Chapter 13 [วันคืนพ้นผ่าน]
“ฟ้า เสร็จหรือยัง”
ก่อนหน้านั้น ผมมาที่บ้านของยัยฟ้าแต่เช้า คุณแม่บอกกับผมว่ายัยฟ้ากำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง จึงชักชวนให้ผมนั่งลงทานมื้อเช้าด้วยกันก่อน คุณพ่อเลื่อนตะกร้าใส่ปาท่องโก๋มาให้พร้อมกับที่คุณแม่วางชามข้าวต้มทะเลตรงหน้าผม กลิ่นพริกไทยและกระเทียมเจียวหอมฉุยแตะจมูกจนผมท้องร้อง ผมทานข้าวต้มไปหนึ่งชามและปาท่องโก๋อีกสองตัวยัยฟ้าก็ยังไม่ลงมา จนสุดท้ายผมจึงต้องมายืนเคาะเรียกนางอยู่หน้าประตูตอนนี้
“เจ็ดโมงครึ่งแล้วนะ เดี๋ยวไม่ทันถ่ายรูปหรอก” ผมย้ำอีกครั้งก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออก ฟ้าครามที่ม้วนผมจนเป็นลอนสวยถักเปียคาดรอบหัว ใบหน้าหวานแต่งแต้มสีสันอ่อนบางที่ดูแปลกตาไปจากทุกที ซึ่งนั่นทำให้ผมเผลอมองตาค้างจนยัยฟ้าต้องโบกมือไปมาตรงหน้าผม
“ฮัลโหลววววววชาวโลกกกกกก”
“ยัยบ้า หึหึ” ผมรวบมือฟ้าครามไว้แล้วเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกัน คุณพ่อกับคุณแม่ดูจะปลาบปลื้มเหลือเกินเมื่อเห็นลูกสาวในชุดครุยสง่างาม ผมรับบทเป็นตากล้องจำเป็นให้ครอบครัวนี้ ใบหน้ายิ้มแย้มของคุณพ่อคุณแม่ทำให้ผมพลอยยิ้มตามไปด้วยขณะที่ถือกล้อง
“นิลก็มาถ่ายคู่กับฟ้าสิ เดี๋ยวพ่อถ่ายให้” ผมขยับไปยืนเคียงข้างคู่กับฟ้าครามตามคำสั่งของคุณพ่อ พวกเราถ่ายรูปกันอยู่อีกเกือบสิบนาทีจึงได้เคลื่อนขบวนไปมหาวิทยาลัยกัน
ที่คณะ บรรดาว่าที่บัณฑิตต่างพากันรวมตัวถ่ายรูปทั่วไปทุกบริเวณ ผมและยัยฟ้าเวียนถ่ายรูปกับเพื่อนๆสาขาเดียวกันจนครบ และไม่ลืมที่จะไปแอ็คท่าถ่ายรูป ณ สถานที่ยอดฮิตของมหาวิทยาลัย ซึ่งก็คือรางรถไฟที่วิ่งผ่านมหาวิทยาลัยนั่นเอง พอรถไฟไปก็เฮละโลกันลงไปถ่ายรูป พอสัญญาณรถไฟจะมาก็เฮกันขึ้นมายืนรอบนชานชาลา ผมยิ้มสู้กล้องจนเหงือกแห้งพอๆกับยัยฟ้า และเมื่อถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็ถึงเวลาซ้อมที่ลากยาวไปจนเย็นทำเอาสะบักสะบอมไม่ใช่น้อย และยิ่งปลงมากขึ้นเมื่อรู้ว่าจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกในวันรับจริง
“เฮ้อ” ผมถอดชุดครุยออกและพาดไว้กับแขนตัวเอง บรรดาเพื่อนๆสาขาเดียวกันนัดแนะว่าจะไปกินเลี้ยงฉลองกันที่ร้านอาหาร โดยมีไอ้ริวเป็นโต้โผใหญ่ ซึ่งพอไปถึงผมจึงพบว่ามีเด็กคณะเกษตรที่จบไปก่อนแล้วแต่เป็นเพื่อนของไอ้ริวมารวมอยู่ด้วย
“ไอ้นิล มึงกับน้องฟ้ามานั่งข้างๆกูนี่” ไอ้ริวที่ยังคงเรียกยัยฟ้าว่าน้องฟ้าตั้งแต่ปีหนึ่งจนเรียนจบกวักมือพวกผมให้ไปหามัน ผมมองเห็นวัฒน์นั่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะพวกผม ผมส่งยิ้มให้เขา พอวัฒน์เห็นผมเขาจึงเดินมาหา
“เป็นไงบ้างวันนี้” วัฒน์ถาม
“ก็เหนื่อยดี”
“เรายังไม่ได้ถ่ายรูปกับนิลเลย”
“เออ จริงด้วย งั้นไว้วันรับจริงค่อยถ่ายเนอะ”
“จริงนะ สัญญานะ”
“จริงดิ” ผมย้ำ มองวัฒน์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจากเมื่อหลายปีก่อน คนทำงานแล้วก็คงดูแบบนี้แหละนะ
“แล้ววัฒน์เป็นไงบ้าง ทำงานสนุกมั้ย”
“เรารู้สึกว่ามันไม่ต่างจากเรียนเลย แถมต้องออกเดินทางไปนู่นไปนี่มากกว่าตอนเรียนอีก ดูดิ เราทำแปลงจนตัวดำไปหมดแล้ว” วัฒน์ชูแขนที่คล้ำขึ้นให้ผมดู
“ไม่ใช่ว่าดำอยู่แล้วเหรอ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ
“เฮ้ย เราว่าเราไม่ดำนะ”
ผมกับวัฒน์คุยกันอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะถูกเพื่อนๆมาลากไปดื่มฉลอง เรานั่งสังสรรกันไปเพลินๆโดยไม่ได้ดูเวลา จนกระทั่งยัยฟ้ามาสะกิดผมนั่นแหละ
“นิล เราต้องกลับแล้วนะ คุณพ่อมารับแล้ว” ยัยฟ้ากระซิบ ทำให้ผมต้องยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาที่ข้อมือซึ่งบอกเวลา 23 นาฬิกา บังเอิญว่าใกล้เคียงกับเวลาที่เครื่องบินที่แม่ของผมนั่งมาจะแลนดิ้งพอดี
“อืม ดีเหมือนกัน เราก็จะไปรับแม่” เมื่อผมและยัยฟ้าตกลงกันได้ว่าจะขอตัวออกจากงานฉลองก่อน ไอ้ริวบ่นกระปอดกระแปดตามประสาแต่ก็ยอมปล่อยผมมาโดยดี คุณพ่อของยัยฟ้าบอกว่าจะไปส่งผมที่สุวรรณภูมิ เราสามคนเดินไปยังไม่ทันจะถึงรถก็มีเสียงตะโกนเรียกชื่อผมเสียก่อน
“วัฒน์?” ผมมองทางคนที่เรียกผมด้วยความสงสัย และหันไปมองยัยฟ้ากับคุณพ่อสลับกันไปมา
“ไปเถอะ เดี๋ยวเรากับคุณพ่อจะรอที่รถ” ยัยฟ้าบอก และคุณพ่อก็ยิ้มให้และบอกว่าจะรอ ผมจึงรีบเดินไปหาวัฒน์
“มีอะไรหรือเปล่าวัฒน์” ผมถาม คนตรงหน้าผมยืนเอามือล้วงกระเป๋า ท่าทางดูอ้ำๆอึ้งๆผิดไปจากปกติ
“คือเรามีเรื่องอยากจะคุยกับนิล”
“อืม...” ผมยืนรอฟังสิ่งที่วัฒน์กำลังจะพูด ขณะเดียวกันก็เกรงใจคุณพ่อกับยัยฟ้าที่กำลังรออยู่ และสุดท้ายเมื่อผมเห็นวัฒน์ไม่พูดสักทีผมเลยคิดว่าจะขอตัวก่อน
“เอ่อ วัฒน์/
เราชอบนิล!!” ผมชะงัก ส่วนวัฒน์หน้าแดงก่ำ แดงก่ำทั้งๆที่ผิวคล้ำอย่างนั้นละ ผมมองวัฒน์ที่พยายามหลบสายตาผม จนเมื่อผมพูดออกมานั่นแหละ
“ขอบใจมากนะวัฒน์ แต่เราคงทำได้แค่ขอบคุณที่วัฒน์รู้สึกดีๆกับเรา” วัฒน์เงยหน้ามองผม ใบหน้าคมเข้มนั้นไม่บ่งบอกอาการผิดหวังหรือโกรธอะไรสักนิด กลับกัน เขายิ้มให้ผมเฉยเลย
“เรารู้แล้วละว่านิลคงปฏิเสธ แต่อย่างน้อยขอแค่ได้บอกเราก็พอใจแล้ว” วัฒน์ยิ้มให้ผม และผมก็โล่งอกที่เรื่องจบลงด้วยดี และขณะที่นั่งรถไปสนามบินนั้นผมก็ได้คิด
‘อย่างน้อยก็ได้บอก’ไม่เหมือนกับตัวผม... ที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้พูด หรือร่ำลาอะไรอีกเลย ผมยิ้มเยาะให้กับตัวเองในอดีต ตัวตนที่แสนอ่อนไหวและโง่เขลา ความผิดพลาดที่ผมได้ก่อเอาไว้ยากจะลบเลือน อย่างคำที่เขาบอกว่า แค่เราเดินเร็วขึ้นหนึ่งก้าว โลกก็จะไม่เหมือนเดิม เพียงแต่ถ้าตอนนั้นผมเลือกที่จะขัดขืนคุณแพท ตอนนี้ผมก็คงจะมีพี่รันอยู่ข้างกาย การกระทำที่แตกต่างกันเพียงนิดเดียวกลับส่งผลกับอีกหลายๆสิ่ง แค่คำสารภาพของวัฒน์เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้ผมได้คิดอะไรอีกหลายๆอย่างเช่นเดียวกัน
ผมจะไม่โกหกว่าทุกวันนี้ผมยังคงคิดถึงพี่รัน ผมนึกถึงพี่รันที่เคยนั่งดูโทรทัศน์บนโซฟาของผม พี่รันที่ชอบซื้อขนมซื้อของเล่นมาฝากไอ้ริชชี่จนผมบ่น พี่รันที่ช่วยผมซักผ้า ล้างจานบ่อยเท่าที่โอกาสจะอำนวย พี่รันที่ปลอบโยนและให้คำปรึกษาที่ดีกับผมเสมอเวลาที่มีปัญหา ยิ่งผมคิดถึงเขามากเท่าไรก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำตัวเองว่าทุกอย่างไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมมากเท่านั้น
พยายามจนตายก็ไม่เกิดผล
ผมรู้ซึ้งดีกับประโยคนี้...
//////////////////////
“นิล!!” ผมมองหาต้นเสียงหวานที่ตะโกนเรียกผมอยู่ตอนนี้ แม่ยืนโบกมือไหวๆอยู่หน้าเกทของผู้โดยสารขาเข้า ข้างตัวของแม่มีกระเป๋าลากใบโตสองใบที่ทำให้ผมแปลกใจว่าทำไมมันเยอะกว่าปกติ แต่ความสงสัยของผมก็ถูกทำให้กระจ่างเมื่อเห็นคนที่เดินตามแม่ออกมาพร้อมกับเอกสารมากมายในมือ
“สวัสดีครับแม่ สวัสดีครับเอริค” แม่และเอริครับไหว้ผม เอริคคุ้นชินกับการทักทายแบบไทยๆของผมแทนการจับมือไปแล้ว เพราะผมเอาแต่ไหว้เขาทุกครั้งที่เจอหน้า จนสุดท้ายฝรั่งจึงสามารถรับไหว้ผมได้อย่างเป็นธรรมชาติและไม่ขัดเขิน
อีกอย่างหนึ่ง ผมสามารถสนทนากับเอริคได้ในระดับดีแล้วนะครับ เป็นเพราะว่าเวลาปิดเทอมผมมักจะไปขลุกอยู่กับแม่ที่อังกฤษ ทำให้ได้เรียนรู้ภาษาไปด้วย แม้ว่าสำเนียงจะไม่ดีเท่าเจ้าของภาษาก็ตาม
ผมช่วยแม่ลากกระเป๋าหนึ่งใบ เอริคลากเองอีกหนึ่งใบ เราเรียกแท็กซี่จากสนามบินไปส่งที่คอนโด พอเรามาถึงคอนโด แม่ก็ได้รับการต้อนรับเป็นก้อนกลมขนฟูที่พุ่งเข้ามาหาคนแรกที่เปิดประตูห้อง ไอ้ริชชี่มันร้องเหมียวเสียงดังราวกับจะทวงว่าของฝากของผมละครับแม่
“ริชชี่~~~” แม่ผมก้มลงอุ้มไอ้ริชชี่แล้วเรียกชื่อลูกชายคนสุดท้องเสียงอ่อนเสียงหวาน ผมทำหน้าเหม็นเบื่อ และเหลือบเห็นเอริคก็ทำสีหน้าหมั่นไส้เช่นเดียวกัน
ผมหาอาหารว่างนิดๆหน่อยๆให้แม่และเอริคทานรองท้องก่อนไปพักผ่อน แล้วพอกำลังจะเข้านอนนั่นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“นอนหรือยังลูก” แม่เดินเข้ามานั่งที่ปลายเตียงของผมโดยมีไอ้ริชชี่เดินตามมาติดๆ ผมมองมันด้วยความหมั่นไส้ เวลาแม่มามันจะไปเกาะติดอยู่กับแม่อย่างกับปลิง โดยไม่สนใจผมที่ให้ข้าวให้น้ำมันอยู่ทุกวันด้วยซ้ำ ชิส์ ไอ้แมวเนรคุณ
“กำลังจะนอนครับ แม่มีอะไรหรือเปล่า”
“มานั่งนี่สิลูก” แม่กวักมือเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ ก่อนจะเปิดปากพูดในสิ่งที่แม่คิด
“แม่กับเอริคลองปรึกษากันดูแล้ว ว่าจะให้ลูกไปอยู่กับเราและหางานทำที่โน่น” ประโยคต่อมาของแม่คือการสาธยายถึงแผนการที่แม่และเอริคหารือกันเพื่อผม โดยแม่บอกว่าเอริคมีเพื่อนที่เปิดบริษัทเกี่ยวกับการปลูกบ้านอยู่ที่โน่น และเขายินดีต้อนรับนักศึกษาจบใหม่ที่เป็นชาวต่างชาติด้วย เพราะจะได้เรียนรู้กันเรื่องมุมมองและทัศนคติในด้านสถาปัตยกรรมจากปรเทศอื่นบ้าง และอีกประเด็นที่สำคัญก็คือ
“นิลก็ไม่ได้มีอะไรที่นี่ให้ต้องเป็นห่วงอยู่แล้วนี่ลูก” คำพูดของแม่ตรงประเด็นและชัดเจนราวกับไปนั่งอยู่กลางใจผม แม่บอกว่าให้เวลาผมลองคิดดู ถ้าหากผมตกลงเมื่อไรก็เก็บของย้ายไปทันที
คืนนั้นทั้งคืนผมได้แต่เอามือก่ายหน้าผากและคิดวนไปวนมาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมีเรื่องพี่รัน อันที่จริงผมก็ไม่ได้มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอย่างที่แม่ว่า แต่ไม่รู้ทำไมผมจึงลังเลกับคำชักชวนของแม่ ผมหวังอย่างนั้นหรือว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม? หรือผมแค่กลัวที่จะต้องทิ้งความทรงจำทุกอย่างที่นี่ไปกันแน่?
สุดท้ายแล้วผมก็ได้เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการบอกข่าวดีให้กับแม่ แม่มีท่าทางดีอกดีใจน่าดู แถมยังมาช่วยผมแพ็คข้าวของที่จำเป็นต่างๆด้วย ผมนั่งมองแม่ที่เก็บข้าวของโน่นนี่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เอริคที่ดูจะเข้าใจความรู้สึกผมเดินมาบีบบ่าผมเบาๆ แล้วบอกกับผม
“Don’t afraid.”
ผมยิ้ม และบอกกับเขาว่าขอบคุณ
เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะเดินออกไปจากความเคยชินที่มีมาเนิ่นนานได้ แต่การที่เรายึดติดกับที่ใดที่หนึ่งนานเท่าไร ก็จะยิ่งถอนตัวออกมายากเท่านั้น ความปรารถนาดีของแม่เปรียบเหมือนมือที่ฉุดผมออกจากที่เดิมๆ กระทั่งตอนที่ผมกำลังนั่งเหม่ออยู่นี้ แม่ยังส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ผม แล้วแบบนี้จะให้ผมปฏิเสธความปรารถนาดีของแม่ได้อย่างไร
หลังจากเสร็จงานรับปริญญาของผมแล้ว แม่อยู่อีกเกือบอาทิตย์เพื่อเตรียมเอกสารต่างๆให้เรียบร้อยสำหรับผม ซึ่งผมแทบไม่ได้กระดิกตัวทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเด็กเล็กๆเท่านั้นเอง ตอนที่ผมไปบอกกับยัยฟ้าว่าจะไปอยู่กับแม่ นางถึงกับน้ำตาหยด สะอึกสะอื้นร้องไห้ราวกับผมจะไปตาย (-..-) จนผมต้องบอกว่าผมจะไปทำงานเก็บเงิน เอาไว้ไปเที่ยวญี่ปุ่นกับนางนั่นละถึงได้หยุดร้องไห้ แถมยังจับผมเกี่ยวก้อยสัญญาอีกต่างหาก
แม่ให้ผมเก็บเฉพาะเสื้อผ้าบางชุด กับสัมภาระของไอ้ริชชี่ ที่เหลือเป็นพวกเครื่องปรุงต่างๆของไทยที่หาซื้อที่โน่นย๊ากยาก (หรือไม่ก็แพงมาก) พวกเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของผมแม่บอกให้ไปซื้อเอาใหม่ ไม่ต้องแบกไปให้เปลืองพื้นที่ ส่วนเฟอร์นิเจอร์ต่างๆจะใช้ผ้าคลุมเอาไว้เพื่อกันฝุ่น ผมมองห้องตัวเองอย่างใจหาย ไม่นึกว่าสักวันนึงผมจะต้องจากห้องนี้ไป และไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไปสี่ปีที่ไม่มีพี่รัน กลับไม่ทำให้ผมลืมเขาได้เลยสักนิด ผมนึกถึงวันเวลาของเราที่เคยมีร่วมกันในห้องๆนี้ และก็ตระหนักได้ว่าผมควรที่จะก้าวเดินต่อไป และเก็บความผิดพลาดแต่หนหลังเอาไว้เป็นบทเรียน
//////////////////////
“เดินทางปลอดภัยนะ ถึงแล้วสไกป์มาหาเราด้วย” ยัยฟ้าบีบมือผมแน่นตอนที่พูด ผมมองใบหน้าขาวนวลที่ดวงตาแดงช้ำอย่างแสนรัก และหยิกแก้มที่เย็นเฉียบเพราะโดนแอร์ด้วยความหมั่นเขี้ยว
“รู้แล้ว ฟ้าอยู่นี่ก็ดูแลตัวเองดีๆนะรู้ปะ มีความสุขให้มากๆ อะไรที่มันผ่านแล้วก็อย่าเก็บมาคิด ถึงเวลาเริ่มใหม่ได้แล้ว”
“นิลก็เหมือนกันแหละ” ยัยฟ้าย่นจมูกใส่ผม “ลืมๆมันไปได้แล้ว”
ผมยิ้มให้กับคำพูดของเพื่อน
‘ลืม’ มันไปงั้นหรือ? ผมไม่รู้จริงๆว่าผมจะลืมมันได้ยังไงกับเรื่องที่ผมเป็นคนก่อขึ้นมา ผมอาจจะไม่ลืมมัน และไม่มีทางลืมแน่ๆ แต่ผมจะไม่เก็บมันมาบั่นทอนกำลังใจของผม ผมจะถือว่าเรื่องราวในคราวนั้นเป็นบทเรียนที่แสนสำคัญว่าผมจะไม่ไปทำผิดแบบนี้อีก
“พร้อมหรือยังลูก” แม่โอบเอวผมตอนที่เรากำลังมุ่งหน้าเข้าเกท เอริคจะตามมาทีหลังหลังจากที่ไปเช็คความเรียบร้อยของไอ้ริชชี่และพามันมาขึ้นเครื่องด้วยแล้ว
“ตื่นเต้นจังแม่ ทั้งๆที่ก็เคยไปมาแล้ว”
“ยังงี้แหละ ตอนนั้นแค่ไปเที่ยว แต่ตอนนี้ไปอยู่จริงๆ”
“อืม นั่นสิ นิลอาจต้องใช้เวลาปรับตัวสักพัก” ผมคิดตามที่แม่ว่า อาจจะกินเวลาสักอาทิตย์ในการปรับตัวสำหรับผม
“เออแม่ลืมบอก ว่าเดี๋ยวแม่จะพานิลไปทำใบขับขี่ด้วยนะ” ผมพยักหน้ารับ เพราะรู้ดีว่าการขับรถได้เป็นสิ่งจำเป็นในเมืองที่แม่อยู่
“นิลรู้มั้ย ว่าเดี๋ยวนี้นิลดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลย นิลดูเงียบขรึมขึ้น ยิ้มก็น้อยลง เหมือนกับว่าครุ่นคิดอะไรอยู่เสมอ”
“นิลคงผ่านอะไรมาเยอะมั้งแม่” ผมหัวเราะ
“แต่แม่อยากให้ลูกของแม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน เมื่อตอนที่ยังมีเขา...” แม่พูดไม่จบประโยคแล้วก็เงียบราวกับเพิ่งคิดได้ว่าพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูด ผมไม่ได้ตอบอะไรแม่ แต่กำลังคิดถึงพี่รัน
ผมจะยิ้มได้อย่างไร ในเมื่อเขาจากไปพร้อมกับเอารอยยิ้มของผมไปด้วย แสงสว่างของผมได้จากผมไปแล้ว และทิ้งไว้เพียงความหม่นหมองในใจของผม ผมไม่ได้ข่าวพี่เขาเป็นเวลานานเท่ากับที่เราจากกัน ผมมีเบอร์โทร แต่ก็ไม่เคยโทรหาเพราะละอายแก่ใจ จะให้ผมโทรไปของร้องอ้อนวอนให้เขายกโทษให้น่ะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก และผมเองก็ไม่เคยพบพี่เลอีกเช่นกัน ระหว่างผมและพี่รันจึงเป็นเสมือนคลื่นที่ซัดขึ้นมาบนหาดทราย แล้วก็จากไปโดยทิ้งไว้เพียงต่อร่องรอย
ในที่สุดการเดินทางอันยาวนานก็จบลง ผมบิดตัวอย่างเมื่อยล้าในขณะที่เดินไปขึ้นรถเอริค เสียงไอ้ริชชี่ร้องประท้วงตลอดทาง ถ้ามันพูดได้ก็คงจะบ่นกับผมว่ามันเมื่อย มันเหนื่อย และมันก็หิว ผมเปิดกรงให้มันออกมายืดเส้นยืดสายตอนที่ขึ้นมานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว เรานั่งรถกันต่ออีกกี่ชั่วโมงผมก็ไม่ได้สนใจ แต่ผมสงสารเอริคมากกว่า นั่งเครื่องมาก็นานแล้วยังต้องมาขับรถอีก ผมได้ยินเสียงแม่คุยกับเอริคเรื่อยเปื่อยเป็นเพื่อนคนขับ ในรถจะได้ไม่เงียบเกินไป และจะได้ไม่หลับใน
เมื่อมาถึงบ้าน แม่พาผมขึ้นไปบนห้องที่ผมเคยมานอนประจำ แต่คราวนี้มันต่างไปจากเดิมมาก เพราะมีที่นอนสำหรับแมวและข้าวของเครื่องใช้เพิ่มขึ้น ผมหันไปมองแม่และได้คำตอบว่าแม่ซื้อเตรียมเอาไว้แล้ว (นี่แสดงว่าแม่ผมมั่นใจมากๆว่ายังไงผมก็ต้องมาแน่ๆ และต่อให้ผมไม่ยอมมา แม่ก็จะบังคับเอาจนได้ -*- )
แม่ปูที่นอนให้ผมใหม่เป็นลายตารางสีฟ้าเหลืองดูสดใสน่าซุกตัวนอนเป็นที่สุด ผมล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง ไอ้ริชชี่กระโดดตามขึ้นมานอนตรงหว่างขาผมพอดีโดยไม่ชายตาแลที่นอนแมวใหม่เอี่ยมเลยสักนิด
“หิวมั้ยลูก” แม่โผล่หน้าเข้ามาถามตอนที่ผมกำลังจะเผลอหลับพอดี
“ไม่ครับ นิลอยากนอนมากกว่า”
“งั้นนิลก็นอนพักไปก่อนนะ เดี๋ยวเย็นๆแม่จะมาปลุก”
ผมหลับไปตลอดทั้งบ่าย จนเริ่มเย็นผมถึงได้ตื่น ชะโงกมองไอ้ริชชี่มันก็ยังหลับอยู่ที่เดิม ผมลูบหัวไอ้เหมียวพลัดถิ่นเบาๆ สมองคิดไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมาและมาหยุดหน้าประตูห้องผมพอดี
“นิล ตื่นรึยังลูก”
“ตื่นแล้วครับแม่”
“มื้อเย็นเสร็จแล้วนะ ลงมากินข้าวเร้ว”
“คร้าบ” ผมขานรับ ลุกขึ้นจากที่นอนและปลุกไอ้ริชชี่ด้วย “ไปไอ้ริชชี่ ไปกินข้าวกัน” มันร้องเหมียวเสียงดังเหมือนกับจะด่าผมว่าปลุกมันทำไม
มื้อเย็นวันนั้นแม่ผมจัดเต็มชุดใหญ่เลยครับ ผมเห็นเอริคนั่งมองอาหารบนโต๊ะตาปริบๆด้วยคงอยากจะสื่อว่าแม่เอาเวลาที่ไหนไปทำอาหารมากมายขนาดนี้ มื้อเย็นที่มาครบทุกเชื้อชาติคงจะทำให้ผมอิ่มไปได้ถึงอาทิตย์หน้าเป็นแน่...
“ชิมนี่สิลูก” แม่ตักสลัดมันฝรั่งใส่จานผมที่เต็มไปด้วยเนื้อแกะ กุ้งเผา ข้าวหุงเครื่องเทศ แกงกะหรี่ ฯลฯ
“ขอบคุณครับแม่ เอ่อ...พอก่อนนะ แค่ในจานนิลก็จะกินไม่หมดแล้ว” ผมยิ้มแหย
“อะไรกัน วัยกำลังโตกินเยอะๆสิ”
แล้วผมก็ต้องขึ้นมานั่งกินยาช่วยย่อยที่เอริคแอบเอามาส่งให้ก่อนนอน ไอ้ริชชี่ก็นอนหงานพุงหลามไม่แพ้กัน ผมนอนมองเพดานห้องอยู่สักพักจึงคิดได้ว่าน่าจะสไกป์ไปหายัยฟ้าสักหน่อย ดูเวลาแล้วที่นี่เริ่มมืด ที่โน่นก็น่าจะกลางวันละมั้ง
พอผมเข้าระบบได้ก็เห็นชื่อนางออนไลน์เด่นหราเลยครับ พอคลิกปุ๊บก็ตอบปั๊บ แถมยังส่งเสียงแหวมาทางหน้าจอจนไอ้ริชชี่ที่กำลังนั่งเลียขนอยู่จ้องตาวาวเลยครับ ฮ่าๆ
‘หายไปนาน’ นางพูดเสียงขุ่น
“แหม ไม่ได้นั่งรถจากกรุงเทพไปชลบุรีนะจะได้ชั่วโมงเดียวถึง”
‘เชอะ พอไปอยู่เมืองนอกละทำปีกกล้าขาแข็ง’ ผมทนนั่งฟังยัยฟ้าบ่นๆผมอยู่พักหนึ่งนางก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกออกว่าจะพูดอะไร
‘เออ!! เราเพิ่งนึกออก’ นั่งไง ผมว่าแล้ว
‘วันนี้เราเจอพี่รันด้วย’ผมนิ่ง
นิ่งจนคนในจอโน้ตบุ๊คเอามือโบกไปมาตรงหน้ากล้อง
‘เฮ้ยนิล ช็อคเลยเหรอ’
“อะ อ๋อ แล้วฟ้าไปเจอเขาที่ไหนละ” ผมพยายามรักษาน้ำเสียงให้ปกติ แม้ว่าในใจผมมันจะเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมานาน ความโหยหาที่มันหายไปเมื่อนานมาแล้วเริ่มกลับมาอีกครั้ง ระยะเวลากว่าสี่ปีที่ผมไม่เคยพบเขาเลย แล้วจู่ๆยัยฟ้าก็ได้พบเขาหลังจากที่ผมบินมาอังกฤษแล้วนี่นะ หึ... สวรรค์ไม่ยุติธรรมกับผมเลย...
‘เฮอะ ที่ไหนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ว่าเราเจอเขาไปกับใครต่างหาก’
“หืม? ฟ้าเจอเขามากับพี่เลเหรอ”
‘ก็ใช่นะซิ เรานะอยากจะเข้าไปทักเขาจะแย่ แต่ดันมากับผู้ชายคนนั้นเสียได้ เซ็งชะมัด’
“แล้วสรุปไปเจอเขาที่ไหนอะ”
‘บริษัท XXX น่ะ เราไปสมัครงาน ดูท่าเหมือนเขาคงมาทำธุระอะไรสักอย่างละมั้ง’ ยัยฟ้าก้มลงกดอะไรยุกยิกตรงหน้าก่อนจะชูหน้าจอไอแพดมาทางผม ซึ่งแสดงภาพเซิร์ชเอนจินชื่อดัง และข้อมูลที่ค้นหาก็คือชื่อของพี่รัน...
‘เราลองเอาชื่อพี่รันไปเซิร์ชในกูเกิ้ลเล่นๆ ก็เจอข้อมูลเพียบ ไหนจะ ‘นักธุรกิจใหม่ไฟแรง’ เอย ‘สถาปนิกรูปงาม’ เอย ‘นักธุรกิจหนุ่มเนื้อหอมแห่งปี’ เอย โอ๊ย เยอะแยะอะนิล เดี๋ยวนี้ดูเหมือนพี่รันเขาจะเปิดตัวในวงสังคมมากขึ้นแล้วนะ’ ผมนั่งฟังยัยฟ้าพูดไปเจื้อยแจ้ว แต่มือกลับกำลังหาข้อมูลของพี่เขาทางอินเตอร์เน็ต ข้อมูลของพี่รันแสดงเยอะแยะไปหมด ส่วนมากจะเป็นข่าวในแวดวงไฮโซ นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกห่างไกลจากเขาเข้าไปใหญ่ แต่อย่างน้อยก็ได้ทำให้ผมได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง แม้มันจะเป็นแค่แบบสองมิติก็เถอะ...
คงไม่ต้องบอกว่าหลังจากนั้นเวลาว่างผมมักจะทำอะไร อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข่าวชั้นยอดที่ทำให้ผมได้รู้ความเป็นไปของพี่รัน บางข่าวก็ทำให้ผมอมยิ้ม บางข่าวก็ทำให้ผมเศร้า เช่นข่าวระหว่างพี่รันกับสาวๆลูกหลานไฮโซที่ดูมุมไหนก็เหมาะสมกันไปทุกส่วน พี่รันในรูปดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ดูสุขุมขึ้น มีครั้งหนึ่งผมได้เห็นเขาไปออกงานการกุศลอะไรสักอย่างกับคุณแม่เขา นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นคุณแม่พี่รัน ซึ่งท่านก็ดูเหมือนสาวสังคมทั่วไปแหละครับ สวย แต่งตัวดี บนร่างกายมีแต่ของแบรนด์เนม แต่ว่าแม่พี่รันต่างจากคุณป้าไฮซ้อไฮโซทั่วไปตรงที่ท่านยังดูสาววววววมากกกกกก แถมยังสวยมากกกกก (แม่ผมก็ยังสาวยังสวยนะเออ แต่แม่พี่รันเขาดูสวยเลิศเลออย่างกับดาราอะคุณนึกออกมั้ย -..-) แถมท่าทีการวางตัวของท่านยังดูแบบ... เอื้อมไม่ถึงอ่ะ...
//////////////////////