ตอนพิเศษ : หลักกิโลเมตรที่ 1 (ก้อนหินจำศีล)
“ยินดีต้อนรับกลับสู่ประเทศไทยค่ะพี่ตัง” หญิงสาวในชุดเสื้อไหมพรมถักสีสันสดใสเอ่ยทักทายขณะเปิดประตูรั้วให้ชายหนุ่ม ตฤณกรยิ้มก่อนจะเดินตามเธอเข้าไปในบ้าน คนตัวสงยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนที่กำลังนั่งปอกผลไม้ใส่กล่องพลาสติกอยู่ที่โซฟาก่อนจะนั่งลง
“หายหน้าไปนานเลยนะจ๊ะ” อรนุชกล่าว
“ครับ” ตฤณกรตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะวางถุงของฝากลงบนโต๊ะ “นี่ของฝากครับ ผมคิดว่าคุณป้าน่าจะชอบ”
“อะไรเหรอจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนกล่าวก่อนจะวางมีดลง และเอื้อมหยิบถุงกระดาษลายสวยมาดูโดยมีสาวน้อยบ้านตรงข้ามนั่งชะเง้อมองอยู่ข้าง ๆ อย่างสนใจ
“หนังสือสอนทำขนมญี่ปุ่นน่ะครับ เขาแปลเป็นภาษาอังกฤษ”
“แหม...ช่างรู้ใจน้านุชนะคะพี่ตัง” จอมขวัญกล่าวยิ้ม ๆ “ดูสิ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว”
“หนูขวัญก็... แซวน้าได้” อรนุชกล่าวขณะเปิดดูภาพในหนังสือเล่มหนา
“ขอบใจนะจ๊ะตัง”
“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปหาสาวน้อยที่กำลังเอื้อมหยิบผลไม้ในกล่อง
“ของขวัญก็มีนะ” ตฤณกรกล่าวก่อนจะส่งถุงอีกใบให้
“อะไรเหรอคะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับรับมันมา
“ลองเปิดดูสิ พี่ก็ไม่รู้ว่าจะถูกใจหรือเปล่า ตอนไปซื้อก็อาศัยถามเพื่อนผู้หญิงที่เป็นคนญี่ปุ่นเอา”
“โอ้โห เครื่องสำอางนี่คะ ยี่ห้อที่มีคนรีวิวทั้งนั้นเลย” จอมขวัญกล่าวตาวาวก่อนจะหยิบเครื่องสำอางหลายชิ้นออกมาวางเรียงบนโต๊ะ
“ถูกใจไหม”
“ถูกใจมากเลยค่ะพี่ตัง”
ตฤณกรพยักหน้าก่อนจะมองหาใครอีกคน “จ้าไม่อยู่เหรอครับคุณป้า”
อรนุชและจอมขวัญมองหน้ากันยิ้ม ๆ
“อยู่ค่ะพี่ตัง แต่อยู่บนห้องโน่น”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือซึ่งบอกเวลาเกือบสิบโมงเช้า
“ยังไม่ตื่นอีกเหรอ”
อรนุชยิ้มก่อนจะวางหนังสือในมือลง “ตื่นตั้งนานแล้วจ้ะ”
“หรือว่าไม่สบายครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ แต่ว่าหน้าหนาวแบบนี้น่ะ มันเป็นฤดูจำศีลของพี่จ้าเขา” จอมขวัญหัวเราะ
“ฤดูจำศีล?”
“ใช่ค่ะ หน้าหนาวพี่จ้าจะกระฉับกระเฉงน้อยลงสิบเปอร์เซ็นต์”
“มีอย่างนี้ด้วย” ตฤณกรยิ้ม
“รายนั้นเขาขี้หนาวน่ะลูก ชวนไปไหนหน้าหนาวแบบนี้ก็ไม่ไปหรอก”
“ใช่ค่ะ นี่ขวัญก็เลยจะชวนน้านุชออกไปซื้อของกับแม่ กำลังรอน้านุชเตรียมเสบียงให้พี่จ้าอยู่”
“ผมว่าจะมาชวนออกไปข้างนอกด้วยกันเสียหน่อย สงสัยคงไม่ได้ไปแล้ว” ตฤณกรยิ้ม
“ลองขึ้นไปชวนสิจ๊ะ เผื่อจะยอมไป” อรนุชกล่าวก่อนจะหันไปหาจอมขวัญ “น้าวานขวัญเอาผลไม้ไปแช่ตู้เย็นหน่อยนะลูก เดี๋ยวน้าไปหยิบกระเป๋าสตางต์ก่อนแล้วเราไปกัน”
“ค่ะ น้านุช” หญิงสาวกล่าว
“ไม่ขึ้นไปเหรอคะพี่ตัง น้านุชอุตส่าห์อนุญาตแล้ว ห้องพี่จ้าอยู่ใกล้ ๆ กับบันไดค่ะ” เธอยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะเดินถือกล่องใส่ผลไม้หายเข้าไปในครัว
อรนุชหายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านครู่หนึ่งก่อนจะกลับลงมาอีกครั้ง
“อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะตัง เดี๋ยวป้าจะกลับมาทำกับข้าวให้ทาน”
“ครับคุณป้า”
พักใหญ่ ๆ เสียงปิดประตูรั้วก็ดังขึ้นก่อนที่รถเก๋งของจอมขวัญจะถูกขับออกไป ตฤณกรเดินไปนั่งลงที่ระเบียงดูปลาคราฟสีสวยที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระน้ำเล็ก ๆ ไม่รู้ว่าอากาศเย็นขนาดนี้พวกมันจะรู้สึกหนาวกันบ้างไหมที่ต้องแช่อยู่ในน้ำแบบนี้ เมื่อไม่มีทีท่าว่าคนที่อยากเห็นหน้าจะลงมา เขาจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้านก่อนจะค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปในห้องที่อยู่ใกล้กับบันไดมากที่สุด
ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย ตามฝาผนังมีภาพถ่ายที่เข้ากรอบอย่างดีซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพของท้องฟ้า ป่าเขาและสถานที่ต่าง ๆ ประดับอยู่เต็มไปหมด ทั้งม่านหน้าต่าง ผ้าปูที่นอนและผ้าห่มล้วนแต่เป็นสีขาวสะอาดตา ตฤณกรค่อย ๆ นั่งลงบนเตียงนอน ก่อนจะวางมือบนผ้าห่มผืนหนาที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของคนที่กำลังนอนคลุมโปง
“เลิกจำศีลได้แล้วครับคุณก้อนหิน”
“อย่ามายุ่งกับผม” เสียงอู้อี้ที่ดังมาจากใต้ผ้าห่มเรียกรอยยิ้มจากคนที่กำลังนั่งมองอยู่ได้ไม่น้อย
“อะไรกันคุณ อากาศดี ๆ แบบนี้มัวมานอนคลุมโปงอยู่ได้ยังไงกัน ออกไปข้างนอกกันดีกว่า”
อาทิตย์ทัศน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม
“แบบนี้บ้านคุณเรียกอากาศดี แต่ที่บ้านผมเรียกอากาศหนาวนะ” พูดจบเขาก็ทำท่าจะมุดลงใต้ผ้าห่มอีกครั้ง
ตฤณกรรีบดึงผ้าห่มเอาไว้ก่อนจะกล่าว “ไม่เอาแล้ว ผมไม่ให้นอนแล้ว ลุกขึ้นมาคุยกันก่อน”
“ผมไม่อยากคุย ปล่อยเลย” คนตัวเล็กกว่าพยายามออกแรงยื้อยุดฉุดกระชาก
“ไม่ปล่อย” ตฤณกรหัวเราะ “ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย” พูดจบเขาก็ดึงแขนทั้งสองข้างของคนที่กำลังขืนตัวเตรียมจะมุดลงไปในผ้าห่มขึ้นมา
“อะไรของคุณเนี่ย” อาทิตย์ทัศน์กล่าวอย่างหงุดหงิด
“อากาศแค่นี้บ่นว่าหนาวแล้วคุณไปอยู่ต่างประเทศได้ยังไงตั้งหลายปี”
“มันไม่เหมือนกัน คุณเข้าใจคำว่าสถานการณ์บังคับไหม ที่อังกฤษมันก็หนาวจนผมแทบไม่อยากจะทำอะไรเหมือนกัน แต่ก็ต้องทำเพราะสถานการณ์มันบังคับ แต่คุณดูสิ ที่นี่เมืองไทยนะ มันไม่ควรจะหนาวอะไรขนาดนี้” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะพยายามสะบัดมือออก
“จ้า ไม่เอาแล้ว ผมไม่ให้นอนแล้ว”
“อย่ามายุ่งกับผม” คนตัวเล็กกว่ากล่าวเมื่อหลุดออกจากการเกาะกุมของเขาในที่สุด อาทิตย์ทัศน์คว้าผ้าห่มนอนคลุมโปงอีกครั้ง
“เฮ้อ...เด็กคนนี้” ตฤณกรส่ายหน้า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภาพที่เขาถ่ายจึงมีแต่ภาพของท้องฟ้า ภาพกลางแจ้งหรือสถานที่ที่แวดล้อมด้วยสภาพอากาศที่ดูอบอุ่น ที่แท้ก็เพราะเป็นคนขี้หนาวนี่เอง
“ผมไม่ใช่เด็ก” เสียงอู้อี้ดังมาจากใต้ผ้าห่ม
“แต่คุณกำลังทำตัวเป็นเด็ก ๆ” ตฤณกรหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“บอกแล้วไงว่าผมไม่ใช่เด็ก” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง
“งั้นก็ลุกขึ้นแล้วลงไปข้างล่างกัน” ตฤณกรกล่าวก่อนจะรั้งข้อมือของคนตรงหน้าขึ้น “เร็วสิครับ”
อาทิตย์ทัศน์ถอยหายใจก่อนจะลุกขึ้นเดินตามคนตัวสูงกว่าออกไปจากห้องอย่างจำใจ
“คุณทานอะไรมาหรือยัง” คนตัวเล็กกว่าถามขึ้นก่อนจะนั่งกอดเข่าลงที่โซฟา
“ผมทานมาแล้ว ว่าจะชวนไปข้างนอกด้วยกันเสียหน่อย”
“ไปไหน”
คนตัวสูงกว่ายิ้มก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ “ก็...ไปไหนก็ได้ที่คนเป็นแฟนกันเขาไปกัน”
“เพ้อเจ้อ” อาทิตย์ทัศนพึมพำ
“แล้วชอบหรือเปล่าล่ะ” ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะแกล้งขยับเบียดเข้ามาใกล้ ๆ
“ไม่ชอบ” ชายหนุ่มที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้าง ๆ ตอบห้วน ๆ
“ไม่ชอบจริง ๆ น่ะเหรอ” ตฤณกรเสียงอ่อย
คนตัวเล็กกว่าเหลือบมองคนที่ทำหน้าจ๋อยอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะพูดเพียงสั้น ๆ แต่ก็ทำให้หัวใจคนฟังพองโตขึ้นอีกครั้ง
“ไม่จริง”
ตฤณกรยิ้มหวานพร้อมกับวางแขนลงบนบ่าของคนข้าง ๆ ก่อนจะใช้หลังนิ้วถูที่แก้มเนียนเบา ๆ อย่างหยอกล้อ “ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณไม่ได้ใจร้าย”
“ฉวยโอกาสตลอด” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัว ทิ้งให้คนถูกต่อว่านั่งยิ้มอยู่อย่างนั้น
“คุณเล่นกีต้าร์เป็นด้วยเหรอ”
เสียงนั้นดังมาจากข้างนอกในขณะที่อาทิตย์ทัศน์กำลังยืนชงโกโก้ร้อนอยู่ที่โต๊ะอาหาร เขายกแก้วสองใบเดินออกไปก่อนจะวางมันลงโต๊ะหน้าทีวี จากนั้นชายหนุ่มจึงหันไปตอบคำถามของคนที่ยืนเกากีต้าร์ไม่เป็นทำนองอยู่ใกล้ ๆ กับชั้นวางหนังสือ
“เป็นสิ” อาทิตย์ทัศน์ตอบก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาเปิดดู
“จริงเหรอ” ตฤณกรยิ้มขณะเดินถือกีต้าร์มานั่งลงข้าง ๆ กัน
“ผมจะโกหกคุณทำไม”
“คุณหัดเองเหรอ”
“อืม” อาทิตย์ทัศน์ตอบทั้งที่สายตายังคงกวาดมองตัวหนังสือ หูยังคงได้ยินเสียงเกากีต้าร์ทำนองแปร่ง ๆ เป็นระยะ ๆ ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าว“คุณเลิกเกากีต้าร์เสียงแปร่ง ๆ เสียทีได้ไหม ผมรำคาญ”
“ก็ผมเล่นไม่เป็นนี่คุณ ถ้าอย่างนั้น...” คนตัวสูงกว่ากล่าวพร้อมกับดึงหนังสือออกจากมือคนข้าง ๆ “คุณเล่นให้ผมฟังหน่อยนะ”
อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้าก่อนจะรับกีต้าร์ตัวเก่าที่ซื้อตั้งแต่สมัยมัธยมต้นมาตั้งสาย นานแล้วที่ไม่ได้หยิบมันออกมาเล่น ถ้าแม่ไม่รื้อทำความสะอาดห้องเก็บของมันก็คงนอนจมกองฝุ่นอยู่อย่างนั้น
“ว่าแต่คุณเถอะทำไมถึงหัดเล่นกีต้าร์ล่ะครับ” คนตัวสูงกว่าถามก่อนจะวางคางลงบนบ่าของคนข้าง ๆ
“จีบสาว” อาทิตย์ทัศน์ตอบเรียบ ๆ ในขณะที่ตฤณกรก็เอียงคอมองคนที่แก้มชนกับปลายจมูกของเขาอย่างแปลกใจ
“จีบสาวด้วยอ่ะ แฟนใครเนี่ย” น้ำเสียงล้อเลียนปนน้อยใจนั้นทำเอาอาทิตย์ทัศน์รู้สึกเขินไม่น้อย
“พูดมากจริง นอนฟังเงียบ ๆ ไปเลย” คนตัวเล็กกว่ากล่าวแก้เขิน
ตฤณกรยิ้มก่อนจะนอนเหยียดลงบนโซฟาพร้อมกับเปิดหนังสือในมือขึ้นอ่าน ไม่นานเสียงเพลงเบา ๆ จากปลายนิ้วที่สัมผัสกับสายโลหะก็ดังขึ้น...
...เพียงลำพังแค่ลมไหวเอน
ใจมันก็ลอยไปอย่างนั้น
แค่ต้นไม้ แค่รถไฟ แค่ถนน แค่พู่กัน
ก็แค่นั้น แต่มันเห็นเธออยู่ตรงนั้น
แค่นั่งมองดูผนัง ก็ยังนึกถึงรอยยิ้มเธอ
เดินเข้ามาทักทายสบตาฉัน....
ก็ไม่รู้เพราะอะไร ไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็แค่นั้น...
ในที่สุดเสียงโน้ตตัวสุดท้ายลอยหายไปกับสายลมแห่งฤดูหนาว อาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ วางกีต้าร์ลงก่อนจะหันไปมองคนที่นอนอยู่ด้านหลัง มือเรียวค่อย ๆ หยิบหนังสือที่วางอยู่บนอกกว้างของคนที่กำลังนอนหลับขึ้นมาก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นเขาจึงขยับเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวลงดึงแว่นสายตาของตฤณกรออกวางทับลงบนหนังสือ
ตาคู่สวยไล่มองตั้งแต่หน้าผากไล่มาตามสันจมูกโด่งแสนซุกซนจนกระทั่งมาหยุดที่ริมฝีปากหยักได้รูปที่เคยทำให้เขาแทบควบคุมสติไม่อยู่ยามเมื่อได้รับรสสัมผัสนุ่มนวลหวานหอมนั้น มือเรียวค่อย ๆ ไล้ไปตามเรือนผมดำสนิทก่อนจะเลื่อนมายังปลายคิ้วหนา
“มองแบบนี้ผมเขินนะคุณ” คนที่กำลังหลับตาพริ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับคว้าข้อมือของอาทิตย์ทัศน์เอาไว้
“นี่คุณไม่ได้หลับหรอกเหรอ”
ตฤณกรค่อย ๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง “คุณนั่นแหละที่ทำผมตื่น เพราะฉะนั้นต้องรับผิดชอบ” พูดจบเขาก็ฝังปลายจมูกโด่งลงบนแก้มเนียนก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเพื่อกอบโกยกลิ่นหอมที่คุ้นเคยนั้นแล้วจึงรีบผละออก
“เฮ้ย” อาทิตย์ทัศน์เบิกตากว้างเพราะไม่ทันตั้งตัว เขายกมือขึ้นลูบแก้มของตัวเองก่อนจะหันไปคาดโทษคนที่นั่งยิ้มหวานอยู่ใกล้ ๆ ...
...
“จ้า ของที่ลูกจะทิ้งน่ะ ลูกแยกไว้แล้วใช่ไหม” เสียงของผู้เป็นแม่ดังขึ้น
“ครับแม่ จ้าใส่ไว้ในลังกระดาษแล้ว” อาทิตย์ทัศน์กล่าวขณะกำลังยืนล้างจานอยู่ที่อ่างล้างจาน
“รูปนี่ก็ทิ้งด้วยเหรอลูก” อรนุชกล่าวก่อนจะหยิบกรอบรูปซึ่งเป็นภาพของเด็กผู้ชายสองคนขึ้นมาดู ในขณะที่ตฤณกรซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนักก็มองมันอย่างสนใจ
ชายหนุ่มที่กำลังหมุนก๊อกเปิดน้ำชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ทิ้งครับแม่ จ้าไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม”
ตฤณกรมองดูกรอบรูปที่ถูกวางลงในลังกระดาษก่อนจะเดินเข้าไปในครัว คนตัวสูงกว่าสอดแขนทั้งสองข้างเข้าที่ข้างเอวพร้อมกับโอบรัดคนตัวเล็กกว่าจากด้านหลัง
“เฮ้ย กอดทำไม” อาทิตย์ทัศน์ร้องขึ้นเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองสาวน้อยที่หยุดปอกผลไม้แต่กลับนั่งทำตาแป๋วอยู่ที่โต๊ะอาหาร
ตฤณกรมองตามสายตาของคนในอ้อมกอด เมื่อเห็นว่าภายในครัวไม่ได้มีแค่เขาสองคนก็ตกใจไม่น้อย เขายิ้มเก้อ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ คลายวงแขนออก “วันนี้กอดทั้งวันเลยลืมตัว” ชายหนุ่มกล่าวเขิน ๆ
“กอดต่อก็ได้นะคะ ขวัญไม่หวงพี่ชายหรอก” จอมขวัญยิ้ม
“น้องสาวคุณไม่ว่าอะไร งั้นผมกอดต่อนะ” ตฤณกรหันไปพูดกับอาทิตย์ทัศน์
“เดี๋ยวเถอะทั้งคู่เลย เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย” คนหน้าตูมกล่าวก่อนจะเดินหนีออกไปข้างนอก
“ลืมตัวแบบนี้แฟนคลับหัวใจจะวายนะคะพี่ตัง” สาวน้อยหัวเราะในขณะที่คนโดนแซวได้แต่เกาศีรษะแก้เก้อ
...
“ปีใหม่นี้ตังกลับบ้านหรือเปล่าลูก” อรนุชถามขึ้นณะที่ทุกคนกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่
“เปล่าครับ” ชายหนุ่มตอบยิ้ม ๆ
“เป็นพวกหลงแสงสีละสิ” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อยคุณ” ตฤณกรขมวดคิ้ว “ถ้าจะหลงผมก็หลง คะ ...” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ คนตัวเล็กกว่าก็ล็อคคอเขาเอาไว้พร้อมกับใช้มือเรียวปิดปากคนที่คิดอะไรอยู่ในใจก็พูดออกมาเสียหมดไว้แน่น
“หยุดเลย” อาทิตย์ทัศน์ปราม
“หลงอะไรยังฟังไม่รู้เรื่องเลย พี่จ้าปิดปากพี่ตังทำไมคะ หลงอะไรเหรอคะพี่ตัง” สาวน้อยที่นั่งเคี้ยวผลไม้ตุ้ย ๆ ถามด้วยความสงสัย
อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วส่งสัญญาณไม่ให้คนในวงแขนพูดมากก่อนจะค่อย ๆ คลายมือออกช้า ๆ
“หลง......” คนตัวสูงขมวดคิ้วพร้อมกับพยายามนึกหาทางออกของสถานการณ์นี้ “หลงทางน่ะครับ” ตฤณกรกล่าวก่อนจะหัวเราะแหะ ๆ
“อ๋อ” จอมขวัญพยักหน้า “ขวัญคิดว่าหลงรักคนแถวนี้เสียอีก” พูดจบเธอก็หัวเราะชอบใจในขณะที่อรนุชก็นั่งมองเธออย่างเอ็นดู
อาทิตย์ทัศน์เดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุคขึ้น แม้สายตาจะจดจ้องอยู่ที่หน้าจอ แต่หูก็ยังคงได้ยินเสียงพูดคุยกันของคนที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ที่โซฟาได้อย่างชัดเจน
“แล้วคุณลุงคุณป้าที่เชียงใหม่ล่ะจ๊ะ”
“ท่านก็มีลูกหลานของท่านเยอะแยะเต็มไปหมดแล้วละครับ”
“พูดยังกับตัวเองไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลานอย่างนั้นแหละ” คนที่นั่งห่างออกไปจากวงสนทนาแทรกขึ้น
ตฤณกรหันไปมองเจ้าของประโยคเมื่อสักครู่เล็กน้อยก่อนจะหันมากล่าวกับหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ที่โซฟาใกล้ ๆ “อืม..จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ครับ หลังจากพ่อกับแม่ของผมเสีย ผมก็ถูกส่งไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์เพราะผมไม่มีญาติที่ไหนเลย คุณลุงคุณป้าที่เลี้ยงดูผมก็คือคุณลุงคุณป้าเจ้าของสถานสงเคราะห์นั่นแหละครับ”
“ถ้าปีใหม่ตังไม่ได้ไปไหนก็แวะมาทานข้าวที่บ้านป้าได้นะลูก”
“ครับคุณป้า” ชายหนุ่มยิ้มกว้างก่อนจะหันไปยักคิ้วให้คนที่กำลังมองมาที่เขาอย่างหมั่นไส้
อาทิตย์ทัศน์เหลือบมองคนที่กำลังเล่าเรื่องของตัวเองด้วยรอยยิ้มเป็นระยะ ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไปเรื่อย ๆ พักใหญ่ ๆ น้องสาวบ้านตรงข้ามขอตัวกลับ แม่ของเขาจึงขึ้นไปสวดมนต์บนห้องพระ ตฤณกรเดินไปหยุดยืนที่ลังกระดาษใบใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยของที่เจ้าของบ้านกำลังจะ ‘ทิ้ง’ ก่อนจะก้มลงหยิบกรอบรูปซึ่งมีรูปของหนุ่มน้อยสองคนในชุดนักเรียนที่ยืนอยู่คู่กันขึ้นมาดู
“คุณเสียใจไหมที่เลือกผม” คนตัวสูงกล่าวก่อนจะสัมผัสปลายนิ้วลงบนภาพของหนุ่มน้อยเจ้าของลักยิ้มเล็ก ๆ ที่ข้างแก้ม
“ทำไมคุณถึงถามผมแบบนี้” อาทิตย์ทัศน์ที่ยังคงจ้องมองไปที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุคถามอย่างแปลกใจ
“ผมก็แค่คนธรรมดา ๆ ไม่เหมือนเขา...”
อาทิตย์ทัศน์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้น เขาเดินมาหยุดตรงหน้าของตฤณกร
“เพิ่งรู้ว่าคุณเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง” คนตัวเล็กกว่ากล่าวก่อนจะเอื้อมมือหยิบกรอบรูปจากมือชายหนุ่มจากนั้นจึงวางมันไว้ในลังกระดาษเหมือนเดิม
“แล้วคุณล่ะ มั่นใจในตัวผมหรือเปล่า” ตฤณกรไม่พูดเปล่า มือหนารั้งเอวของคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ ๆ “ถ้าผมมีพรวิเศษหนึ่งข้อ ให้คุณขออะไรก็ได้ คุณอยากจะขอให้คนที่อยู่ตรงหน้าคุณตอนนี้เป็นเขาไหม”
อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าก่อนจะกล่าวเพียงสั้น ๆ “ผมจะขอให้คุณไม่มีพรวิเศษ”
ตฤณกรยิ้มก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นมาบีบเบา ๆ ที่ปลายจมูกโด่งรั้นของคนตรงหน้า “รักผมแล้วละสิ”
“เพ้อเจ้อ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับปัดมือเขาออก
คนตัวสูงกว่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบเบา ๆ “เพ้อ..จ้า ต่างหาก”
อาทิตย์ทัศน์เดินมาส่งตฤณกรที่หน้าบ้านท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของคืนเดือนมืด คนที่เดินนำหน้าค่อย ๆ เอื้อมมือลากประตูเหล็กให้เปิดออก
“จ้า” คนตัวสูงกว่าที่เดินมาซ้อนทับด้านหลังเอ่ยขึ้นพร้อมกับรั้งมือของเขาเอาไว้
“หืม” อาทิตย์ทัศน์ขานรับเบา ๆ ขณะมองมือทั้งสองข้างของตัวเองที่กำลังถูกเกาะกุมด้วยมืออุ่น ๆ ของคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ตฤณกรค่อย ๆ ดึงมือเล็ก ๆ ของคนตรงหน้าออกจากประตูเหล็กก่อนจะค่อย ๆ วางคางบนบ่าและกอดคนตัวเล็กกว่าเอาไว้แน่น
“ขอบคุณนะครับที่คุณให้โอกาสคนธรรมดา ๆ อย่างผม”
“ถึงผมไม่ให้โอกาส ยังไงคุณก็ต้องสร้างโอกาสให้ตัวเองอยู่ดี เพราะคุณมันเป็นพวกชอบฉวยโอกาสเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้ไง” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะพยายามขยับออกจากอ้อมกอดของเขา
“ถ้าคุณไม่ชอบให้ผมทำแบบนี้ก็แค่บอกมาคำเดียว”
อาทิตย์ทัศน์ยิ้มที่มุมปาก “แล้วคุณก็จะไม่ทำอีกเลย?”
“เปล่า ผมแค่จะถามคุณว่าตั้งแต่รู้จักกันมาคุณเคยห้ามผมได้ด้วยเหรอ” ตฤณกรกล่าวก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ พร้อมกับกดปลายจมูกที่ข้างแก้มของคนในอ้อมกอด
“ไอ้บ้าเอ๊ย” คนตัวเล็กกว่าได้แต่พึมพำกับตัวเองเบา ๆ
....
ตอนพิเศษตามคำเรียกร้องนะคะ ตอนแรกว่าจะเขียนให้จบภายใน 1 ตอน
แต่ว่ามันดันยืดเยื้อ เขียนไม่ถึงพล็อตที่คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้เสียที
ก็เลยออกมาเป็นหลักกิโลเมตรที่ 1 เหมือนกับการเริ่มต้นเดินทางไปด้วยกันของจ้าและตัง
ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นท์นะคะ
ปล.เพลงที่จ้าใช้เล่นกีต้าร์เป็นเพลงที่ชื่อว่า "แค่นั้น" ของ split นะคะ
ปล. 2 จริงอย่างที่คุณ quiicheh ว่าเลยค่ะ เราอยากเขียนให้จ้าแมน ๆ ในความรู้สึกของคนอ่าน
ก็เลยอาจจะดูเขาเป็นคนห้วน ๆ นิ่ง ๆ ไปหน่อย