สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านตอนนี้พลอยขอประกาศเปิดจองเซทธรรมดาค่ะ สามารถสั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 10 มีนาคม ค่ะ โดยรายละเอียดทั้งหมดติดตามได้ในลิ้งค์
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402 ขอบคุณพื้นที่ค่ะ
Chapter 35
ไอผมตัวไม่ค่อยจะกล่าวย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวานเลยล่ะครับ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายที่สุดในชีวิตของผมเลยนะครับ ถึงแม้มันจะทำให้ตัวของผมตอนนี้มีความสุขมากๆก็ตาม แต่กระนั้นผมก็คงต้องเล่าย้อนความนิดหน่อยนั่นล่ะครับ จะได้ไม่ทำให้ทุกๆคนงงกัน จากเมื่อวานการแข่งขันบาสระหว่างคณะแพทย์กับคณะวิศวะ ผลสรุปของการแข่งนั่นก็คือคณะวิศวะชนะไปอย่างขาดลอยล่ะมั้งครับ และการพ่ายแพ้นั่นก็ทำให้ข้อตกลงของผมกับศิไม่สำเร็จครับ เรียกง่ายๆว่าพี่ศิแกเกมโอเวอร์ครับ ซึ่งในตอนนั้นพี่ศิเกือบจะดราม่ากลางสนามบาสแล้ว แต่ผมก็อดเห็นใจพี่ศิไม่ได้ ผมจึงได้ให้รางวัลกับผู้แพ้ไป ส่วนรางวัลของผู้แพ้นั่นก็คือไอกำไลสีเงินที่ตอนนี้ถูกสวมอยู่ที่ข้อมือของผมครับ
ซึ่งไอกำไลสีเงินสะอาดตาวงนี้ มันเป็นเครื่องยืนยันถึงคำตอบของผมที่มีให้กับพี่ศิครับ แล้วกรุณาอย่าถามนะครับว่าผมไปตอบตกลงหรือตอบอะไรพี่ศิเขา เพราะพวกคุณที่ติดตามเรื่องของผมมาถึงขนาดนี้ก็น่าจะทราบแล้วล่ะครับว่าผมทำข้อตกลงอะไรกับพี่ศิแกไป และทั้งหมดนี่มันก็เป็นเรื่องราวเกือบจะทั้งหมดของเมื่อวาน
แต่ผมขอเล่าอะไรเกี่ยวกับเมื่อวานอีกหน่อยนะครับ เพราะว่าเรื่องนั้นมันเกี่ยวโยงกับเรื่องของวันนี้ครับ ซึ่งหลังจากที่ผมให้รางวัลแก่ผู้แพ้กับพี่ศิแล้ว ผมก็ขอตัวไปคุยกับพวกเฮียๆของผมที่แข่งบาสชนะครับ รุ่นพี่แต่ล่ะคนนี่แสดงความดีใจออกมาเสียยกใหญ่ และที่สำคัญเพื่อเป็นการฉลองที่ครองถ้วยชนะเลิศการแข่งขันบาสกี่สมัยซ้อนก็ไม่รู้ เฮียก๊อตก็ประกาศว่าคณะวิศวะจะมีการฉลองที่ร้านประจำ (ก็ไอร้านที่ผมไปเลื้อยแอนด์เรื้อนเมื่อตอนปิดเทอม 1 ปีนั่นล่ะครับ) ซึ่งผมก็ตั้งใจว่าจะไปนะครับ ผมก็เลยรีบวิ่งปรี่ไปเกาะหลังเฮียก๊อตแกพร้อมกับเดินตามไป ทว่าบุคคลผู้เป็นแฟนผมหมาดๆนั้นกลับโดนสาวๆรุมล้อมอยู่ สาวๆ แต่ละคนนี่ตาเป็นประกายมากและทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า จะไปส่งพี่ศิที่คอนโด (ด้วยเหตุพี่ศิทำแว่นแตกไม่มีแว่นสำรองมาขับรถตอนนี้เป็นอันตรายแน่ ต้องมีคนขับรถไปส่ง) เมื่อผมเห็นแบบนั้นอารมณ์ที่กำลังแฮปปี้ๆของผมก็พุ่งขึ้นสูงครับ ผมนี่เดินไปกระชากมือของพี่ศิให้เดินตามส่วนปากก็พูดให้พี่ศิแกส่งกุญแจรถของแกมาครับ
ไอโปรแกรมที่ผมจะไปกินเลี้ยง ฉลองชัยชนะกับพวกรุ่นพี่กับเฮียๆ ก็เป็นอันพับไปและต้องกลับมากินมาม่าในหอแทน (ทำไมต้องมาม่าน่ะเหรอครับ นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิผู้ไร้แว่นไงครับ จะให้ทำอะไรก็ทำไม่ได้ เพราะพี่แกสายตาไม่ดี เดี๋ยวทำไฟมงไฟไหม้อีก)
ซึ่งเรื่องราวในเมื่อวานทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ และต่อจากบรรทัดนี้ไปผมจะเล่าถึงวันนี้ ซึ่งจะถือว่ามันเป็นวันแรกที่ผมกับพี่ศิคบกัน….ก็ได้ โดยวันนี้เป็นวันเสาร์ครับ และพี่ศิแกก็ว่างพอดีผมก็เลยตัดสินใจจะพาพี่ศิ ผู้ไร้แว่นตาสวมไปตัดแว่นใหม่ และนอกจากนั้นก็จะพาพี่ศิไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ด้วย (ทดแทนเครื่องที่พี่แกขอให้ผมทำมันพัง) แต่มันก็มีเรื่องที่น่าลำบากอยู่นั่นล่ะครับ ถ้าพี่ศิไม่มีแว่นเขาก็จะมองอะไรรอบข้างเบลอไปหมด ดังนั้นผมก็เลยต้องวิ่งลงไปร้านแว่นตาแถวคอนโดแล้ว ซื้อคอนแทคเลนส์ให้พี่แกสวม และไอการสวมคอนแทคเลนส์นี่ล่ะเป็นอะไรที่ยากลำบากที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาครับ
ถ้าคุณใส่คอนแทคเลนส์คล่องแล้ว พวกคุณจะใส่มันได้อย่างง่ายดายแบบที่ผมใส่ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยใส่คอนแทคเลนส์มาก่อนอย่างพี่ศิ มันเป็นอะไรที่ลำบากนรกแตกเลยล่ะครับ เพราะกว่าจะแหกตาแล้วยัดไอแผ่นคอนแทคเลนส์นั้นใส่เข้าตาไปได้นี่มันเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งภารกิจยัดคอนแทคเลนส์ใส่ตาพี่ศินี้ผมทำไม่สำเร็จครับ (รู้ไหมครับว่าผมต้องใช้เวลาตั้งเท่าไหร่กว่าจะจับตัวพี่แกได้แล้วจับพี่แกแหกตาได้ ผมเสียเวลาไปร่วมชั่วโมงครึ่งในการทำภารกิจนี้ แต่ผลก็ตามที่บอกไปล่ะครับ ผมทำไม่สำเร็จ) พี่ศิก็เลยเสนอข้อเสนอที่จะไม่ทำให้พี่ศิแกเดินชนโน้นชนนี้ตอนไม่มีแว่นนั่นก็คือ… ‘จับมือ’ ครับ ไอผมนี่นึกสภาพเหมือนพ่อจูงลูกเดินห้างเลยครับ
และไอสภาพคุณพ่อจำเป็นจูงลูกชายเดินนี่ มิชชั่นแรกสำเร็จแล้วล่ะครับ เพราะขั้นแรกของภารกิจพาพี่ศิไปตัดแว่นนี้ก็คือการที่ผมพาพี่ศิแกเดินลงไปยังชั้นลานจอดรถที่จอดรถของพวกเราอยู่ (การเดินทางครั้งนี้ใช้รถของผมในการเดินทางครับพอดีผมมันเป็นพวกครั่นเนื้อครั่นตัว ขับของแพงไม่ได้ เพราะถ้าขับผมจะเผลอเอามันไปเสยเสาไฟข้างทางได้ครับ) และขับพาพี่ศิมาส่งถึงห้างสรรพสินค้าครับ แต่กว่าจะพาลงมาได้นี่เหงื่อตกไปหลายลิตรเลยครับ และภารกิจต่อไปหรือมิชชั่นที่สองก็คือพาพี่ศิไปยังร้านแว่นที่พี่ศิแกตัดแว่นเป็นประจำครับ
และเมื่อเราทั้งสองคนเดินเข้าไปในตัวห้าง การจับมือเอาจริงๆเรียกว่าจูงมือดีกว่าครับ (และไม่ใช่ฝ่ายผมที่จูงมือนำพี่ศิแกด้วยครับ พี่ศิแกเป็นฝ่ายเดินจูงมือให้ผมเดินตามต่างหาก ไม่มีแว่นแล้วทำซ่านะ พี่ศิ) เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งครับ มือของผมนี่ถูกกอบกุมไว้ด้วยมือของพี่ศิ ขายาวของร่างสูงตรงหน้าผมนั้นสาวเท้าเดินนำราวกับว่าเขาจดจำเส้นทางในห้างนี้ได้หมดแล้ว (พี่ศิครับ อย่าลืมตอนนี้พี่มีสภาพเหมือนคนตาบอดกลายๆนะครับ) เมื่อผมโดนพี่ศิลากจนหนำใจ ตอนนี้ผมก็ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าร้านตัดแว่นยี่ห้อดังแล้วล่ะครับ (พี่ศิแกลากผมไม่เท่าไหร่ แต่การไอที่พี่แกไม่มีแว่นนี่ล่ะตัวดี เพราะมันทำให้พี่ศิแกเลี้ยวผิดเลี้ยวถูกไปหลายรอบครับ กว่าจะมาถึงอีร้านแว่นนี่ใช้เวลาร่วม 20 นาที ไม่มีแว่นแล้วทำเป็นเก่งนะครับ พี่ศิ)
และเมื่อเราทั้งสองเดินทางมาถึง (แม้จะใช้ทางที่โคตรจะอ้อมโลกมากเลยก็เถอะ) พวกเราก็สาวเท้าเดินเข้าไปในร้านครับ และขั้นแรกของการมาตัดแว่นนั่นก็คือการเลือกโครงแว่นครับ (ปกติผมจะมาแล้ววัดสายตาเลย แต่นั่นเป็นเพราะผมใช้โครงแว่นตัวเก่า ทว่ามันใช้กับสถานการณ์นี้ไม่ได้เพราะไม่ใช่แค่เลนส์ที่แตก โครงแว่นของพี่ศิก็หักด้วยครับ เราทั้งสองคนก็ต้องมานั่งเลือกโครงแว่นใหม่กันแบบนี้ไง)
อันแรกที่พี่ศิชี้คือแว่นยี่ห้อเดิม ทรงเดิม กรอบแบบเดิม แถมสียังเหมือนเดิมเลยครับ เมื่อผมเห็นเช่นนั้น ผมก็รีบวิ่งปรี่ไปบอกพนักงานเลยล่ะครับว่าไม่ต้องเอาออกมา เมื่อพนักงานหยุดมือ ผมก็ตวัดสายตาหันไปหาพี่ศิที่ยืนมองการกระทำของผมด้วยความงุนงง ซึ่งผมก็เดินเข้าไปหาพี่ศิพร้อมกับกระซิบบอกไปว่า “มีโอกาสได้เปลี่ยนแว่นใหม่แล้วยังจะเอาแบบเดิมอีก พี่จะบ้าหรือเปล่าครับ เปลี่ยนแว่นใหม่ก็เปลี่ยนกรอบแบบใหม่ไปเลย เดี๋ยวกรเลือกให้” เมื่อพี่ศิแกได้ยินประโยคนี้จากปากของผมใบหน้าคมก็พยักหน้าขึ้นลงเบาๆ และหลังจากนั้นพี่ศิแกก็ปล่อยหน้าที่เลือกแว่นให้เป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยายครับ
โดยแว่นตาอันเดิมของพี่ศิเป็นแว่นทรงสี่เหลี่ยมมีกรอบล่าง แต่ไม่มีกรอบบนซ้ำตัวแว่นนั้นเป็นสีดำสนิทตั้งแต่ตัวกรอบแว่นจรดขาแว่นเลยล่ะครับ ผมพลางไล่มองแว่นที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นเพื่อที่ผมจะได้หาแว่นอันที่เหมาะสมให้กับพี่ศิ แต่จนแล้วจนรอดผมก็คงหาให้ไม่ได้ และในท้ายที่สุดผมก็ต้องจำใจเลือกแว่นยี่ห้อเดิม ทรงเดิม กรอบแบบเดิม และสีก็ยังคงเหมือนเดิมให้พี่ศิแกไปครับ
การเลือกแว่นครั้งนี้ทำเอาผมหมดความมั่นใจไปเลย ผมนั่งจ๋อยรอพี่ศิวัดสายตาด้วยเครื่องและเมื่อวัดเสร็จ ขั้นต่อไปของการวัดสายตาโดยการใช้เลนส์สวม ผมก็นั่งจ๋อยรอพี่ศิต่อไปอีก และเมื่อการวัดสายตาของพี่ศิเสร็จเรียบร้อย ผมกับพี่ศิก็เดินออกจากร้านไปเพื่อมุ่งหน้าไปหาเป้าหมายใหม่ นั่นก็คือการซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้กับพี่ศิครับ ซึ่งการเดินทางก็ยังคงเป็นแบบเดิมครับนั่นก็คือผมโดนพี่ศิแกจูงมือและพาหลงอีกเหมือนเดิมครับ
และคราวนี้กว่าพวกเราสองคนจะไปถึงร้าน iStudio ก็ใช้เวลาไปเกือบ 20 นาทีเช่นเดิมครับ ไอผมนี่แทบอยากจะยกมือไหว้พี่ศิเพื่อให้พี่แกหยุดเดินนำสักทีเถิด แต่ก็ไม่กล้าครับ ผมยังคงมียางอายบนหน้าอยู่ จึงได้แต่จำยอมให้พี่ศิแกพาหลงครับ การไปถึงร้าน iStudio ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจมากเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น MacBook Pro และ MacBook Air ที่เพิ่งออกใหม่หรือ Iphone 5s สามสีที่ (ออกมานานแล้ว) วางเรียงรายจนทำเอาผมอยากได้ โอยย เข้ามาให้ร้านนี้ทำเอาผมอยากซื้อไปหมดเสียทุกอย่างเลยล่ะครับ
แต่ด้วยเหตุการณ์กระเป๋าแห้งเพราะเลี้ยงรุ่นน้องที่เป็นน้องรหัส ผมจึงทำได้แต่ลูบๆ คลำๆ ของพวกนั้นแทน ผมยืนเล่นไอแพดมินิที่อยู่ในร้านนั้นไป พลางส่งสายตามองพี่ศิแกไป ตอนนี้พี่ศิแกกำลังคุยกับพนักงานเรื่องโทรศัพท์มือถืออยู่ครับ และดูเหมือนพี่แกจะคุยจบแล้ว เพราะตอนนี้พี่ศิหันหลังกับและเดินทรงมาหาผมแล้วล่ะครับ เมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าผมริมฝีปากหนานั่นก็ระบายไปด้วยรอยยิ้ม และมันเป็นรอยยิ้มระรื่นมากด้วยครับ จนทำเอาผมต้องถามออกไปเลยว่าพี่แกยิ้มแบบนี้ทำไม “…ยิ้มแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า พี่ศิ”
ซึ่งคำตอบกลับของพี่ศิคือการส่ายหัวไปมาครับ เมื่อพี่ศิแกตอบมาแบบนี้ ผมก็จนใจครับเพราะต่อให้ถามไปอีกกี่ครั้งพี่ศิแกก็ไม่ยอมบอกผมครับ ผมก็เลยตีเนียนเดินหนีพี่ศิแกซะเลย แต่ก่อนที่ผมจะได้ก้าวเท้าเดินออกไปเสียงของพนักงานสาวก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับในมือของเธอถือกล่องใส่ IPhone สีดำสีขาวอย่างละเครื่อง
“ไอโฟน 5s สีขาว สีดำอย่างละเครื่องที่แจ้งมาเราได้จัดเตรียมไว้ให้แล้วค่ะ” พนักงานสาวพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้ผมกับพี่ศิ ซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าขอบคุณและจูงมือของผมไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน บัตรเครดิตสีทองที่ผมคุ้นเคยกับมันมาก (มากถึงมากที่สุด) ถูกร่อนไปให้พนักงานครับ ไอผมนี่หันไปถลึงตามองพี่ศิเลยครับว่าพี่แกจะซื้อสองเครื่องทำไม แต่ไอความสงสัยทั้งหมดของผมมันก็ถูกเฉลยด้วยกล่องโทรศัพท์มือถือยี่ห้อผลไม้ที่ถูกยื่นมาให้แก่ผมครับ
“เครื่องนี้ของกรครับ” เมื่อได้ยินประโยคนี้ผมแทบร้องกรี๊ดออกมาเสียงดังเลยล่ะครับ...หนะ...นี่พี่ศิแกซื้อให้ผมเหรอ ไม่น่านะ…นี่มันราคาเกือบจะสามหมื่นเลยนะครับ! พี่แกกล้าซื้อให้คนได้ยังไงงงงง มันแพงเกินไป ผมรับไม่ได้ครับ
สิ้นประโยคของพี่ศิ ไอผมก็ชะงักค้างไปชั่วขณะ แต่เมื่อผมตั้งสติได้แล้ว ผมก็ยื่นมือไปดันกล่องไอโฟนเครื่องนั้นคืนให้พี่ศิไปครับ “มันแพงเกินไป กรรับมันไว้ไม่ได้ครับ” ผมพูดปฏิเสธพี่ศิออกไปตรงๆ แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะรู้อยู่แล้วล่ะครับว่าผมไม่มีทางรับโทรศัพท์เครื่องนี้แน่ๆ ดังนั้นพี่ศิแกก็เลยจัดการบอกให้พนักงานที่เอาบัตรเครดิตของเขามาคืน จัดการนำกล่องมือถือทั้งสองกล่องนั้นใส่ถุงซะแล้วก็หิ้วออกมาหน้าตาเฉยเลยครับ
สภาพการณ์เป็นแบบนี้แสดงว่าพี่ศิแกต้องหามุขอะไรสักมุขให้ผมยอมรับมือถือเครื่องนั้นไปแน่นอนเลยครับ รณกร คนนี้เอาหัวเป็นประกันเลย
และเมื่อเราทั้งสองเดินออกมาจากร้าน iStudio ผมกับพี่ศิก็เดินร่อนกันไปในห้างสรรพสินค้าอย่างเพลิดเพลินครับ และนอกจากเพลิดเพลินแล้วเราสองคนก็ยังคงเดินหลงกันในห้างอีก แต่ในท้ายที่สุด ผมกับพี่ศิก็เดินทางมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นฟูจิจนได้ครับ ผมแทบจะวิ่งปรี่เข้าไปในร้านทันทีเลยล่ะครับ แต่ผมก็ต้องระงับจิตระงับใจไว้เพราะมันจะดูไม่ดีเอา แต่จะให้ผมทำยังได้ล่ะครับ ก็ผมกับพี่ศิเดินหลงกันในห้างจนตอนนี้เวลามันล่วงเลยไปถึงบ่ายโมงครึ่งแล้ว ถ้าผมไม่หิวจนวิ่งปรี่เข้าไปในร้านก็แปลกแล้วล่ะครับ (ความจริงแล้วที่พวกเราทั้งสองคนเดินหลงทางกันเพราะ 1.พี่ศิผู้ไม่มีแว่นเดินจูงมือของผมให้เดินตามแกไป และ 2.ห้างมันใหญ่ครับ)
ผมกับพี่ศิค่อยๆเดินจูงมือสาวเท้าเข้ากันไปในร้าน และทันทีที่เราก้าวข้ามพ้นธรณีประตู พนักงานสาวสองคนก็เดินเข้ามาต้อนรับผมกับพี่ศิทันที ริมฝีปากของเธอทั้งสองคนระบายไปด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อเธอทั้งสองคนนั้นเห็นมือของผมกับพี่ศิที่จูงมือกันอยู่ ไอรอยยิ้มของทั้งสองนี่แทบจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าอันแสนบึ้งตึงทันที พนักงานสาวเบอร์หนึ่งเอ่ยถามว่ามากี่ท่าน (ถ้าผมไม่กลัวโดนไล่ออกจากร้าน ผมคงตอบไปว่าไม่เห็นเหรอไงว่ามากันสองคน ผมก็คงตอบไปแล้วล่ะครับ) ซึ่งพี่ศิก็ชูสองนิ้วขึ้นมา เพื่อเป็นการบอกว่าเรามากันแค่สองคน เมื่อพนักงานสาวเบอร์หนึ่งเห็นเช่นนั้น เธอก็โยนหน้าที่ของตนไปให้พนักงานสาวเบอร์สองทันที ซึ่งเธอก็รับมานะครับและเดินนำผมไปยังที่ว่างสำหรับสองที่
ซึ่งเมื่อก้นของผมได้แตะกับเบาะนั่งของทางร้านผมนี่แทบจะไหลลงไปนอนกับโต๊ะเลยล่ะครับ และเหตุผลที่ผมแทบไหลลงไปนอนกับโต๊ะ มันก็ไม่พ้นการเดินหลงทางของเราสองคนนั่นเอง ขาผมนี่แทบจะแยกส่วนกันมาเต้นเบรกแดนซ์เลยล่ะครับ ส่วนพี่ศิที่น่ารักของทุกคนก็ยังคงยิ้มระรื่นไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลยครับ ผมที่เห็นแบบนั้นก็นั่งเท้าคางเบ้ปากไปให้พี่ศิแกทันทีทว่าพนักงานสาวเบอร์สามเดินหยิบเมนูมาให้ผม ไอสงครามทำหน้ามุ่ยใส่กันก็ต้องหยุดกันแค่นั้นและเปลี่ยนสงครามมาเป็นสงครามการสั่งอาหารแทน
ผมนี่จัดไปเซทหนึ่งเลยครับ เซทซูชิไม่ใส่วาซาบิ 1 และตามด้วยข้าวหมูทอด 1 เซท ต่อมาก็ซุปสาหร่าย แล้วก็โอโคโนมิยากิ แล้วก็กุ้งเทมปุระ แล้วก็ปลาหมึดทอดและท้ายที่สุดของโปรดของผมนั่นก็คือน้ำส้มคั้นครับ ส่วนทางพี่ศิแกไม่สั่งอะไรมาครับ พี่แกสั่งซูชิเพิ่มอีก 1 ที่แต่ใส่วาซาบิ แล้วก็เซทปลาดิบราคา 400 กว่าบาทมาเพิ่มครับ อ่อ...ผมก็ลืมไปอีกอย่าง เพราะพี่ศิก็สั่งน้ำเปล่ามาเพิ่มด้วยครับ และเมื่อพนักงานสาวเบอร์สามรับออเดอร์ของโต๊ะเราเสร็จ เธอก็เดินจากไปโดยที่ไม่เหลียวแลมามองผมกับพี่ศิเลยครับ รู้สึกว่าพนักงานสาวในร้านนี้จะรู้กันหมดแล้วครับว่าผมกับพี่ศิพากันเดินจูงมือเข้ามาในร้านพวกเธอเลยไม่คิดจะมาเล่นหูเล่นตากับพี่ศิครับ
ซึ่งผมกับพี่ศิรอกันไปสักพัก เมนูจานแรกก็ถูกนำมาเสิร์ฟครับนั่นก็คือโอโคโนมิยากิครับ ผมจัดการเจาะไข่แดงที่ทางร้านโปะไว้หน้าโอโคโนมิยากิทันทีและตามด้วยเหยาะโซยุไปนิดหน่อยที ผมก็เริ่มจัดการโอโคโนมิยากิที่อยู่ในจานได้แล้วล่ะครับ ตะเกียบที่ใช้เกาะไข่แดงพุ่งเข้าไปคีบมาหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นผมก็ตวัดมันใส่ปากทันที
รู้สึกเหมือนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของความฟินเลยล่ะครับ เวลาหิวๆแล้วมีอะไรใส่ลงท้องนี่ทำเอาความสุขทั้งหมดทั้งมวลในโลกมาอยู่ที่ปากเลยทีเดียว ผมกับพี่ศิค่อยๆแย่งกันคีบโอโคโนมิยากิใส่ปาก และในที่สุดมันก็หมดจาน ต่อไปสิ่งที่นำมาเสิร์ฟนั่นก็คือเซทซูชิสองเซท ซึ่งเป็นทั้งผมกับพี่ศิได้สั่งกันไปทั้งคู่ อันนี้ผมกับพี่ศิทานกันได้โดยที่ไม่ต้องแย่งกันครับ แต่แค่เสี่ยงว่าคำแรกที่กินไปนั้นมันจะมีวาซาบิหรือไม่มีวาซาบิเท่านั้นเอง แต่วิธีนั้นก็ถูกแก้ไขได้โดยง่ายโดยการ….ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาที่ปิดอยู่ด้านบนออกและส่องหาวาซาบิครับ และหลังจากการที่ผมรื่นเริงบันเทิงใจกับซูชิไปแล้วอาหารต่าง ๆ อีกมากมายก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะของผม เอาเป็นว่าเวลาผ่านมาแล้วสิบกว่านาทีผมกับพี่ศิกินกันไม่หมดเลยล่ะครับ ไอผมนี่ก็ฝืนกินนะ แต่ไอของที่กินไปก่อน มันเริ่มมากจะจุกกันที่คอแล้ว ผมก็เลยวางตะเกียบลงและหยิบซุปสาหร่ายขึ้นมาซดให้โล่งคอแทน (เพราะคิดว่าการหาอะไรเข้าไปเติมจะช่วยให้ของที่มันคาอยู่ตรงคอมันไหลลงท้องไปได้ครับ) แต่ผมรู้สึกว่าผมคิดผิดแบบผิดสุด ๆ เลยล่ะครับ เพราะทันทีที่ผมยกซุปสาหร่ายขึ้นมาซดไอของเก่าที่อยู่ที่คอก็ยิ่งอัดแน่นขึ้นมาทันที จึงทำให้ผมต้องวางซุปถ้วยนั้น และหยิบทิชชู่มาปิดปากทันที ผมเรียกให้พนักงานสาวเบอร์ที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้มาเช็คบิลและสั่งให้พนักงานสาวคนนั้นเอากุ้งเทมปุระที่ผมยังไม่ได้แตะ ปลาหมึกทอดที่ยังไม่ได้กิน ข้าวหน้าหมูทอดที่ทานไปได้ครึ่งหนึ่งของผมไปแพ็คใส่กล่องเพื่อนำมันกลับบ้านครับ และคราวนี้ผมไวกว่าพี่ศิเขาครับ เพราะก่อนที่พี่ศิแกจะได้ควักกระเป๋าออกมาร่อนบัตรเครดิตของแก แบงก์พันจำนวนสองใบของผมก็ปลิวไปอยู่ในมือของพนักงานเรียบร้อยแล้วล่ะครับ
เมื่อชัยชนะเป็นของผม ผมก็หันไปส่งรอยยิ้มชั่วร้ายใส่พี่ศิ (ศึกครั้งนี้ผมชนะครับ) ซึ่งใบหน้าคมนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมาต่ออีก และหลังจากพนักงานนำเงินทอนมาคืนให้ผม เธอก็เอ่ยถามผมกับพี่ศิว่าเราทั้งสองคนจะรับน้ำชาหรือกาแฟ แน่นอนอยู่แล้วครับว่าผมเอาชา (ซึ่งได้ชามาหลายแก้วมาก) และพี่ศิก็เลือกกาแฟ (และนี่ก็ได้กาแฟมาหลายแก้วเช่นกัน ส่วนผลไม้เพิ่งมาเสิร์ฟเมื่อสักครู่ครับได้มาหลายเซทเลย แต่ผมก็เลือกกินแต่แตงโม ส่วนอย่างอื่นยกให้พี่ศิครับเพราะมะละกอกับสัปปะรดผมไม่กิน)
เมื่อการรับประทานอาหารของเราทั้งสองเสร็จสมบูรณ์ (ซึ่งใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงเลยครับ) ผมกับพี่ศิก็พากันเดินจูงมือกันออกจากร้าน และพนักงานสาวเบอร์ต่างๆ ก็ได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของผมกับพี่ศิด้วยสายตาละห้อยครับ เสียดายผู้ชายสองคนสินะครับ…
แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา นั่นก็เป็นเพราะความรู้สึกของผม…ผมยกมันให้พี่ศิไปหมดแล้วครับ
หลังจากที่เราสองคนเดินออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นฟูจิ ผมก็ถูกพี่ศิจูงมืออีกครั้งครับและครั้งนี้เราจะเดินทางไปร้านแว่นตาที่พี่ศิแกได้สั่งตัดแว่นไว้ (แต่เรียกว่าผมโดนลากไปจะดีกว่าครับ) ซึ่งคราวนี้ดีหน่อยครับ เพราะเราทั้งสองคนใช้เวลาแค่ 10 นาที (แต่ผมก็ยังคิดว่ามันนานอยู่ดี เหตุผลเป็นเพราะพี่ศิผู้ไม่มีแว่นสายตาประจำกายทำผมหลงนั่นแหละ) ก็ถึงหน้าร้าน เราทั้งสองคนก้าวเข้าไปในร้านนั่นอีกครั้ง และครั้งนี้พนักงานหลายต่อหลายคนก็เดินมาต้อนรับพี่ศิพร้อมกับนำแว่นตาที่พี่ศิแกสั่งตัดไว้มาให้ถึงมือพี่ศิแกเลยครับ
ร่างสูงนั้นรับมาและรีบสวมมันเขาขยับโครงแว่นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพึงใจ รู้สึกว่าพี่ศิแกจะพอใจแว่นใหม่มากเลยนะครับแบบนี้ เพราะว่าทันทีที่เขาได้โลกแห่งการมองเห็นคืนมาร่างสูงนั่นก็หันมาส่งรอยยิ้มให้แก่ผม หลังจากนั้นร่างสูงก็ (เนียน) จับมือของผมอีกครั้ง และก็พาผมเดินกลับไปยังลานจอดรถ (ถึงมันจะเหมือนเดิมหมดทุกอย่างก็เถอะ อ่อ…มีอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนก็คือค่าสายตาของพี่ศิที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมครับ)
การขับรถกลับคอนโดในครั้งนี้ พี่ศิเป็นคนขับกลับครับ ส่วนผมก็ได้แต่เท้าแขนแหงนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีดำ ‘ท่าทาง…ฝนจะตกหนักน่าดูนะวันนี้’ และเมื่อว่าท้องฟ้ามันจะอ่านใจผมได้ครับ เพราะทันทีที่ความคิดของผมจบลงเม็ดฝนก็ร่วงลงมากระทบกับกระจกหน้ารถของผมทันที ‘ให้ตายเถอะครับ ผมเพิ่งเอารถไปล้างมาเองนะ ต้องเอาไปล้างอีกแล้วเหรอนี่’ ผมได้แต่ทอดถอนลมหายใจเบาๆ แต่ในขณะที่รถยนต์ของผม (แต่พี่ศิขับ) กำลังจะเคลื่อนตัวเข้าไปสู่เขตของคอนโดพลันสายตาของผมก็หันไปเห็นกล่องกระดาษที่กำลังเคลื่อนไหว ผมใช้สายตาพินิจมองไปยังกล่องใบนั้น ทันใดนั้นบนขอบกล่องก็มีตัวอะไรก็ไม่รู้ (แต่น่าจะเป็นลูกแมวนะครับ) ปีนขึ้นมาเกาะ ดูท่าทางมันจะทรมานน่าดูเลยล่ะครับแบบนี้ ไอผมจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ส่วนแมวตัวนั้นก็ส่งสายตาปิ๊งปั๊งกลับมาให้ผม และในที่สุดผมก็ทำสิ่งที่ไม่คาดคิดครับ
ผมหันไปสะกิดพี่ศิพร้อมกับบอกให้พี่เขาหยุดรถ หลังจากนั้นตัวของผมก็คว้าร่มและวิ่งออกไปจากตัวรถทันที การกระทำของผมทำให้พี่ศิแกตกใจมาก (เพราะพี่แกคิดว่าผมเพี้ยนอะไรหรือเปล่า) แต่พี่แกก็ไม่สามารถลงจากรถวิ่งตามผมมาได้ครับ ผมกางร่มและรีบสาวเท้าไปยังกล่องกระดาษใบนั้นพร้อมกับยื่นร่มไปกันสายฝนให้กับเจ้าลูกแมว เวลาผ่านไปราวๆนาทีสองนาทีพี่ศิ (ซึ่งน่าจะหาที่จอดรถได้) ก็วิ่งมาหาผม ร่างสูงนั้นมองการกระทำของผมด้วยความสงสัย แต่ผมก็ไม่ได้ให้พี่ศิแกสงสัยอะไรนานหรอกครับ ผมหันไปฉีกยิ้มให้กับพี่ศิพร้อมกับอุ้มเจ้าลูกแมวแสนซนสีขาวนี่ขึ้นมา
“กรจะเอาไปเลี้ยงล่ะ พี่ศิ” ผมซึ่งตัวเปียกไปด้วยหยาดฝนอุ้มลูกแมวขึ้นมากอดแนบอก ผมก้มลงมองแมวนั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับพี่ศิต่ออีกว่า “กรเห็นมันอยู่ตัวเดียว ถ้าเกิดไม่มีคนรับมันไปเลี้ยงมันคงหนาวตายอยู่ที่นี่ ตอนนี้ฝนก็ตกด้วยกรสงสาร…กลับบ้านด้วยกันนะครับ” ซึ่งไอประโยคแรกผมพูดใส่พี่ศิ ส่วนประโยคที่ผมพูดออกมาว่า ‘กลับบ้านด้วยกันนะครับ’ อันนี้ผมพูดกับลูกแมวครับ
หลังจากที่ผมตกลงปลงใจจะรับเลี้ยงน้องแมวตัวนี้แล้ว ผมก็จัดการหยิบร่มที่ตัวเองวางไว้เพื่อกันฝนให้น้องแมวขึ้นมาถืออีกครั้งพร้อมกับเดินไปควงแขนพี่ศิเพื่อให้พี่แกพาผมไปที่รถ
v
v
v
v
v