ากันแบบงง
“หล่อนไปโกรธใครมา”
“ผมน่าจะเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่านะ” ผมพูดกลั้วหัวเราะขณะที่กำลังกลับรถ จากที่อารมณ์ดีตอนคุยกับพี่รันเมื่อกี้ก็เริ่มกลับมาครุ่นคิดเรื่องแววตาไม่เป็นมิตรตอนนั้นอีกครั้ง
“ตอนที่ฉันคุยกับเขาก็ปกติดีนะ แต่พอเดินมาที่รถเรานี่แหละ เธอก็เปลี่ยนท่าทีไปเป็นคนละคนเลย” คลาร่าเล่าเป็นฉากๆ
“ผมไม่มีความเห็นหรอก ฮ่าๆ”
หลังจากนั้นทั้งผมและคลาร่าก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น และไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย
-----------*------------
“โอ้โห คนเยอะจัง” ผมอ้าปากค้างเมื่อมาถึงร้านอาหาร พี่รันมองผมยิ้มๆประมาณว่า ‘เห็นไหมละ พี่บอกแล้ว’
“แล้วพี่รันจองที่ไว้แล้วเหรอ” ผมมองสภาพลูกค้าในร้านที่เยอะจนไม่มีที่นั่งถ้าไม่ได้จองไว้ล่วงหน้า
“ระดับพี่” เจ้าตัวว่ายิ้มๆแล้วก็จูงผมเดินเข้าไปในร้าน พนักงานต้อนรับพอเห็นพี่รันก็กุลีกุจอเข้ามาต้อนรับ ‘มาบ่อยสิท่า’ ผมแอบคิดในใจ
บริกรหนุ่มผมสีทรายพาเราไปนั่งและแนะนำรายการอาหารของวันนี้ พี่รันสั่งเมนูประจำวันไปสองสามอย่างและให้ผมเป็นฝ่ายสั่งอย่างอื่นที่ผมอยากกิน ผมจึงสั่งอาหารที่มีส่วนประกอบเป็นผัก ธัญพืช ไข่ เต้าหู้ และปลา (ซึ่งมันก็มีวัตถุดิบอยู่แค่นี้อะ) ดูท่าว่าถ้าผมกินร้านนี้ทุกวันคงผอมอะ คือเรียกได้ว่าเขามีแต่อาหารคลีนจริงๆ แต่ถ้าแม่ผมจะเปิดร้านคงไม่ได้เน้นคลีนขาดนี้ ก็มนุษย์เป็นสัตว์กินเนื้อนะเฟ้ย กินแต่ผักกับเต้าหู้ก็หมดแรงพอดี (คหสต.นะครับคุณ)
“พี่รันมาบ่อยเหรอ” ผมถามก่อนจะดูดน้ำผักสมูทตี้อะไรสักอย่างที่เขานำมาเสิร์ฟ รสชาติมันไม่เลวเลยละ
“ก็ประมาณเดือนละสองสามครั้ง” หูย ผมแอบคิดถึงค่าอาหารที่แม่งโคตรแพงแล้วก็ขนหัวลุก มากินเดือนละสองสามครั้งคงหมดหลายพันปอนด์ ค่าอาหารที่นี่แม่งแพงจริงๆนะครับ
“ต่อไปนี้ไม่ต้องมาละ เดี๋ยวไปกินร้านแม่นิล” ผมบอก ถึงเสี่ยรันจะรวยแค่ไหน แต่ผมก็ไม่อยากให้ฟุ่มเฟือยกับของที่ราคาเกินเหตุแบบนี้ มีแต่ผักๆๆๆ ทำไมแพงนักก็ไม่รู้
สำหรับรสชาติอาหารนั้นก็ไม่มีอะไรให้ติ แต่ก็ไม่มีอะไรให้ชมเช่นกัน ด้วยจานอาหารที่จัดวางมาก็หน้าตาดี และรสชาติก็อร่อย แต่มันก็ไม่ได้อร่อยจนแบบว่า เหยดโด้วววววว อร่อยมากกกก อะไรขนาดนั้นอะ (-..-) แต่ทำไมฝรั่งมันชอบกันนักก็ไม่รู้
“คือจริงๆก็ไม่ได้ชอบอาหารร้านนี้มากมายหรอกนะ แต่คือผักมันเยอะดี เวลาอยากจะรักสุขภาพขึ้นมาก็มากินร้านนี้ มันสะดวกสำหรับตัวคนเดียวน่ะ” ประโยคบอกเล่าของพี่รันที่โคตรจะแทงใจผมโดยที่เจ้าตัวคงไม่ทันรู้สึก เพราะพี่รันก็ยังคงจิ้มสลัดแครนเบอร์รี่มากินหน้าตาเฉย แต่ผมนี่สิ ไอ้คำว่าตัวคนเดียวมันช่างเป็นคำที่แสนไพเราะจนผมแทบจะโบยบิน ตัวคนเดียวน่ะคุณเข้าใจมั้ย มันแปลว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้เอาใครมาเคียงคู่ได้หรือเปล่า
“สลัดแซลม่อนราดซอสงาดำกับพริกไทยครับ” บริกรหนุ่มคนเดิมนำสลัดจานที่สองของเรามาเสิร์ฟคั่นเวลาฟุ้งซ่านของผม สลัดผักเขียวขจีที่มีแซลม่อนสไลด์บางๆโปะหน้ามาพร้อมกับส้อมและทัพพีไม้สำหรับคนวางลงตรงหน้า บริกรหนุ่มหยิบอาวุธมาเพื่อจะคนสลัดผัก แต่ผมยกมือห้ามและบอกว่าไม่ต้อง ผมจะทำเอง
“พี่รันห้ามพูดว่าตัวคนเดียวอีกนะ” ผมพับแขนเสื้อและหยิบส้อมกับทัพพีไม้ขึ้นมา “เรามีกันสองคน และนิลก็จะทำอาหารให้พี่กินเหมือนเมื่อก่อนเอง... นะ” ผมวางอุปกรณ์ลงและเลื่อนชามสลัดไปใกล้พี่รัน ดวงตาคมสีอ่อนทอประกายเจิดจ้าตอนที่จ้องมองผม ผมรู้สึกอายที่ตัวเองกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกไป แต่ก็นะ...พูดไปแล้วนี่หว่า!!!!
“สัญญานะครับ” แต่คนหน้าหนากลับไม่อนาทรร้อนใจกับความอายของผม เขากลับยื่นนิ้วก้อยมาวางบนโต๊ะและกระดิกเรียกให้ผมเอานิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวกับเขา พอผมยื่นไปพี่รันก็ตวัดนิ้วผมไว้แน่น สมมติถ้าตรงนี้มีแค่เราสองคน พี่รันคงชะโงกมาจูบผมแน่ๆ
“ฮื่อ สัญญา” ผมก้มหน้าพูดเสียงเบาก่อนจะดึงมือตัวเองกลับมา
“กลับบ้านเลยมั้ย เช็คบิลดีกว่าเนอะ”
“บ้าเหรอ ยังขาดอีกตั้งหลายจาน”
“พี่ไม่อยากกินแล้วอะ”
“ฮึ้ยยย เพ้อเจ้อน่า” ผมทำเหวี่ยงกลบเกลื่อนความอายของตัวเอง
“อายจนแก้มจะแตกแล้วครับนิล โอ๊ย” พี่รันร้องเสียงหลงเมื่อโดนผมจิกเข้าที่มือ กว่ามื้ออาหารเย็นนั้นจะจบลงผมก็โดนโลมเลียทางสายตาจนละลายไปหมดแล้วไอ้บ้าพี่รัน!!!
เราทานกันเสร็จตอนใกล้จะสองทุ่ม ผมรู้สึกว่าแทบจะขี้ออกมาเป็นเส้นใยผักแล้วอะ ฮ่าๆ พี่รันเดินนำไปที่รถและกดปลดล็อกจากรีโมทในมือ ตอนที่เสียงปลดล็อกดังปี๊บครั้งแรกผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรแว่วๆ พอเสียงปี๊บหยุดดังจึงได้ยินชัดเจนขึ้น
“จูเนียร์คะ” ผมและพี่รันหันไปมองพร้อมกัน สตรีในชุดแดงสดรัดรูปกำลังเดินตรงมาที่เรา ใบหน้าที่แต่งเข้มจัดและเรียวปากสีเดียวกับชุดทำให้ผมต้องใช้เวลาในการประมวลผลใบหน้าที่เห็นนานกว่าปกติ แต่แล้วสายตาเชือดเฉือนนั้นก็ได้ทำให้ผมนึกออกในที่สุด
“มิสจูลส์...”
-----------*------------
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ และพอเธอเดินเข้ามาถึงก็กระแทกไหล่ผมจนเซและเดินไปจับแขนพี่รันไวพอกับพี่รันที่เบี่ยงตัวออกแล้วมาประคองผมไว้ ท่าทางยิ้มแย้มที่ผมเห็นในทีแรกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงจนผมแทบไม่อยากเชื่อ ใบหน้าสวยบูดบึ้งจนเหมือนนางมารร้ายไม่มีผิด ผมกล้าพูดเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเพศหญิงนั้นน่ากลัวนักในเรื่องรักใคร่ ราวกับว่าหากทำให้พวกหล่อนผิดหวังหรือเจ็บปวด หล่อนก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้หล่อนเป็นฝ่ายชนะ
“นี่น่ะหรอ คู่นอนคนใหม่ของคุณ” มิสจูลส์ปรายตามองมาทางผมแว่บหนึ่งด้วยสายตาของคนที่เหนือกว่า ผมไม่เข้าใจว่าหล่อนทำสายตาแบบนั้นได้ยังไงเพราะก็เห็นๆอยู่ว่าพี่รันขยาดหล่อนขนาดไหน
“เขาไม่ใช่คู่นอน แต่เป็นคู่รัก กรุณาพูดให้ถูกด้วย” พี่รันพูดเสียงเข้ม
“ฮึ ผู้ชาย... เหมือนกันนี่นะจะเป็นคู่รักได้” หล่อนกวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าและจากเท้าขึ้นมาสบตาผม ตั้งแต่เกิดมาผมเจอแต่ผู้หญิงนิสัยดี เพิ่งจะมียัยบ้าหน้าซื่อใจคดนี่ละที่ร้ายกาจขนาดนี้
“มันสำคัญตรงที่ผู้ชายเขาเลือกใครต่างหาก” ผมโพล่งขึ้นมา พี่รันหันมามองผมด้วยสายตาประหลาดใจเจือจบขัน
“ปากดีให้ตลอดเถอะไอ้เกย์” มิสจูลส์หรือยัยผีบ้าชื่อเล่นที่ผมตั้งให้ใหม่สบถใส่หน้าผมอย่างแรงจนพี่รันดึงผมไปกอดไว้แน่นเพื่อให้พ้นจากคำพูดร้ายกาจของหล่อน และนั่นยิ่งทำให้หล่อนเดือดดาลขึ้นไปอีก
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” ทิ้งท้ายเหมือนในการ์ตูนและก็เดินจากไป เหลือไว้เพียงผมพี่รันที่มีสีหน้าอึ้งกิมกี่อยู่ตรงลานจอดรถ
“พี่รัน” ผมเรียกชื่อแฟนตัวเองเสียงเขียว
“ครับ?”
“ยัยนี่ใช่มั้ย คนที่พี่โทรคุยเมื่อวันนั้น” ผมหันไปสบตา พี่รันก็พยักหน้าหนึ่งที
“ทำไมเลือกคนแบบนี้เนี่ย” ผมถาม นึกถึงความเหวี่ยงวีนของนางแล้วก็หลอน
“ตอนแรกไม่เป็นแบบนี้นี่นา” เขาทำสีหน้าฉงนราวกับว่าเมื่อตอนแรกพบหล่อนช่างอ่อนหวาน
“แล้วประเด็นคืออะไรรู้มั้ย”
“คือ?”
“ตอนหล่อนไม่แต่งหน้าแบบนี้อะ หน้าโคตรคล้ายนิลเลย” พอได้ยินที่ผมพูดพี่รันก็ทำหน้าเศร้าและลูบแก้มผมเบาๆ
“ก็นั่นแหละคือประเด็น ตอนแรกที่พี่เห็นโอลิเวียน่ะ พี่นึกว่านิลมีฝาแฝดด้วยซ้ำ” พี่รันสบตาผมนิ่ง “พี่คิดถึงนิล... มาก... มากเสียจนพี่ไม่กล้าผลักไสตอนที่เธอเข้ามา” พี่รันจูงผมไปที่รถและเปิดประตู จนเราขึ้นนั่งเรียบร้อยจึงสตาร์ทรถและเคลื่อนตัวออกช้าๆ
“พี่น่าสมเพชเนอะ” จู่ๆพี่รันก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา ผมหันไปมองหน้าเจ้าตัวที่มองเห็นได้เพียงเลือนรางภายใต้แสงไฟจากคอนโซลหน้ารถ ผมเม้มปากแน่นเพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่พี่รันพูด มันไม่ได้จริงสักนิด เรื่องทุกอย่างมันเป็นความผิดของผมต่างหาก
“พี่อย่าพูดแบบนั้น นิลต่างหากที่ผิด พี่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ” ผมฝืนยิ้ม
“งั้นเราก็ผิดทั้งคู่” พี่รันบีบมือผมแน่นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ พอไปถึงที่บ้านแน่นอนว่าผมก็ต้องรีบแล่นไปฟ้องแม่ทันทีที่พี่รันไปนั่งคุยกับเอริค แม่เองพอฟังเรื่องผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นจนผมเริ่มจะงอน
“แม่อะ ขำอะไรนักหนา”
“ฮึฮึ ก็ลูกเนี่ยนะ บางทีก็ทำตัวสมเป็นเพศผู้มากเสียจนไม่น่าเชื่อว่าลูกเป็นเกย์”
“ทำไมอะ นิลไม่ได้มีเพื่อนผู้หญิงเยอะแยะสักหน่อย” ผมทำปากยื่น
“แม่คิดว่ายัยโอลิเวีย จูลส์คงอยากได้แฟนลูกใจจะขาด ขนาดแม่เองถ้าเด็กกว่านี้สักยี่สิบปีก็คงจะแย่งรันมาจากลูกเหมือนกันแหละ”
“อ้าวแม่ ไหงพูดงั้นอะ”
“โฮ้ย ก็ดูแฟนตัวเองสิ หล่อรวย แถมรักนิลขนาดนี้” แม่พูดเหมือนจะอวยลูกเขยนะ แต่กลับมองผมแล้วยิ้มๆไงไม่รู้
“แม่ดีใจนะ ที่นิลกับรันกลับมาคบกัน” แม่จับมือผมไปวางบนมือแม่แล้วพูดต่อ “แม่ไม่เห็นว่าจะมีใครที่รักนิลได้อย่างรันอีกแล้ว ถ้าหากวันหนึ่งไม่มีแม่ คนที่แม่อยากจะฝากลูกของแม่เอาไว้ด้วยก็มีแต่รันนี่แหละ” ผมที่กำลังมีปัญหาเรื่องอดีตผู้หญิงของแฟนตัวเองแทบปรับอารมณ์ไม่ทันเมื่อแม่ผมเปลี่ยนมาดราม่าเรื่องความรักครอบครัว ผมซุกตัวเข้ากอดเอวแม่แน่น ผมชอบกลิ่นหอมจากตัวแม่ กลิ่นที่ทำให้ผมสบายใจทุกครั้งที่มีเรื่องแย่ๆ
“เรื่องผู้หญิงคนนั้นอย่าเพิ่งไปกังวลนะลูก ยังไงตบมือข้างเดียวก็ไม่ดังหรอก”
“นิลรู้ครับแม่ แต่ที่นิลกลัว คือนิลกลัวเขาจะทำอะไรร้ายแรง ท่าทางเขาดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้”
“แม่เข้าใจ แต่ถ้านิลกลัว นิลก็คอยระวังตัวเอาไว้ตลอดนะลูก”
.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-
พี่รันกลับไปแล้ว แต่ผมยังนอนลืมตาโพลง ตามปกติตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ เรามักจะค้างคืนด้วยกันในช่วงวันหยุดเท่านั้น(แล้วแต่ว่าจะค้างบ้านผมหรือแมนชั่นพี่รัน แต่ส่วนมากจะเป็นแมนชั่นพี่รัน) ในวันธรรมดาเขาก็จะกลับไปนอนที่แมนชั่นของเขา คือยังไงดีละ แม่บอกว่าผมกับพี่รันเป็นแฟนกันก็จริง แต่การจะให้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็คงดูไม่งามเท่าไร (ทั้งๆที่ลูกแม่เสร็จเขาไปนานแล้วเนี่ยนะ!!!) แต่ผมก็ไม่มีอำนาจจะไปคัดค้านอะไรแม่ได้หรอกนะ เลยปล่อยเลยตามเลยไปนั่นละ -..-
ติ๊ง ติ๊ง
ผมรีบคว้าโทรศัพท์ตัวเองมาด้วยความเร็วแสงและสไลด์หน้าจอเพื่อปลดล็อก ไอเมสเสจจากพี่รันทำให้ผมอมยิ้ม ‘นอนรึยังคนดีของพี่’ ผมจึงพิมพ์ตอบกลับไป ‘ยังไม่นอน รออ่านเมสเสจคนแก่’ สักพักโทรศัพท์ของผมก็มีสายโทรเข้ามา
“ฮัลโหล”
‘ถึงแก่แต่แรงก็ยังดีนะ’
“บ้า” ผมจิกนิ้วลงบนหมอนแน่น ประหลาดใจเหมือนกันว่าจนป่านนี้แล้วผมยังเขินอะไรอีก (-//-)
‘วันนี้พี่ต้องขอโทษด้วยนะ ไม่นึกว่าหล่อนจะทำถึงขนาดนั้น’
“ช่างมันเหอะ เรื่องมันผ่านไปแล้วนะ” ผมทำปากยื่น ก่อนนอนแท้ๆไม่น่านึกถึงเรื่องยัยโอลิเวียอีกเลย เดี๋ยวก็ได้ฝันร้ายกันพอดี
ผมนอนคุยกับพี่รันต่ออีกสักพักจึงปิดไฟเข้านอน
‘คืนนี้ลมแรงจัง’ ผมนอนคิด ท่ามกลางแสงไฟจากด้านนอกที่ส่องเข้ามาภายในห้องเป็นเงาที่สั่นไหวตามแรงลมทำให้ผมเริ่มเกิดจินตนาการสยองขวัญอย่างในหนังเรื่องโพลเตอร์ไกส์ที่เพิ่งดูไป ต้นไม้ใหญ่นอกหน้าต่างห้องผมที่เคยให้ร่มเงาในยามกลางวันกลับดูน่ากลัวขึ้นทุกขณะ ผมหลับตาปี๋และพยายามสงบจิตสงบใจตัวเองให้เลิกฟุ้งซ่าน พรุ่งนี้ผมมีงานแต่เช้า จะงานอะไรล่ะถ้าไม่ใช่เรื่องงานของยัยโอลิเวียนั่น