- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 240883 ครั้ง)

ออฟไลน์ konishiki

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้องกรคะะะะะะะ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

ป๊าอัพตอนต่อเร้ววววววว อยากรู้เรื่องเป็นไงต่อ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
น้องกรกำลังน้อยใจเพื่อน คงเหมือนโดนหักหลัง
แต่เพราะกรเป็นแบบนี้ เพื่อนเลยไม่อยากบอก
คนกลางอย่างบาส เจมส์ คงลำบากใจก็เพื่อนทั้งสองฝ่าย

พี่ศิน่ารัก มาตอนน้องกรกำลังอ่อนแอ

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
ความจริงกรสมควรจะได้รับรู้ตั้งแต่แรก เจม+บาส ผิดเองที่ไม่บอกแต่แรกปิดมานานเท่าไหร่ ไหนว่าเพื่อนสนิทกันไง เข้าใจความรู้สึกกรนะ โดนเพื่อนสนิทหักหลังแบบนั้นแล้วยังมาเจอแบบาอีกตอนนั้นใครเองก็คุมอารมไม่อยู่หรอก  ส่งพี่ศิไปจัดการเจม :z6:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
คราวนี้มาอัพตอน 7 หละคะ เด็กน้อยรณกรกำลังร้องไห้งองแงงใส่พี่ศิแล้ว เย้




Chapter 7



ตอนนี้เข็มนาฬิกาได้เดินไปบรรจบที่เลข 12แล้วครับซึ่งผมกับพี่ศิก็ยังคงนั่งเงียบใส่กันอยู่โดยที่พี่ศิก็รอคอยให้ผมพร้อมที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่เค้าฟัง ส่วนผมก็พยายามนั่งทำใจและเรียบเรียงข้อมูลภายในสมองเพื่อที่จะได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นออกไป


ผมเงยหน้ามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และเมื่อสายตาของผมมองขึ้นไปบรรจบกับดวงตาคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นสีดำสนิทนั้นผมก็ได้รับรู้ว่าพี่ศิกำลังกังวลและเป็นห่วงผมอยู่มาก ผมเม้มปากของตัวเองไว้ใจนึงก็อยากจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกไปให้หมด แต่อีกใจผมก็กลัว…กลัวว่าถ้าพี่ศินั่งฟังเรื่องที่ผมเล่าและได้รับรู้การกระทำแย่ ๆ ของผม พี่ศิจะยังคอยเป็นที่พึ่งพิงให้ผมอยู่หรือเปล่า


แต่ดูเหมือนว่าพี่ศินั้นจะอ่านความคิดในหัวสมองผมออก มือกร้านนั้นยกขึ้นมือวางที่หัวของผมพร้อมกับเอ่ยคำพูดที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนออกมา “กรไม่ต้องกลัวหรอกว่าพี่จะว่าอะไรเรา พี่อยากบอกกรไว้นะไม่ว่ากรจะเป็นยังไงพี่ก็ยังคงยืนยันว่าพี่จะอยู่ข้างกรเสมอ” คำพูดเหล่านั้นแทบจะทำให้ผมหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งแต่ก่อนที่น้ำตาผมจะไหลรินออกมาตากดวงตาร่างกายของผมก็ถูกดึงเข้าไปสู่อ้อมกอดของพี่ศิอีกครั้ง


ดวงตาทั้งสองข้างของผมหลับลงพร้อม ๆ กับซึมซัมความอบอุ่นและความอ่อนโยนจากอ้อมกอดนี้ไว้อย่างเต็มที่


“พี่ศิ...กรทำผิดกับไอเจมส์ กับไอบาสไป ตอนนั้นกรใช้คำพูดดูถูกมิตรภาพของพวกเราออกไป” ผมตัดสินใจพูดออกมา เสียงของผมอู้อี้เล็กน้อยเพราะใบหน้าของผมยังคงซบอยู่ที่อ้อมกอดของพี่ศิ


“ตอนนั้นกรโกรธพวกมันมาก…มากจนไม่รู้ว่ากรจะระบายความโกรธพวกนั้นออกมาเป็นรูปแบบไหน” ผมพูดจบประโยคก่อนจะเงียบเสียงไปสักพักขอบตาของผมร้อนผ่าวอีกแล้วสิน้ำตามันกำลังจะไหลออกมาอีกครั้งแล้วสิ ผมกลั้นใจพูดประโยคสุดท้ายออกไปพร้อมกับดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง “จนสุดท้ายผมก็เลือกระบายความโกรธพวกนั้นออกมาเป็นคำพูดที่ด่าทอพวกมัน”


ผมยังไม่ได้เล่าออกไปว่าสาเหตุที่ผมโกรธไอเจมส์กับไอบาสคืออะไรและพี่ศิก็ไม่คิดที่จะเสียมารยาทถามคำถามนั้นผมใช้เวลาสงบสติอารมณ์ของตัวเองไปสักพักในที่สุดเสียงสะอึกสะอื้นของผมก็เงียบลงพร้อมกับผมที่เอ่ยถ้อยดำบอกเล่าเรื่องราวต่อไป


“จากนั้นไอเจมส์ก็วิ่งเข้ามาต่อยกร กรรู้ว่ากรสมควรโดนมันต่อยแต่ตอนนั้นกรกลับรู้สึกโกรธพวกมันมากกว่าเก่ากรก็เลยใช้คำพูดที่แรงกว่าเดิมด่าพวกมันไป” เมื่อเอ่ยจนจบประโยคผมก็ก้มหน้านิ่งเพราะไม่อยากเงยหน้าขึ้นไปเจอกับสีหน้าที่ผิดหวังของพี่ศิที่ได้รับรู้ว่าผมทำตัวแย่ขนาดไหน


แต่ปฏิกิริยาที่พี่ศิมอบกลับมาให้ผมมันไม่เป็นเหมือนอย่างที่ผมคิด มือของพี่ศิที่โอบกอดตัวผมอยู่นั้นกระชับวงแขนเพราะโอบกอดตัวของผมให้แน่นขึ้น ริมฝีปากหนาได้รูปนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยถ้อยคำปลอบประโลมออกมา “พี่เข้าใจกรนะว่ากรเสียใจ แต่กรจะทำร้ายตัวเองโดยการไม่ทานข้าวทานปลาอะไรแบบนี้ไม่ได้นะครับ ดูสิขอบตาแดงหมดแล้วถามปากที่เป็นแผลก็เริ่มช้ำจนเห็นได้ชัดแล้วนะครับ” พี่ศิดันตัวผมออกมาจากอ้อมกอดของตัวเองพร้อมกับจ้องมาที่ใบหน้าของผม นิ่วเรียวยาวของพี่ศิเริ่มสัมผัสใบหน้าของผมไล่จากดวงตาและลงไปจบที่ริมฝีปากการกระทำของพี่ให้ทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันทีแต่ก่อนที่ผมจะได้เบี่ยงหน้าหนีจากมือของพี่ศิ พี่เขาก็ผละตัวออกจากผมพร้อมกับลุกเดินตรงเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง


“ตอนนี้พี่คิดว่ากรน่าจะทานอะไรอุ่น ๆ ดีกว่าเอาเป็นข้าวต้มดีไหม?? จะได้ทานง่าย ๆ แถมปากเราก็ยังแตกอยู่ด้วย” เสียงทุ้มของพี่ศิเอ่ยดังพร้อมกับใบหน้าคมที่ชะโงกหน้าออกมารอคำตอบรับจากผม


ผมได้แต่พยักหน้าตอบรับพี่เขาเบา ๆ และนั่งรอเชฟศิรวิทย์ทำข้าวต้มออกมาให้ผมทาน ผมนั่งกดรีโมตทีวีไปเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของผมที่ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอนั่นก็คือชื่อของกานต์ ซึ่งทำให้ผมแปลกใจมากที่กานต์จะนอนดึกได้ขนาดนี้


ผมมองดูมือถือที่สั่นอยู่อีกสักพักก่อนจะตัดสินในปล่อยให้มันสั่นต่อไปจนเสียงเงียบลง ที่ผมตัดสินใจไม่รัโทรศัพท์ของกานต์นั่นก็เป็นเพราะผมไม่อยากเอาปัญหาของผมไปลงที่กานต์ ผมไม่อยากให้เพื่อนสนิทเดือดเนื้อร้อนใจและแก้ปัญหาของผมกับไอเจมส์กับไอบาสแทนผม ผมจึงตัดสินใจไม่ยืมมือของกานต์ที่จะช่วยเหลือ โทรศัพท์ของผมสั่นและกรีดร้องเสียงริงโทนออกมาอีกสองสามครั้งก่อนมันจะเงียบลงด้วยฝีมือของผมเอง


ผมจัดการกดปิดโทรศัพท์ของผมพร้อมกับโยนมันไปยังโซฟาที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับตัวที่ผมนั่ง เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่นักพี่ศิก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับถ้วยข้าวต้มร้อน ๆ ในมือ พี่ศิส่งถ้วยข้าวต้มมาให้ผมพร้อมกับพูดเหย้าแหย่ผมออกมา “ทานไหวไหมกรหรือว่าต้องให้พี่ป้อนด้วย”


สิ้นเสียงของพี่ศิมือข้างหนึ่งที่ว่างของผมก็กยิบหมอนอิงที่วางอยู่ด้านข้างปาใส่คนตรงหน้าผมไปและคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็เอี้ยวตัวหลบไปได้ ผมได้แต่บ่นอุบอิบพร้อมกับใช้ช้อนตักข้าวต้มร้อน ๆ เข้าปากคำโตซึ่งรู้สึกว่าผมนั้นจะลืมไปว่าข้าวต้มในถ้วยนั้นเพิ่งทำเสร็จร้อน ๆ ผมเผลอพ่นข้าวต้มออกมาพร้อมกับไอคอกแคก มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเช็ดที่ริมฝีปากส่วนอีกข้างพยายามควานหาน้ำเย็นมาดื่มเพื่อระบายความร้อนที่อยู่ในปากให้ออกไป


ศิรวิทย์มองภาพที่ร่างเพรียวตรงหน้าแสดงออกมาด้วยความขำขันเขาค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ ร่างนั้นพร้อมกับหยิบทิ้บชู่มาเช็ดที่ริมฝีปากร่างนั้นอย่างแผ่วเบา


“รู้งี้พี่น่าจะป้อนกรตั้งแต่แรกน่ะ” พี่ศิยังไม่หยุดขำมือทั้งสองข้างนั้นแย่งถ้วยข้าวต้มบนตักของผมไปถือไว้ก่อนจะใช้ช้อนตักข้าวต้มขึ้นมาจ่อที่ปากของผม


ผมส่ายหัวไม่เอาเพราะตอนนี้ข้าวต้ในถ้วยนั้นยังร้อนอยู่ผมคิดว่าจะรอให้มันเย็นก่อนแล้วค่อยกินมัน ทว่าพี่ศิกลับทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็ก ๆ ริมฝีปากหนาเป่าข้าวต้มในช้อนจนเย็นลง พร้อมกับยัดช้อนนั่นเข้าปากผมทันทีในตอนแรกผมดิ้นขลุกขลักทำท่าจะคายมันออกแต่ว่าพี่ศิกับดึงช้อนออกแล้วเอามือปิดปากผมเพื่อบังคับให้ผมเคี้ยวและกลืนมันลงท้องไป ช้อนต่อไปถูกยกขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากผมซึ่งผมก็ต้องจำใจอ้าปากรับช้อนข้าวต้มนั้นเข้ามาในปากด้วยเหตุที่ผมกลัวว่าพี่ศิจะยัดช้อนเข้าไปทะลุคอหอยของผมเข้า
“พี่ศิ…ช้า ๆ หน่อยกรเคี้ยวไม่ทัน” ผมบ่นทั้ง ๆ ที่ข้าวยังเต็มปากโดยพี่ศิยังคงหัวเราะไม่เลิกกับท่าทางของผม ความตรึงเครียดเมื่อก่อนหน้านี่มันจางหายไปจากห้อง ๆ นี้หมดแล้วเหลือไว้แต่เพียงรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของคนสองคน


เมื่อข้าวต้มหมดถ้วยพี่ศิก็ทำหน้าที่ของเจ้าของห้องโดยการนำถ้วยข้าวต้มไปทำความสะอาดส่วนผมก็นั่งนิ่ง ๆ บนโซฟาตามประสาผู้มาเยือนที่ดี


ความตึงเครียดและความกังวลทั้งหมดของผมเริ่มหายใจไปจากผมไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นได้อย่างไรแต่มีอย่างหนึ่งที่ผมรู้นั่นก็คือ พี่ศิเป็นคนช่วยทำให้สิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจผมออกไป


“กรครับคืนนี้…เอ่อ...กรจะนอนห้องของพี่หรือเปล่า” ผมหันไปถลึงตาใส่ทางต้นเสียงพร้อมกับคว้าหมอนอิงอีกใบปาใส่ผู้เป็นเจ้าของเสียงนั่น “พี่ศิพูดอะไรออกมา!” ผมตะคอกใส่พี่ศิเสียงดังพร้อมกับกระเถิบห่างจากพี่ศิจนไปติดฝั่งโซฟาอีกด้าน ซึ่งพี่ศิก็ไม่ทำให้ผมเข้าใจผิดต่อไปเสียงทุ่มเอ่อยออกมาด้วยความขบขำพร้อมกับโยนผ้าขนหนูผ้าใหญ่มาให้ผม “กร…พี่หมายถึงจะให้กรนอนในห้องนอนที่ว่างไม่ได้ให้มานอนห้องเดียวกับพี่สักหน่อยคิดอะไรเนี่ยไอตัวแสบ ไปอาบน้ำซะจะได้เข้านอนสักตีจะตีสองอยู่แล้วแถมพรุ่งนี้พี่มีราวด์เช้าด้วย” ผมพยักหน้าตอบรับพี่ศิเขาก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องนอนว่างอีกห้องที่พี่ศิได้เตรียมไว้
ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่ถึง 5 นาทีเพราะหลังจากที่สบายใจแถมหนังท้องผมก็เริ่มตึงหนังตาผมก็เริ่มหย่อนผมใช้เวลาอาบน้ำน้อยกว่าปกติสักสองเท่าได้ไม่นานนักผมก็อยู่ในชุดนอนของพี่ศิ (ที่พี่ศิเขาเตรียมไว้ให้ผมตอนผมเข้าไปอาบน้ำ) ที่รู้สึกว่าตัวจะใหญ่ไปเสียหน่อยสำหรับผม ซึ่งเสื้อผ้าตัวใหญ่เกินมันไม่เป็นอุปสรรค์สำหรับการนอนผมรีบถลาขึ้นเตยงพร้อมกับซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนนุ่มนั่นทันที


ผมนอนกลิ้งเล่นบนเตียงไม่นานนักสติผมก็ค่อย ๆ ลางเลือนและดับวูบลงด้วยความเหนื่อยล้าที่ต้องเผชิญเรื่องราวมากมายมาตลอดทั้งวัน




ผมรู้สึกถึงเสียงรูดผ้าม่านที่อยู่ข้าง ๆ หัวเตียงของผมแสงแดดทอแสงจ้าเข้ามาจนทำให้ผมต้องยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวตัวเองไว้ แต่รู้สึกว่าคนที่เปิดผ้าม่านในห้องนอนผมจะไม่ค่อยอยากให้ผมนอนต่อสักเท่าไหร่นักเพราะผ้าห่มที่คลุมหัวของผมอยู่ถูกดึงออกไปจากตัวร่างกายที่นอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มหดตัวทันทีที่ร่างกายสัมผัสกับความหนาวเย็นของแอร์ภายในห้อง


“อรุณสวัสดิ์กร เช้าแล้วนะครับ” เสียงของพี่ศิดังขึ้นพร้อมกับร่างกายของผมที่เด้งตัวขึ้นมานั่งบนเตียงทันที ดูเหมือนว่าผมจะลืมไปซะแล้วสิว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในห้องนอนตัวเอง


“อะ...อรุณสวัสกดิ์ครับพี่ศิ” ผมเอ่ยเสียงตอบกลับพี่เขาไปซึ่งใบหน้าคมนั้นก็พยักหน้าตอบรับคำของผมน้อย ๆ


“พี่ต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ ข้าวเช้าพี่ทำเพื่อกรไว้แล้วหวังว่าจะทนทานอาหารฝีมือพี่ได้นะครับกร” พี่ศิยิ้มจาง ๆ พร้อมกับเดินเข้ามาลูบหัวของผมอย่างแผ่วเบา ซึ่งคราวนี้ผมไม่ยอมให้พี่ศิมาลูบหัวผมได้ง่าย ๆ มือทั้งสองข้างของผมก็รีบขึ้นไปตะปบมือพี่เข้าและดึงมือพี่ศิให้ทรุดลงมานั่งข้าง ๆ ผมแสยะยิ้มร้ายก่อนจะเด้งตัวขึ้นไปยีหัวพี่ศิแทน


“พี่ศิชอบทำให้ผมกรยุ่งวันนี้พี่ศิจงผมยุ่งแทนกรไปแล้วซะ!!” คำพูดนั้นทำให้พี่ศิหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับยอมให้ผมยีหัวพี่เขาต่อ ผมไม่ได้คิดจะปีนเกลียวนะครับผมแค่อยากให้พี่เขารู้สึกบ้างว่าการที่เซทผมเสร็จแล้วแต่มาโดนคนทำผมให้ยุ่งมันรู้สึกยังไง


เราทั้งสองคนนั่งเล่นกันไปอีกสักพักหนึ่งแต่กรที่เราจะเพลิดเพลินกับการขยี้ผมของอีกฝ่ายไปมากกว่านี้เสียงนาฬิกาปลุกในมือถือของพี่ศิก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่พุดลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกจากห้องไป แต่ผมก็ไม่ยอมให้พี่ศิทำแบบนั้นได้ง่ายมือของผมจับเข้าที่ข้อมือขวาของพี่เขาพร้อมกับรั้งไม่ให้เขาเดินออกไปจากห้อง อย่าว่าผมแกล้งพี่ศิเขาเลยนะครับพอดีผมมีเรื่องที่จะต้องขอพี่เขาต่างหากล่ะผมถึงได้รั้งพี่เขาแบบนี้
พี่ศิที่ถูกผมรั้งเอาไว้ส่งสายตางุนงงเล็กน้อยมาให้ผมมือข้างซ้ายที่ไม่ได้โดนผมจับเอาไว้พยายามเอื้อมมือมาแกะมือของผมออก
“พี่ศิ…กรขอเบอร์พี่ศิได้ไหม…คือว่าเออเพื่อฉุกเฉินจะได้โทรไปหา” ผมพูดเสี่ยงแผ่วมือของพี่ศิที่กำลังพยายามจะแงะมือที่เหนียวหนึบของผมออกก็ชะงักไป


‘ไอกรเอ้ยเกิดมาไม่เคยขอเบอร์ผู้ชายคนไหนที่น่าอายขนาดนี้เล้ยยยยย’ ผมก้มหน้านิ่งพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ พี่ศิไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาเพียงแต่พี่ศิส่งโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟนที่พ่วงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างไอโฟน 5 มาให้ผม ผมเงยหน้ามองพี่ศิด้วยสายตางุนงงจนพี่ศิต้องบอกให้ผมกดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไปในมือถือของพี่เขา “กดเบอร์แล้วกดโทรออกสิครับกรพี่จะได้มีเบอร์โทรศัพท์มือถือเราเอาไว้ด้วย จอนโทรมาพี่จะได้ไม่สงสัยว่าเบอร์นั้นเบอร์นี้ของใคร” ผมรีบกดเบอร์โทรศัพท์ของผมลงในเครื่องแล้วกดโทรออกทันที


“พี่ศิกรปิดโทรศัพท์มือถือเอาไว้ เดี๋ยวกรไปเปิดเครื่องก่อนแล้วค่อยเมมเบอร์ของพี่ศินะ” ผมพูดพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ราคาแพงระยับคืนไปให้เจ้าของ ซึ่งพี่ศิก้พยักหน้าตอบรับเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยปากขอตัวไปเรียนก่อน “ไปก่อนนะเดี๋ยวพี่ไปราวด์ไม่ทันอาจารย์จะว่าเอาได้” พี่ศิโบกมือลาพร้อมกับรีบออกจากห้องไปโดยที่พี่เขาไม่ทันรีรอให้ผมถามพี่ศิเลยว่าถ้าผมออกจากห้องไปผมจะล็อคห้องของพี่เขายังไงในเมื่อการที่จะปิดประตูห้องมันต้องใช้กุญแจไขเพื่อล็อคซ้ำอีกที


ผมนอนกลิ้งเล่นบนเตียงไปอีกสักพักก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องนอนไป พลันจมูกของผมก็ได้กลิ่นหอมโชยมาจากในห้องครัวผมเดินก้าวเท้าเข้าไปผมกับจานแพนเค้กหอมกรุ่นที่วางไว้ในฝาครอบพร้อมกับกระดาษโน้ตสีฟ้าแผ่นเล็ก ๆ ที่เสียบไว้ที่ขอบจาน
 


‘ข้าวเช้าวันนี้เป็นแพนเค้กนะครับกร พอพี่ไม่รู้ว่ากรจะทานเยอะไหมเลยทำไว้ให้สองชิ้น ทานให้อร่อย ๆ นะกร จาก พี่ศิ’



ผมมองกระดาษโน้ตแผ่นนั้นแล้วยิ้มออกมาจนแก้มปริก่อนจะจัดการแพนเค้กสองชิ้นที่อยู่ในจานอย่างเอ็ดอร่อยไม่นานนักผมก็จัดการเจ้าแพนเค้กสองชิ้นนั้นจนหมดพร้อมกับทำความสะอาดจานและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย


เมื่อเสร็จภารกิจในห้องครัวผมก็เดินออกมาพร้อมกันเดินตรงไปที่โซฟาซึ่งเป็นตัวเดิมที่ผมนั่งร้องไห้กับพี่ศิเมื่อวาน ผมก้มลงไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดพร้อมกับเสียงเตือนข้อความเข้าที่ดังขึ้นมาหลายต่อหลายรอบ


ข้อความแรกเป็นข้อความของกานต์ที่แจ้งเตือนว่าหมายเลขโทรศัพท์ของกานต์โทรเข้ามาในเครื่องของผมกี่ครั้ง


ข้อความที่สองเป็นข้อความของกานต์ที่ส่งเมสเสจมาบอกว่า ‘กร…กานต์โทรไปทำไมกรไม่รับสายล่ะ กานต์เป็นห่วงกรนะ’


ข้อความที่สามก็ยังคงเป็นของกานต์อีกเช่นเดิมโดยกานต์เมสเสจมาบอกว่า ‘ถ้ากรเปิดมือถือแล้วช่วยโทรหากานต์ด้วยนะ’


ผมไล่ดูข้อความทั้งหมดที่หลาย ๆ คนส่งมาให้ผม ทุกคนใช้ข้อความที่ดูเป็นห่วงเป็นใยผมกันหมดทุกคนดุเหมือนว่าเรื่องที่ผมไปโวยวายใส่ไอไฮซ์ที่หอคงจะดังไปทั่วคณะล่ะมั้งครับทุกคนถึงได้ส่งข้อความมาถามผมมากมายขนาดนี้ซึ่งผมพยายามไหล่หาเมสเสจหรือข้อความแจ้งเตือนหมายเลขโทรศัพท์ของคนสองคนที่ผมหวังเอาไว้ว่าจะเจอ แต่ผมก็กลับไม่เจอข้อความของเพื่อนสนิทสองคนนั้นเลย


ผมเม้มปากพร้อมกับเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพียงแต่ผมกลับห้ามมันไม่ให้ไหลออกมาได้เลยผมปาดน้ำตาออกจากดวงตาก่อนจะกดโทรออกไปหากานต์ทันที


ผมถือสายรอสักพักแต่ก็แวปเดียวเท่านั้นเสียงของกานต์ก็ส่งผ่านสัญญาณเข้ามาให้ผมได้รับฟัง “กรนี่กานต์นะ กรอยู่ไหนตอนนี้ กานต์กำลังนั่งรถไปที่คอนโดของกรนะกรอยู่ที่คอนโดหรือเปล่า” น้ำเสียวหวานที่เอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วงเป็นใยทำให้น้ำตาของผมที่เริ่มจะแห้งไปแล้วกลับมาไหลรินอีกครั้ง


“ฮึก…กานต์อย่าเพิ่งมาหากรตอนนี้เลยนะ” ผมสอื้นตอบกานต์ไปซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่อยากเจอกานต์ตอนนี้ทั้ง ๆ ที่กานต์ก็เป็นเพื่อนสนิทของผมอีกคนหนึ่ง


“กรร้องไห้เหรอ กรอยู่ไหนกานต์เป็นห่วงกรมากเลยนะ” น้ำเสียงกานต์เริ่มร้อนรนและเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งผมกลับปฏิเสธความหวังดีของกานต์นั้นไปอีกครั้ง


“กานต์ กรขอโทษนะแต่ตอนนี้กรไม่สะดวกจะเจอใครจริง ๆ ไว้สักพักถ้ากรดีขึ้นเราค่อยเจอกันนะ” ผมยังคงสะอึกสะอื้นตอบกานต์ไปแม้ผมจะรู้สึกผิดที่ทำแบบนี้แต่ในตอนนี้ผมไม่อยากจะเจอหน้าใครเลย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทมาก ๆ อย่างกานต์หรือแม้กระทั่งครอบครัวของผมก็ตาม


“…จะเอาแบบนั้นเหรอกร…ถ้ากรต้องการแบบนั้นกานต์ก็ไม่ขัดกรนะไว้เจอกันนะ” เสียงหวานนั้นเอ่ยออกมาแผ่วเบาแม้กรกานต์จะเป็นห่วงผมมากมายขนาดไหนแต่ในเมื่อผมร้องขอว่ายังไม่อยากเจอหน้าใครตอนนี้กานต์ก็ไม่คิดจะขัดผม เสียงของกานต์เงียบหายไปพร้อมกับเสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ถูกตัดไป


“กรขอโทษนะกานต์” ผมพร่ำขอโทษอีกฝ่ายแม้สัญญาณโทรศัพท์มือถือนั้นจะตัดไปแล้ว



v
v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


เวลาเดินผ่านล่วงเลยไปหลังจากที่พี่ศิได้ออกไปเรียนมันก็ผ่านไปสัก 4 – 5 ชั่วโมงแล้วครับ ซึ่งในตอนนี้ผมก็ยังคงนั่งอยู่ในห้องของพี่เขาเงียบ ๆ หลังจากที่กานต์โทรศัพท์มาหาผมไม่นานนักคุณป๊า กับคุณม๊าที่ได้เมสเสจจากเครื่องผมว่า ‘หมายเลขโทรศัพท์นี้สามารถติดต่อได้แล้ว’ คุณป๊าและคุณม๊าก็รีบกดโทรศัพท์มาหาผมด้วยความรวดเร็วแถมถามแล้วถามอีกว่าทำไมผมถึงปิดโทรศัพท์มือถือ คุณม๊าบ่นจนผมหูชา ส่วนคุณป๊าบ่นว่าใจหายใจคว่ำหมดที่กรปิดโทรศัพท์ (ปกติผมไม่เคยโทรศัพท์มือถือครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมปิดโทรศัพท์เพื่อตัดขาดการติดต่อจากทุกคนครับ) ซึ่งทั้งสองคนก็ถามหาเหตุผลว่าทำไมผมถึงปิดมือถือ ผมจึงจำใจต้องโกหกคุณป๊ากับคุณม๊าไปว่า ‘ก็กรไปดื่มกับเพื่อน แล้วลืมชาร์ทแบตมือถือไปมันเลยหมดตอนสักสามทุ่ม เพิ่งรู้ว่าแบทหมดนี่ก็เช้าแล้วกรเลยเพิ่งเปิดโทรศัพท์ตอนนี้ไง’ หลังจากข้อแก้ตัวอันแสนงี่เง่าของผมลอยเข้าใส่หูคุณม๊า ผมก็โดนเทศนาจากคุณม๊าออกมายาวเหยียดอีกครั้ง กว่าจะวางโทรศัพท์ของคุณม๊ากับคุณป๊าได้ผมก็คุยไปร่วมชั่วโมงจนผมคอแหบคอแห้งไปหมด
แต่กับการคุยกับพ่อแม่แบบนี้มันก็ทำให้ผมหายเครียดจากเรื่องหนักใจได้อีกไปเปราะหนึ่งผมอมยิ้มมองโทรศัพท์ตัวเองพร้อมกับกอดมันเอาไว้แนบอก “ขอบคุณนะครับคุณป๊า คุณม๊ากรสบายใจขึ้นเยอะเลยล่ะ” 


หลังจากวางสายจากคุณป๊าและคุณม๊าผมก็ไล่ส่งเมจเสจตอบรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ทั้งหมด โดยทุกเมสเสจส่งมาถามเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ที่หอในมันเกิดอะไรขึ้นวะไอคุณน้องกร’ หรือว่าลงท้ายได้วคำว่า ‘ไอกร’ ซึ่งผมก็ต้องจำใจโกหกพวกเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ออกไปอีก


วันนี้ผมโกหกไปตั้งแต่คุณป๊า คุณม๊า รุ่นพี่ เพื่อน ถ้าผมตายไปผมคงตกนรกหมกไหม้แน่ ๆ เลยครับ ดันไปทำผิดศีลของสองเต็ม ๆ เลยนี่ครับ ถ้าไม่ตกนรกไม่รู้จะพูดยังไงแล้วละ


ผมนอนกลิ้งเล่นบนโซฟาในห้องพี่ศิไปอีกสักพักไม่นานนักเสียงกลอนประตูก็ถูกปลดล็อคพร้อมกับร่างสูงของพี่ศิที่เดินเข้ามาเป็นคนแรก ผมสะดุ้งตัวเต็มนี่พร้อมกับเด้งตัวขึ้นมานั่งอย่างเรียบร้อยบนโซฟา


“อ่าว...พี่ศิกลับมาแล้วเหรอครับ” ผมเอ่ยตอนรับแต่เสียงที่ตอบรับมานั้นไม่ใช่แค่เสียงของพี่ศิคนเดียว เพราะผมรู้สึกได้ว่านอกจากเสียงของพี่ศิแล้วยังมีเสียงของคนอื่น ๆ เอ่ยทักทายออกมาอีก


“กลับมาแล้วล่ะ” เสียงพี่ศิเอ่ยพร้อมกับส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับมา


“ไงน้องกรสุดที่รักของพี่” เสียงหวานของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับร่างบางนั้นถลาเข้ามากอดผมแน่น ถ้าจำไม่ผิดพี่สาวคนนี้น่าจะชื่อพี่วิ เป็นเพื่อนก๊วนเดียวกับพี่ศิที่ไปเจอตอนไปกินฮาจิบังเมื่อวันนั้น


ผมเซเล็กน้อยเมื่อร่างนั้นถลาเข้ามาก่อนแต่เสียงของผู้ชายร่างสูงอีกคนก็พูดแทรกขึ้น “ไอวิ แกก็รู้ว่าไอกรมันหวงน้องกรแกก็ยังจะไปแหย่มานะ” นี่น่าจะเป็นเสียงของพี่เตอร์ล่ะมั้งครับที่พูดออกาแต่อะไรใครหวงใครนะครับเมื่อกี๋ผมฟังไม่ค่อยจะถนัดเลย
ก่อนที่ผมเอ่ยปากถามพี่เตอร์ซ้ำอีกครั้งเสียงพี่ศิก็พูดแทรกขึ้นพร้อมกับลากคอพี่เตอร์และหิ้วคอพี่วิไปนั่งที่โซฟา ทิ้งให้ผมยืนเอ๋ออยู่คนเดียว


‘เมื่อกี้คลับคล้ายคลับคาว่าจะได้ยินเสียงของพี่เตอร์ว่าพี่ศิหวงผม…หรือว่าผมฟังผิดกันนะ’ แต่ผมก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดของตัวเองไม่นานเสียงหวาน ๆ ของพี่วิก็พูดขึ้นและประโยคนั้นทำให้ผมหน้าแดงไปถึงใบหู


“น้องกร…ยอมไอศิมันแล้วเหรอ ถึงได้มาอยู่ที่ห้องไอศิในสภาพแบบนี้” พี่วิพูดพร้อมกับปรายตามองชุดที่ผมใส่ซึ่งสภาพของผมนั้นยังคงอยู่ในชุดนอนของพี่ศินั่นเอง ผมละล่ำละลักกล่าวปฏิเสธแทบไม่ทันแต่พี่ศิก็ไม่ยอมให้ผมเสียหายด้วยคำพูดของพี่วิเขาจึงได้เอ่ยคำแกก้ตัวแทนผมออกไป


“น้องเค้าไม่สบายใจกรูเลยปลอบแล้วให้กรห้องที่ว่าง พวกแกอย่ามาเข้าใจผิด” พี่ศิถอนหายใจให้กับความขี้แกล้งของพี่วิ ส่วนพี่เตอร์ก็นั่งยิ้มกรุ่มกริ่ม มองผมกับพี่ศิสลับกันไปมา


“โถ่ ไอศิกรูเห็นว่ามรึงนอนหลับในห้องเลคเชอร์ก็นึดว่ามรึงไปทำกิจกรรมเข้าจังหวะกับใครที่ไหนมาทำกับน้องกรนี่เองสินะ” พี่เต่อร์พูดแหย่ออกมาอีกซึ่งผมที่หน้าแดงอยู่แล้วแทบจะเอาหัวมุดลงดิน ส่วนพี่ศิใบหน้าคมนั้นขึ้นสีเล็กน้อยก่อนที่มือกร้านจะหยิบหมอนอิงผ้าเข้าใส่หน้าของพี่เตอร์


“ไอแต๋อร์อย่าพูดหมา ๆ กรเค้าเสียหาย” พี่ศิเถียงแทนผมแต่ว่าพี่เตอร์ก็ยังไม่ยอมหยุดล้อเลียนแค่นั้น “โหย…เสียหาย น้องมันจะมาเสียหายอะไรตอนนี้ ถ้ามันจะเสียหายน้องมันก็เสียหายตั้งแต่ตอนที่มรึงอุ้มน้องเขาไปโรงพยาบาลแล้วเว้ย”


สิ้นเสียงของพี่เตอร์ พี่ศิและผมก็หน้าแดงก่ำ (ซึ่งผมหน้าแดงอยู่แล้วมันก็ยิ่งแดงขึ้นไปอีก) เหตุการณ์วันนั้นมันมันรีรันและวนลูบอยู่ในสมองของผม เอาก้มหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดที่หน้าซึ่งพี่ศิก็แสดงปฏิกิริยาเช่นนั้นออกมาเหมือนกัน


เสียงของพี่วิหัวเราะออกมาลั่นห้องพร้อมกับเอาไหล่กระทุ้งท้องพี่ศิเบา ๆ “โฮะ ๆๆ….ฉันไม่เคยเห็นแกอายขนาดนี้มาก่อนเลยวะไอศิ ให้ตายเถอะถ้ารู้ว่าน้องกรทำให้ไอศิเขินได้ขนาดนี้ฉันก็คงแหย่มันไปนานแล้วละ”


สิ้นเสียงของพี่วิพี่เตอร์ก็ยื่นมือเข้ามาแทคกับพี่วิทันทีผมรู้สึกว่าสองคนนี้จะเข้าขากันได้ดีมากเกินไปนะครับให้ตายครับ มันไม่ใช่พี่ศิคนเดียวที่อายมากขนาดนี้หรอกครับเพราะว่าผมก็คิดว่าครั้งนี้เรื่องที่ทำให้ผมอายมากที่สุดเหมือนกัน


“เลิกพูดเรื่องนี้สักทีเถอะ วันนี้ที่พวกแกของมาห้องกรูก็เพราะว่าจะมาเชียนรายงานกันไม่ใช่เหรอไงถ้าพวกแกยังขืนพูดมากกว่านี้อีกก็ไสหัวกลับห้องของพวกแกไปเลย” พี่ศิเริ่มอารมณ์เสียเพื่อกลบเกลื่อนความอายส่วนผมไม่มีอะไรมากลบเกลือนความอายพวกนั้น จึงตัดสินใจวิ่งเข้าห้องครัวไปเพื่อหาอะไรมาเสริฟให้พี่ศิและเพื่อน ๆ ทาน


และเมื่อผมเดินออกมาจากห้องครัวทั้งสามคนก็เริ่มหยิบสมุดรายงานขึ้นมานั่งเขียนกันแล้วล่ะครับทุกคนดูหน้าตาเคร่งเครียดกันมาก พี่วิกับพี่เตอร์หยิบเอาอุปกรณ์คู่ตามาใส่ (นั่นก็คือแว่นสายตานั่นเอง) บรรยายกาศโดยรอยของสามคนนั้นเปลี่ยนไปทันทีผมเดินเอาน้ำเปล่าพร้อมกับขนมที่พอหาได้ในควรมาวางไว้บนโต๊ะ พี่ ๆ ทั้งสามคนก็เหลือบตาขึ้นมามองเล็กน้องก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ แทนคำขอบคุณแล้วทั้งสามคมก็นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านเลคเชอร์กันบ้างก็ผละไปเขียนเรายงาน


‘คนเรียนหมอนี่ต้องเคร่งเครียดขนาดนี้เลยเหรอ’ ผมพึมพัมเบา ๆ พร้อมกับยืนถือถาดมองพี่ ๆ ทั้งสามคนที่ยังคงนั่งหน้าเครียดกันอยู่ผมยังคงยืนมองอยู่อีกสักพัก ไม่นานนักความเคร่งเครียดในลุ่มนี้ก็หมดไปเริ่มด้วยจากเสียงหวีดร้องของพี่วิที่คร่ำครวญถึงรายงานที่ยังค้างอยู่


“ไม่ ไม่ ไม่!!! ฉันเกลียดเลคเชอร์ ฉันเกลียดรายงาน ศิขา ศิที่รักช่วยหนูวิคนนี้หน่อยได้ไหม” เสียงของพี่วิกรีดร้องพร้อมกับร่างบอบบางกระเถิบไปกระแซะพี่ศิเพื่อออดอ้อน ซึ่งวิธีทีไม่น่าจะใช้ได้ผลกับพี่ศิสักเท่าไหร่นะเพราะว่าพี่เค้ายังคงนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านเลคเชอร์และเขียนรายงานต่อไป


พี่วิเบ้ปากใส่พี่ศิที่ไม่คิดจะสนใจเธอเลยสักนิดพร้อมกับสะบัดผมยาวสลวยของตนไปโดนใบหน้าของพี่ศิ


‘อืม…รู้สึกว่าพี่ศิจะเป็นคนที่มีสมาธิสูงมากเลยนะ โดนพี่วิแกล้งมาขนาดนั้นยังนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ได้เลย” ผมบ่นพึมพำแต่ดูเหมือนว่าคนที่สมาธิหลุดคงจะไม่ใช่พี่วิคนเดียวแล้วล่ะครับ พี่เตอร์เริ่มไหลตัวเองลงจากโซฟาก่อนจะไปนอนขดตัวและกลิ้งไปมาอยู่อยู่บนพื้นพรม มันช่างเป็นการหลุดจากสมาธิที่แปลกจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพี่เตอร์หรือพี่วิก็ตาม ตอนนี้พี่วิเริ่มวิ่งวนหาอะไรทำรอบ ๆ ห้อง ส่วนพี่เตอร์ก็เริ่มกลิ้งตัวออกมาจากโซฟาก่อนจะกลิ้งไปแอบนอนที่หลังโซฟา


ผมหลุดขำเบา ๆ กับกิริยาที่ทั้งสองคนทำแต่ดูเหมือนว่าพี่ศิ…จะยังไม่หลุดจากสมาธิเลยสักนิดแหะ ผมยืนมองเขาอยู่นานจนกระทั้งใบหน้าคมนั้นเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับเอ่ยปากเรียกผมให้ไปนั่งที่โซฟา

“กรเหมื่อยไหมมานั่งที่โซฟาก็ได้นะ ยังไงวิกับไอเต๋อร์สติมันคงยังไม่กล้ามาอีกนาน” พี่ศิพูดติดขำ ส่วนผมก็ยกมือขึ้นมาปิดปากเหลือแอบหัวเราะเบา ๆ


ผมเดินตรงไปยังโซฟาตามที่พี่ศิเชื้อเชิญแต่ทันทีที่ผมหย่อนก้นลงไปนั่ง พี่เตอร์กับพี่วิก็เลิกเล่นกิจกรรมตอนที่ตัวเองสติแตกพร้อมกับมานั่งแหมะบนโซฟาเพื่อทำงานต่อ


แต่ก่อนที่พี่วิกับพี่เตอร์จะเริ่มลงมือทำงานพี่ ๆ ทั้งสองคนแอบหันไปกระซิบกระซาบกันเบา ๆ ก่อนทั้งคู่จะเผยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจออกมา


“เต๋อร์ แกคิดว่าแถวนี้บรรยากาศดูหวานเลี่ยน ๆ มั่งไหมว่ะ” พี่วิพูดพร้อมกับยกแก้วน้ำ (ที่ผมยกมาเสริฟให้เมื่อสักครู่) ขึ้นดื่ม


“อืมม…กรูว่าไม่นะ” พี่เตอร์ปฏิสธออกมาซึ่งทพให้ผมโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยที่พี่เตอร์ไม่พูดล้อผมกับพี่ศิ แต่รู้สึกว่าเหมือนผมจะคิดผิดไปเพราะว่าประโยคที่พี่เตอร์พูดถัดไปออกมาแทบทำให้ผมกับพี่ศิพร้อมใจกับผาสิ่งใกล้ตัวเข้าไปปะทะหน้าของพี่เตอร์ทันที “แต่กรูว่า แม่มเหมือนบรรยากาศคู่ข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งแต่งงานกันมากกว่าว่ะ ไอวิ”


ตัวขงผมไถลลงจากโซฟาไปทรุดนั่งที่พื้น ส่วนพี่ศิชะงักมือที่เขียนรายงานทันทีที่ได้ฟังคำพูดของพี่เตอร์จนจบประโยค ซึ่งปฏิกิริยาของผมและพี่ศิที่แสดงออกมานั้นทำให้พี่ ๆ ทั้งสองที่วางแผนกันหัวเราะออกมาแทบตัวงอ พี่วิทรุดลงไปกับพื้นแล้วทุกเบา ๆ ส่วนพี่เตอร์รู้สึกลงจะไปกลิ้งบนพรมพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง


‘ให้เถอะครับไม่รู้ว่าคนเรียนหมอจะมีนิสัยเฮฮาแบบนี้ได้ นึกว่าจะมีแบบเนิร์ดเคร่งเครียดอย่างเดียวเสียงอีก’ ผมค่อย ๆ ยันตัวขึ้นมานั่งบนโซฟาใหม่พร้อมกับก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยหน้ามองพี่วิกับพี่เตอร์อีก


บรรยากาศภายในห้องเริ่มเงียบอีกครั้งพร้อมเพราะว่าพี่วิกับพี่เตอร์ที่กลับเข้าสู่สมาธิและนั่งทำรายงานอีกครั้ง


ผมถอนหายใจโล่งอกออกมาพร้อมกับเอนหลังพิงไปที่โซฟา นัยน์ตาทั้งสองข้างของผมเริ่มจะปิดลงพร้อม ๆ กับสติของผมที่จมเข้าสู่ห้วงนินทรา




ไม่รู้ว่าผมนั่งหลับบนโซฟานี้ไปนานเท่าไหร่แต่ที่รู้ ๆ ทันทีที่ผมลืมตาตื่นพี่ ๆ ทั้งสามคนก็อยู่ในครัวพร้อมกับถกเถียงกันเรื่องเมนูอาหารเย็นที่จะทำกันแล้วล่ะครับ


ผมรีบเด้งตัวขึ้นจากโซฟาบนโต๊ะที่วางไว้ตอนนี้รายงานทั้งสามชุดท่าทางจะทำกันเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะมั้งครับผมเดินเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับเดินเข้าไปพูดว่า “ขอโทษที่หลับไปนะครับ แต่พวกพี่ ๆ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” รุ่นพี่ทั้งสามคนหันมามองหน้าผมพร้อมกับส่ายหัวไปมาเพื่อบอกปฏิเสธ


“กรไปนั่งรอเถอะ เดี๋ยวพวกพี่ทำมื้อเย็นให้กรทานเอง” พี่ศิหันมาตอบผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ผมก็แอบหลุดขำออกมาจนได้เพราะใบหน้าของพี่ศิมีบางสิ่งบางอย่างติดอยู่ ‘ไม่รู้สึกเลยนะ คิดว่าน่าจะเป็นเนยล่ะมั้ง’ ผมคิดพร้อมกับน้ำหน้าที่เป็นคนดีเดินหยิบทิชชู่เข้าไปเช็ดคราบเนยที่ติดอยู่บนใบหน้าของพี่ศิออก


“คุณพ่อครัวครับ ไม่สะอาดเลยนะครับมีคราบเนยติดอยู่ที่แก้มแบบนี้” ผมพูดออกไปขำ ๆ พร้อมกับยื่นกระดาษทิชชู่ที่มีคราบเนยติดออกไปให้ดู พี่ศิผงกหัวขอบคุณผมน้อย ๆ ก่อนจะหันกลับไปทำกับข้าวต่อ


การกระทำของผมกับพี่ศินั้นดูเหมือนว่าจะเรียกเสียงแซวจากพี่วิกับพี่เตอร์ได้อีกแล้วพี่ทั้งสองคนแซวผมซะจนผมต้องเดินหนีแต่ผมก็ยังแอบชโงกดูอาหารที่อยู่ในเตาอยู่ว่ามันคืออะไรนะครับ


อาหารเย็นที่ทำจากไข่ นม และเนยท่าทางจะเป็นไข่คนล่ะมั้งผมเคยลองทำทานเองครั้งนึงรู้สึกว่ามันจะทานไม่ได้ถึงจะไม่ไหม้ติดกระทะเหมือนตอนผมทำไข่ดาวแต่มันก็เลี่ยนเสียจนทานไม่ได้ครับ ผมขอสารภาพความจริงเลยแล้วกันถึงผมจะทำขนมเก่งเป็นเลิศจนแทบจะยึดร้านของที่บ้านมาเป็นของตัวเองได้


ทว่าผม….กลับทำกับข้าวไม่เป็นสักอย่างเลยครับทำไม่เป็นแม้กระทั่งไข่ดาวง่าย ๆ แต่ยังดีที่ผมพอต้มน้ำเป็นบ้างก็เลยต้มมาม่ากินในหอเองได้


หลังจากผมแอบชะโงกหน้าดูแล้วว่าเมนูมื้อค่ำนี้คืออะไรผมก็เดินหลบออกมาจากห้องครัวและเดินไปนั่งที่โซฟาอย่างว่าง่าย (ความจริงแล้วผมเดินหนีเสียงล้อเสียงแซวของพี่วิกับพี่เตอร์นั่นละครับให้ตายเถอะมาล้อผมกับพี่ศิแบบนี้ได้ยังไงกับ ผมกับพี่ศิเป็นแค่พี่น้องข้างห้องกันเองนะครับ…เอ่อแต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้นเมื่อวานผมมาคิดทบทวนดูแล้ว ผมยอมเลื่อนฐานะของพี่ศิก็ได้ ผมให้พี่เชาเป็นพี่ชายคนสนิทของผมแทนก็แล้วกัน)


ผมกดรีโมตทีวีดูเปลี่ยนช่องไปมาก่อนจะหยุดอยู่ที่ข่าวกีฬาที่กำลังฉายผลของทีมฟุตบอลที่ผมชอบ ‘ว้าวชนะ 2 – 0 แบบนี้เอาไปข่มไอพวกนั้นได้…แล้ว’ ผมมองดูทีวีช่องข่าวกีฬาก็พาลย้วนกลับไปคิดถึงไอพวกนั้นปกติเวลานี้ผมไอเจมส์กับไอบาสมักจะนั่งดูทีวีแล้วแข่งกันข่มเรื่องทีมฟุตบอลที่เราเชียร์กันแต่ตอนนี้ ผม…กลับทำลายช่วงเวลานั้นไปเสียแล้ว


ผมว่างรีโมตทีวีจอแบนลงบนโต๊ะก่อนจะยกข้าทั้งสองข้างของตนขึ้นมากอดแนบอกพร้อมกับซุกใบหน้าลงไปกับเข่า ‘พรุ่งนี้….จะทำยังไงดีนะมีเรียนซะด้วยสิ’ ผมคิดในใจเบา ๆ ตอนนี้ผมไม่รู้สึกเศร้ามากมายอย่างเมื่อวานแล้วล่ะครับ ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้น แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอุ่นใจและสบายใจขึ้นเมื่อได้ระบายความทุกข์นั้นให้พี่ศิฟัง ได้หัวเราะกับพี่เขาและได้เขินอายกับคำแซวของพี่วิกับพี่เตอร์


ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานหัวใจของผมเต็มไปด้วยความทุกข์และความเศร้าแต่วันนี้มันสิ่งพวกนั้นมันหายไปเหมือนกับความทุกข์พวกนั้นพี่ศิและเพื่อน ๆ ได้มอบความสุขและความสนุกมาทดแทน…ไม่สิพวกพี่ ๆ เขาช่วยปัดเป่าความทุกข์ในใจของผมให้หายไปต่างหาก
ผมนั่งซุกหน้าลงบนเข่าตนเงียบ ๆ ไปสักพักพลันเสียงเรียกชื่อผมก็ดังขึ้น “กรครับอาหารเย็นเสร็จแล้วนะมาทานได้แล้วล่ะ”


“วันนี้เชฟศิเข้าครัวเองเลยนะปกติเห็นชอบซื้อของจากเซเว่นกินวันนี้มาแปลกนะไอศินึกคึกยังไงมาทำกับข้าวกินเองได้” เสียงพี่วิตะคอกใส่พี่ซิ รู้สึกว่าพี่วิจะแค้นพี่ศิมากเลยล่ะครับจากการคาดเดาจากคำพูดของพี่วิท่าทางเวลาพวกพี่ ๆ เขามาที่ห้องของพี่ศิ พี่ศิคงจะไล่ให้ไปซื้อของกินที่เซว่นที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ คอนโดแน่ ๆ เลย ผมแอบหัวเราะคิกคักเบา ๆ ก่อนจะส่งเสียงขานรับพร้อมกับลุกขึ้นวิ่งไปที่ห้องครัว


เราทั้งสามคนจัดการอาหารบนโต๊ะอย่างเรียบวุธ เรียกง่าย ๆ ว่าไม่เหลือแม้แต่ข้าวเมล็ดเดียว ตอนที่พวกเรานั่งกินข้าวเย็นพวกเราก็เล่าเรื่องตลก ๆ ของตัวเองออกมา อย่างพี่ศิเขาเล่าว่าตอนที่เพิ่งเข้าปี 1 มาใหม่ ๆ โดนรุ่นพี่ปี 2 ยกมือไหว้เพราะทุกคนคิดว่าพี่เขาเป็นปีพี่ 3 – 4 ส่วนพี่วิกับพี่เตอร์ต่างเล่าว่าพวกเขาเนี่ยละเป็นดาวกับเดือนของคณะเมื่อตอนปีหนึ่งไปสร้างเรื่องป่วนไว้กับเวทีการประกวดดาวเดือนมหาลัยมาซึ่งทำให้โดนตัดสิทธิอดได้รับรางวันกันไป ส่วนเรื่องราวน่าหัวเราะของผมไม่จำเป็นต้องเล่าก็ได้ล่ะมั้งครับเพราะมันดังไปทั่วมหาลัย มันดังแบบถ้าไม่มีใครรู้เรื่องนี้จะเรียกได้วว่าเชยขนาด และเหมือนพี่วิกับพี่เตอร์จะรู้ดี พี่ทั้งสองคนยกมือห้ามไม่ให้ผมเล่าแต่พี่ทั้งสองคนนั้นดันหัวเราะนำไปก่อนซะแล้ว


หลังจากที่เรื่องคุยบนโต๊ะอาหารหมดลง (จะเรียกได้ว่าถึงเวลาต้องกลับบ้านกลับช่องของตัวเองได้แล้วจะดีกว่าครับ) พวกเราทั้งสี่ก็ช่วยกันทำความสะอาดจานชามทั้งหมดพร้อมกับเตรียมตัวกันกลับบ้านกลับช่องกัน (ส่วนผมก็เรียกได้ว่าได้เวลาอันสมควรที่จะกลับห้องของตัวเองแล้วล่ะครับ)


ผมกับพี่ศิเดินโบกมือให้พี่วิกับพี่เตอร์ที่เดินออกไปจากห้อง ผมรู้สึกว่าพี่วิจะติดรถของพี่เตอร์เข้าไปที่หอในของมหาลัย (พี่ศิบอกผมว่าพี่วิกับพี่เตอร์พักอยู่หอพักนิสิตแพทย์ครับ)


หลังจากที่ผมส่งพี่วิกับพี่เตอร์ไปแล้วคราวนีก็ถึงคราวของผมที่ควรจะเสด็จกลับห้องได้แล้วผมก้าวถอยหลังออกจากห้องของพี่ศิพร้อมกับโบกมือลาพี่เขาไปแต่ก่อนที่ผมจะได้เดินย้อนกลับไปที่ห้องของผมพี่ศิก็คว้ามือของผมเอาไว้พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงประหม่าออกมาว่า


“ถ้าพรุ่งนี้กรให้พี่ไปส่งที่คณะก็ได้นะมันเป็นทางผ่านไปคณะพี่อยู่แล้ว” ผมมองพี่ศิกลับพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะพูดแหย่พี่ศิต่อไปอีกว่า “พี่สนใจจะไปรับไปส่งกรก็ได้นะพี่ ทุกวันเลยยิ่งดีกรขี้เกียจขับรถไปเอง” ผมพูดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะขอตัวเดินกลับห้อง


ประเด็นคือผมไม่ทราบเลยว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปนั้นมันกลับทำให้พี่ศิจริงจังจนผมมีสารถีกิตติมศักดิ์ขับรถไปรับไปส่งทุกวัน




ตอนนี้...พี่วิกับพี่เตอร์ น่ารักมาก ส่วนกร... ขี้แยมากค่า

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่ศิดูแลกรที่กำลังอ่อนแออย่างดี ทำให้กรลืมทุกข์ได้ชั่วคราว
ชอบที่พี่วิกับพี่เต๋อร่วมด้วยช่วยแซว อวยกันไป

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
พี่ศิ น้องกร น่ารักจัง น้องกรดีกับเพื่อนเร็วๆๆนะ :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ZiiZone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ บอกได้คำเดียวว่า  "ฟินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน"

 :z13:
จดจ่อ รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
พี่ศิ น้องกรน่ารักจริงๆ  :-[
ความสัมพันธ์แบบว่าค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่มั่นคง  :L2:
แถมมีกองเชียร์อย่างพี่วิพี่เต๋ออีก  :mew3:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
พี่ศิน่ารักมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



Chapter 8


เมื่อผมกล่าวลาพี่ศิและเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง สายตาผมก็พลันไปเห็นกุญแจสองดอกที่วางไว้ที่ชั้นรองเท้า  น้ำตาที่ผมคิดว่ามันแห้งเหือดไปแล้วเริ่มไหลรินออกมา แม้มันจะไม่มากมายเหมือนกับเมื่อวานแต่มันก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าไม่แพ้กัน


‘ไอเจมส์...กับไอบาสเอามาคืนสินะ’ ผมพึมพำเบา ๆ ก่อนจะปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ตอนนี้ผมเข็มแข็งขึ้นแล้วล่ะครับ ถึงจะมีความเสียใจคั่งค้างอยู่ แต่ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่ผมต้องทำในตอนนี้คืออะไร


ผมยืนทำใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เพื่อนำโทรศัพท์มือถือออกมา ผมไล่หาเบอร์เพื่อนสนิททั้งสองของผมก่อนจะกดปุ่มโทรออก


‘สิ่งที่ผมต้องทำในตอนนี้ก็คือ...ผมต้องขอโทษพวกมัน นั่นก็เป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดจากความใจร้อนและเอาแต่ใจของผม ผมจะไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว ต่อให้ผลที่จะตอบกลับมาเป็นยังไงในเมื่อตอนนี้ผมได้กำลังใจจากคนรอบข้างมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะมาจากครอบครัว พี่ศิ พี่วิรวมไปถึงพี่เตอร์(แม้พี่ ๆ สองคนนี้ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับความทุกข์ของผมเลยก็เถอะนะ) ความเศร้าความเสียใจทั้งหมดมันได้ถูกปัดเป่าออกไปหมดแล้ว’ และที่สำคัญจริง ๆ นั่นก็คือคำพูดของพี่ศิที่พูดให้ผมฟัง ก่อนที่ผมจะเดินกลับห้องของตัวเองไป


‘เพื่อนน่ะคือสายสัมพันธ์ที่ตัดยังไงก็ไม่ขาดนะกร’


ผมยืนถือสายโทรศัพท์สักพักไม่นานนัก เสียงของไอเจมส์ก็ดังขึ้น “มีไร” คำพูดของไอเจมส์ที่ดังขึ้นมันสั้นและเรียบง่ายแต่ถ้าคนที่รู้จักมันดีอย่างผมน้ำเสียงแบบนี้มันแสดงถึงความโกรธแต่พยายามอดกลั้นความรู้สึกทั้งหมดไว้อยู่


“เจมส์คือกรู…” ผมเอ่ยชื่อมันแล้วเงียบเสียงลงไป ซึ่งอาการนิ่งเงียบและไม่เอ่ยอะไรต่อของผมนั้น มันทำให้ไอเจมส์ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นไปอีกขั้น


“มีอะไรก็รีบพูดมากรูจะแดรกข้าว” เจมส์ตะคอกเสียงตอบกลับซึ่งเสียงนั้นทำให้ผมสะดุ้งเบา ๆ ปกติมันไม่เคยใช้คำพูด หรือใช้น้ำเสียงก้าวร้าวแบบนี้ใส่ผมมาก่อนเลย


แสดงว่า…เมื่อวานซืน สิ่งที่ผมทำมันเลวร้ายไปสินะ คำพูดของผมมันอาจจะทำลายมิตรภาพที่ยาวนานของพวกผมไปแล้วก็ได้มั้ง


“กรูขอโทษ...” ผมพูดเสียงแผ่วเบาริมฝีปากผมเม้มแน่น ผมไม่รู้ว่าไอเจมส์มันจะได้ยินไหม แต่ตอนนี้ผมอยากจะกดตัดสายทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดเพราะว่าผมไม่อยากได้ยินคำตอบที่จะออกมาจากปากมันเลย


นั่นก็เป็นเพราะผมกลัวคำตอบที่จะออกมาจากปากของมันกลัวว่ามันจะปฏิเสธและไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับผมต่อ ผมเม้มริมฝีปากตัวเองจนเกือบจะเรียกได้ว่าผมกัดปากตัวเองอยู่ ปลายสายยังคงเงียบไปอีกสักพักแต่ไม่นานนัก เสียงถอนหายใจที่ยาวเหยียดของปลายสายก็ตอบกลับมาพร้อมกับคำพูดที่ผมคิดว่าผมจะไม่ได้ยินมันอีกตลอดชีวิตแล้ว


“เฮ้อออออออออออ…จนได้นะมรึงไอกร กรูล่ะเกลียดนิสัยปากหมาของมรึงจริง ๆ แต่ทำไงได้ละ มันเป็นนิสัยของมรึงนี่นะ ไอเกลอ” น้ำเสียงที่ไอเจมส์เอ่ยตอบผมมันอ่อนลงและไม่แข็งกร้าวเหมือนกับประโยคแรกที่มันพูดตอบรับโทรศัพท์ของผม และเสียง ๆ นั้นทำให้ผมแทบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ไม่สิ เสียงของไอเจมส์นั้นทำให้ผมร้องไห้ออกมาแล้วล่ะครับ


“ฮึก...ไอเพื่อนบ้า ไอบ้าไอเจมส์ มรึงแม่มทำกรูร้องไห้” แต่น้ำตาที่ไหลออกมาในคราวนี้ไม่ใช่ความเศร้าโศกหรอกครับมันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจต่างหาก


“ที่มรึงต้องขอโทษ ไม่ใช่กรูคนเดียวนะเว้ย ไอขี้แย” เสียงของไอเจมส์พูดตอบกลับ และดูเหมือนว่ามันกำลังจะส่งโทรศัพท์ให้คนที่ผมต้องขอโทษอีกคนหนึ่งไปแล้วล่ะครับ “ไงไอกร หายบ้าช้าไปนะมรึง ปล่อยพวกกรูรอตั้งนาน” น้ำเสียงแห่งความดีใจของไอบาสดังแทรกเข้ามาในโทรศัพท์ และเสียงนั้นทำให้ผมเผลอยิ้มกว้างมากกว่าเก่าออกมา


“ไอบาส...กรูขอโทษ คือกรูมันปากหมาเอง แถม…แถมกรูไม่ยอมฟังอะไรจากพวกมรึงเลย” ผมเอ่ยคำขอโทษซ้ำไปอีกครั้ง และรู้สึกว่าครั้งนี้ไอบาสจะกดเปิดโฟนโทรศัพท์เพื่อให้ไอเจมส์ได้ยินด้วย


“รู้แล้วน่าว่ามรึงรู้สึกผิด เพราะคนปากหนักอย่างมรึงนี่ไม่ยอมพูดขอโทษง่าย ๆ หรอก ถ้ามรึงไม่รู้สึกผิดจริง ๆ” เสียงไอเจมส์แทรกเข้ามาพลางสลับเสียงของไอบาสที่พูดพร่ำออกมาด้วยความดีใจ “แม่มไอกรรู้ไหม...กว่ากรูจะทำใจวางกุญแจคอนโดของมรึงได้นี่ใช้เวลานานขนาดไหน ดังนั้นพรุ่งนี้มรึงจงเอากุญแจของกรูมาคืนกรูด้วยนะครับ ไอคุณเพื่อนกร” เสียงโหยหวนของไอบาสทำให้ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ เพียงแต่ว่าคำพูดต่อประโยคต่อไปของไอบาสกลับทำให้ผมรู้สึกสะอึกออกมา “เออ แต่ไอกรเมื่อกลางวันที่พวกกรูเอากุญแจของมรึงไปคืน ตอนนั้นมรึงอยู่ไหนวะ”


“เอ่อ…” ผมเงียบเสียงลงและไม่คิดจะเอ่ยปากตอบพวกมันสองคนไปแต่ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของผมนั้นจะทำให้ไอเพื่อนสองคนนี้รู้ความจริงซะแล้วสิ


“มรึงเงียบแบบนี้ แสดงว่าไปร้องไห้ซบอกใครอีกสินะไอขี้แย” เสียงของไอเจมส์พูดนิ่งสนิทมันพูดออกมาแบบทำให้ผมเดาท่าทางของมันขณะตอนที่มันพูดออกเลยครับ สภาพตอนนี้ของมันคงยืนกอดอกพร้อมกับใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ


“เรื่องของกรูน่า” ผมพูดปัด ๆ มันไป แต่ว่าพวกเพื่อนสองคนนั้นมันไม่ยอมหยุดซักถามมันยังคงใช้คำพูดเย้าแหย่ผม ให้ผมยอมเผยความจริงว่าผมแอบไปร้องไห้ใส่ใครออกมา


“ตายล่ะ…คราวนี้เป็นคนสำคัญที่บอกไม่ได้งั้นเหรอ คงไม่ใช่กานต์ด้วยสินะเพราะกานต์โทรมาบอกว่าแกไม่ให้กานต์เข้าไปหาที่คอนโด แถมตอนกานต์พูดนี่ เสียงของกานต์เหมือนคนจะร้องไห้เลยนะมรึง งานนี้มรึงเสร็จอาจารย์ธาราแน่” ประโยคนี้เป็นเสียงของไอบาสครับ มันแหย่ผมพร้อมกับพูดขู่ผมเพราะผมดันไปปฏิเสธความหวังดีของกานต์เข้า ซึ่งการกระทำนั้นของผมทำให้กานต์รู้สึกกังวลมาก


ไอตอนนั้น ผมก็ลืมนึกถึงผลลัพธ์ที่จะส่งผลกลับมาหาผม แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าผมอาจจะตายในวันพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ก็ได้นะครับ เล่นไปทำร้ายจิตใจของไข่ในหินอย่างกรกานต์เข้า ผมคงต้องโดนสายตาเย็นชาของอาจารย์ธาราทำร้ายแน่นอน ไอกรนะไอกร ทำไมไม่คิดก่อนพูดวะตอนนั้น


ผมคร่ำครวญในใจ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยพูดอะไรต่อไปเสียง ๆ หนึ่งที่ผมคุ้นเคยมา ตั้งแต่เด็กก็ดังขึ้นและเสียง ๆ นั้นก็ทำให้ผมรีบกดตัดสายจากไอสองคนนั้นทิ้งทันที


มันเป็นเสียงของคนที่ผมไม่อยากได้ยินมากที่สุด...เสียงของไอไฮซ์ ผมกำโทรศัพท์มือถือของตัวเองเอาไว้แน่นพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง


‘หวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดีกว่าวันนี้นะ’ ผมพึมพำเบา ๆ พร้อมกับถลาตัวไปที่เตียงแล้วหลับตาลง




อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นของอาทิตย์ใหม่ และเมื่อสองสามวันก่อนผมนั้นได้เจอกับโจทย์เก่า และทำให้ผมทะเลาะกับเพื่อนสนิททั้งสองคนเข้า และคนที่ช่วยให้ผมเคลียร์ปัญหากับเพื่อนได้นั่นก็คือ พี่ศิ หรือ นิสิตแพทย์ที่มีนามว่า ศิรวิทย์ ซึ่งตอนนี้…ผมกำลังนั่งหาววอด ๆ อยู่ในห้องของพี่ศิเขาครับ


วันนี้พี่ศิเดินไปเคาะประตูห้องผมตั้งแต่ตีห้าครึ่ง โดยเวลานั้นยังคงเป็นเวลานอนของผมครับ (ปกติผมจะตื่นสักเจ็ดโมงและออกเดินทางจากคอนโดในเวลา 7.30 ครับ) ผมเดินสะลึมสะลือออกไปเปิดประตูพร้อมกับร่างที่โดนพี่ศิฉุดให้เดินเข้าไปในห้องพี่เขาอย่างงง ๆ ครับ และตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทานอาหารเช้า (ที่พี่ศิเขาบอกผมครับ) และตรงหน้าของผมตอนนี้เป็นเบรคฟัสต์ฝีมือพี่ศิครับ


ไอตัวผมเนี่ย อยากจะบอกพี่ศิไปว่าเช้าขนาดนี้ ผมกระเดือกอะไรไม่ลงหรอกครับ แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าคมที่ยิ้มแย้มกับการตั้งใจทำอาหารมื้อเช้าให้ผม (ที่มักจะกินแต่อาหารสำเร็จรูปเป็นข้าวเช้าทุกวัน) ผมก็พูดไม่ออก และจำใจนั่งทานอาหารเช้าที่พี่เขาทำให้


พี่ศิดูจะเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนที่ดีน่าดู  ใครได้พี่ศิไปเป็นสามีนี่คงโชคดีไปสิบชาติล่ะครับ ทั้งเอาใจใส่ ทั้งเข้าใจ ทั้งอ่อนโยน และเป็นสุภาพบุรุษ


สงสัยหลังจากวันนี้ ผมผมคงต้องวิ่งมาฝากท้องที่ห้องของพี่ศิบ่อย ๆ แล้วล่ะ  จะได้ประหยัดค่าอาหารไปได้อีกมื้อหนึ่ง ผมไม่ได้งก หรือหน้าเลือดเลยนะครับ  ผมแค่หาหนทางที่ประหยัดกระเป๋าเงินผมให้ได้มากที่สุดเองนะครับ


ผมนั่งจิ้มไส้กรอกชิ้นสุดท้ายใส่ปาก พร้อมกับลูบพุงตัวเองเบา ๆ เพื่อบ่งบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวของผมนั้นได้อิ่มแล้ว พี่ศิหันมามองผมด้วยรอยยิ้ม และเอื้อมมือมาเก็บจานที่ว่างเปล่าตรงหน้าผม


“หวา...พี่ศิเดี๋ยวกรทำเอง อุตส่าห์เลี้ยงข้าวกรเนี่ย” ผมรีบเอื้อมมือไปคว้าจานอีกฝั่งเอาไว้ (เพราะด้วยมารยาทของแขกผู้มาเยือนที่ดี และกินข้าวของเจ้าบ้านซะเรียบ ดังนั้นก็ต้องมีการทำอะไรตอบแทนกันซะหน่อย)


ผมกับพี่ศิยื้อแย่งจานใบนั้นกันอยู่สักพัก ราวกับว่ามันเป็นของมีค่ามากสำหรับตัวเอง แต่ในเมื่อพี่ศิไม่ยอมให้ผมล้างผมก็เลยตัดสินใจปล่อยมือของตัวเองออกจากจาน ทว่าพี่ศิก็มีความคิดเช่นเดียวกับผมเราทั้งสองคนปล่อยมือออกจากจานใบนั้น  สภาพการณ์แบบนั้น คิดว่าจานใบนั้นจะหลงเหลือสภาพให้เรียกว่าจานไหมล่ะครับ ถ้าคุณคิดว่าไม่ เช่นนั้นคุณก็คิดถูกครับ เพราะทันทีที่จานกระทบลงกับพื้นมันก็แปรสภาพจากจานสวยหรูดูดีมีราคากลายเป็นเศษขยะอันตรายที่สามารถทำให้เราบาดเจ็บได้ทันที ผมรีบยกมือขึ้นไหว้เพื่อขอโทษพี่ศิ ซึ่งพี่ศิก็ไม่ได้ว่าอะไรกับการที่ผมนั้นได้ทำจานแตก
 

“…กรขอโทษพี่ศิ หวาย..จานตกแตกหมดเลย” ผมรีบก้มลงเก็บเศษจานที่แตกกระจายอยู่บนพื้น ซึ่งพี่ศิก็ทำเช่นเดียวกันกับผม แต่มันไม่มีโมเมนต์หวานแหววแบบบังเอิญแตะมือกันระหว่างเก็บจานที่ทุก ๆ คนหวังกันไว้หรอกครับ เราทั้งคู่ช่วยกันเก็บเศษจานที่กระจายอยู่บนพื้นเสร็จ พี่ศิก็ไล่ให้ผมไปอาบน้ำเตรียมตัวไปมหาลัย


ผมรีบสาวเท้าเดินออกไปจากห้องของพี่ศิ พร้อมกับก้มตัวเพื่อแสดงการขอบคุณสำหรับอาหารมื้อเช้านี่อีกครั้ง “ขอบคุณสำหรับมื้อเช้าสุดอร่อยนะครับ พี่ศิ” ผมกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะวิ่งหนีเข้าไปในห้องของตนเองเพื่อไปเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย


ผมอาบน้ำและแต่งตัวอยู่ภายในห้องของผม ซึ่งตัวผมนั้นเป็นคนอาบน้ำไวทำอะไรไว ดังนั้นเวลาที่ผมอาบน้ำผมจะใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที และอีก 10 นาทีสำหรับการแต่งตัวและเซทผม ซึ่งสภาพผมตอนนี้เรียกได้ว่าเพอร์เฟคครับ เสื้อนิสิตเรียบร้อย กางเกงสแลคเรียบร้อย ทรงผมเรียบร้อย…แต่หน้าผมไม่เรียบร้อย เพราะที่มุมปากของผมยังมีรอยช้ำจาง ๆ จากร่องรอยหมัดของไอเจมส์อยู่ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ไอผมจะเอารองพื้นทาทับ ในห้องผมมันก็ไม่มี  ดังนั้นผมจึงวิ่งไปที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกับวิ่งไปเปิดกล่องพยาบาลที่วางอยู่บนชั้นและหยิบพลาสเตอร์มาหนึ่งแผ่นเพื่อนำไปใช้ปิดบังรอยช้ำที่มุมปาก


ผมยื่นหน้าตัวเองเข้าไปในกระจกพร้อมกับพร่ำชมตัวเองอยู่ในใจว่า ‘ลุคนี้ก็ดูแบดบอยดีเหมือนกันแฮะ’ ผมยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ พร้อมกับเดินออกจากห้องทันทีที่มีเสียงเคาะประตูเกิดขึ้น


“เสร็จแล้ว ๆ เสร็จแล้วครับ พี่ศิอย่าเร่งกรสิ มาปลุกกรแต่เช้าแล้วยังมาขัดเวลาเสริมหล่อของกรอีกเหรอ” ผมตะโกนจากในห้องตอบพี่ศิไป ก่อนจะเปิดประตูคอนโดออกไปเผชิญหน้ากับพี่เขา


ตอนนี้เวลาใกล้จะ 7 โมงเช้าแล้วล่ะครับ ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สมควรจะออกไปเดินรับวิตามิน D สุด ๆ (เพราะถ้าออกไปเดินช้ากว่านี้ อาจจะเป็นมะเร็งผิวหนังแทนได้ครับ) แต่ผมก็ไม่ได้เดินไปตากแดดรับวิตามินอะไรพวกนั้นหรอก  นั่นก็เป็นเพราะว่าผมกับพี่ศิ…ขับรถไปเรียนกันครับ ไม่ได้เดินไปเรียน แต่ที่ผมพูดเรื่องนี้ออกมาพอดีผมอยากพูดให้ทุกคนฟังเท่านั้นเองหละครับ ไม่มีอะไรมากกว่านี้


ผมเดินออกไปตามเสียงเรียกของพี่ศิ เมื่อทันทีที่ประตูห้องของผมเปิดออกรอยยิ้มสว่างไสวของพี่ศิก็ส่งมาให้ผม คราวนี้ทำไมผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของพี่ศิจะดูเจิดจ้าและดีใจแบบแปลก ๆ  แบบนี้ละ ผมมองรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจของพี่ศิแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร ผมจัดการล็อคประตูห้องของตัวเองพร้อมกับเดินนำพี่ศิไปยังลานจอดรถ


ผมเดินตรงไปยังรถของผมและเตรียมจะควักรีโมตกุญแจขึ้นมาปลดล็อครถ แต่ผมก็ไม่ได้ทำตามอย่างที่ใจหวัง พี่ศิก็เดินมาสะกิดแขนผม และลากผมไปยังหน้ารถของพี่เขา ผมเหลือบตามองพี่ศิด้วยสายตางุนงง แต่พี่ชายสุดหล่อของผมนาม ศิรวิทย์ก็ไม่ได้ทำให้ผมสงสัย หรือตงิดใจนาน  ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มพร้อมกับเอ่ยเชิญให้ผมขึ้นรถคันงามขอเขา


“ขึ้นรถสิกร เมื่อคืนพี่บอกกรแล้วไงว่าพี่จะไปส่งกรที่มหาลัย” เหมือนคำพูดนั้นจะทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อคืนได้ ผมพยักหน้าตอบรับพี่เขาและยอมขึ้นรถของพี่ศิไป ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดคิดว่าการที่พี่ศิขับรถไปส่งผมที่คณะ มันจะทำให้เกิดข่างลือแปลก ๆ อะไรขึ้นมาอีกรอบ (แต่อย่าหาว่าผมใจง่ายเลยครับ…ผมแต่อยากจะประหยัดค่าน้ำมันรถ ค่ากับข้าวเท่านั้นเองเลยใจง่ายยอมไปกับพี่เขาง่าย ๆ)


ผมนั่งคาดเข็มขัดเรียบร้อยอยู่ในรถของพี่ศิ ซึ่งผมก็นั่งทำตาแป๋วแหว๋วรอให้คุณพี่ชายที่รับตำแหน่งเป็นสารถีจำเป็นขับรถพาผมไปส่งในที่มหาลัย แต่ด้วยความง่วงทั้งหมดที่มีอยู่ในตัว แม้มันจะใช้เวลาเพียงชั่วครู่หนึ่งก็ถึงมหาลัย ผมก็ยังเผลอหลับไปจนได้
ถ้าพวกคุณหาว่าผมขี้เซานะครับ ผมแนะนำให้ไปว่าพี่ศิเขาเพราะนั่นเป็นต้นเหตุให้ผมง่วงนอนมากขนาดนี้ ใครใช้ให้มาปลุกผมตอนตีห้าครึ่งกัน(วะ)ครับ


เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้คณะวิศวกรรมศาสตร์ พี่ศิก็สะกิดผมเพื่อปลุกให้ผมตื่น ซึ่งผมก็ตื่นตามที่พี่เขาปลุกนั่นล่ะแต่เหมือนคนยังไม่ตื่นดี ผมสะลึมสะลือเดินรถจากรถของพี่เขาไป และยกมือไหว้เพื่อเป็นการขอบคุณ แต่ก่อนที่ผมจะปิดประตูรถไปนั้นเสียงของพี่ศิก็เอ่ยออกมาเพื่อบอกอะไรผมสักอย่าง แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถจูนสติให้รับฟังคำพูดของพี่ศิได้อีกแล้วผมปิดประตูไปเสียงดังและเดินสะโหลสะเหลเข้าใต้ตึกคณะไป


ชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ในรถได้แต่ส่ายหัวไปมาเบา ๆ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “แค่จะบอกว่าวันนี้พี่ไม่มีเวรไว้พี่ขับรถมารับแล้วกลับคอนโดพร้อมกันเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มกับท่าทางหนุ่มรุ่นน้องที่แสดงออกมา แต่ก็ปล่อยให้มันเลยตามเลยไว้ให้กรรู้ทีเดียว ตอนที่เขาขับรถมาเทียบหน้าประตูทางออกของคณะกรเลยก็แล้วกัน


ชายหนุ่มไหวไหล่เล็กน้อย ก่อนจะขับรถออกไปจากที่แห่งนี้



v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


ผมเดินสะโหลสะเหลเข้ามาในคณะพร้อมกับหิ้วตัวเองไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนเจ้าประจำที่ผมและเพื่อน ๆ นั้นชอบมานั่งกันอยู่ตรงนี้บ่อย ๆ ผมฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะพร้อมกับปล่อยสติให้เลื่อนลอยไปเข้าเฝ้าพระอินทร์อีกครั้ง


ผมไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ผมนอนหลับนั้นมันผ่านไปกี่นาที แต่ผมก็ตื่นขึ้นมาทันเข้าเรียนตอนเช้าซึ่งเป็นเวลา 8 โมงพอดิบพอดี ซึ่งการตื่นนอนของผมนั้นเกิดจากการปลุกของเพื่อน ๆ ที่รักยิ่ง ซึ่งวิธีการปลุกของพวกมันไม่ได้พิสดาร หรือแปลกประหลาดเลยแต่มันกลับสร้างความเจ็บปวดให้ผม…เพราะพวกมันประเคนฝ่ามือนับสิบใส่หัวของผม และลากคอผมขึ้นลิฟท์ของมหาลัย และโยนผมเข้าไปนั่งในห้องเรียนแบบมึน ๆ


ซึ่งผมพยายามจะหันไปโวยวายกับสหายทั้งหลายของผม แต่ก็ไม่ทันซะแล้วล่ะครับ เพราะว่าสไลด์แผ่นแรกได้ถูกฉายไปยังโปรเจคเตอร์ซะแล้ว และคนตั้งใจเรียนอย่างผมจะไม่ตั้งใจจดเลคเชอร์พวกนั้นได้ยังไง  ผมควงปากการอบหนึ่งก่อจะใช้สกิลขั้นสูงสุดจดเลคเชอร์ด้วยความรวดเร็ว


และแล้วเวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงครึ่ง คาบแรกของวันนี้ก็ได้จบลงไปแล้วครับ ผมนอนสิ้นสภาพอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์พร้อมกับเพื่อน ๆ ที่เข้ามามุงเพื่อแย่งเลคเชอร์จากผมเอาไปถ่ายเอกสารเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นทั่วทั้งห้อง แต่สภาพตอนนี้ผมโคตรอยากนอนเลยครับ โคตรอยากนอน กระทั่งไอเจมส์และไอบาสเข้ามานั่งข้าง ๆ (ไอสองคนนี้มันมาไม่ทันคาบแรกครับ) ผมยังไม่รู้สึกถึงความอยากที่จะหันไปทักทายมันเลยครับ


แต่รู้สึกว่าพวกมันน่าจะทนไม่ไหวกับความเงียบที่ผมมอบให้มันทั้งสองคนก็ประเคนฝ่ามือลงบนหัวผมจนผมต้องสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา
“เชี่ยเจมส์ เชี่ยบาส...ปล่อยให้กรูนอนเถอะ กรูง่วง” ผมพูดและแทบจะยกมือไหว้พวกมันทั้งสองคน…ผมให้พวกคุณเดาแล้วกันว่าเพื่อนทั้งสองคนมันจะเห็นใจผมไหม ถ้าคุณตอบว่าเห็นใจ…คุณคิดผิดครับเพราะมันทั้งสองคนไม่เห็นใจผมที่ง่วงนอนมากจนแทบจะหลับได้ตลอดเวลาอย่างผมหรอกครับ


“ไม่ต้องมาบ่นว่าง่วงนอน มรึงบอกมาซะดี ๆ มรึงไปร้องไห้ซบอกใคร” ไอบาสพูดขึ้น แต่ยังดีที่มันเบาเสียงของมันลงจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ (ที่พวกผมต้องกระซิบคุยกันแบบนี้ เพราะว่าไม่มีใครรู้นิสัยง้องแง้งแบบนี้ของผม(นอกจากเพื่อนจากโรงเรียนเดียวกันของผม) พวกมันทั้งสองคนก็เลยต้องกระซิบคุยกัน)


“…ไว้กรูหายง่วงก่อน กรูจะเล่า ตอนนี้พวกมรึงปล่อยให้กรูนอนก่อนเถอะ กรูขอร้อง กรูง่วง” ผมพึมพำตอบมันไปแม้ว่าผมจะโดนมันตบหัวกันไปคนละทีสองทีแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังไม่หายง่วงนอนอยู่ดี


“พวกกรูไม่ให้มรึงนอนครับ บอกพวกกรูมาก่อนว่ามรึงไปขอให้ใครช่วยปลอบมรึง กานต์ก็ไม่ใช่ พวกกรูก็ไม่ใช่ ยิ่งพ่อแม่มรึงยิ่งแล้วใหญ่ สารภาพมาซะมรึงไปร้องไห้กับใครมา” ผมอยากจะร้องไห้ครับ เพื่อนรักทั้งสองมันดันอยากรู้เรื่องราวของผมมากกว่าห่วงเรื่องสุขภาพของผมซะอีก


“คนที่พวกมรึงก็รู้จักน่า” ผมสะลึมสะลือตอบมันไป แต่คำตอบของผมก็ยังไม่คลายความสงสัยให้กับพวกมันสองคน


“คนที่พวกกรูรู้จักมีน้อยมากเลยเนอะ มรึงบอกเจาะจงหน่อยดิ ถ้าไม่อยากให้พวกกรูเดาก็บอกมา ถ้ายอมบอก กรูยอมให้มรึงนอนยาวยันสี่โมงเย็นเลยเอา” ไอบาสเร่งเร้า ซึ่งผมก็เริ่มรำคาญเต็มทนแล้วครับ คนแม่มง่วง ๆ อยากจะนอนหลับให้เต็มอิ่ม แต่ดันไม่ได้หลับสมใจ และสภาพผมตอนนี้ไม่ได้มีสติครบครันอะไรหรอกครับ เข้าเฝ้าพระอินทร์ไปเกินครึ่งแล้วครับ ดังนั้นต่อให้มันเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็นความลับมากขนาดไหน ผมก็ไม่สนแล้วครับ


สิ้นเสียงของไอบาสพูดจบ ผมก็ตะโกนสวนมันออกไปแทบจะทันที ไอเพื่อนสองตัวนี้หน้าเหวอ ส่วนคนอื่น ๆ หันมามองที่ผมด้วยความตกใจ “ที่มรึงไม่เห็นกรูอยู่ที่ห้องเพราะกรูไปนอนห้องพี่ศิเว้ย แค่นี้พอใจแล้วใช่ไหมวะ ทีนี้ก็ปล่อยให้กรูนอนสักที กรูง่วงเว้ย”


เมื่อผมเอ่ยออกไปจนจบประโยค ผมก็ทรุดตัวนั่งลงพร้อมกับฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเพื่อหลับต่อ ซึ่งในตอนนั้นผมไม่ได้สงสัย หรือคิดอะไรเลยว่าการที่ผมพูดออกไปแบบนี้จะทำให้ทุกคนเข้าใจผิดเรื่องผมกับพี่ศิไปมากกว่าเก่า


เวลาน่าจะผ่านไปสักสามคาบได้แล้วครับ ตอนนี้ผมกำลั่งนั่งทานข้าวกลางวันอยู่ในโรงอาหารของคณะวิศวะครับ ซึ่งสายตาของทุกคนในโรงอาหารนี้ทำไมมันถึงจ้องมองมาที่ผมจังเลยวะ


ช่วงที่ผมง่วงนอน (ถ้าให้พูดตรง ๆ คือช่วงที่ผมกำลังนอนหลับ) มันเกิดอะไรขึ้นเหรอวะเนี่ย หรือทุกคนตกใจที่ใบหน้าอันแสนเพอร์เฟคของไอคุณน้องกรคนนี้มีรอยแผล โอ้ว...สงสัยรอยแผลบนใบหน้าจะทำให้ทุก ๆ คนใจสลายสินะครับ เรื่องนี้กรจะไม่ยุ่ง ถ้าอยากยุ่ง ให้ไปหาไอเจมส์ที่มันดันมาต่อยมาหน้าผมครับ แต่ไอบาสมันก็ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดที่ตัวเองมโนขึ้น เพราะมันเอื้อมมือมาแตะที่บ่าผมเบา ๆ พร้อมกับกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูผมว่า “แดรกข้าวเสร็จไปที่ประจำ เดี๋ยวกรูเล่าให้ฟังว่ามรึงเจือกไปทำอะไร และทำไมทุกคนถึงมองมรึงกันแบบนี้” ผมหันหน้าไปมองไอบาสน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับในสิ่งที่ไอบาสนัด


สิ้นเสียงของไอบาส ผมก็รีบจัดการยำมาม่าเจ้าดังของมหาวิทยาลัยทันที เวลานั้นผ่านไปไม่เกิน 2 นาที ยำมาม่าเจ้าดังก็เกลี้ยงจาน รวมไปถึงชานมน้ำผึ้งไข่มุกที่หมดแก้วไปพร้อม ๆ กัน หลังจากผมกินเสร็จผมก็รีบวิ่งแจ้นไปเก็บจานพร้อมกับลากแขนของไอบาสและไอเจมส์ไปยังที่ประจำของพวกผม (เรียกง่าย ๆ ว่ามันเป็นที่สิงสถิตของพวกผมเลยก็ได้ครับ ถ้าอยากหาผมให้มาที่โต๊ะนี้ รับรองว่าเจอผมแน่นอน)


ผมทรุดตัวนั่งลงบนม้าหินอ่อม พร้อมกับกอดอกมองเพื่อนทั้งสองพร้อมกับส่งสายตาร้องขอความจริงจากปากพวกมันว่าหลังจากที่ผมหลับไปแล้ว (หรือก่อนที่ผมจะหลับ) มันดันเกิดเรื่องเชี่ยอะไรขึ้น แล้วทำไมทุกคนทั้งคณะถึงมองผมด้วยสายตาแบบนั้นกัน


“กร มรึงจำเรื่องที่มรึงตะโกนใส่พวกกรูเมื่อเช้าได้หรือเปล่า” เสียงไอเจมส์เอ่ยขึ้นพร้อมกับยืนกอดอกมองผมด้วยสีหน้านิ่งสนิท (ซึ่งผมรู้ว่ามันเก๊กครับ แล้วทำไมถึงรู้น่ะเหรอ ดูแววตามันสิครับ สั่นระริกเหมือนกับคนที่กำลังกลั้นหัวเราะอยู่)


“กรูว่ากรูไม่ได้พูดอะไรนะครับ คุณเพื่อนเจมส์” ผมตอบไอเจมส์ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแอ๊บแบ๊ว ซึ่งแน่นอนไอเจมส์มันก็เอื้อมมือมะเหงกใส่หัวผมหนึ่งที  ข้อหาที่ผมกวนประสาทใส่มัน ผมได้แต่กุมหัวตัวเองเบา ๆ และทำตัวเจียม ๆ นั่งฟังเรื่องที่ไอเจมส์และไอบาสเล่าออกมา


“ไอกร มรึงน่ะหาเรื่องใส่ตัวเอง มรึงก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้วว่ามรึงเป็นข่าวกับพี่ศิอยู่  ถึงมันจะซาลงไปแล้วก็เถอะ แต่มรึงก็ไม่ระวังตัวเองเลยว่ะ ถึงพวกกรูจะจับมรึงใส่สะ…” เสียงของไอบาสเงียบเสียงลงพร้อมกับฝ่ามือของไอเจมส์ที่เอื้อมมือไปตะครุบปากของไอบาสพร้อมกับพูดแทรกขึ้นมาแทนไอบาสทันที


“ไอกร เมื่อเช้ามรึงตะโกนบอกพวกกรูว่ามรึงไปนอนห้องพี่ศิมา” ผมพยักหน้ารับคำมัน แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเกี่ยวกับพี่ศิตรงไหน ผมจึงตัดสินใจยกมือขึ้นเหมือนขอเวลานอกพร้อมกับเอ่ยคำถามที่ตนเองสงสัยออกไป “แล้วเรื่องที่กรูโดนมองเกี่ยวอะไรกับพี่ศิวะ”


“เฮ้อออ…เพื่อนกรูโง่หรือว่าซื่อบื้อวะ” ไอเจมส์พูดพร้อมกับส่ายหัว  ส่วนไอบาสมันทรุดลงไปนั่งกับพื้นพร้อมกับเอ่ยคำพูดด่าผมเบา ๆ “ไอเชี่ยกร ไอซื่อบื้อเอ้ย”


“พวกมรึงเลิกว่ากรูแล้วเล่าทั้งหมดพร้อมอธิบายให้กรูฟังทีดิว่าที่กรูไปนอนห้องพี่ศิ แล้วแม่มเกี่ยวอะไรกับการที่คนทั้งโรงอาหารมองกรูเป็นตาเดียวแบบนั้นวะ” ผมยังคงเอ่ยปากถามพวกมันซ้ำซึ่งไม่ทันที่พวกมันจะได้พูดอะไรต่อโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น พร้อมกับหน้าจอที่ระบุว่าใครโทรมา


‘เจ้น้ำหวาน’ ผมมองชื่อ ๆ นั้นด้วยสายตางุนงงแต่ก็คงกดรับโทรศัพท์ไป


“สวัสดีครับเจ้  มีอะไรให้หลานรหัสสุดหล่อคนนี้รับใช้เหรอครับ” ผมกรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็วโดยปลายสายได้แต่ส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมาเป็นคำตอบ


ทุกท่านคงสงสัยเจ้น้ำหวานเป็นใครน่ะเหรอครับ เจ้น้ำหวานเป็นปู่รหัสผมเองครับ…ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมผมเรียกแกว่าเจ้น้ำหวาน และทำไมแกถึงเป็นปู่รหัสของผม เหตุผลง่าย ๆ เลยนะครับ เพราะว่าเจ้น้ำหวานเป็นผู้ชายน่ะสิครับ ชื่อจริงของแกนั้นแมนสุด ๆ โดยปู่รหัสของผมคนนี้ชื่อจริงว่านายสาละวินครับ และชื่อเล่นของเจ้แกคือ วิน (ชื่อนี่ฟังดูแล้วแข็งแกร่งเอาเรื่อง เป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่รวมทั้งชื่อเล่นที่แปลว่าผู้ชนะแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายแท้คงชอบชื่อนี้ไม่หยอก) แต่มันไม่ใช่กับเจ้น้ำหวานของผมนี่สิครับ เจ้น้ำหวานเธอร้องขอคุณพ่อคุณแม่ว่าขอเปลี่ยนชื่อจริงให้สาวสำอางมากกว่านี้ แต่พ่อแม่ของเจ้แกไม่ยอมครับ  แกเลยจัดการเปลี่ยนชื่อเล่นตัวเองแทนครับ จากวินกลายเป็นน้ำหวานจนถึงทุกวันนี้


“กร ตอนนี้กรอยู่ไหนจ๊ะ พอดีวันนี้เจ้ได้ยินอะไรมา เจ้เลยอยากเจอหน้ากรแล้วถามอะไรนิดหน่อยน่ะจ่ะ ตอนนี้กรว่างไหมเอ่ย เจ้จะได้ไปหากรเลย” เสียงของเจ้น้ำหวานนี่จัดได้ว่าเป็นสาวประเภทสองที่นุ่มนิ่มและหวานมากครับ (ถึงเสียงจะหวานไม่เท่ากานต์ก็เถอะ) แต่ไม่ใช่ว่าเจ้แกจ ะทำเสียงแมนไม่ได้นะครับ อย่าให้แกแอ๊บเป็นพี่ว้ากเชียว รับรองปีหนึ่งไฮเปอร์ขึ้นกันกระจาย


“กรว่างครับ ตอนนี้กรอยู่ที่กับไอเจมส์กับไอบาสที่โต๊ะประจำของกรน่ะครับ” ผมตอบเจ้น้ำหวานไปตามความจริง ส่วนเพื่อน ๆ ทั้งสองคนของผมตอนนี้มันแทบจะกัดลิ้นตายกันทันที เมื่อผมบอกเจ้น้ำหวานไปว่าพวกมันอยู่กับผม


“อ๋อเหรอจ้ะ กรตอนนี้เจ้อยู่ใกล้ ๆ ที่ที่กรอยู่พอดี เดี๋ยวอีกไม่เกิน 5 นาทีเจ้จะไปหานะ อย่าลืมบอกน้องเจมส์กับน้องบาสด้วยวว่าเจ้น้ำหวานคิดถึงทั้งสองคนมาก” และเหตุผลที่ไอเพื่อนสองคนของผมนั้นอยากจะกัดลิ้นตายกันทันที เพราะมันสองตัวดันไปปีนเกลียวแซวเจ้น้ำหวานของผมเข้าน่ะสิครับ (ซึ่งตอนนั้นมันไม่รู้ว่าเจ้ของผมเป็นสาวประเภทสอง คือ เจ้น้ำหวานเป็นสาวประเภทสองที่สวยมากครับ เจ้แกตัวเล็ก ๆ ตากลม ๆ เลยทำให้ดูเหมือนผู้หญิง แถมเจ้แกไว้ผมยาวแถมสวมเสื้อนิสิตหญิงอีกด้วยครับ) มันเลยต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพื่อไม่ให้เจอหน้าเจ้น้ำหวาน เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ


“ผมคิดว่า...พวกมันทั้งสองคนได้รับความรู้สึกพวกนั้นของเจ้น้ำหวานจนวิ่งหนีไปไกลแล้วล่ะครับ” ผมตอบเจ้น้ำหวานไปพร้อมกับหัวเราะลงท้ายประโยคเบา ๆ ผมกับเจ้น้ำหวายคุยกันอีกสักพัก ก่อนเจ้น้ำหวานจะขอตัดสายไป


ผมนั่งรอแจ้น้ำหวานไม่นานนัก ร่างเล็กของเจ้น้ำหวานก็เดินเข้ามาหาผมจากทางด้านหลัง มือเรียวเล็กนั้นเอื้อมมาปิดตาทั้งสองข้างของผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่มาดแมนว่า “ทายสิ กร ใครเอ่ย”


“เจ้น้ำหวานครับ ไม่ใช่เวลาเล่นนานะ” ผมพูดใส่เจ้น้ำหวานพร้อมกับมือบางของเจ้ที่ผละออกจากดวงตาทั้งสองข้างของผม


“เจ้แกล้งกรไม่ได้เลยนะ” เธอพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ แต่ผมก็ไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เพราะคาบบ่ายผมมีแลป ซึ่งเลตไม่ได้เพราะวิชานี้จะมีควิซก่อนทำแลปทุกครั้ง


“เจ้น้ำหวานครับ รีบมาหากรแบบนี้ เจ้มีอะไรให้กรช่วยเหรอ” ผมถามเจ้เขาพร้อมกับส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยไปให้ ซึ่งเจ้น้ำหวานแกก็เป็นพวกรวบรัดรวดเร็ว เจ้น้ำหวานไม่ปล่อยให้ผมสงสัยไปมากกว่านี้เสียงนุ่มที่เป็นเอกบักษณ์ของเจ้น้ำหวานก็ถูกเอ่ยขึ้นมาพร้อม ๆ กับโทรศัพท์มือถือของผมที่ตกลงไปกับพื้นเพราะความช็อก “กร…กรเป็นแฟนกับศิเหรอ  วันนี้เจ้ได้ยินเค้าพูดกันทั้งนั้นเลยนะว่าที่กรเพลีย ๆ นี่กรไปนอนห้องของศิมา”


ผมรีบประมวลผลภายในสมองของผมอย่างรวดเร็ว ผมพยายามย้อนนึกไปถึงเมื่อเช้าตอนที่ผมกำลังสะลึมสะลือว่าผมนั้นได้เผลอพูดอะไรออกไปมั่งในตอนนั้นซึ่งผมก็คงยังจำได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้พูดอะไรออกไป ผมยืนนึกไปอีกสักพักทันใดนั้นคำพูดของไอเจมส์กับไอบาสก็ลอยขึ้นมาในสมอง


‘ไอกร มรึงน่ะหาเรื่องใส่ตัวเอง มรึงก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้วว่ามรึงเป็นข่าวกับพี่ศิอยู่ถึงมันจะซาลงไปแล้วก็เถอะ แต่มรึงก็ไม่ระวังตัวเองเลยว่ะ’ คลับคล้ายคลับครานะว่าไอบาสจะพูดอะไรต่อ ผมพยายามนึกต่อไป (ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อไม่ถึง 10 นาทีนี่เองแต่ทำไมผมจำไม่ค่อยได้วะ) จนกระทั้งประโยคต่อไปที่ไอเจมส์มันพูดขึ้นก็ลอยเข้ามาในสมอง


‘ไอกร เมื่อเช้ามรึงตะโกนบอกพวกกรูว่ามรึงไปนอนห้องพี่ศิมา’ ประโยคนี้ทำให้ผมถึงกับพูดไม่ออก และแทบอยากจะวิ่งไปเอามีดไล่ฟันไอคนปล่อยข่าวสัปดนพรรค์นั้นออกมา!


“เจ้…เจ้น้ำหวานที่รัก เจ้น้ำหวานเข้าใจผิดแล้วกรไม่ได้เป็นแฟนกับพี่ศิครับ กรกับพี่ศิเป็นเพื่อนบ้านกันเฉย ๆ” ผมรีบพูดหาข้อแก้วตัว แม้สิ่งที่เขาลือจะเป็นความจริงครึ่งหนึ่งก็เถอะ (แถมความจริงข้อนั้นดังออกมาจาปากของผมเองด้วย)


“เหรอ กร…เมื่อเช้าเจ้มาคุยกับอาจารย์ตอนเช้า เจ้เห็นรถของศิมาส่งกรด้วยนะ  อย่าปิดบังเจ้น่า” เจ้น้ำหวานทำหน้าเจ้าเล่ห์พร้อมกับยื่นนิ้วเรียวมาจิ้มที่จมูกของผม


“โหย ประหยัดน้ำมันไงพี่ คอนโดเดียวกัน ไปด้วยกัน กลับด้วยกัน ประหยัดจะตาย” ผมรีบพูดแก้ตัวรัว ๆ ซึ่งเจ้น้ำหวานก็ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา ผมรู้สึกว่าเจ้แกจะไม่เชื่อความจริงจากปากของผมเลยล่ะครับ


ฮึย…กรอยากจะร้องไห้…แต่ทำไมเจ้น้ำหวานถึงรู้จักพี่ศิได้หละ


“แต่เจ้แปบ ๆ กรมีคำถาม ทำไมเจ้น้ำหวานถึงรู้จักพี่ศิได้อ่ะ” ผมถามคำถามที่ผมสงสัยออกไป ซึ่งเจ้น้ำหวานก็หัวเราะออกมาเสียงดัง


“กรจ๊ะ เจ้อยู่สวนใหญ่ห้องหนึ่ง...แล้วเราเคยถามศิไหมว่าศิอยู่โรงเรียนไหนตอนม.ปลาย และอยู่ห้องไหนหรือเปล่า” เจ้น้ำหวานพูดใบ้ให้กับผม ซึ่งคำตอบของคำใบ้ที่เจ้น้ำหวานพูดมา มันก็ไม่ต้องคาดเดาอะไรเลยครับ...เพราะว่าสิ่งที่เจ้แกใบ้มามันเจาะจงอยู่ในตัวแล้วว่า เจ้น้ำหวานกับพี่ศิเคยเป็นเพื่อนร่วมห้องชั้นมัธยมกันมาก่อน


“เจ้น้ำหวานกับพี่ศิเป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาก่อน ตั้งแต่ชั้นมัธยมสินะครับ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจแน่นอนคำตอบนั้นเป็นคำตอบที่ถูกต้องอยู่แล้ว ซึ่งเจ้น้ำหวานก็พยักหน้าตอบรับเบา ๆ


“อ่า…คอนโดห้องข้างกันนี่เอง ยังไม่ได้เป็นแฟนกันสินะ…เดี๋ยวเจ้ไปแก้ข่าวให้กรดีไหมน้าว่ากรกับศิยังไม่ได้เป็นแฟนกันทั้งสองคนเป็นแค่เพื่อนบ้านกัน ที่นั่งรถคันเดียวกันมามหาลัยเพราะว่าทั้งคู่ต้องการจะประหยัดค่าน้ำมัน” เจ้น้ำหวานทำหน้านึกพร้อมกับเอานิ้วแตะปากของตัวเองเบา ๆ ใบหน้าหวานที่สวยราวกับผู้หญิงแท้ ๆ จ้องมายังผม


ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าทันทีที่เจ้น้ำหวานพูดจบ ผมแทบจะไปกอดขาขอร้องเจ้น้ำหวานให้ช่วยแก้ข่าวให้ผมที ซึ่งดูเหมือนเจ้น้ำหวานจะเข้าใจความรู้สึกผม เธอเอื้อมมือขึ้นมาขยี้ผมของผมเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ออกมาว่า “เจ้จะแก้ข่าวให้กรแล้วกัน หลานรหัสสุดรักของเจ้ทำหน้าขอร้องมาทั้งที แต่ถ้าไม่แก้ข่าวพี่ว่าศิน่าจะดีใจมากกว่านะเนี่ย”


สิ้นเสียงของเจ้น้ำหวาน  ร่างเล็กนั่นก็วิ่งออกไปจากคณะ โดยทิ้งประโยคสุดท้ายให้ผมสงสัยว่า ‘พี่ศิจะดีใจทำไมในเมื่อตัวเองต้องเป็นข่าวกับผู้ชาย’ แต่นี่ก็วางใจได้แล้วล่ะ ถ้าเจ้น้ำหวานออกปากว่าจะช่วยแบบนี้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วล่ะ ข่าวลือก็คงไม่แพร่กระจายมากกว่านี้ (แต่ต่อให้กระจายก็คงกระจายอยู่แค่ในคณะวิศวะนี่เท่านั้นละ) ยังไงคำพูดนั้นก็ออกมาจากปากประธานสโมเลยนี่นา


หลังจากที่ผมคุยกับเจ้น้ำหวานเสร็จ ผมก็นำพาร่างอันไร้วิญญาณของผมไปยังห้องเรียนแลป ซึ่งในสมองของผมนั้นว่างเปล่า ควิซก็ทำไม่ได้มันสักข้อ แต่ดีที่ผมมีเพื่อนดี ลอกไอเจมส์ได้ (เด็กดีไม่สมควรเอาผมเป็นเยี่ยงอย่างนะครับที่ผมลอกเพราะสมองผมมันเบลอไปหมดแล้วจริง ๆ) ผมส่งกระดาษควิซอย่างเหม่อลอยพร้อมกับสวมเสื้อแลป (วันนี้ผมเรียนแลปเคมีครับ) และเดินไปทำการทดลองแบบเบลอ ๆ มึน ๆ อึน ๆ


สภาพผมตอนนี้ ทำให้เพื่อนร่วมกลุ่มที่ทำแลปเป็นห่วงมาก เพื่อนร่วมแลปทั้งสองคนของผม ก็ปล่อยให้ผมนั่งทำหน้าเหม่อลอยอยู่เฉย ๆ พร้อมกับบอกอาจารย์ให้ด้วยว่าผมเกิดอาการป่วยกะทันหันเลยให้ผมทำหน้าที่แค่จดบันทึกการทดลองเฉย ๆ ครับ ผมก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีพอ ๆ กับการเป็นเทพเจ้าเลคเชอร์ แต่ว่าเนื้อหาของการเรียนวันนี้ดันไม่เข้าหัวผมมาเลยสักกะนิดเดียวน่ะสิครับ!
ให้ตายเถอะอนุภาพข่าวลือนี่มันน่ากลัวจริง ๆ!


เมื่อสิ้นสุดเวลาเรียน  ผมก็คงยังเบลอ ๆ และเหม่อลอยอยู่ผมเดินตัวปลิวแบบไร้วิญญาณออกมาจากตึกคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งผมเดินออกมาอย่างอึน ๆ เบลอ ๆ นั่นละครับ  แต่สิ่งที่ช่วยฉุดกระชากสติของผมให้กลับมาเข้าร่างก็ คือ รถคันงามยี่ห้อ BMW ที่จอดเทียบอยู่ข้างฟุตบาท พร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงที่มีนามว่า ศิรวิทย์ ยืนพิงรถคันงามของเขาอยู่


ไอผมนี่อยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ พร้อมกับวิ่งหนี หรือแอบหนีไปจากที่ตรงนี้แล้วละครับ แต่ทันทีที่ผมจะได้สาวเท้าหนี  พี่ศิ ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของผมก็ดันเห็นผมเข้าเสียแล้ว เสียงทุ้มนั้นเอ่ยทักผมออกมาเสียงดัง พร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้ผมแทบอยากจะฆ่าตัวตาย ณ ที่ตรงนี้ทันที


“กรพี่มารับแล้วนะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่พาไปเลี้ยงข้าวแล้วค่อยกลับคอนโด”


รณกรคนนี้อยากตาย และสลายร่างหายไปจากตอนนี้เลยครับ พี่ศิมาได้พอดี๊พอดี พอดีที่จะช่วยให้ข่าวลือมันแพร่สะพัดดังขึ้นไปอีก


แล้วอย่างนี้…คำพูดของประธานสโมอย่างเจ้น้ำหวานจะช่วยอะไรผมได้ไหมนะ เพราะภาพคู่รัก (ที่คนอื่นมโนกันเอาเอง) ที่สวีทหวานแหววกระทั้งไปรับไปส่งกันถึงคอนโด มันทิ่มแทงตาของคนอื่นซะขนาดนี้



_______________________


ทางนี้ไม่กล้าใจร้ายให้น้องกรแกงอนกับเพื่อนนาน อิอิอิอิอิ (พลอยคิดว่าเพื่อนกันแค่ขอโทษกันก็หายแล้วหละคะ ถ้าเรารู้ความผิดของตัวเองและความผิดของอีกฝ่ายแล้วยอมรับมันให้ได้พลอยก็คิดว่าปัยหามันก็เคลียร์ได้แล้วค่ะ)

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
พี่ศิต้องแอบชอบกรมานานแล้วแน่ๆๆ คึคึ  :hao7:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เพื่อนสองคนโอเคแล้วเหลืออีกหนึ่ง เอาไว้ก่อน
ส่วนพี่ศิมารอรับกรได้ถูกที่ถูกเวลาถูกคำพูด อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
กรจ๋าต้องทำใจแล้วละ
ปลงใจคบพี่ศิไปเลย อิอิ

รอตอนต่อไปจร้าาา

ออฟไลน์ saiiisai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แวะมาให้กำลังใจคนเขียนครับ
ชอบเรื่องนี้มาก
แต่งต่อเรื่อย ๆ เลยน้า
อ่านแล้วมัน feel good สุดยอด

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
น้องกรตกลงหนูจะมึนทั้งตอนเลยใช่มั๊ยลูก :laugh:
จะสงสัยจะโดนรังสีความรักของพี่ศิเข้าไปอะดิ  :m12:

กรเอ๊ยถ้าไม่อยากให้มันเป็นข่าวลือก็ทำให้มันเป็นความจริงไปเลยลูก
พอเป็นเเฟนพี่ศิจริงปุ๊บ เดี๋ยวคนก็เลิกลือเองล่ะ เพราะส่วนใหญ่คนสนใจความลือมากกว่าความจริง 
เห็นมะ วิธีแก้ง่ายมั๊กมากกกกก  :hao7:

รอตอนต่อไป เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
สวัสดีค่ะพลอยนะคะวันนี้พลอยขอภาพตัวละครหลักของพลอยออกมาแนะนำให้ทุกคนได้ยลโฉมหน้ากันนะคะ


ตามที่เห็นในภพคนทางด้านซ้ายมือคือน้องกรสุดเกรียนพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ส่วนอีกด้านคือพี่ศิหรือพี่หมอค่ะ >< ขอบอกเลยว่าแววตาของพี่ศิเจ้าเล่ห์มากค่ะ แต่สกิลนั้นก็ใช้กับน้องกรแค่คนเดียวค่ะ


ปล. ภาพนี้พลอยไม่ได้วาดเองเพื่อนของพลอยวาดให้
ปล2. ความจริงพี่ศิรวิทยืไม่ใช่ออริของพลอยแต่เป็นออริของเพื่อนพลอยค่ะ (เป็นคนที่วาดรูปให้กับพลอย)
ปล3. พรุ่งนี้เจอกันตอน 9 ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2013 15:22:12 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :hao7:  แบบว่าหนุ่มแว่นคนนี้ ดาเมจจิตใจสาวน้อยเค้ามากอ่ะ  :m25: รอนะจ๊ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
แวะมารอด้วยคนค่ะ  :L2:
อิมเมจน่ารักชอบๆ ทั้งน้องกรทั้งพี่ศิเลย  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
สวัสดีค่ะ พลอยมาต่อให้ตามสัญญาแล้วนะคะ หวังว่าทุก ๆ คนจะสนุกกับนิยายเรื่องนี้นะคะ >< เลื่อนขึ้นไปนิดจะเป็นภาพคาร์แรคเตอร์ตัวละครที่พลอยรีเควสให้เพื่อนวาดให้ค่า (ความจริงแล้วตัวละครศิรวิทย์เป็นตัวละครออริจินอลของเพื่่อนที่มาคู่กับลูกชายพลอยน้องกรนั่นเองค่า)




Chapter 9


หลังจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ทุกท่านไม่ต้องเดากันหรอกครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะผมใช้ร่างที่ไร้วิญญาณของตัวเองเดินเข้าไปหาพี่ศิไงล่ะครับ พร้อมกับเข้าไปนั่งในรถของพี่เขาที่เปิดประตูเชื้อเชิญผมเป็นอย่างดี  ชีวิตกรป่นปี้หมดแล้ว  ให้ตายเถอะ ข่าวลือเก่าหายไปไม่ถึงสองอาทิตย์ ข่าวลือใหม่ก็เข้ามาแทนที่อีกแล้ว กรคนนี้อยากจะร้องไห้


ผมทำหน้าเศร้าใจเบา ๆ ในรถ (แต่สำหรับพี่ศิ พี่ศิคงคิดว่าผมทำท่าทางประหลาด ๆ อยู่ล่ะครับ) จนพี่ศิต้องเอ่ยปากถามว่าผมเป็นอะไร


“กรเป็นอะไรงั้นเหรอ พี่เห็นเราทำท่าแปลก ๆ มาตั้งแต่ออกมาจากตึกคณะวิทย์แล้ว” พี่ศิพูดพร้อมกับปรายสายตามาทางผม
“กรเป็นกรไงละ กรเป็นกร ไม่มีอะไร้” ผมตอบพี่ศิไป พร้อมกับหัวเราะราวกับคนบ้า ทั้งยังยกเสียงสูงในท้ายประโยคซะด้วย ซึ่งคำตอบที่ผมเอ่ยออกไปนั้นทำให้พี่ศิชะงักและรีบปัดไฟเลี้ยวเพื่อขอทางเพื่อเข้าจอดที่ข้างทาง


มือกร้านยกขึ้นมาแตะที่หน้าผากผมเบา ๆ และเริ่มแตะนั่นจับนี่แกะโน่นเพื่อตรวจร่างกายผมเบื้องต้น


“พี่ศิ กรไม่ได้เป็นอะไร พอ ๆ นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลนะเฮ้ย แต่เป็นในรถ” พี่รีบเอามือของตัวเองยันพี่ศิทันทีที่พี่แกจะแกะกระดุมเสื้อของผมเพื่อวันชีพจรของผม


“ไอคุณพี่ศิครับ ชีพจรมันวัดที่ข้อมือก็ได้ ไม่ต้องมาแกะกระดงกระดุมเสื้อเพื่อวัดชีพจรที่ต้นคอหรอกครับ” ผมตะคอกใส่พี่ศิ พร้อมกับตะครุบคอเสื้อตัวเองไว้ ส่วนพี่ศิรวิทย์ที่สุดแสนจะกังวลว่าน้องกรคนนี้จะเป็นอะไรก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ ใส่ผมก่อนจะหันไปตีหน้าเนียนขับรถต่อ


‘โธ่ ผมรู้ว่าพี่เป็นคนดี แต่นี่มันดีเกินไปแล้วล่ะครับ พี่แกเล่นจะตรวจร่างกายผมในรถ ให้ตายเถอะ นี่มันรถนะ ไม่ใช่โรงพยาบาล อะไรจะมารู้สึกอยากใช้ความรู้แพทย์ที่ร่ำเรียนมาตรวจร่างกายคนในรถกัน พี่ศิ พี่น่ะบ้าไปแล้ว’


เราทั้งสองนั่งเงียบกันไปอีกสักพักหนึ่ง ก่อนที่รถยนต์คันงามของพี่ศิจะวนเข้าไปจอดในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ ๆ กับคอนโดของเราทั้งสองคน ผมรีบเปิดประตูลงจากรถด้วย ‘ตัวเอง’ ที่ผมย้ำคำนี้นั่นก็เป็นเพราะตั้งแต่วันแรกที่ผมย้อนรำลึกความหลังได้ ผมไม่เคยเปิดประตูรถพี่ศิเองเลยสักครั้ง มีพี่ศิเนี่ยล่ะที่เป็นคนคอยเปิดประตูรถให้ผมขึ้นลงโดยตลอด (ซึ่งหลังจากวันนี้ไป ผมจะไม่ให้มันซ้ำรอยเดิมอีกแล้ว! เพราะผมจะเปิดประตูรถขึ้นลงเองแล้วครับ)


หลังจากที่ผมยืนรอพี่ศิล็อครถยนต์สุดหรูของตัวเองเสร็จ ผมก็รีบวิ่งปรี่เข้าไปในห้างเพื่อสูดไอความเย็นทันที ซึ่งพี่ศิเขาก็หัวเราะน้อย ๆ ในการแสดงออกอันแสนจะสุดโอเวอร์ของผม แต่กระนั้นพี่ศิก็ไม่ได้ว่าอะไรออกมา แถมยังเดินคว้าข้อมือของผมพร้อมกับลากผมไปร้านอาหารที่พี่ศิแกได้หมายตาไว้


สถานการณ์แบบนี้ ทำเอาผมนึกถึงพี่ศิแสนดีที่คอยตามใจผมมาตลอดเลยครับ คือวันนี้มันทำให้ผมได้รู้ว่าพี่ศิเป็นคนที่เอาแต่ใจมาก ๆ เลยล่ะครับ น้องกรอยากจะร้องไห้


หลังจากที่ผมโดนพี่ศิลากเดินไปสักพัก ตอนนี้พี่ศิกับผม (ซึ่งโดนพี่ศิลากมา) ได้อยู่หน้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่มีชื่อร้านว่า ‘Scoozi’  ซึ่งรายการเมนูอาหารนั้นแต่ละอย่างเรียกได้ว่าแพงระยับ ซึ่งปกติผมจะไม่ค่อยเข้ามาทานในร้านอาหารแบบนี้เท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันแพงแล้วก็สั่งหลาย ๆ อย่างตามที่ผมอยากทานไม่ได้ เพราะถ้าขืนสั่งเยอะ ๆ แบบนั้นผมว่าคงหมดไม่ต่ำกว่าสามพัน อีกทั้งมันยังมีของหวานที่ชวนให้ลิ้มลองอีก ถ้าเกิดผมเข้าคำปฏิญาณตนของตัวเองที่จะไม่กินขนมอื่นนอกจากสูตรขนมบ้านตัวเองคงพังทลายแน่นอนเลยครับ


ไอใจผมน่ะไม่อยากจะเข้าเลย แต่ตอนนี้ผมมานั่งจุ่มปุกในร้านเรียบร้อยแล้วครับ พร้อมพ่วงด้วยเมนูอาหารเล่มใหญ่ที่อยู่ในมือ ไอปากผมนี่อยากจะสั่งมากินหลาย ๆ อย่างแต่ด้วยราคาที่แพง…ทำให้ผมจำใจสั่งของที่อยากกินมากที่สุดออกไปเพียงอย่างเดียวแทน


“ขอฟูซีลี่ต้มยำทะเลที่หนึ่งครับ แล้วก็ของน้ำส้มคั้นด้วยอีกแก้วครับ” ผมเอ่ยปากสั่งอาหารที่ผมอยากทานที่สุดไปพร้อมกับปิดเมนูเล่มใหญ่ลง การกระทำของผมนั้น ทำให้พี่ศิรู้สึกสงสัยในการกระทำของผมมาก แต่พี่ศิก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรต่อใบหน้าคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นปรายตามองตามเมนูอาหารก่อนจะสั่งเมหนูอาหารออกไป


“ผมขอรีซอทโต้เห็ดรวม ตามด้วยแซลมอนสลัด ลอบสเตอร์ซุปแล้วก็สปาเก็ตตี้ครีมซอสกับปลาแซลมอน น้ำเป็นน้ำเปล่าครับ” พี่ศิสั่งของทั้งหมดรัว ๆ โดยที่เขาไม่สนใจราคาของเมนูอาหารแต่ละชนิดเลยสักนิด


“พี่ศิสั่งเยอะไปแล้วนะ ร้านนี้แพง” ผมบ่นให้พี่ศิฟังเบา ๆ ซึ่งพี่ศิก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรออกมา ใบหน้าคมอมยิ้มน้อย ๆ ตอบกลับมาให้ผม พร้อมกับริมฝีปากนั้นเอ่ยถ้อยคำที่ผมไม่รู้ว่าจะรู้สึกเขินดี ดีใจดี หรือรู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองดีออกมา “พี่เห็นกรจด ๆ จ้อง ๆ อยากสั่งของพวกนี้นี่ แต่ด้วยราคากรก็เลยไม่กล้าสั่ง พี่ก็เลยสั่งแทน”


“โหยยยย พี่ศิ…กรควรซึ้งใจดีไหมพี่” ผมแหย่กลับไป แต่ในใจก็ยังคิดว่ามันมากเกินไปอยู่ดี ความสปอร์ตแบบนี้มันสมควรเอาไว้เลี้ยงสาวนะเฮ้ย! ไม่ใช่เอามาเลี้ยงรุ่นน้องแบบผม


สิ้นเสียงของผม พี่เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วก็พูดอย่างแผ่วเบาราวกับไม่อยากให้ผมได้ยินว่า “เพื่อกร พี่ทำได้หมดนั่นหละ” ผมสะดุ้งกับคำพูดนั่น (พี่ศิเขาพูดเบาก็จริง แต่ผมก็หูดีพอที่จะได้ยินนะครับ) ก่อนจะส่งรอยยิ้มพร้อมคำขอบคุณให้พี่เขาไป

 
“ขอบคุณนะครับพี่ชาย” น้ำเสียงนั้นทำให้พี่ศิยิ่งยิ้มกว้างออกมา พร้อมกับพยายามยื่นมือข้ามโต๊ะเพื่อจะมาลูบหัวของผม แล้วทุกคนคิดว่าผมจะยอมให้พี่ศิเค้าลูบทรงผมที่ผมตั้งใจเซทมาอย่างดีน่ะเหรอ…ใช่ครับ ทุกคนคิดถูก ผมยอมให้พี่ศิลูบหัวแต่โดยดี
ไม่รู้สินะครับว่าทำไมผมถึงยอมให้พี่เขาลูบหัว หรือจับมืออยู่บ่อย ๆ อาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกว่าสัมผัสจากฝ่ามือของพี่ศิ มันอ่อนโยน และทำให้ผมรู้สึกสบายใจกระมัง  ผมถึงได้ยอมให้พี่เขาลูบหัว จูงมือ หรือทำอะไรกับผมเหมือนเด็กแบบนี้


เราทั้งสองคนนั่งรออาหารที่สั่งกันไปอยู่สักพัก  ไม่นานนักโต๊ะที่เคยว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของที่พี่ศิสั่ง แต่มันเป็นสิ่งที่ผมอยากกินครับ) ผมเริ่มสวาปามอาหารจานแรกคือ ฟูซีลี่ต้มยำทะเล ที่ผมอยากกินมากที่สุด ถ้าทุกท่านเคยมาทานอาหารในร้านนี้นะครับ ผมจะขอบอกว่ามันอร่อยมาก ถึงราคาจะแพง แต่เขาให้ปริมาณอาหารตามราคาจริง ๆ (รวมไปถึงรสชาติก็อร่อยสมราคา) อย่างอาหารที่ผมทานจานนี้ของบอกว่าพวกเครื่องซีฟู้ด ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย หรือปลาหมึก ผมขอบอกเลยครับว่าเขาให้แบบจัดเต็มจริง ๆ ส่วนอาหารอย่างอื่นนี่ ผมขอบอกเลยว่ารสชาติก็อร่อยไม่แพ้กัน


 เราทั้งสองคน (ผมและพี่ศิ) ก็นั่งจัดการอาหารบนโต๊ะจนหมดเรียบ ไม่ใช่ว่าผมกับพี่ศิหิวจัดอะไรหรอกครับ ผมกับพี่เขาแค่ทำใจไม่ได้กับราคาที่สูงปรี๊ดจึงจำใจกิน (จริง ๆ เรียกว่ายัดก็ได้ครับ) มันให้หมด ๆ ไป  แม้ผมจะกระเดือกลงคอไปแทบไม่ไหวแล้วก็เถอะ


ผมนั่งเย็นปาก พร้อมกับหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นมาดูด เพื่อให้อาหารทั้งหมดไหลลงท้องไป แต่ด้วยความจุกที่มีอยู่ในตัว  การที่ผมดื่มน้ำส้มไปนั้นทำให้ผมแทบจะอาเจียนออกมาทันที ซึ่งพี่ศิก็ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ปกครอง(?)ของผมได้เป็นอย่างดี  มือกร้านเอื้อมไปดึงทิชชู่แล้วส่งมาให้ผมเอาไว้ปิดปาก ผมทำสีหน้าพะอืดพะอมอีกสักพัก  ไม่นานนักสภาพของผมก็กลับเป็นปกติหายจากการอาเจียนแล้วครับ (ถึงมันจะยังจุกอยู่เลยก็เถอะครับ)


เมื่อสภาพของผมกลับเป็นปกติพี่ศิก็สั่งให้พนักงานเช็คบิล ซึ่งผมก็เตรียมเงินค่าอาหารส่วนของผม แต่พี่ศิยังไงก็เป็นพี่ศิ  คิดเหรอครับว่าเขาจะให้ผมจ่าย…ไม่มีทาง ทันทีที่ผมจะหยิบแบงค์พันออกมาช่วยพี่เขาจ่าย  พี่ศิก็ร่อนบัตรเครดิตสีทองไปให้พนักงานแล้วล่ะครับ ผมทำแก้มป่องให้พี่ศิ  ส่วนพี่ศิก็ไหวไหล่กลับมาให้ผม


ให้ตายเถอะ  การมากินข้าวกับคน ๆ นี้  ทำให้ผมรู้สึกเป็นหนี้พี่เขาทุกที  นั่นก็เป็นเพราะว่าอันตัวผมนั้นไม่เคยได้จ่ายเงินค่าอาหารเองเลยสักครั้งครับ พี่ศิทำตัวเป็นเสี่ยใหญ่เลี้ยงข้าวผมทุกครั้งที่พวกเรา (พวกเรานี่หมายถึงไอเจมส์กับไอบาสด้วยนะครับ) ไปไหนมาไหนด้วยกัน


“พี่ศิทุกทีอ่ะ กรอยากจ่ายบ้างอะไรบ้าง รู้ไหมพี่” ผมบ่นอุบอิบ ในขณะที่พวกเรากำลังรอใบเสร็จจากพนักงานอยู่ และปฏิกิริยาของพี่ศิก็เป็นเหมือนเดิม คือ ได้แต่ส่งรอยยิ้มมาให้ แต่คราวนี้ไม่ได้มาแค่รอยยิ้มเพียงอย่างเดียว ริมฝีปากหนาค่อย ๆ เปิดออกพร้อมกับพูดข้อแลกเปลี่ยนกับผมออกมา “งั้นกรก็ทำขนมให้พี่ทานแทนค่าอาหารทั้งหมดก็แล้วกัน” พี่ศินั่งเท้าคางมองผม และใช้สายตากดดันให้ผมยอมตกลงกับข้อเสนอของพี่เขาแต่โดยดี


ซึ่งข้อเสนอนั้นมันก็ไม่ได้ยากลำบาก หรือเลวร้ายอะไรสำหรับผมหรอกครับ มันออกจะทำให้ผมเพลิดเพลินบันเทิงใจเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นผมจึงรับปากตอบตกลงพี่ศิไปอย่างง่ายดาย “พี่ศิเอาแค่นั้นเองเหรอ แบบนั้นก็สบายมาก แต่ข้อแลกเปลี่ยนไม่ค่อยเท่าเทียมกันสักเท่าไหร่เลยนะพี่ศิ” ถึงผมจะตอบตกลงไปแต่ผมก็ยังคงคำนึงถึงผลได้ผลเสียของพี่ศิอยู่ ผมก็เลยเปิดโอกาสให้พี่ศิเรียกร้อง ถึงผมจะตอบตกลงแต่ผมก็ยังคำนึงถึงผลได้ผลเสียของพี่ศิอยู่เลยบอกเปิดโอกาสให้พี่ศิเรียกร้องข้อแลกเปลี่ยนใหม่ แต่ไม่ว่าจะถามกี่ที พี่ศิก็ยังคงยืนยันคำเดิมนั่นก็คือการให้ผมทำขนมให้พี่เขากิน


ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดอะไรพี่เขาอีก เพราะในเมื่ออีกฝ่ายเขาเรียกร้องมาแค่นั้น ผมก็ขี้เกียจจะไปสนใจความเท่าเทียมกันของข้อแลกเปลี่ยนแล้วล่ะครับ เมื่อเราคุยข้อตกลงจบพนักงานก็เดินมาพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตสีทองอร่ามคืนให้แก่เจ้าของของมัน


งานนี้ผมขอไม่เรียกดูบิลนะครับเพราะเท่าที่คิดก็ หลายตังพอดูผมจึงไม่อยากดูให้มันรู้สึกแสลงใจ  ผมจึงปล่อยให้เจ้ามือเค้าแสลงใจกับใบเสร็จคนเดียว เราทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านอาหารพร้อมกับเดินออกไปที่ลานจอดรถเพื่อที่จะขับกลับคอนโดที่พวกเราทั้งคู่อาศัยอยู่


เมื่อถึงคอนโดพวกเราก็แยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเอง แต่ก่อนที่ประตูห้องของผมจะปิดลง เสียงพี่ศิก็ดังแทรกเข้ามาจนทำให้ผมต้องจับลูกบิดประตูค้างไว้


“ไว้พรุ่งนี้พี่ไปส่งอีกนะกร แต่ขากลับอาจจะช้าหน่อยเพราะพรุ่งนี้พี่มีเข้าเวร กรจะกลับเองก่อน หรือจะกลับพร้อมพี่ก็ได้นะครับ เดี๋ยวพี่ไปรับที่คณะ หรือไม่กรก็ติดรถเพื่อนมานั่งรอที่คณะพี่ก็ได้นะครับ” พี่ศิพูดพร้อมกับปล่อยรอยยิ้มพิมพ์ใจ และปิดประตูห้องตัวเองไปโดยที่ไม่คิดจะรอฟังคำตอบกลับจากผมเลยสักนิด และพี่ศิก็ได้ทิ้งผมที่สติล ค้าง อึ้ง ทึ่ง เบลอกับความเอาแต่ใจอันแสนแปลกประหลาดของพี่เขา


นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้ว่าพี่ศิเป็นคนที่เอาแต่ใจมาก ๆ เลยคนหนึ่ง แต่กระนั้นความเอาแต่ใจของพี่ศิก็เป็นการเอาแต่ใจที่เป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายหนึ่งล่ะครับ


ดังนั้นผมก็คิดว่านิสัยแบบนี้ของพี่เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเท่าไหร่นักหรอก แถมผมก็ยังคิดว่านิสัยนี้ของพี่เขาออกจะน่ารักเสียด้วยซ้ำไป




การใช้ชีวิตประจำวันของผมก็เป็นเช่นนี้ดังที่กล่าวไปข้างต้น พี่ศิเริ่มเข้ามาในชีวิตผมมากขึ้น  โดยตอนแรกพี่เขาผันตัวมาเป็นสารถีของผม ซึ่งพี่เขาจะขับรถไปรับไปส่งผมในทุกเช้าและแทบจะทุกเย็น (ขอใช้คำว่าแทบจะทุกเย็นก็เป็นเพราะเวลาพี่ศิติดราวด์ หรือติดอยู่เวรผมจะอัปเปหิตัวเองขึ้นแท็กซี่กลับมาที่คอนโดด้วยตัวเองก่อน พอดีว่าผมขี้เกียจรอ) การกระทำแบบนั้นของพี่ศิก็ทำให้ผมกลายเป็นคนตื่นเช้าขึ้น และมีเวลาทานอาหารเช้าด้วย (อันนี้เป็นสิ่งที่น่าดีใจครับ เพราะมันทำให้โรคกระเพาะของผมไม่กำเริบรวมไปถึงอาการปวดหัวไมเกรนด้วยเช่นกัน) ซึ่งในทุกเช้า ผมก็จะไปฝากท้องที่ห้องของพี่ศินั่นหละครับ ง่ายดี  ไหน ๆ พี่เขาก็เป็นคนปลุกผมให้ตื่นเช้าแล้ว ดังนั้นการรับผิดชอบท้องของผมที่ร้องคร่ำครวญว่าหิวข้าว มันก็สมควรเป็นหน้าที่ของพี่เขาด้วยเช่นกัน


เอ๊ะ ผมลืมบอกไปใช่ไหมครับ การใช้ชีวิตแบบนี้ของผมมันดำเนินมาเป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว ถ้าจะให้นับตั้งแต่วันแรกที่พี่ศิขับรถไปรับไปส่งผมตอนนี้ก็ร่วม 2 อาทิตย์แล้วล่ะครับ ซึ่งไอระยะเวลาที่ผ่านไปสองอาทิตย์นั้น ผมรู้สึกเพลิดเพลินกับความสะดวกสบายจนลืมไปเลยว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้า (น่าจะราว ๆ อีก 1 อาทิตย์ครับ)


ผม…จะเริ่มสอบไฟนอลแล้ว!!!


และที่สำคัญ…ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือเลยสักตัวเดียวครับ!!!


ผมนั้นอยากจะย้อนเวลากลับไปสักสองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ ถ้ามันย้อนไปได้นะ ผมจะนั่งอ่านหนังสือมันตั้งแต่ตอนนั้นเลยล่ะครับ อ่านมันให้กระดาษทะลุ ให้ตัวอักษรจากหนังสือแกะสลักจารึกลงในซีรีเบลลัมของผมเลยละครับ (แต่จริง ๆ แล้วต่อให้ย้อนได้ผมก็ไม่อ่านหรอก ผมก็คร่ำครวญไปงั้นล่ะ)


และจากที่ผมคร่ำครวญมาทั้งหมดข้างต้น…ผมก็จำต้องหาติวเตอร์ส่วนตัวที่จะยัดวิชาพื้นฐาน เช่น เคมี ฟิสิกส์ แคลลูลัส ลงไปในหัวสมองของผมให้ได้ภายในเวลา 1 อาทิตย์ ส่วนวิชาอื่น...ค่อยว่ากันเพราะว่าไอสามวิชานี้มันสำคัญนัก โดยวิชาฟิสิกส์ ถ้าผมติดเอฟนี่ผมมีจะต้องเรียนสี่ปีครึ่งโดยอัตโนมัติเลยทันที


ดังนั้น!! ผมจะเอฟวิชาพวกนี้ไม่ได้เลยแม้แต่วิชาเดียว ต่อให้ผมจะต้องผ่านมันไปได้ด้วย D ก็ตาม!!


หลังจากที่พี่ศิขับรถมาส่งผมหน้าคณะวิศวะภารกิจแรกของวันก็คือการตามหาตัวไอเจมส์ และไปเกาะขาออดอ้อนมันให้มันช่วยติววิชาพวกนี้ให้ ซึ่งไอเจมส์มันไม่ปฏิเสธหรอกครับ เพราะถ้ามันปฏิเสธ มันก็จะไม่มีสถานที่ติวทันที (เพราะมันใช้ห้องผมเป็นที่ติวเพื่อน ๆ ครับ)


“เพื่อนเจมส์ที่รักกกก” ผมตะโกนเรียกไอเจมส์จากระยะไกล พร้อมกับวิ่งเข้าไปตะครุบกอดมันแน่น “เพื่อนเจมส์ครับ เพื่อนกรมีอะไรจะขอร้องครับ” ผมเอาหน้าถูไถมันหน้าท้องของมัน (ผมจะอธิบายสภาพผมแบบง่าย ๆ นะครับ ตอนนี้ผมกำลังนั่งคุกเข่ากอดเอวไอเจมส์อยู่ ซึ่งหน้าของผมอยู่ตรงท้องของไอเจมส์พอดี ผมเลยเอาหน้าถูไถท้องมันไงครับ)


“มีอะไรอีกล่ะมรึง…” มันถามผมกลับครับซึ่งเป็นที่แน่นอนผมไม่ปล่อยให้เพื่อนเจมส์ของผมสงสัยนานครับ ดังนั้นผมก็รีบพ่นคำขอร้องออกไปซึ่งคำขอร้องของผมมันก็เป็นคำขอร้องของเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน (ผมบอกแล้วไงครับว่าเรื่องการเรียนต้องยกให้ไอเจมส์ ถึงผมจะเลคเชอร์ไว แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ ดีแต่จด เก่งแต่จดครับผม)


“ติว......แคล ฟิ เคม และทุก ๆ วิชาที่มรึงรู้เรื่องให้กรูทีนะครับ เพื่อนเจมส์” สิ้นเสียงของผม ไอเจมส์มันก็ถลึงตาใส่ผมแทบจะทันที ซึ่งไอคำขอร้องของผมนั้นมันช่างเป็นที่ถูกใจของเพื่อน ๆ ในกลุ่มของผมครับ นั่นก็เพราะเมื่อผมพูดจบทุกคนแทบจะคุกเข่ากอดขาไอเจมส์ตามผมทันที


“ไอเจมส์อย่าปฏิเสธ มรึงเป็นที่พึ่งสุดท้ายของกรูแล้วจริง ๆ” ทรุดตัวลงไปอีกพร้อมกับหน้าถูกกับหน้าแข้งมันเต็มที่ ‘กรูอ้อนมรึงขนาดนี้แล้วนะ ถ้ามรึงไม่ให้นะ กรูไม่ให้มรึงเข้าคอนโดกรูอีกแล้ว แถมกรูจะยึดกุญแจคอนโดของกรูจากมรึงด้วย’ 


และเหมือนไอเจมส์มันจะอ่านใจผมได้ขึ้นมาซะอย่างงั้น (แต่ความจริงแล้วไอเจมส์ไม่เคยปฏิเสธเรื่องติวอะไรให้เพื่อนหรอกครับ เพราะเราอยู่คณะเดียวกัน รุ่นเดียวกัน ภาคเดียวกันและมีเลือดสีเดียวกันนั่นก็คือสีแดงเลือดหมู ดังนั้นพวกเราก็ไม่มีทางทิ้งกันเด็ดขาดครับ)


“กรูติวทุกวิชาให้ได้แต่มีวิชานึงที่กรูติวให้พวกมรึงไม่ได้…พวกมรึงก็รู้ใช่ไหมว่าเคมี กรูให้ไอกรเช็คชื่อให้แทบจะทุกคาบ…เพราะแบบนั้นล่ะ กรูเลยไม่รู้เรื่องเคมีครึ่งไฟนอลนี้เลยสักนิดเดียว  ดังนั้นวิชานี้พวกมรึงต้องช่วยเหลือตัวเองกันแล้วล่ะครับ สหายทั้งหลาย” ผมพยักหน้าตกลง เพราะยังไงวิชาเคมีก็เป็นวิชาที่ถูกจัดไว้สอบเป็นวิชาสุดท้ายของเทอมนี้อยู่แล้วเรื่องหาคนติววิชานี้ ค่อยหาหลังจากสอบวิชาอื่น ๆ หมดก็ได้ครับ


“เจมส์...กรูรักมรึงงง” ผมพูดพร้อมกระโดดกอดแสดงความรักให้แก่มันทันที ซึ่งที่ผมกระโดดเข้าหามันก็ทำให้มันแทบจะล้มทั้งยืน “พรุ่งนี้เริ่มวิชาแรกเลยนะครับ เพื่อนเจมส์ และวิชาแรก กรูขอเป็นแคลที่สอบวิชาแรกครับ ส่วนสถานที่ติวคือคอนโดของกรูครับ” ผมพูดพร้อมกับขยิบตาให้มัน ซึ่งแน่นอนไอเจมส์ก็ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่และตอบตกลงในคำพูดของผม


“เฮ้ออออ...เออ ๆ เรียนเสร็จไปห้องไอกรมันเลย ตรงเวลากันด้วยนะเว้ย เนื้อหามันเยอะ ใครมาเลตกรูไม่ย้อนสอนให้นะครับคุณเพื่อน ๆ ทั้งหลาย” มันพูดพร้อมกับโบกมือไปมาซึ่งมันก็พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนมันจะลากสังขารของมันไปที่ลูกรักของมัน (ถ้าทุกคนยังจำได้ ลูกรักของมันคือมอไซค์ของมันครับ ซึ่งมอไซค์คันนี้เป็นคู่รักคู่กรรมของไอเจมส์เลยทีเดียวตอนนี้สภาพของมันไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นักเห็นว่าช่วงนี้เข้าอู่ไปหลายรอบแล้ว)


เมื่อผมได้สิ่งที่ต้องการ ผมก็ยิ้มแป้นด้วยความยินดีครับ ทีนี้คำว่า F ก็ลอยไปห่างไกลกับใบทรานสคริปของผมแล้วครับ  แล้วทำไมผมถึงสบายใจได้งั้นเหรอครับ…นั่นก็เป็นเพราะไอเจมส์เป็นติวเตอร์มือทองเลยสิครับ มันเทพมากจนผมต้องขนานนามให้มันเลยว่าเก็งร้อยข้อถูกร้อยข้อเลยล่ะครับ (แต่ความจริงผมก็ตั้งโอเวอร์ไป แต่เรื่องเก็งข้อสอบนี่ไอเจมส์มันเก็งข้อสอบเก่งจริง ๆ นั่นละครับ ผมถึงไปขอให้มันมาช่วยไง)


ผมก็เดินตัวปลิวพร้อมกับหิ้วกระเป๋าออกไปจากตึกคณะวิศวะ และทำการโบกมอไซค์รับจ้างเพื่อตรงไปยังคณะแพทย์ศาสตร์ทันที ทุกท่านอย่าได้รู้สึกแปลกอันใดที่ผมไปคณะแพทย์นะครับ พอดีผมดูจากตารางเข้าเวรของพี่ศิ (และฟังจากพี่ศิว่าวันนี้รุ่นพี่ที่คุมราวด์ เขาเป็นพวกที่ทำอะไรรวดเร็วทำให้ราวด์เสร็จไว) นั้นไม่มี และผมวิชาสุดท้ายอาจารย์ก็แปะประกาศไว้หน้าห้องว่าแคนเซิลคลาสซะอย่างงั้น ผมก็เลยตั้งใจว่าจะไปหาพี่ศิที่คณะแล้วเกาะรถยนต์คันงามของพี่ศิติดกลับคอนโดไป (แต่ความจริงเดินไปก็ได้นะครับ  มันเรื่อย ๆ ดี แต่ผมขี้เกียจ มันร้อนเลยโบกมอไซค์รับจ้างเลย สะดวกดีครับ)



v
v
v
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2013 18:17:23 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที บัดนี้ผมก็ยืนอยู่หน้าคณะแพทย์แล้วล่ะครับ ไม่อยากจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาคณะแพทย์เลยล่ะครับ (จริงๆจะว่าเป็นครั้งแรกก็ไม่ถูก เพราะคณะแพทย์คือสถานที่เดียวกับโรงพยาบาลนั่นละครับ) ใจผมหวิว ๆ นิดหน่อยที่มายืนอยู่ที่นี่ ผมมองซ้ายมองขวา  ซึ่งรอบ ๆ ตัวนั้นผมก็ไม่รู้จักใครครับ  ผมไม่รู้จักใครสักคนแถมคนที่รู้จัก  ผมก็หาไม่เจอ ครั้นไอผมจะเดินไปสะกิดนิสิตแพทย์ถามว่าพี่ศิรวิทย์อยู่ไหนก็ใช่ที ดังนั้นมาตรการสุดท้ายของผมก็คือ การใช้โทรศัพท์ครับ


ผมควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมา พร้อมกับเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของพี่ศิทันที แต่ในขณะที่ผมกำลังจะกดจิ้มปุ่มโทรออกนั้นความคิดบางความคิดมันก็ลอยละลิ่วปักเข้าที่หัวของผม


‘ผมไม่เคยโทรหาพี่ศิเลยสักครั้งนี่หว่า หนำซ้ำพี่ศิก็ไม่เคยโทรหาผมสักครั้งเลยด้วย...แล้วงี้ผมจะพูดอะไรใส่โทรศัพท์ทักไปดีล่ะครับ’ ทุกท่านอย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ แต่พูดอะไรลงไปในโทรศัพท์ก็ได้นะครับ อันนี้มันเป็นปัญหาระดับชาติเลยจริง ๆ เวลาคุยต่อหน้าเราคุยได้ แต่เวลาที่เราจะคุยโทรศัพท์กัน แต่ไม่กล้าพูดเนี่ย  กรณีนี้มีเยอะนะครับ ทำไงดีล่ะ คราวนี้ผมจะทำยังไงดี


ผมยืนเอานิ้วยันปลายคางคิด แต่ความคิดของผมมันดันไม่ไวตามนิ้วของผมสิครับเพราะตอนนี้นิ้วของผมจิ้มจึ้กไปที่ปุ่มโทรออกเรียบร้อยแล้ว ‘ให้ตายเถอะครับ ผมยังไม่ได้เตรียมคำพูดที่จะพูดกับพี่ศิออกมาเลยสักคำ’


ผมยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู พร้อมกับฟังเสียงสัญญาณเพื่อรอให้อีกฝ่ายรับสาย เสียงสัญญาณดังครั้งหนึ่งก็แล้ว ครั้งที่สองก็แล้ว ครั้งที่สามก็แล้ว และตอนนี้มันดังเกือบจะสิบครั้งแล้วล่ะครับ ตอนแรกผมก็ตื่นเต้นแทบตายที่จะต้องโทรหาพี่เขาแต่ตอนนี้ผมหงุดหงิดแทนแล้วล่ะครับ ผมกอดอกพลางเหยียบเท้ารอ เพื่อให้อีกฝ่ายรับสาย และทันทีที่สัญญาณครั้งที่ 13 ดังขึ้นความอดทนทั้งหมดของผมมันก็หมดลง ผมกดตัดสายทิ้งและเดียวหิ้วกระเป๋าออกจากคณะแพทย์ทันที


‘กลับเองก็ได้วะ’ ผมบ่นพึมพำในใจก่อนจะยืนรอรถแท็กซี่เพื่อโบกกลับคอนโด


ผมยืนรอห้านาทีก็แล้วรถแท็กซี่ก็ยังไม่ผ่านมาเลยสักคัน สิบนาทีก็แล้วมันก็ยังไม่มีวี่แววจะขับผ่านมา ไอการรอท่ามกลางอากาศร้อน ๆ แบบนี้ทำให้ผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่


‘ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนกรูกลับคอนโดเองได้ แต่ตอนนี้เวลาจะกลับทำไมกรูต้องนึกถึงพี่ศิตลอดด้วยวะ’


ผมเอ่ยกับตัวเองในใจพร้อมกับพยายามค้นหาคำตอบในหัวสมอง ซึ่งไอสมองน้อย ๆ ของผมมันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้คำตอบของคำถาม ๆ นี้เลยครับ แถมมันยิ่งทำให้ผมสับสนกับความคิดของตัวเองมากขึ้นไปอีก


ให้ตาย พี่ศิเข้ามาในชีวิตไม่เท่าไหร่จากคนไม่รู้จักกันจนตอนนี้กลายมาเป็นพี่ชายคนสนิท…และตอนนี้พี่ศิก็กลายเป็นคนที่ผมนึกถึงอยู่บ่อย ๆ ซะแล้วล่ะครับ


ไม่ว่าจะเป็นตอนทำขนมก็มักจะทำขนมเพื่อพี่เขาตลอด (แต่อันนี้พี่เขารีเควสเองครับว่าจะกินฝีมือผม) หรือจะเป็นตอนไปเดินห้างผมก็มักจะซื้อของกินที่พี่ศิชอบมาฝากพี่เขาเสมอ หรือจะเป็นตอนนี่ที่ผมกำลังจะกลับบ้านผมก็ยังนึกถึงพี่ศิอยู่เช่นกัน


‘ให้ตายเถอะ ไอกรนี่มรึงเป็นโรคศิรวิทย์ลิซึ่มแล้วเหรอวะเนี่ย’ ผมคิดไปพลางยกมือทั้งสองข้างมาขย้ำผมตัวเอง ‘ไม่นะผมจะไม่เป็นโรคศิรวิทย์ลิซึ่มเด็ดขาด!” ผมครวญครางกับตัวเองในใจแต่ทว่ามีเสียง ๆ หนึ่งเรียกผมจากด้านหลังและทำให้ตัวผมหลุดออกจากผวังของตัวเอง


“น้องกรของพี่วิ” เสียงหวานของหญิงสาวนามวิรดา (ชื่อจริงของพี่วิครับ) ดังแว่วขึ้นด้านหลังพร้อมกับถลาเข้ามาเกาะที่หลังของผม (ผมขอใช้คำว่าเกาะเพราะพี่วิแกไม่ใช่แค่เกาะหลังผม ขาของแกก็เล่นเกี่ยวมาที่ผมด้วยครับ) การกระทำของพี่วินั้นทำให้ผมเซจนแทบจะล้ม แต่ก่อนที่ผมจะร่วงไปที่พื้นท่อนแขนแกร่งของคน ๆ หนึ่งก็ช่วยประคองผมไว้พร้อมกับเอ่ยคำว่าพี่วิออกมา
“วิ…กรเค้าจะล้มแล้ว เลิกเล่นสักที” น้ำเสียงนิ่ง ๆ ของไอคนที่ผมนึกถึงอยู่ดังขึ้น ผมตวัดสายตาไปมองเขาสักแวบหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง


“พี่วิครับเกาะแน่น ๆ เลยครับ เดี๋ยวกรพาวิ่งเล่น” ผมพูดประชดพี่ศิพร้อมกับเอามือไปรองรับร่างเล็กที่เกาะอยู่ทางด้านหลังของผม ซึ่งจะอธิบายให้เขาใจง่าย ๆ นั่นก็คือ ผมให้พี่วิขี่หลังผมอยู่ครับและการกระทำนี้ของผมทำให้พี่วิหัวเราะร่าพร้อมกับผมที่เผลอหัวเราะตามพี่สาวคนนี้ไปด้วย


“น้องกรนี่น่าว่าง่ายจริง ๆ น่ารักที่สุดสมกับเป็นน้องกรของพี่” พี่วิพูดพร้อมกับยื่นมาทางหน้าด้านและหยิกแก้มของผมเบา ๆ ตอนนี้ผมทำให้โลกนี้มีแค่ผมกับพี่วิแล้วล่ะครับ ส่วนพี่ ๆ คนอื่นผมตัดทิ้งออกไปจากโลกแล้วล่ะครับ


“พี่วิครับ ให้กรไปส่งไหมครับ ที่หอของพี่วิน่ะ กรอยากเห็นหอพักนิสิตแพทย์น่ะครับ” ผมพูดออดอ้อนซึ่งทำให้พี่วิยิ่งหัวเราะชอบใจยิ่งขึ้นไปอีก


“ตายละ น้องกร  วันนี้พี่สาวมีธุระต้องกลับบ้านจ๊ะ สงสัยคงให้น้องกรไปส่งไม่ได้แล้วล่ะ” พี่วิตอบผมทำให้ผมถึงกับเบ้หน้าไม่พอใจออกมาทันที


ผมกับพี่วิคุยกันกระหนุงกระหนิงไปสักพัก จนกระทั่งเสียงทุ้มเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาทำลายโลกส่วนของของผมกับพี่วิ
“ขับรถมาหรือไง ถึงบอกว่าจะไปส่งวิมัน” เสียงนั่นไม่ใช่ใครอื่น มันเป็นเสียงของพี่ศิ บุคคลที่กำลังทำให้ผมเป็นโรคศิรวิทย์ลิซึ่มนั่นเอง


“ไม่ได้ขับมา แต่จะโบกแท็กซี่ไปส่ง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะพอใจ พร้อมกับเชิดหน้าหันไปมองพี่ศิ อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะครับที่ผมทำเสียงไม่พอใจใส่พี่เขา นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิทำเสียงไม่พอใจใส่ผมก่อนต่างหากผมก็เลยทำตัวไม่พอใจกลับน่ะครับ


“แท็กซี่อันตราย และดูไม่ดีด้วยที่ไปส่งผู้หญิงด้วยกันสองต่อสอง” พี่ศิพูดติผม ซึ่งไอประโยคของพี่เขาน่ะ ทำให้ผมอยากจะสวนกลับไปเสียเหลือเกินไป ตอนพี่วิกับพี่เตอร์ไปห้องพี่ศิอันนี้ 3p เลยชัด ๆ ไม่คิดว่าจะน่าเกลียดเลยหรือไงแล้วนี่คิดยังไงถึงมาว่าผมแบบนี้


“ผมบริสุทธิ์ใจ ส่วนเรื่องอันตรายผมคิดว่าผมปกป้องพี่วิได้” ผมพูดกลับไป และตอนนี้ผมปล่อยให้พี่วิลงจากหลังของผมแล้วครับ และผมก็หันหน้าไปปะทะคารมกับพี่ศิเต็ม ๆ


“ปกป้องตัวเองยังจะไม่รอด คิดจะปกป้องคนอื่นแล้วหรือไง” ในถ้อยคำที่พี่ศิสวนมานั้น ทำเอาอารมณ์โกรธของผมปรี๊ดขึ้นสมองเลยครับ กล้าดียังไงมาหาว่าผมปกป้องตัวเองไม่เป็น!


“นี่พี่ครับ ถ้าผมปกป้องตัวเองไม่เป็นป่านนี้ ผมคงไปเกิดใหม่หลายชาติแล้วล่ะครับ” เวลาผมโกรธใคร หรือหงุดหงิดใคร (ที่ไม่ใช่ไอสองหน่อเจมส์กับบาส) ผมจะเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองแล้วก็ใช้คำสุภาพที่สุดเท่าที่ตัวเองจะคิดออกมาได้พูดใส่เขาไปครับ
ซึ่งคำตอบที่ผมสวนพี่ศิไปนั้น ทำให้พี่เขาถึงกับปิดปากเงียบสนิทบรรยากาศหน้าคณะแพทย์ศาสตร์ตอนนี้มันร้อนระอุไปด้วยอารมณ์โกรธของคนสองคน จนในที่สุดพี่เตอร์ก็ต้องเข้ามาห้ามศึกประชันฝีปากของผมกับพี่ศิครับ


“ไอศิ มรึงใจเย็น โกรธอะไรน้องเค้าวะ” พี่เตอร์ถามพลางตบไหล่พี่ศิเบา ๆ ซึ่งพี่ศิไหวไหล่เพื่อสะบัดมือพี่เตอร์ออกจากบ่า การกระทำนั้นทำให้พี่เตอร์หน้าเสียเล็กน้อย ก่อนจะเดินมาพูดจาห้ามทัพทางฝั่งของผมบ้าง


“น้องกรครับ เย็นไว้ครับ โอ๋เอ๋นะ” พี่เตอร์พูดกับผมเหมือนผมเป็นเด็ก ๆ ซึ่งผมก็ยิ้มเย็นยะเยือกเป็นคำตอบให้พี่เขาไป
งานนี้พี่เตอร์ผู้แสนอารมณ์ดีก็เอาไม่อยู่แล้วละครับ อารมณ์ของผมกับพี่ศิตอนนี้ชักจะไม่สู้ดีกันแล้ว ผมจ้องหน้าพี่ศิต่อไปอีกสักพัก ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีเพื่อไปโบกแท็กซี่กลับคอนโด


และทุกท่านคิดเหรอว่าผู้ชายที่แสนเอาแต่ใจนามว่า ศิรวิทย์ จะยอมให้ผมทำแบบนั้นได้ ทุกคนคิดถูกอีกแล้วล่ะครับพี่ศิเดินตรงเข้ามาทางผมพร้อมกับลากผมไปยังที่จอดรถของคณะแพทย์ศาสตร์ ผมดิ้นไปมาอยู่สักพัก ก่อนจะโดนดันให้เข้าไปนั่งในรถ BMW ของพี่ศิ ไอผมก็กะว่าจะเปิดประตูออกแล้ววิ่งหนี แต่พี่ศิเหมือนจะรู้ทัน พี่แกเลยล็อคกุญแจไม่ให้คนด้านในเปิดออกไปด้านแล้ว พี่ศิก็เดินวนไปเปิดประตูฝั่งคนขับ


ผมเกาะกระจกมองพวกพี่ ๆ ที่เป็นเพื่อนพี่ศิ แต่สิ่งที่พี่ ๆ ทั้งหมดแสดงผมตอบกลับมาคือการก้มหน้าไว้อาลัยให้กับผม พี่ ๆ ครับผมไม่ได้จะไปตายสักหน่อย ทำไมถึงต้องไว้อาลัยผมขนาดนั้นด้วย ผมเกาะกระจกรถมองอยู่ไม่นานก่อนจะกลับมานั่งท่าปกติของคนที่นั่งบนรถกัน


ผมกอดอกไม่พูดไม่จา พี่ศิก็นั่งขับรถโดยไม่พูดไม่จาเช่นเดียวกับผม เราสองคนนั่งเงียบกันไปสักพักจนกระทั่งไอต่อมความอดทนที่มีต่อความเงียบของผมมันก็ถึงขีดสุด


“โทรไปไม่รับ ทั้ง ๆ ที่บอกให้โทรไปหาเองแท้ ๆ” ผมเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ตำพูดนี้ทำให้พี่ศิถึงกับสะดุ้งและหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูทันที


สีหน้าของพี่ศิอ่อนลงเล็กน้อยแต่ยังไงพี่แกก็ไม่ยอมพูดกับผมอยู่ดี


“ไอเราเลิกไวก็เลยคิดว่าจะไปเซอร์ไพรส์หน้าคณะ ยังไม่ทันได้เซอร์ไพรส์…ก็โดนใครบางคนพูดไม่พอใจใส่” ผมก็บ่นตามประสาผมไปเรื่อย ๆ และปรายสายตาตัวเองดูปฏิกิริยาของพี่ศิไป


‘หนอย ยังนิ่งอยู่เหรอ…’


“มันน่าน้อยใจนัก เราก็คิดว่าอยากกลับบ้านกับเค้า แต่พอเจอหน้าก็มาทำท่าทางไม่พอใจใส่ ทั้ง ๆ ที่เราน่าจะเป็นคนโกรธแท้ ๆ แต่ดันกลายเป็นคนโดนโกรธ” ผมยังบ่นพึมพำไปเรื่อย ๆ โดยที่ผมเลิกปรายตาไปมองพี่ศิแล้วละครับ ตอนนี้ผมบ่นทุกอย่างเท่าที่ผมจะบ่นได้แล้วครับและสุดท้ายผมก็เอ่ยประโยคที่ผมคิดว่ามันเป็นไม้เด็ดของผมออกไปให้พี่ศิฟัง


“ไอเราก็เชื่อใจ เชื่อคำพูดของเขาว่าเราโทรไปเขาจะรีบรับโทรศัพท์ของเรา ให้ตายเถอะ รอแล้วรออีก เขาก็ไม่คิดจะกดรับสายจนเราต้องกดตัดสายทิ้งเอง มันน่าน้อยใจกว่าไหมนะ” สิ้นประโยคนี้ทำให้พี่ศิถึงกับชะงักและชะลอรถจอดเทียบข้างทางทันที
ใบหน้าคมหันมาหาผมพร้อมเอ่ยปากขอโทษผมออกมา


“กร พี่ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาแสดงถึงความรู้สึกผิดจากหัวใจ แม้ผมไม่มองหน้าเขา ผมก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเสียใจจากน้ำเสียงได้ครับ


ผมค่อย ๆ หันไปมองสีหน้าที่รู้สึกผิดช้า ๆ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เพื่อแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมนั้นยกโทษให้เค้าแล้ว ซึ่งพี่ศิเห็นใบหน้าผมที่พยักหน้าขึ้นลง พี่เขาก็ยิ้มจาง ๆ ออกมาทันที


‘อ่า…ผมรู้สึกว่าใบหน้าของพี่ศิ เขาเหมาะกับรอยยิ้มจาง ๆ แบบนี้ที่สุดเลยล่ะครับ’


เมื่อผมเห็นใบหน้าคมนั้นยิ้มมาให้ ผมก็ยิ้มตอบกลับ พี่ศิก็ละมือออกจากพวงมาลัยรถแล้วยื่นมาขยี้หัวของผมแรง ๆ หนึ่งทีเพื่อแสดงถึงอาการหมั่นเขี้ยว


“กรไม่รู้นะว่าพี่ศิไม่พอใจอะไร แต่พูดแบบนั้น ทำให้น้องชายคนนี้เสียใจนะเออ ไม่ดี้ไม่ดีเลยน้า” ผมพูดยอกย้อนพี่ศิไปแต่ตอนนี้ถ้อยคำของผมไม่ได้ทำให้พี่ศิเค้ารู้สึกหงุดหงิดอีกแล้ว พี่ศิหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปขับรถต่อ พี่ศิเปิดไฟของทางก่อจะเหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนตัวรถ


“พี่ศิพรุ่งนี้ ไอเจมส์ ไอบาสแล้วเพื่อน ๆ ของกรจะมาติวที่ห้องกรล่ะ คาดว่าคงติวกันดึกแล้วก็ติวหลายวันด้วย กรว่าน่าจะติวกันจนกว่าจะสอบเสร็จหมดทุกวิชาอ่ะ ถ้ากรกับเพื่อนทำเสียงดัง กรขอโทษด้วยน้า” ผมพูดบอกพี่ศิ และขอโทษพี่ศิล่วงหน้า ถ้าเกิดพวกผมทำเสียงดัง ซึ่งพี่ศิก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังบอกว่าเดี๋ยวจะซื้อเสบียงไปให้ด้วย


‘ตายละ มีพี่ชายแบบนี้ รักตายเลยละครับคุณพี่ศิ’ ผมแทบจะยกมือไหว้ท่วมหัว กับความใจดีของพี่ศิ  ซึ่งการแสดงท่าทางของผมทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง


เราทั้งสองคนคุยเรื่องสัพเพเหระไปสักพัก รถของพี่ศิก็เคลื่อนตัวมาถึงคอนโดของพวกเราสักที


“พี่ศิ…กรอยากรู้ วันนี้พี่ศิเป็นอะไรเหรอ หงุดหงิดอะไรอ่ะ” ก่อนจะลงจากรถผมเอ่ยถามพี่ศิด้วยความสงสัยซึ่งคำถามนี้ทำให้พี่ศิที่กำลังลงจากรถถึงกับชะงักทันที


“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก พี่หงุดหงิดจากราวด์น่ะ” ผมเอียงคอมองพี่เขาก่อนจะพยักหน้าตอบรับในคำตอบของพี่ศิ (แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นอะไรหรอกครับ เพราะว่ากลุ่มเพื่อนพี่เขาแสดงสีหน้าแฮปปี้ดี้ด้ากันจะตาย แล้วอย่างพี่ศิอ่ะนะจะหงุดหงิดจากการเดินราวด์)


“งั้นเหรอครับ คราวหน้าอย่าหงุดหงิดอีกนะ พี่ศิหงุดหงิดแบบนี้ทำกรใจหายวาบเลยอ่ะ คิดว่าพี่ชายของกรจะไปฆ่าใครเข้าหรือเปล่า” ผมบอกพี่ศิพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะวิ่งหนีเข้าลิฟท์ไปก่ อนปล่อยให้พี่ศิยืนมองแผ่นหลังของผมไป ผมรีบกดปิดลิฟท์ทันที เพื่อแกล้งไม่ให้พี่ศิเข้ามาในลิฟท์ตัวเดียวกับผมได้ ผมโบกมื้อบ้ายบายพร้อมกับทะหน้าทะเล้นใส่พี่ศิจนประตูลิฟท์ปิดสนิทลง


“ตอนนี้พี่เป็นได้แค่พี่ชายของกรเท่านั้นสินะ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาพร้อมกับริมฝีปากที่เผยรอยยิ้มอันแสนเศร้าออกมาจาง ๆ



__________________________________


สวัสดีค่ะพลอยขอแจ้งอะไรนิดหน่อยนะคะ >< ตอนนี้พลอยก็ติดสถานการณ เดี่ยวกับน้องกรค่ะคือพลอยกำลังจะสอบไฟนอลและพลอยก็ยังไม่ได้อ่านหนังสือสักตัวเลยค่ะ (สภาพเดียวกับกรเลยค่ะและตอนนี้พลอยก็จะไปติวกับเพื่อนค่ะติววันจันทร์ สอบมันวันพุธไม่ต้องบอกเลยว่านิสัยกรมันเหมือนใครในด้านนี้) ดังนั้นหลังจากวันนี้ไปพลอยจะขออนุญาตลงนิยายช้าลงหน่อยนะคะ แต่พยายามนำมาลงให้อ่านกันไวที่สุดนะคะ ขอบคุณค่ะ


ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พี่ศิชอบน้องจริงๆด้วย ตั้งแต่ตอนไหนนะ

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ตอนนี้พี่ศิรับบทพี่ชายที่แสนดีอยู่สินะ

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: สงสารพี่ศิ สงสัยต้องรุกน้องกรให้หนักๆแล้ว

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
พี่ศิ กล้าๆหน่อย สู้ๆ บอกน้องกรไปเลย เพราะท่าทางน้องกรจะซื่อนะ ถ้าไม่บอกอาจจะไม่เข้าใจรึปล่าว?  :hao4:

รอตอนต่อไปและขอให้โชคเอกับการสอบนะคะ
เป็นกำลังใจให้ทั้งคนเขียนทั้งน้องกร?เลย สู้ๆค่ะ   :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :z3:  กร ซื่อบื้อไปนะ แต่พี่ศิเองก็ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ ออกจะไปทางพี่ชายจริงๆน่ะแหละ ทุบหัวลากเข้าห้องเลย  :laugh:

ออฟไลน์ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
กรงี่เง่าอะ - -

คือโทรไปครั้งเดียว เค้าไม่รับก็งอน เฮ้ย ครั้งเดียวเองนะเฟ้ย ถ้าแกโทรไปเป็นสิบๆสายแล้วเค้าไม่รับสิ ถึงสมควรงอน

-ดึงพี่ศิมากอดปลอบ-  :กอด1:

*หลบตรีนน้องกร* กร้ากกกกกกกกกกก  :z1: :z1:

ออฟไลน์ zylph_z

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 213
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
เพิ่งเข้ามาอ่านจ้า อ่านไปไม่กี่ตอนต้องบอกว่าหลงรักในความเกรียนปนซื่อของน้องกรมากอ่ะ >.< คนอะไรน่ารักได้ใจ
แถมยังมีแอบปันใจไปหลงพี่หมอเบาๆด้วย แพ้ทางนักศึกษาแพทย์ผู้สุขุมอ่ะ >///<
รอติดตามต่อไปจ้า ^^

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
โอยยกลับมาต่อแล้วค่ะหลังจาก เผชิญ ไปวิชาหนึ่ง เกือบตายค่ะ (ปล.พลอยเรียนคณะเดียวกันน้องกรเค้าค่า) เอาหละเรามาต่อตอน 10 กันเถอะ ไม่อยากจะบอกว่ายังไม่ได้แก้คผิดเลยค่ะ ; w ; ไว้ตอนอื่น ๆจะแก้นะคะ คนช่วยแก้ไม่ว่างค่าแงง



Chapter 10



สวัสดีครับผมรณกร ไอกร หรือไอคุณน้องกรที่ทุก ๆ คนเรียกกันตอนนี้ขอรายงายตัวครับ ณ ขณะนี้ผมอยู่ที่อาคารเรียนรวมและนั่งสถิตอยู่ภายในห้องสอบที่ 2031 ครับ และตอนนี้ผมกำลังปั่นข้อสอบแคลคูลัส 1 อย่างไฟลุกเลยครับหลังจาก 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้ติวแบบนอนสต็อปกับไอเจมส์และสหายทั้งหมด จนเรียกได้ติวกันแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันวันนี้ผมก็ต้องใช้สกิลทั้งหมดที่มีและที่ได้รับมาจากไอเจมส์เข้ามาพิสูจน์ความฉลาดของตัวเองภายในห้องสอบแห่งนี้แล้วล่ะครับ


ไอผมก็อยากจะส่งสายตาขับไล่ไปที่อาจารย์คุมสอบเผื่อว่าอาจารย์จะเกิดอาการอยากออกไปเข้าห้องน้ำบ้างอะไรบ้างแล้วผมจะได้มีโอกาสชำเลืองมองข้อสอบของไอเจมส์ที่นั่งถัดจากผมไปสองที่ แต่กระนั้นผมก็กลัวว่าผมจะโดนจับทุจริตเสียก่อน ดังนั้นผมก็นั่งทำใจยอมรับชะตากรรมที่โดนข้อสอบทำร้ายต่อไป


ผมก้มหน้าก้มตาเขียนคำตอบลงไปในข้อสอบและคอยภาวนาว่าที่ผมเขียนลงไปนั้นมันอาจจะถูกบ้างหรือต่อให้ไม่ถูกก็ขอให้อาจารย์เห็นใจและให้คะแนนค่าปากกาดินสอผมสักสองสามคะแนนก็ยังดี


ผมนั่งทนทรมานในห้องสอบต่อไปอีกสักสามสิบนาทีสมาธิของผมนั้นแตกกระเจิงไปเรียบร้อยแล้วครับ ตามปกติการสอบไฟนอลหรือเรียกเต็ม ๆ ว่าการสอบปลายภาคแต่ละวิชาอาจารย์จะใช้เวลาสอบทั้งหมด 3 ชั่วโมงครับ (แต่ข้อสอบกลางภาคหรือข้อสอบมิดเทอม อาจารย์จะให้เวลา 2 ชั่วโมงครับ) แต่ผมอยากจะเดินเข้าไปหาอาจารย์แต่ละวิชาแล้วบอกท่านว่า ‘จารย์ครับให้เวลาผมแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งก็พอครับให้เวลาผมมา 3 ชั่วโมงผมเมื่อยตรูดครับ ยังไงผมก็นั่งทำไม่ถึง 3 ชั่วโมงอยู่แล้ว’ ที่ผมคิดแบบนั้นไม่ใช่ว่าผมเก่งเทพประดุจพระเจ้าอะไรหรอกครับคือตามที่พูดไปนั่งนานผมเมื่อยแถมสมาธิของผมหนะมันหายไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกแล้วครับ ส่วนอีกสามสิบนาทีให้หลังมันเป็นช่วงของสติของผมกำลังจะหลุดลอยตามสมาธิไป


แต่ต่อให้ผมบ่นกก็เถอะนิสิตอย่างพวกเรามีสิทธิที่จะออกห้องสอบก่อนหมดเวลาได้ครับดังนั้นหลังจากที่ผมนั่งสติหลุดลอยและเรียกให้มันกลับเข้ามาในสมองก็ศิริรวมเวลาไปแล้ว 2 ชั่วโมงเอาหละผมได้ฤทธิ์ออกจากห้องสอบแล้วครับ


ผมพลิกกระดาษข้อสอบคว่ำไว้ผมกับเดินตัวปลิว (โดยทิ้งความรู้ที่ไอเจมส์ยัดมาให้ทั้งหมดไว้ในห้องนั่นหละ) ออกจากห้องสอบไป วันนี้ผมมีสอบสองวิชาครับโดยช่วงเช้าเป็นการสอบวิชาแคล 1 ส่วนการสอบตอนบ่ายเป็นการสอบวิชาภาษาไทย


ทุกคนสงสัยละสิว่าทำไมนิสิตอย่างพวกผมต้องเรียนวิชาภาษาไทยอีกพวกคุณสงสัย…ผมก็สงสัยเหมือนกันครับดังนั้นพวกคุณไม่ต้องมาหาคำตอบกับผมครับเพราะผมก็ตอบพวกคุณไม่ได้เหมือนกัน


หลังจากที่ผมประเดิมออกจากห้องสอบเป็นคนแรกมิตรสหายร่วมคณะก็เริ่มเดินตามออกมาทีละคนสองคน พวกคุณคงเข้าใจสินะครับถ้ามันไม่มีใครประเดิมออกจากห้องสอบเป็นคนแรก มันก็จะไม่มีใครกล้าที่จะออกจากห้องสอบ ดังนั้นผมนี่ล่ะจะเป็นคนประเดิมออกจากห้องสอบคนแรกให้เพื่อน ๆ ทุกคนเอง (ความจริงผมแค่คิดว่าผมนั่งไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาสู้ออกมาจากห้องสอบแล้วนั่งชิล ๆ ไม่ปวดสมองนอกห้องดีกว่า)


ผมนั่งแกว่งเท้ารอสหายทั้งหมดไปสักพักไม่นานนักเพื่อน ๆ ของผมก็ค่อย ๆ ทยอยออกจากห้องสอบมาเกือบจะหมดทุกคนและไม่ต้องเดานะครับใครมันจะออกมาจากห้องสอบเป็นคนสุดท้าย…ถ้าไม่ใช่ไอเจมส์


ผมกับพรรคพวกนั่งรอไอเจมส์จดหมดเวลาสอบไม่เกินห้านาทีไอเจมส์ก็เดินออกมาจากห้องพร้อมสีหน้าภาคภูมิใจของมัน
“ถ้ากรูไม่ได้ B ขึ้นกรูยอมให้ตบหัวเลย” มันพูดออกมาด้วยความมั่นใจ...มั่นใจมากเกินเหตุจนผมต้องลุกจากโต๊ะและไปกระโดดตบหัวมัน 1 ที


“เออไอเก่ง ไอเทพถ้ามรึงได้ต่ำกว่า B นะกรูจะหัวเราะให้สะใจเลย” ผมพูดขู่มันไปซึ่งผมก็ไม่เคยได้ทำตามอย่างที่พูดเลยสักทีครั้บเพราะว่าไอเจมส์มันพูดอย่างไหนมันก็ได้แบบนั้นตลอด ‘โถ่วไอเทพพระเจ้า ไอเก่ง ไอฉลาด’


“เออ ๆ พอเลิกพูดเรื่องที่ผ่านไปแล้วตอนนี้ไปกินข้าวก่อนตอนบ่ายมีสอบอีกวิชา” ไอบาสพูดตัดบทก่อนที่ผมกับไอเจมส์จะเถียงกันไปยาวมากกว่านี้ มันใช้มือทั้งสองข้างดันหลังของผมกับไอเจมส์เพื่อให้พวกผมทั้งสองคนเดินไปยังโรงอาหาร


พวกเราทั้งหมดใช้เวลาหาที่นั่งในโรงอาหารสักพักผ่านไปสิบนาทีพวกผมก็เพิ่งจะได้โต๊ะนั่งกินข้าวกัน พวกเราทั้งหมดรีบวางกระเป๋าพร้อมกับวิ่งปรี่ไปต่อคิวเข้าแถวเพื่อสั่งอาหาร


วันนี้เมนูอาหารกลางวันของผมเป็นกระเพราะหมูกรอบใส่เห็ดเข็มทองครับเห็นผมไม่ชอบกินผักแบบนี้แต่ผมก็ชอบกินเห็ดมากเลยนะครับ ผมเดินถือจานข้าวออกมาจากร้านอาหารตามสั่งด้วยสีหน้ามีความสุขก่อนจะเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะทานอาหารที่พวกผมได้กองพวกกระเป๋าเอาไว้


ผมเริ่มลงมือจัดการกิน…ผมคิดว่าเรียกว่าผมกะซวกใส่ปากกันเลยดีกว่าครับเพราะว่าเวลาพักเที่ยงนี่กำลังจะหมดลงแล้วครับกิน…ผมคิดว่าเรียกว่ากระซวกใส่ปากกันเลยดีกว่าครับเพราะว่าเวลาพักเที่ยงนี่มันใกล้จะหมดลงแล้วพวผมทั้งหมดรีบจัดการอาหารในจานพร้อมกับรีบเร่งเดินขึ้นตึกเรียนไปยังห้องสอบ


คราวนี้ห้องสอบของผมอยู่ชั้นสามครับแต่อาคารสอบเป็นอาคารเดิมพอดีว่าวิชานี้เป็นวิชาที่เด็กปีหนึ่งทั้งมหาวิทยาลัย (ไม่ว่าจะเป็นคณะไหน) ต้องเรียนกันทุกคนห้องสอบก็เลยขยับนิดหน่อยผมเลยต้องมาสอบบนชั้นสามครับ เมื่อผมมาถึงเก้าอี้หน้าห้องสอบก็โดนจับจองไปหมดแล้วครับผมก็เลยใช้วิธีบ้าน ๆ ครับ ผมนั่งลงบนพื้นหน้าห้องสอบนี่หละครับ


เมื่อผมได้ที่นั่งที่เหมาะเจาะผมก็เริ่มเปิดกระเป๋าหยิบหนังสือเรียนและชีทออกมาอ่านทันที ผมปรายสายตามองไปทั่วแผ่นกระดาษก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามไอเจมส์ในจุดที่ผมสงสัยแต่ทว่าเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมานั้นสายตาของผมกับไปเจอกับบุคคลที่ผมไม่อยากจะเจอมันมากที่สุด…มันจะมีใครอีกหละครับ นอกจากไอไฮซ์


ผมรีบก้มหน้าลงทันทีพร้อมกับนั่งเปิดหนังสืออ่านเงียบ ๆ จนเพื่อน ๆ ทั้งกลุ่มรู้สึกแปลก ๆ เพราะปกติผมจะเป็นคนช่างจ้อช่างคุยมากที่สุดกลับเงียบปากไปเสียแบบนี้เพื่อน ๆ แต่ละคนต่างกันยื่นมามาตบหัวตบบ่าผมพร้อมกับถามว่าผมเป็นอะไร


“เป็นไรครับเชี่ยกร” เสียงนี้เป็นเสียงของเพื่อนเปอร์ครับชื่อจริงมันคือไฮเปอร์ (ชื่อแปลกล่ะสิครับ) ไอนี่ผมรู้จักตอนเปิดเทอมวันแรกแต่มาสนิทกันตอนประกวดดินคณะครับ (เพราะไอนี่เป็นว่าที่ดินเหมือนกันแต่มันเกรียนแพ้ผม) มันถามด้วยความห่วงใยแต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบไอเจมส์กับไอบาสเริ่มจะกวาดสายตามองไปรอบตัวแล้วล่ะครับซึ่งมันทั้งสองคนก็คงเห็นไอไฮซ์แล้วมันเลยลากคอไอเปอร์ให้ออกห่างจากผมก่อนที่ผมจะระเบิดออกมา


ไอเจมส์กับไอบาสมันรู้ครับแต่ผมเห็นหน้าไอไฮซ์ สลักระเบิดในสมองผมมันก็ถูกปลดแล้วและถ้าใครมากวนข้าง ๆ ผมมาก ๆ ผมก็จะโวยวายออกมาทันที ด้วยเหตุนีไอบาสกับไอเจมส์ก็ช่วยกันกันเพื่อนคนอื่น ๆ ให้ออกห่างจากผม


ผมนั่งอ่านชีทไปด้วยพร้อมกับพยายามระงับความโกรธที่คุกกรุ่นในใจ ผมรับรู้ได้ถึงสายตาที่ไอไฮซ์มันมองมาซึ่งแน่นอนผมเลือกที่จะไม่สนใจมัน ซึ่งมันก็ยังไม่ยอมละสายตาจากผมครับ (ที่ผมรู้เพราะสีหน้าไอเจมส์กับไอบาสมันเลิกลั่กมากเพราะว่ามันเห็นไอไฮซ์มันจ้องมาที่ผมเป้ฯตาเดียวและในช่วงวินาทีสุดท้ายที่ผมจะระเบิดลงพลันเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นพร้อมกับตัวอักษรที่ปรากฏบนหน้าจอว่า ‘พี่ศิ’


ผมรีบกดรับสายโทรศัพท์นั่นทันทีและลุกขึ้นขอตัวออกมาคุยโทรศัพท์กับพี่ศิ


“ฮัลโหล สวัสดีครับนี่เป็นเบอร์โทรศัท์ของนายรณกรสุดหล่อไม่ทราบว่าจะเรียนสายพูดกับใครครับ” ผมกรอกเสียงลงไปสิ้นเสียงพูดของผมพี่ศิก็ปล่อยหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ซึ่งผมก็อมยิ้มน้อย ๆ ที่พี่ศิแสดงอาการแบบนั้นออกมา


“งั้นพี่ขอสายนายรณกรหน่อยครับสามารถโอนสายของพี่ไปให้นายรณกรได้หรือเปล่า” พี่ศิตบมุกกลับมาให้ผมซึ่งนั่นทำให้ผมยิ่งหัวเราะออกมาเสียงยกใหญ่


“นายรณกรตอนนี้ไม่ว่ารับสายครับ แต่น้องกรว่างสนใจคุยกับน้องกรแทนไหมครับ” ผมพูดย้อนให้พี่เขาก่อนจะ เอนตัวไปพิงกับเสาที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้ผมหันหน้าไปประชันกับไอไฮซ์ครับแต่ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจอะไรมันอีกแล้วเพราะความสนใจของผมนั้นเปลี่ยนไปสนใจบุคคลที่กำลังพูดคุยหยอกล้อผมในโทรศัพท์แล้วครับ


“งั้นขอสายน้องกรหน่อยครับ พอดีพพี่ชายนามศิรวิทย์มีคาถามาอวยพรให้น้องกรทำข้อสอบได้” สิ้นเสียงของพี่ศิผมก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป้นออดอ้อนพี่เขาแทบจะทันทีพูดถึงเรื่องสอบไม่ว่าจะ ติดสินบนอาจารย์ ลากคอเพื่อนมาติว พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือจะพึ่งคำอวยพรของคนอื่นผมก็ยอมทั้งหมดแล้วหละครับ


“น้องกรสุดหล่อตอนนี้กำลังพูดสายอยู่ครับถ้าจะอวยพรรีบอวยพรเพราะคุณมีเวลาอีก 5 นาทีเท่านั้นเพราะอีก 5 นาทีหลังจากนี้น้องกรสุดหล่อคนนี้จะเข้าห้องสอบแล้ว” ผมยกนาฬิกาขึ้นมาเพื่อดูเวลาว่าผมนั้นมีเวลาคุยกับพี่เขาอีกเท่าไหร่ ซึ่งตอนนี้ เข็มยาวมันเริ่มจะเคลื่อนที่เข้าใกล้เลข 12 แล้วครับ (ผมสอบตอนบ่ายโมงตรงครับและตอนนี้เป็นเวลาประมาณเที่ยงห้าสิบกว่านาที)
 “เลิกเล่นได้แล้วกร” พี่ศิพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะพูดออกมาต่อ “สอบวิชาที่สองแล้วสินะ เมื่อเช้าทำได้ไหมครับกร” น้ำเสียงพี่ศิที่เอ่ยผ่านสัญญาณโทรศัพท์นั้นเต็มไปด้วยความเห็นห่วง ซึ่งผมก็ยืดอกตอบไปด้วยความภาคภูมิใจว่า “…ก็ทำได้...ส่วนใหญ่จะได้ทำมากกว่าครับพี่ชาย” ตอนนี้ผมเริ่มเล่นมุกกับพี่ศิแล้วล่ะครับผมมักจะเรียกพี่ศิว่าพี่ชายแล้วพี่ศิก็หยอกผมกลับด้วยการเรียกตัวเองว่าพี่ชายเช่นกัน (แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเวลาที่พี่ศิแทนตัวเองด้วยคำว่าพี่ชายน้ำเสียงของพี่ศิจะดูโหวง ๆ เศร้า ๆ ไปนิดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะอะไร)


“งานนี้พี่ต้องคิดคำอวยพรเรายังไงดีหละทีนี้ กรเล่นบอกพี่มาว่าได้ทำมากกว่าทำได้” เสียงพี่ศิยังคงเต็มไปด้วยความกังวลส่วนผมหนะเหรอ ถ้าตอนนี้ผมมีหูกับมีหางนะป่านนี้คงกระดิกไปมารอคำอวยพรจากพี่ศิไปแล้วหละครับเพราะน้ำเสียงของผมที่ตอบพี่ศิไประรื่นขนาดนั้น “เอาคำอวยพรที่เด็ด ๆ ทำให้กรทำข้อสอบได้แล้วกันนะพี่ศิ”


พี่ศิเงียบเสียงลงไปสักนิดไม่นานนักเสียงทุ้มของพี่ศิก็เอ่ยออกมาด้วยความอ่อนโยน น้ำเสียงนั้นทำให้ผมอมยิ้มออกมากว้างจนเพื่อน ๆ ผมที่นั่งอยู่ที่พื้นพูดแซวผมเสียยกใหญ่


“โหยไอเชี่ยกรแม่มมีกำลังใจส่วนตัว น่าอิจฉาเว้ย” เสียงของเพื่อน ๆ ในกลุ่มของผมต่างโห่ร้องแซวผมกันเสียยกใหญ่การคุยกับพี่ศินั้นทำให้ผมมีกำลังใจทำข้อสอบขึ้นตั้งเยอะและที่สำคัญมันทำให้ผมหายจากอาการหงุดหงิดเสียด้วย


ผมอมยิ้มเบา ๆ ให้กับโทรศัพท์มือถือของผมก่อนจะวิ่งเดินไปหยิบกระเป๋าตัวเองเพื่อเข้าห้องสอบไป


‘พี่ขอให้น้องกรทำข้อสอบได้เยอะ ๆ มีสมาธิอยู่กับข้อสอบนะครับ สู้ ๆ ล่ะไอตัวแสบของพี่’


เพียงแค่ประโยคเดียวมันทำให้ผมอมยิ้มไปได้ตลอดทั้งบ่ายและมันทำให้กำลังใจของผมขึ้นมาเต็มเปี่ยมจนทะลักออกมาเลยหละครับ



และแล้ววันสอบนรกแตกวันแรกก็จบลงครับผมนี่แม้จะได้คำอวยพรและกำลังใจจากพี่ศิมาอย่างเต็มเปี่ยม…แต่สภาพผมก็ไม่ต่างอะไรจากเพื่อน ๆ หรอกครับเพราะผมก็แทบจะคลานออกมาจากห้องสอบเหมือนพวกเพื่อนคนอื่น ๆ วิชานี้เป้นวิชาที่ผมนั่งสอบสามชั่วโมงเต็มเลยครับไม่ใช่ว่าขยันรักการเรียนรักการศึกษา แต่ด้วยเหตุที่ข้อสอบมันเยอะบรรลัยมากเลยครับ พวกปรนัยนี่ไม่เท่าไหร่ แต่อัตนัยนี่เข้าขั้นจัดเต็ม โยนสมุดมาให้ 1 เล่มพร้อมกับคำสั่งจิปาถะที่ให้เขียนเรียงความ คำตอบ อะไรต่อมีอะไรลงไป คือแบบถ้าใครทำเสร็จก่อนเวลานี่ผมกราบเลยครับ


อย่าว่าแต่ทำเสร็จก่อนเวลาเลย…ทำให้ทันก่อนดีกว่าครับแล้วค่อยมาคุยกับผมนี่ ไอผมน่ะถือปากกากำลังจะเขียนคำตอบข้อสุดท้ายอาจารย์คุมสอบสุดโหดก็กระชากข้อสอบกับกระดาษคำตอบในมือผมไปแล้ว ตอนนั้นนี่น้ำตาผมนี่แทบจะไหลออกมาเลยครับ  หลังจากที่ผมนั่งทำใจและไว้อาลัยกับข้อสอบที่ผมได้ทำไปผมก็เดินหิ้วกระเป๋าออกมาสมทบกับเพื่อนที่ยืนรออยู่ห้องห้องใบหน้าแต่ละคนช่างเหม่อลอยสภาพทุกคนตอนนี้ (แม้กระทั่งไอเจมส์) สติเหมือนไม่อยู่กับตัว ส่วนวิญญาณก็ไม่อยู่ในร่างครับ
พวกเราทุกคนเดินลงจากตึกสอบด้วยสภาพไร้วิญญาณก่อนจะโบกมือแยกย้ายกลับบ้านกลับช่องกลับหอ กลับอะไรก็กลับกันครับ แล้วสำหรับผมวันนี้ผมขับรถมาเองครับเลยไม่ต้องพึ่งพิงพี่ศิในวันนี้ผมเดินลากขาพาร่างที่ไว้วิญญาณของตัวเองไปยังรถที่จอดไว้ข้าง ๆ ตึกสอบแต่ไม่ทันที่ผมจะได้เดินไปถึงรถหรอกครับมันก็มีใครบางคนมายืนดักหน้าผมอยู่ ซึ่งไอคน ๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก… ไอไฮซ์


ผมปรายตามองมันด้วยสีหน้านิ่งสนิทก่อนจะเดินเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางเพื่อวิสัยทัศน์การมองของผมจะได้ไม่มีมันเข้ามาอยู่ในสายตา แต่ดูเหมือนว่าไอไฮซ์มันจะไม่ยอมให้ผมเดินหนีมันไปได้ง่ายมันเดินตรงมาที่ผมพร้อมกับจับข้อมือผมไว้แน่น
“กร เรามีเรื่องต้องคุยกัน” มันพูดเสียงนิ่งแต่คนอย่างผมหนะเหรอจะยอมทำตามที่มันสั่ง


ถ้าผมทำตามกโง่แล้วครับ ผมสะบัดมือมันออกจากแขนผมทันทีก่อนจะใช้มืออีกข้างต่อยสวนมันไปอีกหนึ่งหมัด แต่น่าเสียดายครับ…ไอไฮซ์มันเจือกหลบได้ทำให้ผมแทบหน้าคว่ำลงไปกับพื้น (พอดีผมก่ะต่อยเต็มแรงเลยพุ่งตัวไปสุดแรงเลยครับ) ในขณะที่ผมกำลังจะลงไปนอนบอกรักกับพื้นดินผมก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาท่อนแขนมาประคองรอบเอวผมไว้อยู่


ซึ่งผมก็รู้ได้โดยทันทีว่าใครเป็นคนช่วยผมไว้ ผมพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของไอไฮซ์แล้วเดินกระฟัดกะเฟียดไปที่รถยนต์ของตัวเอง ผมเปิดประตูพร้อมกับปิดมันอย่างแรงก่อนจะสตาร์ทเครื่องและเหยียดคันเร่งจนเกือบมิดรถของผมพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าพร้อมกับเคลื่อนตัวผ่านไอไฮซ์อย่างรวดเร็ว


ไม่ใช่ว่าผมนั้นจะไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของไอไฮซ์มันหรอกครับ ผมรู้ว่ามันรู้สึกผิดมากกับเรื่อง ๆ นั้นและผมก็รู้ว่ามันอยากจะขอโทษผมและอธิบายให้ผมเข้าใจ แต่เป็นเพราะผมเองนั่นหละครับที่ปฏิเสธทุกอย่างมาตลอดนั่นก็เป็นเพราะว่าผมไม่อยากโดนเพื่อนสนิทหักหลังอีกแล้ว ทุกคนจะมองผมในแง่ร้ายก็ได้นะครับแต่ถ้าคนเรามีครั้งแรกแล้วทำไมมันถึงจะไม่มีครั้งที่สองตามมาหละครับ


พอดีความไว้ใจของผมหนะ…ผมให้ได้แค่คนละครั้งเท่านั้นหละครับ…



v
v
v
v
v
v
v

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด