- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 257896 ครั้ง)

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านตอนนี้พลอยขอประกาศเปิดจองเซทธรรมดาค่ะ สามารถสั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 10 มีนาคม ค่ะ โดยรายละเอียดทั้งหมดติดตามได้ในลิ้งค์


http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402


ขอบคุณพื้นที่ค่ะ




Chapter 35




ไอผมตัวไม่ค่อยจะกล่าวย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวานเลยล่ะครับ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายที่สุดในชีวิตของผมเลยนะครับ ถึงแม้มันจะทำให้ตัวของผมตอนนี้มีความสุขมากๆก็ตาม แต่กระนั้นผมก็คงต้องเล่าย้อนความนิดหน่อยนั่นล่ะครับ จะได้ไม่ทำให้ทุกๆคนงงกัน จากเมื่อวานการแข่งขันบาสระหว่างคณะแพทย์กับคณะวิศวะ ผลสรุปของการแข่งนั่นก็คือคณะวิศวะชนะไปอย่างขาดลอยล่ะมั้งครับ และการพ่ายแพ้นั่นก็ทำให้ข้อตกลงของผมกับศิไม่สำเร็จครับ เรียกง่ายๆว่าพี่ศิแกเกมโอเวอร์ครับ  ซึ่งในตอนนั้นพี่ศิเกือบจะดราม่ากลางสนามบาสแล้ว แต่ผมก็อดเห็นใจพี่ศิไม่ได้ ผมจึงได้ให้รางวัลกับผู้แพ้ไป ส่วนรางวัลของผู้แพ้นั่นก็คือไอกำไลสีเงินที่ตอนนี้ถูกสวมอยู่ที่ข้อมือของผมครับ



ซึ่งไอกำไลสีเงินสะอาดตาวงนี้ มันเป็นเครื่องยืนยันถึงคำตอบของผมที่มีให้กับพี่ศิครับ แล้วกรุณาอย่าถามนะครับว่าผมไปตอบตกลงหรือตอบอะไรพี่ศิเขา เพราะพวกคุณที่ติดตามเรื่องของผมมาถึงขนาดนี้ก็น่าจะทราบแล้วล่ะครับว่าผมทำข้อตกลงอะไรกับพี่ศิแกไป และทั้งหมดนี่มันก็เป็นเรื่องราวเกือบจะทั้งหมดของเมื่อวาน



แต่ผมขอเล่าอะไรเกี่ยวกับเมื่อวานอีกหน่อยนะครับ เพราะว่าเรื่องนั้นมันเกี่ยวโยงกับเรื่องของวันนี้ครับ ซึ่งหลังจากที่ผมให้รางวัลแก่ผู้แพ้กับพี่ศิแล้ว ผมก็ขอตัวไปคุยกับพวกเฮียๆของผมที่แข่งบาสชนะครับ รุ่นพี่แต่ล่ะคนนี่แสดงความดีใจออกมาเสียยกใหญ่ และที่สำคัญเพื่อเป็นการฉลองที่ครองถ้วยชนะเลิศการแข่งขันบาสกี่สมัยซ้อนก็ไม่รู้  เฮียก๊อตก็ประกาศว่าคณะวิศวะจะมีการฉลองที่ร้านประจำ (ก็ไอร้านที่ผมไปเลื้อยแอนด์เรื้อนเมื่อตอนปิดเทอม 1 ปีนั่นล่ะครับ) ซึ่งผมก็ตั้งใจว่าจะไปนะครับ ผมก็เลยรีบวิ่งปรี่ไปเกาะหลังเฮียก๊อตแกพร้อมกับเดินตามไป ทว่าบุคคลผู้เป็นแฟนผมหมาดๆนั้นกลับโดนสาวๆรุมล้อมอยู่ สาวๆ แต่ละคนนี่ตาเป็นประกายมากและทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า จะไปส่งพี่ศิที่คอนโด (ด้วยเหตุพี่ศิทำแว่นแตกไม่มีแว่นสำรองมาขับรถตอนนี้เป็นอันตรายแน่ ต้องมีคนขับรถไปส่ง) เมื่อผมเห็นแบบนั้นอารมณ์ที่กำลังแฮปปี้ๆของผมก็พุ่งขึ้นสูงครับ ผมนี่เดินไปกระชากมือของพี่ศิให้เดินตามส่วนปากก็พูดให้พี่ศิแกส่งกุญแจรถของแกมาครับ



ไอโปรแกรมที่ผมจะไปกินเลี้ยง ฉลองชัยชนะกับพวกรุ่นพี่กับเฮียๆ ก็เป็นอันพับไปและต้องกลับมากินมาม่าในหอแทน (ทำไมต้องมาม่าน่ะเหรอครับ นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิผู้ไร้แว่นไงครับ จะให้ทำอะไรก็ทำไม่ได้ เพราะพี่แกสายตาไม่ดี เดี๋ยวทำไฟมงไฟไหม้อีก)



ซึ่งเรื่องราวในเมื่อวานทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ และต่อจากบรรทัดนี้ไปผมจะเล่าถึงวันนี้ ซึ่งจะถือว่ามันเป็นวันแรกที่ผมกับพี่ศิคบกัน….ก็ได้ โดยวันนี้เป็นวันเสาร์ครับ และพี่ศิแกก็ว่างพอดีผมก็เลยตัดสินใจจะพาพี่ศิ ผู้ไร้แว่นตาสวมไปตัดแว่นใหม่ และนอกจากนั้นก็จะพาพี่ศิไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ด้วย (ทดแทนเครื่องที่พี่แกขอให้ผมทำมันพัง) แต่มันก็มีเรื่องที่น่าลำบากอยู่นั่นล่ะครับ ถ้าพี่ศิไม่มีแว่นเขาก็จะมองอะไรรอบข้างเบลอไปหมด ดังนั้นผมก็เลยต้องวิ่งลงไปร้านแว่นตาแถวคอนโดแล้ว ซื้อคอนแทคเลนส์ให้พี่แกสวม และไอการสวมคอนแทคเลนส์นี่ล่ะเป็นอะไรที่ยากลำบากที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาครับ



ถ้าคุณใส่คอนแทคเลนส์คล่องแล้ว พวกคุณจะใส่มันได้อย่างง่ายดายแบบที่ผมใส่ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยใส่คอนแทคเลนส์มาก่อนอย่างพี่ศิ มันเป็นอะไรที่ลำบากนรกแตกเลยล่ะครับ เพราะกว่าจะแหกตาแล้วยัดไอแผ่นคอนแทคเลนส์นั้นใส่เข้าตาไปได้นี่มันเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งภารกิจยัดคอนแทคเลนส์ใส่ตาพี่ศินี้ผมทำไม่สำเร็จครับ (รู้ไหมครับว่าผมต้องใช้เวลาตั้งเท่าไหร่กว่าจะจับตัวพี่แกได้แล้วจับพี่แกแหกตาได้ ผมเสียเวลาไปร่วมชั่วโมงครึ่งในการทำภารกิจนี้ แต่ผลก็ตามที่บอกไปล่ะครับ ผมทำไม่สำเร็จ) พี่ศิก็เลยเสนอข้อเสนอที่จะไม่ทำให้พี่ศิแกเดินชนโน้นชนนี้ตอนไม่มีแว่นนั่นก็คือ… ‘จับมือ’ ครับ ไอผมนี่นึกสภาพเหมือนพ่อจูงลูกเดินห้างเลยครับ



และไอสภาพคุณพ่อจำเป็นจูงลูกชายเดินนี่ มิชชั่นแรกสำเร็จแล้วล่ะครับ เพราะขั้นแรกของภารกิจพาพี่ศิไปตัดแว่นนี้ก็คือการที่ผมพาพี่ศิแกเดินลงไปยังชั้นลานจอดรถที่จอดรถของพวกเราอยู่ (การเดินทางครั้งนี้ใช้รถของผมในการเดินทางครับพอดีผมมันเป็นพวกครั่นเนื้อครั่นตัว ขับของแพงไม่ได้ เพราะถ้าขับผมจะเผลอเอามันไปเสยเสาไฟข้างทางได้ครับ) และขับพาพี่ศิมาส่งถึงห้างสรรพสินค้าครับ แต่กว่าจะพาลงมาได้นี่เหงื่อตกไปหลายลิตรเลยครับ และภารกิจต่อไปหรือมิชชั่นที่สองก็คือพาพี่ศิไปยังร้านแว่นที่พี่ศิแกตัดแว่นเป็นประจำครับ



และเมื่อเราทั้งสองคนเดินเข้าไปในตัวห้าง การจับมือเอาจริงๆเรียกว่าจูงมือดีกว่าครับ (และไม่ใช่ฝ่ายผมที่จูงมือนำพี่ศิแกด้วยครับ พี่ศิแกเป็นฝ่ายเดินจูงมือให้ผมเดินตามต่างหาก ไม่มีแว่นแล้วทำซ่านะ พี่ศิ) เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งครับ  มือของผมนี่ถูกกอบกุมไว้ด้วยมือของพี่ศิ  ขายาวของร่างสูงตรงหน้าผมนั้นสาวเท้าเดินนำราวกับว่าเขาจดจำเส้นทางในห้างนี้ได้หมดแล้ว (พี่ศิครับ อย่าลืมตอนนี้พี่มีสภาพเหมือนคนตาบอดกลายๆนะครับ) เมื่อผมโดนพี่ศิลากจนหนำใจ ตอนนี้ผมก็ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าร้านตัดแว่นยี่ห้อดังแล้วล่ะครับ (พี่ศิแกลากผมไม่เท่าไหร่ แต่การไอที่พี่แกไม่มีแว่นนี่ล่ะตัวดี เพราะมันทำให้พี่ศิแกเลี้ยวผิดเลี้ยวถูกไปหลายรอบครับ กว่าจะมาถึงอีร้านแว่นนี่ใช้เวลาร่วม 20 นาที ไม่มีแว่นแล้วทำเป็นเก่งนะครับ พี่ศิ)



และเมื่อเราทั้งสองเดินทางมาถึง (แม้จะใช้ทางที่โคตรจะอ้อมโลกมากเลยก็เถอะ) พวกเราก็สาวเท้าเดินเข้าไปในร้านครับ และขั้นแรกของการมาตัดแว่นนั่นก็คือการเลือกโครงแว่นครับ (ปกติผมจะมาแล้ววัดสายตาเลย แต่นั่นเป็นเพราะผมใช้โครงแว่นตัวเก่า ทว่ามันใช้กับสถานการณ์นี้ไม่ได้เพราะไม่ใช่แค่เลนส์ที่แตก โครงแว่นของพี่ศิก็หักด้วยครับ เราทั้งสองคนก็ต้องมานั่งเลือกโครงแว่นใหม่กันแบบนี้ไง)



อันแรกที่พี่ศิชี้คือแว่นยี่ห้อเดิม ทรงเดิม กรอบแบบเดิม แถมสียังเหมือนเดิมเลยครับ เมื่อผมเห็นเช่นนั้น ผมก็รีบวิ่งปรี่ไปบอกพนักงานเลยล่ะครับว่าไม่ต้องเอาออกมา เมื่อพนักงานหยุดมือ ผมก็ตวัดสายตาหันไปหาพี่ศิที่ยืนมองการกระทำของผมด้วยความงุนงง ซึ่งผมก็เดินเข้าไปหาพี่ศิพร้อมกับกระซิบบอกไปว่า “มีโอกาสได้เปลี่ยนแว่นใหม่แล้วยังจะเอาแบบเดิมอีก พี่จะบ้าหรือเปล่าครับ เปลี่ยนแว่นใหม่ก็เปลี่ยนกรอบแบบใหม่ไปเลย เดี๋ยวกรเลือกให้” เมื่อพี่ศิแกได้ยินประโยคนี้จากปากของผมใบหน้าคมก็พยักหน้าขึ้นลงเบาๆ และหลังจากนั้นพี่ศิแกก็ปล่อยหน้าที่เลือกแว่นให้เป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยายครับ



โดยแว่นตาอันเดิมของพี่ศิเป็นแว่นทรงสี่เหลี่ยมมีกรอบล่าง แต่ไม่มีกรอบบนซ้ำตัวแว่นนั้นเป็นสีดำสนิทตั้งแต่ตัวกรอบแว่นจรดขาแว่นเลยล่ะครับ ผมพลางไล่มองแว่นที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นเพื่อที่ผมจะได้หาแว่นอันที่เหมาะสมให้กับพี่ศิ แต่จนแล้วจนรอดผมก็คงหาให้ไม่ได้ และในท้ายที่สุดผมก็ต้องจำใจเลือกแว่นยี่ห้อเดิม ทรงเดิม กรอบแบบเดิม และสีก็ยังคงเหมือนเดิมให้พี่ศิแกไปครับ



การเลือกแว่นครั้งนี้ทำเอาผมหมดความมั่นใจไปเลย ผมนั่งจ๋อยรอพี่ศิวัดสายตาด้วยเครื่องและเมื่อวัดเสร็จ ขั้นต่อไปของการวัดสายตาโดยการใช้เลนส์สวม ผมก็นั่งจ๋อยรอพี่ศิต่อไปอีก และเมื่อการวัดสายตาของพี่ศิเสร็จเรียบร้อย ผมกับพี่ศิก็เดินออกจากร้านไปเพื่อมุ่งหน้าไปหาเป้าหมายใหม่ นั่นก็คือการซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้กับพี่ศิครับ ซึ่งการเดินทางก็ยังคงเป็นแบบเดิมครับนั่นก็คือผมโดนพี่ศิแกจูงมือและพาหลงอีกเหมือนเดิมครับ



และคราวนี้กว่าพวกเราสองคนจะไปถึงร้าน iStudio ก็ใช้เวลาไปเกือบ 20 นาทีเช่นเดิมครับ ไอผมนี่แทบอยากจะยกมือไหว้พี่ศิเพื่อให้พี่แกหยุดเดินนำสักทีเถิด แต่ก็ไม่กล้าครับ ผมยังคงมียางอายบนหน้าอยู่ จึงได้แต่จำยอมให้พี่ศิแกพาหลงครับ การไปถึงร้าน iStudio ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจมากเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น MacBook Pro และ MacBook Air ที่เพิ่งออกใหม่หรือ Iphone 5s สามสีที่ (ออกมานานแล้ว) วางเรียงรายจนทำเอาผมอยากได้ โอยย เข้ามาให้ร้านนี้ทำเอาผมอยากซื้อไปหมดเสียทุกอย่างเลยล่ะครับ



แต่ด้วยเหตุการณ์กระเป๋าแห้งเพราะเลี้ยงรุ่นน้องที่เป็นน้องรหัส ผมจึงทำได้แต่ลูบๆ คลำๆ ของพวกนั้นแทน ผมยืนเล่นไอแพดมินิที่อยู่ในร้านนั้นไป พลางส่งสายตามองพี่ศิแกไป ตอนนี้พี่ศิแกกำลังคุยกับพนักงานเรื่องโทรศัพท์มือถืออยู่ครับ และดูเหมือนพี่แกจะคุยจบแล้ว เพราะตอนนี้พี่ศิหันหลังกับและเดินทรงมาหาผมแล้วล่ะครับ เมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าผมริมฝีปากหนานั่นก็ระบายไปด้วยรอยยิ้ม และมันเป็นรอยยิ้มระรื่นมากด้วยครับ จนทำเอาผมต้องถามออกไปเลยว่าพี่แกยิ้มแบบนี้ทำไม “…ยิ้มแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า พี่ศิ”



ซึ่งคำตอบกลับของพี่ศิคือการส่ายหัวไปมาครับ เมื่อพี่ศิแกตอบมาแบบนี้ ผมก็จนใจครับเพราะต่อให้ถามไปอีกกี่ครั้งพี่ศิแกก็ไม่ยอมบอกผมครับ ผมก็เลยตีเนียนเดินหนีพี่ศิแกซะเลย แต่ก่อนที่ผมจะได้ก้าวเท้าเดินออกไปเสียงของพนักงานสาวก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับในมือของเธอถือกล่องใส่ IPhone สีดำสีขาวอย่างละเครื่อง



“ไอโฟน 5s สีขาว สีดำอย่างละเครื่องที่แจ้งมาเราได้จัดเตรียมไว้ให้แล้วค่ะ” พนักงานสาวพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้ผมกับพี่ศิ ซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าขอบคุณและจูงมือของผมไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน บัตรเครดิตสีทองที่ผมคุ้นเคยกับมันมาก (มากถึงมากที่สุด) ถูกร่อนไปให้พนักงานครับ ไอผมนี่หันไปถลึงตามองพี่ศิเลยครับว่าพี่แกจะซื้อสองเครื่องทำไม แต่ไอความสงสัยทั้งหมดของผมมันก็ถูกเฉลยด้วยกล่องโทรศัพท์มือถือยี่ห้อผลไม้ที่ถูกยื่นมาให้แก่ผมครับ



“เครื่องนี้ของกรครับ” เมื่อได้ยินประโยคนี้ผมแทบร้องกรี๊ดออกมาเสียงดังเลยล่ะครับ...หนะ...นี่พี่ศิแกซื้อให้ผมเหรอ ไม่น่านะ…นี่มันราคาเกือบจะสามหมื่นเลยนะครับ! พี่แกกล้าซื้อให้คนได้ยังไงงงงง มันแพงเกินไป ผมรับไม่ได้ครับ



สิ้นประโยคของพี่ศิ ไอผมก็ชะงักค้างไปชั่วขณะ แต่เมื่อผมตั้งสติได้แล้ว ผมก็ยื่นมือไปดันกล่องไอโฟนเครื่องนั้นคืนให้พี่ศิไปครับ “มันแพงเกินไป กรรับมันไว้ไม่ได้ครับ” ผมพูดปฏิเสธพี่ศิออกไปตรงๆ แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะรู้อยู่แล้วล่ะครับว่าผมไม่มีทางรับโทรศัพท์เครื่องนี้แน่ๆ ดังนั้นพี่ศิแกก็เลยจัดการบอกให้พนักงานที่เอาบัตรเครดิตของเขามาคืน จัดการนำกล่องมือถือทั้งสองกล่องนั้นใส่ถุงซะแล้วก็หิ้วออกมาหน้าตาเฉยเลยครับ



สภาพการณ์เป็นแบบนี้แสดงว่าพี่ศิแกต้องหามุขอะไรสักมุขให้ผมยอมรับมือถือเครื่องนั้นไปแน่นอนเลยครับ รณกร คนนี้เอาหัวเป็นประกันเลย



และเมื่อเราทั้งสองเดินออกมาจากร้าน iStudio ผมกับพี่ศิก็เดินร่อนกันไปในห้างสรรพสินค้าอย่างเพลิดเพลินครับ และนอกจากเพลิดเพลินแล้วเราสองคนก็ยังคงเดินหลงกันในห้างอีก แต่ในท้ายที่สุด ผมกับพี่ศิก็เดินทางมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นฟูจิจนได้ครับ ผมแทบจะวิ่งปรี่เข้าไปในร้านทันทีเลยล่ะครับ แต่ผมก็ต้องระงับจิตระงับใจไว้เพราะมันจะดูไม่ดีเอา แต่จะให้ผมทำยังได้ล่ะครับ ก็ผมกับพี่ศิเดินหลงกันในห้างจนตอนนี้เวลามันล่วงเลยไปถึงบ่ายโมงครึ่งแล้ว ถ้าผมไม่หิวจนวิ่งปรี่เข้าไปในร้านก็แปลกแล้วล่ะครับ (ความจริงแล้วที่พวกเราทั้งสองคนเดินหลงทางกันเพราะ 1.พี่ศิผู้ไม่มีแว่นเดินจูงมือของผมให้เดินตามแกไป และ 2.ห้างมันใหญ่ครับ)



ผมกับพี่ศิค่อยๆเดินจูงมือสาวเท้าเข้ากันไปในร้าน และทันทีที่เราก้าวข้ามพ้นธรณีประตู พนักงานสาวสองคนก็เดินเข้ามาต้อนรับผมกับพี่ศิทันที ริมฝีปากของเธอทั้งสองคนระบายไปด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อเธอทั้งสองคนนั้นเห็นมือของผมกับพี่ศิที่จูงมือกันอยู่ ไอรอยยิ้มของทั้งสองนี่แทบจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าอันแสนบึ้งตึงทันที พนักงานสาวเบอร์หนึ่งเอ่ยถามว่ามากี่ท่าน (ถ้าผมไม่กลัวโดนไล่ออกจากร้าน ผมคงตอบไปว่าไม่เห็นเหรอไงว่ามากันสองคน ผมก็คงตอบไปแล้วล่ะครับ) ซึ่งพี่ศิก็ชูสองนิ้วขึ้นมา เพื่อเป็นการบอกว่าเรามากันแค่สองคน เมื่อพนักงานสาวเบอร์หนึ่งเห็นเช่นนั้น เธอก็โยนหน้าที่ของตนไปให้พนักงานสาวเบอร์สองทันที ซึ่งเธอก็รับมานะครับและเดินนำผมไปยังที่ว่างสำหรับสองที่



ซึ่งเมื่อก้นของผมได้แตะกับเบาะนั่งของทางร้านผมนี่แทบจะไหลลงไปนอนกับโต๊ะเลยล่ะครับ และเหตุผลที่ผมแทบไหลลงไปนอนกับโต๊ะ มันก็ไม่พ้นการเดินหลงทางของเราสองคนนั่นเอง ขาผมนี่แทบจะแยกส่วนกันมาเต้นเบรกแดนซ์เลยล่ะครับ ส่วนพี่ศิที่น่ารักของทุกคนก็ยังคงยิ้มระรื่นไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลยครับ ผมที่เห็นแบบนั้นก็นั่งเท้าคางเบ้ปากไปให้พี่ศิแกทันทีทว่าพนักงานสาวเบอร์สามเดินหยิบเมนูมาให้ผม ไอสงครามทำหน้ามุ่ยใส่กันก็ต้องหยุดกันแค่นั้นและเปลี่ยนสงครามมาเป็นสงครามการสั่งอาหารแทน



ผมนี่จัดไปเซทหนึ่งเลยครับ เซทซูชิไม่ใส่วาซาบิ 1 และตามด้วยข้าวหมูทอด 1 เซท ต่อมาก็ซุปสาหร่าย แล้วก็โอโคโนมิยากิ แล้วก็กุ้งเทมปุระ แล้วก็ปลาหมึดทอดและท้ายที่สุดของโปรดของผมนั่นก็คือน้ำส้มคั้นครับ ส่วนทางพี่ศิแกไม่สั่งอะไรมาครับ พี่แกสั่งซูชิเพิ่มอีก 1 ที่แต่ใส่วาซาบิ แล้วก็เซทปลาดิบราคา 400 กว่าบาทมาเพิ่มครับ อ่อ...ผมก็ลืมไปอีกอย่าง เพราะพี่ศิก็สั่งน้ำเปล่ามาเพิ่มด้วยครับ และเมื่อพนักงานสาวเบอร์สามรับออเดอร์ของโต๊ะเราเสร็จ เธอก็เดินจากไปโดยที่ไม่เหลียวแลมามองผมกับพี่ศิเลยครับ รู้สึกว่าพนักงานสาวในร้านนี้จะรู้กันหมดแล้วครับว่าผมกับพี่ศิพากันเดินจูงมือเข้ามาในร้านพวกเธอเลยไม่คิดจะมาเล่นหูเล่นตากับพี่ศิครับ



ซึ่งผมกับพี่ศิรอกันไปสักพัก เมนูจานแรกก็ถูกนำมาเสิร์ฟครับนั่นก็คือโอโคโนมิยากิครับ ผมจัดการเจาะไข่แดงที่ทางร้านโปะไว้หน้าโอโคโนมิยากิทันทีและตามด้วยเหยาะโซยุไปนิดหน่อยที ผมก็เริ่มจัดการโอโคโนมิยากิที่อยู่ในจานได้แล้วล่ะครับ ตะเกียบที่ใช้เกาะไข่แดงพุ่งเข้าไปคีบมาหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นผมก็ตวัดมันใส่ปากทันที



รู้สึกเหมือนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของความฟินเลยล่ะครับ เวลาหิวๆแล้วมีอะไรใส่ลงท้องนี่ทำเอาความสุขทั้งหมดทั้งมวลในโลกมาอยู่ที่ปากเลยทีเดียว ผมกับพี่ศิค่อยๆแย่งกันคีบโอโคโนมิยากิใส่ปาก และในที่สุดมันก็หมดจาน  ต่อไปสิ่งที่นำมาเสิร์ฟนั่นก็คือเซทซูชิสองเซท ซึ่งเป็นทั้งผมกับพี่ศิได้สั่งกันไปทั้งคู่ อันนี้ผมกับพี่ศิทานกันได้โดยที่ไม่ต้องแย่งกันครับ แต่แค่เสี่ยงว่าคำแรกที่กินไปนั้นมันจะมีวาซาบิหรือไม่มีวาซาบิเท่านั้นเอง แต่วิธีนั้นก็ถูกแก้ไขได้โดยง่ายโดยการ….ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาที่ปิดอยู่ด้านบนออกและส่องหาวาซาบิครับ และหลังจากการที่ผมรื่นเริงบันเทิงใจกับซูชิไปแล้วอาหารต่าง ๆ อีกมากมายก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะของผม เอาเป็นว่าเวลาผ่านมาแล้วสิบกว่านาทีผมกับพี่ศิกินกันไม่หมดเลยล่ะครับ ไอผมนี่ก็ฝืนกินนะ แต่ไอของที่กินไปก่อน มันเริ่มมากจะจุกกันที่คอแล้ว ผมก็เลยวางตะเกียบลงและหยิบซุปสาหร่ายขึ้นมาซดให้โล่งคอแทน (เพราะคิดว่าการหาอะไรเข้าไปเติมจะช่วยให้ของที่มันคาอยู่ตรงคอมันไหลลงท้องไปได้ครับ) แต่ผมรู้สึกว่าผมคิดผิดแบบผิดสุด ๆ เลยล่ะครับ เพราะทันทีที่ผมยกซุปสาหร่ายขึ้นมาซดไอของเก่าที่อยู่ที่คอก็ยิ่งอัดแน่นขึ้นมาทันที จึงทำให้ผมต้องวางซุปถ้วยนั้น และหยิบทิชชู่มาปิดปากทันที ผมเรียกให้พนักงานสาวเบอร์ที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้มาเช็คบิลและสั่งให้พนักงานสาวคนนั้นเอากุ้งเทมปุระที่ผมยังไม่ได้แตะ ปลาหมึกทอดที่ยังไม่ได้กิน ข้าวหน้าหมูทอดที่ทานไปได้ครึ่งหนึ่งของผมไปแพ็คใส่กล่องเพื่อนำมันกลับบ้านครับ และคราวนี้ผมไวกว่าพี่ศิเขาครับ เพราะก่อนที่พี่ศิแกจะได้ควักกระเป๋าออกมาร่อนบัตรเครดิตของแก แบงก์พันจำนวนสองใบของผมก็ปลิวไปอยู่ในมือของพนักงานเรียบร้อยแล้วล่ะครับ



เมื่อชัยชนะเป็นของผม ผมก็หันไปส่งรอยยิ้มชั่วร้ายใส่พี่ศิ (ศึกครั้งนี้ผมชนะครับ) ซึ่งใบหน้าคมนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมาต่ออีก และหลังจากพนักงานนำเงินทอนมาคืนให้ผม เธอก็เอ่ยถามผมกับพี่ศิว่าเราทั้งสองคนจะรับน้ำชาหรือกาแฟ แน่นอนอยู่แล้วครับว่าผมเอาชา (ซึ่งได้ชามาหลายแก้วมาก) และพี่ศิก็เลือกกาแฟ (และนี่ก็ได้กาแฟมาหลายแก้วเช่นกัน ส่วนผลไม้เพิ่งมาเสิร์ฟเมื่อสักครู่ครับได้มาหลายเซทเลย แต่ผมก็เลือกกินแต่แตงโม ส่วนอย่างอื่นยกให้พี่ศิครับเพราะมะละกอกับสัปปะรดผมไม่กิน)



เมื่อการรับประทานอาหารของเราทั้งสองเสร็จสมบูรณ์ (ซึ่งใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงเลยครับ) ผมกับพี่ศิก็พากันเดินจูงมือกันออกจากร้าน และพนักงานสาวเบอร์ต่างๆ ก็ได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของผมกับพี่ศิด้วยสายตาละห้อยครับ เสียดายผู้ชายสองคนสินะครับ…



แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา นั่นก็เป็นเพราะความรู้สึกของผม…ผมยกมันให้พี่ศิไปหมดแล้วครับ




 

หลังจากที่เราสองคนเดินออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นฟูจิ ผมก็ถูกพี่ศิจูงมืออีกครั้งครับและครั้งนี้เราจะเดินทางไปร้านแว่นตาที่พี่ศิแกได้สั่งตัดแว่นไว้ (แต่เรียกว่าผมโดนลากไปจะดีกว่าครับ) ซึ่งคราวนี้ดีหน่อยครับ เพราะเราทั้งสองคนใช้เวลาแค่ 10 นาที (แต่ผมก็ยังคิดว่ามันนานอยู่ดี เหตุผลเป็นเพราะพี่ศิผู้ไม่มีแว่นสายตาประจำกายทำผมหลงนั่นแหละ) ก็ถึงหน้าร้าน เราทั้งสองคนก้าวเข้าไปในร้านนั่นอีกครั้ง และครั้งนี้พนักงานหลายต่อหลายคนก็เดินมาต้อนรับพี่ศิพร้อมกับนำแว่นตาที่พี่ศิแกสั่งตัดไว้มาให้ถึงมือพี่ศิแกเลยครับ



ร่างสูงนั้นรับมาและรีบสวมมันเขาขยับโครงแว่นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพึงใจ รู้สึกว่าพี่ศิแกจะพอใจแว่นใหม่มากเลยนะครับแบบนี้ เพราะว่าทันทีที่เขาได้โลกแห่งการมองเห็นคืนมาร่างสูงนั่นก็หันมาส่งรอยยิ้มให้แก่ผม หลังจากนั้นร่างสูงก็ (เนียน) จับมือของผมอีกครั้ง และก็พาผมเดินกลับไปยังลานจอดรถ (ถึงมันจะเหมือนเดิมหมดทุกอย่างก็เถอะ อ่อ…มีอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนก็คือค่าสายตาของพี่ศิที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมครับ) 



การขับรถกลับคอนโดในครั้งนี้ พี่ศิเป็นคนขับกลับครับ ส่วนผมก็ได้แต่เท้าแขนแหงนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีดำ ‘ท่าทาง…ฝนจะตกหนักน่าดูนะวันนี้’ และเมื่อว่าท้องฟ้ามันจะอ่านใจผมได้ครับ เพราะทันทีที่ความคิดของผมจบลงเม็ดฝนก็ร่วงลงมากระทบกับกระจกหน้ารถของผมทันที ‘ให้ตายเถอะครับ ผมเพิ่งเอารถไปล้างมาเองนะ ต้องเอาไปล้างอีกแล้วเหรอนี่’ ผมได้แต่ทอดถอนลมหายใจเบาๆ แต่ในขณะที่รถยนต์ของผม (แต่พี่ศิขับ) กำลังจะเคลื่อนตัวเข้าไปสู่เขตของคอนโดพลันสายตาของผมก็หันไปเห็นกล่องกระดาษที่กำลังเคลื่อนไหว ผมใช้สายตาพินิจมองไปยังกล่องใบนั้น ทันใดนั้นบนขอบกล่องก็มีตัวอะไรก็ไม่รู้ (แต่น่าจะเป็นลูกแมวนะครับ) ปีนขึ้นมาเกาะ ดูท่าทางมันจะทรมานน่าดูเลยล่ะครับแบบนี้  ไอผมจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ส่วนแมวตัวนั้นก็ส่งสายตาปิ๊งปั๊งกลับมาให้ผม และในที่สุดผมก็ทำสิ่งที่ไม่คาดคิดครับ



ผมหันไปสะกิดพี่ศิพร้อมกับบอกให้พี่เขาหยุดรถ หลังจากนั้นตัวของผมก็คว้าร่มและวิ่งออกไปจากตัวรถทันที การกระทำของผมทำให้พี่ศิแกตกใจมาก (เพราะพี่แกคิดว่าผมเพี้ยนอะไรหรือเปล่า) แต่พี่แกก็ไม่สามารถลงจากรถวิ่งตามผมมาได้ครับ ผมกางร่มและรีบสาวเท้าไปยังกล่องกระดาษใบนั้นพร้อมกับยื่นร่มไปกันสายฝนให้กับเจ้าลูกแมว เวลาผ่านไปราวๆนาทีสองนาทีพี่ศิ (ซึ่งน่าจะหาที่จอดรถได้) ก็วิ่งมาหาผม ร่างสูงนั้นมองการกระทำของผมด้วยความสงสัย แต่ผมก็ไม่ได้ให้พี่ศิแกสงสัยอะไรนานหรอกครับ ผมหันไปฉีกยิ้มให้กับพี่ศิพร้อมกับอุ้มเจ้าลูกแมวแสนซนสีขาวนี่ขึ้นมา



“กรจะเอาไปเลี้ยงล่ะ พี่ศิ” ผมซึ่งตัวเปียกไปด้วยหยาดฝนอุ้มลูกแมวขึ้นมากอดแนบอก ผมก้มลงมองแมวนั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับพี่ศิต่ออีกว่า “กรเห็นมันอยู่ตัวเดียว ถ้าเกิดไม่มีคนรับมันไปเลี้ยงมันคงหนาวตายอยู่ที่นี่ ตอนนี้ฝนก็ตกด้วยกรสงสาร…กลับบ้านด้วยกันนะครับ” ซึ่งไอประโยคแรกผมพูดใส่พี่ศิ ส่วนประโยคที่ผมพูดออกมาว่า ‘กลับบ้านด้วยกันนะครับ’ อันนี้ผมพูดกับลูกแมวครับ



หลังจากที่ผมตกลงปลงใจจะรับเลี้ยงน้องแมวตัวนี้แล้ว ผมก็จัดการหยิบร่มที่ตัวเองวางไว้เพื่อกันฝนให้น้องแมวขึ้นมาถืออีกครั้งพร้อมกับเดินไปควงแขนพี่ศิเพื่อให้พี่แกพาผมไปที่รถ



v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


ฝนที่เทลงมายังไม่ยอมหยุดตกและตัวของผมก็ยังไม่ยอมหยุดจาม ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในคอนโดของตัวแล้วล่ะครับ เสื้อผ้าก็เปลี่ยนใหม่หมดแล้ว และที่สำคัญในห้องของผมตอนนี้ก็มีสมาชิกใหม่ขนปุกปุยสีขาวครับ ซึ่งตอนนี้ผมกับพี่ศิ (ที่เปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้ว) กำลังดูแลสมาชิกใหม่ตัวน้อยนี่กันอยู่



“พี่ศิ...แมวมันเลี้ยงยังไงอ่ะ” ผมเขย่าแขนพร้อมกับเอ่ยปากถามพี่ศิในขณะที่เขานั้นกำลังลงมือใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดขนเจ้าตัวน้อยนั่น แต่เมื่อคำถามของผมลอยไปเขาหูพี่ศิร่างสูงนั้นก็หันมาพร้อมกับใช้นิ้วมือสองนิ้วบีบที่จมูกของผมเบา ๆ



“จะเลี้ยงแต่ไม่รู้วิธีเลี้ยงเนี่ยนะกร  ไปเปิดอินเตอร์เน็ตหาเอาสิ วิธีเลี้ยงแมวน่ะ เพราะถ้ากรจะให้พี่ช่วยเลี้ยง พี่ก็ช่วยไม่ได้หรอกครับ เพราะพี่ไม่เคยเลี้ยงแมว” เมื่อผมได้ฟังไอประโยคนี้ของพี่ศิจนจบประโยค ผมนี่แทบจะใช้วงแขนของผมเข้าล็อคคอพี่ศิทันที ทำเหมือนคนรู้ดีแต่ที่จริงนี่ไม่รู้อะไรเลยสินะ ผมเบ้ปากใส่พี่ศิเขาไปทีพร้อมกับอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมามอง



“ชื่ออะไรดีล่ะเรา” ผมเอ่ยถามเจ้าแมวตัวนั้น แต่ก็ได้รับความเงียบมาเป็นคำตอบ ซึ่งมันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะครับ ถ้าไม่ได้ความเงียบเป็นคำตอบผมคงโยนเจ้าแมวตัวนี้ทิ้งและกรี๊ดหนีป่าราบไปแล้ว แต่ว่าผมมองเจ้าแมวตัวนี้ไปมาพลันชื่อชื่อหนึ่งก็ลอยเข้ามาภายในสมอง…ความคิดนั่นทำให้ผมแสยะยิ้มร้ายออกมาเลยล่ะครับ ที่ผมยิ้มแบบนั้นออกมาก็เป็นเพราะเจ้าแมวตัวนี้…ผมคิดชื่อให้มันได้แล้วครับ และชื่อนั้นก็คือ ‘น้องซีซี’ ครับ



ทุกท่านคงสงสัยว่าทำไมถึงชื่อ ‘น้องซีซี’ ถ้าถามถึงเหตุผล ผมก็มีคำตอบให้ ที่ผมให้น้องแมวตัวนี้ชื่อ ‘น้องซีซี’ นั่นก็เป็นเพราะน้องแมวตัวนี้เป็นสีขาวครับ แล้วตาของน้องแมวก็เป็นสีดำ พอพูดถึงสีดำแล้ว ผมก็คิดถึงห้องของพี่ศิ พอนึกถึงห้องของพี่ศิมันก็มีแต่เครื่องเรือนสีขาวดำ ดังนั้นน้องแมวตัวนี้ก็ต้องชื่อ ‘น้องซีซี’ ครับ เพราะคำว่า ซีซี ผันมาจากศิ แต่ด้วยเหตุที่ ‘ซีซี’ นั้นเกิดหลังพี่ศิแน่นอน ดังนั้นจึงเติมคำว่า ‘น้อง’ ลงไปในชื่อด้วย สรุปจึงได้ชื่อน้องซีซีมาด้วยประการฉะนี้และ



“พี่ศิ…น้องแมวตัวนี้ชื่อน้องซีซีนะ” เมื่อผมเอ่ยออกไป พี่ศิแกก็หันมามองผมทันที ซึ่งผมไม่อยู่ให้พี่แกเล่นงานแล้วล่ะครับ ผมจัดการอุ้มน้องแมวตัวน้อยและวิ่งหนีพี่ศิแกไปเรียบร้อยแล้ว แถมไม่จบแค่ชื่อเท่านั้นผมยัง สถาปนาตัวเองเป็นป๊ะป๋าของน้องซีซีอีกด้วย และที่ขาดไม่ได้ก็คือมะม๊า ผมให้พี่ศิเป็นมะม๊าแล้วกันนะครับ



“น้องซีซี เราชื่อปะป๊ากรนะ ส่วนนั้นชื่อมะม๊าศิ จำให้ได้นะ น้องซีซี” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ขาทั้งสองข้างก็พลางวิ่งหนีพี่ศิที่จะกระโจนมาจับตัวผม แต่ว่าผมก็ไวพอดูนะครับ พี่ศิไม่มีทางจับผมทันหรอก



เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเรานั้นอบอวนไปทั่วทั้งห้องและมันก็คงจะเป็นแบบนี้ไปตราบนานเท่านาน



‘พี่ศิครับ...กรขอขอบคุณที่พี่ศิรักกรนะครับและก็ต้องขอบคุณที่พี่ศิก็ทำให้กรรักพี่ศิตอบเช่นกัน’



 

____________________________________________







 

ถ้าจะให้กล่าวถึงบทสรุปทั้งหมดของผมกับพี่ศิหนะเหรอครับ ผมก็คงให้คำนิยามว่า ‘บังเอิญ’ หละมั้งครับ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าผมที่โดนบทลงโทษให้ไปสารภาพรักกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งคนที่ผมเลือกนั้นเป็นพี่ศิ นั่นก็คือความบังเอิญอย่างที่หนึ่ง และความบังเอิญอย่างที่สองนั่นก็คือความบังเอิญที่พวกเราทั้งสองคนอยู่คอนโดห้องข้างๆกัน และความบังเอิญอย่างที่สาม มันก็คือความบังเอิญที่ผมกับพี่ศิใจตรงกัน…และความบังเอิญทั้งหมดนั่นทำให้เราทั้งสองคนนั้น…ได้รักกัน


ที่ผมนิยามไปแบบนั้นก็เพราะบางครั้งการเจอใครโดยบังเอิญ นั่นอาจจะเป็นชะตาลิขิตหละมั้ง เพราะบางทีความบังเอิญมันทำให้เราได้พบกับบางสิ่งที่พิเศษกับตัวเรา

 

 

แด่ผู้มีความบังเอิญเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก

จาก นายรณกร กิตติพงษ์พิพัฒน์ และ นายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัญศิริ

[09.02.20xx]


 

END








__________________________________



จบแล้วนะคะสำหรับนิยายเรื่องนี้ขอบคุณทุกคำวิจารณ์ที่ให้พลอยนะคะ เนื้อหาที่รวมเล่มพลอยแก้ไขคำผิดเรียบร้อยแล้วค่ะ แม้พลอยจะบอกว่านิยายเรื่องนี้จะจบลงแต่ตอนพิเศษหวาน ๆ ?? ของพี่ศิและน้องกรยังมีอยู่นะคะ


ซึ่งตอนต่อไป พลอยจะขออัพเดทในวันที่ 9 กุมภา ซึ่งวันที่ 9 กุมภานั้นเป็นวันเกิดของพี่ศิค่ะ พลอยจะทำการอัพตอนพิเศษ ให้ทุก ๆ ท่านอ่านในวันนั้นค่ะ ขอบคุณค่ะ
 


ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
 o13 ขอบคุณมากค่ะ ชอบน้องกรมากเลย

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
รอตอนพิเศษในวันเกิดพี่ศิค๊า

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ  :L2:

รอตอนพิเศษหวานๆ  :mew3:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
อ่ายรวดเดียวจนตาแฉะหมดแล้ว

น้องกร บางมุมก็จับน่าตีจริงๆ เลย

พี่ศิ ก็ช่างตามใจ น้องกร

ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ ที่เขียน น้องกรกันพี่ศิ มาให้ได้อ่านกัน

รอตอนพิเศษนะค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2014 20:26:49 โดย hanataro »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
อ๊ายยยยย ฟินนนนนน
^^

ออฟไลน์ Elizabeth_TonnY

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
จบดีมากอ่ะ :mew4: รักพี่ศิกับน้องกรมานานเเระ เเหะๆ เเต่ไม่ค่อยได้มาคอมเม้นท์ ขอกราบขอโทด1ที เเหะๆ :katai5:
มีมาเรื่อยๆๆๆๆ ก้อดีน้ะตอนพิเศษอ่ะ  :bye2: :hao5:

ขอบคุณที่เเต่งนิยายดีดีน่าประทับใจอย่างนี้มาให้ได้อ่านกันน้าาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ FahFon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
ในหนังสือจะแก้ไขคำว่า "ไอ" เป็น "ไอ้" มั้ยคะ?

ยังไม่เคยอ่านค่ะ แต่เห็นว่าจบแล้ว แล้วก็กำลังรวมเล่มอยู่

ว่าจะทดลองอ่าน แต่มาสะดุดคำว่า ไอ ก็เลยยังไม่ได้อ่านเลย แหะๆ

ถ้าในเล่มแก้ไข ก็น่าสนใจอยู่ ^^"

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1511
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
กรื้ด จบแล้ววว รอตอนพิเศษค่ะ ><

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น่ารักสุดๆ เลย ^^

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
น่ารักจัง หวานมาก รอตอนพิเศษนะ

ออฟไลน์ ● MaYa~Boy ●

  • ฉันมันคนขี้อิจฉา
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3998
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-2
นิยายสนุกมากเลยครับ ขอบคุณมากๆ เลยครับ  :3123: :3123:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



สวัสดีค่ะพอดีพลอยอยากจะสอบถามอะไรเล็กน้อย มีใครโอนเงินเซทลีมีเต็จแล้วยังไม่ได้แจ้งโอนไหมคะ เป็นคนที่สั่งเซทลีมีเต็จและติดต่อส่งแบบ EMS  ค่ะ


โอนเงินวันที่ 26 ถ้าเกิดใครทราบว่าตัวเองยังไม่ได้โอนเงินหรือเมลตอบกลับจากพลอยช่วยแจ้งมาอีกรอบโดยระบุวันเวลา ที่โอนอย่างละเอียดด้วยนะคะ เพราะถ้าเกิดไม่มีใครแจ้งโอนพลอยจำเป็นต้องตัดสิทธิ์ทันที และไม่มีการโอนเงินคืนเนื่องจากพลอยไม่ทราบเจ้าของยอดเงินยอดนั้นค่ะ ช่วยแจ้งมาด้วยนะคะ พลอยทำการอีเมลสอบถามไปแล้วสองสามรอบซึ่งพลอยก็ไม่ได้รับการตอบกลับมาจากใครเลยสักคนเดียว


และนอกจากเรื่องตามหาการโอนเงินเซทลีมีเต็จแล้วพลอยยังจะมาอัพของแถมที่อยู่ในเซทลีมีเต็จอย่างที่ 1 ค่ะนั่นก็คือ ถุงผ้าลายพี่ศิน้องกร >< ตอนนี้แพคกิ้งเสร็จเรียบร้อยค่ะ





micmoner

  • บุคคลทั่วไป
อ่านรวดเดียวจบเลย
ชอบมากๆ พี่ศินี้แบบผู้ชายในฝันเลย  :-[
ส่วนน้องกรก็น่ารัก น่าเอ็นดู
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวน่ารักๆนะคะ  o13

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


สวัสดีค่า วันนี้เรามาลงตอนพิเศษ นะคะ \\ = = // เย้แต่พลอยขอแจกแจงก่อนนะคะว่าตอนพิเศษที่จะลงในเล้าเป็ดนั้นจะลงไปกี่ตอนซึ่ง ตอนพิเศษที่ลงในเวปจะมี เพียง 3 ตอนค่ะ นึ่นก็คือ Special Chapter 1 / Special Chapter 3 / Special Chapter 4.1 ค่ะ ส่วนตอนที่เหลือจะมีเฉพาะในรวมเล่มเท่านั้นค่ะ


โดยรายละเอียดการจองตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402


และหลังจากแจกแจงรายละเอียดแล้วพลอยก็ขอให้สนุกกับการอ่านตอนพิเศษในวันเกิดพี่ศินะคะ




Special Chapter 1



วันที่สำคัญสำหรับนิสิตนักศึกษามีอยู่สองวัน ซึ่งวันแรกก็คือวันที่ทุกๆคนได้ก้าวเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยที่ตนเลือก ที่ตนชื่นชอบ ส่วนวันที่สองนั่นก็วันที่ทุกๆคนได้รับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งตอนนี้ผมนายรณกรกำลังอยู่ในวันสำคัญวันที่สองครับ แต่มันไม่ใช่วันสำคัญของผมหรอกครับ แต่มันเป็นวันสำคัญของว่าที่นายแพทย์…ไม่สิ ตอนนี้ต้องเป็น นายแพทย์แล้วครับ



วันนี้เป็นวันรับพระราชทานปริญญาบัตรของนายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัญศิริ (ความจริงเป็นเป็นวันรับพระราชทานปริญญาบัตรของบัณฑิตทุกคนล่ะครับ รวมไปถึงพี่รหัสของผม เฮียก็อต ด้วย) ผมซึ่งเป็นรุ่นน้องของพี่ศิเขา…และควบตำแหน่งพิเศษอีกหนึ่งตำแหน่งก็ต้องมาแสดงความยินดีเป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่ก่อนที่ผมจะไปแสดงความยินดีกับพี่ศิ ผมก็ต้องไปบูมให้พี่รหัสของผมก่อน ซึ่งมันเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติมานานครับ ส่วนเรื่องของพี่ศิผมค่อยแบกของขวัญไปพี่แกให้อีกที



ซึ่งในตอนนี้ผมกับสหายก็กำลังกอดคอกันและบูมคณะใส่รุ่นพี่บัณฑิตกันอยู่ครับ ซึ่งรุ่นพี่แต่ละคนที่ยิ้มแย้มและดีใจกันมากครับ ผมก็อยากจะเรียนจบและยิ้มกว้างแบบนั้นบ้างจัง แต่อีกใจผมก็ยังคงอยากเรียนอยู่นะครับ แต่พอดีผมโดนเจ้น้ำหวานเสี้ยมมาครับ เจ้แกบอกว่าพวกแกเรียนอยู่น่ะสบายจะตาย พอเรียนจบมาแล้วพวกแกจะเจอกับนรก ซึ่งตอนนี้เจ้แกกำลังเจอกับนรกอยู่ครับ แต่เป็นนรกที่มีความสุขครับเพราะเจ้แกทำงานอยู่ที่บริษัทดัง เงินเดือนนี่สูงลิบลิ่ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นเรื่องของเจ้น้ำหวาน เจ้แกกลับไปใช่ชื่อวินแล้วล่ะครับ แต่ผมก็ยังเรียกแกว่าแจ้น้ำหวานอยู่ดี เหตุผลที่เจ้แกกลับไปใช้ชื่อวินนั่นก็เป็นเพราะเจ้แกกลับไปเป็นชายมาดแมนเต็มตัวเรียบร้อยแล้วครับ หนำซ้ำตอนนี้แกมีคู่หมั้นเป็นหญิงสาวแสนสวยที่เจอกันในที่ทำงานครับ และยิ่งไปกว่านั้นแกไม่รู้ไปเอาความสูงมากจากไหนเพิ่มครับ เพราะในตอนแรกแกสูงประมาณกรกานต์ แต่ตอนนี้สูงเลยกานต์และทะลุกไปถึง 175+ แล้วล่ะครับ ช่างเป็นผู้ชายที่โตช้าจริงๆ แต่จะให้เล่าถึงเจ้น้ำหวานก็จะไม่ดีเพราะวันนี้เป็นวันดีของเหล่าพี่ๆ บัณฑิตที่เพิ่งจบ อย่าพูดย้อนไปถึงคนเก่าคนแก่ที่จบจากมหาลัยไปนานแล้วเลยครับ



“เฮียก๊อต…เฮียก๊อตของน้องกร” ผมส่งเสียงเรียกพี่รหัสของผมครับ ซึ่งเฮียแกก็ส่งยิ้มมาให้กับผมครับ แต่ตอนนี้เฮียแกขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยล่ะครับ เพราะว่าสาว ๆ นี่ต่างกันรุมล้อมกันให้ของขวัญอดีตนักบาสมหาวิทยาลัยกันอยู่ ผมก็ได้แต่มองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ แม้เฮียก๊อตพี่รหัสของผมจะเลิกกับแฟนเก่าของแกไปแล้ว แต่ตอนนี้เฮียแกก็มีคนที่ดูๆใจกันอยู่ครับ แถมสาวเจ้านี่ยืนกอดช่อดอกไม้และจ้องตาเขม็งใส่เฮียก๊อตที่รักยิ่งของผมด้วย (สาวเจ้าก็เป็นบัณฑิตจบใหม่เหมือนกันครับ แต่นิสัยนี่ขี้หึงอย่าบอกใครเลย ซึ่งผมก็แอบรู้มาว่าเฮียก๊อต แกกำลังพยายามตีตัวออกห่างอยู่ เพราะแกไม่ชอบผู้หญิงขี้หึงครับ) และเมื่อสาวๆแสดงความยินดีกับอดีตนักบาสมหาวิทยาลัยกันจบแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาสายรหัสเข้าไปแสดงความยินดีกับเฮียแกครับ ผมส่งยิ้มพร้อมกับส่งกล่องของขวัญไปให้เฮีย แต่เฮียก๊อตแกส่งสายตามองมาอย่างหวาดระแวง…



เฮียครับ รับของขวัญจากผมไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นครับ แต่จะให้พี่แกหวาดระแวงก็ไม่ได้ คราวตอนเจ้น้ำหวานรับปริญญาผม…ซื้อบราเซียร์ดูมๆให้ครับ เพื่อเป็นการบอกว่าเจ้น้ำหวานแปลงเพศเร็วๆสักที (แต่ของขวัญที่ผมให้ไปเจ้น้ำหวานแกก็ไม่ได้ใช้ครับ ก็อย่างที่บอกไปแล้วเจ้แกเปลี่ยนเป็นชายมาดแมนแฮนซั่มไปแล้ว) ส่วนคราวของเฮียบุญเกิด ผมซื้อแผ่นรองเมาส์ให้ครับ โดยแผ่นรองเมาส์ที่ผมให้มันไม่ใช่แผ่นรองเมาส์ธรรมดาครับ เพราะว่ามันเป็นแผ่นรองเมาส์ลายอนิเมะที่พิมพ์ลายหน้าสาวๆ แต่ตรงช่วงหน้าอกจะมีฟองน้ำดันขึ้นมาให้นูนครับ (เวลาใช้เหมือนโดนหน้าอกหนีบข้อมืออะไรแบบนั้นครับ)



แล้วส่วนของเฮียก๊อต…ผมไม่รู้จะให้อะไรดีครับก็เลยซื้อเซทของเล่นฮัลโหลคิตตี้ให้ ด้วยเหตุผลเฮียก๊อตแกแอ๊บแบ๊วคงชอบอะไรแอ๊บแบ๊วๆ แบบคิตตี้ล่ะมั้งครับ ผมก็เลยตัดใจซื้อให้ราคานี่แพงบรรลัยเลยครับ ตอนจ่ายเงินนี่น้ำตาจะไหล



“เฮียรับไปเถอะ ของเฮียนี่กรซื้อของเบาๆ เบๆ ไม่น่ากลัวให้เฮียเลยนะ” ผมพูดปลอบขวัญเฮียก๊อตพร้อมกับเขย่ามือที่ถือกล่องของขวัญ เพื่อให้เฮียก๊อตรับมันไปเร็ว ๆ เฮียก๊อตยื่นมือไปรับด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะก้มลงมองสิ่งของที่อยู่ในมือตนด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความไม่ไว้ใจออกมา เมื่อเห็นแบบนั้นผมนี่เดินไปตบบ่าเฮียก๊อตแกหนึ่งทีเลยครับ พร้อมกับบอกให้แกแกะดูของที่อยู่ด้านในนั้นทันทีด้วย “ถ้าระแวงน้องรหัสสุดที่รักขนาดนี้ เฮียแกะดูมันตอนนี้เลยไป” ซึ่งเฮียก๊อตแกก็ทำตามที่ผมบอกนะครับ แกจัดการแกะกล่องของขวัญของผมทันทีเลยล่ะครับ และเมื่อแกะเสร็จ เฮียก๊อตแกเงยหน้าและถลึงตาใส่ผมทันทีเลยครับ



“เอ้า…เฮียไม่ได้ชอบของน่ารักๆแบบนี้เหรอ” ผมพูดพร้อมกับแลบลิ้นใส่เฮียแกไป แต่เฮียก๊อตกลับปากล่องของขวัญที่ผมให้ใส่ผมพร้อมกับพูดไล่ให้ผมไปไกลๆไอผมที่โดนทำแบบนั้นก็หัวเราะร่าพร้อมกับวิ่งหนีไป แต่ก็ยังไม่วายแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เฮียเขา
และเมื่อผมหมดธุระกับเฮียก๊อต ธุระที่สองของผมก็เริ่มต้นขึ้นครับนั่นก็คือการไปหาพี่ศิครับ แต่คราวนี้ผมต้องเดินกลับไปที่รถของผมและหยิบของขวัญพิเศษสำหรับพี่ศิออกมาครับ อยากรู้กันล่ะสิว่าของขวัญที่ผมจะให้พี่ศิมันคืออะไร ผมขอบอกใบ้นะครับ มันเป็นของชิ้นใหญ่มาก แถมหนักด้วยล่ะ ตอนนี้ผมเลยกอดซะเต็มวงแขนเลยล่ะครับ ซึ่งเมื่อผมเดินเข้าไปในกลุ่มของนิสิตและบัณฑิตทุกคนนี่หันมามองผมเป็นตาเดียวเลยล่ะครับ สงสัยจะตกตะลึงในความอลังการของของขวัญของผมที่ผมจะให้แก่พี่ศิ ทว่าคนเยอะมากเกินไปจนทำให้ผมต้องหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาโทรด้วยความยากลำบาก นิ้วผมไล่หาเบอร์โทรศัพท์ของพี่ศิ ก่อนจะจิ้มกดโทรออกไปทันที



ผมเอาโทรศัพท์มือถือแนบหูพร้อมกับถือสายรอให้อีกฝ่ายรับ ซึ่งต้องใช้เวลาสักพักเลยล่ะครับกว่าพี่แกจะรับสาย (จริงๆ ไม่ใช่สักพักครับ ผมโทรไปหลายรอบเลยแหละกว่าพี่แกจะรับสายผม) “ฮัลโหล พี่ศิตอนนี้อยู่ไหนเหรอ บอกกรหน่อยสิ กรกำลังจะไปหา พอดีเสร็จธุระกับเฮียก๊อตแล้ว” ผมกรอกเสียงตัวเองลงไปและปลายสายก็ตอบกลับมานะครับ เขาบอกว่าตอนนี้เขาอยู่บริเวณข้างๆหอประชุมครับ เมื่อได้จุดหมาย ผมก็กดวางสายพร้อมกับแบกของขวัญที่เตรียมไว้ให้เขาไปทันที



อันนี้เรียกว่าบริการเดลิเวอรี่ส่งถึงที่เลยครับ ผมนี่ก้มมองของขวัญของผมที่จะให้พี่ศิด้วยความภาคภูมิใจพร้อมกับรีบสาวเท้าตนให้ไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว



โดยจุดหมายที่ผมต้องไปตอนนี้มีคนอยู่เยอะแยะเลยครับ กว่าจะแทรกตัวเข้าไปได้คงใช้เวลาหลายนาที ถ้าไปตัวเปล่าๆ ก็คงไปได้ไว แต่ถ้าไปพร้อมกับของขวัญที่ผมจะให้พี่ศินี่คงใช้เวลาสักพักอย่างที่บอกไปเมื่อสักครู่ล่ะครับ



ผมเอี้ยวตัว หลบซ้าย หลบขวาเพื่อเดินให้ไปถึงจุดหมาย ทว่าคนมันเยอะและแออัดเสียเหลือเกินครับ จนเกือบจะทำให้ผมทำของขวัญร่วงออกจากอ้อมแขนผมหลายต่อหลายที



ทว่าสปิริตของผมสูงมากครับ ผมนี่ใช้แรงทั้งหมดกอดรอบของขวัญชิ้นนั้นไว้แน่น และพยายามหารูเพื่อแทรกตัวเข้าไปหาคนสำคัญที่กำลังรอผมอยู่ ซึ่งเวลาในการใช้แทรกตัวผมใช้เวลาไปร่วมสิบนาทีครับ ซึ่งสิบนาทีนั้นก็ไม่สูญเปล่าครับ เมื่อผมขยับเข้าไปใกล้จนเกือบจะถึงตัวพี่ศิ ทันใดนั้นพี่วิแกก็สังเกตเห็นผม และเธอก็ตะโกนเรียกผมพร้อมกับไปกระชากแขนเสื้อพี่ศิให้หันมามองที่ผม ไอผมที่เห็นการกระทำแบบนั้นของพี่วิก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆใส่ แต่การเดินทางไปหาพี่ศิของผมมันสะดวกขึ้นเยอะเลยล่ะครับ



ผมค่อยๆประคองของขวัญที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองพร้อมกับแทรกตัวไปหาพี่ศิ เมื่อผมสาวเท้าไปอยู่วงของนายแพทย์กับแพทย์หญิง ผมก็หยุดฝีเท้าลงเบื้องหน้าพี่ศิ ซึ่งพี่ศิแกก็มองหน้าผมด้วยความฉงน ก่อนจะก้มหน้าลงไปมองของขวัญที่อยู่ในอ้อมแขนของผม



เมื่อผมเห็นปฏิกิริยาของพี่ศิ ผมก็ส่งยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นของสิ่งนั่นไปให้พี่ศิทันที รุ่นพี่ซึ่งเป็นเพื่อนๆของพี่ศินี่พยายามกลั้นขำ ส่วนพี่วิกับพี่เตอร์เขาเดินมาเกาะบ่าของพี่ศิกันคนละข้าง



“ไอศิรับไปสิ น้องเค้าให้ด้วยใจเลยนะเว้ย มาเป็นกระถางเลย” พี่เตอร์แกพูดออกมาด้วยความขบขันพร้อมกับยื่นมือออกมาเพื่อจะแตะของขวัญของผม ไอผมก็หวงของสิครับเพราะทันทีที่ผมเห็นพี่เตอร์แกยื่นมือมาผมก็เอี้ยวตัวหลบทันที ผมแลบลิ้นใส่พี่เตอร์พร้อมกับพูดเยาะเย้ยพี่แกออกไป



“ไอเจมส์ยังไม่เอาของมาให้อ่ะดิ พี่ถึงได้จะมายุ่งกับของขวัญของคนอื่นแบบนี้” คำพูดนี้ของผมเจ็บถึงทรวงเลยครับ พี่เตอร์นี่แทบทรุดลงไปกองกับพื้น



อ่อ ทุกท่านคงสงสัยสินะครับว่าทำไมผมถึงพูดเรื่องไอเจมส์กับพี่เตอร์ มันก็ไม่มีอะไรหรอกครับเพราะว่าไอเจมส์มัน…คบกับพี่เตอร์ไปแล้วล่ะครับ ทุกคนฟังไม่ผิดและไม่ต้องให้ผมรีรันอีกรอบนะครับ ถ้าอยากให้ผมรีรัน กรุณาย้อนกลับไปอ่านบรรทัดก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบครับ ซึ่งผมไม่อยากจะอวดผมเนี่ยแหละที่เป็นคนทำให้ทั้งสองคนได้คบกัน ผมจำได้คร่าวๆว่าวันนั้นไอเจมส์มันมาถามที่อยู่พี่เตอร์กับผม แล้วหลังจากนั้นมันก็มาสารภาพกับผมว่า ‘กรูคบกับพี่เตอร์แล้วนะ..’ เห็นไหมล่ะครับว่าความดีความชอบนี้จะไปตกอยู่ที่ใคร ถ้ามันไม่ใช่ผม



แต่แค่นั้นก็ยังคงทำให้พวกคุณช็อคไม่พอ เพราะไอบาสเพื่อนสนิทของผมอีกหนึ่งหน่อ มันก็สารภาพออกมาบ้างว่าตอนนี้มัน ‘กำลังจีบพี่วิอยู่’ โอ้แม่เจ้า เรื่องสุดช็อคสองเรื่องประดังประเดเข้ามาในสมองผม ทำเอาวันนั้นผมเรียนไม่รู้เรื่องเลยครับ แต่ตอนนี้ผมก็หายตกใจแล้ว พี่วิก็ยังคงโดนไอบาสตามจีบอยู่ ส่วนพี่เตอร์ก็มักจะงอนไอเจมส์อยู่บ่อยๆ เพราะไอเจมส์มันบ้างานบ้ากิจกรรมจนไม่สนใจพี่เตอร์แก แต่ก็นะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ เรากลับมาคุยถึงเรื่องของขวัญของผมดีกว่า



“ศิคะ ศิรีบรับสิคะ น้องกรสุดที่รักอุตส่าห์เอามาให้ แถมมาเป็นกระถางเลยนะคะ ศิขา” พี่วินี่พูดแบบกลั้นขำเต็มที่ ก่อนจะดันร่างของพี่ศิให้ก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ว่าพี่ศิแกยังตีสีหน้าเครียดกับของขวัญของผมอยู่ จึงไม่ยอมรับไปจากมือผมสักที คราวนี้ผมขมวดคิ้วเป็นปมแน่นเลยล่ะครับ นอกจากนั้นผมก็ดัน ‘ของขวัญ’ ของผมไปติดที่แผ่นอกกว้างของพี่ศิเลยล่ะครับ



“จะไม่รับใช่ไหม...ไม่รับ กรก็จะปล่อยให้มันร่วงไปเลยนะ” ผมพูดขู่พี่ศิไปจนทำให้พี่ศิ ‘จำใจ’ ยื่นมือมารับของขวัญของผมไปล่ะครับ เมื่อพี่ศิรับมัน ผมก็คลี่รอยยิ้มกว้างออกมา สงสัยกันล่ะสิว่าผมให้อะไรพี่แกไป จากที่พี่วิกับพี่เตอร์พูดกันมันก็คือกระถางต้นไม้ครับ แต่ว่ากระถางต้นไม้นี้ไม่ใช่พวกกระบองเพชร หรือไม้มงคลต่าง ๆ นะครับ เพราะกระถางต้นไม้ที่ผมให้พี่ศิไปนั้นมันคือดอกกุหลาบ Hybrid Tea ครับ ซึ่งพันธุ์ของดอกกุหลาบต้นนี้ก็คือไวท์คริสต์มาสครับ ซึ่งสายพันธุ์นี้เมื่อโตขึ้นจะเป็นดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ครับ ความสูงของต้นราวๆเมตรถึงสองเมตรเลยล่ะครับ ผมจึงจับมันใส่ลงไปในกระถางที่ใหญ่สักหน่อย เพื่อให้ต้นไม้ต้นนี้ไม่ล้มกระถางก่อนที่มันจะออกดอก (ถึงตอนนี้มันจะเป็นต้นเล็ก ๆ ก็เถอะนะ)



“พี่รู้ว่ากรอยากให้ของขวัญพี่ แต่ว่า…ไอที่อยู่ในกระถางมันคืออะไรหรอครับ กร” พี่ศินี่ถึงกับเอ่ยถามผมด้วยความงุนงง กระนั้นเขาก็ดูดีใจอยู่ที่ผมให้ของขวัญแกเขา แต่ดูเหมือนพี่ศิแกอยากรู้ความหมายของกระถางต้นไม้ต้นนี้ของผมครับ ซึ่งผมก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรพี่เขา ผมคลี่รอยยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับพูดอธิบายพี่ศิออกไปด้วยสีหน้าระรื่น



“มันคือต้นอ่อนของดอกกุหลาบไง พี่ศิดูไม่รู้เหรอ” ผมไหวไหล่อธิบายพี่ศิไปพร้อมกับปัดมือเพื่อให้คราบดินที่เปื้อนติดมือจากกระถางต้นไม้ออกจากมือ แต่ผมที่อธิบายไป แกก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี แววตาของร่างสูงเต็มไปด้วยความฉงน คิ้วเข้มนั้นขมวดเป็นปมแน่น



“ก็กร…กรแค่จะบอกว่าต้นอ่อนของดอกกุหลาบต้นนี้ กรขอให้พี่ศิเลี้ยงมันให้เติบโต และในปีหน้าวันสำคัญของกรช่วยนำมันมาให้กรด้วยไงครับ” ผมนี่ก้มหน้าทันทีที่ผมพูดจบ ใบหน้าของผมนี่แดงจนไม่สามารถบรรยายเปรียบเทียบกับอะไรได้เลยครับ ส่วนพี่ศิที่ฟังประโยคเหล่านั้นจากผม พี่แกก็ใช้มือข้างที่ไม่เปื้อนดินยกขึ้นมาขยี้ศีรษะของผมพร้อมกับเอ่ยขอบคุณผมอย่างแผ่วเบา



พวกพี่บัณฑิตและนิสิตต่างๆเริ่มทยอยกันกลับบ้าน คนเริ่มซาลง พร้อมกับผมและพี่ศิที่ค่อยๆเดินกันออกมาจากบริเวณหอประชุมของมหาวิทยาลัย ผมเดินนำไปประประตูรถและช่วยเอาของขวัญที่พี่ศิได้มาจากพวกรุ่นน้องที่แอบปลื้มพี่เขาทั้งหมดยัดใส่เข้าไปในรถ



เมื่อจัดเรียงของใส่ไปในรถแล้วหลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผมที่จะขับรถกลับคอนโด ผมเข้าไปนั่งในที่นั่งคนขับส่วนพี่ศิเข้าไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของผม



แต่ก่อนที่ผมจะเคลื่อนตัวรถไป ผมก็เอ่ยประโยคสั้นๆออกมาให้พี่ศิฟัง ซึ่งประโยคพวกนั้นมันเกี่ยวกับกระถางดอกไม้ที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่ศิ “พี่ศิรู้ความหมายของดอกกุหลาบไหม” ซึ่งไอคำถามที่ผมเอ่ยขึ้นลอยๆ พี่ศิเขาก็ได้ยินครับ  ใบหน้าคมพยักหน้าขึ้นลงเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขารู้จักภาษาดอกไม้ของดอกกุหลาบ



“งั้นก็คงรู้นะว่าความหมายของดอกกุหลาบสีขาวคืออะไร พี่ศิ…ความรู้สึกของกรก็เหมือนกับดอกกุหลาบสีขาวนั่นแหละ” ผมพูดออกไปเช่นนั้น ก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อทำให้รถยนต์เคลื่อนที่ไปด้านหน้า



ดอกกุหลาบสีขาวนั้นหมายความว่าความรักที่บริสุทธิ์…



นั่นก็หมายความว่าความรักของกรที่มีให้กับพี่ศิเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ส่วนคำตอบที่พี่ศิจะมอบให้แก่ผมนั้นคงต้องเป็นปีหน้าแล้วล่ะครับ กว่าผมจะได้รู้…คำตอบที่มาจากใจพี่เขา



_____________________________________




สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่ศิ... ส่งจุ๊บให้พี่ศิ//



ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
น้องกรนี่มองการไกลมากกกก. พี่ศิช่วยดูแลความรักที่บริสุทธิ์ของน้องกรด้วยนะ จุ๊บ ๆ

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
 :กอด1: กอดพี่ศิ จุ๊บุๆ

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


โค้ง// โผล่หัวมาลงตอนพิเศษ 3 ค่า (ตอนพิเศษสองคืออะไร...ก็ไม่ร้สินะไว้เจอกันในเล่มนะค้า)



รายละเอียดการจองติดตามได้ที่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402  ค่า



Special Chapter 3



เวลานั้นผ่านไปไวเหมือนโกหกจากที่ผมเล่าไปว่าพี่ศินั้นเรียนจบไปแล้วและตอนนี้มันก็ผ่านมาได้ 1 ปีแล้วล่ะครับ และไอ 1 ปีนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ผมเรียนปี 4 นั่นก็หมายความว่า ตอนนี้ผม นายรณกร กิตติพงษ์พิพัฒน์ เรียนจบแล้วนะครับ ขอบอก



ซึ่งในตอนนี้ผมรับพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อย และกำลังถ่ายรูปกับเหล่าสหายทั้งหลายแหล่ และที่สำคัญตอนนี้ผมก็กำลังถ่ายรูปกับสาวๆที่ปลื้มผมอยู่ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นน้องที่ไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าผมนั้นมีแฟนแล้ว แต่ก็เอาเถอะนะ ถึงแม้ผมจะจีบพวกเธอไม่ได้ก็เถอะ แต่ผมขอชมสิ่งสวยๆ งามๆ หน่อยเถอะ อย่างน้อยก็ขอได้ถ่ายรูปกับพวกเธอก็ยังดี และถ้าทุกคนคิดว่าพี่ศิหายไปไหน ทำไมถึงให้ผมป้อสาวได้ ผมขอบอกเลยว่าพี่ศิ…ติดงานมาไม่ได้ครับ



ซึ่งตอนแรกผมก็ชวนพี่แกมางานรับปริญญาของผมนะ เพราะผมอยากถ่ายรูปกับพี่แกอยากฉลองกับพี่แก ทว่าพี่ศิกับปฏิเสธคำชวนของผมอย่างรวดเร็วเลยครับว่าพี่แกติดงานมาไม่ได้แน่นอน และไอประโยคที่พี่ศิพูดออกมาประโยคนี้ทำเอาผมทะเลาะกับพี่แกจนบ้านแตกเลยครับ ซึ่งผมโมโหจัดถึงขั้นไล่พี่ศิออกจากคอนโดให้ไปนอนที่โรงพยาบาลและแต่งงานอยู่กินกับโรงพยาบาลที่รักของแกเลยครับ และนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ได้คุยกับพี่ศิเลยสักคำ รวมไปถึงการโทรศัพท์หรือการคุยผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กครับ ซึ่งช่วงเวลานั้นมันผ่านมาร่วมสองอาทิตย์แล้วล่ะครับ



แต่เอายังไงก็เอา พี่ศิไม่มาก็ดี ผมผู้ซึ่งเป็นบัณฑิตใหม่จะได้รื่นเริงบันเทิงใจกับพวกเพื่อนๆ รุ่นน้อง รุ่นพี่ (ที่จบไปแล้ว) ที่มาแสดงความยินดีกับพวกเราครับ



ในอ้อมแขนของผมนี่เต็มไปด้วยช่อดอกไม้และของขวัญ ผมนี่หัวเราะร่าเลยล่ะครับ เพราะผมไม่คิดว่าทุกคนจะมีคนรู้จักมากมายขนาดนี้ บางคนที่เอาของมาให้ผม ผมยังไม่รู้จักเขาเลยล่ะครับ แต่ผมก็รับของขวัญที่พวกเขาให้มาด้วยใจ ประเด็นที่คนรู้จักผมเยอะก็คงเป็น เพราะผมเป็นรองประธานสโมฯ ของคณะวิศวะล่ะมั้งครับ (ส่วนประธานคือไอเจมส์ครับ) พวกผมก็เลยต้องไปติดต่อเรื่องกิจกรรมต่างคณะบ่อย ๆ ครับ ผมเลยคิดว่านั่นทำให้รุ่นน้องต่างคณะรู้จักผม ส่วนพวกรุ่นเดียวกันหรือต่างกันปีหนึ่งจะรู้จักผม เพราะว่าผมนั้นสร้างประวัติศาสตร์รักกับพี่ศิแกไว้ครับ จะให้พูดถึงก็น่าอายนะครับ โดนขอเป็นแฟนกลางสนามบาส ช่างเถอะครับ!! อย่าไปพูดถึงพี่ศิคนใจร้ายเลย ทุกคนมาแสดงความยินดีกันผมดีกว่า



ผมสะบัดหัวไล่ความคิดที่คิดถึงพี่ศิออกไปจากหัวให้หมด พร้อมกับถลาเข้าไปถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ และคุณป๊า คุณม๊าคุณเจ้ คุณน้องสาวและน้องกัซที่มาแสดงความยินดีกับผมกันอย่างคับคั่ง ผมยืนยิ้มอยู่ท่ามกลางครอบครัวที่แสนน่ารักพร้อมกับคลี่รอยยิ้มกว้างถ่ายรูป (ซึ่งตากล้องนี่คุณม๊า เธอทุ่นทุนสุด ๆ ครับเพราะคุณม๊าแกจ้างมาให้ถ่ายงานวันรับพระราชทานปริญญาบัตรของผมโดยเฉพาะ แต่ก็เวลาล่วงเลยไปถึง 11 โมงแล้วครับ มันก็หมดเวลาที่ตามที่ตกลงกับตากล้องแล้วคุณม๊าและพี่ ๆ น้อง ๆ ของผมก็ขอตัวกันกลับบ้านก่อน ส่วนผมนี่ยังคงอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ต่อครับ



ส่วนของขวัญและช่อดอกไม้ทั้งหมดผมฝากคุณป๊ากับคุณม๊าให้เอากลับบ้านไปครับ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเกะกะเวลาถ่ายรูป (เกรียน ๆ ครับ) ซึ่งนอกจากเสื้อผ้าแล้วสิ่งที่ติดตัวของผมก็มีเพียงใบปริญญาที่รับมาเมื่อเช้า โทรศัพท์มือถือที่แบตเหลือ 70 เปอร์เซ็นต์แล้วก็กระเป๋าเงินครับ  เมื่อผมฝากทุกสิ่งทุกอย่างกับคุณป๊าคุณม๊าไปจนหมดสิ้น ผมก็วิ่งถลาไปถ่ายรูปครับ



แต่ดูเหมือนว่าธุระของผมจะยังไม่จบนะครับ เพราะในขณะที่ผมกวาดสายตามองไปรอบๆผู้คนที่เริ่มซาลง ผมก็เห็นร่างสูงของคน ๆ หนึ่งเดินเข้ามาหาผมครับ ซึ่งผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่ผมรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดีครับ ร่างสูงสง่านั้นก้าวเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับดอกกุหลาบสีน้ำเงินดอกใหญ่ในมือครับ ในทันทีที่ผมเห็นร่างของเขาคนนั้นผมถึงกับเบ้ปากออกมาเลยล่ะครับ เพราะคนๆนั้นเป็นคนที่ผมไม่ได้คุยแต่ดันได้เจอหน้ามาสองอาทิตย์ครับ



ซึ่งคนๆนั้นก็เป็นใครไม่ได้นอกจาก นายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัญศิริ ที่รักโรงพยาบาลและอยากแต่งงานกับโรงพยาบาลมากกว่าแฟนตัวเองครับ (แม้ในใจผมแจะแอบดีใจที่เขามาในวันสำคัญของผมก็เถอะนะครับ)



“พี่ยังมาทันใช่ไหมครับ กร…” เจ้าของเสียงทุ้มนั้นเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งไอรอยยิ้มนั่นทำเอาผมหมั่นไส้และสะบัดหน้าหนีพี่ศิแกทันทีเลยล่ะครับ และไออาการที่ผมแสดงออกมาแบบนี้ขอบอกเลยว่า ‘ผม งอน งอนมาก งอนที่สุด งอนโคตรๆ งอนแบบไม่ไหวแล้ว’ ครับ



เมื่อร่างสูงนั้นเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นของผม เขาก็ทอดถอนลมหายใจออกมาเสียยาวเหยียดพร้อมกับพูดง้อผมในแบบของพี่ศิเขาครับ “กรครับ เราไม่ได้คุยกันมาตั้งสองอาทิตย์แล้วนะครับ เลิกงอนพี่ได้แล้วมั้งครับ กร” ไอประโยดนี้ดังขึ้น ผมนี่ตวัดตาไปมองพี่ศิแกหนึ่งที ก่อนจะสะบัดหน้าหันกลับที



ร่างสูงนั้นหัวเราะน้อย ๆ ในการกระทำของผม ก่อนจะยื่นดอกกุหลาบดอกใหญ่สีน้ำเงินมาให้แก่ผม “ดอกกุหลาบดอกนี้มาจากต้นดอกกุหลาบที่กรให้พี่เมื่อปีที่แล้วครับ ที่พี่บอกกรว่าพี่มาร่วมงานของกรไม่ได้ไม่ใช่ว่าพี่มาไม่ได้ทั้งวันนะครับ ที่พี่มาช้าเพราะมัวแต่เตรียมเจ้าดอกไม้ดอกนี้อยู่ครับ พี่อยากให้มันเป็นสีน้ำเงินที่กรชอบแล้วก็อยากให้มันเป็นสีน้ำเงิน เพราะความหมายของมันครับ” คำพูดนี้ทำเอาผมหายงอนไปถึง 90 เปอร์เซ็นต์เลยล่ะ แต่ผมก็ต้องมีความงอนอีก 10 เปอร์เซ็นต์เก็บไว้เล่นตัวบ้างอะไรบ้างครับ แต่ถึงผมจะนึกไว้แบบนั้น ผมก็ยื่นมือออกไปรับดอกกุหลาบดอกใหญ่ดอกนั้นมาถือไว้พร้อมกับลอบอมยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มแค่แปบเดียวเท่านั้นครับ



“กรครับ รู้ความหมายของดอกกุหลาบสีน้ำเงินหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับกล่าวคำถามถามผม  ซึ่งตัวผมก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันหมายความว่ายังไง ผมก็เลยส่ายหัวเป็นคำตอบตอบไป เมื่อผมทำเช่นนั้นร่างสูงก็คลี่ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับโน้นตัวลงมากระซิบเบาข้างหูผม



“ความหมายของดอกกุหลาบสีน้ำเงินมันมีความหมายว่า ‘ปฏิเสธ’ ครับ…” ไอคำพูดนี่ของพี่ศิทำเอาผมน้ำตาเล็ดเลยล่ะครับ ผมนี่เกือบจะเหวี่ยงดอกกุหลาบนี้ใส่หน้าพี่ศิ แต่ดูเหมือนคำพูดของพี่ศิจะยังไม่จบ และในประโยคถัดไปที่ร่างสูงนั้นจะเอ่ยออกมา ริมฝีปากหนานั่นคลี่รอยยิ้มออกมา ก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่ตนตั้งใจจะพูดต่อไปออกมา “แต่อีกความหมายหนึ่งของมันก็คือ ‘รักแรกพบ’ ครับกร…เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่พี่เห็นกรและได้รู้จักกร พี่ก็ตกหลุมรักกรตั้งแต่วินาทีแรกนั่นแล้วล่ะครับและที่ยิ่งไปกว่านั้นพี่รักกรมากขึ้นทุกวัน…ทุกวันและทุกวันครับ” คำสารภาพรักนั่นพาระทวยตัวของผมที่ยืนอยู่นี่แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นเลยหละครับ



นั่นก็เป็นเพราะถ้อยคำของพี่ศิที่กระซิบเบาผ่านสายลมมาบอกผม มันเป็นเหมือนคำสาบานที่พี่ศิแกยืนยันว่าเขาจะรักผมตลอดไป ผมเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น ส่วนใบหน้าขาวนั้นขึ้นสีแดงชาดออกมา



แม้ผมจะได้ยินถ้อยคำสารภาพรักแบบนั้น แต่กระนั้นตัวของผมก็ไม่วายที่จะเอ่ยคำพูดที่กวนประสาทออกมา “หายงอนก็ได้ แต่คนอย่างนายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัญศิริเอามาได้แค่นี้เองเหรอ” ผมพูดพร้อมกับไหวไหล่ตนพร้อมกับยกช่อดอกกุหลาบสีน้ำเงินขึ้นมามอง ซึ่งพี่ศิก็ได้แต่คลี่ยิ้มออกมา แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร ผมนี่ขมวดคิ้วใส่พี่เขาแน่นก่อนจะเดินย้อนกลับไปหาพวกเพื่อนๆเพื่อบอกว่าผมนั้นจะขอตัวกลับก่อน



สหายทั้งหมดนี่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย แต่เมื่อพวกมันเห็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินในมือผม มันก็พร้อมใจกันชะโงกหน้าไปมองบุคคลที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของผม



และเมื่อพวกมันเห็นแบบนั้น รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจของพวกสหายทั้งหมด (ซึ่งยกเว้นไอเจมส์ที่มันสวีทหวานกับสามีมันอยู่ และไอบาสที่กุ๊กกิ้กกับพี่วิอยู่) ก็ถูกส่งมาให้ผม ไอตัวผมนี่แทบจะปาของในมือตัวเองใส่หน้าพวกมัน แต่ก็ต้องคำนึงไว้ว่าของที่อยู่ในมือของผมมันเป็นช่อดอกไม้ที่พี่ศิแกให้ผม ซึ่งมันไม่ได้เป็นเพียงช่อดอกไม้ แต่มันเป็นช่อดอกไม้ที่มอบหัวใจมาให้ผมด้วยครับ ผมจึงได้แต่สะบัดหน้าหนีพร้อมกับเดินถือช่อดอกกุหลาบสีน้ำเงินกลับไปหาพี่ศิ



“กลับกันเถอะพี่ศิ กรเหนื่อยแล้วก็ร้อนด้วย” คำพูดของผมทำให้พี่ศิเขาตกใจ แต่พี่แกก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกับผม



ร่างสูงนั้นสาวเท้าเดินนำไปที่รถของเขาพร้อมกับเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับเพื่อให้ผมก้าวขึ้นไปนั่ง ทว่าก่อนที่ผมจะได้ก้าวเท้าขึ้นไปบนรถ ร่างสูงนั้นทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก เขาเอ่ยพูดให้ผมเดินไปหลังรถพร้อมกับเขาที่ไขกุญแจเพื่อเปิดฝากระโปรงหลังรถขึ้น



และเมื่อฝากระโปรงรถทางด้านหลังเปิดขึ้น ภาพที่ไม่น่าเชื่อก็ปรากฏแก่สายตาของผม ในกระโปรงหลังรถนั่นมีดอกกุหลาบสีแดงสดวางเรียงรายกันอยู่ ผมหันไปมองหน้าพี่ศิที่ระบายไปด้วยรอยยิ้ม ส่วนใบหน้าของผมนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของผม



และเมื่อผมพอที่จะตั้งสติของตัวเองได้ มือของผมก็ค่อยๆยื่นไปหยิบดอกกุหลาบในท้ายรถนั่นขึ้นมาหนึ่งดอก ซึ่งดอกกุหลาบดอกนั้นเป็นดอกกุหลาบแดงที่ไร้หนามครับ



“ดอกกุหลาบสีแดงสดทั้งหมด เก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกครับ และทั้งหมดเป็นดอกกุหลาบไร้หนาม…” พี่ศิอธิบายถึงดอกกุหลาบพวกนั้น ซึ่งในเวลานั้นสติของผมไม่พร้อมที่จะฟังคำพูดของพี่ศิอีกแล้วครับ เพราะในตอนนี้หัวใจของผมเต้นแรงราวกับว่ามันจะหลุดออกมาจากอก ใบหน้าสีแดงชาดของผมที่มันแดงอยู่แล้วมันยิ่งขึ้นสีแดงก่ำยิ่งขึ้นไปอีก



“ซึ่งดอกกุหลาบไร้หนามมีความหมายเดียวกับดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่กรถืออยู่ และจำนวนทั้งหมดเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกมันหมายความว่า… ‘ผมจะรักคุณยันวินาทีสุดท้ายครับ’…” สิ้นเสียงพูดของพี่ศิ ทำเอาผมแทบลงไปนอนกองที่พื้นเลยล่ะครับ



การกระทำ ถ้อยคำและดวงตาที่พี่ศิแสดงออกมาให้ผม มันทำให้ผมรับรู้ว่าพี่ศินั้นเขาจริงจังมากๆเลยครับ…และเมื่อตัวผมนั้นตั้งสติได้ ผมก็ถลาเข้าไปกอดคอพี่ศิแกแน่นเลย  น้ำตาของผมที่กลั้นมานาน มันค่อยๆไหลรินออกมา แต่ที่มันไหลออกไม่ใช่เพราะความน้อยใจหรือเสียใจนะครับ มันเป็นน้ำตาแห่งความยินดีมากกว่า



‘ขอบคุณนะครับพี่ศิ...ที่พี่ศิรักกรมากมายขนาดนี้’




_______________________________



ไอแคก ๆ กับความหวานของตอนนี้ เจอกันปลายเดือนค่ะ ตอนพิเศษ 4.1 ที่ตะลงเป็นตอนสุดท้าย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
หวานกันจริง พี่ศิกับน้องกร เนี่ย

อิจฉาตาร้อนเลยจ้า

ออฟไลน์ MoMoRin

  • I am Fujoshi! (・∀≦)ゞ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2
บแกคำเดียวว่า*อิจฉา*น้องกรจริงๆ
แบบพี่ศินี่หาได้ที่ไหนอีกมั้ยคะ ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
 :impress2: พี่ศิโรแมนติกว๊อยยยย

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
...อิจฉาเบาๆ...ชริ

ออฟไลน์ paladin.kn

  • ไฟมอดลงยังคงทิ้งรอย...เถ้าถ่าน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 608
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
โอ๊ยยยยยย อิจฉาน้องกรรรรร

 :ling1: :ling1: :ling1:

เราอยากได้พี่ศิอ่าาาาาาาาาาาาาาา

ผู้ชายในฝัน นายมันเป็นผู้ชายในฝันชัดๆ ศิรวิทย์!!!!

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

สวัสดีค่ะ อันนี้พลอยมาลงตอนพิเศษตอนสุดท้ายให้ทุก ๆ คนอ่านค่ะ (ส่วนตอนที่เหลือตามได้ในเล่มนะคะ ยังคงเปิดจองอยู่)


ถ้าหากสนใจสามารถอ่ายรายละเอียดได้ในลิ้งค์นี้นะคะ


http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402






Special Chapter 4.1 [Special Talk – Ronnakorn & Korakarn]



ถ้าบางครั้งตัวเรามีปัญหาข้องใจ หรือปัญหาที่บอกใครไม่ได้ เขาว่าให้เราถามเพื่อนสนิท แต่ถ้าเพื่อนสนิทที่สุดมันดันพูดเรื่องพวกนี้ใส่มันไม่ได้ เราก็ต้องหาเพื่อนที่สนิทถัดไปจากคนๆนั้น และนั่นก็ทำให้ผมต้องมานั่งอยู่ในร้านกาแฟยี่ห้อดังที่มีตราสีเขียวเป็นโลโก้ครับ และบุคคลที่ผมเลือกที่จะปรึกษาปัญหา (ไม่สิ มันไม่ได้เรียกว่าปัญหามันคงเรียกว่าข้อข้องใจมากกว่าครับ) นั่นก็คือกรกานต์ หนุ่มน้อยผู้แสนน่ารักน่าชังครับ



ไอตอนที่ผมโทรศัพท์หากานต์ เพื่อที่จะนัดดื่มกาแฟยามบ่ายและคุยเรื่องส่วนตัวนี่ เสียงเล็กๆหวานๆที่ดังผ่านสายโทรศัพท์นั้น มันแทบจะทำให้ความกังวลนั้นหายไปเลยล่ะครับ แต่ก็ดูเหมือนว่าการ Healing ผ่านการโทรศัพท์นี่ยังคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ความกังวลของผมหายไปครับ ผมจึงต้องขอนัดกับกานต์ในวันจันทร์วันนี้เวลาบ่ายโมงครับ ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงตรงและเบื้องหน้าของผมนั้นมีร่างบอบบางของกรกานต์นั่งอยู่ครับ รอยยิ้มพิมพ์ใจของกานต์ที่เริ่มทำการ Healing จิตใจและร่างกายของผมอีกครั้ง ซึ่งผมก็ปล่อยให้มัน Heal ผมอยู่นาน จนในที่สุดกรกานต์ผู้แสนน่ารักก็เอ่ยถามผมออกมาว่าการที่ผมโทรไปขอนัดกานต์มาด้วยเหตุผลอะไร



“กรมีอะไรจะคุยกับกานต์เหรอ” ใบหน้าหวานนั้นจับจ้องมาที่ผมพร้อมกับเอ่ยคำถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยน กานต์นี่เป็นคน Healing ชั้นยอดเลยล่ะครับ แค่ได้ยินเสียงหวาน ๆ นั่น ก็ทำเอาผมเกือบจะลืมเรื่องราวที่จะเล่าที่จะถามทั้งหมดในสมองหายไปเลยหละครับ ผมนั่งเพ้อกับน้ำเสียงและใบหน้าหวาน ๆ ของกานต์อยู่นานจนกานต์ต้องเอ่ยถามซ้ำผมถึงจะรู้สึกตัวครับ “กร…เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความกังวล ซึ่งเมื่อผมโดนประโยคคำถามกระตุ้นเป็นครั้งที่สอง ผมก็รีบเอ่ยคำถามที่แสนจะน่าอายออกไป และคำถามที่ผมเอ่ยออกไปทำให้กานต์ถึงกับอึ้งแก้วน้ำที่อยู่ในมือบอบบางนั่นแทบร่วงไปลงกองที่พื้น



“กานต์ กรอยากถามว่าครั้งแรกของกานต์กับอาจารย์ธาราเป็นยังไงเหรอ” การกระทำของผู้ถูกถามถึงกับชะงักค้าง ทั้งใบหน้าหวานนั่นค่อย ๆ ขึ้นสีแดงเรื่อง



“คือกรกับพี่ศิ...เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ที่กรอยากถามก็คือว่ากานต์จะรู้สึกเหมือนที่กรรู้สึกหรือเปล่า…ไอครั้งแรกน่ะ” ซึ่งไออาการหน้าแดงมันไม่ใช่คนที่ถูกถามจะหน้าแดงหรอกนะครับ ไอคนถามแบบผมนี่ก็หน้าแดงด้วย พวกเราสองคนก้มหน้าไม่มองหน้ากันอยู่นานจนในที่สุด กรกานต์ผู้แสนน่ารักก็ค่อยๆเอ่ยตอบผมกลับมาครับ ซึ่งคำตอบที่กานต์เอ่ยตอบกลับมานั่นทำเอาผมแทบช็อคครับ เพราะผมคิดว่าไม่มีใครอดทนเท่ากับพี่ศิอีกแล้ว แต่นี่ยังมีคนที่อดทนกว่าพี่ศิอีกครับ อดทนกว่าไม่พอแถมคนๆนั้นไม่มีท่าทีที่จะแตะต้องคนสำคัญของเขาเลยสักนิดครับ



“กานต์...ยังไม่เคยนะกร” เจ้าของใบหน้าหวานนั่นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ก่อนริมฝีปากบางนั่นจะเม้มเข้าหากันแน่น เอาล่ะครับ ท่าทางผมจะมาปรึกษาผิดคนซะแล้วล่ะครับแบบนี้ แถมคำถามของผมทำให้คนไม่ประสีประสาเรื่องทางเพศอย่างกานต์เขินได้อีก ถ้าอาจารย์ธารารู้เข้านี่ผมถึงตายเลยนะครับเนี่ย แต่ก่อนที่ผมจะทันได้คิดถึงท่าตายของผม กานต์กลับเอ่ยถามสวนกลับมา “แล้วกรรู้สึกยังไงเหรอ ครั้งแรกน่ะ…มันเจ็บมากไหม คือกานต์ก็อยากรู้นิดหน่อยน่ะ แต่ถ้ากรไม่สะดวกใจเล่าให้กานต์ฟังก็ไม่เป็นไรนะ” คำถามนี่ทำเอาผมสำลักน้ำส้มอันเป็นที่รักของผมเลยล่ะครับ



คนอย่างกานต์ ผู้ใสซื่ออยากรู้เรื่องพวกนี้ แม่เจ้า ผมไปเปิดโลกทัศน์ใหม่ของกรกานต์ขึ้นแล้วสินะครับ ไอผมก็กระดากอายที่จะเล่า แต่ถ้าปล่อยให้คนอย่างกรกานต์ไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้เอง ท่าจะแย่นะครับ ผมจึงตัดสินใจ…เล่าก็เล่าวะ มือของผมค่อยๆเอื้อมไปกุมมือบอบบางของกานต์ก่อนจะกลั้นใจเราเรื่องราวทั้งหมดออกไป



“คือความจริงแล้วกรน่ะ โดนเจมส์มันแกล้ง แต่จริงๆมันก็เกิดมาจากความสงสัยในตัวพี่ศิของกรนั่นล่ะ กรแค่คิดว่าพี่ศิตายด้านหรือเปล่า ก็เลยทดสอบนิดหน่อย คือที่คิดแบบนั้นก็เพราะพี่ศิแกไม่มีท่าทีที่จะ….เอ่อ…แตะต้องกรเลย กรก็เลยทดสอบอะไรนิดหน่อยแล้วก็เป็นเรื่องขึ้นมาเลยล่ะ” ปากผมก็เล่าไปส่วนใบหน้านั้นก็แดงไป ในใจของผมนี่ผมไม่อยากจะเล่าต่อแล้วล่ะครับ แต่เงยหน้าไปมองใบหน้าสวยที่ทำท่าตั้งอกตั้งใจฟัง มันทำเอาผมทำลายความอยากรู้อยากเห็นของกานต์ไม่ได้ครับ



“แล้ว…เริ่มแรก…มันเป็นยังไงเหรอกร” คำถามแต่และคำถามของกานต์นี่ฟังดูก็รู้ล่ะครับว่าเขาถามด้วยความอยากรู้และไม่ประสาต่อโลก ทว่าแต่ละคำถามที่กานต์ถามมาเนี่ย ทำเอาผมที่ต้องกลั้นใจเล่า เอาหน้ามุดดินไปหลายเมตรเลยครับ



“ก็...ก็…เริ่มจากจูบน่ะ จากปากแล้วก็ไล่ไปที่คอ” เมื่อผมพูดประโยคนี้ออกไปจนจบ นัยน์ตาคู่งามที่ประดับอยู่บนใบหน้าของกรกานต์ก็เปลี่ยนเป้าหมายจากหน้าผมไปเป็นบริเวณคอเสื้อที่เปิดอยู่ และเมื่อสายตานั่นเห็นรอยแดงๆรอบคอผมกานต์ก็ถึงกับฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเลยล่ะครับ



ท่าทางเด็กน้อยผู้ใสซื่ออย่างกรกานต์คงจะรับรู้ได้แค่นี้ล่ะมั้งครับ และในขณะที่ผมกำลังเลิกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกรกานต์ ผู้ที่ตอนนี้ใบหน้าของเขาแดงก่ำก็เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะพร้อมกับกุมมือของผมแน่น ริมฝีปากบางสีหวานนั้นเอ่ยให้ผมเล่าเรื่องราวขั้นต่อไปอย่างสั่นเครือ (ทั้งๆที่คนที่น่าจะอายเป็นผมนะครับ…ไม่ใช่กานต์ แต่พอเห็นท่าทางไม่ประสาแบบนั้นของกานต์แล้วทำเอาตัวผมนี่เขินไม่ลงเลยล่ะครับ)



“กร…แล้วต่อไปยังไงเหรอ” ริมฝีปากบางนั้นเอ่ยเสียงสั่นพร้อมกับค่อย ๆ ขยับใบหน้าตนเขามาใกล้ใบหน้าของผม สภาพของผมกับกานต์ตอนนี้ ถ้าเกิดพี่ศิหรืออาจารย์ธารามาเห็นนี่อาจจะเกิดการเข้าใจผิดกันได้ง่ายๆ เลยล่ะครับ แต่ด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นและจริงจังของกานต์ทำเอาผมไม่กล้าจะหักหาญน้ำใจของเขาก็เลยตัดสินใจรีบๆเอ่ยขั้นตอนต่อไปให้มันจบเร็ว ๆ



“ก็…หลังจากนั้นก็เล้าโลมน่ะ…กานต์เข้าใจความหมายนี้ไหม” ผมพยายามอธิบายออกมาให้กานต์ฟังเป็นรูปประโยคที่ไม่ติดเรทที่สุด ซึ่งกานต์ก็พยักหน้าเข้าใจครับ แต่ไอหลังจากนี้ต่อไปมันเริ่มทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะอธิบายให้กานต์ฟังแล้วล่ะครับ เพราะประสบการณ์ครั้งแรกของผมมันปกติซะที่ไหน…กันล่ะ เพราะว่าครั้งแรกของผมมันก็เป็นอย่างที่ทุกๆคนรู้นั่นแหละครับ…ในห้องน้ำพร้อมกับสายน้ำที่ไหลรดร่ากายของผมกับพี่ศิ



ยะ..ยิ่งคิดถึงมันก็ยิ่งเขิน ยิ่งนึกถึงก็พาลย้อนกลับไปคิดว่าตัวเองทำแบบนั้นไปได้ยังไง ไม่ว่าจะเสียงคราง หรือการกระทำที่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาต้องการให้ร่างกายของเราทั้งสองคนเป็นหนึ่งเดียวกัน



“แล้วยังไงต่อเหรอกร” กานต์ยังถามไม่ยอมหยุดครับ เพราะตอนนี้กานต์กำลังไล่บี้ถามคำถามขั้นต่อไปกับผมอยู่ ซึ่งอย่างที่บอกครับผมกระดากอายจนเกินกว่าจะเล่าออกไปได้



ทว่าผมที่โดยใบหน้าหวานที่งดงามราวกับเด็กผู้หญิงใช้สายตาจริงจังจ้องเข้าๆ มันก็ทำเอาผมใจอ่อนเล่าให้กานต์ฟังต่อครับ “ก็คือ…ครั้งแรกของกรกับพี่ศิน่ะไม่ใช่บนเตียงหรอกนะ มันมีเหตุสุดวิสัยมันเลยไปลงเอยในห้องน้ำน่ะ หลังจากเล้าโลมพี่ศิก็…แทรก นั่นล่ะเข้ามาแล้วขยับน่ะ” สิ้นประโยคนี้ ผมก็รู้สึกว่ากานต์นั้นได้ช็อคหมดสติไปแล้วครับ ใบหน้าหวานนั่นแดงก่ำ ซ้ำดวงตาคู่งามสีฟ้าน้ำทะเลนั้นเหม่อลอยและที่สำคัญในหัวของกานต์นั่นไม่รู้จะจิตนาการอะไรต่อมิอะไรไปแล้วล่ะครับ



มือทั้งสองผมค่อยๆ เขย่าร่างของกานต์เบาๆเพื่อเรียกสติ แต่ดูเหมือนกว่าตอนนี้สิตของกานต์ล่องลอยไปไกลแสนไกลแล้วล่ะครับ ผมนั่งมองกานต์ที่สายตาเหม่อลอยไปราว ๆ สิบถึงสิบห้านาที กานต์ก็ดูเหมือนว่าจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ทว่าใบหน้าของกานต์ก็ยังคงแดงก่ำอยู่ครับ มือบอบบางนั่นบีบมือของผมแน่น พร้อมกับริมฝีปากสีหวานที่เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดของคนที่ไม่ประสากับเรื่องราวพันธ์นี้ว่า



“กานต์…อยากรู้จังเลยว่าพี่ธาราเขาอยากจะทำกับกานต์เหมือนอย่างพี่ศิทำกับกรหรือเปล่า” กานต์เอ๊ย ถ้ายังไม่อยากเสียตัว อย่าไปถามคำถามกับอาจารย์ธาราเลยครับกานต์ กรขอเตือน!





____________________________



ขอบคุณทุก ๆ คนที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้

ขอบคุณทุกคอมเม้นและยอดอ่านค่ะ

แต่พลอยจะมาอัพเดทเรื่อย ๆ นะคะ เกี่ยวกับการสั่งจองและรายละเอียดของแถมต่าง ๆ ในกระทู้นี้ค่า

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
 :katai1: เค้าพลาดฉากนี้เหรอ ไหนนนนอยู่ตอนไหนน

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
นั่นสิ อยู่ตอนไหนหว่า555

ออฟไลน์ dark-soleil

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
ม่ายยยยยยยยยย ครั้งแรกของน้องกรหายไปหนายยยยยยย  :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
กรเลือกกานต์มาฟังปรึกษานี่ แน่ใจหรือ 5555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด