ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า (ส่งท้าย : ถ้าเรายังคิดถึงกัน) 28-12-2558 หน้า 22
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า (ส่งท้าย : ถ้าเรายังคิดถึงกัน) 28-12-2558 หน้า 22  (อ่าน 331275 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






...........................



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-03-2019 10:41:06 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ถ้ า เ ธ อ เ ป็ น ท้ อ ง ฟ้ า

เรื่องย่อ :

วันหนึ่งหนุ่มนักออกแบบที่ไม่เคยห่างจากโต๊ะทำงานก็นึกอยากจะหยิบกล้องฟิล์มตัวเก่ามาปัดฝุ่น
สะพายเป้แล้วออกไปท่องเที่ยว เพียงเพราะได้เห็นภาพถ่ายป่าสนฝีมือของใครบางคนที่โพสต์ไว้ในเว็บบอร์ดของเหล่าคนรักในงานศิลปะ
username แปลก ๆ นั่นมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้อยากทำความรู้จักอีกฝ่ายให้มากขึ้น ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าของ username เป็นใคร
รู้เพียงแต่ว่าเขาหรือเธอคนนั้นคือแรงบันดาลใจให้อยากจะหยิบโปสการ์ดขึ้นมาเขียนเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทาง
ท่ามกลางแสงแดดอุ่น ๆ ต้นหญ้าเขียว ๆ สายลมเย็น ๆ และหมอกสีขาวจาง ๆ ส่งกลับไปให้
...นักเดินทางใบเล็ก ๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนสองคนได้กลับมาพบกัน....

เรื่องอื่น ๆ

สารบัญ

ตอนที่ 1 ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 2 ที่ระลึก
ตอนที่ 3 ถ้าคุณยินดีจะเป็นเพื่อนกับผม
ตอนที่ 4 บางสิ่งที่หายไป
ตอนที่ 5 ลิ้นชักแห่งความทรงจำ
ตอนที่ 6 ช่วงเวลาแห่งการจากลา
ตอนที่ 7 การเริ่มต้น
ตอนที่ 8 แรกพบ
ตอนที่ 9 คำขอโทษและพันธนาการที่มองไม่เห็น
ตอนที่ 10 ความจริง
ตอนที่ 11 สิ่งตอบแทน
ตอนที่ 12 มวยถูกคู่
ตอนที่ 13 ของขวัญวันเกิด
ตอนที่ 14 คำสัญญาของต้นหญ้าและการกลับมาของเพื่อนเก่า
ตอนที่ 15 สติขาดแต่ไม่ได้ขาดสติ
ตอนที่ 16 คุ้น?
ตอนที่ 17 คู่แข่ง
ตอนที่ 18 ปากแข็ง
ตอนที่ 19 กล่องแห่งความลับ
ตอนที่ 20 คำตอบ (ตอนจบ)

ตอนพิเศษ

หลักกิโลเมตรที่ 1 ก้อนหินจำศีล
หลักกิโลเมตรที่ 2 ล้อหมุน
หลักกิโลเมตรที่ 3 เรื่องที่ยังไม่ได้บอก
หลักกิโลเมตรที่ 4 บ้านหลังเก่า
หลักกิโลเมตรที่ 5 บทสรุป
หลักกิโลเมตรที่ 5 บทสรุป (ต่อ)
หลักกิโลเมตรที่ 5 บทสรุป (ต่อ)
หลักกิโลเมตรที่ 5 บทสรุป (จบ)


คิดถึงขึ้นมา
(คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ...) : เสือน้อย
เวลาเวียน
ขอบคุณที่รักกัน
คนในอดีต
ถ้าเรายังคิดถึงกัน


ตอนที่ 1 ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า



ดวงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยต่ำลงจนกระทั่งถูกบดบังด้วยยอดตึกระฟ้า บนถนนเต็มไปด้วยรถราและผู้คน ทันทีที่สัญญาณไฟแดงปรากฏคนจำนวนมากที่กำลังรอข้ามถนนบต่างก็รีบเดินจ้ำอ้าวทันที แม้จะยืนอยู่คนละฟากแต่ต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคือการข้ามไปยังอีกฝั่ง สายตาแต่ละคู่จดจ้องอยู่ที่อีกฟากของถนนโดยไม่ได้สนใจมองคนที่กำลังเดินสวนทางมาหรือคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ กัน  เพียงไม่นานสัญญาณไฟสีแดงสดก็ถูกแทนที่ด้วยสัญญาณสีส้มเหลือง บรรดาเจ้าของรถทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ต่างก็เร่งเครื่องเตรียมพร้อมที่จะออกตัวในทันทีเมื่อสัญญาณไฟเขียวปรากฏ นี่คือภาพที่คุ้นตาผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณสี่แยกอโศก


เหนือขึ้นไปซึ่งเป็นสถานีรถไฟฟ้าก็มากด้วยผู้คนไม่แพ้กัน ทั้งเด็กนักเรียน นิสิตนักศึกษาและคนทำงาน มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เสียงพูดคุยกันดังอื้ออึงแข่งกับเสียงยวดยานจนฟังไม่ได้ศัพท์  ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีเข้มพับแขนขึ้นระดับศอกยังคงยืนมองสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘ความวุ่นวาย’ นี้ ผ่านเลนส์กล้อง DSLR คู่ใจจากปลายสุดของสถานีรถไฟฟ้าก่อนจะกดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพโดยไม่ได้สนใจผู้คนที่เริ่มขยับเข้ามาออกันอยู่ริมชานชลาในบริเวณที่มีการทำสัญลักษณ์เอาไว้เมื่อแสงไฟหน้าขบวนรถไฟฟ้าปรากฏขึ้นไกล ๆ ไม่นานนักรถไฟฟ้าก็เคลื่อนขบวนเข้าจอดเทียบชานชลาของสถานี


ทันทีที่ประตูเปิดออกผู้โดยสารด้านในขบวนรถที่ต้องการลงสถานีนี้ต่างก็พยายามแทรกตัวเบียดเสียดผู้คนออกมาก่อนที่ผู้โดยสารที่ยืนอยู่ด้านนอกจะพากันกรูเข้าไปในขบวน ชายหนุ่มรูปร่างท้วมมองดูนาฬิกาข้อมืออย่างกระวนกระวายพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหาบางอย่างก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปในขบวนรถที่แทบจะไม่มีที่เหลือให้เขาได้โดยสารไปด้วย


“ถ้าไปไม่หมดรอขบวนถัดไปนะครับ” เสียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำสถานีดังขึ้นเตือนสติคนที่กำลังพยายามจะเข้าไปยืนในขบวนรถไฟฟ้าให้ได้


ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีเข้มพับแขนที่กำลังยกกล้องขึ้นจับภาพทิวทัศน์ของย่านธุรกิจสำคัญใจกลางเมืองจำต้องลดกล้องลงและเบนสายตากลับมาดูความเป็นไปที่เกิดขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วนนี้ คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มในชุดพนักงานออฟฟิศกำลังวิ่งขึ้นมาตามบันไดพร้อมกับกระดาษม้วนยาวและกระเป๋าใส่แบบใบใหญ่ในมือ


“ไอ้ตัง ๆๆๆ ทางนี้” เสียงดังมาจากกลางขบวนรถซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเตือนประตูปิดดังขึ้น


ชายหนุ่มที่เพิ่งวิ่งมาถึงหยุดหอบพร้อมกับส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าคนแทบจะล้นออกจากขบวน


“แกไปก่อนเลย เดี๋ยวไม่ทันเวลา”  เขากล่าวพร้อมกับรีบส่งกระเป๋าใส่แบบและม้วนกระดาษให้คนที่อยู่ด้านในอย่างรวดเร็วก่อนประตูจะปิด


เจ้าของร่างสูงค่อย ๆ หมุนตัวกลับไปยืนพิงแผงกั้นพร้อมกับหายใจหอบ ตาคมกริบยังคงจ้องขบวนรถไฟฟ้าที่เคลื่อนออกจากสถานีผ่านกระจกแว่นสายตาก่อนจะเหลือบมองชายหนุ่มที่ยืนถ่ายรูปอยู่ไกล ๆ แว้บหนึ่ง นึกแปลกใจที่ชายคนนั้นดูไร้ซึ่งความวิตกกังวลและความรีบร้อนต่างจากตัวเขาในขณะนี้ ในที่สุดเขาก็ต้องเบนสายตาจากร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีเข้มพับแขนที่เห็นอยู่ไกล ๆ เมื่อรถไฟฟ้าขบวนถัดมากำลังเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบชานชลา ผู้โดยสารในรถไฟฟ้าขบวนนี้และจำนวนคนรอมีไม่มากเท่าขบวนก่อนจึงทำให้หลายคนไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องจะไม่มีที่ยืน


ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในขบวนรถไฟฟ้าก่อนจะหาที่ยืนเหมาะ ๆ มือเอื้อมจับราวและไม่ลืมที่จะหันกลับไปมองคนที่ดูจะไม่มีความเร่งรีบในชีวิตเอาเสียเลย เขายังคงยืนเชคภาพที่เพิ่งถ่ายเสร็จจากหน้าจอ LCD อยู่ที่เดิม ในที่สุดภาพนั้นก็ห่างออกไปทุกทีเมื่อขบวนรถเคลื่อนออกจากสถานี.....









“พี่จ้า” เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นสร้างรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าของชายหนุ่ม เขาค่อย ๆ หันกลับมาก่อนจะกดชัตเตอร์บันทึกภาพสาวน้อยในชุดกระโปรงสีน้ำตาลที่กำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหา


“แอบถ่ายขวัญตอนไม่ได้ตั้งตัวอีกแล้ว” หญิงสาวทำหน้ามุ่ยเมื่อมายืนตรงหน้า ความสูงในแบบมาตรฐานหญิงไทยทำให้เธอดูตัวเล็กเข้าไปใหญ่เมื่อยืนใกล้ ๆ เขา


ชายหนุ่มลดกล้องลงพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ก็เวลาขวัญเผลอ ๆ มันน่ารักดีนี่นา” เขากล่าวก่อนจะเก็บกล้องลงในกระเป๋าเป้ซึ่งวางพิงแผงกั้นเอาไว้


“พี่จ้าพูดแบบนี้ขวัญคิดนะ” หญิงสาวกล่าวยิ้ม ๆ


“คิดอะไร..เรา” เจ้าของร่างสูงกล่าวพร้อมกับวางมือบนศีรษะของหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะโยกเบา ๆ


“ก็คิดว่านายอาทิตย์ทัศน์ห้องม.6/1 หนุ่มฮ๊อตแห่งชมรมถ่ายภาพของโรงเรียนกำลังให้ความหวังน้องจอมขวัญห้องม.4/5 อยู่น่ะสิคะ”


คนตัวสูงได้แต่หัวเราะเบา ๆ


“พี่จ้าหัวเราะอะไรคะ”


“หัวเราะเรานั่นแหละ”


“พี่จ้าน่ะ ชอบแกล้งขวัญอยู่เรื่อย” คนตัวเล็กบ่นพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก


“เอาละ ๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว ว่าแต่ขวัญเถอะทำไมวันนี้ถึงกลับบ้านพร้อมพี่ได้”


“วันนี้ขวัญออกมาพบลูกค้าค่ะ ไม่ต้องกลับเข้าไปที่บริษัทแล้ว ก็เลยรีบโทรหาพี่จ้า คิดว่าพี่จ้าน่าจะยังไม่ออกจากมหาวิทยาลัย”


“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินไปยืนรอรถไฟฟ้าที่ริมชานชลา ถัดไปไม่ไกลมีกลุ่มของหนุ่มสาวในชุดนักศึกษากำลังคืนคุยกันพร้อมกับหันมามองทั้งคู่ จากนั้นเด็กทั้งกลุ่มก็พากันยกมือไหว้ชายหนุ่ม เขายิ้มรับพร้อมกับค้อมศีรษะลงเล็กน้อย


“รถมาแล้ว” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะรั้งแขนคนตัวเล็กมายืนใกล้ ๆ เพื่อไม่ให้เธอขวางทางคนที่จะเดินออกจากขบวนรถโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดยังคงอยู่ในสายตาของนักศึกษากลุ่มนั้นตลอดเวลา










“แก” สาวน้อยนางหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเขย่าแขนเพื่อนขณะตามกันเข้ามายืนในรถไฟฟ้า สายตายังคงจ้องชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนคุยกันอย่างสนิทสนม


“อะไรของแกวะ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น


“แกว่าอาจารย์อาทิตย์ทัศน์กับผู้หญิงคนนั้นเขาเป็นแฟนกันรึเปล่า”


“ฉันจะรู้ไหมแก”


“อ้าว นั่นอาจารย์ภาคแกนะ แกไปสืบมาหน่อยสิ นะ ๆ ฉันอยากรู้”


“แกจะอยากรู้เรื่องของอาจารย์เขาไปทำไมยะนังฝน”


“ก็ฉันแอบปลื้มอาจารย์เขานี่แก ปลื้มตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งแล้ว”


“จะว่าไป สาว ๆ ในคณะเราก็กรี๊ดอาจารย์อาทิตย์ทัศน์กันทั้งนั้น”


ชายหนุ่มร่างบางที่ท่าทางกระเดียดไปทางผู้หญิงถอนหายใจก่อนจะกล่าว  “อย่าว่าแต่ชะนีอย่างพวกแกเลยย่ะ ผู้หญิงสวย ๆ อย่างพวกฉันก็กรี๊ด คนอะไรนิสัยก็ดี เก่งก็เก่ง แถมหล่อเริ่ดซะขนาดนั้น”


ทุกคนในกลุ่มพากันพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพร้อมใจกันหันไปมองชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนถัดไปไม่ไกลนัก









“ยิ้มอะไรขวัญ”  อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นจอมขวัญยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่


“ก็ขำนักศึกษาของพี่จ้าน่ะสิคะ เขาต้องกำลังพูดถึงเราอยู่แน่ ๆ เลย”


อาทิตย์ทัศน์พยักหน้างง ๆ ก่อนจะหันไปมองกลุ่มนักศึกษาที่ยกมือไหว้เขาเมื่อครู่ที่สถานีรถไฟฟ้า ทันทีที่เห็นอาจารย์หนุ่มหันมาบรรดาเด็ก ๆ ต่างก็หลบสายตาทำไม่รู้ไม่ชี้


“มีเรื่องอะไรให้ต้องพูดถึง” ชายหนุ่มหันมาถาม


“เด็ก ๆ เขาคงแปลกใจมั้งคะ ร้อยวันพันปีอาจารย์จ้าไม่เคยเดินกับผู้หญิงที่ไหน” จอมขวัญพูดกลั้วหัวเราะ


“ถ้าอย่างนั้นพี่คงต้องพาขวัญไปควงบ่อย ๆ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างอารมณ์ดี


“ไม่เอาหรอกค่ะ ขืนขวัญเดินกับพี่จ้าบ่อย ๆ นะ โดนแฟนคลับพี่จ้าเขม่นเอาพอดี” คนตัวเล็กขยับเข้ามาใกล้ ๆ เขาเล็กน้อยก่อนจะกระซิบ “อีกอย่างนะคะ เดี๋ยวพี่จ้าเองนั่นแหละจะขายไม่ออก ไม่มีใครกล้ามาจีบ”


“เพ้อเจ้อใหญ่แล้วเรา” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับเขกศีรษะหญิงสาวเบา ๆ ....





...





 



“เฮ้อ...ฉันละลุ้นจะแย่ คิดว่าแกจะตามมาไม่ทันพรีเซ้นท์งานลูกค้าเสียแล้ว” ชายหนุ่มร่างท้วมกล่าวขึ้นขณะเดินตามร่างสูงออกมาจากอาคารแห่งหนึ่งในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ


“ขืนมาไม่ทันก็โดนหัวหน้าเฉ่งสิ”


“ไม่รู้หัวหน้านึกยังไงถึงได้นัดพรีเซ้นท์งานลูกค้าสองเจ้าในวันเดียวกัน แถมยังอยู่ไกลกันคนละโยชน์”


“ก็นั่นน่ะสิ” คนร่างสูงกล่าวพร้อมกับค่อย ๆ พับแขนเสื้อขึ้น


“แล้วนี่แกจะไปไหนต่อวะตัง”


“คงกลับไปนอนว่ะ เหนื่อยจะแย่ เดินทางทั้งวัน แกล่ะ”


“ฉันนัดกับไอ้ฟานไว้ว่าคืนนี้จะไปดูบอลห้องมัน”


“เออ ถ้าอย่างนั้นแยกกันตรงนี้เลยแล้วกัน”


“ฝากแกส่งเมลรายงานหัวหน้าเรื่องโปรเจควันนี้ด้วยนะ”


ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้าก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกัน

 



.....





“อ้าวคุณตัง วันนี้กลับเร็วจังนะครับ” เสียงทักทายจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของคอนโดทำให้เขาต้องก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ


หนึ่งทุ่มครึ่ง....นี่คงเป็นเวลากลับบ้านที่เร็วที่สุดในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา


ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะยื่นถุงใส่ก๋วยเตี๋ยวให้ชายวัยกลางคนรูปร่างเตี้ยล่ำผิวคล้ำที่มักจะคอยให้บริการทุกคนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม


“ผมซื้อมาฝากครับพี่จ่อย เผื่อดึก ๆ หิว พอดีวันนี้กลับเร็วเลยทันกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยที่หน้าปากซอย นาน ๆ จะได้กินสักที ไม่อย่างนั้นกลับมาทีไรเก็บร้านแล้วทุกที”


“ขอบคุณครับคุณตัง อุตส่าห์มีน้ำใจซื้อมาฝากผม ขอให้เจริญ ๆ นะครับ” พนักงานรักษาความปลอดภัยยิ้มกว้างก่อนจะรับถุงก๋วยเตี๋ยวนั้นไว้


“ผมไปละ” พูดจบชายหนุ่มร่างสูงก็แตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู....


แม้จะอายุใกล้เลขสามเข้าไปทุกทีแต่การเป็นนักออกแบบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยจริง ๆ สำหรับ  “ตฤณกร” หนุ่มน้อยชาวเหนือที่มาใช้ชีวิตในเมืองหลวง ตั้งแต่สามารถสอบเข้าเรียนในคณะศิลปกรรมกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้ หลังจากเรียนจบเขาก็ถูกทาบทามให้มาเป็นนักออกแบบประจำบริษัทที่บรรดารุ่นพี่ร่วมกันก่อตั้งขึ้นมา ชีวิต 6-7 ปีหลังเรียนจบเหมือนภาพฉายที่วนซ้ำไปซ้ำมา วัน ๆ ถ้าไม่นั่งจ้องแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ฟังเสียงคลิกเมาส์ของตัวเองก็ต้องออกไปพรีเซ้นท์งานให้ลูกค้า ถ้าลูกค้าพอใจก็หน้าบานกลับมา แต่ถ้าผลที่ได้รับมันตรงกันข้ามบางครั้งก็รู้สึกหมดพลังเอาดื้อ ๆ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาแทบไม่ได้ออกจากบริษัทเมื่อถึงเวลาเลิกงานเลยสักครั้ง เพราะต้องทำงานให้ทันพรีเซ้นท์ลูกค้าแถมยังต้องกลับมาแก้ไขงานตามที่ลูกค้าต้องการ จึงไม่แปลกอะไรที่พนักงานประจำคอนโดหลาย ๆ คนจะรู้สึกแปลกใจกับการกลับมาถึงห้องตั้งแต่หัวค่ำของเขาในวันนี้


ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลง ชายหนุ่มเจ้าของห้องก็เดินตรงไปที่โซฟพร้อมกับวางกระเป๋าใส่แบบและม้วนกระดาษลงอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงาน เขาขยับแว่นสายตาก่อนจะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคเพื่อส่งอีเมลรายงานผลจากการวิ่งรอกพรีเซ้นท์งานในวันนี้ให้หัวหน้าแผนกของเขาทราบ


หลังจากอีเมลถูกส่งออกไปแล้วตฤณกรก็เปิดเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อเสพข่าวสารและความบันเทิงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงเว็บไซต์หนึ่งที่เขาตัดสินใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้เคยคิดอยากจะมีเว็บไซต์ที่เข้าใช้งานประจำบ้างแต่ก็ยังหาสิ่งที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้จนกระทั่งมารู้จักกับเว็บไซต์นี้เพราะรุ่นน้องที่ทำงานของเขาเอง มันเป็นเว็บไซต์ที่สมาชิกส่วนใหญ่ซึ่งเป็นนักออกแบบหรือคนทำงานเกี่ยวข้องกับศิลปะต่างเข้ามาเล่าประสบการณ์การทำงานของตนเอง ซึ่งหลายกระทู้ก็สร้างกำลังใจในการทำงานได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ทำให้คนที่กำลังรู้สึกท้อแท้กับการทำงานรู้สึกว่าสิ่งที่เราเจอยังน้อยมากเมื่อเทียบกับเรื่องราวของคนอื่น ๆ  บางคนก็สามารถถ่ายทอดเรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องเครียดให้ดูหนุกสนานได้ หลายคนช่วยแก้ปัญหาหรือแนะนำทางออกที่ดีให้กับคนที่กำลังมีปัญหารวมถึงการแบ่งปันความรู้ใหม่ ๆ ในวงการศิลปะและการออกแบบ


ตฤณกรไล่สายตาอ่านชื่อกระทู้ต่าง ๆ มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งสายตามาหยุดที่กระทู้หนึ่ง


“เรื่องหยุมหยิมระหว่างโปรแกรมเมอร์กับดีไซเนอร์” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะคลิกเมาส์เพื่อเข้าไปอ่านรายละเอียดด้านใน


‘มีเรื่องน่ารัก ๆ ของดีไซเนอร์ที่บริษัทมาเล่าให้ฟังครับ ตัวผมเองเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ ที่บริษัทเป็นบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจส่งออกครับ งานของผมทำเกี่ยวกับการออกแบบเว็บไซต์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่บริษัทเพิ่งรับดีไซเนอร์เข้ามาใหม่ เธอเป็นผู้หญิงครับ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เราต้องทำงานร่วมกันครับ แต่เอาตามจริงนะครับ ผมเองคิดว่าเรื่องออกแบบน่ะใคร ๆ ก็ทำได้ (โพสต์แบบนี้จะถูกพี่ ๆ ดีไซเนอร์เหยียบไหมเนี่ย)  ดังนั้นมันก็เลยมักจะมีเรื่องหยุมหยิมระหว่างโปรแกรมเมอร์กับดีไซเนอร์เกิดขึ้นบ่อย ๆ ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องที่ว่าดีไซเนอร์เขาอาร์ตกว่าเรา อันนี้ต้องยอมรับครับ ไอเดียเขาเยอะจริง ๆ  แต่เราเข้าใจเรื่องโปรแกรมมากกว่าเขา เลยมักจะเขม่นกันเป็นระยะ ๆ ดีไซเนอร์ของผมเธอมักจะหาเรื่องมาทำให้โค้ดผมอีรุงตุงนังไปหมด เรื่องขำ ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็คือ เราได้รับมอบหมายได้ดำเนินการปรับปรุงหน้าเว็บใหม่ครับ ดีไซเนอร์ของผมเธอใช้เวลาคิดอยู่ทั้งวันก็คิดไม่ออกว่ามันจะออกมาเป็นหน้าตายังไงจนกระทั่งตกบ่าย ผมอดรนทนไม่ไหวก็เลยนำเสนอเทมเพลทสำเร็จรูปให้เธอ ปรากฏว่าเธองอนผมครับ เธอบอกว่าเรื่องแบบนี้มันต้องใช้ไอเดียตัวเอง จะไปเอาที่เขาทำไว้แล้วไม่ได้ แล้วเธอก็ยังไม่ยอมแพ้ครับ เธอยังคงนั่งออกแบบของเธอต่อไป แต่ผมว่าขืนรอไอเดียจากเธอผมคงเพลียเสียก่อน ไม่ได้ทำงานทำการอย่างอื่นกันพอดี มีใครเจอแบบผมบ้างไหมครับ’ เขียนโดย โปรแกรมเมอร์จอมเวอร์


‘ที่ทำงานก็เจอแบบนี้เหมือนกันครับ แบ่งชนชั้นกันเลยทีเดียว’ เขียนโดย ผมเอง

‘ดีไซเนอร์ของผม แอบแล้วฟินค่ะ โปรแกรมเมอร์จอมเวอร์กับดีไซเนอร์ขี้งอน’ เขียนโดย คนช่างคิด

‘ทำใจเถอะครับ เขาเป็นชนชั้นสูงที่พวกเราอาจเข้าไม่ถึง’ เขียนโดย โปรแกรมมั่ว

.
.
.

ตฤณกรอ่านข้อความที่สมาชิกของเว็บไซต์ได้แสดงความคิดเห็นลงมาเรื่อย ๆ สมาชิกที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นยังคงเป็นคนเดิม ๆ ที่เขามีโอกาสได้เข้าไปอ่านเจอจากกระทู้อื่น จนกระทั่งมาสะดุดกับชื่อที่เพิ่งโพสต์ข้อความไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา


‘ถึงจะมีเรื่องหยุมหยิมแต่ก็ขาดกันไม่ได้เลย เพราะโปรแกรมเมอร์เองอาจจะอาร์ตไม่พอตามที่คุณเจ้าของกระทู้บอก ส่วนดีไซเนอร์ก็ไม่มีความรู้เรื่องโปรแกรม จะมาให้ดีไซเนอร์เขียนโปรแกรมก็คงไม่ได้ ดังนั้นปรับเข้าหากัน เป็นเพื่อนกัน แล้วทำงานให้สนุกไปด้วยกันดีกว่า’ เขียนโดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า




“ชื่อคุ้น ๆ” ชายหนุ่มกล่าวกับตัวอง แน่ใจว่าก่อนหน้านี้ที่ย้อนกลับไปอ่านกระทู้เก่า ๆ ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาไม่เคยพบ username นี้มาก่อนแต่กลับรู้สึกคุ้น  ตฤณกรจึงเดาเอาว่าเจ้าของ username นี้คงเป็นประเภทซุ่มอ่านอย่างเดียวหรือไม่ก็เป็นสมาชิกใหม่เช่นเดียวกับเขา


ปลายนิ้วเรียวค่อย ๆ สัมผัสแป้นคีย์บอร์ดก่อนจะคลิกเพื่อโพสต์ข้อความ...





‘ผมเห็นด้วยกับคุณ..ถ้าเธอเป็นท้องฟ้าครับ’ เขียนโดย ดีไซเนอร์สุดหล่อ






“พี่จ้า มีคนมาคอมเม้นท์ว่าเห็นด้วยกับพี่จ้าด้วยแหละค่ะ” หญิงสาวที่เดินมานั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังสนใจแต่ภาพที่ปรากฏบนจอ LCD ของกล้องถ่ายรูปตัวโปรดอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี


“เขาใช้ชื่อว่า ดีไซเนอร์สุดหล่อ” จอมขวัญกล่าวก่อนจะคลิกอ่านกระทู้อื่น ๆ ต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะขอตัวกลับบ้าน





“เดินระวัง ๆ ล่ะ” อาทิตย์ทัศกล่าวก่อนจะเปิดประตูรั้วให้หญิงสาว

 
“ไม่เดินไปส่งจริง ๆ เหรอ” จอมขวัญหันกลับมาทำหน้าวิงวอน


“ได้ข่าวว่าอยู่บ้านฝั่งตรงข้าม” ชายหนุ่มยกมือขึ้นชี้ไปที่บ้านสองชั้นที่อยู่ห่างแค่ถนนกั้น “ป้าดาเปิดไฟรอแล้วด้วย”


“แหะ ๆ ขวัญลืมไป” หญิงสาวยิ้มก่อนจะเดินข้ามไปยังบ้านของเธอก่อนจะหันมาโบกมือให้ชายหนุ่ม “ฝันดีนะคะพี่จ้า”


อาทิตย์ทัศน์ยิ้มให้เธอก่อนจะปิดประตูและกลับเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มเดินไปนั่งลงที่โต๊ะงานก่อนจะเลื่อนดูหน้ากระทู้ที่เขาได้แสดงความคิดเห็นเอาไว้ ถึงจะเป็นสมาชิกของเว็บมานานหลายปี แต่นาน ๆ ทีเขาถึงจะแสดงความคิดเห็นสักครั้ง







“ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า” ตฤณกรพึมพำกับตัวเองเมื่อหยิบกระดาษใบเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งที่ถูกเสียบไว้ในหน้าหนึ่งของหนังสือขึ้นมาอ่าน มันเป็นโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานแสดงศิลปะภาพถ่ายที่บังเอิญเก็บได้ที่บันไดทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าเมื่อสัปดาห์ก่อนซึ่งในรายละเอียดบอกว่าจะจัดถึงวันมะรืนเป็นวันสุดท้าย



ชื่อที่เหมือนกันสองชื่อจะสัมพันธ์กันอย่างไรตฤณกรไม่อาจรู้ได้   รู้พียงว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เขาได้รู้จักกับ username นี้....






‘ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า’





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2016 09:15:59 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า (ตอนที่ 1)
«ตอบ #2 เมื่อ28-11-2013 09:31:26 »

แอบโรแมนติค เอิ๊ก
พบรักในเว็บบอร์ดอีกแล้วววว

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 2 : ที่ระลึก


“ยังไม่นอนอีกเหรอจ้า” หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะเดินลงมาจากบันได ชายหนุ่มละสายตาจากหนังสือเกี่ยวกับกล้องและภาพถ่ายตรงหน้ามองคนในชุดนอนพร้อมกับยิ้มให้


“ยังครับแม่ จ้ายังไม่ง่วงเลย”


“แล้วนี่หนูขวัญกลับไปนานหรือยัง” ผู้เป็นแม่กล่าวก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว


“กลับไปสักพักแล้วละครับ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับก้มลงอ่านหนังสือต่อ


ผู้เป็นแม่เดินกลับออกมาจากห้องครัวพร้อมนมอุ่น ๆ หนึ่งแก้ว เธอวางมันไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ กับกองหนังสือก่อนจะเดินมานั่งข้าง ๆ ลูกชาย


“ขอบคุณครับแม่” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะปิดหนังสือและยกแก้วนมขึ้นดื่ม กลิ่นจาง ๆ ของวนิลาลอยขึ้นสัมผัสปลายจมูกโด่ง เมื่อได้ลิ้มรสหวานนิด ๆ ก็ทำให้ความเหนื่อยล้าแทบจะมลายหายไป แม้จะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันทุกวันแต่แม่ก็ยังคงรู้ใจเขาเสมอ...


อาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ วางแก้วเปล่าลงที่เดิมก่อนจะเอนตัวลงนอนหนุนตักผู้เป็นแม่ที่กำลังมองมาที่เขาด้วยดวงตาอันแสนอ่อนโยน ผู้เป็นแม่เอื้อมมือลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ไม่รู้ว่าพอลูกไปอยู่ทางโน้นใครจะหาข้าวหาปลาให้ลูกกิน”


“แม่ไม่ต้องห่วง จ้าดูแลตัวเองได้”  ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะดึงมือผู้เป็นแม่มากอดไว้ “แม่อยู่ทางนี้ก็ต้องดูแลตัวเองดี ๆ  รู้ไหม ต้องทานข้าวให้ตรงเวลา แค่สองปีเอง เดี๋ยวจ้าก็กลับแล้ว”


“นี่ลูกรู้กำหนดการเดินทางหรือยัง”


“น่าจะเป็นปลายเดือนหน้า ตอนนี้ที่มหาวิทยาลัยเขากำลังดำเนินการเรื่องทุนให้จ้าอยู่”


“ถ้าพ่อยังอยู่...” ผู้เป็นแม่หยุดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองภาพถ่ายของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารเรือ “แม่เชื่อว่าเขาต้องภูมิใจในตัวลูกมาก ๆ”


“พ่อคงมองจ้าจากบนฟ้านะแม่” อาทิตย์ทัศน์ยิ้มให้ผู้เป็นแม่ที่กำลังพยักหน้าให้เขา




พ่อของเขาเป็นทหารเรือซึ่งประจำการอยู่ในฐานทัพเรือที่อยู่ทางภาคตะวันออก แม้เวลาจะผ่านมายี่สิบกว่าปี แต่พ่อในความทรงจำของอาทิตย์ทัศน์ก็ยังคงชัดเจนเสมอ พ่อมักจะกลับมาที่บ้านในวันศุกร์เพื่อไปรับเขาที่โรงเรียนก่อนจะไปรอรับแม่ที่โรงแรมซึ่งแม่เป็นผู้ช่วยพ่อครัวอยู่ที่นั่น จากนั้นสามคนพ่อแม่ลูกก็ไปนั่งทานอาหารในร้านเล็ก ๆ ข้างทางก่อนกลับบ้าน พ่อมักจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวตลอดช่วงวันหยุดก่อนจะกลับไปทำงานอีกครั้งในเย็นวันอาทิตย์


ครั้งสุดท้ายที่พ่อกลับมาบ้านเป็นวันประกาศผลสอบของนักเรียนชั้นป. 1 ในช่วงปิดเทอม ถึงผลการเรียนของเด็กชายอาทิตย์ทัศน์จะไม่ได้อยู่ในระดับดีมากเหมือนลูก ๆ ของคนอื่น ๆ แต่พ่อกับแม่ก็แสดงให้เขารู้สึกได้ว่าพ่อกับแม่ภูมิใจในตัวเขา สัปดาห์นั้นพ่อกับแม่จูงมือลูกชายตัวน้อยไปทานไอศกรีมในร้านประจำก่อนที่จะกลับมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันที่บ้าน แม่มักจะทำอาหารอร่อย ๆ แบบที่พ่อและเขาชอบ พ่อเองก็มักจะเล่นกับเขา บางครั้งก็เป็นม้า เป็นเครื่องบินแล้วแต่ว่าวันนั้นลูกชายตัวน้อยจะอยากให้พ่อเป็นอะไร


หลังจากสัปดาห์นั้นพ่อก็ไม่กลับมาที่บ้านอีกเลย แม่หยุดงานหลายวันและฝากเขาไว้กับ ‘ป้าดา’ ซึ่งอยู่บ้านฝั่งตรงข้ามกัน ป้าดาอยู่กับลูกสาวเล็ก ๆ ที่เพิ่งจะเข้าเรียนชั้นอนุบาลในโรงเรียนเดียวกับเขา เธอเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาน่ารัก ชื่อของเธอคือ ‘จอมวัญ’ หรือ ‘หนูขวัญ’ ที่แม่ของเขามักจะเรียกบ่อย ๆ


“พี่จ้า ไปเล่นกันเถอะ” เด็กหญิงตัวน้อยเอื้อมมือเล็ก ๆ ของเธอจับที่ข้อมือของเด็กชายที่กำลังนั่งอยู่ที่ชิงช้าใต้ต้นมะม่วง ดวงตาหม่นเศร้ายังคงจ้องมองที่ประตูรั้วบ้านตรงข้ามด้วยความหวังที่ว่าจะได้เห็นพ่อกับแม่อีกครั้ง


“ขวัญอยากเล่นอะไร”


“ขวัญอยากนั่งจักรยาน” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวอย่างวิงวอนพร้อมกับมองจักรยานคันเล็กที่จอดแอบอยู่ข้างบ้าน


“ได้สิ เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้” กล่าวจบเด็กชายก็เดินไปเข็นจักรยานมาก่อนจะขึ้นนั่งประจำที่


“ขวัญขึ้นนะ” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวก่อนจะปืนขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย


เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว เด็กชายก็ค่อย ๆ ยกเท้าข้างหนึ่งวางบนบันไดจักรยานก่อนจะถีบไปรอบ ๆ สนามหน้าบ้านซึ่งไม่กว้างนัก


“วันหลังเราถีบไปตามถนนในซอยกันนะพี่จ้า” เด็กหญิงที่นั่งซ้อนท้ายเอ่ยขึ้น


“มันอันตรายนะ เอาไว้โตกว่านี้ พี่จะพาขวัญไปทุกที่เลยดีไหม”


“ดี!!!!” เด็กหญิงตัวน้อยร้องขึ้นอย่างชอบใจ





หลายวันหลังจากนั้นแม่ก็กลับมา....


อาทิตย์ทัศน์ยังจำใบหน้าเศร้าหมองของแม่ในวันนั้นได้ดี แม่สวมชุดสีดำกำลังนั่งกอดรูปพ่ออยู่ที่โซฟาในบ้าน แม่เงยหน้าขึ้นทั้งสองแก้มอาบไปด้วยคราบน้ำตาก่อนจเรียกเขาเข้ามานั่งข้าง ๆ แม่บอกว่าพ่อจากไปแล้ว....


พ่อขึ้นไปอยู่บนฟ้า....


พ่อกำลังมองเราสองแม่ลูกจากบนท้องฟ้า....




แม่ไม่เคยพูดเรื่องสาเหตุการจากไปของพ่อเลย จนกระทั่ง 2-3 ปีหลังจากนั้น เพื่อนของพ่อมาเยี่ยมเขากับแม่ที่บ้าน เพื่อนของพ่อเล่าว่าพ่อของเขาออกไปกับเรือรบหลวงเพื่อช่วยเหลือเรือประมงหาปลาที่เจอพายุ  เรือเล็กถูกปล่อยออกไปช่วยเหลือชาวประมงที่เรือแตก พ่อของเขาพยายามช่วยเหลือทุกคนโดยไม่ได้คิดถึงชีวิตของตัวเอง ด้วยเหตุผลสั้น ๆ ที่ว่า....


 ‘คนที่บ้านคงกำลังรอพวกเขาอยู่ ฉะนั้นพวกเขาจะต้องมีชีวิตรอดกลับไป’


แต่เนื่องจากวันนั้นเป็นวันที่คลื่นลมแรงและฝนตกตลอดทั้งวันรวมถึงเป็นช่วงเวลากลางคืน  ในขณะที่ส่งชาวประมงผู้ประสบภัยคนสุดท้ายขึ้นเรือใหญ่ได้ สิ่งที่ไม่คาดฝันซึ่งยังคงชัดเจนในความรู้สึกของเพื่อน ๆ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ก็คือ คลื่นลูกใหญ่ชัดเข้าหาเรือ ทำให้พ่อของเขาพลัดตกจากเรือเล็กและจมหายไปในทะเล ทุกคนในที่นั้นต่างพยามยามค้นหาแต่ไม่พบร่างของนายทหารเรือผู้นั้นอีกเลย...


อาทิตย์ทัศน์เคยถามถึงความหมายของชื่อตัวเองจากผู้เป็นพ่อ พ่อของเขายิ้มอย่างภูมิใจก่อนจะเล่าย้อนเหตุการณ์ไปในช่วงที่เขาเกิด ปีนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่ทางภาคใต้ เรือรบหลวงได้รับคำสั่งให้ไปช่วยผู้ประสบภัยซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่แม่กำลังจะให้กำเนิดเขา เรือรบหลวงออกเดินทางจากฐานทัพเรือในตอนดึกสงัดและเดินทางถึงบริเวณน่านน้ำของจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วมในตอนเกือบรุ่งสางของอีกวัน ทันทีที่ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พ่อของเขาได้รับแจ้งว่าภรรยาได้ให้กำเนิดทารกเพศชาย ดังนั้นพ่อจึงตั้งชื่อเขาว่า ‘อาทิตย์ทัศน์’ จะได้เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่มีแสงเจิดจ้าให้ความอบอุ่นแก่คนรอบข้าง 


เด็กชายอาทิตย์ทัศน์เติบโตขึ้นมากับความรักความเอาใจใส่ของผู้เป็นแม่ เขาถูกส่งให้เรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะสามารถทำได้ แม้เขาจะไม่ได้เลือกรับราชการตามรอยผู้เป็นพ่อแต่เขาก็ไม่เคยทำให้แม่ต้องเสียใจ อาทิตย์ทัศน์สอบเข้าเรียนในสาขาวิชาศิลปะการถ่ายภาพซึ่งเป็นสิ่งที่เขาสนใจมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม จนกระทั่งเมื่อเรียนจบในระดับปริญญาตรี นอกจากเขาจะเป็นช่างภาพอิสระที่ต้องเดินทางไปโน่นมานี่อยู่บ่อย ๆ ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ เขายังได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยให้เป็นอาจารย์พิเศษในวิชาถ่ายภาพอีกด้วย และไม่นานมานี้เขายังได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยให้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษก่อนจะกลับมารับตำแหน่งอาจารย์ประจำภาควิชาถ่ายภาพ




......



“เฮ่ย! ได้นอนบ้างหรือเปล่าน่ะ” ชายหนุ่มร่างท้วมที่เดินถือแก้วกาแฟมานั่งลงที่โต๊ะทำงานฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้น


ชายหนุ่มใบหน้าอิดโรยเงยหน้าจากโต๊ะเขียนแบบพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ “แก้งานให้ลูกค้ายันสว่างเลยว่ะ”


“อย่าหักโหมนักสิแกน่ะ หาเวลาพักผ่อนบ้าง”


“เดี๋ยวเสร็จโปรเจคนี้ก็ว่าจะลาพักร้อนเสียหน่อยว่ะ แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหนดี” ตฤณกรกล่าวก่อนจะถอดแว่นสายตาวางบนโต๊ะเพื่อหันมาคุยกับเพื่อนอย่างเป็นจริงเป็นจัง


“เอาจริงวุ้ย! จะว่าไปตั้งแต่ทำงานด้วยกันมานี่ฉันยังไม่เห็นแกจะไปเที่ยวไหนไกล ๆ เลยนอกจากกลับบ้านที่เชียงใหม่” หนุ่มร่างท้วมกล่าวก่อนจะเริ่มคลิกเมาส์


“จะไปไหนยังคิดไม่ออกเลยว่ะ”


“อืม...ก็ลองถามคนในห้องสิ”


ตฤณกรขมวดคิ้วก่อนจะนึกได้ว่า ‘ห้อง’ ที่เพื่อนพูดถึงมันคือ ‘ห้องแอบบอก (ห้องออกแบบ)’ ซึ่งเป็นเว็บบอร์ดในเว็บไซต์ที่มีน้องคนหนึ่งแนะนำให้เข้านั่นเอง



“ถ้าเรื่องเที่ยวเรื่องเดินทางเขาจะมีแก๊งค์ที่ชำนาญเรื่องนี้คอยตอบ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนชอบเที่ยวชอบเดินทางทั้งนั้น ลองหากระทู้เก่า ๆ อ่านก่อนก็ได้” หนุ่มร่างท้วมกล่าว


“ขอบใจว่ะไอ้พัฒน์”


“เออ แล้วถ้าจะให้ดีนะ ก่อนหยุดยาวนี่หาแฟนให้ได้สักคน ไปเที่ยวจะได้ไม่เหงา” พูดจบหนุ่มร่างท้วมก็หัวเราะจนพุงกระเพื่อม


“ไอ้บ้า พูดยังกับมันหากันง่าย ๆ อย่างนั้นแหละ แฟนนะไม่ใช่รองเท้า จะได้ชอบคู่ไหนก็หยิบออกมาใส่ได้เลย”


“หือ...ไอ้ตัง ไอ้นี่ก็เปรียบเทียบเสียเห็นภาพ”


“เออ ว่าแต่เย็นนี้แกมีนัดที่ไหนรึเปล่า” ตฤณกรกล่าวพร้อมกับหยิบสมุดสเก็ทช์ออกมาจากกระเป๋า


“ก็ไม่นะ ตามประสาคนโสด ทำไม จะชวนไปไหน” พัฒน์กล่าวอย่างรู้ทัน


“ว่าจะชวนไปแกลอรีว่ะ”


“ที่ไหน”


“อืม...แถว ๆ สีลมน่ะ พอดีมีงานแสดงภาพถ่าย เห็นโปสเตอร์เขาสวยดีก็เลยอยากไป” ตฤณกรกล่าวพร้อมกับยื่นกระดาษใบเล็ก ๆ ซึ่งเป็นภาพของท้องฟ้าสดใสให้เพื่อน


“อืม..น่าสนใจ แต่งานมันวันสุดท้ายวันนี้นี่หว่า แล้วจะไปทันเหรอ แถวนั้นรถติดจะตายไป”


“น่าจะทันนะ เลิกงานแล้วก็นั่งรถไฟฟ้าไปเลย”




ทั้งที่อุตส่าห์ตกลงกันไว้อย่างดิบดีตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายว่าจะไปงานแสดงภาพถ่ายด้วยกัน แต่สุดท้ายตฤณกรก็มาถึงแกลอรีที่แสดงงานเพียงลำพัง




“ไอ้หมูอ้วนเอ๊ย! เห็นผู้หญิงสำคัญกว่าเพื่อน” นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนจะแยกกันที่หน้าบริษัท



 






ตฤณกรลงจากสถานีรถไฟฟ้าเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง จนกระทั่งมาถึงอาคารสองชั้นที่ด้านล่างเปิดเป็นแกลอรีในเวลาเกือบหกโมงเย็น ภายในแกลอรีเต็มไปด้วยภาพถ่ายท้องฟ้าที่เม้าด้วยกระดาษแข็งสีขาวใส่กรอบไม้สีดำด้านอย่างดี ซึ่งถูกจัดแสดงไว้บนผนังสีขาวที่แบ่งเป็นล็อค ๆ ชายหนุ่มเดินดูภาพไปเรื่อย ๆ ในขณะผู้คนเริ่มบางตาลงทุกที


“ขอโทษนะครับพี่ อีกประมาณยี่สิบนาทีแกลอรีจะปิดแล้วนะครับ” หนุ่มน้อยในชุดสต๊าฟที่เดินเข้ามากล่าวอย่างสุภาพ


“เอ้อครับ ขอบคุณนะครับ” ตฤณกรกล่าว


หนุ่มน้อยยิ้มก่อนจะเดินเลี่ยงไปสมทบกับกลุ่มของเพื่อน ๆ ที่กำลังช่วยกันเก็บข้าวของที่พอจะทยอยเก็บได้ก่อนที่แกลอรี่จะปิด


ที่หน้าแกลอรีมีรถนั่งแบบครอบครัวคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด ครู่หนึ่งหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีก็เปิดประตูลงมาจากรถ เมื่อเธอเดินเข้ามาภายในแกลอรี บรรดากลุ่มของสต๊าฟต่างก็ยกมือไหว้และทักทายเธออย่างนอบน้อม



“เอ่อ..น้องครับ ๆ” ชายหนุ่มร่างสูงร้องเรียกเด็กหนุ่มที่กำลังยกลังกระดาษผ่านมา “ไม่ทราบว่าพอจะมีสูจิบัตรเหลือไหมครับ”


“อืม..” เด็กหนุ่มทำท่าลังเลก่อนจะหันไปถามเพื่อน


“หมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับพี่” คนที่อยู่ไม่ไกลตอบ


“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร ขอบคุณนะครับ” ตฤณกรยิ้ม


“ป้ามีของที่ระลึก” เสียงนั้นฟังดูอ่อนโยนจนคนที่กำลังสนใจอยู่กับภาพถ่ายตรงหน้าต้องหันไปตามเสียง หญิงวัยกลางคนแต่งตัวเรียบ ๆ แต่ดูเนี้ยบยิ้มให้ก่อนจะยื่นกล่องเหล็กขนาดใหญ่กว่า 4x6 นิ้วเล็กน้อยมาให้ ที่ฝากล่องมีแถบกราฟฟิคสีแดงน้ำเงินแบบที่มักจะเห็นบนซองจดหมายรุ่นเก่า ๆ ที่มีวางขายตามร้านเครื่องเขียน


“รับไว้สิจ๊ะ” เธอกล่าวเมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงยืนทำหน้างง


“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรครับ คุณป้าเก็บเอาไว้ดีกว่า” ตฤณกรกล่าวอย่างนอบน้อม


“รับไว้เถอะจ้ะ ป้ามีเยอะ ลูกชายป้าเขาแสดงงานกับเพื่อน ๆ ของเขาน่ะ นี่กยังมีอยู่ที่บ้านอีกเยอะ”


“ขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะรับกล่องเหล็กนั้นมาเปิดดู ภายในกล่องบรรจุโปสการ์ดภาพถ่ายหลายใบพร้อมซองสีน้ำตาลจำนวนเท่ากับโปสการ์ดสำหรับผู้ที่ได้รับไปส่งให้กับคนที่ต้องการส่งให้


“สวยจังเลยครับ” ตฤณกรยิ้มตาหยี


“ดีใจที่หนูชอบจ้ะ” หญิงวัยกลางคนกล่าว


“คุณแม่อาจารย์จ้าจะรับรูปภาพกลับไปเลยใช่ไหมคะ หนูจะได้ให้น้อง ๆ ปลดลงมาให้” สาวสวยที่ดูจะอายุมากที่สุดในกลุ่มของสต๊าฟเอ่ยขึ้น


“อีกสักพักก็ได้จ้ะ รอให้แกลอรีปิดก่อนค่อยปลดลงมาก็ได้”


“ค่ะ”


“รูปภาพของลูกคุณป้าอันไหนเหรอครับ” ตฤณกรถามอย่างสนใจ


“ก็อันที่เขาเอาไปทำเป็นโปสเตอร์งาน แล้วก็ภาพที่อยู่ด้านในโน่นแหละจ้ะ” หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยแววตาที่แฝงความภูมิใจ


“สวยดีนะครับ ถ่ายเก่งจัง”


“จ้ะ เขาชอบถ่ายรูป ไปเที่ยวที่ไหนก็ถ่ายเก็บไว้ แล้วก็รวมตัวกับเพื่อน ๆ แสดงงาน”


หลังจากคุยกันอยู่พักใหญ่ ๆ หัวหน้าสต๊าฟก็แจ้งกับผู้ที่มาชมภาพถ่ายว่าแกลอรีกำลังจะปิดให้บริการ จากนั้นภาพถ่ายในกรอบค่อย ๆ ถูกทยอยปลดลง


ตฤณกรออกมายืนส่งคุณป้าใจดีที่ให้กล่องใส่โปสการ์ดแก่เขาเมื่อสักครู่ที่รถ บรรดาสต๊าฟต่างช่วยกันขนกรอบรูปมาใส่ที่ท้ายรถของเธอ


“ป้าไปก่อนนะจ๊ะ” เธอกล่าวอย่างยิ้มแย้มกับชายหนุ่มที่เพิ่งได้พบกันครั้งแรกก่อนจะเดินไปสตาร์ทรถและขับออกไป....





....



ตฤณกรเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับผิวปากอย่างสบายใจ เขาเดินมานั่งลงที่โต๊ะทำงานซึ่งอยู่ริมผนังกระจกขนาดใหญ่ ที่เลือกมุมนี้เป็นมุมทำงานเพราะมันสามารถมองเห็นวิวของกรุงเทพฯยามค่ำคืนได้อย่างถนัดตา ชายหนุ่มวางกระเป๋าสะพายลงตักก่อนจะหยิบกล่องใส่โปสการ์ดที่ได้รับจากคุณป้าใจดีมาเปิดออกดู ภายในเต็มไปด้วยโปสการ์ดรูปท้องฟ้าในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่ถ่ายได้จากสถานที่ที่แตกต่างกันออกไป มองแล้วทำให้รู้สึกว่าอยากออกไปเห็นด้วยตาตัวเองจริง ๆ สักครั้ง....


ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองก่อนจะค่อย ๆ เปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุค เสียงคลิกเมาส์ดังเป็นระยะ ๆ ที่กระจกแว่นสายตาสะท้อนแสงหลากสียามที่เขาเลื่อนเมาส์ขึ้นลง เขาเริ่มเปิดกระทู้เก่า ๆ ใน ‘ห้อง’ ที่เพิ่งเข้าไปเป็นสมาชิกใหม่ขึ้นมาอ่านไปเรื่อย ๆ จุดหมายคือการหาแรงบันดาลในในการท่องเที่ยวตามสไตล์คนทำงานศิลปะที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง


‘หนาวนี้ที่แม่ฮ่องสอน’ เขียนโดย หัวหน้าแก๊งค์เที่ยว


เป็นกระทู้ที่ถูกโพสต์ไว้ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน ภายในบอกเล่าเรื่องราวการท่องเที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอนของช่างภาพมืออาชีพผู้หนึ่ง มีสมาชิกจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นและแบ่งบันข้อมูลท่องเที่ยว ตฤณกรไล่อ่านข้อความและดูรูปภาพลงมาเรื่อย ๆ จนมาสะดุดที่ภาพ ๆ หนึ่ง มันเป็นคล้ายเนินเตี้ย ๆ ตรงกลางไม่แน่ใจว่าเป็นทางเดินหรือทางสำหรับรถวิ่งกันแน่ ข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนสามใบสีเขียวสดที่ปลูกเรียงรายบนผืนหญ้า ไอหมอกสีขาวจาง ๆ ชวนให้รู้สึกเย็นสบายยิ่งนัก ที่ใต้ภาพมีคำบรรยายสั้น ๆ ....



‘กำลังจะไปที่นี่’ เขียนโดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า


บรรดาสมาชิกต่างพากันตั้งคำถามว่าสถานที่ในภาพคือที่ใด แต่ก็ไม่เห็นว่าเจ้าของภาพจะกลับเข้ามาตอบคำถามนั้น



ตฤณกรจ้องมองภาพนั้นอยู่นานก่อนจะคลิกบันทึกภาพนั้นลงในคอมพิวเตอร์โน้ตบุคของตัวเอง...







   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-04-2014 12:23:59 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า (ตอนที่ 2)
«ตอบ #4 เมื่อ28-11-2013 16:55:53 »

โหยอยากให้เจอกันเร็วๆแล้วคะ
ว่าแต่คงอีกนาน เพราะอาจารย์พี่จ้าก็จะไปอังกฤษ ขอให้ตังไปเที่ยวอังกฤษด้วยนะกิกิ

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า (ตอนที่ 2)
«ตอบ #5 เมื่อ28-11-2013 17:37:44 »

ผู้ชายชื่อจ้าน่ารักดีนะ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 3 : ถ้าคุณยินดีจะเป็นเพื่อนกับผม



“พัฒน์ แกรู้รึเปล่าว่าที่นี่ที่ไหน” ตฤณกรเอ่ยขึ้นก่อนจะยื่นกระดาษใบหนึ่งให้หนุ่มร่างท้วมที่กำลังง่วนอยู่กับโปรแกรมวาดภาพที่หน้าจอคอมพิวเตอร์


พัฒน์เงยหน้าขึ้นก่อนจะรับกระดาษที่เพิ่งถูกดึงออกมาจากเครื่องพิมพ์หมาด ๆ มาดูอย่างพิจารณาก่อนจะออกความเห็น


“ภูกระดึงหรือเปล่าวะ ต้นสนเยอะ ๆ แบบนี้”


“ฮึ่ย! ไม่ใช่มั้ง ภูกระดึงไม่น่าจะมีวิวแบบนี้นะ” ตฤณกรกล่าวก่อนจะเดินอ้อมมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง


“แล้วแกไปเอาภาพนี้มาจากไหน”


“มีคนโพสต์ไว้ในเว็บบอร์ด”


“ไม่เห็นจะยาก แกเอามาจากไหนแกก็เข้าไปถามที่นั่นสิ”


“มีคนสงสัยเหมือนฉันแล้วก็ตั้งคำถามแล้ว แต่คนโพสต์เขาไม่ได้เข้ามาตอบ”


“อืม...” หนุ่มร่างท้วมขมวดคิ้วก่อนจะถูคางตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิด “ถ้าอย่างนั้นแกก็ลองไปโพสต์ถามอีกทีสิ เผื่อเขาจะบังเอิญได้เข้ามาอ่าน” พูดจบเขาก็ส่งกระดาษใบนั้นคืนให้ตฤณกร


คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอีกครั้งขณะหยิบกระดาษใบนั้นขึ้นมาดู....







....



สัปดาห์ต่อมา...




‘อยากไปครับ ผมอยากรู้ว่าที่นี่ที่ไหนครับคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า’









“พี่จ้าคะ พี่จ้าเห็นกระทู้นี้รึเปล่า” หญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคซึ่งวางอยู่ที่โต๊ะทำงานของอาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้น


“อะไรเหรอ” ชายหนุ่มที่กำลังนั่งตรวจผลงานของนักศึกษาอยู่ที่โซฟาถามอย่างไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบนัก


“ก็กระทู้ที่มีคนตั้งถามพี่จ้าไงคะ” จอมขวัญกล่าวพร้อมกับยกคอมพิวเตอร์โน้ตบุคมานั่งข้าง ๆ ชายหนุ่ม “นี่ไง เขาโพสต์รูปแล้วก็ถามว่ามันคือที่ไหน จากคุณดีไซเนอร์สุดหล่อ”


อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นมองหน้าจอแว้บหนึ่งก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “สวนสนบ่อแก้วไง”


“พี่จ้าไม่ตอบเขาหน่อยเหรอคะ ดูสิมีแต่คนเขียนแซว”






‘ตาย ๆ อย่างนี้คงต้องรอคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าคนเดียวเท่านั้นสินะคะ’ เขียนโดย คนช่างคิด


‘เจาะจงคนตอบแบบนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้คำตอบนะครับ’ เขียนโดย คนสร้างภาพ


‘หมายความว่ายังไงครับ ความเห็นข้างบน’ เขียนโดย คนขี้สงสัย


‘ก็คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าเขาได้รับฉายาว่าเป็นก้อนหินจำศีลประจำห้องเรายังไงล่ะครับ’ เขียนโดย คนสร้างภาพ


‘นาน ๆ ถึงนานมาก ๆ กว่าจะเข้ามาเขียนคอมเม้นท์สักที ไม่รู้เหมือนกันว่าซุ่มอ่านหรือว่าไม่ค่อยได้เข้ามาในห้องนะคะ’ เขียนโดย บก.ผู้น่ารัก


‘คุ้น ๆ ว่าคำถามนี้เคยมีคนถามไปแล้วแต่ไม่ได้รับคำตอบจากน้องเขา ยังไงก็ให้เกียรติเขาเข้ามาตอบแล้วกันนะครับ’ เขียนโดย หัวหน้าแก๊งค์เที่ยว




“ขวัญเพิ่งรู้นะคะว่าพี่จ้ามีฉายาแบบนี้ด้วย ก้อนหินจำศีล” จอมขวัญหัวเราะ “พี่จ้าไม่คิดจะตอบเขาหน่อยเหรอคะ ไหน ๆ ก็เห็นแล้ว นี่เขาโพสต์ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนแล้วนะคะ ดูสิคนแสดงความคิดเห็นยาวเป็นหางว่าวเลย” หญิงสาวค่อย ๆ ไล่สายตาอ่านข้อความที่สมาชิกได้แสดงความคิดเห็นพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่



“ไว้ว่าง ๆ ก่อนก็แล้วกัน” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะตรวจผลงานของนักศึกษาต่อ


“ว้า...อย่างนี้เขาก็รอแย่สิคะ ให้ขวัญพิมพ์ตอบให้นะ สวนสนบ่อแก้วใช่ไหม”


ชายหนุ่มพยักหน้า “สวนสนบ่อแก้ว อยู่บนเส้นทางสายฮอด-แม่สะเรียง”


“ค่ะ” จอมขวัญยิ้มก่อนจะสัมผัสปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ด


“บอกเขาด้วยนะขวัญว่าอยู่กิโลเมตรที่ 36 ห่างจากอุทยานแห่งชาติออบหลวงไปไม่ไกลเท่าไร”


“ได้ค่ะพี่จ้า”












‘สวนสนบ่อแก้ว อยู่บนเส้นทางสายฮอด-แม่สะเรียง อยู่กิโลเมตรที่ 36 ห่างจากอุทยานแห่งชาติออบหลวงไปไม่ไกล’ เขียนโดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า




“โอ้โห! รอตั้งนานกว่าจะตอบ” ตฤณกรพึมพำกับตัวเองเมื่อพบว่าคำถามของตนเองได้รับคำตอบแล้วเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา









‘ขอบคุณครับที่ช่วยไขข้อสงสัยให้ผม แล้วถ้าผมจะไปที่นั่นในช่วงหน้าหนาวผมจะเจอบรรยากาศแบบในภาพไหมครับ’ เขียนโดย ดีไซเนอร์สุดหล่อ



“พี่จ้า เขาถามมาอีกแล้วค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นขวัญตอบเขาไปว่าถ้าเขาอยากถ่ายรูปแล้วได้ตามภาพที่เห็นน่ะ เขาต้องไปหน้าฝน ถ้าไปหน้าหนาวก็จะเจอแต่ใบแห้ง ๆ ของต้นสนที่ร่วงอยู่กับพื้น ไม่เขียวแบบในภาพหรอก”





‘ถ้าอยากได้บรรยากาศตามภาพต้องไปหน้าฝน’ เขียนโดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า





“อืม เที่ยวหน้าฝนเนี่ยนะ" ตฤณกรกล่าวอย่างแปลกใจ






‘เที่ยวหน้าฝนจะดีเหรอครับ’ เขียนโดย ดีไซเนอร์สุดหล่อ


‘เที่ยวฤดูฝนก็จะได้เห็นความแตกต่าง หรืออะไร ๆ ที่ไม่ได้เห็นในฤดูอื่น ๆ’ เขียนโดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า


‘ถ้าเริ่มต้นที่เมืองเชียงใหม่ผมจะไปยังไงดี’ เขียนโดย ดีไซเนอร์สุดหล่อ


‘ถ้ามีรถก็ขับรถไปเองโดยใช้เส้นทางเชียงใหม่-ฮอด เลี้ยวขวาตรงแยกก่อนถึงที่ว่าการอำเภอฮอดไปตามเส้นทางฮอด-แม่สะเรียง ถ้าไม่มีรถก็นั่งรถประจำทางเชียงใหม่-แม่สะเรียง-แม่ฮ่องสอน หรือไปต่อรถที่ข้างที่ว่าการอำเภอฮอด’ เขียนโดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า


‘ถ้าผมจะไปเที่ยวต่อ คุณว่าจะไปแม่สะเรียงหรือยาวไปแม่ฮ่องสอนดี’ เขียนโดย ดีไซเนอร์สุดหล่อ





“เฮ้อ...ขวัญพิมพ์จนเมื่อยมือแล้ว พี่จ้าตอบต่อนะคะ ขวัญกลับบ้านไปช่วยแม่ทำกับข้าวมื้อเย็นก่อน” พูดจบหญิงสาวก็วางคอมพิวเตอร์โน้ตบุคไว้บนโซฟาก่อนจะเดินออกไปจากบ้านไปดื้อ ๆ โดยไม่ได้สนใจคำทักท้วงใด ๆ เธอแวะคุยกับแม่ของอาทิตย์ทัศน์ที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับไปยังบ้านของตัวเอง....


ชายหนุ่มยังคงนั่งตรวจผลงานของนักศึกษาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด


“ยังไม่เสร็จอีกเหรอจ้า แม่ตั้งโต๊ะแล้วนะ” เสียงผู้เป็นแม่ดังขึ้นจากในห้องครัว อาหารเย็นสำหรับสองคนถูกจัดไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว


“เสร็จพอดีครับแม่” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายและเดินตามกลิ่นหอมของอาหารเข้าไปในครัว....











...




“อ้าว เงียบเลย อะไรเนี่ย” ตฤณกรพึมพำพร้อมกับกระหน่ำกดปุ่มเพื่อรีเฟรชหน้าจอ





‘กระทู้ในตำนานนะคะ คุณดีไซเนอร์สุดหล่อ คุณเก่งมากที่ทำให้ก้อนหินจำศีลของเราเขียนแสดงความคิดเห็นได้มากกว่าหนึ่งประโยค’ เขียนโดย บก.ผู้น่ารัก







อาทิตย์ทัศน์เดินถือคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่แบ็ตหมดไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้มาวางที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอนก่อนจะเสียบสายชาร์จแบ็ตเตอรีและเริ่มเปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง...




“ยังไม่หมดคำถามอีกเหรอ” ชายหนุ่มกล่าวเมื่อค่อย ๆ เลื่อนอ่านความเห็นมาเรื่อย ๆ






‘ถ้ามีเวลามากก็ไปแม่ฮ่องสอน ปาย ปางอุ๋งแล้วค่อยกลับเชียงใหม่’ เขียนโดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า





เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่มีใครได้สนใจ จากการพูดคุยโต้ตอบกันเพียงไม่กี่ประโยค ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางทั้งสิ้น



‘ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ช่วยแนะนำที่พักให้ผมหน่อยได้ไหมครับ จองให้ด้วยเลยยิ่งดี’





“อะไรของเขา” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วหลังจากอ่านข้อความที่ดูออกจะประหลาดไปหน่อย





‘ถ้าอย่างนั้นผมจะไปตามที่คุณบอกนะครับ แล้วจะถ่ายรูปสวย ๆ กลับมาฝาก’ เขียนโดย ดีไซเนอร์สุดหล่อ


‘อะไรกันคะสองคนนี้ คนช่างคิดคิดไปไกลแล้วนะ’ เขียนโดย คนช่างคิด







อาทิตย์ทัศน์ผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุค เขาลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ พักใหญ่ ๆ ชายหนุ่มก็กลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อยืดใส่นอนกับกางเกงขาสั้นดูสบาย ๆ เขานั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูซับน้ำจากเส้นผม ที่หน้าจอปรากฏการเตือนว่ามีข้อความส่วนตัวถูกส่งถึงเขา



‘คุณ ผมพูดจริง ๆ นะเรื่องจองที่พักน่ะ (ผมมีเวลาประมาณ 4 วันสำหรับทริปนี้ ช่วงเวลาเดินทางคือกลางเดือนตุลาคมนี้) รบกวนช่วยเหลือมือใหม่หัดเที่ยวหน่อยนะครับ ผมชื่อตฤณกร’



“ประหลาดคนจริง ๆ  อะไรของเขา” อาทิตย์ทัศน์พึมพำกับตัวเอง ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไร....





....



ปลายเดือนต่อมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ....



“พาสปอร์ตเอามาแล้วใช่ไหมลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นก่อนจะส่งเสื้อแจ็คเก็ทสีน้ำตาลในมือให้ลูกชายเพื่อสวมทับเสื้อเชิ้ตลายทางอีกชั้นหนึ่ง



“จ้าเอามาแล้วครับแม่ อยู่ในกระเป๋ากางเกงนี่แหละ” พูดจบเขาก็ตบที่กระเป๋ากางเกงยีนส์เบา ๆ


“พี่จ้าไม่อยู่นาน ๆ แบบนี้ขวัญเหงาแย่เลย” หญิงสาวหน้ามุ่ยกล่าว


“อินเทอร์เน็ตก็มี โทรศัพท์ก็มีจะคุยกับพี่เมื่อไรก็ได้” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับโยกศีรษะหญิงสาวเบา ๆ “กลัวก็แต่อีกหน่อยมีหนุ่ม ๆ มาจีบก็จะไม่อยากคุยกับพี่แล้ว”


“ไม่มีทางหรอก ยังไงขวัญก็ยกให้พี่จ้าเป็นคนสำคัญอันดับหนึ่งรองจากแม่” คนตัวเล็กกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“พี่ฝากแม่ด้วยนะ” ชายหนุ่มลดมือลงพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“พี่จ้าไม่ต้องห่วงค่ะ ขวัญจะไปคุยเป็นเพื่อนน้านุชบ่อย ๆ ให้น้านุชเบื่อไปเลย” พูดจบเธอก็กอดเอวหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างประจบ


อาทิตย์ทัศน์มองดูคนที่เขารักทั้งสองคนพร้อมกับยิ้มให้...


“เอ้อ! ขวัญ พี่มีเรื่องจะรบกวนหน่อย” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมหยิบกับกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งที่ถูกเย็บรวมกับนามบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะยื่นให้คนตัวเล็กตรงหน้า


“อะไรเหรอคะพี่จ้า” จอมขวัญรับกระดาษโน้ตแผ่นนั้นมา


“กลางเดือนหน้าพี่จะรบกวนให้ขวัญช่วยจองที่พักตามนามบัตรนี่ให้หน่อย”


“ปาย จองให้ใครเหรอคะ”


“มีคนฝากให้ช่วยจองให้น่ะ ส่วนรายละเอียดพี่เขียนเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องพักที่ไหน ขวัญช่วยจองห้องที่อยู่ชั้นสองติดบันไดขึ้นดาดฟ้านะ” อาทิตย์ทัศน์กล่าว


“แสดงว่าพี่จ้าเคยไปมาก่อนแล้วใช่ไหมคะ”


ชายหนุ่มพยักหน้า “ถ้าเรียบร้อยแล้วบอกพี่ด้วยนะ”


“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่จ้า ขวัญจัดการให้” หญิงสาวยิ้มก่อนจะอ่านรายละเอียดในกระดาษโน้ตคร่าว ๆ


“คุณตฤณกร อยากรู้จังว่าเขาเป็นใคร”


“ก็คนที่เราให้พี่ตอบคำถามเขานั่นแหละ”


“อ๋อ คุณดีไซเนอร์สุดหล่อ” จอมขวัญพูดกลั้วหัวเราะ


“ใช่ ก็เลยต้องวุ่นวายแบบนี้ไง”


“ลูกสองคนพูดถึงใครกันเหรอ” ผู้เป็นแม่ถามขึ้นด้วยความสงสัย


“อ๋อ....เขาเป็นแฟนคลับพี่จ้าน่ะค่ะน้านุช”



“แฟนคลับ?”



“แม่อย่าไปฟังยัยขวัญเลยครับ ก็แค่คนที่บังเอิญได้คุยกันเรื่องเที่ยว”



อรนุชพยักหน้าช้า ๆ



“เอาเถอะค่ะพี่จ้า คิดเสียว่าช่วยเขาก็แล้วกัน เรื่องที่พักนี่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวขวัญจัดการให้”



“พี่ฝากด้วยนะ”













‘เรื่องที่พักเรียบร้อยแล้ว คุณติดต่อเรื่องการชำระเงินตามรายละเอียดข้างล่างนี่ก็แล้วกัน.....’



มันเป็นข้อความส่วนตัวที่ถูกส่งมาจาก ‘ใครคนหนึ่ง’ ซึ่งทำให้หัวใจห่อเหี่ยวหลังจากการพรีเซ้นท์งานที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนของดีไซเนอร์หนุ่มกลับฟูขึ้นอีกครั้ง


มันผ่านนานมากจนเขาเกือบจะลืมไปแล้ว ด้วยเหตุที่ ‘ใครคนนั้น’ ไม่ได้ตอบรับว่าจะให้ความช่วยเหลือเขาหรือไม่ แต่ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้รับข้อความตอบกลับ....


“ยิ้มอะไรวะไอ้ตัง เมื่อตอนเช้ายังเห็นหน้ามู่ทู่อยู่เลย” พัฒน์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะทำงานถามพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ


“ดีใจ จะได้ไปเที่ยว” ตฤณกรตอบอย่างอารมณ์ดี


“เที่ยวไหนวะ”


“แม่ฮ่องสอน”


“ไปเมื่อไร”


“อาทิตย์หน้า”


“เฮ้ย! เที่ยวแม่ฮ่องสอนหน้าฝนเนี่ยนะ”


“อือ..ก็ใช่น่ะสิ เผื่อว่าจะได้เห็นอะไรที่ต่างจากการเที่ยวในฤดูอื่น”


“ติสต์จริงพ่อคุณ” พัฒน์ส่ายหน้าพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง


“ไม่คุยกับแกแล้ว รีบแก้งานดีกว่าจะได้ปิดโปรเจคแล้วพักร้อนยาว ๆ สักที” ตฤณกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะลงมือทำงานต่อ....







...





ภายในหอพักของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ชานมหานครลอนดอน ชายหนุ่มที่กำลังนั่งมองบรรดานักศึกษาทั้งผมทอง ผมดำ และผิวสีที่กำลังรุมแย่งลูกฟุตบอลอยู่ที่กลางสนามค่อย ๆ ละสายตาจากภาพตรงหน้ากลับมาที่หนังสือภาษาอังกฤษที่ถูกเปิดอ่านค้างไว้บนโต๊ะพร้อมกับนึกถึงข้อความส่วนตัวที่เพิ่งถูกส่งมาเมื่อเร็ว ๆ นี้....





‘ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะครับ ผมอยากส่งโปสการ์ดไปขอบคุณคุณจัง ไม่ทราบว่าพอจะให้ที่อยู่ของคุณกับผมได้ไหม’






ที่อีกซีกโลกหนึ่ง โคมไฟที่โต๊ะทำงานบนคอนโดชั้นที่สูงที่สุดยังคงเปิดสว่าง ตฤณกรกำลังนั่งอ่านข้อความส่วนตัวที่สูกส่งมา....



‘คุณไม่จำเป็นต้องให้อะไรก็ได้ ยินดีช่วยอยู่แล้ว’


‘แต่ผมอยากส่งให้คุณจริง ๆ นะ’


‘ถ้าอย่างนั้นคุณฝากไว้กับแมสเซนเจอร์ประจำเว็บก็แล้วกัน’





....






“เฮ้ย! กอล์ฟ พี่ถามอะไรหน่อยสิ” ตฤณกรเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ดีไซเนอร์รุ่นน้องที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ฟู้ดคอร์ทชั้นบนสุดของบริษัท


“ว่าไงพี่ มีอะไรให้น้องกอล์ฟรับใช้ครับ” หนุ่มหน้าตี๋กล่าวพร้อมกับยักคิ้ว


“ในเว็บบอร์ดน่ะ ไอ้แมสเซนเจอร์ประจำเว็บที่เขาพูดกันนี่มันคืออะไรวะ”


“อ๋อ...ก็คือ....อืม...คือใครนี่ผมไม่แน่ใจนะอาจจะเป็นสมาชิกในเว็บก็ได้ แต่เอาง่าย ๆ สมมติว่าพี่น่ะไม่ต้องการเปิดเผยว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน แต่ดั๊น....วันดีคืนดีมีแฟนคลับขึ้นมาแล้วเขาอยากจะส่งของอะไรก็แล้วแต่ให้พี่ ระบ่งระเบิดอะไรทำนองนั้น พี่ก็ให้เขาฝากแมสเซนเจอร์ประจำเว็บมา เขาจะได้ไม่ต้องรู้ว่าพี่เป็นใครอยู่ที่ไหน ส่วนเรื่องกระบวนการว่าเขาจะส่งต่อถึงกันยังไงอันนี้ผมไม่รู้เหมือนกัน”


ตฤณกรพยักหน้าหงึก ๆ


“อย่าบอกนะว่าจะส่งอะไรให้ใครแล้วเขาไม่ยอมให้ที่อยู่น่ะ อย่างนี้ต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของตัวเองนะพี่” หนุ่มหน้าตี๋หัวเราะจนตาเป็นเส้นตรง


“บ๊า!! ไม่ใช่อย่างนั้น แค่สงสัย เห็นเขาพูดกันก็เท่านั้น ไม่มีอะไรเสียหน่อย”


“เอา ๆ ไม่มีก็ไม่มี ไม่เห็นต้องอธิบายยืดยาวเลย” เขากล่าวก่อนจะลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าต่อ...






....



ในที่สุดการเดินทางของตฤณกรก็เริ่มขึ้นในกลางเดินตุลาคม ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา ชายหนุ่งร่างสูงสะพายเป้ใบใหญ่กระโดดลงจากรถทัวร์ที่มาถึงอำเภอฮอดตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ก่อนจะข้ามไปยังฝังที่ว่าการอำเภอซึ่งเป็นที่จอดรถประจำทางสีฟ้าสายเชียงใหม่-ฮอด-ดอยเต่า จุดมุ่งหมายของเขาอยู่ที่สถานีทดลองปลูกพรรณไม้บ่อแก้วหรือสวนสนบ่อแก้ว ชายหนุ่มซื้ออาหารกินรองท้องและไม่ลืมที่จะเตรียมเสบียงติดตัวไประหว่างเดินทางด้วย เมื่อท้องอิ่มตฤณกรก็ก้าวขึ้นไปบนรถโดยสารคันเล็กนั่งรอจนกระทั่งใกล้เวลารถออก รถก็เริ่มเต็มไปด้วยบรรดานักท่องเที่ยวที่น่าจะเป็นกลุ่มของนักศึกษาและคนท้องถิ่นที่เข้ามาเลือกจับจ่ายสิ่งของต่าง ๆ ในเมือง 


รถโดยสารคันเล็กค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ตามเส้นทางฮอด-แม่สะเรียง เมื่อออกจากตัวอำเภอฮอดไม่นานรถก็เริ่มลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ โดยเส้นทางจะขนาบไปตามลำน้ำแม่แจ่ม พักใหญ่ ๆ รถก็มาจอดที่หน้าอุทยานแห่งชาติออบหลวงซึ่งเป็นช่องเขาที่มีทางน้ำไหลผ่าน นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ลงรถที่นี่จึงทำให้บนรถเหลือเพียงเขากับคนท้องถิ่นอีกไม่กี่คน ชายหนุ่มนั่งมองดูทิวทัศน์สองข้างทางสลับกับมองรถที่กำลังแซงขึ้นไป ตั้งแต่อุทยานแห่งชาติออบหลวง ไม่มีผู้โดยสารรอขึ้นหรือลงรายทางเลยแม้แต่คนเดียวคนขับจึงค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้น จนในที่สุดรถก็มาจอดที่หน้าทางเข้าสถานีทดลองปลูกพรรณไม้บ่อแก้ว ตฤณกรมองรอดช่องหน้าต่างรถออกไปด้านนอกอย่างลังเลจนกระทั่งเสียงคนขับดังขึ้นเพื่อขานชื่อของสถานที่ เมื่อเห็นว่าจุดหมายถูกต้องชายหนุ่มจึงรีบกระโดดลงจากรถก่อนจะเดินไปจ่ายเงิน ไม่ช้ารถโดยสารสีฟ้าก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกไป


ตฤณกรเดินเข้าไปตามเส้นทางรายล้อมด้วยต้นสนสูงตระหง่าน สายฝนที่โปรยปรายลงมาเมื่อวันก่อนทำให้ทั่วบริเวณมีแต่สีเขียวขจี ชายหนุ่มเปิดเป้เพื่อหยิบกล้องถ่ายรูปรุ่นเก่าที่ต้องอาศัยการเลื่อนฟิล์มเพื่อขึ้นชัตเตอร์ซึ่งเป็นกล้องตัวโปรดที่ใช้เมื่อสมัยเรียนออกมาก่อนจะกดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพ


ใบหน้าระบายยิ้มแสดงถึงความพึงพอใจที่ได้มาเห็นที่นี่ด้วยตาตัวเอง เขาเดินไปตามเส้นทางแคบ ๆ พร้อมกับเลื่อนฟิล์มและกดชัตเตอร์บันทึกภาพไปเรื่อย ๆ ยิ่งเดินห่างออกมาจากถนนใหญ่มากเท่าไร อากาศก็เริ่มเย็นลงมากขึ้นเท่านั้น คงเป็นเพราะต้นสนจำนวนมากมากที่ขึ้นอยู่ทั่วบริเวณนั่นเอง


ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนเชียงใหม่และเคยผ่านเส้นทางนี้บ่อย ๆ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าจะมีที่แบบนี้อยู่ นั่นอาจเป็นเพราะสถานีทดลองปลูกพรรณไม้บ่อแก้วเป็นเพียงแค่ทางผ่าน เป็นสถานที่ที่ไม่ได้มีความโดดเด่นดึงดูดความสนใจของผู้ที่ขับรถผ่านไปผ่านมา แต่เมื่อได้เข้ามาแล้วกลับมีความรู้สึกที่ไม่อยากจะจากไป....


ตฤณกรหาที่เหมาะ ๆ ใต้ต้นสนก่อนจะนั่งลงเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และหยุดคิดอะไรเพลิน ๆ นึกขอบคุณเจ้าของภาพที่เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองดั้นด้นมาถึงที่นี่ ชายหนุ่มหยิบกระดาษแข็งใบขนาดเท่ากับโปสการ์ดออกมาจากกระเป๋าก่อนจะลงมือสเก็ตซ์ภาพที่เขาเห็นด้วยปากกาหมึกซึมสีดำ ไม่นานนักภาพสเก็ทซ์รูปต้นสนที่ยืนต้นเรียงกันไปตามแนวทางเดินเล็ก ๆ ก็เสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะเขียนบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นการขอบคุณผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจของเขา...


“ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ก็คิดว่าคุณน่าจะชอบมันนะ” ตฤณกรกล่าวกับตัวเองก่อนจะเก็บโปสการ์ดใส่ลงในเป้


ชายหนุ่มใช้เวลาเดินเล่นและเก็บภาพอยู่ที่สวนสนบ่อแก้วจนกระทั่งสายเขาจึงตัดสินใจออกมารอรถประจำทางเพื่อมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน โชคดีที่มีคนใจดีแวะจอดถามถึงจุดหมายปลายทางของเขาเป็นระยะ ๆ จนในที่สุดเขาก็พบกับรถของคุณลุงใจดีคนหนึ่งที่กำลังจะไปทำธุระที่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอนพอดี คุณลุงจึงให้เขาติดรถไปด้วย คุณลุงแวะจอดพักรถที่ตัวอำเภอแม่สะเรียงในตอนบ่าย ทั้งคู่จึงถือโอกาสรับประทานอาหารกลางวันกันที่นั่น  จากนั้นคุณลุงใจดีก็ออกเดินทางต่อ จากการที่นั่งคุยเป็นเพื่อนกันมาตลอดทาง ตฤณกรจึงได้รู้ว่าคุณลุงเป็นข้าราชการเกษียณอายุที่ผันตัวมาเป็นเกษตรกร เมื่อวันก่อนคุณลุงขนผักจากไร่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนมาส่งที่เชียงใหม่ก่อนจะออกเดินทางกลับในเช้าวันนี้


ตฤณกรมาถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนในตอนใกล้ค่ำ เขาหยิบกระดาษโน้ตที่สั่งพิมพ์มาตั้งแต่ตอนที่อยู่กรุงเทพฯ ซึ่งถูกพับเก็บไว้ในกระเป๋าเส้าแจ๊คเก็ทออกมาเปิดอ่าน....


‘สำหรับที่พักในเมืองแม่ฮ่องสอน คุณคงต้องหาเอง’


ชายหนุ่มอ่านข้อความนั้นพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ



“ค่ำแล้วแบบนี้คงหาที่พักยากแน่ ๆ” คุณลุงเจ้าของรถเอ่ยขึ้นเมื่อรถเริ่มเข้าเขตชุมชน


“ผมว่าจะลองเดินหาแถว ๆ ในตลาดดูน่ะครับคุณลุง คิดว่าน่าจะยังพอมี ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาล”


“อืม...ถ้าพ่อหนุ่มไม่รังเกียจ ไปพักบ้านลุงไหม ที่บ้านน่ะอยู่กันแค่สองคนตายาย”


เหมือนสวรรค์มาโปรด แม้จะรู้สึกเกรงใจ แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ตฤณกรจึงรีบตอบรับในความเมตตาของคุณลุงทันที....


เช้าวันต่อมาคุณลุงไปส่งตฤณกรที่สถานีขนส่งแต่เช้า จุดหมายปลายทางของเขาในวันนี้อยู่ที่อำเภอปาย  รถประจำทางสายแม่ฮ่องสอน-ปาย พาเขามาถึงตัวอำเภอปายในตอนใกล้เที่ยงท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา เนื่องจากไม่ใช่วันหยุดและไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว ปายเวลานี้จึงเป็นเพียงอำเภอเล็ก ๆ ที่ดูเงียบสงบอำเภอหนึ่ง


ตฤณกรเดินตามแผนที่ในกระดาษไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงโฮมสเตย์ชื่อเดียวกับที่ระบุไว้ในกระดาษซึ่งอยู่บนถนนคนเดินปาย เขาเดินผ่านรั้วบ้านเตี้ย ๆ เข้าไปยังตัวบ้านซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ที่ข้าง ๆ มีอาคารสองชั้นซึ่งถูกแบ่งเป็นห้อง ๆ สำหรับให้นักท่องเที่ยวเข้าพัก ชายหนุ่มเดินไปที่หน้าต่างซึ่งถึงจัดเป็นมุมน้ำชากาแฟผสมกับเคาท์เตอร์ของพนักงานต้อนรับแต่เปลี่ยนจากพนักงานต้อนรับในโรงแรมเป็นเคาท์เตอร์ต้อนรับแบบบ้าน ๆ แทน


คนที่นั่งอยู่หลังกรอบหน้าต่างยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ตฤณกรยื่นหลักฐานการโอนเงินให้เธอดูพร้อมกับแจ้งชื่อของเขา


“คุณตฤณกรนะคะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับไล่เชคชื่อของเขาในสมุดมีเส้นเล่มยาว


“ใช่ครับ ผมให้เพื่อนช่วยจองให้”


“จำได้แล้วค่ะ เธอกำชับนักกำชับหนาว่าขอเป็นห้องชั้นสองที่ติดบันไดทางขึ้นดาดฟ้า”


“เธอ....” ชายหนุ่มทวนคำ


“ใช่ค่ะ ก็เพื่อนของคุณที่โทร.มาจองห้องพักไงคะ คงเคยมาแล้วถึงได้กำชับดิฉันว่าให้เก็บห้องนั้นไว้ให้คุณ”


“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า


“เรียบร้อยแล้วค่ะ นี่กุญแจ เชิญที่ห้องได้เลยนะคะ ตอนเช้าคุณสามารถดื่มน้ำชากาแฟ ทานขนมปังหรือข้าวต้มได้ที่นี่นะคะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับส่งกุญแจให้เขา


ตฤณกรเดินขึ้นไปตามบันไดแคบ ๆ จนกระทั่งมาถึงห้องพักของเขาซึ่งอยู่ติดกับบันไดทางขึ้นดาดฟ้า ชายหนุ่มจัดการเก็บสัมภาระไว้ในห้องก่อนจะเดินขึ้นไปสำรวจที่ด้านบน ทันทีที่ขึ้นไปถึงเขาไม่แปลกใจเลยที่ ‘เธอ’ จองห้องพักห้องนี้ให้เขา นั่นคงเป็นเพราะว่ามันสามารถที่จะเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าได้อย่างสะดวก และเมื่อยืนอยู่ตรงนี้เขาสามารถที่จะเห็นทิวทัศน์ของตัวอำเภอเล็ก ๆ อำเภอนี้ได้อย่างชัดเจน....


ชายหนุ่มใช้เวลาเดินเล่นเข้าร้านโน้นออกร้านนี้รวมถึงเช่ามอเตอร์ไซค์เพื่อขับเที่ยวไปรอบ ๆ ตัวอำเภอและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ  จนกระทั่งเวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เขาไปเขามักจะพบกับนักท่องเที่ยงอีก 2-3 คนที่เดินทางมาจากต่างที่กัน เพราะเจอกันบ่อยจึงได้พูดคุยทักทายกัน ในที่สุดก็ชวนกันเที่ยวไปโดยปริยาย


ก่อนจะล้มตัวลงนอนตฤณกรยังคงไม่ลืมที่จะบันทึกเรื่องราวที่เกิดลงในโปสการ์ดเปล่าที่เตรียมมา...   


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2014 04:48:59 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
เช้าวันต่อมาตฤณกรตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปยังสถานที่นัดพบกับบรรดาเพื่อนใหม่ที่ได้พบกันเมื่อวาน ซึ่งวันนี้ทั้งหมดตกลงที่จะเช่ารถรับจ้างเพื่อมุ่งหน้าสู่ปางอุ๋งเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น แม้จะไม่ใช่ฤดูหนาวแต่อากาศก็หนาวเย็นเสียจนหลายคนต้องหยิบเอาเสื้อกันหนาวที่เตรียมาเผื่อออกมาสวม รถกระบะคันเก่าที่ถูกแปรสภาพจากรถขนผักมาเป็นรถโดยสารค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปในความมืดฝ่าอากาศหนาวเย็นจนกระทั่งมาถึงปางอุ๋งในตอนใกล้รุ่ง



แสงสีทองของแดดยามเช้ารอดผ่านแนวทิวสนที่ขึ้นอยู่ริมอ่างเก็บน้ำสาดกระทบกับผืนน้ำราบเรียบผสมกับสายหมอกสีขาวจาง ๆ เป็นภาพที่หลาย ๆ คนอดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นบันทึกภาพความประทับใจนี้เอาไว้ ตฤณกรนั่งลงที่ผืนหญ้าริมอ่างเก็บน้ำก่อนจะหมุนเลนส์ปรับโฟกัสกล้องเพื่อเก็บภาพตรงหน้านั้นเอาไว้เหมือนกับคนอื่น ๆ รวมถึงการเล่าความประทับใจที่เกิดขึ้นลงในกระดาษใบเล็ก ๆ ผ่านตัวหนังสือและภาพลายเส้นขยุกขยิกที่เกิดจากการตวัดปากกาหมึกซึมสีดำ


หลังจากซึมซับบรรยากาศของปางอุ๋งได้สักพักใหญ่ ทั้งหมดก็เดินทางกลับมายังเมืองปายอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันไปเพื่อจัดสัมภาระเพื่อเดินทางกลับ บางคนเดินทางต่อไปยังเส้นทางแม่ฮ่องสอน ในขณะที่บางคนเลือกที่จะกลับเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ตฤณกรยังมีเวลาอยู่ที่ปายอีกหนึ่งคืน และเขาก็ไม่ลืมที่จะแวะไปที่ที่ทำการไปรษณีย์เพื่อส่งโปสการ์ดทั้งหมดที่เขาเขียนเอาไว้  ซึ่งมีโปสการ์ดเพียงใบเดียวเท่านั้นที่ถูกส่งให้ตัวเอง ส่วนที่เหลือเขาจ่าหน้าถึงคนที่เขาอยากจะขอบคุณที่สุดตลอดการเดินทางครั้งนี้... 


 
     

....






“พอดีต้องมาถ่ายงานที่นี่ก็เลยเอามาฝาก” หญิงสาวเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงซอยสั้นตามสมัยนิยมเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นซองกระดาษซองหนึ่งให้ชายหนุ่มร่างสูงในชุดลำลองที่สวมทับด้วยเสื้อสเวตเตอร์สีเทา


“อะไรเหรอครับ” อาทิตย์ทัศน์รับมันมาด้วยความสงสัย


“ของที่แฟนคลับนายเขาส่งมาให้ที่แมสเซนเจอร์ประจำเว็บไง” เธอกล่าวอย่างอารมณ์ดี


“เลยต้องลำบากพี่บก.ผู้น่ารัก” ชายหนุ่มกล่าวยิ้ม ๆ


“ถ้าเกรงใจหรือกลัวว่าพี่จะต้องลำบากก็บอกเขาไปสิจ๊ะว่าเราน่ะจำศีลอยู่ที่ไหน พ่อก้อนหินจำศีล”


“โธ่...พี่อ้อน เมื่อไรจะเลิกเรียกผมแบบนี้เสียทีก็ไม่รู้” อาทิตย์ทัศน์บ่นพรางมองซองสีน้ำตาลในมือ


“ก็จนกว่าก้อนหินจะเปลี่ยนเป็นก้อนเนื้อตรงนี้” หญิงสาวยิ้มพร้อมกับจรดปลายนิ้วชี้ลงที่หน้าอกข้างซ้ายในตำแหน่งหัวใจของชายหนุ่ม “แล้วก็เลิกจำศีลเสียที ตอนนั้นแหละพี่ถึงจะเลิกเรียกจ้าแบบนี้”


“ถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้องทนฟังพี่อ้อนเรียกผมแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วละครับ” อาทิตย์ทัศน์หัวเราะ


“จ้ะพ่อคุณ ทำพูดดีไปเถอะ” หญิงสาวกล่าวอย่างหมั่นไส้


“ว่าแต่จ้าเถอะ เรียนเป็นยังไงบ้าง”


“ช่วงนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ ค่อย ๆ ปรับตัวไป ปีหน้าคงหนักหน่อยเพราะต้องทำโปรเจคก่อนจบ คงต้องเดินทางไปนู่นมานี่”


“อืม แล้วนี่จะกลับไทยบ้างไหม หรือกลับทีเดียวตอนเรียนจบ”


“ก็ว่าจะกลับทีเดียวเลยครับ แค่สองปีเอง”


“แหม..พูดมาได้ว่าแค่สองปี สองปีก็นานนะจ๊ะสำหรับการรอคอยใครบางคน”


อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้ว “บก.ผู้น่ารักนี่ชอบพูดจาเป็นปริศนาอยู่เรื่อยเลย”





หลังจากแยกกับหญิงสาวผู้ที่เป็นทั้งรุ่นพี่ที่คณะและอดีตหัวหน้างานรวมถึงแมสเซนเจอร์ประจำเว็บที่ใคร ๆ ต่างก็พูดถึงแล้ว อาทิตย์ทัศน์ก็กลับมายังหอพักที่มหาวิทยาลัย เขาทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะค่อย ๆ เปิดซองสีน้ำตาลและดึงเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา มันเป็นภาพถ่ายสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งกับโปสการ์ดจำนวน 4 ใบที่ด้านหนึ่งเป็นภาพสเก็ทซ์ด้วยปากกาหมึกซึมพร้อมคำบรรยายสั้น ๆ 


‘สวัสดีครับคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ตอนนี้ผมได้มายืนที่สวนสนบ่อแก้วสมใจแล้วครับ อากาศเย็นมาก ๆ รอบ ๆ ตัวของผมตอนนี้มันเป็นสีเขียวไปหมดเลย’


ที่ท้ายข้อความลงวันที่และชื่อของคนที่ส่งมา...


‘ดีไซเนอร์สุดหล่อ’






‘คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า คุณรู้ไหม เมื่อเช้าตอนรอรถเข้าเมืองแม่ฮ่องสอนมีคุณลุงใจดีแวะรับผมด้วยละ คืนนี้คุณให้ผมหาที่พักเอง แต่กว่าจะถึงแม่ฮ่องสอนก็ค่ำแล้ว คุณลุงก็เลยชวนผมไปพักที่บ้าน ยังกับสวรรค์มาโปรดแน่ะคุณ ^^’

‘ดีไซเนอร์สุดหล่อ’



ทันทีที่อ่านข้อความในโปสการ์ดใบนี้จบอาทิตย์ทัศน์ก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ภาพสเก็ตซ์ในโปสการ์ดใบนี้เป็นภาพของชายวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่ง ซึ่งเขาเดาว่าคงเป็นคุณลุงใจดีที่เจ้าของโปสการ์ดกล่าวถึงแน่ ๆ



‘ผมมาถึงปายแล้ว เจ้าของโฮมสเตย์เล่าว่าคุณกำชับเธอให้เก็บห้องนี้ไว้ให้ผม ไม่แปลกใจเลย คุณคงเคยมาพักห้องนี้สินะ ทำเลมันดีมาก ๆ ผมก็เลยได้ขึ้นไปชมวิวอำเภอปายทั้งหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็นเลย’


‘ดีไซเนอร์สุดหล่อ’





“เดาไปเรื่อยเปื่อย ผมไม่เคยพักห้องนั้นเสียหน่อย แต่เพราะมันทำเลดีอย่างที่คุณว่านั่นแหละ......” อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้ารัว ๆ เพื่อสลัดความคิดก่อนจะพิจารณาลายเส้นปากกาบนกระดาษ มันเป็นภาพของชุมชนในมุมสูง ซึ่งเดาได้ว่าเขาคงวาดมันจากบนดาดฟ้าของโฮมสเตย์



‘ใบสุดท้ายแล้วนะคุณ ใบนี้ผมเขียนที่ปางอุ๋งท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่น ๆ หลังจากต้องทนหนาวปากสั่นอยู่ท้ายรถกระบะเป็นชั่วโมง ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณมากนะครับสำหรับคำแนะนำดี ๆ ทำให้มันเป็นทริปที่น่าประทับใจสำหรับผม ขอบคุณมากจริง ๆ แอบคิดว่าคุณเป็นที่ปรึกษาที่ดีคุณก็น่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีด้วย ถ้าได้รู้จักกันมากกว่านี้ผมจะเรียนเชิญคุณมาเป็นเพื่อนร่วมทริปนะครับ ถ้าคุณยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับผม’


‘ตฤณกร’



ภาพสเก็ตซ์ในโปสการ์ดใบนี้ไม่ได้เป็นรูปสถานที่แต่มันกลับเป็นรูปของปลายนิ้วมือที่เจ้าของโปสการ์ดวางทาบลงบนกระดาษก่อนจะลากปากกาไปตามแนวของนิ้วมือทั้งห้า อาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ ไล้ปลายนิ้วไปตามแนวระนาบของกระดาษก่อนจะทาบนิ้วมือตัวเองลงไปตามรอยนั้น....



 




....


ขอบคุณที่ติดตามและขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2013 14:48:27 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
อยากไปเที่ยวด้วยจัง

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
อ่านแล้วเหมือนได้ไปเที่ยวเลยยยย
อยากให้เจอกันเร็วๆแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
อ่านแล้วอบอุ่น กรุ่นไอหมอกบางๆ ชอบค่ะ
++ไปเลย :L2:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 4 บางสิ่งที่หายไป






“เฮ้ย! รูปสวยว่ะ” ชายหนุ่มร่างท้วมที่กำลังเคี้ยวแคบหมูเสียงดังกร้วม กล่าวขณะยืนดูภาพในหน้าจอคอมพิวเตอร์


“รูปที่อัดมาสวยกว่านี้อีก” ตฤณกรกล่าวอย่างภูมิใจ


“อ้าว แล้วไปไหนหมดวะ ไม่เห็นเอามาให้ดู”


“ให้เขาไปหมดแล้ว”


“ให้ใคร”


ตฤณกรได้แต่ยิ้มก่อนจะนึกไปถึงของฝากที่เขาส่งให้เป็นการตอบแทนสำหรับคนนำเที่ยวในทริปนี้ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะถึงมือคนรับแล้วหรือยัง...














‘ถ้าได้รับของฝากจากผมแล้วช่วยส่งสัญญาณตอบกลับให้ผมรู้ตัวบ้างนะครับ’ คือข้อความสั้น ๆ หลังรูปใบหนึ่ง อาทิตย์ทัศน์นั่งมองดูรูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะก่อนจะหยิบรูปใบสุดท้ายที่มีข้อความเขียนอยู่ขึ้นมาก่อนจะพลิกเพื่อดูภาพ



มันเป็นภาพถ่ายตัวเองของผู้ชายคนหนึ่งจากเงาสะท้อนของกระจกหน้าร้านขายของที่ระลึก กล้องที่ถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาทำให้อาทิตย์ทัศน์เห็นหน้าเขาไม่ถนัดนัก หากประมาณด้วยสายตาความสูงก็คงจะพอ ๆ กับเขาหรืออาจจะสูงกว่า แต่ดูว่าร่างจะหนากว่าเขาเล็กน้อย


มือเรียวค่อย ๆ รวบเก็บรูปภาพและโปสการ์ดทั้งหมดลงในกล่องไม้ใบย่อม ๆ ก่อนจะใส่ไว้ในลิ้นชักข้างโต๊ะเขียนหนังสือ เขาจ้องมองคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่วางอยู่ใกล้ ๆ อย่างตัดสินใจ....







หลังจากทำงานดึก ๆ ดื่น ๆ มาตลอดหนึ่งสัปดาห์ ดีไซเนอร์หนุ่มเพิ่งจะได้นอนพักอย่างเต็มตื่นเมื่อคืนที่ผ่านมา ตฤณกรตื่นขึ้นอีกครั้งในตอนสาย ๆ ของวันเสาร์ เพิ่งจะมีโอกาสได้ทำกิจกรรมของตัวเองบ้างก็ในวันหยุดเช่นนี้ เขาใช้เวลาเกือบครึ่งวันในการจัดการกับเสื้อผ้ากองโตและการเก็บกวาดห้อง ในช่วงหัวค่ำทุกอย่างก็ฌสร็จเรียบร้อย ร่างสูงเดินออกจากห้องน้ำในชุดนอนก่อนจะมาทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงาน ข้อความขอบคุณสั้น ๆ ที่ถูกส่งมาในกล่องข้อความส่วนตัวจากเจ้าของ username ที่ชื่อว่า ‘ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า’ เมื่อ 2-3 วันก่อนถูกเปิดขึ้นมาอ่านอีกครั้ง มันทำให้ใบหน้าอิดโรยจากการไม่ได้นอนเพราะต้องเร่งแก้งานส่งลูกค้าของเขากลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าของ username นั้นเป็นใคร แต่เขากลับรู้สึกอยากคุยด้วยและก็มักจะใจเต้นทุกครั้งที่อีกฝั่งส่งข้อความโต้ตอบกลับมา



‘สวัสดีครับ คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า เห็นข้อความของคุณหลายวันแล้วแต่เพิ่งมีโอกาสได้ตอบกลับ ขอโทษนะครับ’ ดีไซเนอร์สุดหล่อ


หลังจากนั้นอีกหลายวันทีเดียว...ข้อความหนึ่งก็ถูกส่งกลับมา....


‘คุณไม่จำเป็นต้องตอบหรือขอโทษก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ’ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า



พัฒน์มองตฤณกรที่เอาแต่เม้มปากแน่นก่อนจะเตือนเขาเรื่องการประชุมที่จะกำลังจะมีขึ้นในอีกไม่ถึงสิบนาทีข้างหน้า ตฤณกรยังคงอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับว่ามันยาวจนอ่านไม่จบเสียที มือที่วางอยู่บนแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดทั้งสองกำแน่น ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานก่อนจะหอบเอกสารเดินออกจากห้องไป....


หนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ ที่ตฤณกรพยายามจะไม่ใส่ใจข้อความนั้นและพยายามเลิกคิดที่จะตอบกลับตามความต้องการของเจ้าของข้อความ....



‘ผมพยายามจะไม่ตอบกลับแล้วจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอยากคุยกับคุณ เอาเป็นว่าคุณอ่านมันเฉย ๆ ก็ได้ เพราะมันก็คงเป็นเรื่องไม่สำคัญอะไรเหมือนกัน ผมก็แค่อยากขอบคุณที่คุณช่วยให้คำแนะนำดี ๆ กับผม ถ้าเป็นไปได้ก็แค่อยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้เผื่อว่าเราอาจจะพอเป็นเพื่อนกันได้ ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร เอาเป็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องของคุณให้ผมรู้ก็ได้ แต่ผมแค่อยากจะเล่าเรื่องของผมให้คุณฟัง’ ดีไซเนอร์สุดหล่อ



“บ้ารึเปล่า ท่าทางจะขาดความอบอุ่น” อาทิตย์ทัศน์บ่นกับตัวเองเบา ๆ หลังจากอ่านข้อความยาวยืดที่ถูกส่งมาจนจบ และหลังจากวันนั้นถ้าหากเขามีโอกาสได้เข้าไปยังเว็บบอร์ดเขาก็มักจะพบข้อความส่วนตัวที่ถูกส่งมาจากคน ๆ เดิมเสมอ ถ้าไม่เล่าเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองก็มักจะบ่นอะไรให้ฟังเป็นคุ้งเป็นแคว แต่อาทิตย์ทัศน์ก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับไปหรือนาน ๆ ทีถึงจะตอบกลับไปสักครั้ง ซึ่งเขาเองไม่รู้เลยว่าเพียงข้อความตอบกลับสั้น ๆ นั้น ก็สามารถทำให้คนที่อีกซีกโลกหนึ่งยิ้มได้ เหตุการณ์ยังคงดำเนินมาอย่างนี้จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งปีกว่า ๆ



‘คุณ..คุณเคยรู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่กำลังทำอยู่บ้างไหม ตอนนี้ผมกำลังเป็นแบบนั้น อยู่ ๆ มันก็รู้สึกเบื่อ ๆ เหนื่อย ๆ อยากจะหนีไปให้ไกล ๆ หรือกดรีโหมตปิดตัวเองไปเสียดื้อ ๆ อืม...คุณคงเบื่อผมเหมือนกันละสิ ชอบมาบ่นอะไรก็ไม่รู้ให้ฟังอยู่เรื่อย  เปลี่ยนเรื่องดีกว่า คุณทำอะไรอยู่น่ะ หน้าหนาวนี้คุณมีแพลนจะไปไหนหรือเปล่าบอกผมหน่อยสิ เผื่อผมจะลอกบ้าง ผมอยากเห็นผมอยากถ่ายรูปวิวพระอาทิตย์ขึ้นสวย ๆ คุณพอจะมีที่แนะนำไหมครับ’ ดีไซเนอร์สุดหล่อ



ข้อความนั้นถูกส่งไปนานจนคนส่งเองแทบจะลืมมันไปแล้ว อยู่ ๆ วันหนึ่งในช่วงกลางฤดูหนาวมันก็ถูกตอบกลับมา....



‘ถ้าเหนื่อยกับงานก็แค่พัก เพราะไม่มีงานอะไรที่ทำแล้วไม่เหนื่อย และถ้าคุณอยากได้ภาพพระอาทิตย์ขึ้นสวย ๆ ก็แค่ตื่นเช้า ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พระอาทิตย์ก็อยู่กับคุณทุกวันไม่ต้องไปไหนไกล แค่คุณหยุดมองคุณก็จะเห็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวที่คุณอาจจะไม่เคยได้สังเกตเห็นมันเลย’



ข้อความนั้นถูกส่งมาพร้อมกับภาพภาพหนึ่ง มันเป็นภาพถ่ายในยามเช้าบนดอย ใช่...มันต้องเป็นดอยไหนสักดอย มีทางเดินทำด้วยแผ่นไม้วางเรียงไปตามไหล่เขากั้นด้วยแนวรั้วไม้เพื่อกันนักท่องเที่ยวพลัดตก มีดอกหญ้าเล็ก ๆ สีขาวขึ้นปกคลุมเนินเขาที่ค่อย ๆ ลาดลงก่อนที่ทุกอย่างจะถูกกลืนด้วยสายหมอกสีขาว ถ้าใครได้ไปยืนอยู่ข้างบนนั้นคงเหมือนกำลังยืนอยู่บนก้อนเมฆ...



‘แต่ถ้าอยากเห็นอย่างอื่นที่นอกเหนือจากพระอาทิตย์ขึ้น ลองไปที่นี่ดู คิดว่าคงไม่ยากสำหรับคุณ’ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า




“คุ้น ๆ แฮะ” ตฤณกรพึมพำกับตัวเองก่อนจะพยายามนึกชื่อของสถานที่ซึ่งปรากฏในภาพ....








......



‘จ้า ลูกเป็นยังไงบ้าง’



“จ้าสบายดีครับแม่ แล้วแม่ล่ะเป็นยังไงบ้าง ทานข้าวตรงเวลาหรือเปล่า”



คนที่ปลายสายหัวเราะหึ ๆ อย่างอารมณ์ดีก่อนจะกล่าว ‘ลูกไม่ต้องห่วง แม่มีนาฬิกาส่วนตัว เตือนให้ทานข้าวตรงเวลาทุกมื้อ’



อาทิตย์ทัศน์หัวเราะ นึกไปถึงนาฬิกาส่วนตัวที่ผู้เป็นแม่เพิ่งพูดถึงเมื่อครู่ คงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากน้องสาวบ้านตรงข้ามของเขาเอง



“หนูขวัญแกทำตามที่จ้าสั่งเอาไว้ทุกอย่าง ทั้งมาคุยเป็นเพื่อนแม่ทั้งคอยเตือนให้แม่ทำโน่นทำนี่”



“รู้แบบนี้จ้าก็สบายใจ”



“ช่วงนี้ลูกเป็นยังไงบ้าง เรียนหนักไหม”



“วิชาเรียนเริ่มน้อยลงแล้วละครับ แต่เดี๋ยวจ้าคงไม่ได้คุยกับแม่บ่อย ๆ แล้วนะ จ้าต้องเดินทางไปหลายที่”


‘ไม่เป็นไรลูก ไม่ต้องห่วงแม่นะ’



“ครับ แม่เองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ อีกไม่กี่เดือนจ้าก็จะกลับบ้านเราแล้ว”



อาทิตย์ทัศน์วางสายโทรศัพท์จากผู้เป็นแม่ก่อนจะหยิบกล้องติจิตัลตัวเก่งออกมาจากกระเป๋า เขาบรรจงเช็ดเลนส์จนสะอาดเอี่ยมก่อนจะเก็บมันไว้ที่เดิม การออกเดินทางเพื่อเก็บภาพทำโปรเจคก่อนจบการศึกษากำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่วัน และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเขาคงได้กลับประเทศไทยเสียที ชายหนุ่มเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนหลังจากเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องพัสดุกล่องหนึ่งที่ถูกส่งมาจากประเทศไทยเมื่อวันก่อน ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาได้รับอีเมลฉบับหนึ่งซึ่งส่งมาจากน้องสาวบ้านตรงข้าม...



‘พี่จ้า เดี๋ยวขวัญจะส่งของไปให้พี่จ้านะคะ พอดีเมื่อวันก่อนขวัญเจอพี่อ้อน พี่อ้อนบอกว่ามีคนส่งมาให้พี่จ้าค่ะ’


ขวัญ





อาทิตย์ทัศน์หยิบกล่องพัสดุมาวางบนตัก ด้านหน้ากล่องเขียนด้วยลายมือน่ารัก ๆ ที่เขาจำได้ดี ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะค่อย ๆ เกาะกระดาษสีน้ำตาลออก เมื่อเปิดกล่องเขาก็พบซองกระดาษสีน้ำตาลซองหนากับกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งมีข้อความสั้น ๆ เขียนไว้



‘พี่อ้อนเอาของพวกนี้มาฝากไว้กับขวัญค่ะ ตอนแรกขวัญตั้งใจว่าจะเอาให้จ้าทีเดียวตอนกลับไทย แต่คิดไปคิดมาขวัญว่าคนที่เขาส่งมาให้เขาก็คงอยากให้ถึงมือคนรับไว ๆ ขวัญก็เลยส่งมาให้ก่อนดีกว่า ขอโทษนะคะที่ดองเอาไว้นานไปหน่อย’


ขวัญ



‘ปล. ขวัญไม่ได้แอบอ่านนะ มันบังเอิญเห็น ^^ รู้สึกว่าแฟนคลับคนนี้เขาจะอยากรู้จักพี่จ้าจริง ๆ นะคะ’




“หึ ... จอมยุ่งเอ๊ย! แอบอ่านหมดแล้วละสิ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวกับตัวเองขณะค่อย ๆ เปิดซองสีน้ำตาลออก เขาพบว่าข้างในเต็มไปด้วยโปสการ์ดและภาพถ่ายที่ถูกส่งมาจากที่ต่าง ๆ ซึ่งถูกมัดแยกกันด้วยเชือกปอหลากสีมีกระดาษโน้ตเล็ก ๆ เขียนกำกับเอาไว้ว่าโปสการ์ดแต่ละมัดถูกส่งมาเมื่อใดซึ่งคงเป็นฝีมือของของสาวตัวดีของเขาแน่ ๆ  บางมัดเป็นโปสการ์ดที่ถูกประทับตราตั้งแต่เมื่อเกือบหนึ่งปีที่แล้ว ชายหนุ่มค่อย ๆ แก้เชือกที่มัดโปสการ์ดออกก่อนจะเริ่มอ่านมันทีละใบ....



‘ผมไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนไกล ๆ สักเท่าไร ทั้งที่อยากจะส่งโปสการ์ดให้คุณบ้างแต่ก็ทำได้ดีที่สุดแค่นี้แหละ’ นอกจากข้อความสั้น ๆ บนโปสการ์ดแล้วยังมีภาพสเก็ตซ์ของทิวทัศน์ของแม่น้ำกว้างใหญ่ที่สองฝั่งเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง และถ้าอาทิตย์ทัศน์คาดเดาไม่ผิด เจ้าของโปสการ์ดใบนี้คงนั่งสเก็ตซ์ภาพจากบนรถไฟฟ้าขณะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแน่
 


‘ผ่านมา 1 ปีแล้วนะคุณ คุณจะว่าผมบ้าไหม ถ้าผมจะบอกว่าผมกลับไปที่สวนสนบ่อแก้วอีกครั้ง จริง ๆ นะ ผมกลับมาที่นี่อีกจริง ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผมแวะไปหาคุณลุงที่เคยแวะรับให้ผมติดรถแกไปลงที่แม่ฮ่องสอน ลุงแกก็ยังแข็งแรงแล้วก็ขับรถขนผักมาส่งที่เชียงใหม่เหมือนเดิม’ อาทิตย์ทัศน์มองดูรูปรูปสเก็ตซ์ลูกสนในโปสการ์ดก่อนจะดึงภาพถ่ายจำนวนมากที่ซ้อนอยู่ด้านหลังออกมาดู ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภาพของชายวัยกลางคนท่าทางใจดีที่กำลังยืนเต๊ะท่าหล่อยิ้มแฉ่งอยู่ท่ามกลางแปลงผักสีเขียวสดสุดลุกหูลุกตา



‘ไม่รู้ว่าคราวก่อน ๆ คุณจะได้รับโปสการ์ดที่ผมส่งให้ไหม ไม่เห็นคุณส่งสัญญาณอะไรให้ผมรู้ แต่ไม่เป็นไร ภาวนาให้คุณได้รับใบนี้ก็แล้วกัน หน้าฝนแบบนี้เวลาเขียนโปสการ์ดถึงคุณ ผมแอบกลัวเหมือนกันว่ากว่ามันจะไปถึงมือคุณมันจะเปียกฝนเสียก่อน’


อาทิตย์ทัศน์ยิ้มบาง ๆ ให้โปสการ์ดที่แทบจะดูไม่เป็นโปสการ์ดใบนี้ หมึกดำที่โดนน้ำฝนเละเทอะเต็มไปหมดจนดูแทบไม่ออกว่าเขาสเก็ตซ์ภาพอะไรส่งมาให้ยังดีที่ข้อความที่เขียนมายังพออ่านหรือเดาได้บ้าง ชายหนุ่มอ่านโปสการ์ดทีละใบโดยไม่ได้สนใจเวลาที่ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดเขาก็แกะโปสการ์ดและรูปถ่ายมัดสุดท้ายที่มีโน้ตเล็ก ๆ เขียนกำกับเอาไว้ว่าถูกส่งมาเมื่อช่วงกลางเดือนมกราคมออกมา....






‘ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ จริงอย่างคุณว่าไม่มีงานอะไรที่ทำแล้วไม่เหนื่อย ถ้าเหนื่อยก็แค่หยุดพัก แต่มันทำให้ผมกลายเป็นหนุ่มขี้เหงายังไงก็ไม่รู้แฮะ ตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น ส่วนตอนเย็นก็ยืนมองพระอาทิตย์ตกจากบนสถานีรถไฟฟ้า ชีวิตในกรุงเทพฯ ทำให้ผมไม่ได้ทำแบบนี้นานแล้ว ทั้ง ๆ ที่ดวงอาทิตย์อยู่กับผมทุกวันแต่ผมก็ไม่เคยเงยหน้าขึ้นมองมันเลย อ้อ..แล้วก็ต้องขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจในการทำงานของผมนะครับ กิ่วแม่ปานทำให้ผมได้เห็นอะไรที่มากกว่าพระอาทิตย์ขึ้นจริง ๆ อากาศบนดอยอินทนนท์นี่หนาวน่าดู ผมไปทันดอกนางพญาเสือโคร่งบานพอดีก็เลยเก็บภาพสวย ๆ มาฝากคุณด้วย หวังว่าคุณจะชอบมันนะ’



เป็นเรื่องราวจากโปสการ์ดใบสุดท้าย...
โปสการ์ดใบนี้เต็มไปด้วยข้อความก็เลยไม่มีที่เหลือพอสำหรับสเก็ตซ์ภาพ เจ้าของโปสการ์ดจึงชดเชยด้วยการส่งภาพถ่ายต้นนางพญาเสือโคร่งที่ขึ้นอยู่ริมถนนผลิดอกสีชมพูปกคลุมเต็มไปหมดจนแทบมองไม่เห็นใบรวมถึงภาพถ่ายของบรรดาพรรณไม้และสถานที่ที่สำคัญต่าง ๆ บนดอยอินทนนท์มาแทน...



โปสการ์ดจำนวนมากและภาพถ่ายนับร้อยที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ถูกส่งมาจากคนเพียงคนเดียว แม้จะมีบางใบที่ไม่ได้ลงชื่อแต่อาทิตย์ทัศน์ก็รู้ดีว่าคนที่ส่งมาคือใคร นี่จึงเป็นอีกครั้งที่อาทิตย์ทัศน์ตัดสินใจส่งข้อความสั้น ๆ กลับไปขอบคุณคนที่ส่งมา...






หลายเดือนต่อมา...



“คุณหายไปไหนของคุณนะ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคบ่นพึมพำกับตัวเองในขณะที่มือยังคงคลิกเมาส์ ดวงตาคมภายใต้กระจกแว่นสายตาจ้องเขม็งไปที่หน้าจอในขณะที่คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากัน เขาคลิกอ่านข้อความเก่า ๆ ที่ถูกส่งออกไปหาใครคนหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ก็ไม่มีข้อความใด ๆ ถูกส่งกลับมาตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน


ตฤณกรตัดสินใจตั้งกระทู้หนึ่งขึ้นแม้จะรู้ดีถึงผลที่จะเกิดขึ้นก็ตาม....


‘มีใครพอจะทราบบ้างไหมครับว่าคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าหายไปไหน’ เขียนโดย ดีไซเนอร์สุดหล่อ


เป็นไปตามที่เขาคาดเดา เพียงไม่กี่นาทีให้หลัง กระทู้ที่เขาตั้งก็มคนเข้ามาตอบยาวเป็นหางว่าว


‘อุ๊ยตาย! กระทู้ตามหาคน’ เขียนโดย โปรแกรมมั่ว


‘คุณโปรแกรมมั่วพิมพ์ขาดรึเปล่าคะ ต้องเป็นตามหาคนรักรึเปล่า’ เขียนโดย คนช่างคิด


‘กระทู้ในตำนานรึเปล่าครับนี่’ เขียนโดย ผมบังเอิญผ่านมา


‘จะว่าไปก็หายไปนานแล้วนะครับ’ หัวหน้าแก๊งค์เที่ยว


‘ใช่ ๆ หายไปไหนก็ไม่รู้นะคะ คิดถึงคำพูดสั้น ๆ แต่อ่านแล้วอบอุ่นของเจ้าของชื่อนี้จัง’ เขียนโดย ฤทธิ์คัตเตอร์บิ่น


.
.
.






“เป็นอะไรพี่ตัง ทำหน้ายังกับท้องผูก” ดีไซเนอร์รุ่นน้องที่เดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะทำงานเอ่ยขึ้น


“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ตฤณกรตอบส่ง ๆ


“ไม่มีอะไรก็ดีพี่ เย็นนี้พี่ว่างไหม ไปหาข้าวกินกันไหมพี่”


ตฤณกรหรี่ตามองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างตัดสินใจ....





“นี่เหรอวะข้าว” ตฤณกรมองดูน้ำสีอำพันที่ถูกรินจากเหยือกลงสู่แก้วทรงสูงอย่างรวดเร็วจนฟองสีขาวล้นออกจากปากแก้ว


“ก็นี่ไงพี่ ข้าวบาร์เลย์ และเพื่อให้กินง่ายเขาก็เลยทำเป็นแบบน้ำ ไม่ต้องเคี้ยวแถมคล่องคอ” หนุ่มหน้าตี๋หัวเราะ


“แกนี่มันแถไปเรื่อยนะกอล์ฟ” ตฤณกรกล่าวก่อนจะยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่ม


“แหมพี่ คิดเสียว่ามากินเป็นเพื่อนน้องก็แล้วกัน เนอะพี่พัฒน์”


“ไม่ต้องมาเนอะเลยเอ็ง ก็รู้อยู่ว่าไอ้ตังมันแพ้แอลกอฮอล์ กินเข้าไปมีหวังผื่นขึ้น”


“แพ้ขนาดผื่นขึ้นนี่ แพ้ของถูกหรือเปล่าพี่”


“ไอ้บ้า แพ้จริง ๆ วุ้ย” ตฤณกรกล่าว


“อ่อ ๆ ผมคิดว่ากินของถูกไม่ได้ เดี๋ยวคัน”


“เฮ้ย ๆ เอ็งน่ะทำเป็นพูดเล่นไป ไอ้ตังมันแพ้ของมันจริง ๆ นะ ข้ายังจำได้ติดตา เมื่อตอนรับน้องที่รุ่นพี่บังคับให้กินเบียร์น่ะ ไอ้ตังจิบเข้าไปหน่อยเดียวหันมาอีกทีผื่นเห่อขึ้นเต็มตัวต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล รุ่นพี่นี่หน้าซีดยังกับไก่ต้มสามน้ำ”


“ยังไงวะพี่พัฒน์ ไอ้ไก่ต้มสามน้ำที่ว่าน่ะ”


“ก็ต้มจนซีดแล้วซีดอีก ยังกับต้มมาสักสามน้ำน่ะสิ”


“พูดเวอร์ไปแล้วไอ้พัฒน์” ตฤณกรปราม


“ต้องขู่มันไว้ก่อน มันจะได้ไม่กล้าแกล้งแกไงไอ้ตัง เพราะแกมันผู้ชายบอบบาง” พูดจบชายหนุ่มร่างท้วมก็หัวเราะ



ขณะที่สามหนุ่มกำลังนั่งดื่มเครื่องดื่มกันอยู่ที่โต๊ะซึ่งตั้งอยู่ริมระเบียงของร้านอาหารแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีสองหนุ่มสาวเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะข้าง ๆ


“อ้าว สวัสดีครับพี่อ้อน พี่ใหญ่” กอล์ฟเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้สองคนที่นั่งลงที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว


“ว่ายังไงจ๊ะ ลมอะไรหอบข้ามมาถึงฝั่งธนได้” หญิงสาวผมซอยสั้นกล่าวอย่างอารมณ์ดีขณะรับเมนูอาหารจากพนักงานเสิร์ฟ


“วันนี้ว่าง ๆ ก็เลยชวนพี่ที่ทำงานมาหาอะไรทานน่ะครับ” หนุ่มหน้าตี๋กล่าว “เอ้อ ผมลืมแนะนำเลย พี่พัฒน์ พี่ตัง นี่พี่อ้อนกับพี่ใหญ่ คนที่ทำเว็บที่ผมแนะนำให้พวกพี่เข้าไปเป็นสมาชิกไงครับ”


พัฒน์พยักหน้าในขณะที่ตฤณกรวางกระป๋องน้ำอัดลมลงก่อนที่ทั้งคู่จะยกมือไหว้ทักทายคนทั้งสอง


“ไม่ต้องไหว้ก็ได้ครับน้อง” ชายหนุ่มร่างบึกบึนเจ้าของเคราแพะกล่าว


“พี่มีอะไรข้องใจถามพี่สองคนเขาได้นะ”


“แต่ห้ามถามนะจ๊ะว่าเจ้าของล็อกอินชื่อนั้นชื่อนี้เป็นใคร” หญิงสาวกล่าว


“ทำไมล่ะครับ” ตฤณกรถามด้วยความสนใจ


“มันเป็นความลับจ้ะ พวกพี่บอกไม่ได้ นอกจากเจ้าของเขาจะแนะนำตัวเอง” เธอกล่าวก่อนจะหันไปสบตาชายหุน่มที่มาด้วยกันซึ่งกำลังพยักหน้าเห็นด้วย


“งั้นผมไม่ถามว่าเขาเป็นใคร แต่ผมขอถามว่าเขาหายไปไหนได้ไหมครับ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับขยับแว่นสายตาเล็กน้อย


“ใครเหรอจ๊ะ”


“เจ้าของล็อกอินที่ชื่อว่า ถ้าเธอเป็นท้องฟ้าน่ะครับ”


หญิงสาวโต๊ะตรงข้ามมองเขาอย่างแปลกใจก่อนจะหันไปยิ้มให้คนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน


“ทำตัวให้แฟนคลับเป็นห่วงนะเจ้าของชื่อนี้น่ะ” ชายหนุ่มร่างบึกบึนยิ้ม


“ช่วงนี้คงเรียนหนักมั้งจ๊ะ”


“เรียนเหรอครับ”


“จ้ะ เห็นว่าไปเรียนต่อต่างประเทศน่ะ เดี๋ยวปลายปีนี้ก็คงกลับมาแล้วละมั้ง” หญิงสาวกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะลงมือจดรายการอาหาร....





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2013 02:12:44 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 5 ลิ้นชักแห่งความทรงจำ






วันหนึ่งในปลายฤดูหนาว...


การกลับมาหลังจากสำเร็จการศึกษาของลูกชายนำพาความปลื้มปิติมาสู่ผู้เป็นแม่ไม่น้อย อาหารมื้อเย็นถูกเตรียมเอาไว้รอท่าตั้งแต่เมื่อช่วงบ่าย ในที่สุดบ้านหลังเล็ก ๆ กำลังจะกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง อรนุชยืนมองรูปภาพของผู้เป็นสามีที่ติดอยู่บนผนังพร้อมกับยิ้ม ไม่นานแท็กซี่คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน เมื่อหญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินออกไปที่นอกประตู เธอก็เห็นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งรีบเปิดประตูฝั่งคนขับลงมาก่อนจะเดินตรงไปเปิดท้ายรถเพื่อจัดการดึงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาวางที่พื้น ทันทีที่รถแท็กซี่ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปร่างสูงที่คุ้นตาของอรนุชก็ปรากฏขึ้น เขาเปิดประตูก่อนจะเดินลากกระเป๋าตรงเข้ามายังที่ที่เธอยืนอยู่ อาทิตย์ทัศน์ยิ้มหน้าบานก่อนจะวางกระเป๋าแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่ทันที


“นึกว่าเสียงรถใครมา ที่แท้ก็ตาจ้านี่เอง” เสียงแขกผู้มาเยือนที่ดังขึ้นทำให้สองแม่ลูกต้องหันกลับไปมอง อาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ คลายวงแขนออกก่อนจะยกมือไหว้ดารณีที่เดินจูงมือกันมาพร้อมกับจอมขวัญผู้เป็นลูกสาว


“สวัสดีครับป้าดา”


หญิงวัยกลางที่อายุมากกว่าแม่ของเขายกมือขึ้นรับไหว้ รอยยิ้มของเธอยังคงดูเป็นมิตรไม่เคยเปลี่ยนแปลง “ไหว้พระเถอะจ้ะ”



“ไม่เห็นพี่จ้าบอกขวัญเลยว่าจะกลับวันนี้ ขวัญจะได้ขับรถไปรับที่สนามบิน” สาวร่างเล็กบ่น


“พี่ไม่อยากให้ขวัญต้องลำบากน่ะ พี่นั่งแท็กซี่มาเองก็ได้” อาทิตย์ทัศน์กล่าว


อรนุชถือโอกาสชวนดารณีและจอมขวัญอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว อาทิตย์ทัศน์ก็จัดการลากกระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนจะรื้อเอาของฝากออกมาให้คนที่กำลังนั่งตาแป๋วมองดูเขาจากบนเตียงอย่างไม่วางตา


“พี่จ้าอ้วนขึ้นหรือเปล่าคะ” จอมขวัญกล่าวพร้อมกับจ้องมองพวงแก้มของชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น


“ขวัญทักพี่แบบนี้ก็คงจะอ้วนขึ้นจริง ๆ นั่นแหละ”


“ขวัญว่าแบบนี้กำลังดีนะ ไม่ผอมเป็นกุ้งแห้งเหมือนเมื่อก่อน กลับไปสอนคราวนี้รับรองว่าสาว ๆ กรี๊ดกว่าเก่าแน่ค่ะ”


“ว่าไปนั่น” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อยในขณะที่ตาคมยังคงมองหาบางสิ่ง “อ่ะนี่ พี่ซื้อมาฝาก” เขากล่าวหลังจากหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเดินทางและส่งให้จอมขวัญ


หญิงสาวรับถุงกระดาษนั้นมาเปิดดูก่อนจะร้องขึ้นด้วยความดีใจ “โอ้โห....ขวัญกำลังอยากได้อยู่พอดีเลยค่ะพี่จ้า ที่เมืองไทยหาซื้อไม่ได้เลย”


“ตั้งแต่อัลบั้มแรกเลยนะ”


“จริงด้วย” คนตัวเล็กยิ้มพร้อมกับหยิบซีดีของศิลปินที่กำลังได้รับความนิยมแห่งเกาะอังกฤษอยู่ในขณะนี้ออกมาวางเรียงกันบนที่นอนพร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี


“ส่วนนี่น้ำหอม พี่ซื้อมาฝากป้าดา ขวัญอย่าลืมเอากลับไปด้วยนะ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะวางถุงกระดาษอีกใบลงบนเตียง


“แล้วของแฟนคลับล่ะ ไม่มีเหรอคะ” จอมขวัญเอ่ยขึ้นขณะค่อย ๆ บรรจงเก็บแผ่นซีดีลงในถุงกระดาษตามเดิม


“แฟนคลับ?” ชายหนุ่มทวนคำ คิ้วหนาค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยจนคนที่นั่งอยู่บนเตียงอดยิ้มไม่ได้


“ก็คนที่ส่งโปสการ์ดให้พี่จ้าบ่อย ๆ ไงคะ อืม....” หญิงสาวทำท่าคิด “คุณดีไซเนอร์สุดหล่อ”


อาทิตย์ทัศน์ยืนขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับคว้ากล่องเหล็กใบย่อม ๆ ใบหนึ่งติดมือไปด้วย เขาเดินถือมันไปวางลงบนโต๊ะทำงานก่อนจะหันกลับมากล่าวกับหญิงสาวที่นั่งยิ้มแป้นอยู่บนเตียง “แฟนคลับอะไรกัน พูดไปเรื่อยเปื่อย”


“แหม...ขวัญแซวเล่นแค่นี้ ทำไมพี่จ้าต้องทำเสียงเข้มกลบเกลื่อนด้วยคะ” จอมขวัญหัวเราะ “ว่าแต่ที่เขาอุตส่าห์ตั้งกระทู้ตามหาตัวเองน่ะรู้บ้างหรือเปล่า”


“กระทู้ตามหาเหรอ”


“ใช่ค่ะ คุณดีไซเนอร์สุดหล่อเขาตั้งกระทู้ตามหาคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า แต่ว่าคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าก็ไม่ส่งข่าวให้รู้เลย”


“พี่ทำโปรเจค ต้องเดินทางบ่อย ๆ ไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตเลย” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะเดินกลับมานั่งลงที่เดิม


“แล้วพี่จ้าไม่อยากรู้เหรอคะว่าเขาเป็นใคร”


ชายหนุ่มที่กำลังรื้อเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว เขาทำเพียงการส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ


“ใจร้ายจัง” จอมขวัญพึมพำ


“ตัวเองอยากรู้ละสิ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวอย่างรู้ทัน


“แน่นอนค่ะ ขวัญก็ต้องอยากรู้สิว่าคนที่มาจีบพี่ชายขวัญเป็นใคร”


“จ่งจีบอะไรกัน เรานี่คิดอะไรไปใหญ่โตแล้ว”


“พี่จ้าลองคิดดูสิคะ ใครจะเขียนโปสการ์ดเล่าเรื่องของตัวเองเป็นคุ้งเป็นแควให้คนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันฟังได้ตั้งเกือบสองปี ขวัญว่าเขาต้องแอบรู้สึกอะไรบ้างละ”


“เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้ามาคิดทำแบบที่ขวัญว่าก็ตลกแล้ว” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วก่อนจะยกนิ้วเรียวชี้ไปที่สาวน้อยที่นั่งอยู่บนเตียง “นี่แสดงว่าอ่านโปสการ์ดของพี่ทุกใบเลยใช่ไหม”


“อะไรกัน ขวัญไม่ได้ทำแบบนั้นเสียหน่อย” จอมขวัญพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงพ้อมกับหันไปคว้าถุงกระดาษทั้งสองใบ “ขวัญกลับบ้านดีกว่าจะเอาของฝากไปโพสต์อวดเพื่อน ๆ”


“หนีความผิดตามเคย” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับส่ายหน้าช้า ๆ ส่วนจอมขวัญเองก็อดยิ้มไม่ได้ในความรู้ทันของเขา


“คืนนี้อย่าลืมเข้าไปทักทายแฟนคลับบ้างนะคะ ผ่านนี้คงรอเหงือกแห้งแล้ว” หญิงสาวกล่าวก่อนจะกระโดดแผล็วออกจากห้องไป....







หลังจากจัดของเข้าตู้และอาบน้ำเรียบร้อยแล้วอาทิตย์ทัศน์ก็เดินมานั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ เขาดึงลิ้นชักออกมาก่อนจะเอื้อมมือลงไปควานหาอะไรบางอย่าง ในที่สุดเขาก็หยิบกรอบรูปตั้งโต๊ะที่มีรูปคู่ของหนุ่มน้อยสองคนในชุดนักเรียนมัธยมออกมาตั้งบนโต๊ะ มันเป็นรูปสมัยเรียนของเขาซึ่งถ่ายคู่กับเพื่อนคนหนึ่ง...เพื่อนที่เขารัก...มากที่สุด...


“จ้า นายว่าคนนั้นน่ารักไหม” หนุ่มน้อยในชุดนักเรียนเอ่ยขึ้นก่อนจะชะเง้อมองหญิงสาวที่กำลังเดินควงคฑาอยู่ริมสนามฟุตบอลท่ามกลางเสียงเชียร์ให้กำลังใจของบรรดาเพื่อนร่วมห้องของเธอ


อาทิตย์ทัศน์ที่กำลังมองภาพตรงหน้าผ่านเลนส์กล้องชะงักก่อนจะหันกลับไปมองตามสายตาของเพื่อน


“ตวง” เขากล่าวเสียงเบา


“อือใช่ ตวงห้องสอง นายว่าน่ารักไหม”


“ก็น่ารักดีนะ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับยกกล้องขึ้นเล็งไปที่คนที่อยู่ห่างกันไม่ไกลนักก่อนจะกดชัตเตอร์


“ถ้าล้างรูปเมื่อไร เอามาให้ดูบ้างนะ”


“อือ”


“นั่น ยัยจอมยุ่งของนายมาโน่นแล้ว” หนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กล่าวพร้อมกับบุ้ยปากไปที่เด็กหญิงผมเปียที่กำลังวิ่งถือกระเป๋าตรงมาที่อัฒจรรย์ที่พวกเขานั่งอยู่


“พี่จ้า กลับบ้านกันเถอะ” เด็กหญิงจอมขวัญเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสดใส


“บ้านไม่หนีไปไหนหรอกน่ายัยจอมยุ่ง”


เด็กหญิงขมวดคิ้วอย่างขัดใจก่อนจะกล่าว “เค้าชื่อจอมขวัญ ไม่ได้ชื่อจอมยุ่งเสียหน่อย พี่นนท์เรียกให้ดี ๆ นะ”


“พี่กเรียกดีแล้วนี่ไง ก็เรียกให้เข้ากับตัวเธอนั่นแหละ” หนุ่มน้อยณัฐนนท์หัวเราะ


“พี่นนท์บ้า ขวัญไม่คุยกับพี่นนท์แล้ว” เด็กหญิงกล่าวก่อนจะฉุดแขนพี่ชายของเธอให้ลุกขึ้น


“หัวก็ไม่ล้านเสียหน่อย ทำเป็นใจน้อยไปได้”


“พอแล้วนนท์ แหย่น้องอยู่ได้” อาทิตย์ทัศน์ปรามพร้อมกับลุกขึ้นตามแรงของเด็กหญิง


“ว้า..ไม่สนุกเลยโดนจ้าดุอีกแล้ว” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นเกาศีรษะ


“แบร่!!!! ไอ้พี่นนท์บ้า” เด็กหญิงจอมขวัญแลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียน


“พอได้แล้วขวัญ กลับบ้านกันเถอะ” อาทิตย์ทัศน์ตัดบทพร้อมกระตุกแขนเด็กหญิงเบา ๆ




....



“จ้า”


เสียงที่ดังขึ้นรั้งให้เด็กหนุ่มต้องหยุดเดินแล้วหันกลับมามอง หนุ่มน้อยที่ยืนเหงื่อชุ่มอยู่ที่กลางสนามบาสโบกมือให้เขาพร้อมกับยิ้ม


“เดี๋ยวพรุ่งนี้แวะเอารายงานไปทำที่บ้านนะ”


“อือ” อาทิตย์ทัศน์พยักหน้าก่อนจะเดินจากไป....




....



เช้าวันต่อมา เสียงกริ่งจักรยานที่ดังขึ้นถี่ ๆ  ทำให้เด็กหญิงที่ง่วนอยู่กับการรดน้ำต้นไม้ที่หน้าบ้านต้องทิ้งสายยางลงกับพื้นก่อนจะเดินไปตามเสียง


“ว่าแล้วเชียว เสียงกริ่งกวนประสาทแบบนี้มีคนเดียว” เด็กหญิงจอมขวัญกล่าวก่อนจะชะเง้อมองหนุ่มน้อยบ้านตรงข้ามที่กำลังเปิดประตูออกมา


“คนเขาอุตส่าห์ซื้อขนมมาฝาก” ณัฐนนท์กล่าวพร้อมกับรั้งถึงใส่ขนมใส่ไส้ที่แขวนอยู่กับแฮนด์จักรยานส่งให้เด็กหญิงที่ยืนอยู่หลังรั้วเตี้ย ๆ


“เอ้า รับไปสิผู้ใหญ่ให้ของ”


“ขอบคุณค่ะ” เด็กหญิงกล่าวพร้อมกับรับมันมาอย่างไม่เต็มใจนัก


“ทะเลาะกันแต่เช้าเลยนะสองคนนี้” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามาสมทบ


“ทะเลาะอะไรกัน นี่น่ะรักกันจะตาย จริงไหมยัยจอมยุ่ง”


“ไอ้พี่นนท์บ้า”


“เอาละ ๆ พอได้แล้วทั้งสองคน” อาทิตย์ทัศน์รีบยกมือขึ้นห้ามทัพก่อนจะชวนเพื่อนเข้าบ้าน


“กินอะไรมาหรือยัง” หนุ่มน้อยเจ้าของบ้านเอ่ยขึ้นเมื่อพาเพื่อนมานั่งที่ศาลาในสวนหลังบ้าน


“เรียบร้อยแล้ว” ณัฐนนท์กล่าวพร้อมกับหยิบหนังสือหลายเล่มที่ยืมมาจากห้องสมุดลงบนโต๊ะ


“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลยแล้วกัน” อาทิตย์ทัศน์กล่าว


สองหนุ่มน้อยนั่งทำรายงานเงียบ ๆ จนเกือบใกล้เที่ยง


“วันนี้แม่ไม่อยู่เหรอ ตั้งแต่มายังไม่เห็นแม่เลย” หนุ่มน้อยที่ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจเอ่ยขึ้น


“อืม...วันนี้แม่ต้องไปช่วยงานที่โรงแรมน่ะ พอดีมีงานเลี้ยงแล้วพ่อครัวที่เป็นหลักเขาลาป่วยกะทันหัน” อาทิตย์ทัศน์กล่าวทั้งที่ยังคงนั่งสรุปความที่ได้อ่านจากหนังสือลงในกระดาษ “ว่าแต่นายเถอะหิวหรือยัง เราจะได้ทำอะไรให้กิน”


“ก็เริ่มหิวเหมือนกันนะ” หนุ่มน้อยยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นลูบท้องตัวเอง เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น

“ใครมา?” อาทิตย์ทัศน์พึมพำ


“จะเป็นใครได้” ณัฐนนท์กล่าวด้วยใบหน้ามีเลสนัย....







....




“พี่จ้า แม่ให้ขวัญเอาข้าวผัดมาให้ค่ะ” เด็กหญิงที่ยืนอยู่นอกรั้วกล่าวอย่างฉะฉานก่อนจะยื่นหม้อสแตนเลสใบย่อม ๆ ให้ดู


อาทิตย์ทัศน์เปิดประตูให้เด็กหญิงเข้ามาในบ้านก่อนจะรับหม้อจากมือของเธอ กลิ่นหอมของข้าวผัดที่ปะทะเข้ากับปลายจมูกทำให้ท้องของสองหนุ่มน้อยดังขึ้นแข่งกันทันที


“ทำไมป้าดาให้มาเยอะจัง” อาทิตย์ทัศน์กล่าวเมื่อเปิดฝาหม้อออก


“ก็เห็นว่ามีคนช่วยกิน” เด็กหญิงที่เดินถือจานกับช้อนมาวางบนโต๊ะเอ่ยขึ้นพร้อมกับค้อนให้หนุ่มน้อยที่กำลังก้มหยิบกระบอกน้ำจากตู้เย็น


“แหม...เป็นห่วงเค้าก็บอกมาเถอะ” ณัฐนนท์กล่าวอย่างอารมณ์ดีเมื่อเดินกลับมาที่โต๊ะ


“อะไร ใครห่วง ไม่ได้ห่วงสักหน่อย” เด็กหญิงทำหน้างอ


“พอ ๆ หยุดได้แล้วทั้งสองคน เจอหน้ากันทีไรทะเลาะกันทุกที” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะตักข้าวใส่จาน


บ่ายวันนั้น เด็กหญิงจอมขวัญจึงขลุกอยู่กับพี่ชายทั้งสองของเธอแทนที่จะกลับไปบ้านของตัวเอง


“อ่ะนี่ อัดมาให้แล้ว” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับยื่นภาพถ่ายใบหนึ่งให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ยังไม่ทันที่ณัฐนนท์จะรับมันมา มือเล็ก ๆ ของจอมขวัญก็ชิงหยิบไปเสียก่อน


“นี่มันพี่ตวงม.สี่ทับสองนี่นา”


“เอามานี่เลยยัยจอมยุ่ง” ณัฐนนท์กล่าวก่อนจะฉกรูปใบนั้นมา


“พี่นนท์ชอบพี่ตวงเหรอ”


“ใช่” หนุ่มน้อยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คนอะไร น่ารักสุด ๆ ไม่รู้ว่าบัตรประชาชนนี่เป็นนางฟ้าหรือว่านางสาว”


“แหวะ!”


“อะไร เธออิจฉาเขาเหรอยัยจอมยุ่ง” หนุ่มน้อยที่ในมือถือรูปภาพหรี่ตามองเด็กหญิง


“เชอะ! ใครจะไปอิจฉา ไม่ได้อิจฉาเสียหน่อย” เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย





....


สองปีต่อมา...


“เฮ้ยจ้า เราชอบตวงเขาจริง ๆ นะ ชอบมาตั้งแต่ม.สี่แล้วนะเนี่ย นายช่วยคิดหน่อยสิว่าเราจะทำยังไงดี” ชายหนุ่มที่กำลังนั่งมองบรรดานักเรียนหญิงม.ปลายที่กำลังซ้อมรำกันอยู่บริเวณใต้ถุนอาคารเรียนเอ่ยขึ้น


“ก็แล้วจะให้เราช่วยยังไงล่ะ นายชอบเขานายก็เขาไปบอกเขาสิ”


“ไม่กล้าว่ะ”


“ปอดนี่หว่า” เสียงแจ้ว ๆ ที่คุ้นเคยดังแทรกขึ้น จากเด็กหญิงผมเปียสวมชุดนักเรียนคอซองเมื่อสองปีที่แล้วกลายเป็นสาวน้อยในชุดนักเรียนม.ปลายไปเสียแล้ว


“เธอว่าใครยัยจอมยุ่ง”


“ก็ว่าพี่นนท์นั่นแหละ ชอบเขาแล้วยังจะต้องให้เพื่อนช่วยอีก แทนที่จะบอกเขาไปตรง ๆ” หญิงสาวกล่าวก่อนจะนั่งลงใกล้ ๆ


“ก็เขามันดอกฟ้า ส่วนเรามันก็แค่หมาขี่เครื่องบิน”


“เคยได้ยินแต่ดอกฟ้ากับหมาวัด” จอมขวัญขมวดคิ้ว


“ก็หมาวัดมันไม่มีโอกาสเด็ดดอกฟ้าไง แต่ถ้าเป็นหมาขี่เครื่องบินละก็ไม่แน่” ชายหนุ่มยักคิ้ว


“แล้วจะให้ช่วยยังไง” อาทิตย์ทัศน์ถามขึ้น


“ก็นายน่ะทั้งสุภาพ เรียบร้อย ท่าทางดูเป็นมิตร พวกสาว ๆ น่ะ ใคร ๆ ก็ชอบ” ณัฐนนท์กล่าวด้วยแววตาฉายความเจ้าเล่ห์ “นายช่วยไปขอเบอร์ตวงจากเพื่อนเขาให้หน่อยได้ไหม”


“จะบ้าเหรอ” อาทิตย์ทัศน์โวยวาย


“นะ ๆ ถือว่าช่วยเพื่อน”


“เชอะ! กับอีแค่ขอเบอร์ยังไม่กล้าเลย ถ้าอย่างั้นก็ล้มเลิกความคิดจะจีบพี่เขาเถอะ” จอมขวัญเอ่ยขึ้น


“อย่ายุ่งน่ายัยจอมยุ่ง”


“ก็ไม่อยากจะยุ่งหรอก แต่อยากจะเตือนไว้ว่าพี่ตวงน่ะเขามีแต่คนมาจีบ อกหักไปก็ตั้งหลายคนแล้ว พี่นนท์ก็ระวังไว้เถอะ อาจจะอกหักตั้งแต่ยังไม่รู้จักกันก็ได้” จอมขวัญหัวเราะ


“อ้าวทำไมพูดแบบนี้ล่ะ นี่เราเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า” ณัฐนนท์ขมวดคิ้ว


“ก็เป็นไง ขวัญถึงได้เตือน”


“ถ้าเป็นพี่น้องกัน จ้าไม่ช่วยพี่เธอก็ต้องช่วย”


“เอ๊า! ทำไมมาตกที่ขวัญล่ะ”


“ก็เธอน่ะมีเพื่อนอยู่ชมรมนาฏศิลป์ตั้งเยอะนี่นา ช่วยขอเบอร์ตวงให้พี่ทีนะ นะๆๆๆๆ”


“เฮ้อ...” จอมขวัญถอนหายใจพร้อมกับมองชายหนุ่มที่กำลังยิ้มให้อย่างอ่อนใจ....




....





“พี่จ้า” หญิงสาวที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานเอ่ยขึ้น


“ว่าไง”


“พี่จ้าว่าขวัญจะช่วยพี่นนท์ดีไหม”


“อืม..ก็แล้วแต่ขวัญสิ ถ้าขวัญอยากช่วยก็ช่วย แต่ถ้าไม่อยากช่วยก็พูดกับนนท์ตรง ๆ”


“แล้ว....” หญิงสาวกล่าวก็จะเงียบไป


“แล้วอะไรเหรอ”


“แล้วพี่จ้าล่ะ พี่จ้า.....” จอมขวัญอึกอัก “ขวัญหมายถึง ถ้าเกิดพี่นนท์เขาจีบพี่ตวงติดแล้วสองคนนั้นเขาเป็นแฟนกัน แล้วพี่จ้า....พี่จ้าจะทำยังไง”


“พี่ก็ต้องยินดีสิ เพราะว่านนท์เป็นเพื่อนพี่”


“อืม...” จอมขวัญพยักหน้าเข้าใจ... 







   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2013 02:13:21 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
จ้าแอบรักเพื่อนเหรอ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
แอบรักเพื่อนชัวร์เลย
กว่าจะรักกันนี่อีกนานเลย
ตังคงตั้งกระทู้อีกหลายกระทู้555

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
แอบรักเพื่อนหรอจ้า

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

เพิ่งได้อ่านไม่กี่ตอนแต่ก็รู้ได้เลยว่านี่แหละคือสิ่งที่รอคอยอยู่

อ่านเรื่องนี้แล้วอินสุดๆเหมือนดูซีรี่ย์ญี่ปุ่นเลยอ่ะ
เพราะมันได้ความรู้สึกเรื่อยๆแต่โรแมนติคมากกกกกกก
ตัวละครมีความผูกพันธ์กัน---กว่าจะได้เจอกัน---กว่าจะรักกันได้

ดีใจจริงๆที่ได้อ่านเรื่องดีๆเรื่องนี้
ถ้าไม่ท้อไปซะก่อนรบกวนช่วยลงจนจบนะจ๊ะ
ข้าพเจ้าขอสัญญาว่าจะตามเม้นท์ให้จนจบเรื่องเลย
รับรองด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญ-เนตรนารีและยุวกาชาด

+ 1 + เป็ดจ้า

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 6 ช่วงเวลาแห่งการจากลา





เสียงเพลงบรรเลงจากวงโยธวาทิตของโรงเรียนในทุก ๆ เย็น เตือนให้ทุกคนรู้ว่าการแข่งขันกีฬาสีกำลังจะมาถึง ลมหนาวในปลายเดือนธันวาคมทำให้หลาย ๆ คนต้องหยิบเสื้อกันหนาวที่ถูกพับเก็บไว้ในตู้ตั้งแต่เมื่อต้นฤดูร้อนปีก่อนออกมาสวม ที่กลางสนามเต็มไปด้วยนักกีฬาที่กำลังซ้อมทั้งฟุตบอล กรีฑา รวมถึงเหล่าหนุ่ม ๆ สาว ๆ ซึ่งรับหน้าที่เป็นคฑากรประจำสีของตัวเอง อาทิตย์ทัศน์มองดูภาพที่คุ้นตาผ่านเลนส์กล้องถ่ายรูปตัวโปรดจากบนอัฒจรรย์ข้างสนามพร้อมกับลั่นชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพเหตุการณ์เหล่านั้นเอาไว้ เพราะนี่เป็นปีสุดท้ายที่เขาจะได้สัมผัสถึงบรรยากาศสนุกสนานอบอุ่นแบบเพื่อนฝูงเช่นนี้


แม้จะเป็นปีสุดท้ายของการเรียนในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา แต่ชีวิตของอาทิตย์ทัศน์ก็ยังดำเนินไปเหมือนเดิม เขายังคงตั้งใจเรียนเสมอต้นเสมอปลายเพื่อจะได้ไม่ต้องโหมอ่านหนังสือสอบอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อใกล้สอบ เขายังคงร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กับทางโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอแม้ว่านี่จะเป็นช่วงเวลาของการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ตาม ซึ่งในปีนี้เขาได้รับมอบหมายให้ช่วยกันกับเพื่อน ๆ ทำหนังสือรุ่นเพื่อแจกให้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า



สำหรับอาทิตย์ทัศน์ถ้าจะมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมก็คงจะมีเพียงสิ่งเดียว....


ชายหนุ่มลดกล้องลงก่อนจะมองกระเป๋านักเรียนใบหนึ่งที่วางอยู่ข้าง ๆ ซึ่งเจ้าของกระเป๋ามาฝากมันไว้สักพักใหญ่ ๆ เมื่อช่วงเลิกเรียนก่อนจะวิ่งไปรวมกับเพื่อน ๆ ที่กลางสนามเพื่อซ้อมฟุตบอล ยิ่งแตดร่มลมตกคนในสนามยิ่งมีจำนวนมากขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงในชุดนักเรียนชายเสื้อหลุดลุ่ยที่ยืนเด่นอยู่กลางสนามโบกมือให้สาวน้อยที่นั่งรวมอยู่กับเพื่อน ๆ ของเธอที่ใต้ต้นหูกวางริมสนามฝั่งตรงข้ามกับอัฒจรรย์ก่อนจะหันมาประจัญหน้ากับผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้าม เขาขยับตัวหลอกจนผู้รักษาประตูพุ่งไปผิดทางก่อนจะเตะลูกฟุตเข้าประตูโดยไม่ต้องออกแรงมาก เพื่อน ๆ ในทีมต่างวิ่งกรูกันเข้ามาแสดงความยินดีพร้อมกับสัญญาณนกหวีดเป่าหมดเวลาการแข่งขัน


ชายหนุ่มที่เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อวิ่งกลับเข้ามาที่อัฒจรรย์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะรับขวดน้ำเย็นที่อาทิตย์ทัศน์ส่งให้ไปเปิดดื่มแก้กระหาย


“เบา ๆ สิ เดี๋ยวก็สำลักหรอก” เจ้าของขวดน้ำเอ่ยขึ้น


“ฮ่า.....ชื่นใจ” ณัฐนนท์กล่าวก่อนจะเทน้ำราดลงบนศีรษะของตัวเอง


“แล้วนี่จะกลับเลยหรือเปล่า” อาทิตย์ทัศน์ถามพร้อมกับยื่นผ้ขนหนูให้เขา


ณัฐนนท์รับผ้าขนหนูมาซับเหงื่อก่อนจะส่ายหน้ารัว “เดี๋ยวต้องไปส่งตวงที่บ้านน่ะ สัญญากับตวงไว้แล้ว”


คำตอบของคนร่างสูงตรงหน้าทำให้อาทิตย์ทัศน์ได้แต่พยักหน้ารับ


“ไปก่อนนะ” ชายหนุ่มกล่าวขณะตวัดผ้าขนหนูพาดบ่าและไม่ลืมคว้ากระเป๋านักเรียนเดินผิวปากอารมณ์ดีก่อนจะตัดข้ามสนามฟุตบอลไปที่ฝั่งตรงข้าม



วันต่อมา...


จอมขวัญมองดูสองหนุ่มสาวที่กำลังนั่งกินข้าวด้วยกันที่มุมหนึ่งในโรงอาหารก่อนจะหันกลับมาพูดกับคนที่กำลังนั่งกินข้าวเงียบ ๆ ตรงหน้าพร้อมกับวางช้อนและส้อมในมือด้วยความรู้สึกเซ็งในอารมณ์


“เชอะ! พอมีแฟนแล้วก็ลืมเพื่อน”


“ช่างเขาเถอะน่าขวัญ เขาจะยังไงมันก็เรื่องของเขา เรากินข้าวของเราดีกว่า” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นก่อนจะเหลือบมองสองคนนั้นเล็กน้อย


“โธ่...ถ้าขวัญรู้ว่าจะเป็นแบบนี้นะ ขวัญไม่ช่วยพี่นนท์หรอก”


“อย่าคิดอย่างนั้นสิ นนท์ก็ดีกับขวัญไม่ใช่เหรอ”


“มันก็ใช่แหละ แต่ขวัญไม่ชอบที่พี่นนท์เป็นแบบนี้นี่นา” จอมขวัญกล่าวก่อนจะหันไปมองสองคนนั้นอีกครั้ง “จีบดาวโรงเรียน ระวังเหอะจะอกหักเพราะดาวโรงเรียน”


“เอ้า! ยังจะไปแช่งเขาอีก” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วยิ้ม ๆ


“ขวัญไม่ได้แช่งสักหน่อย ขวัญน่ะเตือนพี่นนท์แล้วพี่นนท์ก็ไม่เชื่อ”


“เอาน่า เพื่อนมีความสุข เราเป็นเพื่อนเราก็ต้องยินดีสิ” อาทิตย์ทัศน์ยิ้ม


“พ่อพระไม่มีใครเกินพี่จ้าเลยจริง ๆ” สาวน้อยที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำหน้ามุ่ย


หลังจากผ่านเทศกาลปีใหม่และการสอบกลางภาคไม่นานการแข่งขันกีฬาสีภายในโรงเรียนก็เริ่มต้นขึ้น อาทิตย์ทัศน์ได้รับหน้าที่ให้เป็นเหยี่ยวคอยถ่ายภาพและรายงานสถานาการณ์การแข่งขันในแต่ละสนาม ภาพชายหนุ่มในชุดนักเรียนสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวมีฮูทสะพยกล้องดิจิตัลตัวใหญ่ที่วิ่งไปวิ่งมาทั่วโรงเรียนจึงเป็นภาพที่คุ้นตาทุกคน


“เฮ้ยจ้า ถ่ายรูปคู่ให้เรากับตวงหน่อยสิ” ชายหนุ่มในชุดนักเรียนร้องขึ้นก่อนจะคว้าแขนอาทิตย์ทัศน์เอาไว้ก่อนจะออกแรงรั้งให้เขาเดินตามเข้าไปบริเวณที่วงโยธวาทิตของโรงเรียนกำลังตั้งแถว บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองต่างก็มาถ่ายรูปบุตรหลานของตัวเองทำให้บริเวณนั้นแออัดไปด้วยผู้คน


“เดี๋ยวนนท์ให้จ้าถ่ายรูปคู่ให้นะ” ณัฐนนท์กล่าวกับคฑากรสาวสวยในชุดกระโปรงดูทะมัดทะแมงที่กำลังยืนยิ้มหวานให้เขา


“รบกวนหน่อยนะจ้า พอดีน้องชายตวงไม่รู้ไปไหนก็เลยไม่มีคนถ่ายรูปให้”


“ไม่ไรเป็นตวง เราเองก็กำลังอยากได้รูปไปทำข่าวพอดีเลย”


“จ้ะ” หญิงสาวยิ้มก่อนจะเดินมายืนข้าง ๆ ชายหนุ่มร่างสูง


อาทิตย์ทัศน์มองชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนเคียงข้างกันผ่านเลนส์กล้องก่อนจะนับ.... “หนึ่ง สอง สาม” พร้อมกับกดชัตเตอร์


“ขอดูรูปหน่อยสิ” ชายหนุ่มร่างสูงกล่าวก่อนจะคว้ากล้องจากมืออาทิตย์ทัศน์ไปยืนดูกันสองคน


“ขอบใจมากนะจ๊ะจ้า”


“ไม่เป็นไร” อาทิตย์ทัศน์ตอบยิ้ม ๆ พร้อมกับรับกล้องคืน จากนั้นเขาจึงเดินเบียดเสียดผู้คนบริเวณนั้นออกมา


“เฮ้ย เดี๋ยวสิ” นอกจากเสียงนั้นจะทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักแล้ว ไออุ่น ๆ ที่ข้อมือยังเป็นอีกแรงรั้งไม่ให้เขาไปไหน อาทิตย์ทัศน์หันกลับไปสบตาเจ้าของเสียงก่อนจะก้มลงมองมือหนาที่จับข้อมือของเขาเอาไว้


ณัฐนนท์ค่อย ๆ คลายมือออกก่อนจะกล่าว “ยังไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกันเลย”


“เอาสิ เดี๋ยวเราถ่ายให้” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพรางยกกล้องขึ้นแต่กลับถูกคนตัวสูงกว่าแย่งเอาไป


“น้องครับ ช่วยถ่ายรูปให้พี่หน่อย” เขาหันไปกล่าวกับรุ่นน้องที่เดินผ่านมาพอดี


“ได้ค่ะ” สาวน้อยในชุดพละตอบรับยิ้ม ๆ พร้อมกับรับกล้องจากมือของเขาก่อนจะถอยห่างออกไปเล็กน้อย


“ยืนใกล้ ๆ กันหน่อยค่ะพี่”


“เอ้า! มัวยืนอึ้งอะไรอยู่” ณัฐนนท์กล่าวก่อนจะยกแขนขึ้นพาดบนบ่าคนที่ตัวเตี้ยกว่าก่อนจะออกแรงรั้งคอเบา ๆ เพื่อให้เขามายืนใกล้ ๆ


“แล้วจะยืนตัวแข็งทื่อทำไมวะ เขินเหรอ” คนตัวสูงกระซิบก่อนกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นพร้อมกับหันไปยิ้มให้กล้อง


“ยิ้มนะคะพี่ ยิ้มมมมมมม” สาวน้อยร้องขึ้นก่อนจะนับและกดชัตเตอร์


“เรียบร้อยค่ะ”


“ขอบใจมากนะน้อง” ณัฐนนท์กล่าวก่อนจะรับกล้องคืนจากสาวน้อยรุ่นน้อง


“ใส่แผ่นมาให้บ้างนะ จะได้เอาไปอัดเก็บไว้” ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มก่อนจะส่งกล้องให้อาทิตย์ทัศน์  “ตลกดีนะ เรียนด้วยกันมาตั้งสามปี เพิ่งจะได้ถ่ายรูปคู่ด้วยกัน”


“เดี๋ยวอัดให้ก็ได้”


“อือ” ณัฐนนท์พยักหน้าก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกันตรงนั้น


หลังจากงานกีฬาสีผ่านไป หลายคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตากับการเตรียมตัวสอบปลายภาคและการเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ดังนั้นช่วงนี้ใครหลาย ๆ คนจึงรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดช่วงเวลาที่หลายคนต่างเฝ้ารอก็มาถึง ช่วงเวลาที่หลาย ๆ คนเรียกว่าช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง น้องม.ห้ากำลังจะกลายมาเป็นพี่ม.หก หลายคนสอบเข้าเรียนให้โรงเรียนใหม่ได้ หลายคนต้องย้ายห้องเรียนเมื่อมีการสอบเลื่อนชั้น ในขณะที่พี่ม.หกที่กำลังจะจบการศึกษาอีกหลายคนกำลังลุ้นกับผลการสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่สำหรับอาทิตย์ทัศน์ เขาให้คำนิยามสั้น ๆ ของช่วงเวลานี้ว่า ‘ช่วงเวลาแห่งการจากลา’


“พี่จ้าถ่ายรูปสวยจังเลย” สาวน้อยนางหนึ่งที่กำลังนั่งเปิดดูวารสารของโรงเรียนที่เพิ่งได้รับแจกกับพวกเพื่อน ๆ ของเธอเอ่ยขึ้นขณะที่ตากล้องประจำโรงเรียนกำลังเดินผ่านมายังโต๊ะหินอ่อนที่พวกเธอนั่ง


อาทิตย์ทัศน์ยิ้มให้สาว ๆ เล็กน้อยก่อนจะพยายามมองหาใครคนหนึ่ง ในที่สุดสายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่กำลังนังอยู่บนอัฒจรรย์ข้างสนามบาส


“แก...พี่จ้าน่ารักเนอะ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ยิ้มเมื่อกี้ทำฉันใจจะละลาย”


“น้อย ๆ หน่อยย่ะยัยฝน แกเห็นไหมว่าแฟนเขานั่งอยู่โน่น” เจ้าของวารสารกล่าวพร้อมกับบุ้ยปากไปที่อัฒจรรย์


“นี่แกอย่าบอกนะว่าพี่จ้ากับพี่นนท์.....” เจ้าของคำพูดยิ้มอย่างมีเลสนัย “เป็น......เป็นแฟนกัน”

“บ้าแก...พี่นนท์เขาเป็นแฟนกับพี่ตวงหกทับสองไม่ใช่เหรอ ฉันเห็นเขาเดินถือกระเป๋าให้กันด้วยนะ” อีกคนท้วง


“เป็นหรือไม่เป็นก็ช่างเขาสิ แต่งานนี้ฉันเชียร์พี่จ้าสุดตัว”









....






“อ่ะนี่”


ณัฐนนท์ก้มมองซองกระดาษสีน้ำตาลในมือของใครคนหนึ่งยื่นมาให้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือก่อนจะรับซองนั้นเอาไว้


“รูปของนายกับตวง” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ “ฝากให้ตวงด้วยนะ”


คนตัวสูงพยักหน้าก่อนจะเปิดซองออกดู “แล้วรูปคู่นายกับเราล่ะ”


“จะเอาไปทำไม”


“ก็บอกแล้วไงว่าจะอัดเก็บไว้ เผื่อไม่ได้เจอกันนาน ๆ จะได้เอาไว้ดู”


“หมายความว่ายังไง นายจะไปไหน”


“ก็พูดเผื่อไว้ เผื่อว่าต่อไปเราไม่ได้เรียนด้วยกันไง”


“อืม...” อาทิตย์ทัศน์พยักหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามเย็น....







“ตกลงว่าจะให้หรือไม่ให้” ณัฐนนท์เอ่ยขึ้นก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกกันที่หน้าอาคารเรียน


อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นสบตาเขาเล็กน้อยพร้อมเม้มริมฝีปากบางเข้าหากันอย่างตัดสินใจก่อนจะกล่าว “ขอโทษนะ เราเผลอลบทิ้งไปแล้ว”


“อ้าวเหรอ น่าเสียดายว่ะ อุตส่าห์ได้ถ่ายรูปด้วยกัน” ณัฐนนท์กล่าวอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก “แต่ก็ช่างมันเถอะ”


อาทิตย์ทัศน์พยักหน้า “นายรอตวงใช่ไหม”


“อืม”


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านก่อนก็แล้วกันนะ ไว้เจอกัน” อาทิตย์ทัศน์ยกมือขึ้นก่อนจะหันหลังให้และเดินออกจากประตูโรงเรียนไป


.....





แม้นาฬิกาจะบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน แต่ไฟที่ห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นสองของบ้านยังคงสว่าง ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเอื้อมหยิบหนังสือเรียนเล่มหนึ่งจากกระเป๋านักเรียนซึ่งวางพิงเอาไว้ที่ข้างโต๊ะเขียนหน้าสือขึ้นมาก่อนจะเปิดไปยังหน้าที่ถูกขั้นไว้ด้วยรูปถ่ายใบหนึ่ง นิ้วเรียวค่อย ๆ หยิบภาพนั้นขึ้นมาดูซึ่งมันเป็นภาพของชายหนุ่มสองคนในชุดนักเรียนที่กำลังยืนกอดคอกัน



....










“เป็นอะไรหรือเปล่าตวง” ชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเงยหน้าขึ้นถามเมื่อรู้สึกได้ว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่นิ่งเงียบตั้งแต่เดินมาถึง


“เปล่า” หญิงสาวตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเริ่มเปิดหนังสือขึ้นอ่านบ้าง


“เปล่าแล้วทำไมทำหน้าอย่างนี้ล่ะครับ” ณัฐนนท์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับยิ้มให้ “บอกนนท์ได้ไหม ใครทำอะไรตวง”


หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขาก่อนจะกล่าว “ไม่มีใครทำอะไรตวง ตแต่วงแค่ไม่สบายใจเรื่องที่คนในโรงเรียนเขาพูดกัน”


“เรื่องอะไรเหรอ”


“ระ...เรื่อง....” ปากบางเม้มเข้าหากันก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เรื่องนนท์กับจ้า”


ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนจะถามต่อ “เขาพูดว่ายังไงกันถึงทำให้ตวงไม่สบายใจ”


“ก็ใคร ๆ เขาพูดกันว่านนท์กับจ้าเป็น....”


“เป็นอะไรครับ”


“เป็นแฟนกัน”


สิ้นเสียงหญิงสาว ณัฐนนท์ถึงกับหัวเราะพรืด


“ตวงไม่ขำด้วยนะนนท์” ปากบางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังจนสีหน้าของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสลดลงเล็กน้อย


“ตวงก็รู้นี่นาว่านนท์กับจ้าเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ม.สี่”


“ตวงรู้ แต่คนอื่น ๆ เขาไม่รู้ด้วยนี่นา เวลาที่เขาเห็นนนท์อยู่กับจ้าอยู่ด้วยกัน เขาก็เอาไปพูดกันสนุกปาก”


“แล้วตวงจะให้นนท์ทำยังไงตวงถึงจะสบายใจล่ะครับ ให้เลิกคบกับจ้าอย่างนั้นน่ะเหรอ”


“ตวงไม่ได้จะให้นนท์เลิกคบกับจ้า ตวงแค่อยากให้นนท์อยู่ห่าง ๆ จ้าให้มากกว่านี้ ตวงไม่ชอบที่พวกน้อง ๆ ผู้หญิงมองนนท์กับจ้าแล้วก็พากันซุบซิบ นนท์เข้าใจที่ตวงพูดใช่ไหม”


เมื่อเห็นว่าตาคู่สวยยังคงจ้องมองอย่างรอคำตอบ ณัฐนนท์ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้า....





วันหนึ่งในช่วงวันหยุดยาว....




เสียงของรถจักรยานยนต์ที่ขับมาจอดอยู่หน้าบ้านฝั่งตรงข้ามทำให้หญิงสาวที่กำลังนั่งดูทีวีอย่างสบายใจรีบผุดลุกขึ้น เธอรีบวิ่งออกไปดูที่หน้าบ้านทันทีซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มบ้านงั่งตรงข้ามเปิดประตูรั้วออกมาหยิบบางอย่างที่บุรุษไปรษณีย์ใส่เอาไว้ในตู้รับจดหมาย


“ใช่ผลเอนทรานซ์หรือเปล่าพี่จ้า” หญิงสาวที่เดินข้ามถนนมาเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้าก่อนที่ทั้งคู่จะเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยกัน



“เปิดเลย ๆ ขวัญตื่นเต้นจะแย่แล้ว” หญิงสาวที่นั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟาข้าง ๆ แม่ของเขาเอ่ยขึ้น


“จะเปิดแล้วนะครับ” อาทิตย์ทัศน์สบตาผู้เป็นแม่ที่ออกอาการลุ้นไม่แพ้จอมขวัญ


“เป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนตรงหน้าเอาแต่นิ่งเงียบหลังจากดึงกระดาษใบเล็ก ๆ ออกมาจากซอง


“เป็นยังบ้างลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง


อาทิตย์ทัศน์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “คงต้องเสียเงินซื้อกล้องตัวใหม่”


“หมายความว่ายังไงพี่จ้า” จอมขวัญขมวดคิ้วก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “หมายความว่าติดอันดับหนึ่งเลยใช่ไหม”


ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเดินมานั่งลงและสวมกอดผู้เป็นแม่ อรนุชประคองใบหน้าของลูกชายขึ้นมาพรมจูบให้ชื่นใจ


“แม่ภูมิใจในตัวลูกนะจ้า พ่อเองก็คงภูมิใจและดีใจกับลูกในวันนี้”


อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นแม่พร้อมกับยิ้ม “จ้าสัญญาว่าจ้าจะตั้งใจเรียนนะแม่”





....



ภายในร้านไอศกรีมเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก


“เป็นอะไรขวัญ นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้” อาทิตย์ทัศน์กล่าวกับหญิงสาวที่นั่งใช้ช้อนเขี่ยไอศกรีมในแก้วทรงสูงซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


“ขวัญดีใจน่ะ” จอมขัวญยิ้มแก้มแทบปริ


“นี่ ตกลงว่าพี่สอบได้หรือขวัญสอบได้กันแน่เนี่ย”


“พี่จ้าสอบติดคณะที่เลือกอันดับหนึ่ง แต่ขวัญดีใจแล้วก็ภูมิใจที่มีพี่ชายเก่ง ๆ นี่นา” หญิงสาวยิ้มก่อนจะตักไอศกรีมเข้าปาก “อยากเห็นพี่จ้าตอนใส่ชุดนักศึกษาจัง คงจะหล่อน่าดู”


“น้อย ๆ หน่อยเราน่ะ เป็นสาวเป็นนางเที่ยวไปชมผู้ชายแบบนี้ได้ยังไงกัน” อาทิตย์ทัศน์กล่าวยิ้ม ๆ


“ขวัญชมแค่พี่จ้าคนเดียวนี่แหละค่ะ ก็พี่ชายขวัญหล่อจริง ๆ นี่”


สองหนุ่มสาวยิ้มให้กันก่อนจะลงมือจัดการกับไอศกรีมตรงหน้าเงียบ ๆ จนกระทั่งเสียงโมบายแขวนประตูดังขึ้นเมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามาในร้าน


“ไงยัยจอมยุ่ง” เสียงเรียกชื่อที่ฟังคุ้นหูดังขึ้นทำเอาคนที่กำลังมีความสุขกับการกินไอศกรีมต้องเสียจังหวะ


“ไอ้พี่นนท์บ้า เมื่อไรจะเลิกเรียกขวัญแบบนี้สักที”


“ทำไมล่ะ มันก็เหมาะกับเธอดีออก” ณัฐนนท์หัวเราะอารมณ์ดี


“นั่งก่อนสิ” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นเพื่อเป็นการห้ามทัพ


“ไม่ละ เรานัดกับตวงไว้ พอดีเห็นนายกับขวัญก็เลยแวะมาทักทายน่ะ มาฉลองผลสอบกันเหรอ”


อาทิตย์ทัศน์เงยหน้ามองคนตัวสูงพร้อมกับพยักหน้าเป็นคำตอบ “แล้วนายล่ะเป็นยังไงบ้าง”


“ก็ถ้านายสอบติดอันดับที่หนึ่ง นายก็ได้เจอเรากับตวงที่นั่นนะแหละ” ณัฐนนท์ยิ้ม เขาทำท่าจะวางมือบนบ่าของอาทิตย์ทัศน์แต่ในที่สุดก็ล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองเสียดื้อ ๆ


“แหม...ใจคอจะไม่นั่งคุยกับเพื่อนกับฝูงบ้างเหรอคะพี่นนท์” คำพูดของหญิงสาวทำให้ดวงตาสดใสของณัฐนนท์วูบหม่นลง เขายิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยคำลาในที่สุด...




...




“พี่จ้า” จอมขวัญเอื้อมมือแตะแผ่นหลังคนตรงหน้าเมื่อรู้สึกได้ว่าเขาเงียบไปตั้งแต่ออกจากร้านไอศกรีม


“ว่าไง” ชายหนุ่มเหลียวมามองคนข้างหลังเล็กน้อยก่อนจะหันกับไปมองทาง มือทั้งสองข้างยังคงกำแฮนด์จักรยานแน่น


“พี่นนท์เขาทำตัวเย็นชาแบบนี้นานหรือยัง”


คำถามของคนนั่งซ้อนท้ายจักรยานทำให้อาทิตย์ทัศน์ได้แต่นิ่งเงียบ


“ขวัญรู้สึกได้ว่าพี่สองคนมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม”


“คิดมากไปหรือเปล่า” ชายหนุ่มฝืนหัวเราะ


จอมขวัญขมวดคิ้ว เธอได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มพร้อมกับคิดอะไรเงียบ ๆ





เดือนสุดท้ายของการใช้ชีวิตในรั้วมัธยมกำลังจะหมดไป อาทิตย์ทัศน์มองที่นั่งข้าง ๆ ที่ปราศจากคนนั่ง หนังสือที่เคยถูกใส่เอาไว้ที่ใต้โต๊ะถูกขนออกไปจนหมด ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังนั่งหัวเราะอยู่กับเพื่อน ๆ ที่โต๊ะแถวหน้า เขาย้ายขึ้นไปนั่งตรงนั้นตั้งแต่หลังงานกีฬาสีและไม่เคยกลับมานั่งตรงนี้อีกเลย ไม่มีแม้แต่คำอธิบายหรือเหตุผลใด ๆ ...


เย็นวันนั้นขณะที่เพื่อน ๆ ซึ่งเป็นเวรทำความสำอาดกำลังช่วยกันทำความสะอาดห้องกันอย่างขะมักขะเม้น ณัฐนนท์ก็เดินเข้ามาในห้องก่อนจะตรงไปหยิบสมุดการบ้านที่ลืมไว้ใต้โต๊ะ เขายิ้มให้ชายหนุ่มที่กำลังถือถังขยะเดินสวนออกมาเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไร อาทิตย์ทัศน์มองคนตัวสูงที่เดินสวนกันเพียงเสี้ยวนาทีก่อนจะก้มมองขยะในถังและเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ





“เราทำอะไรให้นายไม่พอใจหรือเปล่า” เสียงหนึ่งดังขึ้นขณะที่ณัฐนนท์กำลังจะเดินพ้นตัวตึก เขาชะงักก่อนจะเหลียวมองคนที่ในมือถือถังขยะยืนพิงกำแพงอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย


“นายแปลก ๆ ไปนะ”


“เปล่านี่ เราก็เหมือนเดิม พรุ่งนี้ก็เหมือนเดิม นายน่ะคิดมากไปหรือเปล่า” คนร่างสูงยิ้มจาง ๆ


อาทิตย์ทัศน์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “นายตอบได้อยู่แล้วว่าเราคิดมากไปหรือว่ามันเป็นเรื่องจริง” เขาสบตาคนตรงหน้าก่อนจะฝืนยิ้ม “ถ้าวันนี้นายรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลง ก็อย่าพูดเลยว่าพรุ่งนี้อะไร ๆ จะเหมือนเดิม”



ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้พูดอะไรกันต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ


“นนท์ มัวทำอะไรอยู่น่ะ ตวงรอนานแล้วนะ”


อาทิตย์ทัศน์มองชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้ เขากำลังหันไปยิ้มกับคนที่เดินมาจากอีกทาง...


“ขอโทษด้วยที่ทำให้ต้องเสียเวลา” พูดจบอาทิตย์ทัศน์ก็เดินขึ้นบันไดไป



ในที่สุดวันสุดท้ายของชีวิตในรั้วมัธยมก็มาถึง วันนี้โรงเรียนจึงจัดกิจกรรมให้บรรดาน้อง ๆ ได้อำลารุ่นพี่ ณัฐนนท์กำลังง่วนอยู่กับการเขียนเสื้อให้เพื่อนจึงไม่ทันสังเกตหญิงสาวที่เดินมายืนใกล้ ๆ จากนั้นเธอก็ยื่นดอกกุหลาบสีแดงสดให้เขา


“อ่ะให้” จอมขวัญกล่าว


“ขอบใจนะ” ชายหนุ่มหันมายิ้มพร้อมกับรับดอกกุหลาบมาวางไว้บนโต๊ะ


“เขียนเสื้อให้พี่หน่อยสิ” เขากล่าวพร้อมกับส่งปากกาเคมีให้จอมขวัญ


หญิงสาวรับมันมาก่อนจะนั่งลงใกล้ ๆ “หันหลังมา”


“เขียนดี ๆ ล่ะ ไม่ต้องต้องใส่อารมณ์” ณัฐนนท์พูดกลั้วหัวเราะ


“พี่นนท์กวนประสาท” พูดจบจอมขวัญก็ใช้มือเล็ก ๆ ของเธอตีลงบนแผ่นหลังกว้างก่อนจะลงมือเขียนข้อความ


“ตั้งแต่บ่ายพี่ยังไม่เห็นจ้าเลย ขวัญเจอบ้างหรือเปล่า”


“เป็นเพื่อนสนิทกันภาษาอะไร ไม่รู้ว่าเพื่อนไปไหน”


ณัฐนนท์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “นั่นสินะ”





จอมขวัญจ้องมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยปากกาก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป....


“ขวัญถามจริง ๆ เถอะพี่นนท์ เป็นเพื่อนกันมาสามปีพี่นนท์ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าพี่จ้ารู้สึกยังไง”


คำถามจากปากของหญิงสาวทำเอาคนถูกถามรู้สึกใจหายแปลก ๆ “ขวัญหมายความว่ายังไง จ้ารู้สึกอะไร”


“หึ...แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกถ้าพี่นนท์จะไม่รู้ เพราะพี่จ้าพยายามมากที่จะรักษาระดับของมันเอาไว้ไม่ให้เกินกว่าสิ่งที่มันควรจะเป็น” หญิงสาวกล่าวก่อนจะวางปากกาลง “เขียนเสร็จแล้ว”


“อ้าว ขวัญกลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อนสิ” ณัฐนนท์ขมวดคิ้วมองตามหญิงสาวที่เดินออกจากห้องไป...





...



อาทิตย์ทัศน์นั่งลงที่อัฒจรรย์ข้างสนามบาสพร้อมกับวางดอกกุหลาบสีแดงกำโตที่ได้รับมาจากรุ่นน้องลงข้างตัวก่อนจะผ่อนลมหายใจยาว รอบ ๆ สนามตอนนี้สว่างไสวไปด้วยแสงไฟสีนวล ภายในโรงเรียนแทบจะไม่มีนักเรียนเหลืออยู่แล้วเพราะเป็นวันศุกร์ ตาคมมองไปรอบ ๆ บริเวณเหมือนจะพยายามจะจดจำรายละเอียดของสิ่งที่เห็นเอาไว้ให้มากที่สุดนั่นคงเป็นเพราะเวลาที่จะได้อยู่ในโรงเรียนเหลือน้อยเต็มที ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไรและถึงแม้จะได้กลับมา อะไร ๆ ก็คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่มีเสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่เคยนั่งข้าง ๆ กัน....


“มานั่งอยู่นี่เอง” ชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังก้าวขึ้นมาบนอัฒจรรย์พร้อมดอกกุหาบกำโตในมือเอ่ยขึ้น


“ค่ำแล้วยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”


“ยัง นายยังไม่ได้เขียนเสื้อให้เราเลย” ณัฐนนท์กล่าวพร้อมกับยื่นปากกาให้


อาทิตย์ทัศน์ก้มมองปากกาในมือหนาก่อนจะรับมันมา “หันหลังสิ”


“เขียนข้างหน้านี่แหละ ข้างหลังคนอื่นเขียนเต็มไปหมดแล้ว”


อาทิตย์ทัศน์สบตาเขาเล็กน้อยก่อนจะมองหาพื้นที่สำหรับเขียนข้อความ...


ชายหนุ่มจรดปากกาลงบนหน้าอกเสื้อของคนตรงหน้าซึ่งนั่งอยู่ห่างกันแค่เข่าชนกันเท่านั้น ในที่สุดอาทิตย์ทัศน์ก็เริ่มเขียนข้อความบางอย่างลงไปบนเสื้อในขณะที่ณัฐนนท์เองก็ก้มลงมองสำรวจใบหน้าของเขาให้ชัด ๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ ๆ กันขนาดนี้ ใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของคนตรงหน้า....


“เสร็จแล้ว” อาทิตย์ยิ้มกับตัวเอง ก่อนที่จะชักมือออกเขาก็รู้สึกได้ถึงไออุ่น ๆ ที่ข้อมือ เป็นณัฐนนท์ที่จับข้อมือของเขาเอาไว้


“นายรู้สึกยังไงกับเรา”


เพียงคำถามสั้น ๆ ที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาของคนตรงหน้าแต่กลับรู้สึกเหมือนโดนกระแทกเข้าอย่างแรง อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวสูง ไม่คิดว่าเขาจะจู่โจมถามคำถามที่ทำให้ใจเต้นรัวราวกับกลองรบเช่นนี้


“นะ นายว่าอะไรนะ”


“เราถามว่านายรู้สึกยังไงกับเรา” ณัฐนนท์กล่าวพร้อมกับบีบข้อมือของคนตรงหน้าเบา ๆ


อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วก่อนจะแสร้งมองไปทางอื่น


“นายก็เป็นเพื่อนที่ดี”


“จ้า เรารู้ว่านายรู้ว่าคำถามของเรามันหมายความว่ายังไง” ณัฐนนท์กล่าวพร้อมกับรั้งข้อมือชายหนุ่มเพื่อดึงร่างเขาเข้ามาใกล้ ๆ


“เรารู้ว่านายหมายความว่ายังไง และนี่ก็คือคำตอบของเรา” อาทิตย์ทัศน์กล่าวทั้งที่พยายามขืนร่างเอาไว้


“ถ้าอย่างนั้น นายหันหน้ามาสบตาเรา แล้วพูดกับเราสิ” ณัฐนนท์จ้องมองเสี้ยวหน้าเกลี้ยงเกลาตาเขม็ง “ว่านายรู้สึกยังไงกับเรากันแน่”



“ช่วยพูดให้เราได้แน่ใจหน่อยได้ไหม” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง



ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าเม้มปากแน่นก่อนจะค่อย ๆ หันมาประจัญหน้าสู้สายตาเขาพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายมากไปกว่า...เรื่องที่ว่านายเป็นเพื่อนที่ดี”



ณัฐนนท์ค่อย ๆ คลายมือที่กำข้อมือของอาทิตย์ทัศน์ออก “เข้าใจแล้ว” เขากล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จากนั้นก็เดินจากไปเงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร...
     





ก๊อกน้ำที่อ่างล้างหน้าซึ่งอยู่ด้านหลังอาคารเรียนถูกหมนุจนสุด น้ำจากก๊อกที่ปะทะฝ่ามือหนาดังซ่า ละอองน้ำกระจายไปทั่วก่อนที่น้ำในมือจะถูกวักขึ้นสัมผัสกับผิวหน้าอย่างต่อเนื่อง เจ้าของร่างสูงเงยหน้ามองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกก่อนจะเลื่อนสายตาลงไปที่ข้อความสั้น ๆ ที่เพิ่งถูกเขียนขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา...




‘ดีใจที่มีนายเป็นเพื่อน โชคดีนะ ลาก่อน’

 






...





ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามนะคะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียนแนวนี้และที่นี่

เนื้อเรื่องคงไม่ได้เข้มข้นหรือหวือหวานัก

ตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าแนวนี้จะมีใครอ่านหรือเปล่า

แต่พออ่านคอมเม้นท์ของคุณคนอ่านแล้วค่อยใจชื้นค่ะ

ยังไงก็ต้องขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2013 02:13:52 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
+1 ให้จ้าที่รัก

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับจ้าจะมาถามย้ำอีกทำไมจ้าก็เสียใจสิแต่เอาเถอะมันเป็นอดีตไปแล้ว ต่อจากนี้และอนาคตคงเป็นตฤณกร อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

หลงรักเรื่องนี้จนหมดหัวใจ
ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

นนท์กับจอมยุ่งกัดกันซะขนาดนี้
ไม่ใช่สุดท้ายกลายมาเป็นแฟนกันนะ

ตัวเองก็มีแฟนแล้วทำไมถึงมาพูดแบบนี้ล่ะ
หรือว่าที่จริงแล้วก็แอบคิดอะไรเกินเพื่อนเหมือนกัน

+ เป็ดจ้า---ยังบวกหนึ่งให้ไม่ได้เพราะยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเดี๋ยวมาบวกให้อีกรอบนะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
รอติดตามตอนหน้านะจ๊ะ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
ไม่สมหวังกับนนท์เพื่อมาเจอตังไงงงงงงง

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 7 การเริ่มต้น






อาทิตย์ทัศน์เก็บกรอบรูปใส่ลงในลิ้นชักเหมือนเดิม กล่องใส่โปสการ์ดและรูปถ่ายจำนวนมากพวกนั้นทำให้เขาต้องเดินไปหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุคมาวางบนโต๊ะก่อนจะจัดการเปิดเครื่อง...


ไม่ต้องเสียเวลาค้นหากระทู้ที่จอมขวัญพูดถึง เพราะแม้มันจะถูกตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน แต่เพราะมีคนเข้าไปตอบมากมันจึงกลายเป็นกระทู้ที่ติดอันดับกระทู้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของเว็บบอร์ด อาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ ไล่อ่านข้อความลงมาเรื่อย ๆ เขาพบว่าจากข้อความคอมเม้นท์ที่เขียนแซวกันในช่วงแรก ๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นการพูดคุยกันเรื่องการทำงาน การท่องเที่ยวและการใช้ชีวิตไปในที่สุด น่าแปลกที่อยู่ดี ๆ กระทู้นี้ก็ทำให้คนที่ไม่รู้จักกันได้รู้จักกัน นัดสังสรรค์กันซึ่งเห็นได้จากภาพที่มีการโพสต์เล่าว่าใครไปรวมกลุ่มทำอะไรกันที่ไหนบ้าง คงจะมีก็เพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้แสดงตัวให้ใคร ๆ ได้รู้จัก ตาคมยังคงไล่อ่านข้อความมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงข้อความสุดท้ายที่ถูกโพสต์เอาไว้เมื่อวันก่อน....


‘ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก’ เขียนโดย ดีไซเนอร์สุดหล่อ


อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดก่อนจะค่อย ๆ สัมผัสปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ด





‘ขอบคุณมาก’









“เฮ้อ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”


เสียงถอนหายใจยาวทำให้คนที่กำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ภายในห้องประชุมต้องเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่นั่งเท้าคางจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคเป็นตาเดียว


“อะ ไอ้ตัง” หนุ่มร่างท้วมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สะกิดพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ให้เจ้าของสายตาพิฆาตที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ


ตฤณกรสะดุ้งโหยง นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้นั่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเองแต่เขากำลังนั่งอยู่ในห้องประชุม ชายหนุ่มรีบคลิกปิดหน้าจอที่เปิดอ่านข้อความอยู่เมื่อสักครู่ก่อนจะเอ่ยขอโทษทุกคน


“เป็นอะไรของคุณคุณตฤณกร งานที่ผมให้มันยากไปเหรอ กับไอ้การเป็นพี่เลี้ยงนักศึกษาฝึกงานเนี่ยถึงกับต้องถอนหายใจเชียวเหรอ” หนุ่มใหญ่เครางามที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกล่าว


“ปละ...เปล่าครับบอส” ชายหนุ่มยิ้มแหย ๆ


“เปล่าก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นเตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน ผมคิดว่าอีกไม่น่าจะเกินสองเดือนทางมหาวิทยาลัยน่าจะส่งนักศึกษามา”


“ครับ”






...


“เป็นอะไรของแกวะไอ้ตัง อยู่ ๆ ก็ถอนหายใจเสียงดังกลางห้องประชุม นี่ดีนะบอสไม่ด่าให้” พัฒน์บ่นขณะที่ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องประชุม


“เซ็งคน” ตฤณกรกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นขยับแว่นสายตาก่อนจะเดินลิ่วไปยังห้องทำงานของตัวเองทิ้งให้คนถามยืนเกาหัวแกรก ๆ อยู่อย่างนั้น







‘นี่ผมรอคุณตั้งนานนะ ช่วยพิมพ์ตอบผมด้วยประโยคยาว ๆ กว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไงครับ’




“อาจารย์จ้า...” เสียงของคนที่เพิ่งเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องทำให้คิ้วหนาที่ขมวดเข้าหากันของอาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ คลายออก เขาละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานก่อนจะเงยหน้าพร้อมกับรีบลุกขึ้นยกมือไหว้คนที่เดินมายืนที่หน้าโต๊ะทำงาน


“ยุ่งอยู่หรือเปล่า” ชายหนุ่มที่อายุน่าจะมากกว่าเขาไม่ถึงรอบกล่าว เขาคือ ดร.สามมิติ ซึ่งเป็นหัวหน้าภาควิชาการถ่ายภาพที่อาทิตย์ทัศน์สังกัดอยู่


“ไม่ครับอาจารย์ เชิญอาจารย์นั่งก่อนครับ”


“เป็นยังไงบ้าง กลับมาทำงานวันแรก”


“ก็ดีครับ เด็ก ๆ ปีสี่ที่ผมเคยสอนเขาเมื่อตอนเขาอยู่ปีสองก็ยังพอจะจำกันได้ครับ ส่วนปีสามก็พอจะคุ้น ๆ กันอยู่บ้าง”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นดีเลย ผมจะรบกวนอาจารย์ให้ช่วยเป็นอาจารย์นิเทศเจ้าเด็ก ๆ ปีสามที่กำลังจะขึ้นปีสี่ที่จะต้องออกไปฝึกงานในเทอมหน้าหน่อย อาจารย์นราวิชคนเดียวท่าทางจะไม่ไหวเพราะปีนี้นักศึกษาค่อนข้างมากงานสอนในภาควิชาก็ค่อนข้างเยอะ”


“ได้เลยครับอาจารย์ ยังไงมันก็คือหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” อาทิตย์ทัศน์กล่าว


“เดี๋ยวผมจะให้เจ้าหน้าที่เขาเอารายชื่อนักศึกษากับบริษัทมาให้ก็แล้วกันนะ” ผู้เป็นหัวหน้าภาควิชายิ้มก่อนจะขอตัว


หลังจาก ดร.สามมิติเดินออกจากห้องไปได้สักพัก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็เปิดประตูเข้ามา “เฮ้ยจ้า อาจารย์ทรีดีแกมาทำไมวะ” เขากล่าวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม


อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วก่อนจะถาม “ทรีดีอะไรพี่”


“เอ้า! ก็อาจารย์สามมิติไง แกมาทำไม”


“อ๋อ อาจารย์เขามาบอกเรื่องที่จะให้ผมช่วยพี่นิเทศนักศึกษานั่นแหละ”


ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่พยักหน้า “เอ้อ แล้วนี่กินข้าวกลางวันหรือยัง ไปกินข้าวกันไหม”


อาทิตย์ทัศน์ดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะตอบรับคำชวนของเขา “อย่าไปกินไกลนะพี่ เดี๋ยวบ่ายผมมีสอน”


“เออ ร้านเดิมนั่นแหละ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้ม


‘ร้านเดิม’ ที่ว่าก็คือร้านอาหารบ้าน ๆ ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเล็ก ๆ ด้านหลังมหาวิทยาลัยที่พวกเขามักจะแวะเวียนกันไปเสมอ ๆ เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ที่นี่ ส่วนชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคืออาจารย์นราวิช หรือ ‘พี่วิช’ อดีตพี่ว้ากของภาควิชาถ่ายภาพนั่นเอง แต่เพราะร่างกายที่สูงใหญ่ใคร ๆ จึงมักจะเรียกเขาว่า ‘พี่ใหญ่’


ทุกครั้งที่มีโอกาสได้กลับมาที่ร้านนี้ หลาย ๆ คนก็อดไม่ได้ที่จะคุยกันถึงความหลังสมัยเรียน ชายหนุ่มสองคนนั่งกินอาหารไปพร้อมกับพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมาในอดีต ทั้งเรื่องรับน้องหรือการทำงานส่งอาจารย์เมื่อเสร็จกิจกรรมต่าง ๆ ก็มักจะมุ่งหน้ามาที่ร้านนี้ด้วยความหิวโซ


“เจอยัยอ้อนบ้างหรือเปล่า” นราวิชเอ่ยขึ้น


“ตั้งแต่กลับมายังไม่เจอเลยพี่ ได้ข่าวว่าช่วงนี้พี่อ้อนเดินทางบ่อย”


“อือใช่ มันย้ายไปทำนิตยสารท่องเที่ยวก็เลยต้องออกต่างจังหวัดตลอด”


“แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะพี่ ได้เที่ยวไปในตัว ว่าแต่พี่เถอะช่วงนี้ไม่ตั้งแก๊งค์เหรอ”


“ตั้งบ้าอะไรกัน แค่สอนนักศึกษาก็แทบจะไม่มีเวลาพักแล้ว”


“แล้วนึกยังไงมาเป็นอาจารย์ เป็นช่างภาพอิสระดี ๆ ไม่ชอบ”


“เพราะแกนั่นแหละไอ้จ้า แกไปเรียนต่อทางนี้ก็เลยขาดอาจารย์ อาจารย์ทรีดีแกก็เลยไปอันเชิญ เอ๊ย!ชวนพี่มา” นราวิชกล่าวก่อนจะวางช้อนลง “แล้วก็ว่าจะเก็บเงินแต่งงานด้วยว่ะ อยากให้พ่อตาเห็นว่ามีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง”


ชายหนุ่มเจ้าของพวงแก้มอิ่มเอิบยิ้มล้อ ๆ


“เฮ้ย ทำไมทำหน้าแบบนี้วะ นี่พูดจริงนะเนี่ย”


“ผมก็ยังไม่ได้ว่าอะไรพี่สักคำ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับกลั้นหัวเราะ “ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากพี่”


“เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนกันได้” หนุ่มร่างใหญ่หัวเราะอารมณ์ดี


“แก่แล้วว่างั้นเถอะ”


“ไอ้จ้า กวงติงว่ะ อย่าพูดเรื่องอายุได้ไหม อายุมันก็เป็นเพียงแค่ตัวเลข”


“ที่เพิ่มขึ้นทุกปี”


“เออใช่ ถุ้ย! ฮึ่ย...ไอ้นี่...”


สองหนุ่มพากันหัวเราะก่อนจะลงมือทานอาหารต่อ


“ว่าแต่แกเถอะ ตั้งแต่กลับมานี่ไปรายงานตัวต่อแฟนคลับหรือยัง ชอบทำตัวเป็นประเด็นให้แฟนคลับเป็นห่วงอยู่เรื่อย”


คำถามแทงใจทำเอาคนที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแทบสำลัก


“ผมก็อยู่ของผมเฉย ๆ พวกพี่นั่นแหละสร้างกระแส”


“ก็เพราะเฉยจนเป็นก้อนหินแบบนี้ไง คนในห้องเขาถึงพากันแกล้ง นี่ขนาดแกน่ะนาน ๆ มาทีนะ แฟนคลับยังเยอะขนาดนี้” นราวิชหัวเราะ


“แฟนคลับที่ไหนกัน”


“ก็เพราะ username ดีไซเนอร์สุดหล่อนั่นไง ถึงได้รู้ว่าแกน่ะแฟนคลับเยอะขนาดนี้ อิจฉาคนหล่อวุ้ย เรามันปากหมาแถมหน้าตาไม่ดี” นราวิชพูดกลั้วหัวเราะ


อาทิตย์ทัศน์กลับมาที่คณะอีกครั้งในเวลาเกือบบ่ายโมงก่อนจะตรงไปยังห้องสอน ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้อง นักศึกษาชั้นปีที่สามที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วต่างมองมาที่เขาเป็นตาเดียวก่อนจะได้ยินเสียงงึมงำ ๆ ตามมา


“นักศึกษาทำความเคารพ” หนุ่มน้อยนายหนึ่งร้องขึ้นจากหลังห้อง จากนั้นนักศึกษาคนอื่น ๆ ก็ยกมือไหว้และกล่าวทักทายอาจารย์ของพวกเขาพร้อมกัน


อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นนักศึกษาชายคนหนึ่งยังคงฟุบหน้าลงกับพื้นโต๊ะเล็คเชอร์


“เป็นอะไรหรือเปล่าครับนักศึกษา”


เพื่อน ๆ ในห้องต่างพากันหันไปมองก่อนที่จะมีมือใครคนหนึ่งตบลงกลางท้ายทอยทุย ๆ ที่ยังคงสงบนิ่ง


“โอ้ย! เจ็บนะวุ้ย” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันซ้ายหันขวาหาตัวคนทำ


“อาจารย์ถามแกน่ะ”


ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาสบตาผู้เป็นอาจารย์ก่อนจะตอบแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก “ผมไม่กล้าสบตาอาจารย์ครับ ใจมันจะละลาย”


‘เวร’ อาทิตย์ทัศน์คิดในใจ เขายังคงวางหน้านิ่งท่ามกลางเสียงโห่ฮาของบรรดานักศึกษาในห้อง


“ขอบคุณครับ ถือเป็นฟีดแบ็คที่ดีสำหรับเตือนเพื่อนว่าไม่ควรเล่นมุขนี้อีก” ชายหนุ่มกล่าวเรียบ ๆ เมื่อเสียงโห่ฮาเงียบลง


ทันทีที่อาจารย์หนุ่มหล่อพูดจบเสียงของใครคนหนึ่งก็พึมพำขึ้น “อู้ยยยยยโดน...”


อาทิตย์ทัศน์ยิ้มก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะซึ่งตั้งไว้ตรงกลางที่หน้าห้อง “อาจจะกำลังมีหลาย ๆ คนสงสัยว่าทำไมวันนี้ถึงเป็นผมที่มาสอน” ชายหนุ่มขยับตัวนั่งสบาย ๆ ก่อนจะวางประสานกันไว้บนโต๊ะ “วันนี้อาจารย์จิตรีติดภารกิจก็เลยให้ผมมาพบพวกคุณแทน คราวก่อนเห็นอาจารย์บอกว่าอาจารย์สั่งงานเอาไว้ให้ถ่ายตามหัวข้อใช่ไหมครับ”



บรรดานักศึกษาต่างก็พากันพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนที่จะหยิบสมุดวาดเขียนที่ข้างในแปะภาพที่ถ่ายตามหัวข้อต่าง ๆ ที่อาจารย์กำหนดขึ้นมาวางตรงหน้า


“ลองเอามาดูกันหน่อยซิ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนที่สายตาคมจะพุ่งไปยังเป้าหมาย “เริ่มจากคุณใจละลายก่อนเลย ลองเอางานออกมาโชว์เพื่อน ๆ หน่อยสิครับ”


สิ้นเสียงของอาจารย์บรรดานักศึกษาต่างก็พากันหัวเราะ ก่อนที่ชายหนุ่มผู้สร้างวีรกรรมที่นั่งอยู่กลางห้องจะลุกขึ้นและเดินออกมาหน้าห้องพร้อมกับสมุดภาพของเขา


ชายหนุ่มยิ้มให้อาทิตย์ทัศน์พร้อมกับจัดระเบียบร่างกายตัวเองก่อนจะเริ่มแนะนำตัว “สวัสดีครับ ผมนายภาคภูมิ ภควัต วันนี้จะมาแสดงผลงานที่ได้ไปถ่ายมาให้เพื่อน ๆ ดูนะครับ” เขากล่าวพร้อมกับเริ่มเปิดสมุดภาพ


“อันนี้อาจารย์ให้ถ่ายภาพบุคคลครับ” ชายหนุ่มอธิบายพร้อมกับแสดงภาพบุคคลสองภาพที่มีระยะชัดต่างกันให้เพื่อน ๆ ดู


“ภาพแรกเป็นแบบชัดลึกครับ” เขากล่าวต่อก่อนจะชี้ไปที่ภาพของกลุ่มนักฟุตบอลที่กำลังยืนอยู่กลางสนามซึ่งเป็นภาพที่มีความคมชัดและจัดองค์ประกอบได้ดีทีเดียว


ชายหนุ่มหันไปสบตาผู้เป็นอาจารย์อย่างขอความเห็นในขณะที่อาทิตย์ทัศน์นั้นพยักหน้าอย่างพอใจ “จัดองค์ประกอบของภาพได้ดีครับ”


“ส่วนภาพนี้เป็นแบบชัดตื้นครับ” ภาคภูมิชี้ไปที่รูปภาพข้าง ๆ กันซึ่งเป็นภาพของหญิงสาวสามคนที่รั่งเรียงลดหลั่นกันตามแนวยาวของม้านั่ง


“ตั้งใจให้ตรงไหนชัดตรงไหนเบลอ” อาทิตย์ทัศน์ถามพร้อมกับหรี่ตามองภาพดังกล่าว


“ตั้งใจจะให้คนที่นั่งข้างหน้าสุดชัดครับ”


“แต่ก็ไม่ได้อย่างที่ตั้งใจจะให้เป็นใช่ไหม”


“ครับ”


“รู้ไหมว่าอะไรคือปัญหา” อาทิตย์ทัศน์ถาม เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้คำตอบเขาจึงหันไปถามนักศึกษาคนอื่น ๆ ในห้อง


“เพราะไม่ได้โฟกัสในตำแหน่งที่ต้องการจะเน้นจริง ๆ หรือเปล่าครับอาจารย์” คนหนึ่งยกมือพร้อมกับตอบคำถาม


“นั่นก็เป็นประเด็นหนึ่ง ส่วนอีกประเด็นก็คือ นักศึกษาจะเห็นว่าผู้หญิงสามคนในภาพเขานั่งใกล้กันทำให้ระดับของความลึกไม่ต่างกันนักภาพมันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ ถ้าจะแก้ไขก็อาจจะแก้โดยการกำหนดให้วัตถุที่ต้องการเน้นกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพ” อาทิตย์ทัศน์ยิ้ม “ที่สำคัญเวลาเจอสาว ๆ อย่ามือไม้สั่น ไม่งั้นภาพมันก็จะเบลอแบบนี้”


“ถึงไอ้ภูมิมันจะถ่ายภาพเบลอ แต่มันก็เบลอว่ารักแถบนะครับอาจารย์” เสียงของคนหนึ่งที่โพร่งขึ้นทำเอาทั้งนักศึกษาและทั้งอาจารย์ต่างก็พากันหัวเราะ นี่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการทำงานวันแรกที่ดีทีเดียวสำหรับผู้ที่เข้ามารับหน้าที่เป็นอาจารย์เต็มตัวอย่างอาทิตย์ทัศน์....



“อาจารย์ พวกผมจะได้เรียนกับอาจารย์บ้างไหมครับ” ชายหนุ่มผู้ก่อวีรกรรมที่เดินหอบสมุดภาพของเพื่อน ๆ มาส่งที่ห้องพักอาจารย์เอ่ยขึ้นกับอาทิตย์ทัศน์


“ก็ต้องคอยดูว่าภาควิชาจะจัดให้ผมสอนพวกคุณหรือเปล่าหลังจากฝึกงานเสร็จ”


“ว้า...นึกว่าจะได้เรียนกับอาจารย์เสียอีก”


“ทำไม จะหามุขอะไรมาเล่นอีก” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับเปิดประตูให้


“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มในชุดนักศึกษากล่าวก่อนจะเดินหอบสมุดภาพผ่านเขาไป


อาทิตย์ทัศน์มองชายหนุ่มที่เดินหอบสมุดภาพไปวางที่โต๊ะทำงานด้านในสุดของห้องซึ่งเป็นโต๊ะของอาจารย์จิตรีเป็นที่เรียบร้อย เขาเดินกลับออกมาอีกครั้งก่อนจะกล่าว “ผมว่าอาจารย์สอนสนุกดี”


“ไม่ได้เรียนด้วยกันแต่ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาถามได้นี่” อาทิตย์ทัศน์กล่าวด้วยรอยยิ้ม....


เพียงไม่นานความน่ารักของอาจารย์อาทิตย์ทัศน์แห่งภาควิชาการถ่ายภาพก็ถูกบรรดานักศึกษากล่าวถึงกันไปทั่วคณะ




ภารกิจด้านการสอนรวมถึงการช่วยงานด้านเอกสารภายในภาควิชาทำให้อาจารย์บรรจุใหม่อย่างอาทิตย์ทัศน์รู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเขาเองเริ่มไม่แน่ใจว่าในหนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมงจริงหรือเปล่า มีบางอย่างที่ลืมไปเสียสนิท...



‘ผมมีบัตรทานเค้กฟรีมาแจกครับ’ เขียนโดย ดีไซเนอร์สุดหล่อ



“พี่จ้าคะ พี่จ้าเห็นกระทู้แจกบัตรทานเค้กของคุณดีไซเนอร์สุดหล่อหรือเปล่าคะ” จอมขวัญเอ่ยขึ้นขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านด้วยกัน


อาทิตย์ทัศน์กำลังนั่งมองทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยาระหว่างที่รถไฟฟ้ากำลังข้ามจากสถานีสะพานตากสินไปยังสถานีวงเวียนใหญ่ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของทั้งคู่ ชายหนุ่มหันกลับมามองหญิงสาวที่กำลังใช้ปลายนิ้วเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือก่อนจะปฏิเสธ


“ขวัญอยากได้จัง มันเป็นร้านเปิดใหม่ เพื่อนขวัญบอกว่าเค้กอร่อยแต่ก็แพงมากเหมือนกัน”


“แล้วยังไง”


“พี่จ้าขอบัตรให้ขวัญหน่อยสิคะ ในกระทู้เขาบอกว่าให้แจ้งชื่อไปแล้วไปรับบัตรที่ร้านได้เลย เขาแจกทั้งหมด 20 ใบ ตอนนี้เริ่มมีคนแจ้งชื่อเข้าไปแล้วด้วย” จอมขวัญกล่าวพร้อมกับเกาะแขนพี่ชายอย่างอ้อนวอน


อาทิตย์ทัศน์หรี่ตามองน้องสาวช่างประจบก่อนจะกล่าว “ถ้าขวัญอยากทานเดี๋ยวพี่พาไปก็ได้ ไม่เห็นต้องไปรบกวนเขาเลย”


“รบกวนที่ไหนกันคะ คุณดีไซเนอร์สุดหล่อเขาบอกว่ามันเป็นร้านของลูกค้าของเขา ตอนนี้กำลังจัดโปรโมชันอยู่” จอมขวัญกล่าวพร้อมกับเริ่มเขย่าแขนชายหนุ่ม “นะ นะคะพี่จ้า ขอบัตรให้ขวัญหน่อยนะ”


อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วก่อนจะพยักหน้าส่ง ๆ





...


เกือบห้าทุ่มแล้วแต่ไฟในห้องยังคงเปิดอยู่ อาทิตย์ทัศน์ยังคงง่วนกับอ่านหนังสือเพื่อเตรียมการสอนในวันรุ่งขึ้น ตัวอย่างรูปภาพถูกจัดหมวดหมู่เอาไว้เป็นโฟลเดอร์พร้อมที่จะนำออกมาใช้ได้ตลอดเวลา เอกสารประกอบการสอนถูกปริ๊นท์ออกมาเป็นชุดสำหรับทำการสำเนาต่อไป ชายหนุ่มขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อยเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเมื่อตอนเกือบเที่ยงคืน


แววตาวิงวอนของน้องสาวบ้านตรงข้ามแว้บขึ้นมาในความคิด เขาคลิกเม้าส์เปิดเว็บไซต์ที่ไม่ได้เข้าไปเสียนานจนแทบจะลืมมันไปแล้วขึ้นมาแล้วก็พบว่ามีการแจ้งเตือนการได้รับข้อความส่วนตัว...


‘คุณ ผมมีบัตรทานเค้กอยากจะให้คุณละ คุณชวนเพื่อนไปนะ ของเขาอร่อยจริง ๆ ผมลองมาแล้ว....’


ชายหนุ่มกวาดสายตาอ่านข้อความและกติกาการรับบัตรโดยละเอียดก่อนจะเขียนบางอย่างลงในกระดาษโน้ต





เช้าวันต่อมา...


“เอ้านี่...” อาทิตย์ทัศน์ยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้จอมขวัญ



หญิงสาวรับมันมาดูอย่างพิจารณา ในกระดาษโน้ตมีตัวเลขสี่หลักและวันที่เขียนด้วยลายมือที่เธอคุ้นตา


“รหัสอะไรคะพี่จ้า”


“ก็รหัสบัตรร้านเค้กไง ขวัญไปร้านแล้วก็แจ้งรหัสกับเขา แต่ต้องไปตามวันที่ที่เขียนไว้นะ” อาทิตย์ทัศน์กล่าว


“พี่จ้าได้มายังไงคะ เข้าไปแจ้งชื่อในกระทู้เหรอ” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย


“เจ้าของบัตรเขาส่งมาให้น่ะ ถ้าวันนั้นขวัญว่างก็ชวนเพื่อนไปทานแล้วกัน”


“พี่จ้าไปด้วยกันกับขวัญสิคะ เผื่อจะได้เจอเจ้าของบัตร” จอมขวัญยิ้ม “จะได้ขอบคุณเขา”


“ขวัญไปเถอะ” อาทิตย์ทัศน์ตัดบทก่อนจะก้าวขึ้นบันไดเลื่อนของสถานีรถไฟฟ้า...






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2013 02:14:29 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
พี่จ้าใจแข็งจัง ตังรุกสุดตัวแล้ว
แอบชอบนักศึกษา กับอาจารย์ยังไม่เว้น555555555

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เมื่อไหร่จะเจอกันซักกะที

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 8 แรกพบ




“ทำไมล่ะคะพี่จ้า พี่จ้าก็ไม่ได้มีธุระที่ไหนไม่ใช่เหรอ” ยิ่งใกล้วันที่ถูกกำหนดไว้ในกติกาของเจ้าของบัตรร้านเค้กจอมขวัญยิ่งถามเซ้าซี้ด้วยคำถามเดิม ๆ จนหลายครั้งที่อาทิตย์ทัศน์ต้องเดินหนี


อรนุชที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารมองตามชายหนุ่มที่ผละจากการเตรียมเอกสารการสอนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่โต๊ะทำงานมานั่งลงที่โซฟาพร้อมกับกดรีโหมตเปลี่ยนช่องทีวี


“นะคะพี่จ้า ไปเป็นเพื่อนขวัญหน่อยนะ ขวัญชวนเพื่อนแล้วแต่ไม่มีใครว่างไปเลยสักคน” หญิงสาวที่เดินตามมานั่งลงข้าง ๆ กล่าว


“พี่บอกแล้วไงว่าวันนั้นพี่ไม่ว่าง ต้องคุยงานกับเพื่อนเรื่องนิทรรศการ”


“พี่จ้าก็เลื่อนไปก่อนสิคะ นะคะ ๆ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเขย่าแขนชายหนุ่ม เมื่อเห็นว่าวิธีการของเธอไม่ได้ผลเธอจึงหันไปของความช่วยเหลือจาก ‘น้านุช’ ทันที


“น้านุชช่วยพูดกับพี่จ้าให้ขวัญทีสิคะ”


หญิงวัยกลางคนยิ้มให้พร้อมกับปิดหนังสือก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาตัวเล็กที่อยู่ใกล้ ๆ


“ไปเป็นเพื่อนน้องหน่อยสิจ้า”


“โธ่แม่” อาทิตย์ทัศน์ถอนหายใจ “นึกว่าจะเข้าข้างกัน”


“เห็นไหมคะ น้านุชบอกให้พี่จ้าไปเป็นเพื่อนขวัญแล้ว ห้ามขัดใจแม่นะ พี่จ้าสัญญากับน้านุชแล้วนะคะว่าจะเป็นเด็กดี ขวัญจำได้” หญิงสาวกล่าวด้วยแววตาเจ้าเล่ห์


“ก็ได้ แต่ไปแป๊บเดียวนะ พี่ต้องไปคุยงานต่อ”


“ได้ค่ะ ขวัญจะรีบทานแล้วก็รีบกลับเลย” จอมขวัญกล่าวพร้อมกับชูสามนิ้วเป็นการสัญญา


สองวันหลังจากนั้นจอมขวัญและอาทิตย์ทัศน์นัดกันที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้ ๆ กับที่ทำงานของหญิงสาวในช่วงหลังเลิกงาน ก่อนจะพากันเดินไปลัดเลาะสวนสาธารณะโดยมีเป้าหมายคือร้านเค้กเปิดใหม่ที่หัวมุมถนน


“เขาตกแต่งร้านน่ารักเนอะพี่จ้า” คนตัวเล็กกล่าวทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในร้านเค้กขนาดสองคูหาที่ด้านหน้าเป็นกระจก ภายในทาด้วยสีฟ้าและตกแต่งด้วยเฟอนิเจอร์หรือของตกแต่งที่เจ้าของร้านพยายามเลือกให้เป็นสีเดียวกันกับสีร้าน ด้านหนึ่งของร้านเป็นโซนของเค้กและเบเกอรี่โฮมเมดที่ถูกวางแสดงไว้อย่างละลานตา บรรดาสาว ๆ พนักงานอ๊อฟฟิศหลายคนต่างก็กำลังจับกลุ่มเลือกขนมที่ถูกใจก่อนจะไปหาที่นั่งสบาย ๆ คุยกันและชิมของหวานหน้าตาหน้าทานเหล่านั้น จอมขวัญเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่อยู่ด้านในสุดของร้านซึ่งมีพนักงานร้านกำลังยืนผสมเครื่องดื่มให้ลูกค้าอยู่ หญิงสาวแจ้งรหัสและชื่อของเธอกับสาวน้อยน่าตาน่ารักคนหนึ่งที่เพิ่งว่างจากการรับออเดอร์

“บัตร V.I.P.” เธอหันไปกล่าวกับคนที่กำลังนั่งคิดเงินอยู่หลังเคาน์เตอร์ หญิงสาวที่ดูจะอายุมากกว่าเธอเล็กน้อยเงยหน้าขึ้นก่อนจะลุกมายืนข้าง ๆ กัน

“เดี๋ยวหนูให้น้องเคลียร์โต๊ะให้ก่อนนะคะ พอดีแขกเพิ่งลุกออกไป” เธอกล่าวพร้อมกับชะเง้อมองโต๊ะที่อยู่ในมุมซึ่งติดกับชั้นวางหนังสืออ่านเล่น


“นั่งโต๊ะอื่นก็ได้นะครับ โต๊ะว่างตั้งเยอะ” อาทิตย์ทัศน์กล่าว


“พอดีรหัสที่พี่ให้มามันเป็นรหัสบัตร V.I.P น่ะค่ะ” พนักงานสาวตอบยิ้ม ๆ “ระหว่างนี้ลองเลือกขนมก่อนก็ได้นะคะ”


จอมขวัญพยักหน้าก่อนจะจูงมือพี่ชายของเธอตรงไปยังตู้โชว์เบเกอรี่


“น่าทานจังเลยค่ะพี่จ้า” จอมขวัญกล่าวขณะกวาดสายตามองเค้กและขนมหลากชนิดที่เรียงรายกันอยู่ในตู้ “เอาอันนี้ค่ะ” เธอบอกกับพนักงานที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ


“พี่จ้า ทานอะไรดีคะ” หญิงสาวหันมาถามคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน


อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้าช้า ๆ เมื่อเห็นว่าพนักงานเคลียร์ ‘โต๊ะ V.I.P’ เรียบร้อยแล้วเขาจึงเดินไปนั่งรอเธออยู่ที่นั่น จอมขวัญหันไปสั่งเครื่องดื่มและขนมเผื่อเขาอีก 2-3 ชิ้นกับพนักงานก่อนจะเดินตามไป


ชายหนุ่มที่นั่งรออยู่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความที่เพิ่งถูกส่งมาเมื่อสักครู่โดยไม่ได้สนใจหญิงสาวที่เดินมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เพียงไม่นานเค้กและขนมรวมถึงเครื่องดื่มก็ถูกยกมาเสิร์ฟ อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นมองน้องสาวที่ตอนนี้เอาแต่นั่งมองขนมหลายชนิดในจานด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่


“เอ้า! ขนมมาแล้วยังไม่รีบทานอีก มัวแต่นั่งดูมันจะอิ่มเหรอ”



คำพูดของพี่ชายบ้านตรงข้ามทำเอาจอมขวัญหุบยิ้มแทบไม่ทัน เธอเกาศีรษะแก้เขินก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจัดการถ่ายภาพขนมในจานก่อนจะกดแชร์ให้เพื่อน ๆ ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างร้าน แสงสุดท้ายของวันกำลังเลือนหายไปทุกขณะ บนท้องถนนเต็มไปด้วยรถยนต์ทที่จอดติดไฟแดงนานเกือบสิบนาทีตั้งแต่ที่เขามาถึง ช่วงเวลาที่แสนวุ่นวายยังคงดำเนินสวนทางกับช่วงเวลาแห่งความสุขของบรรดาสาว ๆ ที่เข้ามานั่งทานขนมในร้าน ภาพผู้หญิงที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพกับขนมในจานมีให้เห็นในเกือบทุกโต๊ะ ยิ่งโต๊ะไหนที่มากันเป็นกลุ่มยิ่งต้องผลัดกันถ่ายจนครบ


อาทิตย์ทัศน์ก้มมองนาฬิกาข้อมือพร้อมกับใช้ปลายนิ้วพิมพ์ข้อความบางอย่างในขณะที่น้องสาวของเขากำลังมีความสุขกับการได้ลิ้มลองของหวานตรงหน้า เสียงโมบายแขวนประตูที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่มาใหม่ ร่างสูงของใครคนหนึ่งเพิ่งเดินผลักประตูกระจกเข้ามา เขาสบตาคนที่นั่งหันหน้ามาทางประตูแว้บหนึ่งก่อนจะตรงไปที่เคาน์เตอร์อย่างรีบร้อน หลังจากยืนคุยกับพนักงานร้านอยู่สักพักก็หันมาทางโต๊ะที่อาทิตย์ทัศน์และจอมขวัญนั่งอยู่


“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มร่างสูงที่เดินมาหยุดที่โต๊ะกล่าวอย่างสุภาพ ทำให้หญิงสาวที่กำลังมีความสุขกับการทานขนมต้องหยุดการกระทำทุกอย่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา


“ขะ ค่ะ” จอมขวัญขมวดคิ้ว พร้อมกับนึกทบทวนว่าเธอไม่เคยรู้จักเขามาก่อนแน่ ๆ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขน ตาคมภายใต้กระจกแว่นสายตากรอบสีดำสนิทยังคงจ้องมาที่เธอจนคนถูกมองมีอันต้องเบนสายตาหนี หญิงสาวหันไปสบตากับพี่ชายของเธอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเหมือนจะถามว่าเขารู้จักผู้ชายคนนี้ไหม แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใด ๆ จากใบหน้าเรียบเฉยนั้น


“คุณ....” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยขึ้นก่อนจะพยายามเรียบเรียงคำพูด “คือผม...ผมชื่อตฤณกรครับ”


ชื่อที่คุ้นหูทำเอาคนที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแทบสำลัก อาทิตย์ทัศน์รีบวางแก้วน้ำลงก่อนจะมองหน้าคนตัวเล็กที่นั่งอ้าปากหวอตรงหน้า


“เอ้อ ค่ะ คุณตฤณกร”


“คือ คุณเป็นเจ้าของบัตรรหัส 0081 ใช่ไหมครับ” เขาถาม


“ชะ ใช่ค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คือเจ้าของ username ถ้าเธอเป็นท้องฟ้าน่ะสิครับ”


“ใช่ เอ้อ! ไม่ใช่ค่ะ” จอมขวัญปฏิเสธพร้อมกับสบตาอาทิตย์ทัศน์ที่รู้สึกโล่งอกไปเปราะหนึ่งกับคำตอบของเธอ


“อ้าว ผมคิดว่าใช่เสียอีก”


“ฉันได้รับรหัสนี้มาอีกทีค่ะ” จอมขวัญตอบ


“อืม..ครับ” ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้า เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ของคนที่เอาแต่นั่งเงียบดังขึ้น


“เออ..ว่าไง” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะส่งสัญญาณให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขาขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก จากนั้นอาทิตย์ทัศน์ก็เดินออกไปนอกร้าน ตฤณกรจ้องมองชายหนุ่มซึ่งเตี้ยกว่าตนเองเล็กน้อยที่เดินผ่านไปพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำหอมยี่ห้อที่ไม่คุ้นเคย คิ้วเข้มหนารับกับใบหน้าเกลี้ยงเกลา จมูกรั้น ๆ กับริมฝีปากบาง และพวงแก้มที่ดูเอิบอิ่มทำให้เขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาจนผู้ชายด้วยกันอย่างตฤณกรนึกอิจฉา คนตัวสูงขยับแว่นสายตาก่อนจะขออนุญาตนั่งลงแทนที่


“คุณ....”


“จอมขวัญค่ะ เรียกขวัญเฉย ๆ ก็ได้” หญิงสาวกล่าวยิ้ม ๆ


“ครับคุณขวัญ ผมตังครับ” ตฤณกรยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะชะเง้อมองคนที่กำลังคุยโทรศัพท์ผ่านกระจกหน้าร้าน


“คนนั้นพี่ชายขวัญค่ะ ชื่อพี่จ้า”


“ครับ” ตฤณกรละสายตาจากร่างสูงก่อนจะพนักหน้าให้หญิงสาว


“ผิดหวังหรือเปล่าคะที่ขวัญไม่ใช่คนที่คุณอยากเจอ”


“ไม่ครับ อย่างน้อยก็เหมือนได้รู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มอีกคน” ตฤณกรกล่าว


“คุณรู้จักกับเจ้าของ username นี้เหรอครับ”


“เอ้อ...ค่ะ” จอมขวัญตอบยิ้ม ๆ


“อืม...ผมไม่ถามดีกว่าว่าเธอ...หรือเขาเป็นใคร แต่อยากฝากคุณขวัญบอกเขาหน่อยว่าผมอยากรู้จักเขาจริง ๆ อยากจะขอบคุณสำหรับหลาย ๆ เรื่อง”


“ค่ะ ถ้าขวัญเจอแล้วขวัญจะบอกให้นะคะ” หญิงสาวยิ้มก่อนจะเหลียวมองตามเสียงโมบายแขวนประตูที่ดังขึ้น อาทิตย์ทัศน์เดินกลับเข้ามาที่โต๊ะอีกครั้ง เขาสบตาคนที่นั่งตรงที่ที่เขาเคยนั่งเล็กน้อยก่อนจะกล่าวกับผู้เป็นน้องสาว


“ขวัญ พี่ต้องไปแล้วนะ”


“อ้าว ได้เวลานัดแล้วเหรอคะพี่จ้า”


อาทิตย์ทัศน์พยักหน้า “ขวัญจะไปพร้อมกันเลยไหมเดี๋ยวพี่ไปส่งขึ้นรถไฟฟ้า หรือว่าจะทานต่อก็ตามใจ”


“เดี๋ยวผมไปส่งเธอที่สถานีรถไฟฟ้าก็ได้ครับ” ตฤณกรแทรกขึ้นพร้อมกับยิ้มให้ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเรียบเฉย


“อืม...ถ้าอย่างนั้นขวัญกลับเองก็ได้ค่ะพี่จ้า พี่จ้ารีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทันนัด”


อาทิตย์ทัศน์พนักหน้าก่อนเดินออกไปจากร้าน


“พี่ชายคุณขวัญนี่ดูนิ่งมาก ๆ เลยนะครับ”


“ค่ะ” จอมขวัญตอบยิ้ม ๆ ทั้งที่ในใจอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า ก็เพราะนิ่งแบบนี้แหละถึงมีแต่คนเรียกเขาว่า ‘ก้อนหินจำศีล’



....





‘เมื่อเย็นผมแวะไปที่ร้านเค้ก คิดว่าจะได้เจอคุณที่นั่น น่าเสียดายจังที่คุณไม่มา’




อาทิตย์ทัศน์อ่านข้อความที่ถูกส่งมาก่อนจะปิดหน้าจอเพื่อเตรียมเอกสารการสอนต่อจนดึก....



....



“พี่จ้าใจร้าย” จอมขวัญกล่าวเมื่อพบอาทิตย์ทัศน์ที่หน้าบ้านในตอนเช้า


“พี่ไปทำอะไรให้ ถึงมาว่าพี่ใจร้าย” ชายหนุ่มกล่าวขณะเปิดประตูรั้วเตรียมจะเอารถออก


“พี่ตังเขาอยากรู้จักพี่จ้าจริง ๆ นะคะ”


อาทิตย์ทัศน์ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของคนตัวเล็กนัก เขาเดินไปสตาร์ทรถก่อนจะค่อย ๆ ถอยออกมาจากโรงจอด


“จะไปด้วยกันไหม” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อลงมาจากรถก่อนจะเดินไปปิดประตูรั้ว


“ไป” เธอกล่าวก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ


“ไปสนิทสนมกับเขาตั้งแต่เมื่อไรถึงเรียกเขาว่าพี่เต็มปากเต็มคำ” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นเมื่อกลับเข้ามานั่งประจำที่


“ก็พี่ตังเขาอายุเท่าพี่จ้านี่คะ ขวัญก็ต้องเรียกเขาว่าพี่สิ” หญิงสาวกล่าวก่อนจะมองออกไปนอกกระจก “เขาอยากรู้จักพี่จ้าจริง ๆ นะ”


“แต่พี่ไม่อยากรู้จักเขานี่”


“ใจร้ายที่สุด” จอมขวัญมองค้อน







“เย็นนี้ให้พี่ไปรับไหม” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบเมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงที่ทำงานของน้องสาว


“เย็นนี้ขวัญมีนัดแล้วค่ะ ขวัญกลับเอง”


อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะถามต่อ “นัดกับใคร”


“ขวัญนัดกับพี่ตังไว้ว่าจะไปเลี้ยงขอบคุณเขาที่เขาอุตส่าห์ให้บัตรทานเค้กฟรีมา แถมซื้อขนมฝากมาให้ทานที่บ้านอีกตั้งเยอะ”


“เฮ้อ!!!!! เดี๋ยวนี้เห็นคนอื่นดีกว่าเรา” อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้า


“พี่ตังเขาไม่ใจร้ายเหมือนพี่จ้านี่คะ”


“ใช่สิ พี่มันใจร้าย เจอเขาแค่ครั้งเดียวแถมเขาเอาขนมมาล่อหน่อยก็ไปเป็นพวกเขาแล้ว”


“นี่พี่จ้าว่าขวัญเห็นแก่กินเหรอ”


“ใช่”


“เชอะ! คนอะไร ไม่หล่อแล้วยังปากร้าย แถมใจร้ายอีกต่างหาก”


“เอ้า เมื่อ 2-3 วันก่อนยังชมพี่จ้าหล่ออยู่เลย”


“ไม่หล่อแล้ว พี่ตังหล่อกว่า ตลกแถมใจดีด้วย” จอมขวัญกล่าวก่อนจะลงจากรถ ทิ้งให้อาทิตย์ทัศน์ได้แต่นั่งส่ายหน้ายิ้ม ๆ อย่างอ่อนใจกับน้องสาวแสนงอนของตัวเอง



....


สัปดาห์ต่อมา...


“จ้า เมื่อเย็นแม่แวะไปเอาของโรงพิมพ์ให้แล้วนะลูก” ผู้เป็นแม่กล่าวเมื่อเห็นลูกชายเดินเข้ามาในบ้าน


“ขอบคุณครับแม่ จ้าลืมไปเลยว่านัดเขารับของวันนี้”


“ที่โรงพิมพ์เขาโทร.มาที่บ้านน่ะ เขาบอกว่าติดต่อลูกไม่ได้ แม่ก็เลยแวะไปเอาให้”


“สงสัยโทร.มาตอนจ้ากำลังประชุมแน่เลย” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาดู “จริงด้วย” ชายหนุ่มยิ้ม


“แล้วนี่ลูกทานอะไรมาหรือยัง”


“เรียบร้อยแล้วครับแม่” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับค่อย ๆ พับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น


“ถ้าอย่างนั้นลูกไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปแกลอรีแต่เช้าไม่ใช่เหรอ”


“ครับ”


“แล้วอย่าลืมเปิดเอาของที่ท้ายรถแม่ไปด้วยล่ะ”


“ครับแม่”



วันต่อมาอาทิตย์ทัศน์ไปที่แกลอรีที่เขาจองไว้เพื่อแสดงงานภาพถ่ายผลงานที่เคยทำเป็นโปรเจคก่อนเรียนจบตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมพิธีเปิดที่จะมีในตอนเย็น การทำงานเริ่มขึ้นอย่างจริง ๆ จัง ๆ ในช่วงสายโดยมีนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยมาช่วยเตรียมงานด้ว ภาพถ่ายทิวทัศน์ที่ไม่มีให้พบเห็นในเมืองไทยถูกติดตั้งจนทั่วแกลอรี สูจิบัตรและของที่ระลึกถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย จนกระทั่งในตอนบ่ายแก่ ๆ เพื่อน ๆ ที่สนิทกันหรือบรรดาช่างภาพทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพที่ทราบข่าวต่างก็ทยอยกันมาร่วมงาน


“พี่ตัง ทางนี้ค่ะ” จอมขวัญที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อรนุชร้องขึ้นพร้อมกับโบกมือให้ชายหนุ่มร่างสูงที่เดินเข้ามาในงาน


“นึกว่าพี่ตังจะไม่มาเสียแล้ว” หญิงสาวกล่าวเมื่อเขาเดินมาถึง


“น้องขวัญอุตส่าห์ชวนทั้งที พี่ก็ต้องมาสิครับ อีกอย่างแกลอรีนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานพี่ด้วย” ตฤณกรกล่าวก่อนจะมองหญิงวัยกลางคนยืนอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้าอ่อนโยนนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเคยได้เจอกันมาก่อนที่ไหนสักที่


“นี่น้านุชค่ะ” จอมขวัญแนะนำ


“สวัสดีครับ” ตฤณกรยกมือไหว้อย่างนอบน้อม


“สวัสดีจ้ะ”


“ผมรู้สึกเหมือนเคยเจอคุณป้ามาก่อน แต่จำไม่ได้จริง ๆ ครับว่าที่ไหน” คนตัวสูงขมวดคิ้ว


“อาจจะเคยเจอกันตามแกลอรีก็ได้นะจ๊ะ” เธอยิ้มอย่างออ่อนโยน


“แกลอรีเหรอครับ” ตฤณกรพยายามนึก


“แกลอรีที่สีลม” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ “ผมจำได้แล้ว คุณป้าเคยให้ของที่ระลึกงานแสดงภาพถ่ายกับผม”


“อ๋อ...งานแสดงภาพของพี่จ้าครั้งนั้นแน่ ๆ เลยใช่ไหมคะน้านุช ครั้งสุดท้ายก่อนพี่จ้าจะไปอังกฤษ”


หญิงวัยกลางคนไม่ได้ตอบคำถามอะไร เธอได้แต่ยิ้ม...






หลังจากเปิดงานแสดงภาพได้สักพัก ผู้ที่มาร่วมงานต่างก็เดินชมภาพที่จัดแสดงเอาไว้ด้วยความสนใจ หลายภาพถูกซื้อโดยบรรดาคนที่รักงานศิลปะ ซึ่งรายได้จากการจัดแสดงงานในครั้งนี้ เจ้าของงานแจ้งความประสงค์ไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะบริจาคให้มูลนิธิอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล


“สวยดีนะครับ” เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้คนที่กำลังยืนคิดอะไรเพลิน ๆ ต้องสะดุ้ง เขาละสายตาจากภาพถ่ายทิวทัศน์ของเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าสีเขียวอ่อนมองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใสและต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นตระหง่านแผ่กิ่งก้านกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพ เมื่ออาทิตย์ทัศน์หันกลับมามองเจ้าของเสียงและรู้ว่าเขาเป็นใครก็ยิ่งทำให้ประหลาดใจมากขึ้นไปอีก


“สวัสดีครับ” ตฤณกรยิ้ม


“สวัสดีครับ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเบนสายตาไปที่หญิงสาวที่ยืนอมยิ้มอยู่ไกล ๆ


“คุณถ่ายรูปสวยจัง” คนตัวสูงกล่าวก่อนจะเดินผ่านร่างของเขาเข้าไปดูภาพนั้นใกล้ ๆ


“ขะ ขอบคุณครับ”


ตฤณกรยิ้มกับตัวเองเมื่อได้ยินประโยคสั้น ๆ นั้น เขาหันมาก่อนจะกล่าว “คุณนี่พูดน้อยเนอะ มันทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา”


“อาจารย์ครับ” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ


อาทิตย์ทัศน์หันไปมองก็เห็นว่าชายหนุ่มในชุดนักศึกษาคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเขา “อาจารย์นราวิชถามหาอาจารย์ครับ”


“อืม ขอบใจมาก” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะหันมาหาตฤณกร “ผมขอตัวก่อนนะครับ เชิญคุณตามสบาย” พูดจบเขาก็เดินจากไป


ตฤณกรมองตามแผ่นหลังของคนที่ตัวเล็กกว่าที่กำลังเดินเข้าไปหาผู้ชายร่างสูงใหญ่ซึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับนักศึกษาอีก 2-3 คน ตฤณกรรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างดี


“พี่ใหญ่...” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินตามไป





“โหพี่วิช พี่ไม่มาสักตอนงานเลิกเลยล่ะ” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้น


“อ้าวไอ้นี่ เจอหน้าก็กัดเลยนะ เดี๋ยวปั๊ดโบก...”


“อาจารย์นราวิชทำแบบนี้ต่อหน้านักศึกษาไม่ดีนะครับ ไม่น่าเชื่อถือเลย” อาทิตย์ทัศน์หัวเราะ


“เออ ก็ให้นักศึกษาพิจารณาเอาแล้วกันว่าใครน่าเชื่อถือกว่าใคร” สิ้นเสียงนราวิช ทุกคนที่ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ตรงนั้นก็พากันหัวเราะ


“อ้าว ตัง มาได้ยังไง” นราวิชเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นตฤณกรเดินเข้ามา “แล้วนี่รู้จักกันแล้วเหรอ” ชายหนุ่งร่างสูงใหญ่หันไปถามอาทิตย์ทัศน์


“ยัง ยังไม่รู้จัก” ชายหนุ่มกล่าวอย่างรีบร้อน


ตฤณกรยิ้มพร้อมกับสบตาคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ แว้บหนึ่ง “ครับ ตอนนี้ยังไม่รู้จัก”


อาทิตย์ทัศน์เหลือบมองคนที่ตัวสูงเจ้าของใบหน้าระบายยิ้มที่กำลังยืนคุยกับรุ่นพี่ของเขาอย่างสนิทสนิทสนม คำพูดและแววตาแปลก ๆ เมื่อสักครู่นั่นมันอะไรกัน ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา...





“มานี่เลย” อาทิตย์ทัศน์จูงมือน้องสาวเดินหลบผู้คนมาที่มุมหนึ่ง


“อะไรคะพี่จ้า”


“เขามาได้ยังไง” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะมองไปที่ตฤณกรที่ยังคงยืนคุยกับนราวิช


“ขวัญชวนพี่ตังมาเองค่ะ ทำไมคะ ชวนมาไม่ได้เหรอคะ” จอมขวัญยิ้มหวาน


อาทิตย์ทัศน์มองคนตัวเล็กตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แล้วขวัญเล่าอะไรเกี่ยวกับพี่ให้เขาฟังหรือเปล่า”


“ขวัญไม่เล่าหรอกค่ะ” หญิงสาวยิ้ม


“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะรีบเดินไปต้อนรับ ดร.สามมิติ ที่เพิ่งเดินเข้ามาในงาน...


จอมขวัญมองตามพี่ชายของเธอด้วยใบหน้าระบายยิ้ม “ขวัญไม่เล่าหรอกค่ะ ถ้าพี่จ้าไม่ทำใจร้ายกับพี่ตัง”



 
 

....





เจอกันซะทีนะคะ ^^




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2013 02:14:57 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

อาจารย์เป็นกันเองใครๆก็อยากเรียนด้วย
ว่าแต่เพื่อนเก่าจะมีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีกมั้ยนะ
อ่านเรื่องนี้แล้วอบอุ่นหัวใจเหมาะกับอากาศตอนนี้มากๆเลย


ตอนใหม่มาอีกแล้ว---ในที่สุดก็เจอกันซักที
แถมดูท่าทางตังจะรู้แล้วด้วยว่าเป็นใคร
เพราะแม่สื่อจอมยุ่งแน่ๆเลย

+ 1 + เป็ดจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-12-2013 19:23:05 โดย AGALIGO »

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เจอกันแล้วก็เหมือนไม่เจออ่ะ
จ้าอย่าเล่นตัวมากสิ สงสารคนลุ้นบ้าง
ถ้าจอมขวัญเป็นแม่สื่อก็โอน่ะ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
น้องขวัญบอกไปเลยยยยย พี่จ้าใจร้าย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด