ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า (ส่งท้าย : ถ้าเรายังคิดถึงกัน) 28-12-2558 หน้า 22
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า (ส่งท้าย : ถ้าเรายังคิดถึงกัน) 28-12-2558 หน้า 22  (อ่าน 331180 ครั้ง)

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ตังค์ได้เบอร์จ้ามาแล้ว
สงสัยจะมีเหตุฉุกเฉินตลอด

ออฟไลน์ Loste

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 430
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
รู้สึกว่าโลกนี้เป้นชมพู่ มุงมิง  :กอด1:

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

สรุปว่าตังอยากเป็นเพื่อนหรือคิดอะไรมากกว่านั้นนะ

อย่างจ้ายังรู้ว่าชอบเพื่อนผู้ชายแต่ตังนี่อะไรยังไง

+ เป็ดจ้า

ออฟไลน์ RoseBullet

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1027
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
ติดใจชื่อเรื่องมากเลย เห็นตั้งแต่ตอนแรกๆแล้วค่ะ แต่เพิ่งเข้ามาอ่านจริงจัง
สงสัยว่าเรื่องจะเป็นยังไงน้า เกี่ยวยังไงกับชื่อเรื่อง ชื่อเหมือนเนื้อเพลงเลย อิอิ
เรื่องน่ารัก อ่านเพลินมากค่ะ นี่ก็อ่านรวดเดียวเลยไม่มีหยุด
ชอบตั้งแต่ตอนต้นที่เป็นการโต้ตอบทางเว็บบอร์ด จนกระทั่งตังไปเที่ยว(ตามรอยจ้า ฮ่าๆ) บรรยายบรรยากาศได้น่าไปเที่ยวจัง
ความสัมพันธ์ของสองคนที่เริ่มจากไม่รู้จักและค่อยๆพัฒนาอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป
โปสการ์ดที่ตังส่งมาเรื่อยๆพร้อมรูปสเก็ตกับคำบรรยายตลอดระยะเวลาเป็นปีก็เป็นอะไรที่คลาสสิคมาก
ต้องขอบคุณน้องขวัญนะ ที่จุดประกายให้สองคนนี้ได้คุยกัน จนมาเป็นแม่สื่อกลายๆนี่แหละ

ส่วนนนท์นี่ไม่ไหวนะ หายหัวไปเป็นสิบปีแล้ว นี่ก็ไม่รู้จะยังจำสัญญาที่ตัวเองเป็นคนให้ไว้เองได้หรือเปล่า
ไม่ใช่ว่า เออ คิดว่าพูดไปแล้วแต่มันนานแล้วจ้าคงจะลืมไปแล้วมั้ง ก็เลยเนียนๆลืม อะไรแบบนี้นะ
แค่นี้ก็แทบจะสกายคิกใส่หน้าฮีแล้ว ที่เอาเรื่องไร้สาระที่แฟนขอมาทำลายมิตรภาพดีๆกับเพื่อนสนิท ผู้ชายคนนี้ไม่ไหวเลย
กับตวงเราก็พอเข้าใจนางนะ แฟนนางนางก็คงหวง ต้องป้องกันไว้ก่อน แต่ก็ยังโกรธอ่ะ แค่ขอโทษแล้วมันหายเหรอ(วะ)
นี่ตอนแรกก็กลัวๆอยู่ว่า ตวงกับตัง ชื่อก็คล้ายๆกัน สองคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือเปล่า
ไม่รู้เราอ่านตรงไหนพลาดไปไหมนะเรื่องตัง จำได้แต่ว่าตวงมีน้องชาย แต่ตวงกับจ้าอายุเท่ากัน
ดังนั้นถ้าตังเป็นน้องชายตวงก็ต้องอายุน้อยกว่าจ้า แต่ขวัญบอกว่าจ้ากับตังอายุเท่ากัน งั้นก็สบายใจไปได้ เหอๆ
อยากให้จ้าตัดใจจากนนท์เสียที จ้ามั่นคงมากๆนะ สิบเอ็ดปีเชียว แต่อยากให้นึกถึงคำพูดของตัง
ที่บอกว่า 'บางทีเรานึกถึงแต่คนอื่น แต่คนอื่นเขาอาจจะไม่ได้นึกถึงเราเลยก็ได้' แล้วเปิดใจให้คนใหม่ๆ

ตอนแรกจ้าก็แบบเย็นช้าเย็นชาเนอะ แต่พอได้รู้จักได้สนิทกันมากขึ้น ก็เริ่มเห็นความน่ารักขี้เล่นของเจ้าตัวนะ ฮี่ๆ
ตังนี่ก็รุกแบบทุกวิถีทางที่จะทำได้ พยายามพาตัวเองเข้ามาในชีวิตเขาให้มากที่สุด โอ๊ย น่ารักเว่อร์
ส่วนตัวเราเป็นคนชอบเรื่องประมาณนี้อยู่แล้วค่ะ ละมุนละไม ค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่มั่นคง
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

ปล.เห็นเปลี่ยนหัวกระทู้เป็นชื่อตอนใหม่แล้ว งั้นขอมานั่งรอพลางๆ
 :mew1:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 13 ของขวัญวันเกิด




“พรุ่งนี้คุณอยู่บ้านหรือเปล่า” คนตัวสูงเอ่ยขึ้นขณะเดินไปตามคนตัวเล็กกว่ามาถึงประตูทางออกรถไฟฟ้า


“เปล่า” อาทิตย์ทัศน์ตอบขณะแตะบัตรเพื่อให้ประตูเปิดก่อนจะเดินออกไป


“ทำไมเหรอ คุณมีอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มหันกลับมาถามคนที่ยืนอยู่ด้านใน


“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ตฤณกรตอบเสียงเรียบ “ว่าแต่คุณจะไปไหนเหรอ”


“ผมจะไปสัตหีบ วันพุธที่จะถึงนี้เป็นวันครบรอบวันที่พ่อจากผมกับแม่ไป แต่ผมติดสอนพรุ่งนี้ก็เลยจะไปทำบุญให้ท่าน”


“คุณแม่คุณไปด้วยหรือเปล่า”


“เปล่า พรุ่งนี้แม่ต้องเข้าไปที่ร้าน”


“อืม” คนตัวสูงพยักหน้า เขายืนนิ่งเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างก่อนจะกล่าว “ให้ผมไปกับคุณด้วยได้ไหม ไป...ไปเป็นเพื่อนน่ะ เผื่อว่าคุณจะอยากมีคนนั่งไปเป็นเพื่อน”


อาทิตย์ทัศน์มองคนตรงหน้าที่ยังคงประสานสายตากันอยู่ เขากำลังรอคำตอบ...คำตอบที่อาทิตย์ทัศน์เองก็ใช้เวลาในการตัดสินใจเช่นกัน


“เฮ่ย คุณอย่าคิดนานสิ ผมก็ถามไปอย่างนั้นแหละ เผื่อฟลุค” ตฤณกรยิ้ม “คุณกลับบ้านเถอะ ผมไปก่อนนะ” เมื่อกล่าวจบคนตัวสูงก็หันหลังให้


อาทิตย์ทัศน์มองแผ่นหลังกว้างที่กำลังออกห่างตัวเขาไปช้า ๆ ชายหนุ่มเม้มปากแน่นก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป


“ถ้าคุณอยากจะไปก็มาเช้า ๆ แล้วกัน ไม่งั้นผมไม่รอนะ”


คำพูดของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังทำให้เกิดรอยยิ้มเล็ก ๆ ขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังเดินจากออกมา...




วันต่อมา...


“ไม่ไปด้วยกันจริง ๆ เหรอ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวกับน้องสาวบ้านตรงข้ามที่แวะเอาปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้มาให้แต่เช้า


“ขวัญไปไม่ได้จริง ๆ ค่ะพี่จ้า ขวัญนัดกับเพื่อนเอาไว้นานแล้ว” จอมขวัญยิ้ม จำไม่ได้ว่าเธอพูดแบบนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วตั้งแต่ที่เขาโทร.มาชวนให้ไปสัตหีบด้วยกันตั้งแต่เมื่อคืน


“เฮ้อ!!! ไปเป็นเพื่อนกันหน่อยก็ไม่ได้” ชายหนุ่มพึมพำ


“คุณก็มีผมไปเป็นเพื่อนแล้วไงครับ” ตฤณกรที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้านเอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือไหว้อรนุชที่เดินถือตะกร้าใส่ผลไม้และถุงขนมอีกหลายถุงออกมาจากในครัว


“นั่นสิคะพี่จ้า” จอมขวัญยิ้ม


“เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริง ๆ นะสองคนนี้” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นก่อนจะหันมาบอกกับลูกชา “จ้า แม่ฝากเอาของไปเยี่ยมลุงนทีหน่อยนะลูก เมื่อต้นปีเขาเอาของทะเลมาฝากเราเยอะเลย”


“ครับแม่” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะรับของทั้งหมดจากมือของผู้เป็นแม่มาถือไว้...







“นี่เสบียงค่ะพี่ตัง” จอมขวัญกล่าวพร้อมกับส่งตะกร้าหวายที่ข้างในมีทั้งน้ำและขนมให้ชายหนุ่ม


“ขอบคุณครับ” คนตัวสูงกล่าวพร้อมกับรับตะกร้ามาไว้ในมือก่อนจะเดินไปวางไว้ที่เบาะหลังข้าง ๆ กับถังสังฆทาน


“ขอให้สนุกนะคะ” สาวน้อยยิ้มหวาน


“ครับ”



อาทิตย์ทัศน์ลอบมองสองคนที่ทำท่าดูมีพิรุจก่อนเดินตามไปที่รถ...



เพียงสองชั่วโมงรถเก๋งสีขาวก็ขับเข้าสู่เขตอำเภอสัตหีบก่อนจะมุ่งหน้าสู่ที่ ๆ หนึ่ง ซึ่งตฤณกรไม่เคยรู้จักมาก่อน ในที่สุดรถก็มาจอดในบริเวณวัดที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น อาทิตย์ทัศน์แวะทำสังฆทานกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสที่ดูจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก่อนจะเดินอ้อมศาลาการเปรียญไปที่หลังวัดซึ่งมีเจดีย์เก็บอัฐิเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณ ตฤณกรเดินตามคนตัวเล็กกว่าไปตามทางเดินระหว่างเจดีย์เก็บอัฐิจนกระทั่งมาหยุดที่เจดีย์สีขาวเก่า ๆ เมื่อเห็นรูปของผู้เสียชีวิตที่เจดีย์ก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือเจดีย์เก็บอัฐิของใคร เขาเคยเห็นรูปนี้มาก่อนที่บ้านของอาทิตย์ทัศน์ มันเป็นรูปชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดทหารเรือ ที่ด้านล่างมีตัวอักษรเล็ก ๆ เขียนกำกับ


‘จ.อ. เมฆา กิตติวรกุล’


อาทิตย์ทัศน์นั่งลงก่อนจะจุดธูปและวางดอกไม้ที่เตรียมมาลงที่ฐานเจดีย์ เป็นเวลานานทีเดียวที่เขานั่งอยู่อย่างนั้น...




“พ่อคุณอยู่ที่นี่เหรอ” ตฤณกรเอ่ยขึ้นขณะที่ทั้งคู่เดินไปที่รถ


“เปล่าหรอก ตั้งแต่วันที่เรือเจอพายุหลาย ๆ คนพยายามออกค้นหาก็ไม่มีใครพบศพของพ่อ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ  “วัดนี้เป็นวัดที่พ่อเคยอยู่สมัยเด็ก ๆ แม่ก็เลยให้ตั้งเจดีย์ใส่อัฐิพ่อที่นี่ เผื่อว่าวันหนึ่งเราจะเจอพ่อ”


“อืม” ตฤณกรพยักหน้า


เมื่ออกจากวัดอาทิตย์ทัศน์ก็ขับรถเลาะไปตามชายหาดสีขาวสะอาดตา เขาแวะเยี่ยม ‘ลุงนที’ เพื่อนที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับพ่อในวันนั้น ลุงนทีเป็นทหารเรือวัยปลดจำการซึ่งตอนนี้อยู่กับบ้านช่วยลูกหลานดูแลกิจการเรือลากอวน อาทิตย์ทัศน์และแม่ของเขามักจะแวะมาเยี่ยมลุงนทีทุกปี ส่วนลุงเองถ้าหากมีโอกาสได้ไปกรุงเทพฯ ก็มักจะมีของทะเลติดไม้ติดมือไปฝากเสมอ ๆ หลังจากรับประทานอาหารมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้วสองหนุ่มก็ตามลุงนทีออกไปที่ฟาร์มเลี้ยงหอยนางรมกลางทะเลก่อนจะกลับเข้าฝั่งอีกครั้งในตอนบ่ายจากนั้นทั้งคู่จึงลากลับ


“คุณจะไปไหนต่อ” ตฤณกรเอ่ยขึ้น


“เดี๋ยวก็รู้” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะเลี้ยวลงไปตามทางเล็ก ๆ ที่แยกจากถนนใหญ่ ไม่ช้ารถก็เข้าเขตทหารจนกระทั่งมาถึงหาดทรายสีขาวสะอาดตา


“สวยจัง” ตฤณกรเอ่ยขึ้นเมื่อลงมาจากรถ เขาเดินตรงไปที่หาดทรายเม็ดละเอียด น้ำทะเลนั้นใสเสียจนมองเห็นโขดหินและพื้นทรายด้านล่าง เมื่อมองออกไปไกล ๆ จะเห็นน้ำทะเลเป็นสีฟ้า ตัดกับแนวกันคลื่นซึ่งมีประภาคารสีขาวตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ไกล ๆ


“ผมไม่คิดว่าภาคตะวันออกจะมีทะเลสวยแบบนี้”


“ทะเลในพื้นที่การดูแลของทหารกแบบนี้แหละ ถ้าเริ่มสกปรกหรือมีมลภาวะเขาก็จะปิดให้เข้าเพื่อฟื้นฟู” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งลงก่อกองทรายเล่น


“ที่เชียงใหม่ไม่มีทะเลให้เล่นก็แบบนี้แหละ”


“รู้ด้วยเหรอว่าผมเป็นคนเชียงใหม่”


“ก็คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ”


“ก็ใช่ แต่ผมคิดว่าคุณจะไม่สนใจเสียอีก” ตฤณกรยิ้ม “จำเรื่องของผมได้แบบนี้คิดอะไรกับผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย”


“เหอะ คุณนี่มันคิดเข้าข้างตัวเองตลอด” อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้าก่อนจะเดินเล่นไปตามแนวชายหาด


ตฤณกรเดินตามคนตัวเล็กกว่าไปเรื่อย ๆ ทั้งที่สามารถเดินขึ้นไปให้ทันหรือสามารถที่จะแซงได้ แต่เขาก็เลือกที่จะเดินตามแบบนี้ แม้กระแสลมแรงจะพัดเอากลิ่นไอเค็ม ๆ ของทะเลขึ้นมาปะทะปลายจมูก แต่ก็ยังคงได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คุ้นเคยอยู่ดี...


“ทำไมคุณถึงใช้ username นี้ล่ะ” คนตัวสูงเอ่ยขึ้นขณะเดินมายืนข้าง ๆ


“ผมชอบมองท้องฟ้ามั้ง”







..







“แล้วคุณล่ะ ทำไมถึงใช้ชื่อว่าดีไซเนอร์สุดหล่อ” อาทิตย์ทัศน์ถามคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย


“คุณดูไม่ออกเหรอ นี่ผมอุตส่าห์ตั้งชื่อตรงตัวมากเลยนะ” ตฤณกรหัวเราะ “มองกระจกปุ๊บก็คิดออกปั๊บว่าชื่อนี้แหละมันเกิดมาเพื่อผม คนมันหล่อ สปอร์ต ใจดี มีรถขับ แถมโทรศัพท์ก็ถ่ายรูปได้”


“หลงตัวเองสุด ๆ”


ตฤณกรยิ้มรับคำชมนั้นก่อนจะหันไปสบตาคนนั่งข้าง ๆ “ถ้าอย่างนั้นให้ผมหลงตัวของผมเองคนเดียวก็พอ คุณอย่ามาหลงผมอีกคนก็แล้วกัน”



คำพูดของคนตัวสูงทำเอาอาทิตย์ทัศน์ร้อนวูบที่ใบหน้าขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุจนเขาต้องเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง



“จริง ๆ น่ะจะเป็นยืนสองขาได้ ไม่ดุร้ายแถมใจดี กินเพ็ทดีกรีเป็นอาหารมากกว่า” อาทิตย์ทัศน์พึมพำพร้อมกับอมยิ้ม


“คุณว่าอะไรนะ” ตฤณกรหันมาถาม แต่คนข้าง ๆ ยังคงเอาแต่หันหน้าหนี


“หูแว่วแล้วคุณน่ะ” อาทิตย์ทัศน์พูดกลั้วหัวเราะ


“ยัง ยังไม่หันมาอีก ยิ้มอยู่คนเดียวนั่นแหละ” คนที่นั่งอยู่ข้างหลังพวงมาลัยขมวดคิ้ว เขาเหลือบมองคนที่เอาแต่หันหน้าทีหนีแถมพยายามกลั้นหัวเราะ



“ยังอีก ยังไม่เลิกขำ ผมบอกให้คุณหันมาเดี๋ยวนี้” พูดจบมือหนาก็เอื้อมจับที่ปลายคางของคนข้าง ๆ ให้หันมา     


“อะไรของคุณ” คนตัวเล็กกว่ารีบปัดมือหนาออกทันทีเมื่อหันมาเผชิญหน้ากัน ใบหน้าระบายยิ้มไม่อาจที่จะถูกซ่อนให้ห่างไกลจากสายตาของเขาได้อีกต่อไป...


“หันมายิ้มให้ผมเห็นบ้างก็ได้ ไม่ต้องยิ้มอยู่คนเดียวหรอก” ตฤณกรณ์กล่าว ในที่สุดเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอาทิตย์ทัศน์ได้อย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ปากและรอยยิ้มที่ออกมาจากดวงตาของเขา...




ตฤณกรขับรถเข้าเขตกรุงเทพมหานครในช่วงเย็น เขาอาสาจะไปส่งอาทิตย์ทัศน์ที่บ้านแต่ชายหนุ่มปฏิเสธ ดังนั้นตฤณกรจึงจำต้องขับรถมาส่งตัวเองที่คอนโดก่อนตามความต้องการของเจ้าของรถ ขณะเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ ซึ่งเส้นทางลัดไปสู่คอนโดของเขา อาทิตย์ทัศน์กลับรู้สึกคุ้นตากับหลาย ๆ อย่างในซอยนี้ขึ้นมาทันที


“คุณอยู่หมู่บ้านนี้เหรอ”


“เปล่าครับ แต่ว่าหมู่บ้านนี้มันทะลุออกแถว ๆ คอนโดผมได้ จะได้ไม่ต้องไปเจอรถติดบนถนนใหญ่”


อาทิตย์ทัศนพยักหน้า เขาจ้องมองบ้านหลังใหญ่ที่อยู่หัวมุมถนนไม่วางตา ที่หน้าบ้านมีป้ายประกาศขายติดเอาไว้พร้อมกับเบอร์ติดต่อ


“คุณสนใจเหรอ” ตฤณกรกล่าวก่อนจะค่อย ๆ ชะลอรถ


“ผมแค่รู้สึกคุ้น ๆ น่ะ”


“อืม บ้านเพื่อนหรือเปล่าคุณ หรือว่าคนรู้จัก”


อาทิตย์ทัศน์นิ่งสักพักก่อนจะตอบ “ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก ออกรถเถอะ”


ตฤณกรพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ออกรถ เพียงไม่นานรถก็มาจอดที่หน้าคอนโดสูง มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ไกล ๆ





“ขอบคุณมากนะครับที่ให้ผมติดรถไปเที่ยวด้วย” คนตัวสูงที่ยืนเกาะประตูรถฝั่งคนขับอยู่เอ่ยขึ้น


“ผมก็ต้องขอบคุณคุณด้วยเหมือนกันที่นั่งไปเป็นเพื่อน”



ตฤณกรพยักหน้าพร้อมกับปิดประตูรถให้ เขารอจนกระทั่งรถของอาทิตย์ทัศน์เคลื่อนออกจากบริเวณลานจอดรถหน้าคอนโดไปจึงเดินเข้าไปด้านใน...


เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องร่างสูงก็เดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานก่อนจะทอดสายตามองออกไปนอกกระจก แม้แสงของดวงอาทิตย์จะหมดลง แต่เมืองทั้งเมืองก็ยังคงสว่างไสวด้วยแสงไฟจากบ้านเรือนและตึกสูง ตามแนวของถนนเส้นยาวพราวไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ ตฤณกรถอนหายใจยาวก่อนจะมองปฏิทินตั้งโต๊ะ มันเป็นวันเกิดปีที่สามสิบซึ่งก็ไม่มีอะไรต่างจากทุกปีที่ผ่านมา รอบกายยังรายล้อมด้วยความเงียบ ไม่เคยมีของขวัญ ไม่เคยมีแม้แต่เสียงอวยพรของพ่อและแม่หรือคนที่รัก...





ก่อนที่จะเคลิ้มหลับลงด้วยความอ่อนเพลีย เสียงเตือนข้อความจากโทรศัพท์ที่หัวนอนก็ดังขึ้น ชายหนุ่มขยับตัวก่อนจะควานหาโทรศัพท์มาดู มีข้อความหลายข้อความถูกส่งมาจากเพื่อน ๆ ตัั้งแต่เช้า


‘สุขสันต์วันเกิดนะพี่ตัง’


ข้อความล่าสุดถูกส่งมาจากน้องสาวคนหนึ่งผ่านโปรแกรมสนทนาบนโทรศัพท์มือถือก่อนที่จะขึ้นวันใหม่ มันพอจะสร้างรอยยิ้มเล็ก ๆ ให้เกิดขึ้นบนใบหน้าของเขาได้บ้าง จากนั้นตฤณกรก็พิมพ์ข้อความสั้น ๆ เพื่อขอบคุณเธอกลับไป




ครู่หนึ่งเสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้นอีกครั้ง ตฤณกรขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ มันไม่ใช่ข้อความตอบกลับของจอมขวัญแต่เป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากอีกคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อช่วงใกล้ค่ำ




 
‘ทำไมไม่บอกว่าวันนี้วันเกิดคุณ’



ชายหนุ่มยิ้มจาง ๆ ก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับ ไม่ต้องถามก็พอจะรู้ว่าเขารู้ได้อย่างไร เขาคงรู้จากน้องสาวจอมยุ่งของเขาแน่ ๆ



‘ผมเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ที่วันนี้คุณยอมให้ผมไปกับคุณด้วยก็ถือว่าดีมากสำหรับผมแล้ว’



‘ทำตัวเป็นพระเอก คิดว่าเท่มากหรือไง’



‘เปล่าสักหน่อย’ ตฤณกรส่งข้อความกลับไปก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนเตียง เขานอนจ้องมันอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีทีท่าว่าคนที่ปลายทางจะตอบอะไรกลับมา



เสียงโทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่ดังขึ้นจากห้องนั่งเล่นทำให้ชายหนุ่มต้องผุดลุกขึ้นและรีบเดินออกไปจากเตียงทันที



“สวัสดีครับ”


‘คุณตัง หลับแล้วหรือยังครับ ผมขอโทษทีที่ต้องโทร.มารบกวน’


เมื่อได้ฟังเสียงของคนที่ปลายสาย ชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคอนโด ถ้าหากไม่มีเรื่องสำคัญมาก ๆ จริง ๆ เขาคงไม่โทร.ขึ้นมาในเวลาใกล้เที่ยงคืนแบบนี้แน่



“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่จ่อย”


‘คือ มีคนฝากของให้คุณตังครับ ตอนแรกผมว่าจะเอาให้พรุ่งนี้ แต่เขากำชัดว่าให้เอาให้คุณคืนนี้ให้ได้’


“เหรอครับ ถ้าอย่างนั้นพี่จ่อยฝากไว้ที่เคาน์เตอร์นะครับ เดี๋ยวผมลงไปเอา”


ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ก่อนจะคว้าคีย์การ์ดออกไปจากห้องพร้อมกับความรู้สึกสงสัยว่าใครกันที่ฝากของมาให้เขาในตอนดึก ๆ ดื่น ๆ เช่นนี้



เมื่อตฤณกรลงไปถึงเคาน์เตอร์ต้อนรับของคอนโด เขาก็พบกับพนักงานรักษาความปลอดภัยร่างเตี้ยล่ำที่กำลังยืนรออยู่ ในมือของเขาถือถุงกระดาษเล็ก ๆ สีฟ้ามีลายจุดสีขาวใบหนึ่ง


“นี่ครับคุณตัง ดีนะที่เพื่อนคุณตังเขามาตอนผมยังไม่ออกเวร ไม่อย่างนั้นไอ้พวกนั้นมันคงได้ให้คุณตังตอนเช้าแน่ ๆ” พูดจบเขาก็ส่งถุงกระดาษลายสวยมาให้


“ขอบคุณนะครับ” ตฤณกรกล่าวพร้อมกับรับมา


เมื่อกลับมาถึงห้องเขาก็จัดการเปิดถุงออกดูก่อนจะหยิบกล่องพลาสติกทรงสามเหลี่ยมออกมาวางบนโต๊ะทำงาน ทันทีที่เห็นสติ๊กเกอร์ชื่อร้านบนกล่องพลาสติก เขาก็จำได้ทันทีว่าเป็นร้านที่เขาได้พบกับจอมขวัญและอาทิตย์ทัศน์ครั้งแรก ในกล่องใสมีเค้กบลูเบอรีชิ้นโตอยู่หนึ่งชิ้นพร้อมกับเทียน 1 เล่ม ตฤณกรยิ้มกับตัวเองก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนเตียงซึ่งมีข้อความถูกส่งมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน


‘ดึกป่านนี้ก็หาได้แค่นี้แหละ คนอะไรโคตรเก่ง’



คนตัวสูงยิ้มจนแก้มแทบปริเมื่อได้อ่านข้อความที่ถูกส่งมา เขาเดินหายเข้าไปในโซนทำครัวก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งพร้อมไฟแช็คและช้อนเล็ก ๆ หนึ่งคัน จากนั้นก็จัดการเปิดกล่องเค้กออก ปักเทียนและจุดไฟ



อาทิตย์ทัศน์หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนที่นั่งข้างคนขับขึ้นมาดูเมื่อมีเสียงเตือนข้อความเข้า มีข้อความสั้น ๆ ถูกส่งมาพร้อมกับภาพของชายหนุ่มกับเค้กวันเกิดชิ้นเล็กของเขา



‘ขอบคุณนะครับ คนเก่งของผม’

‘5555555555’




“ไอ้บ้าเอ๊ย” รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอาทิตย์ทัศน์ ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงก่อนจะสตาร์ทรถและขับออกไปจากมุมหนึ่งของลานจอดรถหน้าคอนโด







‘หลับหรือยังคุณ’


ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความที่ถูกส่งมาเมื่อสักครู่ เลขดิจิตัลที่หน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาเกือบตีสอง อาทิตย์ทัศน์จรดปลายนิ้วลงบนหน้าจอพิมพ์ข้อความตอบกลับไป


‘หลับแล้ว’


ตฤณกรขมวดคิ้วก่อนจะยิ้ม


‘แล้วนี่ผมคุยอยู่กับใครครับ’


‘แล้วคุณจะคุยกับใครล่ะ’


‘ผมจะคุยกับสุดหล่อเจ้าของเครื่อง’


‘ถ้าอย่างนั้นคุณคุยไม่ผิดคนหรอก ผมเอง’


ตฤณกรหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้อ่านข้อความนั้น


‘พอ ๆ เลิกเล่น’


ไม่ข้อความใด ๆ ถูกส่งกลับมานอกจากรูปการ์ตูนหน้าเหยเก


ตฤณกรอมยิ้มก่อนจะพิมพ์ข้อความกลับไป





‘ผมโทรไปได้ไหม’






จะว่าไปตั้งแต่ที่เขาได้เบอร์โทรศัพท์นี้มา เขาก็ไม่เคยโทรไปคุยเลยสักครั้ง นั่นคงเป็นเพราะการมีโอกาสได้เจอกันบ่อย ๆ บ่อยแบบที่เจ้าของเบอร์มักจะบ่นเสมอว่าเห็นหน้าเขาบ่อยพอ ๆ กับเห็นหน้าแม่ตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ต้องอาศัยการพูดคุยผ่านอุปกรณ์สื่อสารใด ๆ




‘มีอะไร’




‘อยากได้ยินเสียง’





แค่เพียงประโยคสั้น ๆ ก็ทำเอาหัวใจที่นอนสงบนิ่งดังก้อนหินของอาทิตย์ทัศน์กลับเต้นแรงอีกครั้ง ถึงอากาศจะเย็นสบายแค่ไหน แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าวไปหมด




‘ผมไม่อยากคุยกับคุณ’




อาทิตย์ทัศน์จ้องมองข้อความที่เขาเพิ่งกดส่งไปเมื่อครู่ ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าไมตอบไปแบบนั้น ที่ไม่อยากคุยกับเขานั่นอาจเป็นเพราะกลัวว่าคนที่ปลายสายจะได้ยินหัวใจที่กำลังเต้นโครมครามอยู่ตอนนี้ก็ได้


‘คุณไม่อยากคุยไม่เป็นไร แต่ผมอยากคุย’




“เชื่อกันเสียที่ไหน” ชายหนุ่มพึมพำแต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบอะไรกลับไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพร้อมกับภาพหน้าจอซึ่งเป็นภาพของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท้ายเรือด่วนเจ้าพระยาซึ่งถ่ายเอาไว้นานแล้ว...


นิ้วเรียวรีบกดปิดเสียงก่อนที่ตาคมจะจ้องมองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในมือ


‘รับสายสิคุณ’ ข้อความสั้น ๆ ถูกส่งกลับมาก่อนที่โทรศัพท์จะสั่นอีกครั้ง


อาทิตย์ทัศน์ตัดสินใจกดรับโดยที่ไม่ได้พูดอะไร


“จ้า....”


“คุณฟังผมอยู่ใช่ไหม” ตฤณกรเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของคนที่ปลายสาย


“ผมแค่อยากขอบคุณ.....สำหรับของวัญวันเกิดในวันนี้นะ”


“เดี๋ยวผมจะเก็บไว้ไม่กินเลยคอยดูสิ” คนปลายสายพูดกลั้วหัวเราะ




“อย่ามาเยอะ คุณจะเก็บเอาไว้ทำไม”




ตฤณกรหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “ยอมพูดกับผมแล้วเหรอ”


“คุณมันชอบพูดจากวนโมโห ผมไม่อยากคุยกับคุณก็เพราะแบบนี้แหละ”


“ก็เวลาผมพูดดี ๆ คุณก็ไม่พูดกับผม ผมก็เลยต้องพูดกวนโมโหแบบนี้ไง แล้วก็ได้ผลทุกที”






“ผมขอบคุณจริง ๆ นะ คุณรู้ไหม มันเป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในชีวิตของผมเลยนะ”


“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว คุณขอบคุณเกินของที่ผมให้แล้ว” อาทิตย์ทัศน์กล่าว


“ไม่เกินหรอก”


สิ้นเสียงของตฤณกรต่างฝ่ายต่างก็เงียบไป เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน


“ดึกแล้ว คุณรีบไปแปรงฟันนอนเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมายิ้มรับเลขสามอย่างมั่นใจ”


“คุณนี่มันตัวแสบ ผมสงสัยจริง ๆ ว่าที่คุณส่งเค้กมาให้ผมตอนเที่ยงคืนเนี่ยเพราะตั้งใจจะให้จริง ๆ หรือตั้งใจแกล้งให้ผมไม่ได้นอนกันแน่”


“แล้วแต่คุณจะคิดครับ” อาทิตย์ทัศน์พยายามกลั้นหัวเราะ


“ผมจะไปนอนแล้วนะ”


“อือ”



“คุณจะไม่อวยพรวันเกิดให้ผมหน่อยเหรอ”


“อืม...” ชายหนุ่มนิ่งคิด


“ไม่ต้องถึงกับอันเชิญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ได้นะคุณ ท่านจำวัดกันหมดแล้ว” ตฤณกรหัวเราะ


“กวนประสาท” อาทิตย์ทัศน์พึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ถ้าอย่างนั้น....ขอให้คุณสมหวังในทุก ๆ เรื่องก็แล้วกัน”


“ขอบคุณครับ” คนที่ปลายสายกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนจะวางสายไป




ครู่หนึ่งอาทิตย์ทัศน์ก็ได้รับข้อความที่ทำให้เขาเองกลับเป็นฝ่ายที่ต้องนอนไม่หลับแทน....











‘มีเรื่องหนึ่งที่ผมคงไม่สมหวังแน่ ๆ ถ้าคุณไม่ให้โอกาส’







...


โอ้โห คุณ RoseBullet วิเคราะห์ได้สุด ๆ มากค่ะ เรื่องน้องของตวงมันบังเอิญค่ะ

สรุปว่าอยากเป็นอะไร เดี๋ยวตังมาบอกอีกทีค่ะคุณ AGALIGO ขอซ้อมก่อน

ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นท์นะคะทุกคน ขอบคุณที่ชอบเรื่องนี้ค่ะ ^^



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2013 18:25:04 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ RoseBullet

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1027
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
*กรีดรว้องงงงงงงงงงงงงงงงง* (ขออภัย วิบัติเพื่อความสะใจ ฮ่าๆๆ)
ตอนนี้น่ารักเวอร์ๆ อมยิ้มตั้งแต่จ้ายอมให้ตังไปด้วย ตอนจ้าแอบกัดตังก็ขำอ่ะ
แต่ตังนี่ก็ให้ลุคพระเอกหมาน้อยตัวโตนะ
จนกระทั่งถึงตอนตังจับคางจ้าให้หันมายิ้มให้ตัวเองน่ะ กรีดร้องงงงงงง ยิ้มแก้มแตกเลยขอบอก โอ๊ยๆๆๆ น่ารักแบบอัดแน่นใจมากๆ
เค้าอวยพรวันเกิดกัน โทรคุยกัน แต่ละประโยคฟินเฟอร์ ทั้ง'คนเก่งของผม' และโดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ค้างงงงงง
อ้อ ยิ้มมาทั้งตอนแต่มีมาเหี่ยวๆนิดนึงตรงที่จ้าคุ้นๆบ้านกับหมู่บ้านที่ตังขับรถผ่านไปคอนโดอ่ะ
ทำไมมันรู้สึกหวั่นใจจังว่าอดีตกำลังจะย้อนกลับมา ฉะนั้นขอเตรียมไม้ตียุงกับยาฉีดไว้เตรียมป้องกันไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ ฮ่าๆๆ

ปล.เพิ่งเห็นคุณคนเขียนมาอิดิทเรื่องน้องชายของตวง เฮ้ออออ โล่งอกไปที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2013 17:33:10 โดย RoseBullet »

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
จ้ายอมๆ ไปเถอะเพื่อความฟินของประชาชี

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
อร๊ายยยยยย อ่านไปยิ้มไป
จ้าเปิดใจมากขึ้นนะ ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อน
เจอตังรุกหนักมากขึ้นทุกวัน คงใจอ่อนขึ้นบ้างล่ะ
 :mew3:  :mew1:

Tasaitatsu

  • บุคคลทั่วไป
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อ่านเรื่องนี้แล้วปลื้มปริม ยิ้มจนแก้มจะแตก >////<

ขอโทษที่ความเห็นไม่มีสาระอะไร เพราะมัวแต่ปลื้มปริมกับพี่ตังและอาจารย์จ้าอยู่
ขอบคุณสำหรัตอนนี้ค่าาาาาา ( ´ ▽ ` )ノ

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
เข้าใกล้ขึ้นอีกนิดละนะ  :mew1:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 14 : คำสัญญาของต้นหญ้าและการกลับมาของเพื่อนเก่า







“พี่จ้าคะ อาทิตย์หน้าพี่จ้าจะไปงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าที่โรงเรียนไหมคะ” จอมขวัญกล่าวขึ้นขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนรอรถไฟฟ้าที่สถานีในตอนเย็นหลังเลิกงาน


“ไปสิ ขวัญจองให้ห้องพี่ด้วยนะ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวกับคนตัวเล็ก เธอยังคงทำหน้าที่ของศิษย์เก่าและอดีตประธานนักเรียนได้เป็นอย่างดี


“ได้ค่ะ ปีนี้ขวัญว่าจะช่วยพี่ตังไปด้วยแหละ” จอมขวัญยิ้มหวาน


“จะชวนไปทำไมกัน”


“ก็ปีนี้ขวัญอยากควงหนุ่มคนอื่นที่ไม่ใช่พี่จ้าบ้างนี่นา”


“เบื่อพี่แล้วเหรอ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะเอื้อมมือโยกศีรษะของน้องสาวเบา ๆ


“ใช่ เบื่อพี่จ้าแล้ว” คนตัวเล็กหัวเราะ



ในที่สุดงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียนก็มาถึง ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันต่างมาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝั่งคั่ง จอมขวัญยืนรอตฤณกรอยู่ที่หน้าโรงเรียนตามที่ได้นัดกันไว้ก่อนจะพาเขาไปนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อน ๆ ของเธอ


คนตัวสูงแอบมองชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากางเกงสีครีมเข้ากับธีมของงานที่นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่งซึ่งกำลังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนาน


“แก พี่จ้าแกอ่ะหล่อเนอะ” สาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างจอมขวัญเอ่ยขึ้นก่อนจะสะกิดให้เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ หันไปดู


“ยิ่งโตยิ่งหล่อ” อีกคนหนึ่งเสริม ก่อนที่บรรดาสาว ๆ จะพากันพูดถึงหนุ่มหล่อโต๊ะใกล้ ๆ ที่ไม่ได้อยู่เรื่องอะไรกับเขาเลย


“ยิ้มอะไรคะพี่ตัง” จอมขวัญสะกิดเมื่อเห็นตฤณกรเอาแต่นั่งอมยิ้ม


“เขินแทนคนหล่อครับ” ชายหนุ่มหัวเราะ


“มีอย่างนี้ด้วยเหรอคะ” คนตัวเล็กขมวดคิ้วยิ้ม ๆ


“แก พี่จ้าเขามีแฟนหรือยังน่ะ” สาวน้อยคนเดิมสะกิดถามจอมขวัญ


“อืม...ไม่รู้สิ ก็ไม่เห็นจะคุยกับใคร” คนตัวเล็กกล่าวก่อนจะหันไปสบตาคนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อยากจะบอกเพื่อนเหลือเกินว่าเธอเองยังไม่เห็นว่าอาทิตย์ทัศน์จะคุยกับใครนอกจากคนที่นั่งยิ้มอยู่ข้างเธอนี่แหละ


“แล้วพี่ตังละคะ มีแฟนหรือยัง”


เมื่อโดนยิงด้วยคำถามนี้ตฤณกรถึงกับไปไม่ถูก สาว ๆ สมัยนี้ออกตัวแรงจริง ๆ  เขาทำหน้าเหรอหราก่อนจะตอบตะกุกตะกัก “เอ้อ...คือ ก็ เอ่อ มีคนที่ชอบอยู่น่ะครับ”


“ตาย ๆ ไม่รู้ว่าใครคืนคนที่โชคดีนะคะ”


คนตัวสูงหันไปสบตาสาวน้อยที่นั่งกลั้นหัวเราะอยู่ข้าง ๆ อยากจะตอบเพื่อนของเธอไปเหมือนกันว่าคนโชคดีที่ว่าก็คือคนเดียวกับที่พวกเธอกำลังนั่งจ้องเขาอยู่นั่นแหละ






“ยัยขวัญ” สาวน้อยนางหนึ่งกระซิบเมื่อออกจากห้องน้ำ “พี่ตังเขามาจีบแกเหรอ”


“เฮ้ย จะบ้าเหรอ เขาไม่จีบฉัน แค่รู้จักกันเฉย ๆ แกนี่คิดไปกันใหญ่”


“แล้วไป คิดว่าแกจะทำลายสโลแกนสาวโสดแซ่บเวอร์ของกลุ่มเราแล้วเสียอีก”


จอมขวัญหัวเราะก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินกลับเข้าไปในงาน บนเวทีพิธีกรซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับเธอกำลังพูดถึงศิษย์เก่าคนหนึ่งที่ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นที่นำชื่อเสียงมาสู่โรงเรียน เมื่อพิธีกรพูดชื่อของเขาจบเสียงปรบมือค่อย ๆ ดังขึ้น


ตฤณกรยืดตัวชะเง้อมองร่างสูงของใครคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นกลางเวทีพร้อมกับเสียงอินโทรเพลงประกอบละครที่ดังมาก ๆ สมัยที่เขาเรียนมัธยมต้น เสียงกรีดร้องของบรรดาสาว ๆ ทำเอารู้สึกหูอื้อไปหมด เขามองสาวน้อยตัวเล็กที่กำลังเดินมานั่งลงใกล้ ๆ ตาคู่สวยของเธอยังคงจ้องไปที่เจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่บนเวที


“เขาชื่ออะไรน่ะขวัญ พี่ได้ยินไม่ถนัด แต่สาวกรี๊ดน่าดูเลยนะ”


“ดร.ณัฐนนท์ จิระตระกูล” มันแทบจะไม่มีเสียงออกจากปากบางของเธอ




ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมกางเกงสแล็คสีดำคลุมทับด้วยสูทเข้ารูปยิ้มให้กับพิธีกรก่อนจะรับไมโครโฟนมาถือไว้...



ริมฝีปากหยักได้รูปขยับช้า ๆ เมื่อดนตรีท่อนอินโทรวูบหายไป จากนั้นเสียงนุ่ม ๆ ของเขาก็ดังคลอไปกับเสียงดนตรี “ยังจำฉันได้หรือเปล่า ก่อนนั้นใครที่เคยเหมือนเป็นเงาของเธอ”


เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาว ๆ ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งในขณะที่ร่างสูงค่อย ๆ เดินมายืนที่กลางเวทีค่อนมาข้างหน้า


“จะเนิ่นนานสักเพียงใด ก็รู้ว่าเธอไม่ลืมที่เคยรักกัน”



“คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า อย่างที่ใจฉันคอยคิดถึงเธอทุกวัน อย่าบอกเลยว่าเธอลืมไม่คิดถึงกัน เมื่อในแววตาบอกมาว่าเธอไม่ลืม”


คนบนเวทียิ้มก่อนจะยื่นไมโครโฟนให้ทุกคนช่วยกันร้อง  หลาย ๆ คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาซึ่งนั่งอยู่ด้านล่างต่างก็ร้องประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน “ยาวนานสักเท่าใด ความจริงในหัวใจฉันรู้ว่ามันไม่ลบเลือน แววตาที่เห็นกันยังคงจะย้ำเตือนความหมาย ว่าเรายังรักกันอยู่เหมือนเก่า”


“พี่จ้า” จอมขวัญเอ่ยขึ้นเมื่อนึกได้ เธอรีบหันไปมองหาพี่ชายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้กันทันที แต่เธอก็พบว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป



อาทิตย์ทัศน์จ้องมองดูชายหนุ่มที่ไม่ได้พบกันนับสิบปีซึ่งขณะนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาจากมุมหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้เขาดูเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งรอยยิ้ม น้ำเสียงหรือแม้กระทั่งท่วงท่าการเดิน อาทิตย์ทัศน์ยังคงจดจำทุกอย่างเกี่ยวกับเขาได้ดี การได้พบกันอีกครั้งในวันนี้ทำให้รู้สึกใจหวิว ๆ อย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นกลางเวที ลมหายใจนั้นก็พาลจะหยุดลงเสียดื้อ ๆ ภายในใจของอาทิตย์ทัศน์ขณะนี้เต็มไปด้วยหลายความรู้สึก ทั้งดีใจ น้อยใจ และสงสัย มีคำถามมากมายที่อยากจะถามตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา



“คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า อย่างที่ใจฉันคอยคิดถึงเธอทุกวัน อย่าบอกเลยว่าเธอลืมไม่คิดถึงกัน เมื่อในแววตาบอกมาว่าเธอไม่ลืม ยาวนานสักเท่าใด ความจริงในหัวใจฉันรู้ว่ามันไม่ลบเลือน ในใจยังย้ำเตือน และยังคิดถึงกันเสมอ ก็เรายังรักกันอยู่ใช่ไหม”


ณัฐนนท์กวาดสายตามองไปรอบ ๆ หวังจะได้พบกับใครคนหนึ่งแต่กลับไร้ซึ่งเงาของเขา....



“อยากจะขอวันนี้ เป็นเหมือนวันนั้น ที่ฉันยังมีเธออยู่ข้างกาย อยากจะขออีกครั้ง อีกครั้งได้ไหม มาเริ่มความรักใหม่ ให้เหมือนเดิมอีกคราว.....”


โน้ตตัวสุดท้ายจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง


“เอาละค่ะ ขอต้อนรับอีกครั้งนะคะ สำหรับดร.ณัฐนนท์ จิระตระกูล วิศวกรหนุ่มหล่อของบริษัทซอฟท์แวร์ชื่อดังในอเมริกา หรือพี่นนท์ห้องมอหกทับหนึ่งของน้อง ๆ นั่นเองนะคะ” พิธีกรสาวสวยบนเวทีเอ่ยขึ้น



“และสำหรับเพลงที่จบไปเมื่อสักครู่นะคะ ถ้าใครเกิดทัน” เธอหัวเราะ “ต้องใช้คำว่าถ้าใครเกิดทันกันเลยทีเดียวนะคะ คงจะจำได้ว่าเป็นเพลงประกอบละครที่ดังมาก ๆ สมัยที่พวกเราเรียนประถมหรือพี่ ๆ บางคนกำลังเรียนมัธยม ชื่อของเพลงนี้ก็คือ ยังรักกันอยู่ใช่ไหมนั่นเองนะคะ”


“ไม่รู้ว่าพี่นนท์ร้องเพลงนี้เพื่อจะถามอะไรใครเป็นนัยหรือเปล่าคะ พวกสาวนาฏศิลป์อะไรอย่างนี้” เมื่อสิ้นเสียงพิธีกรสาวสวยบรรดาคนที่นั่งอยู่ข้างล่างก็พากันเป่าปากโห่ร้อง ชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนเวทีเองก็ได้แต่ยิ้มเขิน ๆ


“ตายจริง ดิฉันพูดมาเสียยาวเลย เรามาคุยกับพี่นนท์กันสักนิดดีกว่านะคะ มาถามกันดีกว่าว่าพี่นนท์ว่ารู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นประจำปีนี้”


“ก็....ดีใจมาก ๆ นะครับ แล้วก็ต้องขอบคุณท่านอาจารย์ทุกท่าน พี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อน ๆ ทุกคนที่ให้โอกาสนี้กับผม”


“แล้วเป็นอย่างไรบ้างคะพี่นนท์ ไปอยู่อเมริกามาตั้งสิบกว่าปี ไม่คิดถึงคนทางนี้บ้างเหรอคะ”


“อยู่อเมริกาก็เรียนหนักครับ พอจบปริญญาตรีก็ต้องทำงานด้วยเรียนต่อด้วย ไม่มีเวลาให้ทำอะไรอย่างอื่นเลย”


“แล้วนี่พี่นนท์จะกลับมาอยู่เมืองไทยเลยไหมคะ หรือว่าจะกลับไปเมื่อไร”


“กลับมาคราวนี้คงมาอยู่สักพักครับ เพราะว่าที่บ้านพี่กำลังจะย้ายไปอยู่อเมริกา มาคราวนี้ก็มาทำเรื่องโอนขายบ้านนิดหน่อย”


“ว้า อย่างนี้สาว ๆ โรงเรียนเราก็อกหักไปตาม ๆ กันน่ะสิคะ ว่าแต่ไปอยู่อเมริกาถาวรแบบนี้จะมีข่าวดีทิ้งท้ายไว้ใช้ชาวฟ้า-ขาวได้ร่วมยินดีล่วงหน้าหรือเปล่าคะพี่นนท์”


ชายหนุ่มร่างสูงอมยิ้มก่อนจะกล่าว “ก็...มีแพลนว่าจะแต่งงานต้นปีหน้าครับ”


สิ้นเสียงของณัฐนนท์ เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นเกรียวกราวอีกครั้ง


“ฟังไว้นะคะสาว ๆ” พิธีกรสาวสวยกล่าวทิ้งท้ายก่อนที่พิธีมอบรางวัลจะดำเนินต่อไป


อาทิตย์ทัศน์รู้สึกหูอื้อไปตั้งแต่ที่คนบนเวทีตอบคำถามข้อต้น ๆ แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินเลี่ยงมานั่งลงที่อัฒจรรย์ข้างสนามบาส แต่เสียงบนเวทีก็ยังคงดังชัดเจนและต่อเนื่อง



“ขวัญจะไปไหนน่ะ” ตฤณกรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นจอมขวัญลุกพรวดพราดออกไปซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มบนเวทีกำลังเดินลงมา สีหน้าและแววตาเอาเรื่องแบบนั้นทำให้เขาอดที่จะรีบตามไปไม่ได้


ณัฐนนท์แวะคุยกับเพื่อน ๆ ของเขาที่โต๊ะก่อนจะพยายามมองหาใครคนหนึ่ง เมื่อไม่เห็นคนที่กำลังมองหา ชายหนุ่มจึงเดินถือโล่ห์รางวัลไปเก็บที่รถ


คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่าตรงหน้าของเขาคือสาวน้อย ‘จอมยุ่ง’ ที่ไม่ได้พบกันเสียนาน


“ขวัญใช่ไหม” เขาเอ่ยขึ้น


“สวัสดีค่ะพี่นนท์” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ


“อืม ไม่เจอกันนานเลยนะ” ณัฐนนท์กล่าวก่อนจะเหลือบมองคนตัวสูงที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล


“ใช่ค่ะ นานมาก นานพอที่จะทำให้เราลืมหลาย ๆ อย่างได้เลย”


ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้า “แล้วจ้าล่ะ จ้าไม่มาด้วยเหรอ”


“พี่นนท์ยังจำพี่จ้าได้ด้วยเหรอคะ”


“ขวัญหมายความว่ายังไง” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว


“ขวัญคิดว่าพี่นนท์ลืมว่ามีเพื่อนอย่างพี่จ้าไปแล้วเสียอีก”


“นี่ไม่ใช่เวลามาพูดประชดประชันพี่นะ บอกมาเถอะว่าจ้าอยู่ที่ไหน พี่อยากพบจ้า”


จอมขวัญจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า น้ำเสียงเรียบ ๆ ของเขาทำให้เธอรู้สึกอยากจะได้ ‘พี่นนท์จอมกวนประสาท’ ของเธอกลับคืนมานับตั้งแต่วินาทีนี้ เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ทั้งการพูดการจารวมถึงท่าทางที่ไม่มีแววขี้เล่นเหมือนเมื่อก่อน นั่นอาจเป็นเพราะฐานะทางสังคมและสภาพแวดล้อมที่ตีกรอบให้เขาต้องรักษาท่าทีอยู่ตลอดเวลา


“ไม่รู้ ขวัญก็ตามหาพี่จ้าอยู่เหมือนกัน”


ณัฐนนท์มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะหยอกเล่นกับ ‘ยัยจอมยุ่ง’ คนนี้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เขาเดินผ่านร่างบางไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก


ตฤณกรสบตาชายหนุ่มความสูงพอ ๆ กันที่กำลังจะเดินผ่านเขาไปแว้บหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาจอมขวัญที่ยังคงหันมาจ้องแผ่นหลังกว้างนั้นตาเขม็ง พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด และนี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมอาทิตย์ทัศน์ถึงได้สร้างกำแพงสูงกั้นตัวเองเอาไว้




ณัฐนนท์เดินเลี่ยงเวทีงานคืนสู่เหย้าไปยังสนามบาสซึ่งอยู่หลังอาคารเรียน ก่อนจะเดินขึ้นไปบนอัฒจรรย์ที่ชอบมานั่งสมัยเรียน ตาคมสบประสานกับดวงตาหม่นเศร้าที่มองเขาจากฝั่งหนึ่งของอัฒจรรย์ ตาคู่สวยที่ไม่ได้เห็นมานานเหลือเกิน....


“จ้า” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น


“ไม่เจอกันนานเลยนะ” อาทิตย์ทัศน์ฝืนยิ้ม


“นาย...นายสบายดีใช่ไหม” เขากล่าวก่อนจะตัดสินใจนั่งลงที่อีกฟากของอัฒจรรย์


ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าพยักหน้า แม้จะนั่งห่างกันเท่ากับความยาวของอัฒจรรย์ แต่เขาก็ได้ยินคำถามนั้นชัดเจน “เราสบายดี แล้วนายล่ะเป็นยังไงบ้าง”


“ตอนนี้เราเป็นวิศวกรอยู่ที่ ENC” ณัฐนนท์ตอบ “ได้ข่าวจากเพื่อน ๆ ว่านายกลับไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยใช่ไหม”


อาทิตย์ทัศน์พยักหน้า


“ขอโทษนะที่ไม่ได้ติดต่อมาเลย พอดีมันมีเรื่องวุ่นวายหลายอย่าง”


“เราฟังที่นายตอบคำถามแล้ว เราเข้าใจทุกอย่าง นายไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วละ” อาทิตย์ทัศน์กล่าว เรื่องราวทั้งหมดเขาได้ฟังจากเสียงสัมภาษณ์บนเวทีไปแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องถามหรืออธิบายกันอีกต่อไป แค่การตอบคำถามสั้น ๆ เมื่อสักครู่ก็ช่วยไขข้อข้องใจตลอดสิบเอ็ดปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี


ณัฐนนท์เม้มปาก สองมือที่วางอยู่บนหน้าขายังคงกำแน่น เขาใช้ความคิดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป


“เราไม่เคยลืมสัญญานะ ไม่เคยลืมมันแม้แต่วินาทีเดียว” ดวงตาที่เคยแข็งกร้าววูบหม่นลงเล็กน้อย “คงเป็นเพราะเวลาที่ทำให้เราโตขึ้น ต้องคิดอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น การจะตัดสินใจรักใครสักคนมันไม่ใช่แค่เรื่องของเรากับเขา มันไม่ใช่แค่คนสองคน แต่มันมีคนอื่นที่เราต้องนึกถึงอีก มันมีรายละเอียดอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง นายเข้าใจที่เราพูดใช่ไหม”



“เราเข้าใจ”



“นายไม่โกรธเราใช่ไหม ถ้าเราจะเป็นเพื่อนกันอย่างนี้” มันเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะกลับมาพูดกับคนตรงหน้าให้ได้ในสักวันหนึ่ง รู้ดีว่าตัวเองผิดเหลือเกินที่ปล่อยให้เวลามันผ่านเลยมานานเช่นนี้ คำสัญญาในวันนั้นยังคงพันธนาการที่มองไม่เห็นซึ่งผูกมัดตัวเขาเองกับใครอีกคนเอาไว้ แต่เมื่อหลายสิ่งกดดันให้ต้องตัดสินใจเลือกเขาก็ต้องเลือก และต้องเลือกในสิ่งที่คิดว่า ‘เหมาะสม’ นี่เป็นเหตุผลที่เขาต้องกลับมาเพื่ออาศัยโอกาสนี้คลายปมปัญหาทั้งหมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยคิดจะกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยแต่เพราะการได้เข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ทำให้เขาได้มีโอกาสพบปะผู้คนมากมายในวงสังคม ทั้งนักการทูต นักธุรกิจ และนี่ก็คือสิ่งที่ครอบครัวของเขาพอใจและตัวเขาเองก็ค่อนข้างพอใจ ณัฐนนท์ค่อย ๆ เติบโตขึ้นในหน้าที่การงานตลอดช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา เขาถูกแนะนำให้รู้จักกับลูกสาวนักการทูตท่านหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของพ่อและมีโครงการจะแต่งงานกันในเร็ว ๆ นี้ ทั้งหมดนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของความคิดทั้งหมด มันคือสิ่งที่อาทิตย์ทัศน์รับรู้มาโดยตลอดจากเพื่อน ๆ ที่ยังติดต่อกันอยู่ มีแต่เขาเองเลือกที่จะเป็นฝ่ายรอ....



มันไม่ใช่การรอเพื่อจะขอความเห็นใจ...


ไม่ใช่การรอด้วยความหวังที่ว่า สุดท้ายแล้วเรื่องราวจะจบลงด้วยความสมหวัง...



แต่มันเป็นการรอที่จะได้ฟังความจริงทั้งหมดจากปากของณัฐนนท์   



“ขอโทษ...ที่ทำให้รอ”


อาทิตย์ทัศน์เงยหน้ามองคนที่นั่งไกลออกไป ดีเหลือเกินที่ณัฐนนท์เลือกนั่งอยู่ตรงนั้น เพราะหากชายหนุ่มเข้ามานั่งใกล้กว่านี้เขาคงได้เห็นม่านน้ำตาที่กำลังกลบตาคู่นี้



“ไม่เป็นไร นายทำในสิ่งที่นายเลือกให้ดีที่สุดเถอะ ขอบคุณมากที่บอกให้เรารู้ในวันนี้”



“ขอบใจนายมากนะจ้า”



ณัฐนนท์พยักหน้าก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืนเมื่อรู้สึกได้ว่าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกำลังสั่น “เราต้องไปแล้วนะ” เขากล่าวก่อนจะก้าวลงจากอัฒจรรย์ไป....



จอมขวัญและตฤณกรมองดูชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่บนอัฒจรรย์ด้วยความเป็นห่วง เขานั่งอยู่ตรงนั้นมาร่วมชั่วโมง ที่เวทีไม่มีการแสดงแล้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนเพิ่งกล่าวปิดงานไปเมื่อสักพักใหญ่ ๆ บรรดาคนที่มาในงานคืนสู่เหย้าต่างก็กำลังทยอยกันกลับ เสียงเป่านกหวีดของพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ลานจอดรถด้านนอกโรงเรียนดังแข่งกันเป็นระยะ ๆ ในขณะที่ไฟประดับเวทีค่อย ๆ ดับลงทีละดวง


“ขวัญกลับก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ไปส่งจ้าเอง” ตฤณกรเอ่ยขึ้นหลังจากก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบตีหนึ่ง



หญิงสาวพยักหน้า “ขวัญฝากพี่จ้าด้วยนะคะ”



ตฤณกรยังคงยืนมองอาทิตย์ทัศน์อยู่อย่างนั้นจนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไป คนตัวสูงก้าวขึ้นไปบนอัฒจรรย์ก่อนจะนั่งลงใกล้ ๆ



อาทิตย์ทัศน์เหลือบมองคนที่เดินมานั่งลงข้าง ๆ เล็กน้อยด้วยแววตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ น้ำตาที่ฝืนเอาไว้เมื่อตอนอยู่ต่อหน้าณัฐนนท์กลับเหือดหายทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด



“คุณอยากร้องไห้ไหม” ตฤณกรเอ่ยขึ้น



“ถ้าคุณอยากร้อง คุณร้องกับผมได้นะ ไหล่ของผมมันเป็นเครื่องเก็บเสียงอย่างดีเลยละ” คนตัวสูงยิ้ม



“เงื่อนไขในการใช้งานผมก็คือถ้าคุณร้องไห้กับผมแล้วห้ามกลับไปร้องไห้ที่บ้านอีก ตกลงไหม”



อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มตรงหน้า พยายามจะมองเขาให้ชัด ๆ แต่ม่านน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกลับทำให้ภาพทุกอย่างมัวไปหมด เขาโผเข้ากอดคนตัวใหญกว่าที่กำลังอ้าแขนรอรับพร้อมกับซบหน้าลงบนไหล่ของเขา




ตฤณกรเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นจับที่ศีรษะของคนในอ้อมกอด ในขณะที่อีกมือยังคงลูบหลังเขาเบา ๆ



“ไม่เป็นไรนะ” มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถจะพูดได้ในตอนนี้



เวลาผ่านไปนานทีเดียวที่อาทิตย์ทัศน์ยังคงสงบนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา แม้ไม่มีเสียงสะอื้นแต่กลับรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดเมื่อไหล่ข้างขวาของตฤณกรชุ่มไปด้วยน้ำตาและร่างเล็กเองก็พยายามอย่างเต็มกำลังเหลือเกินที่จะฝืนตัวเองไม่ให้สะอื้นออกมา...



....



“เป็นยังไงบ้างครับคุณป้า” ตฤณกรถามหญิงวัยกลางคนที่เดินถือกะละมังใส่น้ำลงมาจากบันได



“ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะ แค่มีไข้นิดหน่อย ก่อนลงมาป้าให้ทานยาลดไข้ป่านนี้คงหลับไปแล้วละ”



“สงสัยเป็นเพราะเมื่อคืนตากน้ำค้าง” ตฤณกรกล่าว



“ป้าขอบใจตังมากนะจ๊ะที่อยู่เป็นเพื่อนจ้าให้”



“ไม่เป็นไรครับ” คนตัวสูงที่ดูอิดโรยยิ้มจาง ๆ



“ตังจะทานอะไรหน่อยไหม ป้าจะทำให้ทาน”



“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมกลับคอนโดดีกว่า”



“จ้ะ” อรนุชพยักหน้าเข้าใจ




จอมขวัญรับอาสาขับรถมาส่งตฤณกรที่คอนโด ระหว่างทางเธอขับผ่านบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านที่เธอและอาทิตย์ทัศน์คุ้นเคยเป็นอย่างดี มันถูกปล่อยร้างมานาน หญิงสาวมองเข้าไปในบ้านเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนคุยกันอยู่



“ถึงแล้วเหรอ” ตฤณกรลืมตาขึ้นพร้อมกับกล่าวอย่างงัวเงียเมื่อรู้สึกได้ว่ารถหยุด



“ยังหรอกค่ะพี่ตัง” หญิงสาวกล่าวขณะมองเข้าไปในบ้าน เธอเห็นณัฐนนท์กำลังยืนคุยอยู่กับคนพวกนั้น ที่ข้าง ๆ กันมีสาวน้อยนางหนึ่งกำลังยืนเกาะแขนเขาอยู่ไม่ห่าง


“ขวัญไม่คิดเลยว่าพี่นนท์จะใจร้ายได้ขนาดนี้ ปล่อยเวลาให้มันล่วงเลยมาขนาดนี้ได้ยังไงกัน มันน่าโมโห” สาวน้อยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “พี่จ้าเองก็พอจะรู้ข่าวพี่นนท์จากเพื่อน ๆ อยู่บ้างนะคะไม่ใช่ไม่รู้ แต่ก็ยังรอ เพียงแค่อยากจะฟังจากปากของพี่นนท์”



“เขาก็คงมีเหตุผลของเขานั่นแหละขวัญ บางทีถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบเขา เราก็อาจจะทำแบบที่เขาทำก็ได้นะ ช่างเขาเถอะ เราคิดแต่เขาไม่ได้คิด ก็จะมีแต่เรานี่แหละที่ไม่สบายใจอยู่ฝ่ายเดียว พี่ว่าจ้าเองก็คงไม่อยากคิดเรื่องนี้อีกแล้วละ”


หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะออกรถพร้อมกับทิ้งความทรงจำดี ๆ ที่มีต่อพี่ชายคนหนึ่งของเธอเอาไว้ตรงนี้....






หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมาหลายวันแล้ว อาทิตย์ทัศน์พบว่าตฤณกรไม่ได้มาที่บ้านเขาอีกเลย ไม่มีแม้โทรศัพท์หรือข้อความใด ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง....



“วันนี้อาจารย์ชนะชัยมาคนเดียวเหรอวะ” หนุ่มน้อยในชุดนักศึกษาที่นั่งรีทัชภาพถ่ายอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เอ่ยขึ้น



“เออใช่ วันนี้อาจารย์อาทิตย์ทัศน์ไม่ได้มา เดี๋ยวบ่ายอาจารย์ชนะชัยคงมาถึง พวกนายอย่าลืมเตรียมสมุดประจำตัวไว้ให้อาจารย์เซ็นต์ด้วยล่ะ”



เสียงพูดคุยกันของนักศึกษาฝึกงานทำให้ตฤณกรต้องละสายตาจากงานตรงหน้า หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้เจอหน้าใครบางคน





“ชื่อคุณหมายถึงดวงอาทิตย์ใช่ไหม”



“ใช่” อาทิตย์ทัศน์ตอบ เขายังคงยืนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับหายไประหว่างยอดตึกจากบนสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ เครื่องบินลำหนึ่งกำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าไม่มีใครรู้ว่าเครื่องบินลำนั้นกำลังจะบินไปที่ไหน ตาคมก้มมองแว่นสายตากรอบสีดำในมือ หูยังคงได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังเป็นระยะ ๆ


“แล้วชื่อคุณล่ะ”



“แปลว่าต้นหญ้า” ตฤณกรกล่าว “กล้องดิจิตัลก็ดีเหมือนกันนะ ถ่ายเสร็จก็ดูรูปได้เลย ไม่ต้องไปล้างฟิล์มให้เสียเวลา”



“แล้วทำไมคุณยังใช้กล้องแมนนวลอยู่ล่ะ” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปสบตาคนตรงหน้า เพิ่งจะได้เห็นดวงตาที่ปราศจากแว่นสายตาของเขาชัด ๆ



“ผมชอบวาดรูปมากกว่า เราได้อยู่กับมันในทุกรายละเอียด อีกอย่างผมไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไรก็เลยไม่อยากเปลี่ยน นาน ๆ จะหยิบออกมาถ่ายเสียที เวลาจะถ่ายก็ต้องคิดก่อนจะขึ้นฟิล์มคิดเสมอว่ารูปที่ถ่ายออกมามันต้องเป็นรูปที่เราพอใจที่สุด ส่วนคนที่ใช้กล้องดิจิตัลจะกดกี่ทีก็ได้ ภาพไหนไม่ชอบก็ลบทิ้งไปมีภาพให้เลือกตั้งเยอะ”



“ผมวาดรูปไม่เป็น ผมก็เลยชอบถ่ายรูป” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้น



“ถ้าอยากวาดเป็นเดี๋ยววันหลังผมสอนให้” ตฤณกรยิ้มก่อนจะเล็งกล้องไปที่คนที่ยืนเท้าแขนกับแผงกั้นพร้อมกับกดชัตเตอร์



“สบายใจขึ้นหรือยัง” เขาถามเมื่อลดกล้องลง



อาทิตย์ทัศน์ละสายตาจากท้องฟ้าก่อนจะพยักหน้า “คุณมีอะไรหรือเปล่าถึงมารอผมที่นี่”



“ช่วงนี้ผมคิดว่าคุณน่าจะอยากอยู่คนเดียว ก็เลยไม่ได้แวะไปที่บ้าน ผมไม่อยากจะอาศัยเหตุการณ์นี้สร้างโอกาสให้ตัวเอง” ตฤณกรกล่าวก่อนจะคืนกล้องให้อาทิตย์ทัศน์พร้อมกับรับแว่นสายตาในมือของเขามาสวมเหมือนเดิม



“แค่นี้ใช่ไหมที่คุณจะบอกผม” คนตัวเล็กกล่าวก่อนจะเก็บกล้องลงกระเป๋า



ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนเป็นสีส้ม ไม่นานแสงไฟจากหน้าขบวนรถไฟฟ้าก็ปรากฏขึ้นไกล ๆ อาทิตย์ทัศน์เดินไปยืนรอรถไฟฟ้าข้าง ๆ คนตัวสูง เมื่อเห็นรถกำลังจะเข้าเทียบชานชลาตฤณกรจึงขยับตัวเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อไม่ให้ขวางทางคนที่จะออกจากขบวนรถ



ใกล้เสียจนอาทิตย์ทัศน์รู้สึกได้ถึงไออุ่น ๆ จากหลังมือของคนข้าง ๆ ที่สัมผัสกับหลังมือของตัวเอง



คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าขึ้นมองคนข้าง ๆ เล็กน้อย เขายังคงมองตรงไปข้างหน้าด้วยดวงตามุ่งมั่น ริมฝีปากหยักได้รูปค่อย ๆ ขยับขณะที่รถไฟฟ้ากำลังเข้าจอดเทียบชานชลา






“ผมไม่ได้เป็นท้องฟ้าหรอกนะ แต่ถ้าวันไหนคุณต้องการต้นหญ้าเอาไว้เอนตัวลงนอนมองท้องฟ้าละก็ ผมอยู่ตรงนี้ สัญญาว่าจะรอคุณอยู่ตรงนี้” เขากล่าวก่อนจะก้าวเข้าไปยืนข้างในรถไฟฟ้าเมื่อประตูเปิดออก แม้รอบตัวจะอื้ออึงไปด้วยเสียงผู้คนและเครื่องจักร แต่คำพูดของเขากลับชัดเจนในความรู้สึกของคนฟัง





ร่างสูงหันกลับมาช้า ๆ เขายังคงยิ้มบาง ๆ เพียงไม่นานสัญญาณเตือนปิดประตูก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงประตูที่ถูกปิดลงจนในที่สุดรถไฟฟ้าก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกไป.... 







.......




เพลงประกอบละครที่พูดถึงในตอนนี้ คือ เพลงประกอบละครลัดฟ้ามาหารักนะคะ

ถ้าใครคุ้น ๆ แสดงว่าอยู่ร่วมสมัยกับจ้าและตัง (รวมถึงคนเขียน) แน่ๆ

รีบเขียนก่อนจะไม่เจอกันยาวค่ะ ไม่งั้นคาใจคนเขียนคาใจคนอ่าน

จบตอนนี้แล้วขออนุญาตพักยาวไปปฏิบัติภารกิจก่อนนะคะ เจอกันหลังปีใหม่ค่ะ

ขอบคุณค่ะ ^^


ปล. ตังบอกว่า ถึงหน้าตาตังจะหล่อ แต่หัวใจตังหล่อกว่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-12-2013 13:22:09 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
แล้วบอกให้รอทำไมอะ แย่ที่สุด!
ดี จ้าเนี่ยของตัง ตังสู้ๆ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
นนท์แย่มาก ๆ ถ้าจะมาบอกแบบนี้อย่ามาร้องเพลงนั้นบนเวทีดีกว่า ขอให้รู้สึกเสียใจที่สุดในวันที่สาย จ้าเจ็บแค่ไหนนนท์ก็ขอให้เจ็บกว่า

ไม่ค่อยอาฆาตเลยเนอะ 555

ออฟไลน์ vk_iupk

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 990
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-2
อ่านเรื่องนี้แล้ว บอกได้อย่างเดียว วางไม่ลงเลยค่ะ
อ่านแล้วซึ้งกินใจมากๆๆ ได้ทุกอารมณ์เลย
ค่อยๆ รักกัน เบา เบา
รอตอนต่อไปนะค่ะ  ^ ^

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
กลับมาบอกก็ดีอย่าให้จ้าต้องรออีกเลย
สงสารคนรอบ้างเถอะ


ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เห็นแก่ตัว บอกให้รอทำไม นิสัยไม่ดีเลยนน

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ขออนุญาตทักทายและสวัสดีอีกครั้งใน reply นี้ค่ะ คุณคนอ่านทุกท่านเลย เพิ่งมีโอกาสได้สวัสดีจริง ๆ จัง ๆ
เพิ่งจะได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายสองคนที่รักกันที่นี่เป็นที่แรกค่ะ
พอดีเราชอบอ่านนิยายเชิงท่องเที่ยว ดำเนินเรื่องเรื่อย ๆ แบบนี้ เลยลองเขียนดู
ต้องบอกก่อนเลยว่าแอบหวั่น ๆ ใจเหมือนกัน ไม่รู้จะเขียนยังไงปกติไม่ได้เขียนแนวนี้ (ความรักของผู้ชายสองคน)
แต่พอเห็นคอมเม้นท์ของหลาย ๆ คนแล้วรู้สึกดีใจมาก ๆ ค่ะ
บางท่านวิเคราะห์ได้ลึกซึ้งมาก จนบางทีเรากลัวเหมือนกัน กลัวว่าทิ้งปริศนาเอาไว้แล้วตามเก็บหมดหรือยัง
อย่างเช่นเรื่องของน้องชายตวง ตามคอมเม้นท์ของคุณ RoseBullet อันนี้แบบเราทึ่งเลย
เราไม่ได้คิดพล็อตว่าเขาจะเป็นเครือญาติกับตังเลยนะ แต่พอได้อ่านคอมเม้นท์ที่วิเคราะห์แล้วต้องมานั่งคิดว่า..เออ จริงว่ะ
มันบังเอิญทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง (วิเคราะห์ได้ลึกมาก ๆ ค่ะ ชอบอ่ะ)
ทำให้เราต้องคอยตามเก็บให้หมดไม่ว่าจะปริศนา หรือตัวละครที่เคยพูดถึง แต่สนุกดีค่ะ เหมือนมีเพื่อนคุย
เรื่องยากของเราอีกเรื่องคือ จะทำยังไงให้คนอ่านรู้ว่าตังกับจ้าอายุเท่ากัน ก็เลยต้องอาศัย 'ยัยจอมยุ่ง' นี่แหละ
ในบางตอนที่พูดถึงนนท์ คุณคนอ่านหลายคนก็จะต่อว่านนท์ที่ใจร้ายกับจ้า
อย่างคอมเม้นท์ของคุณ iamnan ที่บอกว่า "รอบ้าอะไรผ่านมากี่ปีแล้วยังไม่เห็นกลับมา"  อ่านครั้งแรกเราสะดุ้งเลย 555
ได้อารมณ์มาก เหมือนอยากกระโดดถีบนนท์ออนไลน์
บางตอนหลาย ๆ คน ก็มีความสุขไปกับจ้าและตัง อาจจะอ่านไปยิ้มไปอะไรก็แล้วแต่
ส่วนเราเองอ่านคอมเม้นท์ไปเราเองก็ยิ้มไปเหมือนกัน ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ


ขอให้มีความสุขกับการอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ






(อาจจะกล่าวถึงไม่ครบทุกท่าน แต่เราอ่านทุกคอมเม้นท์ คอมเม้นท์ละหลาย ๆ รอบนะ ไม่ต้องน้อยใจจ้ะ ^^)






 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-07-2014 13:35:08 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

พ่อต้นหญ้า

พ่อพระเอกกกกกก

+ 1 + เป็ดจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
นนท์เป็นคนที่เห็นแก่ตัวจริงๆ คำพูดพล่อยๆ ที่ไม่ได้คิดของตัวเองเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน มันผูกมัดคนคนนึงไว้จนไม่สามารถก้าวผ่านความทุกข์ไปเริ่มต้นใหม่ได้ อย่างน้อยก็น่าจะเห็นใจคนรอบ้าง ในฐานะเพื่อนก็ยังดี

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ตามอ่านจนถึงตอนที่ ๑๔

อยากบอกว่าชอบเนื้อเรื่องแบบนี้มากครับ เรียบๆ ค่อยเป็นค่อยไปไม่หวือหวามาก

พระนาย กว่าจะเจอกันได้ก็สนุก น่ารักดี

อ่านตอนล่าสุดแล้วปวดใจแทนจ้าจังเลย เฮ้อออออ :z3:

ยังไงก็รออ่านหลังปีใหม่อยู่นะครับ รีบๆมาต่อนะ เป็นกำลังใจให้ครับ :impress2:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ช่วงนี้งานเยอะ การบ้านเยอะ นึกว่าต้องรอหลังปีใหม่ซะแล้วถึงจะมีเวลาเขียน

วันนี้คิดถึงสองคนนี้ พอมีเวลาว่างเลยมาเขียนต่อค่ะ 


^^



ตอนที่ 15 : สติขาดแต่ไม่ได้ขาดสติ





อาทิตย์ทัศน์ขยับตัวบิดขี้เกียจหลังจากนั่งทำเอกสารงานออกร้านของมหาวิทยาลัยอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคมาร่วมชั่วโมง ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นแม่ที่โซฟา เธอยังคงเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือเย็บปักถักร้อย ชายหนุ่มค่อย ๆ เอนหลังลงนอนหนุนตักอุ่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันแสนอ่อนโยนนั้น อรนุชปิดหนังสือลงและยิ้มให้ลูกชายพร้อมกับวางมือบนเรือนผมดำสนิท แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใดแต่เขาก็ยังคงเป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ น่ารักที่ของเธอเสมอ อาทิตย์ทัศน์จับมือของผู้เป็นแม่มาวางแนบข้างแก้มก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ



“อายุสามสิบแล้วยังจะอ้อนแม่อยู่อีกนะลูกคนนี้” อรนุชกล่าวกับเจ้าของใบหน้าระบายยิ้มที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนตัก


“แม่เหนื่อยไหมที่ต้องเลี้ยงจ้า”


“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะลูก”


“ก็ตั้งแต่พ่อไม่อยู่ เราก็อยู่กันแค่สองคน แม่ต้องคอยเป็นทั้งพ่อและแม่ให้จ้า ตอนเด็ก ๆ จ้าเห็นแม่ทำงานหนักแทนที่จะสบายเหมือนแม่ของคนอื่น ๆ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะลืมตาขึ้น


“ถึงจะเหนื่อยแต่แม่ก็มีความสุขนะที่ได้ทำเพื่อลูก ยิ่งวันนี้เห็นลูกประสบความเร็จแม่ก็ยิ่งภูมิใจในสิ่งที่แม่ทำ” ผู้เป็นแม่กล่าวพร้อมกับลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ


อาทิตย์ทัศน์พยักหน้า เขารับรู้ถึงความรักของแม่ได้ดี แม้พ่อจะไม่อยู่แล้วแต่แม่ก็ยังมั่นคงเสมอ แม่ไม่เคยชายตามองใครที่เข้ามาเกาะแกะ ทั้งที่นั่นอาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวสบายกว่าที่เป็นอยู่ก็ตาม


“แม่รักพ่อมากไหม”


“มากที่สุดในชีวิตเลยละ” อรนุชยิ้ม “แต่นั่นมันก่อนที่ลูกจะเกิด”


ตาคมมองผู้เป็นแม่อย่างไม่เข้าใจ


“พ่อเคยเป็นผู้ชายที่แม่รักมากที่สุดในชีวิต”


“เคยเป็น...เหรอครับ” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้ว


“ใช่จ้ะ พ่อเคยเป็นผู้ชายที่แม่รักมากที่สุดในโลก จนกระทั่งวันที่ลูกเกิดแม่ก็รู้ทันทีว่าวันนั้นพ่อคงไม่ใช่ผู้ชายที่แม่รักที่สุดในโลกอีกต่อไป”


อาทิตย์ทัศน์ยิ้มก่อนจะกระชับมืออุ่น ๆ กับข้างแก้ม “วันที่แม่รู้ว่าไม่มีพ่อแล้ว แม่เสียใจมากไหม”






ผู้เป็นแม่นิ่งคิด “ตอนนั้นแม่รู้สึกว่าทุกอย่างมันพังทลาย เหมือนหัวใจแตกสลาย แม่รักพ่อของลูกมาก มากเสียจนไม่รู้ว่าถ้าไม่มีพ่อแล้วแม่จะอยู่ต่อไปได้ยังไง”


“แต่แม่ก็อยู่เพื่อจ้า” อาทิตย์ทัศน์กล่าว


ผู้เป็นแม่ยังคงยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยนที่สุด “ถ้าไม่มีลูกคนแม่ก็คงไม่รู้จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร”


“ขอบคุณนะครับแม่” อาทิตย์ทัศน์กล่าว


“ลูกมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ทำไมอยู่ ๆ ก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา”


“เปล่าครับ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะค่อย ๆ พลิกตัวนอนตะแคงและหลับตาลงอีกครั้ง


อรนุชเลื่อนมือไปวางบนแผ่นหลังของลูกชายพร้อมกับลูบเบา ๆ เขามักจะชอบให้ทำแบบนี้เวลาที่มีเรื่องทุกข์ใจ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน มีหรือที่ผู้เป็นแม่อย่างเธอจะไม่รู้ว่าลูกชายกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ








“พักนี้ไม่เห็นตังแวะมาที่บ้านเราเลยนะลูก”


“ไม่มาก็ดีแล้วครับ” อาทิตย์ทัศน์ตอบทั้งที่ยังหลับตา


“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”


“เปล่าครับ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน” ชายหนุ่มกล่าว


“แปลกจัง แล้วทำไมหายไปเลย สงสัยท้อแล้วมั้ง” อรนุชกล่าวด้วยน้ำเสียงล้อ ๆ


คำพูดของผู้เป็นแม่ทำให้อาทิตย์ทัศน์ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ท้อเรื่องอะไรครับแม่” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว


“ก็ท้อที่ลูกชายแม่ใจแข็งน่ะสิ” ประโยคถัดมาของแม่ยิ่งทำให้ผู้เป็นลูกชายตกใจเข้าไปอีก “แม่ดูออกนะว่าเขาคิดยังไงกับจ้า” เธอยิ้ม


“แต่จ้า...” อาทิตย์ทัศน์หยุดไว้แค่นั้นก่อนจะทบทวนบางอย่างในใจ “ถ้าไม่รัก เราก็ไม่ต้องเจ็บไม่ใช่เหรอครับแม่”


ผู้เป็นแม่ยิ้ม มือที่มีแต่ริ้วรอยนั้นยังคงลูบไปตามแผ่นหลังของลูกชาย “ที่ผ่านมาลูกอาจจะเจ็บ อาจจะร้องไห้ มันอาจเป็นวันที่ลูกอ่อนแอที่สุด แต่ในวันนั้นลูกจะรู้ว่าลูกยังมีคนที่รักลูกนะจ้า และตอนนี้แม่ก็เชื่อว่าลูกรู้แล้ว”


“อย่าให้ความกลัวมาเป็นกำแพงปิดกั้นตัวเอง” มืออุ่น ๆ ค่อย ๆ เลื่อนมาจับที่หัวไหล่ของอาทิตย์ทัศน์ “ตั้งแต่เล็กจนโตแม่ไม่เคยฝืนใจลูกไม่ว่าลูกจะทำอะไรหรือจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้นแม่ไม่อยากให้ลูกฝืนใจตัวเองนะ”


อาทิตย์ทัศน์สบตาผู้เป็นแม่ก่อนจะนึกถึงคนที่ไม่ได้เจอกันนาน....






...




“ทำไมเดี๋ยวนี้พี่ตังไม่ไปหาพี่จ้าพี่บ้านเลยล่ะคะ มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า” จอมขวัญกล่าวก่อนจะส่งคุกกี้เข้าปาก


“เปล่าหรอก พี่ไม่ได้มีเรื่องอะไรกับเขา” ตฤณกรกล่าวก่อนจะรับแก้วเครื่องดื่มจะพนักงานเสิร์ฟ


“แล้วทำไมไม่ไปหาพี่ตังเหมือนเมื่อก่อนล่ะคะ ตั้งแต่วันที่มีเรื่องพี่นนท์ ขวัญก็ไม่เห็นพี่ตังที่บ้านพี่จ้าอีกเลย”


ตฤณกรถอนหายใจเบา ๆ “พี่ไม่อยากใช้เรื่องนี้มาสร้างโอกาสให้ตัวเองน่ะ เขาควรจะมีเวลาอยู่กับตัวเอง ส่วนพี่เองพี่ก็อยากมีเวลาทบทวนอะไรบางอย่าง”


“หมายความว่ายังไงคะ”


“ขวัญคิดดูสิ เขาใช้เวลาสิบกว่าปีในการรอคน ๆ หนึ่ง มันทำให้พี่ต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่า พี่เองมีค่าพอที่จะบังอาจไปแทนคน ๆ นั้นได้หรือเปล่า”


จอมขวัญพยักหน้าเข้าใจ “ขวัญเข้าใจนะคะ แต่ถ้าเป็นขวัญละก็ขวัญไม่สนใจหรอกว่าขวัญจะแทนใครได้ไหม แต่ขวัญจะพยายามให้ถึงที่สุด และถ้าสุดท้ายมันไม่เป็นอย่างที่ขวัญหวังขวัญก็จะตัดใจ ดีกว่ามานั่งเสียดายทีหลังว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ แล้วพี่ตังล่ะคะ ตอนนี้พยายามจนถึงที่สุดหรือยัง”


รอยยิ้มเล็ก ๆ ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าของชายหนุ่ม “นั่นสินะ พี่ยังไม่ได้พยายามจนถึงที่สุดเลยนี่นา”






...



ที่มหาวิทยาลัย...



“อาจารย์จ้า” ชายหนุ่มร่างสันทัดเอ่ยขึ้นขณะเปิดประตูเข้ามาในห้องพักอาจารย์อย่างรีบร้อน


“มีอะไรหรือเปล่าครับอาจารย์นะ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารตรงหน้า


“อาจารย์ทราบเรื่องที่เมื่อคืนนักศึกษาฝึกงานที่ครีเอทีฟสตูดิโอไปมีเรื่องกับนักเลงในผับหรือเปล่าครับ นี่นักศึกษาเพิ่งโทร.มาเล่าผมให้ฟัง ตอนแรกผมว่าจะแวะไปที่บริษัทแต่ต้องไปประชุมแทนหัวหน้าภาค ก็เลยจะรบกวนให้อาจารย์จ้าช่วยไปดูนักศึกษาหน่อย” ชนะชัยกล่าว


“ได้ครับอาจารย์ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” อาทิตย์ทัศน์ผุดลุกขึ้นทันที









เขามาถึงบริษัทที่ส่งนักศึกษามาฝึกงานในตอนบ่าย ที่นั่นไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนอกจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทุกคนต่างพยายามปิดเป็นความลับเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบซึ่งกันและกัน


“ผมต้องขอโทษอาจารย์ด้วยนะครับที่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ผมไม่น่าชวนน้อง ๆ ไปเลย เมื่อคืนนี้ผมเองก็เมาไปหน่อย” ชายหนุ่มร่างท้วมรีบเข้ามาขอโทษขอโพย


“ไม่เป็นไรครับ ไม่มีใครเป็นอะไรมากก็ดีแล้ว” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับลอบมองสำรวจคนตรงหน้าที่มีรอยช้ำที่ข้างแก้มซึ่งเขาบอกใคร ๆ ว่าเดินสะดุดประตูจนหน้ากระแทกพื้นก่อนหันไปมองหนุ่มน้อยในชุดนักศึกษาทั้งสามคนที่พากันหลบตาก้มหน้าเพื่อปิดซ่อนร่องรอยฟกซ้ำ



...





“ไหน ใครก็ได้ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น” อาทิตย์ทัศน์กล่าวหลังจากเขาพาพวกเด็ก ๆ ออกมาคุยที่ด้านนอกบริษัท เสียงเข้มและท่าทางจริงจังของเขาทำเอาบรรดาเด็ก ๆ มองหน้ากันด้วยความรู้สึกหวาด ๆ


“เมื่อคืนพวกผมกับพี่พัฒน์แล้วก็พี่กอล์ฟไปนั่งดื่มกันในผับแถว ๆ นี้แหละครับอาจารย์ พี่พัฒน์แกเมามากส่งเสียงเอะอะโวยวายก็เลยโดนเขม่น” คนหนึ่งกล่าว


“พวกมันมากันหลายคนครับ ท่าทางจะเป็นลูกคนมีเงิน เห็นลงจากรถสปอร์ตแล้วก็ทำตัวกร่างตั้งแต่เดินเข้ามา นั่งกินกันสักพักพวกผมก็ไปเข้าห้องน้ำ พอกลับมาอีกทีมันก็กระชากคอเสื้อพัฒน์ขึ้นมาคงจะหมั่นไส้ที่แกพูดจายียวนแบบเมา ๆ ของแกนั่นแหละ ส่วนพี่กอล์ฟน่ะโดนสอยร่วงไปแล้ว พวกผมเห็นท่าไม่ดีก็เลยโทรตามพี่ตังเพราะเมื่อคืนพี่ตังนั่งแก้งานอยู่ที่บริษัท”


“พอพี่ตังมา พี่ตังก็เข้าไปเคลียร์ให้แต่มันพูดจาไม่ดีเลย พี่ตังแกเลยสติหลุดจากนั้นตะลุมบอนกัน พวกผมก็เลยอาศัยช่วงชุลมุนไปพาพี่กอล์ฟออกมา”


“อะไรนะ” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้ว ไม่คิดว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการอีกคน “ดีจริงลูกศิษย์ผม วันนี้ก็เลยพากันปิดปากเงียบช่วยกันปิดบังความผิด”


“พวกผมขอโทษครับอาจารย์” สามหนุ่มพร้อมใจกันยกมือขอขมา


“เอาละ พวกคุณไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว คราวหลังก็ระวังหน่อยแล้วกัน เขาก็บอกอยู่ว่าสถานที่อโคจรมันก็คือที่ที่ไม่ควรไป” อาจารย์หนุ่มทิ้งท้ายก่อนจะบอกให้เด็ก ๆ กลับเข้าไปทำงานต่อ ในใจนึกถึงคนที่ถูกกล่าวถึงซึ่งวันนี้ยังไม่เห็นหน้ากันเลย...









“น้านุชคะ ขวัญซื้อลูกพลับมาฝากค่ะ” หญิงสาวที่เดินถือถุงผลไม้เข้ามาในบ้านเอ่ยขึ้นก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะในครัว


“ขอบใจนะจ๊ะหนูขวัญ” หญิงวัยกลางคนที่กำลังปอกผลไม้อยู่ที่อ่างล้างจานเอ่ยขึ้น


“เขาขายอยู่ที่หน้าบริษัทค่ะ ขวัญเห็นมันน่าทานก็เลยซื้อมาฝากน้านุช แล้วนี่พี่จ้ากลับมาแล้วเหรอคะ”



“ใช่จ้ะ ทานข้าวแล้วขึ้นไปข้างบนแล้วละ” อรนุชกล่าว ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงของอาทิตย์ทัศน์ก็ดังขึ้น


“ขวัญมาเหรอครับแม่” เขากล่าวขณะเดินถือคอมพิวเตอร์โน้ตบุคลงมาวางที่โต๊ะทำงาน


“ใช่ค่ะ” สาวน้อยที่เดินออกมาจากในครัวกล่าวพร้อมกับเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เท้าคางมองพี่ชายของเธอ


“มองพี่ทำไม มีอะไรหรือเปล่า” อาทิตย์ทัศน์ถามขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องมอง


“มองคนใจร้ายค่ะ”


“หือ พี่ไปทำอะไรให้” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว


“พี่จ้ารู้เรื่องที่นักศึกษาฝึกงานของพี่ที่ไปฝึกงานที่บริษัทของพี่ตังไปมีเรื่องชกต่อยกับคนในผับแล้วใช่ไหมคะ”


อาทิตย์ทัศน์เงยหน้ามองผู้เป็นแม่ที่กำลังเดินถือจานผลไม้มาวางให้ที่โต๊ะก่อนจะพยักหน้าให้จอมขวัญ


“พี่จ้ารู้ไหมคะว่าพี่ตังโดนพวกนั้นทำร้าย”


“ตายจริง แล้วตังเป็นอะไรมากหรือเปล่าจ๊ะขวัญ” อรนุชกล่าวอย่างเป็นห่วง


“ขวัญก็ไม่ทราบค่ะ จริง ๆ เมื่อตอนเย็นขวัญนัดกับพี่ตังไว้ แล้วพี่ตังก็โทร.มาเลื่อนนัด บอกว่าไม่ได้ไปทำงานขวัญก็เลยทราบว่าพี่ตังโดนทำร้าย”


“โดนทำร้าย หรือว่าไปทำร้ายเขากันแน่” อาทิตย์ทัศน์แทรกขึ้น


“พี่จ้าน่ะ” จอมขวัญขมวดคิ้ว “พี่ตังเขาอุตส่าห์ไปช่วยน้อง ๆ พวกนั้นนะคะ แล้วดูสิวันนี้ก็ไปทำงานไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”


“ถ้าเขาโทร.มาคุยกับขวัญได้ เขาก็คงไม่เป็นอะไรมากหรอก”


จอมขวัญมองคนหน้านิ่งตรงหน้าอย่างขัดใจ


“พี่จ้าไม่คิดจะไปดูพี่ตังหน่อยเหรอคะ โทร.ไปถามข่าวก็ยังดี”


“นั่นสิจ้า” ผู้เป็นแม่เสริม


“แต่ว่า...” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้ว...






ไม่นานรถเก๋งสีขาวของอาทิตย์ทัศน์มาจอดที่บริเวณลานจอดรถของคอนโดแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มเปิดประตูลงมาจากรถพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากทนคำรบเร้าของผู้เป็นแม่และน้องสาวบ้านตรงข้ามไม่ไหว เขาโทร.หาตัวต้นเหตุเพื่อจะถามอาการแต่ตฤณกรก็ไม่รับสายสุดท้ายจึงต้องมาที่นี่





“ขอบคุณมากนะครับพี่ที่พามา” ชายหนุ่มร่างสูงกล่าวกับพนักงานรักษาความปลอดภัยร่างเตี้ยล่ำที่เคยได้พบกันมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง


“ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวลงไปทำงานก่อนนะครับ”


อาทิตย์ทัศน์พยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะจ้องมองเลขหน้าประตูอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเอื้อมมือกดกริ่งที่หน้าห้อง ครู่หนึ่งประตูก็ถูกเปิดออก


“เฮ่ย” ตฤณกรอุทานเมื่อเปิดประตูออกมา แต่ยังไม่ทันที่จะได้เห็นหน้ากันชัด ๆ ประตูก็ถูกปิดลงอีกครั้ง


“เอ้า! อะไรของเขา” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วก่อนจะกดกริ่งย้ำ ๆ ไป 2-3 ครั้ง



“ครับ ๆ มาแล้วคร้าบบบบ” ประตูเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับร่างสูงของใครบางคนที่คลุมอย่างมิดชิดด้วยผ้าห่มสีขาวผืนหนาเห็นเพียงลูกตา


“ทำไมต้องปิดหน้าปิดตาด้วย” อาทิตย์กล่าว


“อากาศมันหนาวน่ะคุณ” ตฤณกรที่อยู่ในผ้าห่มกล่าวเสียงอู้อี้


“คุณเป็นยังไงบ้าง”


“ก็...สบายดีครับ อย่างที่เห็น” เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนแบบนั้นทำเอาหัวคิ้วของอาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหากันอีกครั้ง


“เข้ามาก่อนสิครับ” คนตัวสูงกล่าวก่อนจะหลีกทางให้


อาทิตย์ทัศน์เดินเข้าไปในห้องที่ภายในตกแต่งแบบโมเดิร์นเน้นสีขาวดำและน้ำตาลตามความชอบของเจ้าของห้อง บนฝาผนังมีรูปสเก็ตซ์ใส่กรอบติดไว้เต็มไปหมด


“นั่งก่อนสิคุณ” ตฤณกรกล่าวพร้อมกับนั่งลงที่โซฟาสีดำหน้าทีวี


“ผมเพิ่งรู้เรื่องเมื่อเช้า” คนตัวเล็กกว่ากล่าวเมื่อนั่งลง “ผมต้องขอบคุณแทนเด็ก ๆ พวกนั้นด้วย”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ” คนที่คลุมหน้าคลุมตากล่าว


“แล้วนี่ใจคอคุณจะคุยกับผมทั้งที่คลุมโปงแบบนี้น่ะเหรอ”


“ก็ผมหนาวนี่คุณ”


อาทิตย์ทัศน์พยักหน้า “ดูแล้วคุณคงไม่ได้เป็นอะไรมากแบบที่แม่กับยัยขวัญเป็นกังวล ถ้าอย่างนั้นผมกลับละ” พูดจบเขาก็ลุกขึ้น


“เฮ้ย! ดะ เดี๋ยวสิครับ” ตฤณกรท้วงก่อนจะเอื้อมมือจับที่ข้อมือเขา “คุณจะรีบไปไหน”


“ก็คุณไม่ได้เป็นอะไรนี่” อาทิตย์ทัศน์ถอนหายใจก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง


“ใครว่าล่ะครับ” คนตัวสูงกล่าวก่อนจะคลายมืออกจากข้อมือคนตรงหน้า


“ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผมดูสิว่าคุณเป็นยังไงบ้าง” คนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้ว


“มันไม่น่าดูหรอกคุณ”


“เอามือออก” เสียงนั้นราวประกาศิต ตฤณกรจึงยอมคลายมือที่จับผ้าห่มไว้แน่นออก


อาทิตย์ทัศย์จึงค่อย ๆ รั้งผ้าห่มที่ปิดหน้าปิดตาคนตรงหน้าออก ใบหน้าที่เคยหล่อเหลากลับแต้มไปด้วยรอยเขียวช้ำและรอยแตกเล็ก ๆ ที่ปลายคิ้วและมุมปากด้านขวา


“ทำไมเยินแบบนี้ล่ะ”


“ผมบอกคุณแล้วว่ามันไม่น่าดู”


“แล้วนี่คุณไปให้หมอทำแผลหรือเปล่า”


ตฤณได้แต่ยิ้มแหย ๆ แทนคำตอบ


“ไม่ทำแผลใส่ยาแล้วจะหายเมื่อไร คุณมีกล่องปฐมพยาบาลหรือเปล่า”

 
“มีครับ อยู่บนชั้นวางหนังสือ”


อาทิตย์ทัศน์หยักหน้าก่อนจะเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลตามที่เจ้าของห้องบอกจากนั้นจึงเดินกลับมานั่งที่โซฟา จัดการเปิดกล่องปฐมพยาบาลเพื่อทำแผลให้เขา....






“มือเบาจัง” ตฤณกรเอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องมองดวงตาที่แฝงไปด้วยความห่วงใยคู่นั้น อดนึกไม่ได้ว่าถ้าอาทิตย์ทัศน์เป็นหมอฟัน มือเบาขนาดนี้คงมีลูกค้าเข้าร้านเยอะแน่ ๆ แต่คิดดูอีกทีเป็นอาจารย์ที่มือเบาแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะจะได้มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้


“พูดมาก” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะออกแรงกดสำลีที่หางคิ้วทำเอาคนตรงหน้าสะดุ้งโหยง


“โอ๊ย! ผมเจ็บนะคุณ” ตฤณกรร้องขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือจับมือคนตัวเล็กกว่า


“ก็ทำให้เจ็บไง จะได้รู้ว่าทีหลังควรจะคุมสติตัวเองให้มากกว่านี้”


“ก็มันพูดจาไม่ดี คุณจะให้ผมทนอยู่ได้ยังไง”


“เขาแค่พูดจาไม่ดี ไม่ได้เอามีมาแทงคุณเสียหน่อย” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะขยับมืออกจากการเกาะกุมของคนตรงหน้า “ตัวคุณร้อนนะ สงสัยจะมีไข้ ทานยาลดไข้กันไว้หน่อยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผล เขาเดินหายเข้าไปในโซนทำครัวก่อนจะเดินกลับมาพร้อมน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว


“ขอบคุณครับ” ตฤณกรกล่าวพร้อมกับรับแก้วน้ำจากมืออาทิตย์ทัศน์ จากนั้นเขาก็จัดการส่งยาแก้ปวดลดไข้เม็ดโตเข้าปากก่อนจะดื่มน้ำตาม








อาทิตย์ทัศน์นั่งลงข้าง ๆ คนที่เพิ่งล้มตัวลงนอนบนเตียงเมื่อสักครู่ก่อนจะหันไปบิดผ้าขนหนูจากกะละมังใส่น้ำที่หัวเตียงมาเช็ดตัวให้เขา ตฤณกรพยายามปรือตามองคนตรงหน้าในที่สุดเขาก็ค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ ....









“ครับแม่”


“ก็มีไข้น่ะครับ จ้าให้ทานยาไปแล้ว” อาทิตย์ทัศน์ที่กำลังถือโทรศัพท์แนบหูกล่าวพร้อมกับหันไปมองคนที่กำลังนอนอยู่บนเตียง


“ครับ แม่ไม่ต้องห่วงนะ นอนก่อนได้เลย” พูดจบเขาก็วางสาย



อาทิตย์ทัศน์เดินกลับไปยืนข้าง ๆ เตียงอีกครั้งก่อนจะก้มลงสัมผัสหลังมือของเขาที่หน้าผากของคนที่กำลังหลับ แต่เมื่อกำลังจะชักมือกลับมือหนาขอตฤณกรก็คว้าเอวของเขาเอาไว้ ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาก่อนจะออกแรงรั้งร่างของคนตัวเล็กกว่าลงมานอนข้าง ๆ กันบนเตียง


“จะทำอะไรของคุณ” อาทิตย์ทัศน์ท้วงพร้อมกับพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของเขา ในขณะที่คนตัวใหญ่กว่าค่อย ๆ หลับตาลงโดยไม่ได้สนใจคำทักท้วงใด ๆ





“ผมขออยู่แบบนี้สักครู่นะคุณ” ประโยคสั้น ๆ นั้นช่วยให้คนตัวเล็กที่ขยุกขยิกอยู่ในวงแขนของเขานิ่งไป


อาทิตย์ทัศน์มองคนที่กำลังหลับตาซบอยู่ที่ซอกคอ นอกจากจะได้ยินเสียงลมหายใจของเขาแล้วยังได้ยินเสียงตัวใจของตัวเองที่เต้นดังเสียจนกลัวว่าจะทำให้คนข้าง ๆ ตื่น แต่แล้วความคิดของเขาก็ต้องหยุดลงเมื่อริมฝีปากหยักขยับอีกครั้ง


“หัวใจคุณเต้นแรงจัง”


“ปล่อยผมได้แล้ว” เจ้าของใบหน้าร้อนผ่าวกล่าวเสียงอู้อี้


“อีกห้านาทีนะ” ตฤณกรกล่าว






เวลาผ่านไปนานทีเดียวจนอาทิตย์รู้สึกว่าคนข้าง ๆ คงหลับไปแล้ว เขาจึงค่อย ๆ ขยับตัวเพื่อจะหลุดจากอ้อมกอดนี้ แต่ตฤณกรกลับกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นก่อนจะกระซิบเบา ๆ ...










“ผมบอกคุณแล้วหรือยังว่าผมชอบคุณ”








อยู่ ๆ ใบหน้าก็กลับร้อนวูบขึ้นอย่างไร้สาเหตุอีกครั้ง อาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ หวังจะให้หัวใจที่เต้นรัวดังกลองรบสงบลงบ้าง ประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่ก็เป็นแค่เพียงเสียงกระซิบแต่ทำไมมันกลับดังก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในโสตประสาทเช่นนี้ ร่างเล็กยังคงนอนลืมตาโพรงอยู่ในอ้อมกอดของใครคนนั้น แม้เวลาจะผ่านไปนานแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังคงชัดเจนในความรู้สึก ลมหายใจที่สม่ำเสมอนั้นทำให้รู้ว่าคนข้าง ๆ หลับไปแล้ว ดังนั้นอาทิตย์ทัศน์จึงค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นละทิ้งจากพันธนาการอันแสนอบอุ่นนั้น....


ชายหนุ่มนั่งลงที่ข้างเตียงก่อนจะมองหน้าเขาชัด ๆ รู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่รู้จักกันมานานพอสมควร แต่ไม่เคยได้มองหน้าเขาตรง ๆ เลยสักครั้ง นั่นคงเพราะทุกครั้งที่เจอกันเขาก็มักจะพูดยายียวนกวนประสาทให้อาทิตย์ทัศน์ต้องหงุดหงิดทุกครั้ง แต่เวลาหลับแบบนี้เขาก็กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยไร้พิษภัยคนหนึ่งเท่านั้น


อาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ เอื้อมมือดึงผ้าห่มมาห่มให้ก่อนจะเดินออกจากห้อง เขาเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ สายตาไล่มองไปตามกรอบรูปที่ติดฝาหนังที่ส่วนใหญ่เป็นภาพสเก็ตซ์ด้วยปากกาหมึกซึมสีดำ ทั้งภาพสถานที่ท่องเที่ยว ภาพตึกรามบ้านช่อง สิ่งของหรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง แต่ภาพเดียวที่อาทิตย์ทัศน์สะดุดตาก็คือภาพชายหนุ่มสวมหมวกแก๊ป มันเป็นภาพคล้าย ๆ กับโปสการ์ดที่ตฤณกรเคยส่งให้เขาและเป็นภาพคนภาพเดียวในจำนวนภาพนับสิบที่ติดอยู่บนผนัง ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่โต๊ะทำงานของเจ้าของห้อง ซึ่งมีทั้งกระดานเขียนแบบและเครื่องคอมพิวเตอร์ ร่างสูงค่อย ๆ นั่งลงที่เก้าอี้ก่อนจะกวาดสายตามองกรอบรูปตั้งโต๊ะพวกนั้น มีทั้งภาพตอนรับปริญญาของตฤณกร ภาพสมัยที่เขาถ่ายกับเพื่อน ๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย



อาทิตย์ทัศน์เอื้อมหยิบกรอบรูปตั้งโต๊ะที่วางอยู่ใกล้ ๆ คอมพิวเตอร์ขึ้นมาดู มันเป็นภาพชายหนุ่มผมยาวในชุดนักศึกษา เขาไว้หนวดเคราดูรุงรัง แต่นั่นก็ไม่สามารถบดบังแววตาใจดีและรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นของใครคนนั้นได้เลย อาทิตย์ทัศย์ค่อย ๆ วางกรอบรูปไว้ที่เดิมก่อนจะทอดสายตาชมทิวทัศน์ของกรุงเทพฯยามค่ำคืน ครู่หนึ่งเสียงเตือนข้อความเข้าก็ดังขึ้น เจ้าของร่างสูงละสายตาจากภาพตรงหน้าก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูและพบว่าเสียงนั้นไม่ได้มาจากโทรศัพท์ของเขา ชายหนุ่มเดินหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบเขาจึงตัดสินใจกดโทรออก ในที่สุดเสียงโทรศัพท์มือถือของตฤณกรก็ดังขึ้น มันดังมาจากที่ไหนสักที่ในห้อง อาทิตย์ทัศย์พยายามเดินหาจนกระทั่งเขาเดินมาหยุดที่โซฟาซึ่งมีแสงไฟรอดออกมาจากข้างใต้


“ถึงว่าทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะก้มหยิบโทรศัพท์ที่กำลังดังขึ้นมา ภาพของตัวเขาเองซึ่งปรากฏอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ทำให้เขาอดที่จะอมยิ้มไม่ได้...



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2013 18:23:23 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
สัปดาห์ต่อมา ที่ห้องประชุมของบริษัท


“ผมขออนุญาตคุยกับนักศึกษาต่อสักครู่นะครับ” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นกับผู้จัดการหนุ่มใหญ่


“ได้เลยครับอาจารย์ ตามสบายนะครับ” เจ้าของเครางามกล่าวก่อนจะหันไปหาตฤณกรที่นั่งอยู่อีกฝั่ง “ฝากด้วยนะตัง”


ชายหนุ่มที่ติดพลาสเตอร์ใสที่หางคิ้วพยักหน้าก่อนจะหันไปสบตาคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันพร้อมกับยิ้ม



“ผ่านมาครึ่งทางแล้ว พวกคุณมีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหม” อาทิตย์ทัศน์ถามหนุ่มน้อยทั้งสาม


“งานหนักไปหรือเปล่า หรือมีอะไรที่รู้สึกว่ามันเกินความสามารถที่ตัวคุณจะทำได้ไหม”


“ไม่ครับอาจารย์ มันก็แค่มีเหนื่อย ๆ บ้าง เพราะต้องตื่นเช้าทุกวัน ตอนที่ยังเรียนบางวันเราจะตื่นตอนไหนก็ได้” คนหนึ่งกล่าว


“นี่แหละที่เขาเรียกชีวิตการทำงาน ไม่มีงานอะไรที่ทำแล้วไม่เหนื่อยหรอก ถึงจะเป็นนายตัวเองก็ต้องเหนื่อย”


ประโยคนั้นทำให้ตฤณกรอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เขาเคยได้ยินมันมาก่อนตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว


“คุณรู้ไหมว่าทำไมภาควิชาถึงต้องส่งพวกคุณออกมาฝึกงาน สงสัยไหมว่าทำไมเพื่อน ๆ ที่เรียนคณะศึกษาศาสตร์ถึงต้องออกไปฝึกสอน”


“เพื่อให้เราได้มีประสบการณ์หรือเปล่าครับ”


อาทิตย์ทัศน์พยักหน้า “อืม การฝึกงานหรือการฝึกสอนก็ตาม มันเป็นสิ่งที่จะให้พวกคุณได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์การทำงานจริง ฝึกการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ทำให้รู้จักที่จะมองปัญหาและหาทางแก้มัน เพราะฉะนั้นคุณจงใช้โอกาสนี้เก็บเกี่ยวประสบการณ์เอาไว้ให้มาก ๆ สิ่งที่ดี ๆ ก็เก็บเอาปฏิบัติ สิ่งที่ไม่ดีก็เก็บเอาไว้เตือนตัวเองว่าไม่ควรทำ” ตาคมหันไปมองคนตรงข้ามวูบหนึ่ง “เวลาจะทำอะไรก็มีสติให้มาก ๆ ตัวอย่างของการสติขาดก็มีให้เห็นอยู่”


สิ้นเสียงอาทิตย์ทัศน์ทั้งนักศึกษาฝึกงานและพี่เลี้ยงต่างก็มองตากันปริบ ๆ








“นี่คุณ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” ตฤณกรกล่าวขณะเดินตามอาทิตย์ทัศน์เข้าไปในบ้าน


“คุยอะไรอีก” คนตัวเล็กกว่ากล่าวก่อนจะวางกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุคลงบนโซฟา


“ก็เรื่องที่คุณใช้ผมเป็นสื่อการสอนวันนี้ไง”


“แล้วคุณจะเอายังไง หรือคุณจะบอกว่าที่ผมพูดมันไม่จริง”


“ผมไม่กล้าเถียงอาจารย์หรอกคร้าบบบ”


อาทิตย์ทัศย์กอดอกพร้อมกับพยักหน้าอย่างพอใจ “งั้นผมไปอาบน้ำละ” พูดจบเขาก็หันกลับก่อนจะเดินหนี


“เดี๋ยวสิคุณ” ตฤณกรที่เดินตามมาท้วงขึ้นจนคนตัวเล็กกว่าต้องหันกลับมาอีกครั้ง


“อะไรอีก”


เขายิ้มเจ้าเล่ห์เพราะนึกอยากจะเอาคืนขึ้นมาบ้าง “ผมยังมีอีกเรื่องที่ต้องบอกให้คุณเข้าใจ” พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าใกล้คนที่ยืนทำหน้างงอยู่


อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วก่อนจะค่อย ๆ ถอยห่าง “มีอะไรก็ยืนพูดอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ”


“ผมกลัวคุณไม่ได้ยิน” ตฤณกรยิ้ม


“ถ้าคุณไม่กระซิบผมก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ” คนตัวเล็กกว่ากล่าวเมื่อรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของตัวเองกำลังสัมผัสกับกำแพง อาทิตย์ทัศน์เม้มปากแน่นขณะที่คนตัวสูงตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ


ตฤณกรหยุดเมื่อเข้ามาประจัญหน้ากันใกล้ ๆ เขายกมือข้ามไหล่คนตัวเล็กกว่าเพื่อยันกำแพงเอาไว้ “แต่ผมอยากกระซิบ”


อาทิตย์ทัศน์หันหน้าหนีปลายจมูกโด่งที่ตอนนี้อยู่ห่างใบหน้าของเขาไม่ถึงคืบก่อนจะกล่าว “แต่ผมไม่อยากฟัง”


“แต่ผมอยากบอก”


คำพูดของคนตัวสูงที่ยืนห่างกันเพียงแค่ปลายจมูกกั้นทำให้หัวคิ้วของคนตัวเล็กกว่าขมวดเข้าหากันอีกครั้ง “มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเร็ว ๆ เข้า”


“ผมจะบอกคุณว่าถึงผมจะสติขาดผลึงจนได้แผล แต่วันนั้นที่ผมพูดกับคุณไปผมไม่ได้ขาดสตินะ ผมก็เลยอยากจะบอกกับคุณอีกครั้ง เผื่อว่าคุณเองนั่นแหละที่ยังไม่ได้สติ”


ตฤณกรยิ้มก่อนจะเลื่อนริมฝีปากเข้าไปใกล้ข้างหูของคนที่กำลังหันหน้าหนีเขา....






“ผมชอบคุณนะ”







ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน....







“ถอย ถอยออกไปได้แล้ว” คำพูดตะกุกตะกักของคนตรงหน้าทำให้ตฤณกรรู้สึกพอใจไม่น้อย เขายิ้มก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนริมฝีปากออกจากข้างหนูของคนตัวเล็กกว่า แต่แทนที่อาทิตย์ทัศน์จะโล่งใจเขากลับหัวใจเต้นแรงอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ จากปลายจมูกโด่งที่ค่อย ๆ ลากไล้ไปตามพวงแก้มของตัวเอง


มือหนาของตฤณกรค่อย ๆ แตะลงที่ปลายคางของคนที่เอาแต่หันหน้าหนีก่อนจะจับเขาหันหน้ามาประสานสายตากัน “ให้ผมอยู่ในสายตาคุณบ้างไม่ได้เหรอ” ปากหยักได้รูปคลี่ยิ้มก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ มันใกล้เสียจนในที่สุดอาทิตย์ทัศน์รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่น ๆ ที่ปลายจมูกตัวเอง


ตฤณกรหัวเราะเบา ๆ ในลำคอหลังจากปลายจมูกของเขาสัมผัสเข้ากับปลายจมูกของคนที่กำลังเบิกตากว้างอยู่ตรงหน้า


“เขินเหรอครับอาจารย์” เขากล่าวก่อนจะค่อย ๆ ถอยห่างจากปลายจมูกของคนตรงหน้าเล็กน้อย 


“ไอ้บ้าเอ๊ย!” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นก่อนจะออกแรงผลักคนตรงหน้าให้ออกห่างตัวพร้อมกับง้างกำปั้น


“เฮ้ย ๆๆ คุณ ๆๆๆ ใจเย็น ๆ สิครับ นี่ถึงกับจะต่อยผมเลยเหรอ” ตฤณกรร้องพร้อมกับยกมือขึ้นห้าม


“คุณมันกวนประสาท” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับลดมือลง


“ใจร้ายจริง ๆ” ตฤณกรยิ้ม “แต่ผมก็ชอบนะเวลาที่คุณเขินน่ะ”


“ยังจะมาพูดดี”


“คุณไม่ชอบให้ผมพูดดี ๆ เหรอ”


“คุณอยากจะพูดอะไร อยากจะทำอะไรก็แล้วแต่คุณเถอะ” คนหน้าตูมตอบส่ง ๆ


“คุณพูดเองนะ” รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าของตฤณกรอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะจีบคุณจริง ๆ แล้วนะ”


“พูดเพ้อเจ้ออะไรของคุณ คุณเป็นผู้ชาย ผมก็เป็นผู้ชายนะ”


“แล้วมันจะแปลกยังไง ก็คุณเป็นผู้ชายที่ผมชอบนี่” ตฤณกรยิ้ม....







...



“นึกว่าตังจะลืมบ้านป้าแล้วเสียอีก” อรนุชกล่าวขณะตักอาหารใส่จานให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เธอ


ตฤณกรขอบคุณพร้อมกับยิ้มให้เธอ “ไม่ลืมหรอกครับคุณป้า”


“เห็นหายหน้าไปตั้งนาน ป้าก็คิดว่าจะลืมกันแล้วเสียอีก”


“พี่ตังเขาไม่ลืมหรอกค่ะน้านุช” จอมขวัญเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปหาอาทิตย์ทัศน์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “จริงไหมคะพี่จ้า”


ชายหนุ่มเงยหน้ามองน้องสาวบ้านตรงข้ามก่อนจะสบตาคนที่นั่งเยื้องกัน


หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว อาทิตย์ทัศน์ก็เดินไปนั่งทำงานเงียบ ๆ ที่โต๊ะทำงาน ในขณที่ตฤณกรเองก็ตามไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ จอมขวัญมองดูพี่ชายทั้งสองของเธอด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยขึ้น “สองคนนี้เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมไม่พูดไม่จากัน”


สองหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากันก่อนจะรีบปฏิเสธขึ้นพร้อมกันจนคนตั้งคำถามต้องอมยิ้ม


“แหม ตอบพร้อมกันเชียวนะคะ ว่าแต่วันนี้สองคนทำตัวแปลก ๆ นะ มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกขวัญหรือเปล่า”


“ฮ้าวววววว!!!” ตฤณกรอ้าปากหาวก่อนจะลุกขึ้นกล่าวกับอาทิตย์ทัศน์ “ผมกลับก่อนดีกว่า” 


“เอ้อ งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะขวัญ” อาทิตย์ทัศน์ตัดบท



“พี่กลับก่อนนะขวัญ” พูดจบทั้งสองหนุ่มก็พากันสลายตัว


“อะไรกันเนี่ยสองคนนี้” จอมขวัญมองคนทั้งสองซ้ายทีขวาทีที่ต่างคนต่างกันเดินไปคนละทางพร้อมกับยกมือขึ้นเกาศีรษะ




...




อาทิตย์ทัศน์ยังคงนอนพลิกตัวไปมานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น คำพูดและใบหน้าระบายยิ้มนั้นยังคงทำให้เขาหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึง...






“คุณแน่ใจแล้วเหรอที่พูดออกมา”


“ผมแน่ใจที่สุด” ตฤณกรกล่าวอย่างหนักแน่น “ผมรู้ว่าคุณน่ะใจแข็ง แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก ก่อนหน้านี้ผมอาจจะดูเลือนลางหรือแทบจะไม่มีตัวตนในสายตาของคุณ ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าเป็นเพราะตัวผมเองที่เอาแต่ยืนอยู่ไกล ๆ หรือว่าคุณเองที่ไม่สนใจมองผมกันแน่”








“แต่ตั้งแต่วันนี้ไปผมจะทำทุกอย่าง ทำให้ตัวผมชัดเจนในสายตาคุณให้ได้”




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2013 18:39:54 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
ตังสู้ๆ....เชียร์สุดใจ  o13


ชอบประโยคนี้อ่ะ

 “ผมบอกคุณแล้วหรือยังว่าผมชอบคุณ” 

 :heaven

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
นายแน่มากนายตัง แบบที่ขวัญบอกพยายามให้เต็มที่รุกคืบบบบ 555
ยังอยากจะตบหัวอินนท์อยู่ อยากจะให้มาเห็นฉากสวีท?ของจ้าจริง ๆ ให้มันเจ็บแต่ทำอะไรไม่ได้มันทรมานดี หมั่นไส้

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เชียร์ตังค่าเอาจ้าให้อยู่หมัดเลยน่ะ^_^

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
จ้าเตรียมตัวเตรียมใจไว้ เพราะตังจะจีบแล้วนะ
จ้าจะใจแข็งได้นานแค่ไหน กองเชียร์ตังเยอะนะ

ออฟไลน์ anchoviiz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
 :ling1: :ling1:

สนุกมากเลยยยยยยยยยย
ตอนแรกนึกว่าจะดราม่าเรื่องรกัครั้งเก่านานกว่านี้
แต่ดีแล้ว ให้โอกาสคนใหม่เร็ว ๆ นะจ้า
คนอ่านอยากฟิน  :katai3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด