Chapter : 7 [หวั่นไหว]
ผมนั่งเครื่องกลับมาถึงกรุงเทพฯเมื่อคืนนี้อย่างสวัสดิภาพ โดยมีพี่รันผู้ทนทานทุกสถานการณ์และไม่มีอาการเจ็ทแล็กเลยแม้แต่น้อยพาผมมาส่งและโทรไปบอกแม่ผมให้เสร็จสรรพ ก่อนที่ผมจะถีบหัวพี่รันให้กลับบ้านแล้วเขามานอนหลับอุตุจนถึงเที่ยงของอีกวัน
ปิ๊งป่อง~
ผมที่ตื่นได้สักพักใหญ่ๆลุกเดินไปจ้องตาแมวที่หน้าประตู และได้เห็นยัยฟ้ายืนทำหน้าแป้นแร้น
“มาแต่เช้า”
“เที่ยงแล้วจ้ะ” นางถือวิสาสะพรวดพราดเข้ามาโดยผมยังไม่ได้เชิญ และไปหาอะไรกินในครัวผมเสร็จสรรพ
“ของฝากละนิล”
“แหม มาถึงก็ทวงของฝากก่อนเลย”
“อะ แน่นอน” นางแบมือ ผมจึงต้องเดินไปรื้อกระเป๋าที่ยังไม่ได้จัดการเก็บของแล้วหยิบถุงกระดาษมาให้
“ของเรา รวมกับที่แม่ฝากมาด้วย” ยัยฟ้ารับถุงไปจากมือผมและแกะดูด้วยอาการลิงโลด นางหยิบหนังสือถักโครเชต์เล่มที่ไม่มีขายในไทยขึ้นมาดูด้วยสายตาวาววับและพร่ำบอกขอบคุณแม่ผมยกใหญ่ ส่วนของผมเป็นเซ็ตกระเป๋าของ Kath Kidston ทั้งกระเป๋าช๊อปปิ้งและกระเป๋าสตางค์ คือยัยนี่เขาชอบอะไรหวานๆน่ะครับ
“ขอบใจมากนะนิล นิลน่ารักที่สุดเล้ย” นางหอมแก้มผมฟอดใหญ่แทนคำขอบคุณแบบที่นานๆทีจะได้รับ ดูท่าคงดีใจมากจริงๆละ แต่แหม ผมหันไปมองหน้ายัยฟ้าที่ลูบๆคลำๆกระเป๋าด้วยอารมณ์ดี๊ด๊าแล้วก็ถอนใจ เฮ้อ ทั้งๆที่มีสาวน่ารักขนาดนี้มานัวเนียด้วยผมกลับไม่รู้สึกอะไรสักนิด มันเหมือนสัมผัสกับคนในครอบครัวมากกว่า ใจไม่เต้น ไม่หวือหวาวูบวาบเลยแม้แต่น้อย
“เออ ว่าแต่มีอะไรกินบ้าง เรายังไม่ได้กินมื้อสายเลย” ครับ มื้อสาย... คือถ้าฟ้าครามอยู่บ้านนางจะกินสามมื้อก่อนเที่ยง คือเช้า สาย และเที่ยง ส่วนช่วงเวลาหลังจากบ่ายเป็นต้นไปเธอจะไม่กินอะไรแล้ว
‘อ้วน’ เหตุผลง่ายๆตัวเดียวเลยครับ
ผมหุงข้าวและเจียวไข่ทำแกงจืดไข่น้ำ กับทอดหมู ซึ่งยัยฟ้าไม่กินตอนบ่ายถึงเย็นก็จริง แต่มื้อเช้ากับมื้อสายเธอซัดยังกับพายุเลยครับ อันที่จริงผมว่านางเก่งที่สามารถกินเป็นยัดทะนานเข้าไปได้ในเวลาห่างกันไม่กี่ชั่วโมงแบบนี้
ปิ๊งป่อง~
ผมวางช้อนดังเคร้ง ใครอีกวะ มาตอนกำลังจะกิน แต่แล้วก็นึกได้เลยสบตากับยัยฟ้า
“พี่รันมั้ง”
“พี่รัน? เขามาทำไมอ่า”
“คือเราจะบอกฟ้าไว้เลยนะตอนนี้ เดี๋ยวจะหาว่าเราไม่บอก” ยัยฟ้าพยักหน้ารับรัวๆ สีหน้าดูสนอกสนใจจนลืมข้าวในช้อนตัวเอง
“พี่รันเขา... กำลัง......เราอยู่”
“ห๊ะ อะไรนะ พูดเบาจนไม่ได้ยินเลยนิล” ฮึ่ม.... ยัยหูผี มาหูตึงอะไรตอนนี้
“เขาจีบเรา”
“ห๊ะ”
“เรื่องจริง” ยัยฟ้าช็อกไปแล้วครับ ก่อนจะผุดลุกขึ้นตบโต๊ะดังปังแล้วเดินอาดๆไปหน้าประตู
“พี่รัน!!!!” อัยยะ เป็นพี่รันจริงด้วยครับ หน้าตาเขาดูงงๆที่สุดเมื่อเห็นว่าเป็นยัยฟ้าเปิดประตูแล้วทำหน้าถมึงทึง
“ครับ??”
“มานี่เลย” นางลากแขนพี่รันเดินออกไปโดยที่ผมแค่เพียงนั่งมองตาปริบๆ และละความสนใจจากสองคนนั้นหันมากินข้าวต่อ
ฟากพี่รันและฟ้าคราม
“พี่มายุ่งกับเพื่อนฟ้าทำไมคะ” ฟ้าครามถามเสียงเข้ม
“อ้าว พี่จะจีบนิล ต้องขออนุญาตน้องฟ้าก่อนด้วยหรือครับ”
“ปกติเวลามีคนมาจีบนิลก็ไม่ต้องมาขอฟ้าหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าถ้าฟ้าเห็นว่าคนๆนั้นจะมาเป็นเหลือบไรให้นิลรำคาญใจ ฟ้าก็จะขัดขวาง”
“ใจคอจะให้หล่อขนาดพี่เป็นเหลือบไรเหรอครับ” พี่รันยิ้มยั่ว
“ถ้าหล่อแล้วเลวก็ไม่มีค่าพอให้เสียเวลาด้วยหรอกค่ะ” ฟ้าครามกัดฟันเมื่อนึกถึงคนที่ ‘เลว’ ในสายตาเธอ “พี่อย่ามายุ่งกับนิลเลย”
“ทำไมครับ พี่ขอเหตุผล”
“เพราะพี่เป็นญาติกับคนๆนั้น”
“แล้ว?”
“เป็นญาติกัน ก็คงเป็นคนประเภทเดียวกัน”
“อ้าว ไหงน้องฟ้าคิดอะไรไม่มีเหตุผลแบบนี้ละครับ อย่างนี้พี่ไม่โอเคหรอก” รันถอนหายใจเฮือกใหญ่ บางทีความรักก็ทำให้ผู้หญิงงี่เง่าได้อย่างร้ายกาจ นึกแล้วก็โมโหไอ้เลที่ทำให้ความซวยลามปามมาถึงเขา
“น้องฟ้าใจเย็นๆนะ แล้วฟังพี่” พี่รันจับบ่าฟ้าครามไว้แน่น ก่อนจะพูดอย่างช้าๆและชัดเจนทีละคำ
“พี่ ไม่ ใช่ ไอ้ เล”
“...” ฟ้าครามก้มหน้ากัดริมฝีปากแน่น ก่อนน้ำตาหยดโตจะไหลลงมา
“พี่รัน... ฮือ....” หญิงสาวซุกหน้าลงบนฝ่ามือตัวเองโดยที่พี่รันทำได้แค่ยืนลูบหัวปลอบโยนเพียงเบาๆ
“เอ้า พี่ทำเพื่อนผมร้องไห้ทำไมน่ะ” ผมเดินออกมาตามสองคนนั้นก็แจ็คพอตเลย ยัยฟ้ายืนร้องไห้สะอึกสะอื้นโดยที่พี่เลยยืนลูบหัวปลอบอยู่ ผมเดินตรงเข้าไปหาเพื่อนและดึงนางเข้ามากอด เสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้นอีก จนพี่รันเสนอให้เรากลับเข้าไปในห้องกัน
“ฮึก... นิล... นิลรู้มั้ย เราคิดถึงพี่เลตลอดเวลาเลย ถึง... ถึงแม้ว่าพี่เลจะทำไมดี แต่เราก็... รู้ว่าเขารักเราจริงๆ แต่... แต่มันก็อดนึกถึงเรื่อง... เรื่องนั้นไม่ได้” ยัยฟ้าพูดไปสะอื้นไป ผมมองเพื่อนด้วยความสงสารจับใจ
“พี่เข้าใจนะฟ้า ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันคงยากที่จะลืม แต่ฟ้าอย่าลืมว่าต้องมีสติให้มากๆ และต้องใช้เหตุผลให้มากกว่าอารมณ์ เพราะในช่วงเวลาอ่อนไหวแบบนี้ ความเปราะบางของใจเราอาจเผลอทำร้ายคนอื่นไปด้วย” พี่รันพูดได้อย่างเป็นการเป็นงานไม่น่าเชื่อ ผมเห็นมันทำหน้าระรื่นตลอดจนคิดไม่ถึงว่าจะมีมุมนี้ด้วย
“ฮือ... ขอโทษนะคะพี่รัน.. ฮึก..ฮึก.. ฟ้าขอโทษที่พาลใส่พี่รันค่ะ” ผมเหวอเมื่อได้ยินคำสารภาพจากปากเพื่อนผม สรุปแล้วยัยฟ้านี่งี่เง่าไม่ใช่น้อยเลยนะ แต่ก็นะ พี่รันมันมีเค้าหน้าเหมือนพี่เลไม่ใช่น้อย ถ้ายัยฟ้าจะพาลไปบ้างก็ไม่แปลก
“ขอ... ขอโทษนะนิล” ฟ้าครามหันมาทำสีหน้าเศร้าสร้อยใส่ผม ปากก็ยังไม่หยุดสะอื้นด้วยซ้ำยัยบ๊อง
“ยัยบ๊อง เราไม่โกรธฟ้าหรอก” ผมหยิบทิชชู่มาซับน้ำตาให้นาง
“เดี๋ยวเราขอไปล้างหน้าก่อนดีกว่า”
พอฟ้าครามลุกไปห้องน้ำเสียงออดห้องผมก็ดังเป็นรอบที่สามจนผมคิดว่าจะเปิดประตูทิ้งไว้เลยดีกว่า เวลาใครมาจะได้ไม่ต้องกดออดให้เปลืองไฟ
“เฮ้ย” ผมชะงักเมื่อเห็นว่าแขกคนที่สามคือโจทก์คนสำคัญของคดี พี่เลนั่นเอง...
“มาทำไรครับพี่”
“พี่มาหาน้องฟ้า อ้าว ไอ้รัน” พี่เลชะโงกข้ามไหล่ผมไปเห็นพี่รันนั่งอยู่ที่โซฟาพอดี
“ฟ้าไม่อยากเจอพี่หรอก” ผมกันท่า
“นิลครับ ให้มันเข้ามาก่อนเถอะนะ มาคุยกันดีๆดีกว่า” พี่รันเดินเข้ามาดึงมือผมที่กั้นขวางประตูออก และชวนให้พี่เลเข้าไปนั่งข้างใน
“นี่มันห้องผมนะ...” ผมหน้าหงิก ปากก็บ่นอุบอิบ
“เอาน่า นิลก็เห็นแล้วนี่ว่าฟ้าก็รักไอ้เลเหมือนกัน” พี่รันพยายามประเหลาะผม หึ ฝันไปเถอะ ผมเกลียดคนเจ้าชู้!
“มาทำอะไรวะรัน”เลกระซิบถามขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่านิลไปพ้นสายตา
“จีบสาว เอ๊ย จีบหนุ่ม”
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่า..”
“เออน่า ช่างฉันเถอะ นั่งเงียบๆไป อุตส่าห์พาเข้ามา” รันตัดบทเมื่อเห็นนิลถือแก้วน้ำเดินกลับมาที่โต๊ะรับแขก
“คุยไรกัน” ผมถามเสียงเขียว แอบเห็นแว้บๆว่าไอ้สองคนนี้กำลังซุบซิบอะไรสักอย่าง
“เปล่านี่ครับ” พี่รันว่ายิ้มๆ หน้าตาแม่งไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย ฝากไว้ก่อนเถอะฮึ่ม!
แกร๊ก
เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกทำให้พวกผมหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ยัยฟ้าเปิดประตูห้องน้ำออกมาโดยมีผ้าขนหนูเช็ดหน้าของผมซับน้ำอยู่ พอนางเงยหน้าเท่านั้นแหละก็ทำท่าเหมือนเห็นผีทันที
“มะ... มาทำไม” นางผงะเลยครับพี่น้องพอเห็นไอ้พี่เลผุดลุกขึ้นยืน
“น้องฟ้า ทำไมออกจากบ้านมาไม่บอกใครเลยคะ”
“ระ... เรื่องของฟ้า อย่ามายุ่ง” ยัยฟ้าสะบัดแขนพี่เลออก และหนีกลับเข้าห้องน้ำ พร้อมทั้งกดล็อกเสร็จสรรพ
“น้องฟ้า!”
“เฮ้ย/เฮ้ย”
พวกผมสามคนอุทานพร้อมกัน นี่ยัยฟ้าคิดจะขังตัวเองให้ห้องน้ำคอนโดผมเนี่ยนะ?!?
“น้องฟ้า จะโกรธจะทุบตีพี่ยังไงก็ได้นะคะ แต่ออกมาคุยกับพี่ดีๆได้มั้ย อย่าเอาแต่หลบหน้ากันเลย” พี่เลเคาะประตูอย่างใจเย็น ผมมอง(อดีต)คู่รักนั้นอย่างเซ็งๆ
“พี่รันครับ” ผมหันมาถามคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาข้างๆผม
“ครับ?”
“ผมถามพี่ตรงๆเลยว่า เรื่องระหว่างพี่เลกับยัยฟ้า พี่คิดว่าญาติของพี่ทำถูกมั้ย?” พอพี่รันได้ยินคำถามของผมแล้วเขาก็ยิ้ม ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไอ้เลมันทำไมถูกหรอกครับ แต่สำหรับคนที่ผิดพลาดไป เราก็ต้องอยากได้รับการอภัย”
“แล้วถ้าคนที่โดนสวมเขาเป็นพี่ละ พี่จะยอมยกโทษให้มั้ย” ผมถามกลับ
“อืม ยังไงดีละ คำถามนี้ค่อนข้างเปราะบาง...” พี่รันเบนสายตาไปยังพี่เลที่ยืนเคาะประตูและพร่ำบอกให้ยัยฟ้าออกมาคุยกันดีๆข้างนอก ก่อนจะหันมาสบตาผม “การที่เราจะโกรธใครสักคนที่เรารักมาก มันคงต้องเป็นเรื่องที่ร้ายแรงจริงๆ และความซื่อสัตย์ก็ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญมากๆสำหรับชีวิตคู่ด้วย ดังนั้นพี่คงไม่ยกโทษให้ถ้าหากนิลนอกใจพี่แน่นอน”
“ห๊ะ? เกี่ยวอะไรกับผม พี่อย่ามาเพ้อเจ้อ” ผมว่าพลางเบือนหน้าหลบสายตาวิบวับนั้นไปอีกทาง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆครับว่าคำตอบของพี่รันทำให้ผมพอใจเป็นอย่างมาก
“พี่เลครับ” ผมเรียกพี่เลเบาๆ พอเขาหันมาก็กวักมือให้เดินมาที่โซฟา
“มีอะไรครับนิล” สีหน้าพี่เลดูตึงเครียดขณะที่มายืนตรงหน้าผม ผมบอกให้เขานั่งลงก่อนที่เราจะเริ่มคุยกัน พี่เลเองก็เห็นสีหน้าจริงจังของผมแล้วจึงยอมนั่งลงแต่โดยดี แม้ว่าที่จริงในใจเขาคงอยากจะไปง้อยัยฟ้ามากกว่า
“พี่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ห้องน้ำของผมอยู่สบายกว่าตรงที่รับแขกนี่เสียอีก คุยแป๊บเดียวคงไม่เป็นไรหรอก” พี่เลยิ้มแก้เก้อเมื่อโดนผมแขวะ
“ผมมีเรื่องจะต้องถามพี่ตรงๆเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น” พอผมพูดจบพี่เลก็รีบเล่าทันที
“พี่เข้าใจและยอมรับแล้วนะครับ ว่าพี่ผิด และที่ทำแบบนั้นลงไปเพราะคิดว่าไม่มีอะไรผูกพัน แล้วก็แล้วกันไป พี่ผิดเองที่เห็นแก่ตัว และคิดว่าน้องฟ้าคงไม่รู้ และที่สำคัญ... เอ่อ...”
“ก็บอกไปสิ ว่าเวลาอยู่ใกล้ฟ้าแล้วห้ามใจไม่ได้ เลยต้องไปหาที่ระบายออก”พี่รันแทรกขึ้นมา
“ห๊ะ?” สีหน้าฉงนฉงายของผมคงทำให้พี่เลอายมากขึ้น ตอนนี้หน้าของเขาเลยแดงเหมือนมะเขือเทศเลย
“ก็... ตามนั้นแหละครับ... พี่รักน้องฟ้า อยากจะสัมผัส อยากจะใกล้ชิด แต่ก็ไม่อยากทำให้น้องฟ้าเสียเกียรติ เลยคิดอะไรโง่ๆ คิดว่าแค่ความสัมพันธ์ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวคงไม่เป็นไร...”
“เอ่อ... เอาเถอะ พี่จะรู้สึกยังไงกับเพื่อนผม ผมก็คงห้ามไม่ได้ แต่ก็นะ คือพี่จะงุ่นง่านอะไรขนาดนั้น ถึงขั้นต้องหาที่ระบายออกเลยเหรอ ผมไม่เข้าใจเลย” ผมเกาหัวยิก อย่างพี่เลนี่คือปกติของผู้ชายใช่ไหม
“พี่ถึงได้เสียใจจนทุกวันนี้ไงที่ไม่สามารถหักห้ามความต้องการของตัวเองได้” สีหน้าพี่เลเสียใจมากจริงๆครับ
“อีกอย่างนะครับนิล วันนั้นน่ะ ไอ้เลมันเมาๆด้วย อ๊ะๆๆ อย่างพึ่งเถียงพี่” พี่รันรีบห้ามเมื่อเห็นผมตั้งท่าจะเถียงเรื่องเมา “พี่ไม่ได้จะบอกว่าไอ้เลเมาจนคุมสติไม่อยู่ แต่พี่จะบอกว่าเวลาเมามันจะทำให้ประสิทธิภาพในการตัดสินใจของเรามันต่ำลง จากที่เคยคิดอย่างถี่ถ้วนสิบตลบก่อนจะทำอะไร ก็อาจจะเหลือแค่ห้าตลบก็เป็นได้ และนิลก็เห็นในคลิปไม่ใช่เหรอครับ ว่าผู้หญิงคนนั้นสวยเซ็กส์เอ็กซ์แตกขนาดไหน” ผมฟังพี่รันมันพูดก็พอรับได้นะ แต่ไอ้ประโยคสุดท้ายทำให้ผมหงุดหงิดมากถึงมากที่สุดยังไงไม่รู้
“โอเคผมเข้าใจ งั้นเรื่องต่อไป ทำไมยัยนั่นถึงส่งคลิปมาที่ฟ้าครามได้ครับ” ผมรู้สึกว่าเสียงผมติดจะกระชากหน่อยๆ ไม่ได้ๆ ต้องปรับอารมณ์ลง
“ก็เรื่องเบสิคครับ ทำไปทำมาเธอคนนั้นก็อยากจะจริงจังขึ้นมา”
“แปลว่าพี่สานต่อ?”
“ไม่ๆ คือเธอสืบมาได้ว่าพี่ทำงานที่ไหน ก็เลยตามไปดักเจอ”
“เฮอะ... หน้าด้านเสียจริง...” ผมพึมพำเบาๆ แต่คงจะดังไปหน่อย เลยมีนิ้วมาแตะตรงริมฝีปากผมแล้วบอกว่า “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ยังไงผู้หญิงก็เป็นเพศแม่ บางทีวันนี้เธออาจจะทำตัวแบบนี้ แต่ในอนาคตเธอก็อาจจะเป็นแม่ที่ดีก็ได้” ผมเม้มปากแน่นกับสิ่งที่พี่รันพูด แล้วผมจะเถียงอะไรเขาได้ละ พ่อคนมากเหตุผล
“แล้วยังไงครับ ที่พี่มาง้อยัยฟ้านี่คือ?”
“พี่แค่อยากคุย อยากให้เราได้คุยกันดีๆก็เท่านั้น อยากจะอธิบายให้น้องฟ้าได้ฟัง แล้วหลังจากนั้นน้องฟ้าจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่เลย” สีหน้าพี่เลทำเอาผมสงสารจนอยากจะคว้ามากอดปลอบ เอ๊ย ไม่ใช่ เอาเป็นว่าสุดท้ายผมเลยตะโกนเรียกยัยคนที่แง้มประตูแอบฟังให้ออกมาข้างนอกดีๆ
“เอ้า ยัยฟ้า ออกมาได้แล้ว ได้ยินหมดแล้วนี่”
แกร๊ก
ใบหน้าหวานดูซีดเซียวเยี่ยมหน้าออกมานอกประตูช้าๆ ก่อนจะพูดกับพี่เล
“...คุย... ที่นี่นะคะ”
“ครับ ได้สิครับ” พี่เลมีทีท่าดีใจสุดชีวิต พอยัยฟ้าเดินมานั่งที่โซฟา ผมกับพี่รันก็เลยผละออกมานั่งอยู่ในห้องนอน แต่เปิดประตูแง้มไว้นะครับ สาเหตุคือ
1.ให้ยัยฟ้าอยู่กับพี่เลในที่รโหฐานมันจะไม่งาม
2.กันพี่รันปล้ำผม
“ทำไมนิลถึงช่วยไอ้เลละครับ เห็นตอนแรกโกรธจะตาย” พี่รันนั่งลงบนเตียงผมแล้วถามยิ้มๆ
“เปล่าครับ ผมไม่ได้ช่วย” พอเห็นพี่รันทำหน้างงผมเลยพูดต่อ “ผมแค่คิดว่าต่อให้ยัยฟ้าจะเลิกกับพี่เลจริงๆ ก็ควรคุยให้รู้เรื่องก่อนจะดีกว่า จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจกัน”
“อือฮึ” พี่รันมองผมแบบอึ้งๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วลูบหัวผม ไอ้สีหน้ายิ้มแย้มนั้นน่ะยังกับผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กน้อยเลย ผมหมั่นไส้ชะมัด
“พอแล้ว ลูบมากเดี๋ยวฉี่รดที่นอน” ผมปัดมือพี่รันออกแล้วเดินมานั่งที่โซฟาริมหน้าต่าง พี่รันมันก็ตามมานั่งด้วย
“ทำไมต้องมานั่งเบียดผมเนี่ย”
“ก็อยากนั่งใกล้ๆ”
“โอ๊ย น่าด้านขนาดนี้ไปนั่งไกลๆเลย”
“นิลอ่ะ ชอบไล่พี่ พี่ก็น้อยใจนะ” ฮึ้ยไอ้ตอแหล สภาพอย่างพี่ไม่น่าน้อยใจหรอก อันที่จริงตอนนี้คงลิงโลดน่าดูที่ได้อยู่ตามลำพังกับผมแบบนี้ด้วยซ้ำ
“พี่รู้มั้ย ถ้าตัดความกะล่อนของพี่ออกไปหน่อย ผมคิดว่าผมคงจะเชื่อถือพี่ได้มากกว่านี้” ผมว่าและลุกขึ้นมาแอบดูสองคนข้างนอก ดูท่ากำลังคุยกันซีเรียสน่าดู ยัยฟ้าหน้าเครียดเชียว
“นิลครับ” มีมือแตะลงที่บ่า พอผมหันมาก็เห็นพี่รันมายืนจนเกือบจะชิดเลย
“มะ มีอะไร ทำไมต้องมาชิดผมขนาดนี้”
“นิลรู้มั้ย” พี่รันยิ้มในแบบที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย แสยะยิ้มเหมือนกำลังจะจับเหยื่อน่ะ
“พี่ก็เหมือนไอ้เล คือชอบนิลมาก มากจนอยากจะครอบครองนิลเสียทุกส่วน แต่ก็ไม่อยากจะทำอะไรหักหาญน้ำใจนิลเช่นเดียวกัน และพี่ก็ไม่ได้หวั่นไหวจนต้องไปนอนกับคนอื่นเพื่อระบายอารมณ์ พี่จึงทำได้แค่แสดงความกะล่อนดูเหมือนไร้พิษสงออกมา เพราะพี่รู้ตัวดี ว่าถ้าพี่เอาจริงขึ้นมาเมื่อไร อาจจะทำร้ายน้ำใจนิลอย่างร้ายกาจก็เป็นได้” พี่รันพูดยาวเหยียด แต่ผมกลับไม่มีสมาธิพอที่จะประมวลผลคำพูดเหล่านั้นด้วยซ้ำ ใจผมจดจ่ออยู่แต่กับปลายนิ้วของพี่รันที่เชยคางผมขึ้น และริมฝีปากบางของเขา... ที่กำลังแตะสัมผัสลงมาบนริมฝีปากผม...
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พี่รันขบเม้มริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบา สัมผัสอ่อนหวานประทับแน่นจนผมเผลอหลับตาและปล่อยตัวไปตามอารมณ์ พี่รันใช้ปลายลิ้นอุ่นนุ่มลิ้มรสริมฝีปากของผม ถ้าหากเขาสอดลิ้นเข้ามาผมต้องทำยังไงนะ และ... และถ้าเขาจะทำกับผมมากกว่าการจูบละ เมื่อคิดอย่างนั้นผมก็เผลอตื่นเต้นจนกำเสื้อพี่รันแน่น ปล่อยร่างกายตัวเองให้พิงตัวเขาไปทุกส่วน มือใหญ่ของเขาโอบประคองที่เอวเพื่อจะเกี่ยวรั้งให้ผมขยับไปแนบชิดเขามากยิ่งขึ้น
จากริมฝีปากอุ่นนั้น ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเร่าร้อนขึ้นมาแล้ว...
“ชอบมั้ยครับ” พี่รันกระซิบถามหลังจากที่ละจากกัน
“อือ” ผมได้แต่หน้าแดงก่ำและพยักหน้าเพียงเบาๆ สมองนึกถึงคำสารภาพของพี่รันซ้ำไปซ้ำมา นี่ผมกำลังเป็นวัยรุ่นคลั่งรักอย่างนั้นหรือ...
“ดีกว่าครั้งแรกของนิลหรือเปล่า” พี่รันถามเสียงนุ่ม แววตานั้นดูลึกล้ำจนคาดเดาไม่ถูก
ผมนิ่งคิด ก่อนจะตอบออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ (เท่าที่สภาพผมจะอำนวยน่ะนะ)
“จูบของพี่รัน... ดีแบบคนละเรื่องเลย..” เสียงผมมันฟังดูอ้อมแอ้มยังกับเป็ด คนๆนี้ทำให้ผมไปไม่เป็นอีกแล้ว
“คนน่ารักของพี่” พี่รันดึงผมเข้าไปกอด ใจจริงผมอยากจะผลักออก แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของแม่ คำพูดของคริสซี่ และการกระทำของพี่รันมันกำลังทำให้ทิฐิทั้งหมดที่ผมสะสมมาทั้งชีวิตพังทลายลง
“อือ... อย่าครับ” ผมพยายามดันพี่รันออกเมื่อเจ้าตัวพยายามจะจูบผมอีกครั้ง พี่รันหยักยิ้มที่มุมปากเหมือนปิศาจร้ายที่กำลังจะสูบกินวิญญาณจากผม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นที่ทำให้ผมโอนอ่อนครั้งแล้ว... ครั้งเล่า...
ก๊อก ก๊อก
ผมดีดผึงออกห่างเหมือนสับสวิทช์ทันที พี่รันเองก็หันไปมองที่หน้าประตูห้องนอนด้วยความหงุดหงิด
“มีอะไร” พี่รันถามพี่เลเสียงเขียว ผมเองแทบไม่กล้ามองหน้าพี่เลด้วยซ้ำ
“เอ่อ.. คือพวกเราจะกลับกันแล้ว”
ผมหันไปมอง พี่เลมีท่าทีอ้ำอึ้งกระอักกระอ่วน และด้านหลังพี่เลก็มียัยฟ้าแอบอยู่
“โอเคแล้วเหรอฟ้า” ผมถามเสียงค่อย อายชิกหัย อายที่สุดในชีวิต
“อ๊ะ จ้ะ ก็เคลียร์แล้ว” ไม่รู้ว่าเคลียร์ของหล่อนนี่คือยังไงนะครับ เอาไว้ค่อยโทรคุยกัน
แล้วบรรยากาศรอบตัวก็เงียบ จนกระทั่งพี่รันเป็นฝ่ายตัดบท
“เอาล่ะๆ ไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายกัน เดี๋ยววันไปเรียนนิลก็ไปคุยกับฟ้าเอานะครับ”
“ค่ะ/อื้อ” ยัยฟ้าและผมตอบพร้อมกัน ก่อนที่พี่เลจะพาใบหน้าแดงๆของยัยฟ้าและตัวเองออกไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ สิ้นเรื่องสิ้นราวสักที อ๊ะ นิลจะไปไหนนะครับ” ผมลุกหนีพี่รันที่มันนั่งบิดขี้เกียจบนโซฟาในห้องผมอย่างรวดเร็ว พี่รันเดินตามมาทันและจับแขนผมไว้ทันตรงประตูห้องพอดี
“จะไปไหนครับ”
“เปล่า”
“แล้วมายืนทำอะไรตรงนี้ หืม?” พี่รันตั้งท่าจะนัวเนียผมอีกรอบ แต่ผมรีบกัดฟันห้าม
“พี่นั่นแหละ ที่ต้องออกไป”
“เฮ้ย อะไรอ่ะ”
“ไม่รู้ละ กลับไปก่อน” ผมชี้นิ้วไปที่ประตูด้วยท่าทางที่คิดว่าดูจริงจังที่สุด ตอนนี้ผมคงเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่อาจจะประทุขึ้นมาได้ง่ายๆ
“โอเคๆ พี่ไปก็ได้ครับ” แต่ก่อนที่พี่นิลจะเดินออกไปพ้นประตูนั้น เขาก็หันมาพูดบางอย่างกับผม “พรุ่งนี้พี่จะมาใหม่”
ฮึ้ยยยยยย ไอ้มนุษย์ปลิงงงงงงงงงงง
ผมผลักพี่รันออกไปและปิดประตูลงกลอนแน่นหนา ผมแตะมือลงบนอกด้านซ้ายที่หัวใจของผมกำลังเต้นรัวเร็วผิดไปจากปกติ ผมคงต้องทำอะไรสักอย่างให้หายฟุ้งซ่าน
ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าและบึ่งพี่มะลิออกมาตอนห้าโมงเย็น จุดหมายของผมไปยังสนามกีฬากลางของม.ที่มักจะมีนักศึกษามาวิ่งออกกำลังทุกเย็น ผมไม่ได้มานานแล้ว เพราะว่างานเยอะ ติดสอบ ไหนจะงานแต่งแม่ ผมหาที่จอดพี่มะลิและเอากระเป๋าคาดเอว ใส่หูฟังและไม่ลืมเปิดแอพวิ่ง วันนี้กะจะเอาให้ได้สักห้ากิโลฯ วิ่งให้หายบ้าไปเลยครับ
“อ้าวเฮ้ย นิลนี่หว่า”
“ริว มึงมาทำ’ไร” ผมเซ็ง อยากคิดอะไรเงียบๆ
“มาเตะบอลมั้ง อยู่ในสนามวิ่งเนี่ย”
“เอ้า ถ้าจะเตะบอลก็ไปสนามโน้น” ผมชี้
“โวะ มึงนี่กวนตีนจริง” ผมส่ายหัวให้มัน แล้วเดินหนี ไอ้ริวเป็นมารขัดขวางความสงบอันดับสามของชีวิตผม
“เฮ้ยกูไปด้วย”
“กูอยากวิ่งคนเดียวนิ”
“อย่างกดิมึง มีเพื่อนวิ่งจะได้ไม่เบื่อนะ” มันยิ้มกว้างจนผมใจอ่อน แต่ก็เป็นอย่างที่มันว่านะครับ พอผมวิ่งกับมันก็เพลินจนลืมเหนื่อย ซัดเข้าไปเจ็ดกิโลฯน่าจะได้
“เห็นปะละ มีเพื่อนคุยตอนวิ่งมันเพลินดีนะโว้ย”
“แต่กูว่ามันเหนื่อยกว่าเดิมนะ ฮ่าๆ” ผมขำไปหอบไป วิ่งกับเพื่อนไม่เซ็งก็จริงครับ แต่แม่งวิ่งไปคุยไปเหนื่อยชิวเป๋งเลย ตอนนี้พวกผมพูดจะไม่เป็นคำอยู่แล้ว
“ไปหาไรแดกกัน” ไอ้ริวชวน
“เออดีเหมือนกิน เนื้อกระทะมั้ย” ผมนึกถึงเนื้อกระทะเจ้าดัง เหมาะสำหรับมุสลิมแบบไอ้ริว
“ได้ๆ แต่ขอกูโทรชวนเพื่อนกูมาด้วยได้ปะ”
“ตามบาย”
ผมกับไอ้ริวหอบสังขารมาจนถึงร้านเนื้อกระทะ ไอ้ริวลงจากพี่มะลิและเดินไปโทรศัพท์ตามเพื่อน ผมสั่งน้ำเปล่ามากิน และไม่ลืมสั่งโค้กให้เพื่อน
“มึงไปตักดิ เดี๋ยวกูคุยโทรศัพท์ก่อน” มันเอามือปิดตรงไมค์โทรศัพท์แล้วหันมาบอกผมซึ่งตอนนี้กระสับกระส่ายอยากกินเนื้อใจจะขาดแล้ว
ผมเดินส่องไลน์เนื้อที่สไลด์และจัดเรียงไว้จนพูนถาด สายตาก็มองหาเนื้อลูกมะพร้าวที่ผมแสนจะโปรดปราน พอเจอก็เลยคีบมาจนพูน และหยิบเนื้อน่องลายมานิดหน่อย
“นี่ใจคอมึงจะไม่กินผัก?” ไอ้ริวทำตาโตเมื่อเห็นเนื้อที่ผมตักมา
“ร้านเนื้อย่างไม่ใช่ร้านผักย่าง” ผมละความสนใจจากมันและตักเอาเนยละลายบนเตา มันบ่นผมพึมพำสองสามคำแล้วถึงเดินไปตักอาหารและกลับมาพร้อมเบคอนพันเห็ดเข็มทองเต็มจานและเฟรนช์ฟราย
“เฟรนช์ฟรายมึงมีประโยชน์ตายละ มาร้านเนื้อย่างเสือกกินเฟรนช์ฟราย ตัดกำลังเปล่าๆ”
“เรื่องของกูแหละ” พวกผมซัดกันได้พักหนึ่งก็มีแขกมายืนข้างโต๊ะ ไอ้ริวชวนเพื่อนตัวเองนั่งและแนะนำให้ผมรู้จัก
“เออนิล นี่... เพื่อนกู เด็กเกษตร ชื่อวัฒน์” ผมยิ้มให้กับวัฒน์หนุ่มผิวเข้มหน้าคม ที่ดูตรงข้ามกับพี่รันอย่างสิ้นเชิง พี่รันมันจะขาว หล่อ ผิวใส คิ้วเข้ม ดูเป็นลุคลูกคุณหนู แต่วัฒน์นี่จะออกแนวลุยๆ หน้าเข้มๆ แต่เรื่องหุ่นก็ควายพอๆกันนั่นละ เอ๊ะ ว่าแต่ผมจะคิดเรื่องพี่รันทำไมเนี่ย ลืมมันไปๆ
“เป็นไรหน้าแดง เนื้อร้อนเหรอมึง” ไอ้เชี่ยริวเสือกเห็นอีก ผมพยักหน้ารับไปส่งๆแล้วคว้าแก้วน้ำมาดื่ม
“กูจะไปตักเนื้อ มึงเอาไรป่าว” วัฒน์หันไปถามไอ้ริว
“ไม่เอาอะ ไอ้นิลล่ะ มึงจะเอาไรป่าว”
“ไม่ๆ เดี๋ยวกูไปตักเอง” แล้วผมก็ลุกมาพร้อมวัฒน์ ระหว่างที่ผมกำลังคีบเนื้อนั้นก็เลยได้คุยกับวัฒน์เป็นครั้งแรก
“นายเรียนเอกเดียวกับไอ้ริวเหรอ” วัฒน์ถามผม
“อืม ก็เจอหน้ากันมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วอ่ะ แล้วนายละ เป็นเพื่อนกับไอ้ริวตอนไหน”
“เราเป็นเพื่อนกับมันมาตั้งแต่มัธยมแล้ว”
ผมตาโตมองวัฒน์ “งี้ก็สนิทกันมากละสิ เราไม่มีเพื่อนสมัยมัธยมมาเรียนด้วยเลยนะ มาหาเพื่อนใหม่เอาที่นี่หมดเลย”
“ริวมันเคยเล่าเรื่องนิลให้เราฟัง บอกว่านิลนิสัยดี” วัฒน์ยิ้ม
“ฮ่าๆ ไม่หรอก เรากวนตีนมันบ่อยไป”
“อืม เรื่องนั้นริวก็บอก” ฮึ่ม ไอ้ริว มึงนะมึง พูดตรงไปแล้ว
“เราอยากเจอนิลมาตั้งนานแล้วรู้มั้ย” หืม? ผมทำหน้าสงสัย พอหันกลับไปมองวัฒน์ ก็เห็นว่าเขาเดินกลับไปที่โต๊ะแล้ว
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษ เราแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ผมเองพอมาถึงก็เห็นไอ้ริชชี่นอนแผ่หลาอยู่บนโซฟา พุงละกลมเชียวครับ สงสัยอาหารที่ผมเทไว้ให้คงหมดเกลี้ยงชาม ผมเดินไปเช็คห้องน้ำแมวและตักอึออกมาทิ้งให้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาเปลี่ยนทรายแมวแล้วกัน
▂▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ █ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂▂