- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 241752 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZiiZone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ๊ากกกกกกก น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกกก :-[ :-[ :-[

ฟินเบาๆ
รอตอนต่อไปไม่ไหวเเล้วววววววววววว

 :z13: :z10:



MangoBlue

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักกกกกกกกพี่ศิขา ไม่นานหรอกค่ะน้องกรเสร็จแน่ๆ

ออฟไลน์ ekonut

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 350
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
หมอศิรู้จักกรมาก่อนใช่มั้ยยยยยยยย

Windiizz

  • บุคคลทั่วไป
พี่ศิแม่มมมมมมม ทำไมไม่มีผู้ชายอย่างนี้อยุ่บนโลกวะะะะะ
ถ้ามีหมอมาทำแผลให้งี้ฟินตายอ่ะ
เขิน บิดเป็นเกลียว หน้าแดงแปร๊ด พูดไม่ออก โค่ดหวั่นไหว
นับถือกรเจงๆ 5555555
แล้วคือตอนจบนั่นมัน... คือพี่ศิค่อนข้างเก็บอารมณ์เก่งนะ เป็นเราถ้าอยุ่กับคนที่ชอบแบบนี้คงแบบ ตระครุบแม่ม 55555
ยิ่งตอนกรเรียก พี่ศิ ครั้งแรก //พอ!
ฟินจ้ะ รอตอนต่อนะ จิบิๆ

tong89

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



Chapter 3



รุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ซึ่งงแสงแดดยามเช้าก็ยังคงทำหน้าที่ของมันเช่นเดิมนั่นก็คือการปลุกร่างสูงโปร่งที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงให้ลืมตาตื่นขึ้น ร่าง ๆ นั้นค่อย ๆ ผุดลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับมือทั้งสองข้างขยี้ขอบตาตัวเองเบา ๆ ก่อนจะป้องปากตนหาววอด ๆ ออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร


“เช้าแล้วสินะ...แต่ตอนนี้แม่มหิวข้าวชะมัดสงสัยจะหลับเพลินจนลืมกินข้าวเย็น” ผมเอ่ยพูดกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง มือทั้งสองข้างของผมนั้นพยุงตัวน้อย ๆ เท้าที่แตะลงไปบนพื้นไม่มีความรู้สึกเจ็บหรือปวดเหมือนกับเมื่อวันสองวันก่อนแล้ว


‘อ่า…ท่าทางแผลของผมจะเริ่มหายแล้วสินะ แถมไข้ก็ไม่มีแล้วด้วย’ ผมพึมพำเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงมองแขนและขาทั้งสองข้างของตนเองก่อนจะรู้สึกสะดุดตากับผ้าพันแผลที่สีมันแตกต่างออกไปจากเดิม


‘ใครมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้กรูว่ะ’ พวกคุณคงคิดว่า ‘ผ้ากอซมันก็สีเหมือนกันหมดแล้วมรึงรู้ได้ยังไงว่ะว่ามีคนเปลี่ยนผ้าพันแผลให้มรึง’ สินะครับ แล้วก็สงสัยอีกข้อด้วยว่าทำไมคนอย่างผมถึงใส่ใจรายละเอียด(ที่เปลี่ยนไปแม้แต่สีของผ้าพันแผลนี่ได้ ผมไม่อยากจะบอกผมนี่นักจับผิดภาพตัวยงเลยนะครับอย่าให้ผมเซดถึงความเก่งกาจในการจับผิดภาพหรือผิดสีของผม)ขนาดนี้ นั่นก็เป็นเพราะบ้านของผมเป็นร้านเบอเกอร์รี่ยังไงละ รู้น่าว่าทุกคนสงสัยว่าบ้านของผมเป็นร้านเบอเกอรี่แล้วมันช่วยให้ผมมองเห็นจุดที่เปลี่ยนไปของสิ่งของรอบกายผมไปได้ยังไง ท่านก็ลองให้คุณป๊ากับคุณม๊าพาเข้าครัวตั้งแต่เด็กสิครับคุณจะจำแนกสิ่งของได้ตั้งแต่กลิ่น สี และรสชาติของอาหารได้เลย(เพราะขนมบางชนิดสีเปลี่ยนไปนิดหน่อยทำให้รสชาติเปลี่ยนดังนั้นผมที่หวังจะฮุบกิจการของทางบ้านมาเป็นของผมเอง จึงได้ศึกษาเรื่องของขนม นม เนยเป็นอย่างดี) ดังนั้นแค่สีผ้ากอซที่เปลี่ยนไปสักเล็กน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกแล้วว่ามันถูกเปลี่ยนด้วยฝีมือใครสักคนแน่นอน แต่ไอคนที่เปลี่ยนผ้าพันแผลของผมมันใครว่ะ


ซึ่งผมก็ขอเดาไว้ว่าคงเป็นไอเพื่อนเจมส์หรือไม่ก็เป็นไอเพื่อนบาสแน่นอนเพราะสองศรีเพื่อนสนิทของผมทั้งสองคนนี้มันมีกุญแจห้องคอนโดของผมและผมก็อนุญาตให้มันเข้านอกออกในห้องผมได้อย่างกับห้อง ๆ นี้เป็นห้องของพวกมันเอง จนบางครั้งมันก็ทำตัวเป็นเจ้าของห้องมากเกินไปจนผมไล่ตะเพิดมันออกไปหลายทีอยู่ แต่ไอผมก็พูดเกินไปมันก็นาน ๆ ทีละครับที่ผมจะออกปากไล่พวกมันให้ไปก๊งเหล้ากันที่อื่น


และช่วงที่ผมจะออกปากไล่มันไปนั้นก็เป็นช่วงที่ผมต้องการความสงบสุขในชีวิตหรือเรียกง่าย ๆ ว่าช่วงที่ผมอินดี้นั่นเองซึ่งตอนนี้อารมณ์อินดี้ของผมมันได้หมดไปเรียบร้อยแล้ว ผมรีบเดินเขย่งไปที่โทรศัพท์ที่ชาร์ตค้างไว้ตรงหัวเตียงพร้อมกับสไลด์หาเบอร์เพื่อนสนิททั้งสองของผมเพื่อชวนให้มันไปเที่ยวเป็นเพื่อนผมในวันหยุดนี้


ผมถือสายรอพวกมันสักพักก่อนน้ำเสียงงัวเงียของไอบาสกับไอเจมส์จะดังขึ้น เออผมลืมบอกไปอีกอย่างใช่ไหมครับว่าไอบาสและไอเจมส์มันเป็นรูมเมทกันซึ่งมันพักอยู่ในหอของของมหาวิทยาลัยนั่นเอง


“ไงครับไอเดี้ยงโทรมาแต่เช้ามีอะไรให้รับใช้ว่ะ” ไอบาสมันพูดบ่นงึมงำเหมือนคนเพิ่งตื่นซึ่งแน่นอนมันก็เพิ่งตื่นจริง ๆ นั่นละแล้วผมจะบอกว่าเสียงมันเหมือนคนเพิ่งตื่นได้ยังไง


“ไปเที่ยวกัน กรูอยากร่อน” ผมตอบมันไปดูเหมือนว่าไอบาสและไอเจมส์มันจะตั้งสติเล็กน้อยก่อนที่พวกมันจะประสานเสียงแล้วพูดตะคอกผมกลับมาว่า “ไข้มรึงก็ยังไม่หายดี เดี้ยงก็ยังเดี้ยงอยู่อย่าทำตัวซ่าสิครับเพื่อนกร”


ผมเร่งพูดสวนกลับไปทันทีแม่มรู้ได้ไงว่ะว่าผมยังไม่หายไข้ดีต่อให้ไม่หายไข้ดีแต่ตอนนี้ผมอยากร่อนมากกว่านอนหงอยอยู่ในห้องละวะ “กรูหายแล้วแล้วตอนนี้กรูอยากร่อน และก็กรูให้เวลาพวกมรึงสามสิบนาทีรีบแต่งตัวแล้วออกมารอกรูหน้ามหาลัยเดี๋ยวกรูขับรถไปรับ”


ฮั่นแน่ทุกท่านก็สงสัยอีกแล้วสินะครับว่าผมซึ่งขับมอไซค์หรือแม้แต่ขี่จักรยานไม่เป็นทำไมถึงบอกพวกมันได้ว่าผมจะขับรถไปรับพวกมันได้ ใช่ครับผมน่ะขี่ไอยานพาหนะสองล้อไม่เป็นแต่ไอยานพาหนะที่สมดุลตามหลักฟิสิกส์อย่างรถยนต์สี่ล้อเนี่ยผมแอบเซียนนิด ๆ ล่ะ(มั้ง)ครับ ถึงจะไม่เซียนเท่ากับนักแข่งรถหรือประสบการณ์ไม่แน่นอย่างกับคนขับรถมาหลายสิบปี แต่นี่ผมก็ได้ใบขับขี่มาแล้วโดยการสอบใบขับขี่ครั้งเดียวผ่าน (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผมสอบผ่านมาได้อย่างไร) แต่พอดีผมไปเห็นคุณเจ้ของผมเข้าไปคุยอะไรกับกรรมการคุมสอบก็ไม่รู้ ก่อนที่เขาจะเดินหน้างอย ๆ ออกมาแล้วบอกว่าผมสอบผ่านเตรียมถ่ายรูปทำใบขับขี่ได้เลย ดูความเทพของ(คุณเจ้)ผมสิครับ! ดูสิว่า(คุณเจ้)ผมเทพขนาดไหน


เจ้าพวกเพื่อน ๆ ของผมทันทีที่ได้ยินว่าผมจะขับรถไปรับมัน มันทั้งสองคนก็รีบตาสว่างพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดออกมาว่า “กรเดี๋ยวพวกกรูไปหามรึงเอง มรึงไม่ต้องขับรถมารับพวกกรูเลยนะ คือพวกกรูกลัวว่ามรึงจะขับมาไม่ถึงหน้ามหาลัยว่ะ” เสียงของเพื่อนบาสฟังดูกังวล ก็แน่นอนสิครับมันก็ต้องกังวลนั่นล่ะ เพราะผมถึงจะได้ใบขับขี่(มาด้วยการข่มขู่ของคุณเจ้)มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของผม แต่ผมก็เคยขับรถเสยเกาะกลางถนนมาแล้วนั่นขนาดถนนว่าง ๆ นะครับ ยิ่งถ้าให้ผมไปขับในที่ที่มีรถติดตลอดเวลาอย่างหน้ามหาวิทยาลัยของผมด้วยแล้วมันก็ไม่ผิดที่เพื่อนของผมจะห่วงสวัสดิภาพของผมและรถของผม


“เออถ้ามรึงไม่อยากให้กรูขับรถไปรับพวกมรึง มรึงก็รีบมาเลยกรูให้เวลาสามสิบนาทีเหมือนเดิมถ้ามรึงยังมาไม่ถึงหน้าคอนโดกรูในสามสิบนาทีมรึงได้เจอกรูขับรถไปรับพวกมรึงยันหน้าหอแน่” ไอคำพูดที่ว่าผมจะขับรถไปหาพวกมันเหมือนเป็นคำขู่ซึ่งมันก็ใช้ได้ผลกับเพื่อนของผมเสียด้วย


“เออเดี๋ยวพวกกรูรีบไป” ไอบาสพูดจบพร้อมกับตัดสายผมทิ้งทันทีแต่ก่อนที่มันจะตัดสายทิ้งผมแอบได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของไอบาสที่มันพูดเร่งให้ไอเจมส์รีบเข้าไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำอย่างด่วน


ไอผมเห็นเพื่อนรีบร้อนแบบนี้ผมก็ยิ้มย่องในใจสิครับแกล้งเพื่อนได้ แถมจะไปเที่ยวมีสารถีขับรถให้อีกมันสุดแสนจะแฮปปี้สุด ๆ เลยล่ะครับ ไอที่ผมพูด ๆ ไปว่าผมจะขับรถไปรับพวกมันนั่นเป็นเรื่องโกหกครับเพราะผมรู้ว่าผมน่ะไม่ถูกกับยานพาหนะสองล้อหรือสี่ล้อเลยสักนิดต่อให้ได้ใบขับขี่มาอย่างงง ๆ (หรือได้มาด้วยอำนาจมนต์ดำของคุณเจ้ของผม) แต่ผมก็ได้แต่ทิ้งให้เจ้ารถที่คุณป๊ากับคุณม๊าออกให้นอนเดียวดายอยู่ในโรงจอดรถนั่นละครับ และนาน ๆ ทีผมถึงจะพามันออกไปขับซึ่งคนขับมันก็ไม่ใช่ผมอีกนั่นละ


ผมใช้เวลาอาบน้ำและเตรียมตัวไม่ถึงสิบนาทีก่อนที่ผมจะอยู่ในชุดไปรเวทย์สีฟ้าอ่อนกับกางเกงขาสามส่วนสีออฟไวท์ ผมมองความหล่อของตัวเองในกระจกก่อนจะยิ้มออกมา “ถ้ามีแว่นกันแดดสักอันนี่ ผมคงจะหล่อกว่านี้ไปแล้ว” ผมเก็กอยู่หน้ากระจกเพื่อดูความหล่อของผมสักพักก่อนจะเริ่มเตรียมตัวออกจากห้องไป


หน้าตาพร้อม กระเป่าตังพร้อม กุญแจห้องพร้อม แต่ร่างกายผมไม่ค่อยจะพร้อม ผมยังคงเดินลากขาอยู่นิดหน่อยแต่สภาพผมก็คงดูดีขึ้นมากกว่าเมื่อวานหลายขุมแล้ว ผมละความสนใจเกี่ยวกับร่างกายตัวเองก่อนจะเดินออกมาจากห้องและไขกุญแจห้องของผมเพื่อล็อคมัน ซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกับบานประตูห้อง 1404 ถูกเปิดออกมา ผมหันไปมองตามต้นเสียงของประตูบานนั้น ร่างสูงในชุดไปรเวทสีขาวก็เดินออกมาพร้อมกับล็อคประตูห้องเช่นเดียวกันกับผม


และตามมารยาทเพื่อนบ้านที่ดีผมก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยทักทายพี่เขาไป “สวัสดีครับพี่ศิ แต่งตัวซะหล่อเลยจะไปไหนเนี่ยจะไปเดทกับแฟนเหรอครับ” เมื่อผมพูดจบพี่เขาก็ได้แต่ยิ้งแห้ง ๆ มาให้ผมซึ่งสงสัยผมจะเอ่ยทักแทงใจดำพี่เขาไปซะแล้วสิพี่เขาเลยหน้าเสียซะแบบนั้น


“พี่ยังไม่มีแฟนหรอกครับกร พอดีพี่จะไปดูหนังคนเดียวตามประสาคนโสดสักหน่อย แล้วกรล่ะจะไปไหนแต่งตัวซะหล่อเชียวหายไข้แล้วหรือไงเรา” พี่ศิตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นกันเองซึ่งมันเป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าของพี่เขา


“หายแล้วดิพี่ แต่ต่อให้ไม่หายผมก็ไม่อยากนอนแกร่วในห้องอ่ะ เลยคิดว่าจะไปหาอะไรกินกับไอบาสกับไอเจมส์แล้วต่อด้วยดูหนังสักเรื่องเหมือนกัน” ผมยิ้มตอบพี่เขาไปและดูเหมือนเราทั้งคู่จะใจตรงกันเสียแล้วดูหนังงั้นเหรอ งั้นเลี้ยงข้าวแล้วเลี้ยงหนังตอบแทนพี่เขาที่พาเราไปส่งโรงพยาบาลแล้วก็ช่วยทำแผลให้ผมดีกว่า


“เออพี่ศิไปคนเดียวเหรอครับ ไปกับพวกกรไหม ไปคนเดียวเหงาน้า ไปกันหลาย ๆ คนสนุกกว่ากันเยอะเลย แล้วกรคิดว่ากรจะเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนักพี่ศิเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยกรไว้หลาย ๆ เรื่อง” ผมออกปากชวนพี่ศิเขาไปและพี่ศิก็ใช้เวลาคิดอยู่ไม่นานหรือจะเรียกได้ว่าพี่เขาไม่ใช้เวลาคิดเลยมากกว่าใบหน้าคมที่ถูกบดบังไปด้วยแว่นเกือบครึ่งก็พยักหน้าตอบตกลงช้า ๆ และยังไม่วายโปรยรอยยิ้มที่เป็นซิกเนเจอร์ของพี่เขาออกมา


“แต่กรไม่ต้องเลี้ยงพี่หรอก พี่เป็นรุ่นพี่จะให้รุ่นน้องเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังได้ยังไง เดี๋ยวพี่จ่ายเองก็ได้หรือจะให้พี่เลี้ยงพวกเราพี่ก็เลี้ยงได้นะ” พี่ศิปฏิเสธน้ำใจจากผมพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นมาขยี้ผมของผมที่เซทไว้แล้วเป็นอย่างดี ผมพยายามยกมือขึ้นไปตีมือของพี่ศิเขาแต่ไม่ทันแล้วพี่ศิก็รีบชักมือของตนกลับไปแทบจะทันทีและนั่นก็ทำให้ผมออกแรงหวดลมไปซะเต็มที่ ผมทำหน้ามุ่ยใส่พี่เขาไปทีนึง ซึ่งท่าทางของผมทำให้พี่ศิหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับเอื้อมมือมาจับมือผมและออกแรงลากผมไปยังลานจอดรถที่ของรถ BMW คันงามของพี่เขา


นี่พี่ศิ…พี่ถือวิสาสะจับมือผมอีกแล้วนะครับ




“กรโทรบอกน้องบาสกับน้องเจมส์ให้รออยู่ข้างล่างนะเดี่ยวพี่วนรถลงไปรับ” พี่ศิพูดขึ้นมาพร้อมกับผมที่นั่งจุ่มลงบนที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อย ไอผมก็พยักหน้าเออ ๆ ออ ๆ ไปกับพี่เขาพร้อมกับหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาไล่หาเบอร์มือถือของสหายสองคนนั้น
แต่เอะผมรู้สึกว่ามันจะผิดแพลนไปหน่อยนะตอนแรกผมว่าผมจะให้ไอบาสหรือไอเจมส์เป็นสารถีขับรถของผมไปห้างแต่ไงผมกลับกลายมาเป็นตุ๊กตาหน้ารถของไอคุณพี่ศิแทนได้วะครับกรคนนี้สงสัยนัก แต่ก็ดีประหยัดค่าน้ำมัน ผมก็ไล่ ๆ หาเบอร์ของไอเจ้าเพื่อนตัวแสบทั้งสองก่อนจะกดปุ่มโทรออกไป


“สวัสดีครับเพื่อนเจมส์ สวัสดีครับเพื่อนบาส…พวกมรึงรออยู่ข้างล่างนั่นละครับเดี๋ยวกรูลงไปโอเคนะ” ผมรีบกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์โดยที่ไม่ให้ทางคู่สนทนาของผมได้ตอบอะไรกลับพร้อมกับการตัดสายใส่มันทันทีที่ผมนั้นพูดจนจบประโยค พี่ศิที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มองผมด้วยสายตาทึ่ง ๆ แต่พี่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เสียงสตาร์ทรถดังขึ้นพร้อม ๆ กับรถยนต์คันงามค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงไปด้านล่างซึ่งมันก็ใช้เวลาเคลื่อนตัวไม่นานเท่าไหร่หรอกสักพักรถของพี่ศิก็เคลื่อนที่ลงมาจอดด้านล่างของคอนโด ซึ่งด้วยสกิลความเทพของพี่เขารถยนต์คันนี้ก็จอดเทียบกับฟุตบาทตรงกับที่ไอบาสกับไอเจมส์ยืนอยู่พอดีเป๊ะ


บานกระจกรถยนต์เลื่อนลงพร้อมกับหน้าของผมที่โผล่หัวออกไปกวักมือให้ไอเจมส์กับไอบาสรีบขึ้นรถมา “จะมองหาพระแสงอะไรว่ะรีบขึ้นมาดิกรูหิวข้าวแล้วนะเฮ้ย” ผมตะโกนเรียกสติของสหายทั้งสองของผม พวกมันสองคนทำหน้าเลิกลั่กเล็กน้อย แต่มันก็ยอมขึ้นรถ BMW สุดหรูของพี่ศิแต่โดยดี


ท่าทางพวกมันสองคนจะเกรงไม่ใช่น้อยถึงได้สงบปากสงบคำแบบนี้ซึ่งแบบนี้มันผิดวิสัยของผมเพราะผมเป็นพวกที่อยู่กับความเงียบไม่ได้นาน “พวกมรึงสองคนจะนั่งเกร็งไปไหนว่ะ ปากมีไว้พูดนะเฮ้ยไม่ใช่มีไว้เงียบ” ผมบ่นพึมพำพร้อมกับเอี้ยวตัวไปข้างหลังเพื่อคุยกับไอบาสและไอเจมส์


“สรัดครับเพื่อนกร ทำไมมรึงไม่บอกว่าพี่หมอเขาจะไปด้วย” เสียงไอบาสเอ่ยท้วงขึ้นมาหนึ่งเสียง


“ใช่ครับไอคุณเพื่อนกร เจอหน้าพี่หมอพวกกรูแม่มทำตัวสถุลไม่ออกเลยครับ” ทันทีที่เสียงไอบาสจบลงเสียงไอเจมส์ก็พูดสวนออกมาติด ๆ


อืมม…อย่างที่คิดไว้มันต้องด่าผมแน่ ๆ เพราะการที่พาคนอื่นมาด้วยทำให้พวกมันไม่กล้าทำตัวสถุล ๆ อะไรออกมา ซึ่งมันก็เป็นผลดีกับผม ทำให้ผมไม่จำเป็นต้องตีหน้าเนียนทำเป็นไม่รู้จักกับพวกมันเวลาที่พวกมันทำอะไรบ้า ๆ ขึ้นมา


“ก็ดีแล้วนี่มรึง...กรูขี้เกียจตีหน้าเนียนทำเป็นไม่รู้จักพวกมรึงตอนพวกมรึงทำอะไรบ้า ๆ กัน” ผมพูดออกไปตามความจริงซึ่งไอเพื่อนสองคนนั้นก็ประเคนฝ่ามืองาม ๆ ของมันตบที่กลางหัวของผมพอดี


“พวกกรูไม่ได้เชี่ยขนาดนั้นครับเพื่อนกร” พวกมันทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกับมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ของพี่ศิที่หลุดขำออกมา
 พวกเราทั้งสามคนหันควับไปมองที่พี่ศิทันทีก่อนที่จะนั่งทำตัวสงบเสงี่ยมในรถราวกับว่าเรื่องเมื่อสักครู่นี้ไม่เคยเกินขึ้นพวกเราทั้งสามคนท่าทางจะนั่งเกร็งกันเกินไปจนพี่ศิอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากให้พวกเราเลิกแสดงละครเป็นเด็กดีกันได้แล้ว “ไม่ต้องเกร็งหรอก พี่ไม่ได้ว่าอะไรพวกเรานะครับ ถ้าพวกเราจะคุยอะไรกันเสียงดัง” พี่ศิพูดพร้อมกับอมยิ้มจาง ๆ


ให้ตายเถอะพ่อคุณ! เกิดมาเพื่อเป็นพ่อพระหรืออย่างไร คนอะไรใจดีกับรุ่นน้องขนาดนี้แถมที่บ้านพี่ขายรอยยิ้มเป็นอาชีพเสริมเหรอครับถึงได้ยิ้มเก่งขนาดนี้


เมื่อเจ้าของรถไม่ได้ว่าอะไรไอนิสัยเดิมของพวกผมก็บังเกิด เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นไปทั่วรถพร้อมกับเสียงตบหัวกันไปมาเพื่อเป็นการเสริมสร้างมิตรภาพของพวกเราสามคนให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น


การกระทำบ้า ๆ บอ ๆ ของเราสามคนทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะออกมาตลอดทางไปห้างสรรพสินค้าจนบางครั้งพี่เขาหัวเราะจนไม่ได้ดูทางวิดรถจะชนอยู่หลายต่อหลายรอบ แต่ยังไงพวกเราก็เดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าสุดแสนจะไฮโซวนี้ได้อย่างปลอดภัย แม้เวลาที่มาถึงออกจะดีเลย์จากที่คิดไปเสียหน่อยแต่ยังไงพวกเราทั้งสี่คนก็มาถึงห้างสรรพสินค้าแห่งนี้โดยสวัสดิภาพ


ผมบอกให้พี่ศิวนรถขึ้นไปจอดชั้นบน ๆ เพื่อที่จะได้หาที่จอดได้ง่ายขึ้นพวกเราใช้เวลาวนหาที่จอดรถสักพักผ่านไปไม่นานนัก (แต่ผมนั่งรอจนปวดก้น) พวกเราก็ได้ที่จอดรถซึ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าห้าง


“โอยได้ลงจากรถสักที นั่งจนปวดก้นไปหมด” ผมแงะตัวออกมาจากรถพร้อมกับบิดขี้เกียจไปมาซึ่งไอเพื่อนรักของผมทั้งสองคนมันก็แงะตัวออกมาจากรถแล้วบิดขี้เกียจไม่ต่างจากผมเช่นกัน เว้นเสียแต่พี่ศิผู้เป็นสารถีกิตติมศักดิ์ในวันนี้เท่านั้นที่ยังรักษาภาพพจน์ของตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดี


ร่างสูงก้าวลงมาจากรถคันหรูของเขานัยน์ตาคมกริบถูกซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นสีดำสนิทเช่นเดียวกับเรือนผมสั้นสีดำของเขามือกร้านเสยผมที่ปรกหน้าตนออกเล็กน้อยก่อนจะใช้นิ้วชิ้นดันแว่นสายตาของตนให้เข้าที่


พวกผมทั้งสามคนมองว่าที่หมอในอนาคตคนนี้ด้วยสายตาอิจฉา ‘คนบ้าอะไรเพอร์เฟกตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนี้ว่ะ’ ผมบ่นในใจและผมก็เชื่อว่าทั้งไอเจมส์และไอบาสก็คงคิดเช่นเดียวกับผม


น้องกรคนนี้ละอิจฉานัก…แต่ก็ได้แค่อิจฉานั่นละ ตัวผมก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานซึ่งผมจะไปเลียนแบบพี่ศิเขาก็ไม่ได้และพี่ศิก็ไม่สามารถเลียนแบบความเกรียนของผมได้เช่นกัน


ผมสะบัดหัวไล่ความอิจฉาออกไปก่อนจะเอ่ยปากชวนพวกเพื่อน ๆ แล้วก็พี่ศิเข้าห้างเพื่อไปหาอะไรกินกัน “เข้าห้างกันเถอะมรึง กรูหิวแล้ว” ผมหันไปพูดกับสหายของผมก่อนจะหันไปพูดกับพี่ศิที่ยืนรอคอยการตัดสินใจของพวกผม “พี่ศิครับกรอยากกินอาหารญี่ปุ่นพี่ศิกินได้ไหมครับ” ผมเอียงคอมองหน้าพี่เขาก่อนจะหันไปมองเพื่อนทั้งสองด้วยสายตาห้ามปรามว่า ‘พวกมรึงอย่ามาขัดกรู…ตอนนี้กรูอยากกินอาหารญี่ปุ่น’


“แล้วแต่กรเลยครับพี่ทานได้หมดนั่นล่ะ” พี่ศิตอบผมพร้อมรอยยิ้ม ให้ตายเถอะครับ พี่ศิเลี้ยงง่าย ดูแลง่ายและเชื่อฟังแบบนี้มันน่าจับเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านจริง ๆ เฮ้ยไม่ใช่ล่ะครับแบบนั้น


หลังจากพี่ศิตอบตกลงที่จะทานอาหารญี่ปุ่นผมก็เดินนำคนทั้งสามคนเข้าประตูห้างไป และเร่งฝีเท้าตนเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมายนั่นก็คือร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า ‘ZEN’ นั่นเอง




v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


ผมเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในร้านและเข้าไปนั่งโต๊ะขนาด 8 คน ทั้ง ๆ ที่เรามากันเพียงแค่สี่คน พนักงานมองผมด้วยแววตาสงสัยเช่นเดียวกับพี่ศิ แต่ไม่ต้องถามถึงสายตาของไอสหายสองหน่อของผม เพราะว่ามันรู้อยู่แล้วล่ะครับว่าเวลามากินอะไรกับผม หรือจะต่อให้มากันสองคนผมก็จะเลือกนั่งโต๊ะที่กว้างที่สุดเพื่อที่จะให้มันมีที่ว่างมากพอจะรองรับอาหารทั้งหมดที่ผมจะสั่งมาทานนั่นเอง แต่ผมยังไม่ได้บอกพวกคุณใช่ไหมว่าผมน่ะเป็นคนที่ทานเยอะมากไอที่ทานเยอะไม่ใช่ว่าจะทานเยอะหรือกินจุอะไรแบบนั้นนะครับ ผมเป็นคนชอบทานอาหารหลาย ๆ แบบในมื้อนึงซึ่งแต่ละอย่างผมจะทานไม่ค่อยหมดหรอก ดังนั้นเวลาผมมากินร้านอาหารอะไรพวกนี้ ผมก็มักจะลากไอเพื่อนสองหน่อนี่มานั่งกินด้วยเสมอเพื่อให้มันเป็นคนกินของที่ผมกินไม่หมดนั่นล่ะ เรียกง่าย ๆ ว่าถังขยะเคลื่อนที่ส่วนตัวครับ


ผมยกมือของออเดอร์ของร้านพร้อมกับเรียกพนักงานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มาคอยจดรายการอาหารเพื่อนของผมทั้งคู่ดูเหมือนจะรู้หน้าที่ของตัวเองดี ไอเจมส์และไอบาสมันนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์พร้อมกับเปิดหน้าเมนูเกี่ยวกับเครื่องดื่มเพื่อสั่งน้ำให้คนทั้งโต๊ะกิน ส่วนเรื่องของคาวพวกมันก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมสั่งครับ


ผมออกปากสั่งเมนูอาหารด้วยความรวดเร็วและทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมอยากกินเองทั้งนั้น ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะสนใจอะไรเกี่ยวกับความอยากทานของผู้ร่วมโต๊ะคนอื่น ๆ พอดีผมเป็นพวกผมอยากกินอะไรผมก็กิน ไม่อยากกินอะไรก็โยนให้ไอบาสกับไอเจมส์กินแทน ซึ่งเมนูที่ผมสั่งไปนั้นก็ศิริรวมหกถึงเจ็ดเมนูและเมื่อผมสั่งอาหารจนพอใจแล้วสมุดเมนูอาหารก็ถูกปิดลงพร้อมกับใบหน้าตกใจของพี่ศิผู้ที่ไม่เคยมากินอาหารกับผม


แต่สหายเจมส์มันก็ไม่ปล่อยให้พี่ศิสงสัยอะไรนานมันนั่งเล่นไอโฟนของมันไปพร้อมกับบอกพี่ศิด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ ว่า “ให้กรมันสั่งไปคนเดียวเถอะพี่ เห็นมั่นสั่งเยอะแบบนี้มันกินไม่หมดหรอก ตอนแรกผมก็ยังไม่เข้าใจว่ามันสั่งมาทำไมเยอะแยะหลัง ๆ ผมก็เข้าใจคือมันอยากกินเมนูพวกนั้นทั้งหมดมันเลยสั่งมากินหมดเลยและก็กินไม่หมด พอนาน ๆ เข้าพวกผมก็เลิกสั่งแล้วหันมาช่วยไอกรกินแทน”

 
“มากับมันก็ต้องทำแบบนั้นล่ะพี่ ไม่งั้นเสียดายเงินตายแล้วไอนี่เป็นพวกไม่ชอบกินของซ้ำมื้อด้วยดังนั้นเรื่องห่อกลับบ้านนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย” บาสพูดต่อให้พี่ศิเข้าใจนิสัยของผม ผมขมวดคิ้วมองพวกมันอย่างไม่เข้าใจแต่ก็นะมันติดเป็นนิสัยไปแล้วนี่ที่อยากกินอะไรก็สั่ง ไม่อยากกินก็ไม่กิน


ผมหันไปทำแก้มป่องให้เพื่อน ๆ ทั้งสองคนก่อนจะหันกลับมามองหน้าพี่ศิอีกครั้ง “พี่ศิอยากกินอะไรก็สั่งเลยนะพี่ ส่วนพวกผมกินกันแบบนี้ละ” แต่พี่ศิก็ส่ายหัวเป็นคำตอบพร้อมกับน้ำเสียงทุ่มละลายหัวใจสาวกล่าวออกมา “เอาเถอะ พี่เห็นกรสั่งมาเยอะ ๆ แบบนั้นทำเอาพี่ไม่รู้จะสั่งอะไรทานแล้ว เดี๋ยวพี่ใช้สูตรเดียวกับน้องบาส น้องเจมส์เอาแล้วกัน แต่ว่าทำแบบนี้มันสิ้นเปลืองนะถึงจะมีเพื่อน ๆ ช่วยหารกันออกก็เถอะ” พี่เขาเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะปิดสมุดเมนูแล้วส่งคืนไปให้พนักงาน


ผมเบ้ปากให้พี่ศินิดหน่อยที่พี่เขาพูดแบบนั้นใส่ผมมาแต่ทำยังไงได้ละมันติดเป็นนิสัยของผมไปแล้วนี่นา


ผมนั่งเอาคางเท้ากับโต๊ะรออาหารมาส่ง นั่งรอไปสักพักถาดน้ำดื่มซึ่งเป็นสิ่งแรกที่จะนำมาบริการลูกค้าก็มาส่งและน้ำที่ผมสุดแสนจะโปรดปรานนั่นก็คือน้ำส้ม ส่วนของไอเจมส์กับไอบาสคือน้ำเปล่า ส่วนของพี่ศินั่นรู้สึกว่าจะเป็นชาเขียวล่ะมั้ง ผมชะโงกหน้าดูแก้วชาของพี่ศิด้วยอารมณ์คนอยากลองของแปลก (คือปกติผมไม่ทานชาเขียวแบบปกติไง ส่วนมากจะทานแบบมีอะไรผสมแบบเก็กฮวย น้ำผึ้งมะนาวหรือพวกเบอร์รี่ดังชาเขียวเปล่า ๆ เพียว ๆ ไร้สิ่งเจือปนของพี่ศินั้นทำให้ผมอยากลิ้มลองยิ่งนัก) และดูเหมือนว่าพี่ศิคงจะพอเข้าใจความรู้สึกอยากลองชิมของผม พี่เขายื่นแก้วน้ำของตัวเองมาให้ราวเชื้อเชิญให้ผมลองชิมมัน ซึ่งเป็นที่แน่นอนผมก็ลองชิมสิครับ แต่แวปแรกที่น้ำชาเข้ามาสัมผัสลิ้นผมแทบจะบ้วนทิ้งทันที ‘น้ำบ้าอะไรขมชะมัด’ ท่าทางที่แสดงออกมาของผม ทำให้พี่ศิและพวกเพื่อน ๆ ของผมหลุดหัวเราะออกมาส่วนผมก็จ้องเขม็งกลับไป แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะความขมที่เต็มริมฝีปากทำให้ผมไม่อยากที่จะพูดอะไรออกมา


‘ไอเพื่อนบ้าพวกเอ็งก็รู้ว่ากรูเกลียดอะไรขม ๆ ที่สุด แต่ดันเจือกไม่ห้ามปล่อยให้ผมกินอีกแบบนี้มันน่าเอาคืนนัก’ ผมเบ้ปากใส่ไอบาสกับไอเจมส์ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปและไอองศาที่ผมสะบัดหน้าไปนั้นใบหน้าของผมก็ไปประชันหน้ากับพี่ศิที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองอยู่


“โหยพี่…ถ้าอยากจะหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถอะ กรไม่ว่าอะไรหรอก” ผมบ่นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจซึ่งทันทีที่พี่ศิได้ยินเขาก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกับลูบหัวของผมเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “ทานอะไรหวาน ๆ ล้างปากไปแล้วกันนะกร ส่วนเรื่องชาพี่ขอโทษจริง ๆ พี่ไม่รู้ว่ากรไม่ชอบทานอะไรขม ๆ” พี่ศิดึงแก้วชาวเขียวของตัวเองกลับแล้วค่อย ๆ ยื่นแก้วน้ำส้มของผมมาตรงหน้า


มันต้องแบบนี้สิพี่ไม่ใช่ทำตัวเหมือนเพื่อนเวรเพื่อนกรรมของผมที่ตอนนี้มันยังคงหัวเราะเพราะภาคภูมิใจที่แกล้งผมได้สำเร็จ


ผมนั่งหน้าบึ้งไปพักใหญ่ ๆ จนอาหารทั้งหมดที่ผมได้สั่งไปถูกนำมาวางไว้จนเต็มโต๊ะ ผมแกะตะเกียบออกจากซองพร้อมกับพุ่งเป้าหมายไปที่กุ้งทอดเท็มปุระสีเหลืองอร่ามที่ถูกจัดใส่จานไว้ อาหารบนโต๊ะค่อย ๆ พร่องไปทีละอย่างสองอย่างจนตอนนี้เมนูทั้งหมดก็ถูกจัดการเรียบด้วยฝีมือของคนสี่คน ผมนั่งลูบพุงตัวเองเบา ๆ ด้วยความอิ่มก่อนจะเรียกให้พนักงานมาเชคบิลค่าอาหารทั้งหมดของมื้อนี้
ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นเพื่อหยิบกระเป๋าเงินออกมาจ่ายเงินค่าอาหาร แต่ความไวในการชักกระเป๋าเงินของผมดันไม่เท่ากับความไวของพี่ศิ บัตรเครดิตสีทองอร่ามถูกยื่นไปให้พนักงานเป็นที่เรียบร้อย


“เฮ้ยยย...พี่ศิ กรบอกแล้วไงว่ากรจะเลี้ยงข้าวพี่ตอบแทนที่ช่วยกรหลาย ๆ เรื่อง” ผมร้องประท้วงขึ้นซึ่งไอคุณพี่ศิก็ไม่ได้ฟังเสียงร้องประท้วงของผมเลยสักนิดเขานั่งทำหูทวนลมโดยที่ไม่สนใจว่าผมจะร้องประท้วง พูดประท้วงหรือเขย่าคอพี่เขาประท้วงเลยสักนิด
ผมเกรงใจนะเนี่ยปกติผมจะหารกับเพื่อน ๆ กินกันเสมอแต่นี่พี่ศิแกเล่นจ่ายค่าอาหารทั้งโต๊ะเองหมดเลยมันก็หลายพันอยู่แต่พี่เขาดูไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับจำนวนเงินที่เสียไปเลยสักนิด


พี่ศิรับบัตรเครดิตของเขากลับพร้อมกับหันมายิ้มให้ผม “พี่เป็นรุ่นพี่ของกรนะครับ แล้วรุ่นพี่แบบพี่จะยอมให้รุ่นน้องเลี้ยงข้าวได้ยังไงกันจริงไหม?” พี่เขาพูดกลับมาทำเอาผมต้องเงียบปากไปเลย ใช่ครับการที่รุ่นน้องเลี้ยงรุ่นพี่มันออกจะไม่ค่อยเหมาะสมแ ต่การที่รุ่นพี่เลี้ยงรุ่นน้องมันเป็นวัฒนธรรมประเพณีของทุกมหาลัยอยู่แล้วซึ่งผมก็พยักหน้ายอมรับและนั่งจดลิสต์รายการที่ผมติดหนี้พี่ศิเพิ่มอีกหนึ่งรายการ
หลังจากที่พวกเรานั่งทานอาหารจนเสร็จมันก็มาถึงรายการต่อไปแล้วล่ะครับ นั่นคือการดูหนัง ผมยืนรอไอบาสกับไอเจมส์ที่กำลังเลือกดูเมนูหนังอยู่ซึ่งอันตัวผมก็ไม่ได้มีหนังอะไรที่อยากดูมากเป็นพิเศษหรอกครับแต่วันนี้ว่าง ๆ ก็เลยหาอะไรทำแก้เซ็งเล่น ๆ อย่างการดูหนังนั่นเอง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกจะร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาอีกแล้วสิ แล้วผมก็ไม่ค่อยอยากบอกไอบาสกับไอเจมส์มันด้วยเพราะว่าถ้าผมบอกไปไม่แคล้วผมต้องโดนแบกกลับไปและบังคับให้ผมนอนคุดคู้อยู่ในห้องนอนของตัวเองแน่นอนซึ่งผมไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่เพราะผมเบื่อการนอนนิ่ง ๆ แบบคนไม่มีอะไรทำสุด ๆ ไปเลยครับ


ผมยืนรอพวกมันสองคนเลือกหนังไปสักพักและดูเหมือนไอช่วงเวลาสักพักที่ผมให้พวกมันไปนั้นมันไม่ได้ช่วยให้สหายผมทั้งสองคนตกลงเลือกหนังกันได้เลยและผลสุดท้ายการเลือกหนังที่จะดูก็เป็นสิทธิเด็ดขาดของผมอีกเช่นเดิมเพราะผมทนไม่ไหวจึงเดิมดุ่ม ๆ เข้าไปอาละวาดและเลือกหนังที่ผมคิดว่าทุกคนน่าจะดูได้ด้วยตัวเอง และแน่นอนนี่เป็นอีกครั้งที่ผมกำลังรวบรวมเงินของไอบาส ไอเจมส์และของตัวเองเพื่อที่จะไปซื้อตั๋วหนังแต่ผมก็ไม่ทันพี่ศิอีกแล้ว


พี่ศิใช้บัตรเครดิตสีทองใบเดิมยื่นไปให้พนักงานพร้อมกับระบุจำนวนที่นั่งและเลือกที่นั่งให้เสร็จสรรพจนพวกผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยได้แต่ยืนเอ๋อ มองหน้าพี่ศิที่เป็นเจ้ามือใหญ่เลี้ยงหนังอีกครั้ง หลังจากที่พี่เขาเป็นเจ้ามือใหญ่เลี้ยงข้าวพวกผมไปแล้ว
“พี่ศิ…พวกกรจ่ายกันเองได้ พี่ไม่ต้องเป็นเจ้าบุญทุ่มเลี้ยงหนังเลี้ยงข้าวพวกกรอะไรแบบนี้ก็ได้นะ” ผมรีบวิ่งปรี่เข้าไปหาพี่ศิที่กำลังเริ่มสั่งป็อปคอร์นกับน้ำอัดลมมาให้พวกผมกินเล่นกันเวลาดูหนัง


เป็นอีกครั้งที่พี่ศิส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “ไม่เป็นไร ถือว่าพี่เป็นพี่เทคเลี้ยงพวกน้อง ๆ ก็ได้” คำตอบนี้ของพี่เขาทำเอาพวกผมเงียบสนิทกันไปเลย การเป็นรุ่นพี่นี่มันดีแบบนี้นี่เองสั่งรุ่นน้องให้ทำตามอะไรก็ได้ ไอดีใจก็ดีใจอยู่หรอกที่มีคนเลี้ยงหนังเลี้ยงข้าว แต่แบบนี้มันมากเกินไปหน่อยแล้วมั้งข้าวมื้อนึงก็ไม่ใช่น้อย ๆ แถมค่าหนังหนังและค่าป็อปคอร์นกินเล่นอีกต่อให้พวกผมเป็นคนขี้งกและหน้าเงินแต่มากแบบนี้พวกผมก็เกรงใจเป็นเว้ย


ผมหันหน้าไปมองเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาส สีหน้าของมันบ่งบอกออกมาชัดเจนเลยว่ามันแฮปปี้มากที่มันไม่ต้องเสียเงินค่าข้าวค่าหนังรวมไปถึงค่าป็อปคอร์นกับน้ำอัดลม


ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความเกรงใจ (แต่เพื่อนผมเจือกไม่เกรงใจ) ผมจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาและจดลิสต์รายการที่ผมต้องเป็นหนี้พี่ศิเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งอย่าง


‘เฮ้อ…ตอนนี้ยอม ๆ พี่เขาไปก่อนแล้วกันไว้คราวหลังจะคืนให้ทั้งต้นทั้งดอกเลย’ ผมพึมพำบ่นในใจของตัวเองเบา ๆ ก่อนที่จะรีบวิ่งตามพี่ศิและสองสหายของผมเข้าไปในโรงหนัง


มือหนึ่งผมถือกล่องป็อปคอร์นอีกมือหนึ่งผมยกแก้วน้ำขึ้นและแขนทั้งสองข้างของผมกำลังบังตาของผมอยู่ ผมแทบกรีดร้องออกมาไม่เป็นภาษาเมื่อหนังที่ผมเลือกที่จะดูนั้นเป็นหนังผี เอาล่ะสิครับคราวนี้ค่าตัวหนัง 160 บาท น้องกรคนนี้ขอดูแค่ 20 บาทก็พอ หนังนั้นดำเนินมาได้ถึงครึ่งเรื่องแล้วแต่ผมกลับดูหนังเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องเลยสักนิดผมหันไปซ้ายไปก็เจอไอเจมส์กับไอบาสเบิ่งตาดูหนังอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร พอผมหันกลับมาทางขวาก็เจอพี่ศินั่งทำหน้าเคร่งเครียดไปดูหนังไปสรุปว่าในสี่คนนี้มีผมคนเดียวสินะที่กลัวหนังผีเป็นที่สุด


เอาตามความจริงเลยนะครับผมน่ะไม่ได้กลัวผีหรอกแต่ผมเป็นคนขี้ตกใจ ซึ่งหนังผีแม่มชอบเอาผีโผล่ออกมาให้คนดูตกใจเล่นนั่นละครับเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย และไอการที่หนังเรื่องนี้นั้นเล่นมาแล้วเกือบครึ่งเรื่อง ทำให้ผมสะดุ้งจนป๊อปคงป๊อปคอร์นหกระเนระนาดไปทั่วพื้นแล้วครับ


ก็บอกแล้วว่าผมเป็นคนขี้ตกใจขั้นสุดยอดเรื่องหนังผงหนังผีนี่ผมยอมแพ้เลยผมไม่ถูกกับมันเลยจริง ๆ


ผมแสดงอาการตกใจออกมาทุกครั้งที่ผีในหนังมันออกมาและดูเหมือนสหายของผมทั้งสองคนเริ่มจะรำคาญแอคติ้งอันแสนโอเวอร์ของผมซะแล้ว ไอบาสกับไอเจมส์กระซิบกระซาบกันสักครู่ก่อนที่ไอบาสจะกลายเป็นนกพิราบสื่อสารมากระซิบบอกข้อสรุปที่ไอบาสกับไอเจมส์ได้นั่งคิดกันเมื่อครู่ “เชี่ยกรถ้ามรึงกลัวแบบนี้…มรึงออกไปนั่งรอนอกโรงหนังเถอะพวกกรูรำคาญมรึงแล้วว่ะ” ผมเบ้หน้าทันทีที่ฟังมันจบก่อนจะพูดกระซิบกระซาบตอบมันไปว่า “กรูไม่ออกเว้ย ถึงกรูจะกลัวแต่กรูก็ไม่ออก”


จะว่าน้องกรปอดแหกก็ได้นะครับตอนนี้แม้แต่จะลุกไปเข้าห้องน้ำผมยังกลัวเลยแล้วนับประสาอะไรให้ผมออกไปนั่งคนเดียวนอกโรงหนัง ฝันไปเถอะครับคุณเพื่อนกรูไม่ยอมออกจากโรงหนังคนเดียวแน่นอน


ผมกับไอบาสกระซิบกระซาบต่อกันไปอีกสักพักและดูเหมือนว่าคนที่นั่งทางขวาของผมเริ่มที่จะทนไม่ไหวแล้วกับเสียงของผมและเสียงของไอบาสที่เริ่มเถียงกัน พี่ศิถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะใช้มือของขาเอื้อมมาปิดตาพร้อมกับผลักหัวของผมให้เอนไปซบที่บ่าของพี่เขา


“ถ้ากรกลัวมาก หลับตาหรือจะนอนหลับไปเลยก็ได้พี่ให้กรยืมบ่า” พี่เขาเบา ๆ ข้างหูของผมซึ่งผมก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก ผมก็เลยอาศัยบ่าของพี่ศิต่างหมอนและเอนคอลงไปซบบนบ่าพี่ศิอย่างไม่เกรงใจ


“ถ้าหนังจบแล้วพี่ศิบอกกรด้วยนะ” ผมพูดงึมงำเบา ๆ พร้อมกับหลับตาลงเตรียมพร้อมกับการนอนหลับในโรงหนังนี่เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าผมนอนหลับไปนานแค่ไหนแต่พอรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ไอบาสกับไอเจมส์สะกิดผมให้ตื่นขึ้นดูเหมือนว่าหนังจะจบแล้วสินะผมพยายามยันตัวขึ้นแต่รู้สึกเหมือนมีอะไรกดทับศรีษะของผมอยู่ ผมค่อย ๆ หันหน้าไปมองข้าง ๆ ภาพที่ปรากฏอยู่ในสายตาก็คือในหน้าของพี่ศิที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่


รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ได้สร้างมาให้ผมนั่งหลับคนเดียวเสียแล้วผมสะกิดพี่ศิเบา ๆ เพื่อเรียกให้พี่เขาตื่นซึ่งเขาก็มีอาการงัวเงียเช่นเดียวกับผม เราทั้งสองลุกขึ้นยืนพร้อมกับป้องปากหาวน้อย ๆ


“หนังจบไปนานยังว่ะเจมส์” ผมหันหน้าไปถามเจมส์ที่แอบอมยิ้มจาง ๆ


“สักพักแล้วตอนนี้ในโรงเหลือพวกเราสี่คนนี่ละรีบออกไปกันเถอะ เดี๋ยวเขามาไล่ที่ เดี๋ยวเราจะซวยเอา” ผมพยักหน้าตอบรับคำพูดของเจมส์พร้อมกันเดินออกจากโรงหนังไป


รู้สึกการดูหนังครั้งนี้เหมือนเป็นการเปลี่ยนสถานที่หลับของผมกับของพี่ศิเสียมากกว่า เราทั้งสี่คนเดินออกมายังลานจอดรถอีกครั้งและหน้าที่สารถีกิตติมศักดิ์ก็ยังคงเป็นของพี่ศิรวิทย์อีกเช่นเดิม แต่คราวนี้รู้สึกว่าบรรยายกาศภายในรถออกจะแต่งต่างจากตอนมาสักหน่อยเพราะตอนนี้รถทั้งรถเงียบสนิทและไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรออกมา


ไอผมก็ขี้เกียจที่จะพูดแถมผมก็ยังง่วง ๆ อยู่นิดหน่อยผมจึงใช้เวลาอันน้อยนิดในการขับรถกลับหอเป็นการนอนหลับไปในตัวสารถีกิตติมศัดิ์อย่างพี่ศิก็ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมโดยการขับรถอย่างนุ่มนวลช้า ๆ ด้วยอารมณ์ที่เขากลัวว่าผมจะตื่นขึ้นมารถคันงามจอดสนิทเทียบไปกับตัวฟุตบาทพร้อมกับการจากไปของเพื่อนร่วมเดินทางสองคนคือไอบาสกับไอเจมส์ที่ขอตัวแว๊นซ์มอเตอร์ไซค์กลับหอเอง


ส่วนผมน่ะเหรอก็ยังคงนอนหลับสนิทจนกระทั่งพี่ศิปลุกให้ผมตื่นนั่นละ ผมเดินขึ้นลิฟท์ด้วยความมึนงงก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้องนอนของตัวเอง แต่ด้วยความมารยาทดีของผมแม้ผมจะง่วงนอนอยู่ก็ตาม ผมก็ไม่ลืมที่จะไหว้ขอบคุณพี่ศิที่เขาพาผมและเพื่อน ๆ ไปเลี้ยงหนังและเลี้ยงข้าวในวันนี้


พี่ศิตอบรับไหว้ผมด้วยรอยยิ้มพร้อมถ้อยคำราตรีสวัสดิ์เบา ๆ แต่สติตอนนั้นของผมมันช่างลางเลือนเสียเหลือเกิน ณ จุด ๆ นี้ผมอยากจะถลาขึ้นไปนอนบนเตียงนอนของผมแล้ว


ผมโบกมือลาพี่ศิอีกครั้งก่อนที่จะรีบไขกุญแจห้องตัวเองและวิ่งปรี่ไปที่ห้องนอนพร้อมกับกระโดดทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงนุ่มพร้อมกับสติที่ค่อย ๆ จ่มดิ่งเข้าไปสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง



___________________________________________


ตอนนี้จะเป็นช่วงที่เผยนิสัยส่วนตัวของกรออกมานะคะ บางนิสัยจะดูไม่ดีหรือแย่แต่นี่ก็คือตัวตนของกร พลอยคิดว่าในโลกนี้ไม่มีใครดีที่สุดหรอกค่ะ ทุกคนมีจุดไม่ดีของตัวเองกันทั้งนั้นและกรก็มีแถมมีมากซะด้วยค่ะ ส่วนตัวพลอยคิด่ากรเป็นเด็กเอาแต่ใจงี่เง่า แล้วก็ดื้อสุด ๆ เลยค่ะอ่านต่อ ๆ ไปจะทราบเองว่ากรมีนิสัยแบบนั้นจริงหรือเปล่า (ซึ่งพี่ศิเองก็ไม่ใช่คนดีแบบสุด ๆ เหมือนกันพออ่านไปเรื่อย ๆ ทุกคนจะเข้าใจและสัมผัสได้ถึงนิสัยของพี่ศิเค้าคะ)

preaw-sm

  • บุคคลทั่วไป
พี่ศิ!! พ่อเจ้าประคุณบุญทุ่ม~!!

mengsama

  • บุคคลทั่วไป
สนุกดีนะคะ  ชอบ....อย่าหายไปนะคะ^^

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่ศินี่เจ้าบุญทุ่มจริงๆ เลี้ยงน้องๆ
นิสัยส่วนตัวนี่สมกับที่จะเป็นเคะมากกว่าเมะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ august_may

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 998
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ถ้าพี่ศิจะทุ่มทุนขนาดนี้ ฮิฮิ กรไม่รอดแน่ๆ

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ทุกคนมีข้อดีข้อเสียในตัวเองขอให้เข้าใจกันก็พอ
ปล.พี่ศิน่ารัก

ออฟไลน์ konishiki

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่ศิคะ เป็นแฟนกับหนูเถอะ !! //โดนตบคว่ำ

เหงกรนิสัยการกินเหมือนเรา แต่ผมไม่ขนาดนั้นนะ สั่งมากสุดแค่ 4-5 อย่าง

วันรุ่งขึ้นกรไข้ขึ้นอีกแหงเลยยยยยยยย

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
พลอยขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นนะคะ >< ดีใจมากเลยคะที่ทุกคนชอบกัน





Chapter 4



หลังจากวันเสาร์ที่พวกเราสี่คนรวมถึงพี่ศิได้ไปดูหนังกันข่าวลือของผมที่เกี่ยวโยงกับพี่ศิมันก็ค่อย ๆ ซาและจางหายไป ความจริงแล้วถ้ามันไม่ซาก็แปลกสิครับหลังจากวันที่ผมได้สารภาพรักบ้า ๆ บอ ๆ กับพี่ศิก็มันผ่านมาเกือบ ๆ จะสองอาทิตย์แล้วล่ะครับ มันก็เป็นไปตามคำพูดของเพื่อน ๆ ผมล่ะ ข่าวลือในมหาลัยไม่นานมันก็จะหายไปเอง แต่กว่ามันจะเงียบลงก็เล่นเอาผมแทบแย่ไปเหมือนกัน


ผมนั่งฮัมเพลงเบา ๆ อยู่ใต้คณะที่โต๊ะม้าหินอ่อนโต๊ะประจำของผมซึ่งทำไมผมมานั่งอยู่คนเดียวน่ะเหรอ นั่นก็เป็นเพราะไอเจมส์กับไอบาสมันติดธุระกับอาจารย์ที่ปรึกษาครับ พอดีอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกให้มันไปช่วยงานของคณะ ส่วนผมน่ะเหรอครับ….
ผมก็ชิ่งไงครับโดยส่วนตัวแล้วถึงผมจะดูเป็นคนทะเล้น บ้าบอ และดูเข้ากับคนอื่นได้ แต่ความจริงแล้วผมน่ะเป็นคนที่เข้าถึงยากน่าดูนะครับและไม่ชอบกิจกรรมของมหาลัยแบบสุด ๆ ตัวตนจริง ๆ ของผมไม่ใช่เกรียนแตกอะไรแบบนั้นหรอก ถ้าพวกคุณรู้จักผมจริง ๆ เช่นสนิทกับผมมากอย่างไอเจมส์กับไอบาสพวกคุณจะรู้เลยว่าอายุสมองของผมไม่ค่อยต่างอะไรจากเด็ก 10 ขวบหรอกครับ ผมจะงี่เง่าง้องแง้งตามประสาผมนั่นละ


ผมนั่งฮัมเพลงรอสองสหายไปอีกสักพัก ร่างสูงที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาก็เดินผ่านหน้าผมไป ดูเหมือนพี่เขาจะเร่งรีบอะไรหน่อยล่ะมั้งเพราะว่าปกติทุกครั้งที่ผมนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนตัวนี้แล้วพี่เขาเดินผ่านเขาจะหันมาทักทายโบกไม้โบกมือทักกันตามประสาคนรู้จักกันครับแต่ครั้งนี้เขากลับเดินลิ่ว ๆ โดยไม่สนใจผมที่นั่งอยู่บนโต๊ะม้าหินอ่อนเลย


‘เฮ้อ…ท่าทางจะรีบมากพอดูเลยนะเนี่ย’ ผมบ่นพึมพำเบา ๆ พร้อมกับทำหน้าที่คนรอคอยอยู่เงียบ ๆ ผมนั่งรอพวกเพื่อน ๆ ไปอีกสักพักก่อนสมองของผมจะคิดย้อนกลับไปถึงเมื่อสองถึงสามอาทิตย์ที่ผ่านมา พวกผม (ที่จริงเรียกว่าผมคนเดียวน่าจะดีกว่า) กับพี่ศิดูจะสนิทสนมกันขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลที่ผมกับพี่เขาเป็นเพื่อนบ้านกันทำให้แทบจะทุกเช้าผมจะเห็นพี่เขาออกมาจากห้องเพื่อเตรียมตัวไปเรียนซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกับผมก็เตรียมตัวออกไปเรียนเช่นกัน (คือจากปกติที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนจนตอนนี้กลายเป็นว่าผมกับพี่ศิเห็นหน้ากันแทบจะทุกเช้าแล้วครับ)


การเห็นหน้าพี่เขาในทุก ๆ เช้าเริ่มจะเข้ามาเป็นกิจวัตรประจำวันของผมแล้วล่ะครับซึ่งผมก็คงยังแปลกใจอยู่ พี่ศิกับผมเข้ามาอยู่ที่คอนโดนี้แทบจะพร้อม ๆ กัน แต่ทำไมระยะเวลา 3 – 4 ปีมานี่ผมแทบจะไม่เคยเห็นหน้าพี่เขาเลย แต่ไอความสงสัยนี้ผมก็ยังไม่ได้ถามพี่เขาหรอกครับเอาเป็นว่าเก็บไว้ถามพี่ศิเขาตอนเจอหน้ากันครั้งหน้าแล้วกัน


ผมตกอยู่ในพวังความคิดตัวเองไปอีกสักพักไม่นานนักสองศรีเพื่อนรักของผมก็เดินมาตบบ่าผมเบา ๆ พร้อมกับเรียกให้ผมลุกขึ้นเพื่อที่จะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตตามที่ผมขอร้องมันไว้เมื่อเช้า


ใช่ครับหลังจากผมรอคอยมาหลายอาทิตย์?? คราวนี้ผมก็ได้ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตจริง ๆ สักทีหลังจากที่ต้องใช้ชีวิตด้วยอาหารประจำชาติอย่างมาม่ารสเดิม ๆ มาหลายอาทิตย์


“เชี่ยกรครับนั่งอาร์ตอะไรครับ รีบลุกขึ้นสิครับ คุณมรึงจะไปซื้อของไม่ใช่เหรอครับ” เสียงของบาสเรียกสติผม ผมพยักหน้าน้อย ๆ ตอบรับมันก่อนจะรีบลุกขึ้นและวิ่งตามมันไปที่รถของผม


ทุกท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมคราวนี้ผมถึงเอารถมา ครับ..ผมเอารถยนต์(ที่แทบจะไม่ได้ใช้)ของผมมา แต่ไอคนขับมันไม่ใช่ผมหรอกเพราะคนขับมันก็คือไอเจมส์ ส่วนมอไซค์สุกรักสุดหวงของไอเจมส์และไอบาสมันก็จอดเน่า ๆ อยู่ที่คอนโดผมครับ


วันนี้ที่ผมเอารถมาเพราะว่าผมอยากจะซื้อของอะไรเยอะนิดหน่อยแล้วตอนนี้ผมก็เสี้ยนของหวานมากเลยครับ อยากซื้อพวกวัตถุดิบไปทำขนมกินเล่นที่ห้อง อย่าถามนะครับว่าทำไมผมไม่ซื้อไปกินล่ะจะทำเองทำไมให้เสียเวลา…เหตุผลก็บอกทุก ๆ คนไปแล้วไงครับว่าผมน่ะเป็นลูกชายเจ้าของร้านเบอเกอรี่ซึ่งผมไม่มีทางไปสนับสนุนร้านค้าคู่แข่งของบ้านผมเด็ดขาดดังนั้นเวลาผมเสี้ยนขนมหวานผมจะออกไปซื้อวัตถุดิบมานั่งทำกินเองที่หอทุกครั้ง ไอผมก็ไม่อยากจะอวดนะครับในคอนโดผมเนี่ยเครื่องมือทำขนมครบครันครับเพราะคุณม๊าแกเล่นซื้อชุดเครื่องครัวชุดใหญ่มาให้ผมกับคุณเจ้ที่หอเลยครับ ด้วยเหตุผลว่าคุณม๊าของผมกลัวว่าลูก ๆ สุดที่รักของคุณม๊าไม่มีเครื่องครัวสะดวกสบายอย่างที่บ้านใช้กัน คุณม๊าก็เลยเล่นสั่งซื้อเครื่องครัวชุดใหญ่ให้ผมกับคุณเจ้เลย ซึ่งส่วนมากผมก็จะใช้หม้อครับ…ใช้ทำอะไรเหรอครับก็ต้มอาหารประจำชาติไทยกินไงครับผมใช้อยู่แค่นั้นแต่ก็มีบางทีที่ผมนึกคึกอยากทำขนมกินเล่นเป็นบางครั้งอย่างเช่นวันนี้ที่ผมเสี้ยนอยากกินขนมหวาน


“เพื่อนเจมส์ครับ เพื่อนกรขอซุปเปอร์มาเก็ตที่มีแผนกเครื่องทำเบอเกอร์รี่นะครับ” เมื่อผมเข้ามานั่งในรถผมก็ออกปากสั่งให้ไอเจมส์วนรถไปห้างสรรพสินค้าที่มีวัตถุดิบที่ใช้ทำขนมขาย ไอเจมส์หันหน้ามามองผมสักเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้าตอบรับ
มันก็คงรู้ล่ะครับว่าผมเสี้ยนของหวานอยากทำขนมกินเอง


“อยากกินขนมอีกแล้วอะดิไอกร” เสียงของบาสพูดขึ้นซึ่งผมก็พยักหน้าตอบรับมันไป “อยากทำทาร์ตกินว่ะไม่ได้กินนานล่ะ แถมกรูไม่ได้กลับบ้านเลยสองสามอาทิตย์มานี่เลยไมได้กินสมใจอยาก วันนี้เลยอยากทำกินเองดู” ไม่อยากจะพูดนะครับผมนี่ว่าที่ผู้สืบทอดกิจการร้านเบอเกอรี่ของที่บ้านอันดับหนึ่งเลยครับเพราะผมทำขนมได้อร่อยที่สุดในบ้านรองจากคุณป๊ากับคุณม๊าเลยนะครับ ส่วนคุณเจ้ของผมอย่าไปพูดถึงครับคุณเจ้ของผมอย่าว่าแต่ทำขนมเลยให้คุณเจ้แกทอดไข่ดาวให้ไม่ไหม้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันครับ


สองสหายของผมพยักหน้าตอบรับก่อนไอเจมส์จะค่อย ๆ ขับรถวนออกจากมหาลัยไปและไม่นานนักพวกผมก็ขับรถมาถึงจุดหมายซึ่งเป็นห้างเล็ก ๆ ไม่ได้ใหญ่อะไรมากหรอกครับแต่เครื่องมือที่ใช้ทำขนมครบครันและที่สำคัญราคาไม่แพงอย่างในห้างใหญ่ ๆ


ผมรีบปรี่ไปหยิบรถเข็นพร้อมกับรีบเข็นรถไปยังแผนกวัตถุดิบเบอเกอรี่ทันที


“วันนี้จะทำเท่าไหร่ดีว่ะแล้วจะเก็บไว้กินกี่อันดี” ผมไล่มองวัตถุดิบพวกนั้นพร้อมกับคำนวนสูตรขนมในหัวพลันความคิดของผมก็ดันไปนึกถึงไอคุณพี่หมอที่เดินผ่านหน้าผมไปโดยที่ไม่ได้ทักทายเมื่อตอนสาย ๆ มันจึงทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรตอบแทนที่พี่ศิเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังเลยนี่หว่า ดังนั้นวัตถุดิบที่ใช้ทำนขนมในสมองก็ต้องปรับเปลี่ยนสูตรสักนิดหน่อยด้วยการเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นซึ่งปกติผมจะทำให้ไอเพื่อนเจมส์กับเพื่อนบาสกินด้วยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มีพี่ศิเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนผมก็เลยต้องเพิ่มจำนวนวัตถุดิบให้มากขึ้นกว่าเดิมสักนิดหน่อย


จุดหมายแรกที่พุ่งตรงเข้าไปคือแผนกแป้งทำขนม ผมหยิบแป้งสาลีมาหนึ่งถุงพร้อมกับโยนใส่รถไป หยิบวัตถุดิบที่ใช้สำหรับทำตัวแท้ของทาร์ตครบผมก็มุ่งตรงไปยังแผนกของสดเพื่อซื้อไข่ไก่และเครื่องปรุงที่ใช้สำหรับทำไส้คัสตาร์ดของทาร์ต


ทุกท่านคงจะไม่รู้สินะครับ ผมกำลังจะทำอะไร ผมกำลังจะทำทาร์ตไข่ครับซึ่งทาร์ตไข่นี่จะเรียกว่ามันเป็นขนมโปรดของผมอีกหนึ่งชนิดเลยก็ว่าได้ครับแต่ว่าผมไม่ค่อยได้ทำทานกินเองสักเท่าไหร่หรอกส่วนมากกก็ไปขโมยจากที่บ้านมากินเล่นที่หอทั้งนั้น แต่ครั้งนี้ผมก็ไม่รู้เป็นบ้าอะไรถึงอยากจะกินไอทาร์ตไข่นี่ขึ้นมาแต่ยังไงก็เอาเถอะสูตรทำทาร์ตไข่สุดอร่อยเหาะของบ้านผมมันก็อยู่ในหัวสมองของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ผมมีพรสวรรค์ทางด้านทำขนมนะครับ แต่ทำไมผมถึงมาเลือกเรียนวิศวะก็ไม่อาจได้รู้ครับ เอาเป็นว่าผมจะเอาดีทั้งสองทางแล้วกันทำหน้าที่เป็นวิศวกรไปพร้อมกับทำการยึดครองร้านขนมของบ้านผมไปด้วย


ผมเข็นรถเข็นเดินมองของในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ไปอีกสักพักก่อนที่ไอเพื่อนของผมทั้งสองคนเรียกให้ผมเข็นรถไปหาพวกมัน ทั้งสองคนหอบถุงขนมขบเคี้ยวพร้อมกับอาหารประจำชาติไทยเต็มไม้เต็มมือ ทั้งสองคนถลามาที่รถเข็นของผมพร้อมกับโยนของที่อยู่ในมือของมันลงบนรถเข็มที่ผมเข็นอยู่


“กรจะเอาอะไรอีกป่ะว่ะ พวกกรูพอละเดี๋ยวแม่มจะกินไม่หมดกัน” ไอเจมส์พูดพร้อมกับบิดตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าเนื่องจากการแบกถุงขนมนมเนย


“อื้อ กรูซื้อของพอแล้วละไปจ่ายเงินกันเถอะ” ผมตอบกลับมันไปพร้อมกับเข็นรถเข็นไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน




“ทั้งหมดหนึ่งพันแปดสิบสี่บาทค่ะ” พนักงานสาวบอกผมผมควักแบงค์พันสองใบไปให้พี่สาวคนนั้นก่อนจะเลื่อนรถเข็นออกไปรอเพื่อนของผมทั้งสองคน พอดีผมแยกจ่ายกับพวกมันครับผมเลยคิดเงินเสร็จก่อนมัน ผมนั่งรอไอเพื่อนสองคนนั้นสักพักไม่นานนักมันก็เข็นรถเข็นของมันออกไปพร้อมกับเรียกผมให้เดินกลับไปที่รถ


“น้ำตาแม่มจะไหล…เดือนนี้เงินกรูจะติดลบแล้วครับ” ไอเจมส์พูดพร้อมแสร้งทำหน้าปาดน้ำตา “กรูบอกมรึงแล้วว่าอย่าออกไปแดรกเหล้ามากเป็นไงช็อตอย่างที่กรูพูดไหมละ” ผมบ่นมันไปชุดใหญ่แต่คำบ่นของผมมันก็ไม่ได้เข้าหูมันหรอกครับยังไงมันก็ไม่ได้ติดตัวแดง(เพราะค่าเหล้า)ตามที่มันบอกหรอกเพราะมันแอบไปขอเงินพ่อมันใต้โต๊ะเพื่อเอาไปแดรกเหล้าต่อได้ ถึงพ่อแม่ไอเจมส์จะเป็นครูแต่พ่อแม่มันก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรนักหรอกครับโดยเฉพาะพ่อของมัน พอดีมีวันนึงผมกับไอบาสไปเที่ยวบ้านของไอเจมส์ แล้วก็ไม่รู้ว่าพ่อไอเจมส์มันเป็นอะไรนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรขึ้นมา พ่อไอเจมส์มันชวนพวกผมดวลเหล้าซะงั้น ไอเราก็เป็นเด็กดีไม่อยากจะปฏิเสธผู้หลักผู้ใหญ่ก็เลยนั่งก๊งกันไปจนเกือบเช้าแถมตื่นมาแฮงค์กันไปเป็นวัน ๆ ดีนะที่วันนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาวต่อกันสี่วันทำให้พวกผมมีเวลานั่งเบลอเพราะฤทธิ์เหล้าได้อยู่บ้าง
 

“เหล้ามันเป็นปัจจัย 5 ที่ขาดไม่ได้สำหรับกรูเลยนะครับ” ไอเจมส์มันตอบผมมาพร้อมกับเดินหิ้วถุงของซุปเปอร์มาร์เก็ตไปเก็บที่รถของผม


“ปัจจัยที่ 5 ของมรึงจะทำให้มรึงตายไวครับไอคุณเพื่อนเจมส์” ผมร้องบ่นมันไปแต่ยังไงได้ล่ะไอเจมส์นี่มันเป็นพวกคอทองแดงกรอกเหล้าไปยังไงก็ไม่เมาซึ่งตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าไอเจมส์เป็นพวกดื่มเหล้ายังไงก็ไม่เมา มารู้อีกทีก็ตอนไปรับน้องนี่ละครับ เพราะกิตติศักดิ์ของมันก็คือมันดวลเหล้ากับพี่ปี 2 ยันพี่ปีสูงจนพวกพี่ ๆ เขายอมแพ้นอนสลบไสลเมาปลิ้นกันไปเป็นแถบ ๆ ส่วนไอเจมส์น่ะเหรอมันแค่กรึ่ม ๆ เท่านั้นเอง


“จะไปไหนต่อเปล่ามรึง หรือจะกลับคอนโดเลย” เจมส์ถามผมหลังจากที่พวกเราเอาของที่ซื้อมาขึ้นมาไว้บนรถจนหมดแล้ว และผมก็ส่ายหัวเป็นคำตอบเพราะผมอยากกลับไปทำทาร์ตไข่ที่คอนโดแล้ว ไอเจมส์ก็พยักหน้าตอบรับผมกลับมาพร้อมกับสตาร์ทรถขับกลับคอนโดของผมที่ตั้งอยู่เกือบจะใจกลางของกรุงเทพ


เมื่อถึงคอนโดผมก็รีบปรี่วิ่งกลับห้องของตัวเองทันทีโดยทั้งสองมือนั้นหิ้วถุงวัตถุดิบสำหรับการทำทาร์ตไข่ไว้เต็มสองมือ ผมวิ่งนำไอบาสกับไอเจมส์เข้าไปในห้องพร้อมกับกับถอดปมเน็คไทค์โยนมันทิ้งไว้ที่โซฟาก่อนจะแปรสภาพตัวเองจากนิสิตวิศวะเป็นพาทิซิเย่ฝึกหัดทันที


“เชี่ยบาส เชี่ยเจมส์...ถ้าอยากแดรกพวกมรึงจงย้ายก้นจากโซฟามาช่วยกรูทำขนมในห้องครัวเดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมตะโกนบอกเพื่อน ๆ สองคนที่เริ่มทำตัวเป็นเจ้าของห้องของผมโดยการเปิดทีวีและนอนผึ่งพุงตากแอร์ ให้ย้ายก้นของมันมาช่วยผมทำขนมในครัวแต่คิดเหรอครับว่ามันจะยอมเดินมาช่วยผมง่าย ๆ


ใช่ครับ…พวกคุณคิดถูกเพราะสิ้นเสียงของผม พวมันไม่ยอมย้ายก้นออกจากโซฟาของผมหนำซ้ำมันไม่คิดจะแลตามองมาที่ห้องควรเลยสักนิดแต่ละคนตาแกะถุงขนมกินกันคนละห่อพร้อมกับนั่งกดช่องทีวีดาวเทียมดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบายอารมณ์


 ผมก็ได้แต่จ้องมองพวกมันอย่างเคียดแค้น แต่ก็นะ…ต่อให้มันมาช่วยผมทำพวกมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายหรอกหนำซ้ำถ้ามันมาช่วยมันอาจจะทำให้ครัวของผมอาจจะเกิดความวิบัติและบรรลัยขึ้นได้ ผมจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาเตรียมแป้งเพื่อทำเป็นตัวทาร์ตพร้อมกับเตรียมไส้ครีมคัสตาร์ดไปพร้อม ๆ กันด้วย ผมใช้เวลาในการทำแป้งอยู่ไม่นานนัก จากแป้งสาลีอเนกประสงค์สีขาวก็กลายเป็นก้อนแป้งสีครีมที่พร้อมสำหรับใส่แม่พิมพ์เพื่อนำเข้าเตาอบ


ผมหยิบแม่พิมพ์เทปล่อนสีดำสนิทออกมาพร้อมกับแบ่งแป้งเป็นก้อน ๆ เพื่อนำไปใส่ในแม่พิมพ์ ผมมองฝีมือของตัวเองพร้อมกับอมยิ้มออกมา


‘กรูนี่เก่งจริง ๆ’ ผมพยักหน้าพอใจในผลงานที่เกิดขึ้น พร้อมกับนำพิมพ์ขนมทั้งหมดใส่เข้าตู้อบพร้อมกับนั่งคอยให้แป้งทาร์ตที่อยู่ในเตาอบสุกได้ที่


ผมนั่งเท้าแขนมองแสงไฟสีนวลในเตาอบไปพร้อมกับอมยิ้มไป ถ้าพูดไปทุกคนอาจจะหาว่าผมบ้าก็ได้ครับ พอดีผมเป็นพวกมีความสุขที่ได้มองผลงาน(ขนม)ของผมที่ค่อย ๆ ออกมาเป็นรูปเป็นร่างล่ะครับ


ผมนั่งรอคอยเวลาไปสักพักและก็ไม่นานสักเท่าไหร่นักก็ได้ยินเสียงกริ่งที่ร้องบอกว่าแป้งทาร์ตที่อยู่ในเตาอบสุกได้ที่แล้วผมค่อย ๆ นำถาดทาร์ตออกมาก่อนจะค่อย ๆ บรรจงตักไส้ครีมคัสตาร์ดลงไปในแป้งที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ


ผมนำมันเข้าเตาอบไปอีกครั้งและก็ยังคงนั่งจ้องเตาอบด้วยแววตาที่เป็นประกายเช่นเดียวกับเมื่อสักครู่ ครั้งนี้ในการอบไส้คัสตาร์ดต้องละเอียดอ่อนนิดหน่อยและต้องไม่ใจร้อนผมนำถาดขนมออกมาอีกรอบพร้อมกับเทคาราเมลที่ทำจากน้ำตาลทรายเผาลงไปที่หน้าทาร์ตบาง ๆ หลังจากนี้ก็เหลือแต่รอให้น้ำตาลทรายเผาของทาร์ตซึมซับลงไปที่เนื้อครีมคัสตาร์ดขั้นตอนทั้งหมดของการทำไข่ก็เสร็จสิ้นแล้ว ผมนั่งนับเวลารอเสียงกริ่งของเตาอบให้ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับความตื่นเต้นที่จะได้เห็นผลงานของตัวเองออกมาเป็นรูปเป็นร่าง


และเวลาที่ผมตั้งตารอก็มาถึงเสียงกริ่งของเตาอบดังผมรีบถลาไปที่เตาอบทันที


“เสร็จแล้วโว้ยยยย” ผมกรีดร้องออกมาด้วยความยินดีพร้อม ๆ กับสองสหายที่แย่งกันวิ่งเข้ามาในครัว


“เสร็จแล้วเหรอว่ะกร” เสียงไอบาสพูดขึ้น


“วันนี้ทำทาร์ตไข่เหรอว่ะหอมว่ะ” และตามด้วยเสียงของไอเจมส์ที่พูดตามขึ้นมาติด ๆ
ผมมองสภาพเพื่อนของผมที่ตอนนี้ทำตัวเหมือนลูกหมาที่มากระดิกหางขอของกินซึ่งผมก็ยังไม่ยอมให้มันกินกันหรอกครับ มันต้องแบ่งสรรปันส่วนของแต่ละคนให้ครบก่อนไม่งั้นไอพวกนี้มีหวังได้กินเพลินจนเกินเข้าไปส่วนของคนอื่นแน่ ๆ


“วันนี้ทำเยอะกว่าปกตินะกร” เจมส์พูดพลางปรายสายตาขึ้นมามองที่หน้าของผม ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบรับคำพูดของมันแล้วก็พูดออกไปอีกว่า “กรูก่ะว่าจะทำไปให้พี่ศิเขากินด้วย ก็เลยทำออกมามากกว่าปกติน่ะ” สิ้นเสียงของผมเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาสก็หันหน้าไปมองกันริมฝีปากของทั้งสองยักขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะพูดถ้อยคำล้อเลียนผมออกมา


“กรูก่ะว่าจะทำไปให้พี่ศิเขากินด้วย” เสียงแรกเป็นเสียงของไอบาสที่แสร้งตีหน้าเขินอายออกมาเพื่อล้อเลียนผมก่อนประโยคต่อมาจะเป็นบทของไอเจมส์ที่ก็เอ่ยคำพูดล้อเลียนผมเช่นเดียวกัน “ก็เลยทำออกมามากกว่าปกติน่ะ”


ผมจ้องเขม็งใส่ไอเพื่อนสองคนที่พูดล้อเลียนก่อนจะยกที่ตีไข่ขึ้นเพื่อฟาดไปบนหัวเพื่อนผมแบบเรียงคน (อ่อผมล้างที่ตีไข่แล้วนะครับ) “กุทำให้พี่เขาเพื่อตอบแทนที่พี่เขาเลี้ยงหนังเลี้ยงข้าวเว้ย พวกมรึงนี่นะคิดอะไรกันไร้สาระชะมัด” ผมบ่นพึมพำพร้อมกับค่อย ๆ จัดทาร์ตไข่ใส่กล่องแยกไว้เป็นสามกล่องโดยสองกล่องแรกผมก่ะยกให้ไอเจมส์กับไอบาสเพื่อยกให้มันเอากลับไปกินที่หอส่วนกล่องที่สามผมก่ะว่าจะเอาไว้ให้พี่หมอที่อยู่ข้างห้องผม ส่วนของผมน่ะเหรออยู่ในจานนั่นละครับต่อให้พูดว่าผมเสี้ยนของหวานขนาดไหนแต่ผมก็กินไม่มากหรอกครับชิ้นสองชิ้นก็พอแล้ว


ผมเดินหยิบจานทาร์ตไข่ที่เพิ่งออกมาจากเตาอบร้อน ๆ ออกไปนั่งบนโซฟาพร้อมกับนั่งดูทีวีพร้อมกับเพื่อน ๆ ทั้งสองคน พวกเราแย่งกันกินทาร์ตไข่ในจานอย่างเมามันและสุดท้ายก็เป็นไอบาสที่เป็นคนได้ชิ้นสุดท้ายไป ไอเจมส์มองทาร์ตไข่ชิ้นนั้นด้วยสายตาผิดหวังก่อนมันจะหาวิธีแก้เผ็ดไอบาสด้วยคำพูดที่ทำให้บาสแทบจะสำลักทาร์ตชิ้นนั้นออกมา


“มรึงรู้เปล่าบาส…ผู้หญิงเขาชอบบอกกันว่าชิ้นสุดท้ายได้แฟนหล่อนะ” เสียงของไอเจมส์พูดขึ้นลอย ๆ แต่มันก็เงียบลงไปด้วยเสียงตบหัวดังแปะด้วยฝ่ามืออรหันของไอบาส “เงียบไปเลยมรึงถ้าผู้ชายกินเขาก็เปลี่ยนเป็นชิ้นสุดท้ายได้แฟนสวยแทนเว้ย”
ผมหัวเราะท่าทางของเพื่อนทั้งสองคนก่อนที่เสียงออดที่หน้าประตูห้องของผมดังขึ้นจึงทำให้ผมต้องลุกขึ้นไปเปิดประตูดูว่าแขกที่มาใหม่นั่นคือใคร



v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


บานประตูของห้อง 1403 ถูกเปิดออกพร้อมกับเผยให้เห็นร่างสูงของว่าที่หมอที่มีนามว่าศิรวิทย์ ผมโค้งหัวทักทายพี่เขาพร้อมกับส่งสายตาเป็นคำถามว่าพี่ศิมาทำอะไรครับ


“ให้พี่เข้าไปในห้องได้หรือเปล่า พอดีพี่ซื้อขนมมา ขอโทษที่เมื่อกลางวันพี่ไม่ได้ทักเราตอนเดินผ่านหน้าเราน่ะ” พี่ศิตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม ผมเบนสายตาลงไปมองถุงที่เต็มไม้เต็มมือของพี่เขาก่อนที่ผมจะหลีกทางจากประตูเพื่อให้พี่ศิเดินเข้ามาในห้องของผมได้สะดวก ๆ


“พี่ศิไม่ต้องซื้อขนมมาเซ่นกรก็ได้ กรไม่ได้โกรธอะไรพี่ศิหรอกครับแค่โดนเมินเอ้งง” ผมแกล้งทำเสียงโกรธ ๆ พร้อมกับพูดแหย่พี่ศิเขาไป ประโยคพวกนั้นทำให้พี่ศิรีบลนลานวิ่งมาขอโทษผมแทบจะไม่ทัน


“พี่ขอโทษนะกร พี่ไม่ได้ตั้งใจจะเมินกรเลยนะ” พี่ศิเดินมาดักหน้าผมไว้พร้อมกับโค้งหัวน้อย ๆ เป็นการขอโทษ ซึ่งไอผมก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่ศิเขาอยู่แล้วจึงหัวเราะออกมาดัง ๆ ที่แกล้งพี่ศิเขาได้สำเร็จ


“โหยพี่ กรล้อเล่น กรไม่โกรธพี่ศิหรอก” ผมพูดพร้อมกับมือที่ยื่นขึ้นไปตบที่บ่าของพี่เขาก่อนจะสาวเท้าเดินนำพี่ศิเขาไปในห้องนั่งเล่นที่มีเพื่อนของผมทั้งสองคนนอนอืดอยู่


มันสองตัวเขยิบตัวขึ้นมาเล็กน้อบก่อนจะโค้งหัวน้อย ๆ ใส่พี่ศิเป็นการทักทายแล้วมันทั้งสองคนก็หันไปสนใจทีวีต่อ


‘โถ่วเพื่อนกรู…โคตรมีมารยาทกับรุ่นพี่เลยจริง ๆ’ ผมยกมือขึ้นตบหน้าผากของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะพูดเชิญให้พี่ศิเดินเที่ยวห้องของผมได้ตามสบาย “เชิญพี่ศิเลยครับ หรือพี่ศิอยากจะไปกระโดดทับไอสองคนนั้นกรก็ไม่ว่าหรอก พวกมันออกจะทำตัวสบายเกินเจ้าของห้องอย่างกรมากไปแล้ว" ตอนนี้ผมเริ่มที่จะชินกับการเรียกชื่อกรแทนตัวแล้วล่ะครับ ในตอนแรก ๆ ผมก็มีหลุด ๆ บ้างซึ่งถ้าเมื่อผมหลุดพูดแทนตัวด้วยคำอื่นนอกจากคำว่ากร พี่ศิก็จะเรียกผมกลับมาด้วยสรรพนามที่สยิวไส้อย่างน้องกรกลับมาเช่นกัน


ซึ่งตัวของผมนั้นสยิวไส้คำว่าน้องกรมากกว่าคำว่ากรครับจึงเลยจำยอมแทนตัวเองว่ากรกับพี่ศิไป


พี่ศิหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่พี่เขาก็ไม่ได้เดินไปกระโดดทับไอเพื่อนสองคนของผมนั่นหรอก พี่ศิเขาเลือกที่จะเดินมาช่วยผมจัดขนมทั้งหมดใส่จานแทน


“พี่ศิรู้เปล่า...กรน่ะไม่กินขนมของร้านไหนนอกจากร้านของบ้านตัวเองนะ” ผมพูดปณิธานของตัวเองให้พี่ศิฟังซึ่งพี่เขาก็เลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความสงสัย


“ทำไมเหรอครับกร” พี่ศิเอี้ยวตัวมามองหน้าผมที่กำลังจัดขนมในจานให้สวยงามผมหันไปสบตาพี่ศิสักพักก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มว่า


“ก็บ้านกรเปิดร้านขายขนมเบอเกอรี่นี่นา...กรจะไปช่วยคู่แข่งของบ้านตัวเองทำไมล่ะครับ” สิ้นเสียงขอผมพี่ศิก็พยักหน้าอย่างเข้าใจแต่สีหน้าของพี่เขาออกจะผิดหวังไปสักเล็กน้อยที่ผมปฏิเสธที่จะทานขนมที่พี่เขาซื้อมา ผมมองสีหน้าผิดหวังนั้นสักพักก่อนจะถอนหายใจและยอมแพ้ให้กับสีหน้าผิดหวังของพี่เขา


“เฮ้อ...ถือว่าครั้งนี้กรยกให้พี่ศินะครับ” ผมพูดขึ้นพร้อมกับกอดอกตัวเองก่อนจะพูดต่อออกไปอีกว่า “คราวนี้กรจะยอมกินขนมที่พี่ศิซื้อมาก็ได้แต่กรคงกินได้ไม่มากนะครับ เพราะพอดีพวกกรเพิ่งกินทาร์ตไข่กันไปเมื่อกี้นี้เอง” เมื่อผมพูดจบ ผมก็ฉีกยิ้มกว้างให้กับพี่เขาซึ่งพี่เขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นขยี้หัวของผมแรง ๆ จนผมของผมฟูไม่เป็นทรง “กรทำเอาพี่ผิดหวังไปวูบใหญ่เลยนะ”


“เอ้า...ก็กรถือคติไม่กินของของร้านค้าคู่แข่งของบ้าน ที่กรยอมกินขนมที่พี่ศิซื้อมานี่เพราะสีหน้าผิดหวังสุด ๆ ของพี่ศิเลยนะเนี่ย” ผมพูดแหย่พี่เขาพร้อมกับเดินถือจานขนมจานใหม่เข้าไปในห้องนั่งเล่น ผมใช้เท้าเขี่ยเพื่อนทั้งสองคนให้นั่งดี ๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ พวกมัน


“เสบียงมาเพิ่มแล้วเว้ย” ผมพูดพร้อมกับวางจานลงไปกลางโต๊ะและเป็นที่แน่นอนไอบาสและไอเจมส์ก็ถลาไปตอดขนมในจานชิ้นใหม่อย่างรวดเร็ว


“ไอกรนี่มันไม่ใช่ขนมจากบ้านมรึงนี่” เสียงของบาสพูดขึ้นมาก่อนจะตามด้วยเสียของไอเจมส์ “แล้วก็ไม่ใช่ขนมที่มรึงทำด้วย” ผมพยักหน้าตอบรับพวกมันแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อทั้งยังเอื้อมมือไปหยิบส้อมพร้อมกับจิ้มเค้กที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เข้าปากไป ก็อร่อยดีแหะแต่ยังไงก็สู้สูตรเค้กของบ้านผมไม่ได้หรอก


“แล้วมรึงแดรกลงไปได้ยังไงว่ะ! ไหนบอกว่าจะไม่แดรกขนมที่ไม่ใช่สูตรบ้านมรึงนี่” ทั้งสองคนพูดประสานเสียงกันซึ่งผมก็ยกมือทั้งสองข้างมาปิดหูไว้พอพวกมันพูดจบผมถึงค่อยเอามือออก “กรูทนเห็นสีหน้าหมาหงอยของพี่ศิไม่ได้ว่ะ เลยยอมกินนิดนึง” ผมไหวไหล่ขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับยื่นมือขึ้นไปจิ้มเค้กชิ้นที่สองเข้าปาก ‘อร่อยดีแหะ...’ ผมคิดในใจ แต่ไม่ได้ ๆ เพราะยังไงขนมบ้านผมก็ดีกว่าอยู่แล้ว


ในขณะที่ผมบ่นพึมพำพลางจิ้มเค้กชิ้นเล็ก ๆ เข้าปากเรื่อย ๆ เจ้าเพื่อนสนิททั้งสองคนของผมก็หันไปซุบซิบ ๆ อะไรกันบางอย่างก่อนจะลุกขึ้นไปเดินควงแขนพี่ศิคนละข้างและลากไปคุยมุมห้อง ซึ่งผมก็ไม่สงสัยอะไรหรอกครับปล่อยให้พวกเขาทั้งสามคนคุยกันไป ส่วนผมก็นั่งจิ้มเค้กชิ้นต่อไปกินอย่างเพลิดเพลิน


อย่าว่าผมเห็นแก่กินเลยนะครับ ผมแค่ขี้เกียจจะไปสนใจอะไรที่สามคนนั้นคุย(เพราะมันคงไม่เกี่ยวอะไรกับผม)ดังนั้นผมก็เลยเลือกที่จะนั่งเฉย ๆ แล้วกินเค้ก(ของร้านอื่นที่ไม่ใช่ของของร้านผม)ต่อไปดีกว่า


ผ่านไปสักพักทั้งสามคนก็เดินกลับมานั่งที่เดิมของเขา ไอบาสกับไอเจมส์ยิ้มเจ้าเล่ห์น้อย ๆ พร้อมกับส่งสายตาน่าขนลุกมาให้ผม ส่วนพี่ศิรู้สึกว่าหน้าของพี่เขาจะแดงขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับมุมปากที่มีรอยยิ้มจาง ๆ ราวกับคนที่เพิ่งได้ฟังเรื่องน่ายินดีอะไรบางอย่างมา


ผมวางส้อมลงกับจานก่อนจะเอนหลังไปพิงกับโซฟาตัวกว้าง


“เป็นอะไรกันอ่ะ แล้วพวกมรึงสองคนยิ้มแบบนั้นทำไม พวกมรึงยิ้มแบบนี้ทีไรกรูไม่ไว้ใจมรึงทุกที” ผมมองเพื่อนทั้งสองคนด้วยสายตาหวาดหวั่น นั่นก็เป็นเพราะเวลามันยิ้มแบบนั้นใส่ผม (หรือใส่ใคร) คน ๆ นั้นก็จะซวยทุกทีซึ่งผมไม่อยากให้มันยิ้มแบบนั้นใส่ผมครับ เพราะผมก็ซวยไปแล้วรอบนึงนั่นก็คือรอบที่ผมโดนเกมส์ลงโทษให้ไปสารภาพรักกับพี่ศินั่นล่ะครับรอบนั้นผมซวยแบบสุด ๆ ต่อให้ไปทำบุญ 7 วัด 9 วัดก็ไม่หาย


“โถ่วเพื่อนกรที่รักพวกกรูจะไปทำอะไรมรึงได้ล่ะครับ จริงไหมครับพี่ศิ” ไอบาสพูดพร้อมกับหันไปถามพี่ศิที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นลูกคู่ให้ไอบาสเรียบร้อยแล้ว


“ใช่ครับกร ที่พี่ไปคุยกับบาสแล้วก็เจมส์กันเมื่อกี้นี้มันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ นะครับ” พี่ศิพูดไปนิ้วมือของพี่เขาก็พลางเกาแก้มตัวเองไป ผมขมวดคิ้วจนเป็นปมก่อนจะเบนสายตาไปมองที่ไอเจมส์ที่ตอนนี้มันกำลังใช้ส้อมนั่งจิ้มเค้กที่ผมกินค้างไว้เข้าปาก


“ไม่ต้องมามองที่กรูครับ ไอคุณกรต่อให้มรึงจะทำอะไรกรู กรูก็ไม่บอกครับว่าที่แอบไปคุยกันมา…พวกเราแอบไปคุยอะไรกัน” เพื่อนเจมส์พูดเสียงอู้อี้เพราะเค้กที่อยู่เต็มปากแต่มันก็ไม่วายยักคิ้วข้างหนึ่งของมันเพื่อกวนประสาทผม


“ริอาจมีความลับกับเพื่อนกับฝูง กับน้องกับนุ่งเหรอ” ผมพูดเสียงทุ้มต่ำพร้อมกับก้มหน้าแสร้งตีหน้าเศร้าซึ่งมันก็ใช้ได้ผมแต่ใช้ได้ผลกับพี่ศิคนเดียวสองสหายของผมมันรู้แกวหมดแล้วครับว่าผมทำท่าแบบนี้ผมเสแสร้งแกล้งทำแน่นอน
ไอเจมส์ดึงมือพี่ศิไว้ก่อนจะส่ายหัวไปมาเชิงห้ามปรามว่าอย่าไปสนใจผมเลย ส่วนไอบาสมันใช้ตัวมันดันผมไว้เพื่อให้ผมไม่สามารถลุกขึ้นไปถามอะไรพี่ศิได้


ผมเลยได้แต่นั่งทำแก้มป่องเพราะงอนทั้งสามคนก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง แต่ถึงผมจะสะบัดหน้าหันหนีก็เถอะแต่ก็มีแอบปรายหางตามองทั้งสามคนบ้างซึ่งไอบาสกับไอเจมส์มันไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรแต่กับพี่ศิพี่เขาดูเดือดเนื้อร้อนใจมากคิ้วเข้มของเขาตอนนี้มันแทบจะขมวดเป็นปมแล้ว


ผมจะไม่ใจอ่อนเด็ดขาดไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม คราวนี้ผมใช้วิธีการขั้นเด็ดขาดคือการลุกขึ้นและเดินเข้าประตูห้องนอนของตัวเองแล้วล็อคห้องหนีทั้งสามคนซะเลย ซึ่งวิธีนี้ทำให้ไอเจมส์กับไอบาสทำหน้าเหวอได้ ส่วนพี่ศิพี่เขาแทบจะถลาไปรั้งผมไว้ซึ่งไม่ทันผมหรอกครับ…กว่าพี่เขาจะเดินถึงตัวผม ผมก็ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย และอย่านึกนะครับว่าทั้งสามคนจะเข้ามาในห้องนอนของผมได้ ไม่มีทางซะหรอกเพราะไอบาสกับไอเจมส์มันมีแต่กุญแจเข้าคอนโดผมแต่มันไม่มีกุญแจเข้าห้องนอนผมครับ


ผมแอบนั่งเอาหูแนบไปกับประตูเพื่อแอบฟังทั้งสามคนคุยอะไรกันพี่ศิดูจะเดือดเนื้อร้อนใจมากที่สุด ส่วนไอเพื่อนสองคนของผมนี่คอยปลอบให้พี่ศิใจเย็นลงซึ่งผมรู้สึกสะใจเหลือเกิน ก็เล่นไม่ยอมบอกผมว่าไอแอบคุยอะไรกันถึงแม้ตอนแรกผมจะไม่อยากรู้ก็เถอะแต่พอโดนทั้งสามคนจ้องหน้าพร้อมกับรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจใคร ๆ ก็อยากรู้กันทั้งนั้นล่ะครับ ด้วยสภาพการณ์เป็นแบบนั้นไอที่ไปแอบคุย ๆ กันนี่ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับผมแน่นอนเลย ไอกรคนนี้ขอฟันธง!


ผมนั่งลงพร้อมกับพิงไปที่ประตูเพื่อแนบหูฟังเสียงที่คุยกันอยู่หน้าห้องนอนของผม ดูเหมือนว่าพี่ศิใกล้จะสติแตกไปแล้วที่เห็นผมหายเงียบเข้าไปในห้อง ไอเจมส์กับไอบาสก็ยังคงทำหน้าที่เดิมคือคอยปลอบและรั้งพี่ศิไม่ให้พังประตูห้องนอนของผมเข้ามา
ให้ตายเถอะครับพี่ ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ผมไม่ใช่พวกงอนเพื่อนจนคิดสั้นฆ่าตัวตายหรอกนะ


เวลาผ่านไปได้สักพักไอผมก็เริ่มจะทนเสียงโวยวายหน้าห้องของผมไม่ไหว จึงได้เปิดประตูห้องออกไปพร้อมกับเก็กหน้านิ่ง ๆ แสร้งทำเป็นว่าผมกำลังโกรธพวกเขาทั้งสามคนอยู่ซึ่งคราวนี้ทั้งสามคนเชื่อผมอย่างสนิทใจเลยครับว่าผมโกรธพวกเขาจริง ๆ งานนี้ผม(แกล้งทำเป็น)โกรธทำเอาห้องทั้งห้องเงียบลงถนัดตาแถมทั้งสามคนก็เดินตามหลังผมต้อย ๆ แล้วก็ไปนั่งจุ่มกันที่โซฟา ผมนั่งไขว้ห้างหยิบรีโมตทีวีขึ้นมากดเปลี่ยนช่องไปมา แต่ก็ไม่มีช่องไหนที่ผมสนใจผมก็เลยโยนรีโมตทีวีไปโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโซฟา พี่ศิและเพื่อน ๆ อีกสองหน่อของผมสะดุ้งโหยงทันที ท่าทางการเก็กแกล้งทำเป็นโกรธครั้งนี้ดูท่าจะได้ผลล่ะครับ แต่ละคนนั่งทำหน้าหงอยอย่างกับลูกหมาเลยครับ ผมนี่แทบจะเก็กหน้านิ่งเอาไว้ไม่อยู่ ขอสารภาพตามตรงเลยว่าอยากหัวเราะกับสีหน้าของพวกเขาทั้งสามคนมาก แต่ความรู้สึกอยากแกล้งคนนี่มันมีมากกว่าครับผมจึงพยายามตีหน้านิ่งต่อไป


ตอนนี้ผมแบบจะลุกขึ้นทุกคนก็ลุกขึ้นตาม ผมจะเดินไปไหนก็มีทั้งสามคนเดิมตามแต่ละคนเริ่มทำหน้าเสียขึ้นไปเรื่อย ๆ ช่วงเวลาแห่งความเงียบนี้ผ่านไปได้สักสามสิบนาที ไอบาสมันก็เริ่มทนไม่ไหวมันเดินมาดักหน้าผมแล้วพูดพร่ำขอโทษผมใหญ่


“เฮ้ยกรกรูขอโทษแต่กรูบอกมรึงไม่ได้จริง ๆ” มันยกมือขอโทษขอโพยผมใหญ่ สิ่งที่มันบอกผมไม่ได้นี่มันยิ่งใหญ่อะไรนักหนากันนะ แต่เอาเถอะผมก็ไมได้สนใจอะไรหรอกเพื่อนไม่อยากให้ผมรู้ผมไม่รู้ก็ได้เพราะผมเคารพสิทธิของเพื่อน ถ้ามันอยากบอกมันก็จะบอกเอง แต่พอดีตอนนี้ผมเจือกอยากจะแกล้งมันขึ้นมาก็เลยตีสีหน้านิ่งสนิทใส่พวกเขาไป


“เหรอ” ผมพุดตอบมันไปสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความ คำตอบของผมมันยิ่งทำให้ไอบาสหน้าเสียเข้าไปใหญ่จนไอเจมส์ก็ต้องเดินมาเกาะไหล่พร่ำขอโทษผมอีกคน


“เฮ้ยคือพวกกรูไม่ได้มีอะไรปิดบังมรึงเลยนะเว้ยแต่นี่มันเรื่องส่วนตัวของพี่ศิเค้ากรูเลยบอกไม่ได้” ผมปรายตามองไอเจมส์ช้า ๆ ก่อนจะเบนสายตาไปมองหน้าพี่ศิ ผมพยายามทำสีหน้าให้เย็นชาแบบสุด ๆ เอาไว้ สายตาของผมดูท่าจะนิ่งสนิทมากเพราะคิ้วเข้มของพี่ศิเขาขมวดกันจนแทบจะเป็นปมอยู่บนในหน้าอันแสนหล่อเหลาของเขาอยู่แล้ว


ผมไหวไหล่ขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัวพร้อมหยิบน้ำส้มทิปโก้ขึ้นมาเทใส่แก้วพร้อมกับยกขึ้นดื่มช้า ๆ ผมแอบเหลือบมองสีหน้าของคนทั้งสามคนที่ตอนนี้หน้าตาเคร่งเครียดเป็นอย่างมากเมื่อผมดื่มน้ำส้มจนหมดแก้วผมก็วางแก้วกระแทกลงบนโต๊ะจนทำให้ทั้งสามคนนั้นสะดุ้งขึ้นมาทันที


“…พอล่ะ” ผมพูดงึมงำออกมาเบา ๆ จนทำให้ทั้งสามคนต้องเงี่ยหูฟังว่าผมพูดอะไร


“พอล่ะ” คราวนี้ผมพูดดังขึ้นมาอีกนิดดูเหมือนว่าทั้งสามคนที่ยืนทำหน้าหงอยจะได้ยินเสียงของผมแล้วล่ะ


“ไม่โกรธแล้ว” คราวนี้ประโยคที่ผมพูดออกไปทำให้ทั้งสามคแทบจะกระโดดกอดคอผมซึ่งผมก็ยกมือห้ามพวกเขาไว้เพราะว่าผมยังไม่อยากล้มหน้าคว่ำตอนนี้ หลังจากที่ผมพูดออกไปว่าไม่โกรธแล้วสีหน้าทั้งสามคนก็ดีขึ้นเล็กน้อยโดยเฉพาะพี่ศิเขายิ้มแป้นออกมาด้วยความยินดี ส่วนเพื่อนทั้งสองคนของผมนั่นเหรอครับสีหน้ามันก็ดีขึ้นมาหน่อยแต่มันก็ยังคงขมวดคิ้วเป็นปมกันอยู่ดี


“ไม่โกรธพวกกรูแล้วแน่นะ” ไอเจมส์มันถามซ้ำและผมก็พยักหน้าตอบมันกลับไป


“แน่ใจนะมรึง” ไอบาสถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความชัวร์และผมก็พยักหน้าตอบคำถามมันกลับไปอีก


“กรไม่โกรธพวกพี่ ๆ แล้วสินะครับ” ผมชักจะรำคาญไอคำถามนี้แล้วนะผมก็เลยตัดปัญหาเลยตอบกระแทกเสียงออกไป “เออไม่โกรธแล้ว….แต่ถ้าถามอีกทีมีโกรธอ่ะ”


สิ้นเสียงของผมทั้งสามคนก็ปิดปากจนเงียบสนิทผมหันไปมองดูนาฬิกาที่แขวนไว้บนข้างฝาตอนนี้เข็มสั้นมันชี้อยู่ที่ใกล้ ๆ กับเลข 9 และเข็มยาวกำลังเคลื่อยนตัวไปบรรจบที่เลข 12 ซึ่งเวลานี้ก็เป็นเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้วผมจึงไล่ให้ไอบาสกับไอเจมส์รีบขับรถกลับหอพร้อมกับหิ้วกล่องทาร์ตไข่ที่ผมส่งให้มันไป


“รีบไปได้แล้ว เดี๋ยวประตูหอปิดกรูไม่รู้ด้วยนะ” ผมพูดเตือนมันและเหมือนคำพุดของผมจะเตือนสติของพวกมัน ไอเจมส์กับไอบาสรีบร่ำลาผมพร้อมกับวิ่งถลาไปที่ประตูลิฟท์พร้อมกับรีบกดลิฟท์ย้ำ ๆ เหมือนกับที่ผมเคยทำ ซึ่งทำไปมันก็ไม่ได้ช่วยให้ลิฟท์ขึ้นมาหรือลงไปไวขึ้นกว่าเดิมหรอก


เมื่อประตูลิฟท์เปิดขึ้นไอสองสหายของผมก็รีบปรี่เข้าไปในลิฟท์พร้อมกับโบกมือลาผมกับพี่ศิที่ยืนส่งมันอยู่หน้าห้อง(ของผม)
ผมเบนสายตาหันไปมองพี่ศิที่ยังคงยืนอยู่ในห้องแต่ดูเหมือนพี่เค้าจะรู้ตัวพี่ศิส่งยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนจะขอตัวกลับห้องไป แต่ผมก็ยังไม่ยอมให้พี่เขากลับไปง่าย ๆ มือข้างหนึ่งผมรั้งมือพี่เขาไว้ ส่วนมืออีกข้างนึงก็ยื่นกล่องทาร์ตไข่ให้พร้อมกับเอ่ยคำพูดขอบคุณพี่เขาไป


“แทนคำขอบคุณที่เลี้ยงหนังกับเลี้ยงข้าวกรกับเพื่อน ๆ เมื่อสองอาทิตย์ก่อน อันนี้กรทำเองเลยนะหวังว่ามันจะถูกใจพี่ศิ” ผมพูดพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะปล่อยมือพี่ศิไป


พี่ศิรับกล่องขนมของผมด้วยความงุนงงชั่วครู่ก่อนใบหน้าคมจะเผยรอยยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับบานประตูห้องของผมที่ปิดสนิทลง


“ขอบคุณนะครับกรพี่จะตั้งใจทานเป็นอย่างดี” เสียงพูดของพี่ศิลอยเข้ามาในประตูและเสียงนั่นก็ทำให้ผมยิ้มออกมาเสียกว้าง


“ลองชิมฝีมือท่านกรคนนี้แล้วจะติดใจ” ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไป



_________________________________


ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ บางทีพลอยก็ว่าพี่ศิเขาน่ารัก แต่บางทีพลอยก็ว่ากรน่ารักกว่า พลอยชอบตัวตนของกรค่ะ เป้นคนที่แสดงอะไรออกมาตรง ๆ แต่ก้แกล้งคนบ้างเป็นบางครั้ง >< ขอให้อ่านนิยายเรื่องนี้อย่างสนุกสนานกันทุกคนนะคะขอบคุณค่า

Windiizz

  • บุคคลทั่วไป
เม้นตอน 3

อ่านตอนนี้แล้วรุ้สึกว่ากรค่อนข้างเอาแต่ใจฝุดๆไปเลย
ถ้าไม่ใช่พี่ศิกุอาจมีตบเกรียนได้อ่ะ 55555
หวังว่าตอนหน้าๆกรจะไม่เอาแต่ใจขนาดนี้นะะะะ
แต่ที่กรี๊ดสุดคือฉากในโรงงงงง
ถ้าอิฉันเป็นเจมส์คงจะแอบถ่ายรูปไปสัก10ชอตอ่ะค่ะ แอร๊ยยยยย อยากสิงเข้าไปอยุ่ในโรงนั้นนน

ตอน4

ตอนนี้เขินว่ะะะะะะะะะะะ เขินตอนท้ายอ่ะะะะ กรโค่ดแม่ศรีเรือน ชอบอ่ะ อ่านแล้วอิ่มๆแบบพี่ศิโค่ดมุ้งมิ้งงงง

คนเขียนอัพไวมากบอกเลย
ควรจดไว้เป็นสถิติ ปลื้มมากค่ะ 55555
คนอ่านงานสุม พลาดไปตอนเลย TvT

MangoBlue

  • บุคคลทั่วไป
ทาร์ตไข่ชิ้นนี้พี่ศิคงจะจำรสชาติไปอีกนานแน่ๆ ทาร์ตแห่งความรักกกก :-[

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
น้องกรมีเสน่ห์ปลายจวักด้วย น่ารักเกินไปละ
เราว่าน้องกรยอมลงให้พี่ศิแบบไม่รู้ตัวนะเนี่ย แม้กับเพื่อนจะเอาแต่ใจแต่กับคนอื่นก็มีความเกรงใจ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
น้องกรแม่ศรีเรือนจริงๆ
เขาสามคนคุยอะไรกันนะ เกี่ยวกับกรแน่

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
น้องกรน่ารัก :mew1:

เรื่องสนุกดีค่ะ ชอบ ถ้าลดการใช้คำว่า แม่ม ลงจะได้อรรถรสกว่านี้  :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น่ารัก สมเป็นแม่บ้านจริง "ว่าที่ภรรยาคุณหมอ" อิอิ

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



Chapter 5



   วันนี้ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยโจ๊กกระป๋องรสหมูสับที่ซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเมื่อวานซึ่งมันเป็นอาหารง่าย ๆ สบาย ๆ ที่ทำกินง่ายพอ ๆ กับอาหารประจำชาติไทย(นั่นก็คือมาม่า)เราล่ะครับ ทุกท่านก็คงสงสัยสินะครับว่าทำไมผมถึงทำตัวชิลขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นธรรมดาที่ผมนั้นต้องไปเรียน ที่ผมชิลแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะอาจารย์ที่สอนวิชาฟิสิกส์ 1 (รวมไปถึงการเรียนแลปฟิสิกส์ต่อสองวิชานี้จะต้องเรียนควบคู่กันครับ) วันนี้อาจารย์เขาประกาศแคนเซิลคลาสซึ่งทำให้ผมยินดีปรีดาและนอนผึ่งพุงอยู่ในห้องอย่างสบายอารมณ์


ส่วนไอเจมส์กับไอบาสน่ะเหรอครับ หลังจากที่มันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงโทรมาบอกผมว่าอาจารย์เขาแปะกระดาษเอสี่ไว้หน้าห้องเพื่อประกาศแจ้งว่ายกเลิกคลาสเรียน มันสองคนก็เงียบหายไปเลย สงสัยพวกมันจะขับมอไซค์หลีสาวแก้เซ็งที่คณะนิเทศน์แล้วล่ะมั้งครับ(ที่มันหงุดหงิดก็เป็นเพราะว่าพวกมันอุตส่าห์แหกขี้ตาตื่นขึ้นไปเรียนซึ่งปกติไอสองคนนี้มักจะเข้าเรียนวิชานี้สาย แต่พอวันที่มันตื่นเช้าอาจารย์ก็ยกเลิกคลาสซะงั้น มันเลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบนั้นล่ะครับ แถมตอนโทรศัพท์มาบอกผมมันบ่นใส่ผมเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วมันค่อยวาง) ซึ่งการไปหลีสาวคณะนิเทศน์ปกติผมก็จะไปกับมันด้วยนั่นละครับ แต่วันนี้ผมขอนอนชิลอยู่ในคอนโดแทนแล้วกันไหน ๆ ก็ได้หยุดทั้งที


ผมนอนกลิ้งเล่นอยู่ในห้องไปพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องของผม เมื่อผมมองไปทั่วห้องคำ ๆ นึงที่ลอยแวปมาในหัวของผมนั่นก็คือ ‘ทำไมห้องกรูมันรกได้ขนาดนี้ว่ะ’ สภาพคอนโดผม ขอเรียกได้ว่ามันสกปรกซกมกแต่ยังไม่ถึงขั้นโสโครกครับ
ผมมองห้องที่เต็มไปด้วยถุงขนมที่วางไว้มุมต่าง ๆ กองเสื้อผ้าที่ผมลืมส่งให้แม่บ้านเอาไปซักและรวมไปถึงห้องครัวที่ผมนั่งทำทาร์ตไข่กินกันไปเมื่อวาน


‘สภาพห้องแบบนี้ผมอยู่ไปได้ยังไงกัน’ ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่ว่า วันนี้ผมจะทำความสะอาดห้องให้สะอาดเอี่ยมอ่อง(เหมือนกับตอนที่คุณเจ้ของผมอยู่)ให้ได้


เริ่มแรกผมก็ต้องจัดการเก็บเศษขยะและถุงขนมที่กองอยู่รอบ ๆ บริเวณห้องก่อนผมเดินเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับคุ้ยหาถุงขยะที่ซุกไว้อยู่ในตู้ ผมกางถุงขยะนั่นออกพร้อมกับเริ่มจัดการกับขยะที่อยู่ในห้องทันที เวลาที่จัดห้องผมจะเป็นพวกแบบอะไรไม่ใช้ก็ทิ้ง(โดยไม่สนว่าราคาของที่ผมทิ้งไปนั้นมันเท่าไหร่) ผมโยนหนังสือการ์ตูนที่ผมซื้อซ้ำมาลงในถุงขยะก่อนจะโยนถุงขนมขบเคี้ยวตามลงไปผมวิ่งย้ายมุมไปรอบ ๆ ห้องพร้อมกับถุงขยะคู่กาย ค่อย ๆ เก็บเศษขยะไปเรื่อย ๆ จนถุงขยะใบแรกเต็ม จึงมัดปากถุงขยะแล้วเอาไปวางไว้มุมห้องก่อนจะหยิบถุงขยะใบใหม่ขึ้นมาจัดการกองขยะที่ยังคงกองเต็มห้องผมต่อ


ทุกท่านก็คงสงสัยอีกสินะทำไมห้องของผมถึงมีขยะหรือของที่ไม่ได้ใช้เยอะซะเหลือเกิน ผมสารภาพก็ได้ครับ ก็ตั้งแต่วันที่ผมโดนไอบาสกับไอเจมส์ให้ยอมรับโทษของเกมส์ลงทัณฑ์ตั้งแต่วันนั้นล่ะครับ เอะยังนึกไม่ออกอีกเหรอครับก็ไอวันที่ผมไปสารภาพรักกับพี่ศินั่นละครับ ตั้งแต่วันนั้นผมยังไม่ได้ทำความสะอาดห้องเลยครับไอกวาดเกวิดก็ทำไปนิดหน่อย แต่พวกเศษของถุงขนมหรือเศษขยะอะไรที่ผมกอง ๆ ไว้ในห้องผมไม่ได้จัดการอะไรกับมันเลยครับ ผมไม่ใช่คนซกมกนะผมแค่ขี้เกียจทำความสะอาดเอง คือเมื่อก่อนคุณเจ้ผมจะทำให้แต่ตอนนี้คุณเจ้แกแพคกระเป๋ากลับไปนอนบ้านแล้วมันก็เหลือผมคนเดียวนั่นละครับที่ต้องทำ ซึ่งก็บอกไปเมื่อสักครู่แล้วว่าผมขี้เกียจทำความสะอาดสภาพห้องก็เลยดูเหมือนผ่านสงครามครูเสดมาแบบนี้นั่นล่ะครับ
ใช้เวลาพักใหญ่กับการจัดการขยะที่กองระเกะระกะภายในห้องและในที่สุดสิ่งที่ผมใฝ่ฝัน(ว่าขยะมันจะหมดจากห้องไปเสียที)ก็สำฤทธิ์ผล ในที่สุดขยะทั้งหมดทั้งมวลก็หมดไปจากห้องของผมสักที ตอนนี้ก็เหลือแต่ตรงบริเวณหน้าประตูห้องซึ่งผมยังไม่ได้จัดการกับขยะหรือกองรองเท้าที่วางระเกะระกะเลย ผมรวบรวมถุงขยะไปกองไว้มุม ๆ หนึ่งของห้องพร้อมกับหยิบถุงขยะถุงใหม่เดินตรงไปที่ประตูห้อง


ผมก้มจัดรองเท้าที่วางกอง ๆ ไว้เป็นคู่ ๆ เมื่อผมจัดคู่มันไปสักพักพลันสายตาของผมก็หันไปเห็นกระดาษสีฟ้าอ่อนใบเล็ก ๆ ที่ถูกเสียบอยู่ใต้ประตูผมหยิบมันขึ้นมาอ่านด้วยความงุนงง แต่ความสงสัยของผมก็หายไปทันทีที่ได้อ่านข้อความที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ใบนั้น



‘ทาร์ตไข่ของกรอร่อยมากครับ ทำเอาพี่ที่ซื้อเค้กมาอายเลยทีเดียว ไว้วันอื่นพี่อาจจะขอไปฝากท้องที่ห้องของกรอีกนะครับ จากพี่ศิ’



ผมอมยิ้มขึ้นมาทันทีที่อ่านจบผมหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นพร้อมกับใส่ไว้ที่กระเป๋ากางเกงเพราะผมคิดว่าหลังจากที่จัดห้องเสร็จผมจะเอามันไปแปะกับกระดานแม่เหล็กที่แขวนอยู่ในห้องนอน


ผมจัดรองเท้าไปอีกสักพักไม่นานนักชั้นรองเท้าที่ตั้งไว้ข้างประตูห้องก็ถูกจัดวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยซึ่งสภาพมันแตกต่างจากเมื่อสักครู่นี้มากเพราะมันไม่ได้วางระเกะระกะอีกแล้ว


ว่ากันตามตรงนะครับ ไอห้องผมที่รกขนาดนี้มันไม่ใช่ฝีมือผมหรอกครับ ผลงานแอ๊บสแตรกภายในห้องของผมมันก็เป็นเพราะพวกไอเพื่อนเจมส์กับเพื่อนบาสนั่นละครับ เพราะของในคอนโดของผมเป็นของพวกมันสองคนเสียเกือบครึ่งอย่างเช่นรองเท้าที่ผมจัดไว้ในตู้ ในสิบกว่าคู่เป็นของผมสักสามสี่คู่ได้ส่วนอีกเจ็ดแปดคู่ที่เหลือเป็นของไอบาสกับไอเจมส์อย่างละเท่า ๆ กัน


ดูสิครับ…พวกมันทำตัวเป็นเจ้าของคอนโดของผมมากขนาดไหนนี่ไม่รวมถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของมันนะครับแค่รองเท้ายังจิบ ๆ เสื้อผ้าของพวกมันมีมากกว่าของผมหลายเท่าครับ


หรือจะให้ผมบ่นต่อนะครับอย่างตอนที่พวกผมไปดวลเหล้ากันหรือรุ่นพี่พาพวกผม(หรือพวกมันสองคน)ไปเลี้ยงเหล้าคอนโดผมนี่ละครับที่กลายมาเป็นที่ที่ให้พวกมันมานอนซุกหัวกัน นั่นก็เป็นเพราะว่าประตูหอในปิดตอนเที่ยงคืนซึ่งทุกคนก็น่าจะทราบครับเวลาก๊งเหล้ากันมันมักจะติดลม ใช่ครับติดลมจนลืมเวลาที่ประตูหอในปิดดังนั้นคอนโดของผมแม่มก็กลายเป็นที่ซุกนอนของพวกมันหรือที่ซุกหัวนอนของเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ครับ


ดังนั้นในคอนโดของผมที่มันเละเทะแบบนี้ก็เป็นเพราะไอสองคนนั้นล่ะครับ เพราะมันสองคนเลยและทุกครั้งที่ผมเก็บห้อง พวกมันทั้งสองคนก็ไม่เคยมาช่วยผมเลยสักครั้งไม่เคยแม้แต่จะถามเป็นมารยาทว่า ‘เฮ้ยให้พวกกรูช่วยไหม’ มันน่าให้มันซุกหัวนอนไหมเนี่ย แต่ไอความโกรธพวกนั้นก็จางหายไปเมื่อผมนึกไปถึงกระดาษใบเล็ก ๆ ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมข้อความน่ารัก ๆ ทำให้ผมลืมความโกรธเคืองไป


ผมอมยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับจัดห้องของผมต่อไปด้วยความเพลิดเพลินซึ่งอารมณ์ของผมมันก็แตกต่างไปจากการจัดห้องในครั้งก่อน ๆ


สุดท้ายห้องของผมก็กลับมาสะอาดสะอ้านเหมือนใหม่ กองขยะและกองผ้าทั้งหมดตอนนี้ทั้งสองอย่างถูกส่งไปจักการตามสมควรเรียบร้อยแล้วผมหันไปมองดูนาฬิกาที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนตัวเลข(มันเป็นนาฬิกาดิจิตอลครับในห้องผมมีนาฬิกาหลายแบบครับ) จาก 12.59 เป็น 13 นาฬิกาตรงเป๊ะ


‘อ่า…มิน่าล่ะทำไมถึงเริ่มหิวแล้วบ่ายโมงแล้วนี่เอง’ ผมลูบท้องตัวเองเบา ๆ พร้อมกับเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบนมกล่องออกมาดื่มเพื่อประทังความหิวของตัวเองแต่มันก็ไมได้ช่วยอะไรผมได้เลยสักนิด เพราะเนื่องจากเมื่อเช้าผมทานโจ๊กไปด้วยมั้งแถมผมก็ใช้แรงงานเยอะซะด้วยเลยหิวมากขนาดนี้ และถ้าผมหิวขนาดนี้อาหารประจำชาติไทยของเราก็ไม่สามารถช่วยให้อิ่มท้องได้แน่นอน ผมจึงได้แต่จำใจเดินออกจากห้องและลงไปหาอะไรทานแทนการกินมาม่า


ผมอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอากระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่พี่ศิสอดไว้ใต้ประตูห้องของผมเอาไปแปะไว้ที่กระดานไวท์บอร์ดของผม ไม่นานนักผมก็เปลี่ยนสภาพจากชนชั้นแรงงาน(จากการจัดห้อง)เป็นคุณหนูลูกผู้ดีเตรียมตัวออกไปข้างนอกเพื่อหาอะไรกิน


ผมเดินควงกุญแจรถยนต์ของผมออกไปนอกห้องแต่ในขณะที่ผมกำลังจะไขกุญแจเพื่อล็อคห้องหางตาของผมก็ไปสะดุดที่ประตูห้องที่แปะหมายเลขห้อง 1404 ที่เป็นห้องของพี่ศิพลันความคิดหนึ่งของผมก็ลอยเข้ามาในสมอง ผมปลดล็อคประตูห้องอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปหยิบกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ออกมาเขียนตอบพี่ศิออกไปว่า



‘บอกแล้วว่าขนมของกรอร่อยมาก แต่เรื่องจะมาฝากท้องที่ห้องของกรนี่ กรไม่รับผิดชอบนะครับถ้าเกิดพี่ศิทานขนมของกรแล้วท้องจะเสีย จาก กร’



เมื่อผมเขียนเสร็จผมก็เดินไปที่หน้าประตูห้องของพี่ศิก่อนจะโค้งตัวลงไปสอดแผ่นกระดาษเข้าไปที่ร่องทางด้านล่างของประตู ผมอมยิ้มเล็ก ๆ พร้อมกับเดินควงกุญแจรถยนต์เดินไปที่ลิฟท์


ผมกดลิฟท์ลงไปชั้น5 ซึ่งเป็นชั้นที่คอนโดนจัดไว้ให้เป็นลานจอดรถ (คือคอนโดของผมชั้น 3-5 เป็นชั้นที่ให้อาศัยอยู่ในคอนโดจอดรถ ส่วนชั้นที่สองจะเป็นชั้นที่รวบรวมสิ่งอำนวยความสะดวกรวมไปถึงฟิตเนสครับ ส่วนชั้น 1 จะเป็นเหมือนล็อบบี้โรงแรมครับ) ผมเดินตรงไปยังที่จอดรถประจำของผมก่อนจะกดรีโมตเพื่อปลดล็อคประตูพร้อมกับเข้าไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ


‘ครับ…คราวนี้ผมจะขับรถออกไปหาอะไรทานคนเดียวครับ’ ถึงผมจะบอกว่าผมขับรถไม่เก่งสักเท่าไหร่แต่ผมก็ขับรถได้นะครับ แต่ก็ช่วย ๆ กันอวยพรผมด้วยแล้วกัน ขอให้ผมขับรถถึงจุดหมายและกลับมายังคอนโดโดยสวัสดิภาพด้วยนะครับผมขอร้องล่ะ
ผมเสียบกุญแจเพื่อสตาร์ทรถแต่ก่อนที่ผมจะสตาร์ทรถนั้นผมต้องเรียบเรียงลำดับขั้นตอนของการขับรถในสมองผมก่อน อ่า…ขั้นแรกต้องคาดเข็มขัดผมหันไปหยิบเข็มขัดนิรภัยมาล็อคตัวของผมไว้ ขั้นต่อไปก็ดูเกียร์ซึ่งตอนนี้เกียร์ของรถผมถูกปรับอยู่ในช่องของเกียร์ว่างครับ ใช้ได้ ๆ ส่วนขั้นสุดท้ายก็สตาร์ทรถได้เลย(มั้ง)ครับ ผมบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทพร้อมๆกับค่อย ๆ ถอยรถออกจากที่จอดแล้วก็วนรถลงไปชั้นล่างสุด ดีที่ลานจอดรถของคอนโดนี้ไม่วกวนเหมือนกับห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ไม่งั้นผมอาจจะไม่ได้ไปทานข้าวแต่อาจจะได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลแทน


และแล้วผมก็วนรถลงมาถึงชั้นล่างสุดของคอนโดได้สักทีพอผมเลี้ยวรถออกไปที่ถนนใหญ่ ในที่สุดการผจญภัยของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น แต่พูดว่าผจญภัยก็อาจจะพูดเกินไปครับเปลี่ยนเป็นภารกิจเสี่ยงตายขับรถไปหาอะไรลงท้องแทนจะดีกว่าครับ


ผมนั่งเคาะนิ้วบนพวงมาลัยพลางรอสัญญาณไฟจราจรที่ตอนนี้เป็นสีแดงให้เปลี่ยนเป็นสีเขียวและวินาทีที่ไฟเขียวปรากฏเสียงแตรจากคันหลังก็ดังขึ้น ให้ตายเถอะพี่ครับให้ผมเปลี่ยนเกียร์ก่อนได้ไหมแล้วค่อยบีบ ผมพึมพำเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำตัววีนแตกลงไปด่าอะไรเขาหรอกครับ ทันทีที่ผมเปลี่ยนเกียร์เสร็จผมก็เหยียบคันเร่งเพื่อนมุ่งตรงไปยังห้างสรรพสินค้าที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
ห้างสรรพสินค้านี้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัยของผมครับซึ่งทำไมผมถึงเลือกมาที่นี่น่ะเหรอครับ…ก็เผื่อว่าผมดันขับรถออกจากห้างสรรพสินค้านี้ไม่ได้ผมจะได้โทรให้ไอเจมส์หรือไอบาสออกมาขับรถพาผมกลับหอให้ผมได้ครับ แต่ดูเหมือนครั้งนี้การเดินทางของผมจะเป็นไปด้วยดีครับเพราะผมขับรถเข้าสู่ที่จอดโดยสวัสดิภาพ (แต่อีกเหตุผลที่ผมเลือกห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เพราะว่ามันใกล้คอนโดผมล่ะครับ ผมจะได้ไม่ต้องขับรถไปไกลให้เสี่ยงอันตรายเพิ่ม)


ผมเดินลงจากรถพร้อมกับหยิบแว่นตากันแดดยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ผมไม่ได้จำพอดีคุณเจ้เธอซื้อมาฝากขึ้นมาสวม ผมเสยผมตัวเองน้อย ๆ ก่อนจะกดรีโมตเพื่อล็อคประตูรถพร้อมกับเดินเข้าไปในห้าง


เป้าหมายของการมาห้างครั้งนี้ไม่ได้แต่มาหาอะไรกินอย่างเดียวหรอกครับผมคิดว่าจะออกมาช็อปปิ้งเสื้อผ้าชุดใหม่สักหน่อยเพราะไม่ได้ซื้อมานานแล้ว คือปกติผมไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เองหรอกครับผมจะให้คุณป๊าคุณม๊าจัดการให้(รวมไปถึงคุณเจ้ด้วยครับ) ซึ่งช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยเท่ากับตอนที่ผมอยู่มัธยมด้วยเหตุที่กิจกรรมมหาลัยเยอะและรุ่นพี่ชอบนัด(ก๊งเหล้า)วันเสาร์อาทิตย์ ทำให้หนึ่งเดือนมานี่ผมแทบจะไม่ได้กลับบ้านเลย แต่ผมโทรหาคุณป๊ากับคุณม๊าทุกวันนะครับเห็นแบบนี้ผมก็เป็นคนดีถึงจะโทรไปแล้วให้คุณป๊าคุณม๊าโทรกลับก็เถอะ


เอาล่ะเลิกสนใจเกี่ยวกับครอบครัวของผมสักทีเป้าหมายแรกของการมาห้างของผมนั่นก็คือการหาอะไรกินผมเดินขึ้นไปชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งก็จะเดินวนดูร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายเอาไว้ช่วงนี้เป็นช่วงปลายเดือนอาหารการกินก็สมควรจะประหยัดเงินสักหน่อยผมเดินเข้าร้านราเมงร้านหนึ่งซึ่งทุก ๆ ท่านก็น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นก็คือร้านฮาจิบังราเมงนั่นละครับผมเดินเข้าไปสั่งรางเมงพร้อมกับของทานเล่นอย่างเกี้ยวซ่าทอดและทาโกยากิทันที


ถึงมันจะถูก แต่สั่งหลายอย่างมันก็แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ผมยัดเกี๊ยวซ่าเข้าปากไปชิ้นแรกทำเอาผมต้องอ้าปากเพื่อระบายความร้อน ในขณะที่ผมทำท่าทาง(น่าอาย)แบบนั้นสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นพี่ศิที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับกลุ่มเพื่อน ๆ ของพี่เขา รู้สึกว่าพวกเขาเดินเข้ามาในร้านเกือบสิบคนซึ่งมีทั้งเพศหญิงและเพศชายและรวมไปถึงเพศที่สามและเพศที่สี่ เมื่อพี่ศิหันไปคุยกับพนักงานเพื่อบอกจำนวนคนที่จะเข้ามานั่งทานในร้านอาหารพนักงานไม่รู้ว่าว่าตั้งใจหรือจงใจหรือว่าที่นั่งยาว ๆ มันจะมีข้างผมตรงที่เดียวเขาก็ผายมือมาตรงโต๊ะข้าง ๆ ผมพร้อมกับเดินนำพี่ศิและพองเพื่อนของพี่เขาให้เดินมานั่งที่โต๊ะที่จัดอยู่ข้าง ๆ โต๊ะของผม


พี่ศิเดินนำเข้ามาคนแรกแต่ดูเหมือนว่าพี่ศิจะยังมองไม่เห็นผมซึ่งผมก็ไม่คิดจะทักทายอะไรพี่เขา (คือพี่เขาอยู่กับกลุ่มเพื่อนของตัวเอง ผมก็ไม่อยากจะเข้าไปแทรกอะไร) แต่ยังไม่ทันที่ผมจะทำตัวฟีบ ๆ ทำเป็นไม่รู้จักพี่เขา พี่ศิก็เหมือนจะเพิ่งเห็นผม พี่ศิโบกมือทักทายผมพร้อมกับทักผมออกมาตามประสาคนรู้จักและตามประสาเพื่อนบ้าน(คอนโด) กัน

v
v
v
v
v




ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
“เอ้ากร มากินฮาจิบังด้วยเหรอ” ผมหันไปมองพี่ศิพร้อมกับพยักหน้าตอบ ทั้ง ๆ เกี๊ยวซ่าชิ้นเมื่อกี้ยังคาอยู่ในปากผมเร่งเคี้ยวมันและกลืนลงท้องก่อนจะเอ่ยคำพูดตอบกลับพี่ศิไป


“ครับพอดีกรหิวเลยขับรถมาหาอะไรกิน” พี่ศิเลิกคิ้วขึ้นหลังจากได้ยินคำว่าผมขับรถออกมาหาอะไรกิน ท่าทางพี่เขาจะสงสัยว่าไอบาสกับไอเจมส์หายไปไหนแล้วทำไมผมถึงมานั่งกินข้าวคนเดียวได้


“แล้วบาสกับเจมส์ล่ะ” นั่นเป็นอย่างที่ผมคาดเดาไว้จริง ๆ ด้วย “คราวนี้กรขับรถมาเองครับพี่ ไอสองคนนั้นขับมอไซค์ไปจีบสาวแถวคณะนิเทศน์แล้วมั้ง แล้วศิมากับเพื่อน ๆ เหรอครับ” ผมถามแบบโง่ ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็น่าจะรู้ว่าพี่ศิเขามากับเพื่อน ๆ ก็เพราะว่าก๊วนนักศึกษาแพทย์กำลังยืนทำหน้าสงสัยว่าผมคือใครอยู่เต็มหลังพี่ศินั่นไงที่เป็นพยานยืนยันว่าพี่เขาไม่ได้มาคนเดียว


“อืม พอดีบ่ายสามพี่ต้องเข้าคณะแล้วมันเหลือเวลาเยอะพวกเพื่อน ๆ ก็เลยชวนกันมาหาอะไรกินกันน่ะ แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยนะที่มาบังเอิญเจอกรที่นี่” พี่ศิเอี้ยวตัวเองให้ผมเห็นกลุ่มเพื่อน ๆ ขอเขาผมยกมือไว้อย่างมีมารยาทและพี่ ๆ ทุกคนก็พยักหน้าตอบรับหรือยกมือขึ้นมารับไหว้ผมกันทุกคน เพื่อนพี่ศินี่นิสัยดีจังเลยแหะ ไม่เหมือนรุ่นพี่ที่คณะผม พอผมไหว้พวกพี่เขา(พี่ ๆ ที่ผมสนิท) ก็เดินมาตบหัวไม่ก็ตบบ่าผมกัน


หลังจากที่ผมไหว้พวกพี่ ๆ ที่เป็นเพื่อนกับพี่ศิเสร็จ พี่สาวคนหนึ่งก็เดินถลาเข้ามาพร้อมกับจับแก้มผมทั้งสองข้างหยิกไปมาเบา ๆ “ศิ…นี่น้องกรคนที่เป็นข่าวกับศิใช่ป่ะ” พี่สาวคนนั้นเอ่ยปากถามแล้วพี่ศิก็พยักหน้าตอบรับคำถามนั่นก็จะบอกให้พี่สาวคนนั้นปล่อยมือออกจากแก้มผม “วิ…เอามือออกจากแก้มกรได้แล้ว ดูสิน้องเขาทานข้าวลำบากเห็นไหม” พี่สาวที่จับแก้มของผมนี่ชื่อพี่วินี่เองตายละมือพี่เค้านิ่มดีจังเลย


“ไอศิอย่ามาหวง แก้มน้องกรเขานิ่มดีนี่หว่า เลยอยากจับนาน ๆ เฟรซชี่นี่ดีจังเลยน้า อิจฉาจังผิวก็นุ้มนุ่ม หน้าก็ข้าวขาว ตาก็โต น้องกรน่ารักเป็นที่สุด!” พี่วิบ่นพึมพำเบา ๆ แต่มือทั้งสองข้างก็ยังไม่ละมือออกไปจากแก้มของผม ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้พี่วิกับพี่ศิเขา


พี่ศิส่ายหัวไปมาเบา ๆ ก่อนจะเดินมาแงะมือพี่วิออกจากแก้มของผม เอาละผมได้มองพี่วิเต็มตาสักที พี่เป็นเป็นสาวสวยสูง 160 เซนติเมตรเธอดูเปรี้ยวซ่าแต่แฝงไปด้วยความเรียบร้อยอยู่ในตัวผมหันไปมองเพื่อนพี่ศิแต่ละคนทุกคนมีสไตล์การแต่งตัวแตกต่างกันไปทำทำเอาผมสงสัยเลยว่าพวกนิสิตแพทย์นี่ไม่ได้มีแต่พวกเนิร์ด ๆ หน้าตาดูตั้งใจเรียนอย่าง (พี่ศิ) เดียวเหรอ


“…ไอศิอย่ามาหวง ถอยไป ๆ ฉันจะนั่งข้าง ๆ น้องกร” พี่วิพูดจบพี่เขาก็แทรกตัวเข้ามานั่งข้าง ๆ ผมทันที พี่ศิก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาเบา ๆ ด้วยความระอาก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้างกับผม


“ไอศิแม่มหวงเว้ยดูดิ แม่มไม่ได้นั่งข้าง ๆ แม่มก็มานั่งจ่อตรงหน้าเลย” เสียงพี่ผู้ชายที่ผมไม่รู้จักชื่อพูดล้อขึ้น พี่ศิก็หันไปเอามือชกท้องเพื่อนคนนั้นของพี่เขาเบา ๆ “เปล่ามันใกล้ดี พอดีขี้เกียจเดินไปนั่งไกล ๆ” พี่ศิตอบกลับไปพร้อมกับนั่งหน้าตายมือพลางเปิดเมนูอาหารเพื่อที่จะสั่ง


“จะไม่นั่งกันหรือไงนั่งกันได้แล้วย่ะ” เสียงพี่วิพูดใส่กลุ่มเพื่อนที่ยืนยิ้มด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ พวกพี่ ๆ ที่เหลือพยักหน้าพร้อมกับลากโต๊ะมาติดกับโต๊ะของผมพร้อมกับนั่งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


จากโต๊ะทานอาหารที่ผมนั่งทานคนเดียว ตอนนี้โต๊ะอาหารของผมถูกจัดซ้อนกัน  6 ตัวรวด อ่า…ผมได้เพื่อนร่วมทานอาหารเกือบสิบคนเลยทีเดียว ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ และแล้วราเมงที่ผมสั่งไปก็มาพร้อมกับทาโกยากิถ้วยเล็ก ๆ ที่วางไว้ที่หน้าของผม ผมหมายตาว่าจะหยิบทาโกยากิที่วางอยู่ชิ้นกลางแต่รู้สึกว่าจะไม่ทันแล้วพี่วิใช้ตะเกียบของผมจิ้มจึกไปตรงกลางพร้อมกับคว้าทาโกยากิชิ้นนั้นเข้าปากพร้อมกับเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย


ผมมองภาพภาพนั้นเป็นภาพสโลโมชั่น ‘ไม่นะ…..ทาโกยากิของผมมม’ ผมมองทาโกยากิชิ้นนั้นด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ส่วนพี่วิที่แย่งผมกินไปน่ะเหรอเธอหัวเราะออกมาแล้วก็พูดออกมาว่า ‘พี่รู้ว่ากรอยากกินทาโกยากิชิ้นนั้นพี่เลยแย่งกินก่อนไง” สิ้นเสียงของพี่วิ พี่เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังจนภาพพจน์ของหญิงสาวเปรี้ยวซ่าหายไปแทบจะทันที


“วิ...อย่าไปแย่งน้องเค้ากิน อยากกินมรึงสั่งใหม่ดิว่ะ” พี่ศิเอ่ยปรามพี่วิ ส่วนพี่วิก็ได้แต่ยักคิ้วกวน ๆ ไปให้พี่ศิ


“น้องกรไม่ได้ว่าอะไรเลย แล้วแกจะมาว่าอะไรแทนน้องเขาว่ะ” ไม่ใช่ผมไม่อยากจะว่า แต่ตอนนี้ผมช็อคจนพูดอะไรไม่ออกมากกว่าครับ เพราะปกติไม่มีใครแย่งอะไรผมกินเลยทุกคนปล่อยให้ผมกินคนแรกตลอดนี่เป็นครั้งแรกที่ผมโดนแย่งกินของกินไป


“ไอวิ…มรึงไม่รู้นิสัยกรเขา” พี่ศิพูดย้ำอีกครั้งจนทำให้พี่วิหันมามองหน้าที่สุดแสนจะสะเทือนใจของผม


“น้องกรโกรธเหรอ” พี่วิพูดพร้อมกับชะโงกตัวมามองหน้าผม ซึ่งผมก็ส่ายหัวปฏิเสธคือผมไม่ได้โกรธครับผมแค่ตกใจ


“ผมไมได้โกรธหรอกครับคือผมแค่ตกใจน่ะ แหะ ๆ” ผมพูดพลางเกาแก้มตัวเองน้อย ๆ “คือผมไม่ค่อยโดนใครแย่งกินของกินมาก่อน พอมาโดนก็เลยตกใจแต่ผมไมได้โกรธพี่วิจริง ๆ เลยนะครับ ขอโทษที่ทำให้พี่เข้าใจผิดครับ” ผมพูดพลางก้มหัวขอโทษ


“ส่วนพี่วิอยากทานทาโกยากิก็ทานได้นะครับ พอดีผมทานราเมงกับเกี้ยวซ่าก็พอแล้ว พอดีผมทานไม่ค่อยเยอะหรอกครับที่สั่ง ๆ มาก็แค่อยากทานเฉย ๆ” ผมพูดออกไปอีกก่อนจะยิ้มไปให้พี่เขา


สิ้นเสียงของผม พี่วิแทบน้ำตาปริ่มออกมาด้วยความยินดีแต่ผมก็น่าจะพูดมากเกินไป สิ้นเสียงของผมพี่วิก็ถลาเข้ามากอดผมเต็มรักพร้อมกับประกาศกลางโต๊ะว่า “น้องกรเป็นน้องของฉัน พวกแกห้ามทำอะไรให้น้องกรเจ็บหรือเสียใจเด็ดขาดรวมทั้งแกล้งน้องเขาด้วยไม่งั้น…พวกแกอดเลคเชอร์จากฉันแน่”


พี่ ๆ ทุกคนส่งเสียงฮือฮาพร้อมกับพูดต่อรองกับพี่วิ ผมได้แต่นั่งเอ๋ออยู่ในอ้อมกอดของพี่วิเขา วันนี้มันวันอะไรเนี่ยเจออะไรแปลก ๆ ทั้งวันเลยแหะ


หลังจากพี่วิตกลงกับพวกเพื่อน ๆ ที่เหลือของเขาเสร็จพี่วิก็ตวัดหางตาไปมองพี่ศิที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม “ไอศิส่วนแก…ห้ามล่วงเกินน้องกรของฉันนะเว้ย ไม่งั้นตาย” พี่วิพูดกับพี่ศิพร้อมใช้นิ้วโป้งทำท่าปาดที่คอตัวเอง


พี่ศิไหวไหล่ตอบพี่วิไป เหมือนเรื่องราวนี้จะจบลง แต่พี่วิก็พูดต่อออกมาอีกว่า “แต่ถ้าน้องกรเขายอมให้แกล่วงเกิน…ฉันก็ไม่ว่า ถือว่าเป็นการตัดสินใจของน้องเขา” สิ้นเสียงของพี่วิผมที่กำลังดื่มน้ำอยู่ก็แทบจะสำลักน้ำ ส่วนพี่ศิที่กำลังคีบเส้นราเมงอยู่ถึงกับทำตะเกียบหลุดออกจากมือ


“เอ้า…นี่ฉันอนุญาตขนาดนี้แล้วมาตกอกตกใจอะไรกัน” พี่วิพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่นิ่งสนิท และผมกับพี่ศิก็แทบจะตะโกนออกไปพร้อมกับและด้วยคำพูดเดียวกันอย่างกับว่าเราสองคนได้นัดกันไว้


“จะบ้าเหรอไงว่ะ/ครับ ใครจะไปทำ/ยอม แบบนั้นกัน” สิ้นเสียงของเราสองคน ทั้งโต๊ะก็เงียบสนิท ผมรีบชักมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง ส่วนพี่ศิก็เม้มปากแล้วหันหน้าหนี ใบหน้าของเราทั้งสองน่าจะแดงขึ้นมาทั้งคู่ โต๊ะทั้งโต๊ะเงียบสนิทไปสักพักก่อนความเงียบนั้นจะถูกทำลายด้วยเสียงหัวเราะอย่างสะใจของพี่วิด้วยตามเสียงโหร้องเย้าแหย่ของพวกเพื่อน ๆ พี่ศิ


“ตายล่ะใจตรงกันซะด้วย” พี่วินั่งลงกับเก้าอี้พร้อมกับเอนตัวมาแซะไหล่ของผมซึ่งผมก็ได้แต่หันหน้าหนีแต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรกับแก้มที่ขึ้นสีน้อย ๆ ของผมได้


“แก้มแดงใหญ่เลยนะน้องกร” พี่วิเอานิ้วมาจิ้มแก้มผมเบา ๆ พร้อมกับพูดล้อผมไปเรื่อย ส่วนผมน่ะเหรอได้แต่ก้มหน้าหนีนิ้วเรียวยาวของพี่วิที่จิ้มแก้มผมเบา ๆ


“วิพอได้แล้วน่าอย่าแกล้งน้องสิ” เสียงพี่ศิเหมือนเสียงสวรรค์ที่ช่วยชีวิตผมแต่ดูเหมือนว่า…ผมจะคิดผิดเสียงพี่ศิที่ช่วยพูดให้ผมดันเป็นเสียงจากนรกที่ทำให้พวกเราสองคนโดนล้อมากกว่าเดิม


“โถ่วเป็นห่วงเป็นใย ทีกรูเป็นเพื่อนกับมรึงมา 3 – 4 ปีมรึงยังไม่เคยปกป้องกรูแบบนี้เลยไอศิ แม่มมมเพื่อนกันเปล่าว่ะ” เสียงของพี่ผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของพี่เขาลุกขึ้นมาชี้หน้าพี่ศิ


“ไอเต๋อร์เงียบไป” พี่ศิหันไปพูดใส่พี่ที่ลุกขึ้นมาคนนั้น อ่อพี่เขาชื่อพี่เต๋อร์นี่เองแต่ชื่อของพี่เต๋อร์จะได้เมมลงในเมมโมรีสมองของผมเสียงของพี่เต๋อร์ก็พูดสวนออกมา


“กรูชื่อกลอสเตอร์ครับ ชื่อเล่นของกรูก็ต้องย่อว่าเตอร์ ไม่ใช่เต๋อร์เว้ย” พี่เต๋อร์ เอ้ย...พี่เตอร์ปากเศษทิชชู่ใช่แล้วใส่พี่ศิซึ่งพี่ศิก็เอี้ยวตัวหลบไปได้


และหลังจากเทศทิชชู่ชิ้นแรกนั้นมันก็ตามมาด้วยซองกระดาษที่ใส่ตะเกียบและตามมาด้วยอีกหลายอย่างนับไม่ถ้วนซึ่งฝ่ายที่เป็นคนปามาก็คือพี่เตอร์คนเดียวส่วนพี่ศิก็เอี้ยวตัวหลบไปมาพร้อมกับไม่สนใจอะไรพี่เตอร์อีก


แต่สงครามทิชชู่ ซองตะเกียบและซองของหลอดก็ต้องจบลงด้วยเสียงเรียกเข้ามือถือของผมนั่นเอง ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ทางด้านนอกของร้าน


มือถือของผมยังคงสั่นและกรีดร้องเสียงเพลงอยู่พร้อมกับหน้าจอมือถือที่ปรากฏชื่อของไอเพื่อนเจมส์ ผมกดรับโทรศัพท์ทันทีพร้อมกับกรอกเสียงตัวเองลงไป


“ไงครับมรึงมีอะไรครับเพื่อนเจมส์”


“กรสายรหัสมรึงจะเลี้ยงเหล้าแล้ววันนี้มรึงปฏิเสธไม่ได้เพราะคราวที่แล้วมรึงปฏิเสธไปแล้วพี่เค้าฝากให้กรูโทรมาบอกมรึง เออแล้วตอนนี้อยู่ไหน” ไอเจมส์พูดกรอกหูผมอย่างรวดเร็วและผมคาดเดาด้วยว่ามันคงพูดรวดเดียวจบโดยที่มันไม่ได้หายใจแน่นอนหนำซ้ำมันยังมัดมือชกให้ผมไปก๊งเหล้ากับพี่รหัสด้วย


“กรูไม่อยากแดรกเหล้าตอนนี้เข้าใจป่ะ” ผมตอบมันกลับไปแต่มันก็ยังคงพูดแก้มบังคับให้ผมไปให้ได้อยู่ดี


“กรูไม่เข้าใจมรึง ตอนนี้กรูรู้ว่ามรึงต้องไปแดรกเหล้ากับพี่รหัสมรึงเข้าใจป่ะ” ผมเกาหัวกับการพูดไม่รู้เรื่องของมันซึ่งผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะครับว่าทำไมไอเจมส์ถึงอยากจะให้ผมไปกินเหล้ากับพี่รหัสซะเหลือเกิน


นั่นก็เป็นเพราะมันจะได้กินฟรีด้วยอ่ะสิเพราะว่าถ้าผมไป การที่ไอเจมส์และไอบาสไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกและรุ่นพี่จะเลี้ยงเหล้าเพื่อนของน้องรหัสก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเหมือนกัน


“ไอเจมส์…มรึงอยากแดรกเหล้าฟรีว่างั้น” ผมพูดน้ำเสียงนิ่ง ๆ ไป และไอเจมส์ก็ส่งเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ตอบกลับมา


“มรึงบอกกรูมาตรง ๆ ก็ได้ว่าอยากแดรกฟรีไม่ต้องตอแหลอย่างงั้นอย่างงี้หรอกครับมรึง” ผมพ่นเสียงบ่นให้มันฟังซึ่งไอเจมส์ก็เอ่ยเสียงอ่อยขอโทษครับ ขอโทษครับผมอยู่เรื่อย ๆ


“เออ ๆ เดี๋ยวกรูไปแดรกก็ได้ แต่กรูไม่แดรกเหล้านะมรึงวันนี้กรูขับรถออกมาเอง” ผมใจอ่อนให้ไอเจมส์จนได้ผมยอมไปแดรกเหล้ากับมัน และแสดงว่าผมต้องยอมให้ไอเจมส์กับไอบาสมานอนที่คอนโดผมที่เพิ่งจัดเสร็จเรียบร้อยแล้วซึ่งผมไม่ยอมครับ “แต่ถ้าแดรก ห้ามเกิน 5 ทุ่ม เพราะกรูจะไม่ให้พวกมรึงมานอนที่คอนโดกรูครับ” ผมเสนอข้อตกลงให้มันไปดูท่าทางไอเจมส์จะคิดหนักอยู่ แต่สุดท้ายมันก็ต้องจำใจยอมรับข้อตกลงของผมไป


“ครับคุณเพื่อนกร เพื่อนเจมส์กับเพื่อนบาสจะแดรกไม่เกิน 5 ทุ่มครับ” ทั้งสองคนตอบรับเสียงอ่อยพร้อมกับทำใจยอมรับข้อตกลงของผม ผมคุยกับพวกมันสองคนอีกสักพักก่อนที่จะวางสายไปและทันทีที่ผมวางสาย เสียงๆหนึ่งก็เรียกผมมาจากด้านหลังผมหันไปมองพี่ศิและกลุ่มเพื่อน ๆ ของเขาด้วยสายตาตกใจ ผมชะโงกตัวไปมองด้านในร้านพร้อมกับหันมาถามพี่ศิว่า


“พี่ศิแล้วออกมาได้ไงกรยังไม่ได้จ่ายค่าราเมงของกรเลย” ผมพูดพร้อมกับจะเดินเข้าไปจ่ายเงินแต่พี่ศิก็เอื้อมมือไปรั้งผมไว้ก่อน


“กรไม่ต้องแล้วพี่จ่ายให้แล้วล่ะ” พี่ศิพูดเบา ๆ พร้อมกับยื่นแว่นกันแดดที่ผมวางทิ้งไว้บนโต๊ะมาให้


“พี่ศิ...อีกแล้วนะครับเลี้ยงข้าวกรอีกแล้ว” ผมพูดพลางถอนหายใจพร้อมกับล้วงกระเป๋าเงินของตัวเองออกมาเพื่อจะจ่ายค่าอาหารให้กับพี่ศิ แต่พี่ศิส่ายหัวปฏิเสธไม่รับเงินพร้อมกับดันมือของผมที่กำลังยื่นแบงค์ร้อยสามใบให้พี่เขา


“พี่ศิครับ...รับไปเถอะผมรู้สึกไม่ดีนะที่พี่มาจ่ายค่าอาหารให้ผมอีกแล้ว” ผมพูดพร้อมกับทำแก้มป่องให้พี่ศิ พี่ศิหัวเราะกับท่าทางผมเล็กน้อยก่อนจะลูบหัวผมเบา ๆ พร้อมกับขอตัวกลับไปเรียนต่อก่อน


“ไว้กรทำขนมให้พี่ทานแทนแล้วกันถือว่าหายกันนะ พี่ไปเรียนก่อนล่ะขับรถกลับคอนโดดี ๆ เรายิ่งขับรถไม่ค่อยแข็งอยู่” สิ้นเสียงของพี่ศิ นิสิตแพทย์ร่วมสิบคนก็เดินออกไปทิ้งให้ผมที่ยืนเซทผมตัวเองให้เข้าที่หลังจากโดนพี่ศิมาลูบหัว


‘พี่ศินะพี่ศิ…กรไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ” ผมลูบผมตัวเองให้เข้าทีก่อนจะควักแว่นกันแดดอันเดิมขึ้นมาสวมอีกครั้ง


ผมเดินเล่นทั่วห้างเพื่อฆ่าเวลาทิ้งไป ไม่นานนักมือผมก็เต็มไปด้วยถุงต่าง ๆ ของร้านเสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ในห้างแห่งนี้ ผมยกมือขึ้นดูนาฬิกาที่ผมสวมไว้ที่ข้อมือด้านซ้ายซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลา 5 โมงเย็นแล้วซึ่งมันก็ใกล้กับเวลาที่ผมนัดไว้กับพี่รหัสแล้วล่ะครับ (จริง ๆ เป็นเวลาที่ผมนัดไว้กับไอเจมส์และไอบาสต่างหากล่ะครับ) ผมก็เดินออกจากห้างพร้อมกับบึ่งรถไปยังร้านที่ไอเจมส์กับไอบาสได้นัดผมไว้


ท่าทางผมจะมาเร็วไปหน่อยล่ะมั้งตอนนี้ร้านนี้ยังไม่ค่อยมีคนมานั่งกินกันสักเท่าไหร่ (เพราะว่ามันยังไม่ดึก ถ้าดึก ๆ ร้านนี้คนจะเยอะมากและโดยส่วนใหญ่จะต้องเป็นนิสิตวิศวะ) ผมเดินเข้าไปบอกพนักงานพร้อมกับเดินไปนั่งโต๊ะประจำที่พี่รหัสผมชอบมานั่งกันเป็นประจำ


พนักงานเดินมาหาผมพร้อมกับถือใบออเดอร์มายืนข้าง ๆ ซึ่งผมก็ยังไม่อยากจะสั่งอะไรเพราะรุ่นพี่และคนที่มันอยากจะดื่มยังไม่มาผมก็เลยสั่งน้ำพั้นช์ (ที่มันผสมแอลกอฮอลนิด ๆ ) มาดื่มรอ


ผมนั่งรอรุ่นพี่กับไอคุณเพื่อนที่รักของผมสักพักไม่นานนักเพื่อน ๆ พร้อมกับรุ่นพี่ของผมก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับเดินตรงมานั่งที่โต๊ะที่ผมนั่ง ผมยืนขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้รุ่นพี่เรียงคน พี่ ๆ เข้าพยักหน้าตอบรับพร้อมกับเรียกพนักงานมาพร้อมกับร่ายรายการออเดอร์รวมทั้งของมึนเมาเสียยาวเหยียด


‘ท่าทาง…คงจะเมากันตั้งแต่หัวค่ำ’ ผมนั่งฟังออเดอร์ที่พี่รหัสผมร่ายให้กับพนักงานพร้อมกับพึมพำออกมาเบา ๆ


ก่อนทุกท่านจะดื่มด่ำบรรยากาศของวงเหล้านี้ต่อ ผมขอแนะนำพี่รหัสของผมหน่อย พี่รหัสของผมชื่อ ก็อต ครับ พี่เขาเป็นชายไทยไซส์เกินมาตรฐานที่เกินมาตรฐานที่ไม่ใช่อ้วนเกินนะครับ แต่พี่เขาสูงเกินมาตรฐานต่างหาก แถมเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของคณะครับและคงเป็นของมหาลัยด้วย พี่เขาเป็นคนคุยเก่งยิ้มง่ายสุภาพบุรุษแต่พี่แกชอบแอ๊บแบ๊วครับและที่สำคัญ…เฮียแกเป็นคนเดียวที่แดรกเหล้าได้สูสีพอ ๆ กับไอเจมส์ซึ่งนั่นทำให้พี่รหัสของผมสนิทกับไอเจมส์มากกว่าน้องรหัสอย่างผมครับ (ผมไม่อยากจะบอกว่า…สายรหัสผมไม่ธรรมดาครับผ่านไปสักพักทุกคนจะรู้ว่าไม่ธรรมดายังไง)


ผมนั่งมองเพื่อนของผมและพี่รหัสของผม(และเพื่อน ๆ ของพี่รหัสผม) นั่งดื่มเหล้ากันไปครับบางคนนี่เมาหลับคอพับไปแล้วซึ่งไอเมาหลับคอพับนี่ใช้ไม่ได้กับไอเจมส์เพราะตอนนี้มันยังคงนั่งดวลเหล้ากับเฮียก็อตอยู่เลยครับท่าทางศึกนี้จะอีกนานเวลานี้เป็นเวลา 3 ทุ่มแล้วครับผมนั่งอยู่ในร้านนี้มา 4 ชั่วโมงแล้วครับ ไอผมก็นั่งดื่มแต่น้ำพั้นช์กับกินกับแกล้มนิดหน่อยเท่านั้นซึ่งการทำแบบนั้นทำให้ผมเบื่อมากครับ เพราะปกติพอผมดื่มเหล้าก็เรื้อนแตกครับ แต่วันนี้ผมดื่มแต่แอลกอฮอล์อ่อน ๆ ทำให้ผมไม่มีความรู้สึกเมาเลยสักนิด ผมก่ะว่าผมจะนั่งดื่มเล่นอีกสักหน่อย แล้วก็จะขอตัวกลับคอนโดแล้วล่ะครับและเวลาก็ผ่านไปไม่นาน ช่วงเวลาของการอดทนของผมก็หมดลงผมลุกขึ้นพร้อมกับยกมือไว้รุ่นพี่ทั้งโต๊ะแล้วก็ขอตัวกลับก่อน


ซึ่งไอการกลับก่อนเนี่ยผมก็โดนรุ่นพี่รั้งกันไว้บ้างล่ะและก็กว่าจะแงะตัวเองออกจากโต๊ะได้ก็กินเวลาเข้าไปอีกสามสิบกว่านาทีและเมื่อผมหลุดพ้นจากมือปลาหมึกของพี่รหัสและเพื่อน ๆ ผมก็รีบวิ่งกลับรถและบึ่งรถกลับคอนโดทันทีแต่ด้วยที่ผมนั่งจิบน้ำพั้นช์ที่ผสมแอลกอฮอลทำให้ผมรู้สึกมึน ๆ เล็กน้อยซึ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับการขับรถของผม(ล่ะมั้ง) ผมก็จัดไปเลยครับเหยียบเกือบ 120 บึ่งกลับคอนโดนและไม่นาน (สัก 10 นาทีได้) ผมก็นำรถของตัวเองเข้าจอดในที่จอดประจำของผม


ผมเดินเซไปมาเล็กน้อยหลังออกมาจากรถก่อนจะก้าวขาเดินไปที่ลิฟท์พร้อมกับกดลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นห้องพักของผม
ผมเดินตรงออกจากลิฟท์และเดินต่อไปจนถึงห้องพัก 1403 เสียงโทรศัพท์ของผมก็กรีดร้องออกมาหลายทีซึ่งผมก็ไม่ได้หยิบมันขึ้นมาดูว่าใครเป็นคนโทรมา เวลานี้น่าจะเป็นคุณป๊ากับคุณม๊าของผมล่ะมั้ง เสียงโทรศัพท์กรีดร้องออกมาอีกครั้งพร้อม ๆ กับมือของผมที่ล้วงเข้าไปหยิบมือถือมากดรับสาย


“ไรครับคุณม๊า” ผมกรอกเสียงลงไปซึ่งผมพยายามทำเสียงของตัวเองให้ปกติที่สุด ผมไม่อยากให้คุณม๊ารู้ว่าผมแอบดื่มแอลกอฮอล์ครับ


“น้องกรแม่โทรตั้งหลายทีแล้วทำไมน้องกรไม่รับโทรศัพท์แม่ล่ะครับ” แม่ผมเป็นแบบนี้ละครับใช้คำพูดครับ ๆ ค่ะ ๆ ก่ะลูก


“น้องกรหลับครับคุณม๊า คุณม๊าไม่ต้องห่วงน้องกรนะครับ วันนี้น้องกรไม่มีเรียนเลยไปแอบช็อปปิ้งมา เดี๋ยวอาทิตย์หน้าน้องกรจะกลับบ้านไปสวมให้คุณม๊าดูนะครับ” ผมพูดเสียงอ้อนใส่คุณม๊าซึ่งคุณม๊าก็หัวเราะคิก ๆ คัก ๆ ใส่ผมก่อนจะยื่นโทรศัพท์ไปให้คุณป๊าของผมที่แอบฟังผมกับคุณม๊าคุยกัน


“ไงไอตัวแสบแอบแม่แกไปทำอะไรมาล่ะ” คุณป๊าผมพูดทักออกมาอย่างรู้ทัน ผมบ่นอุบอิบเบา ๆ แต่ก็ยอมสารภาพใส่คุณป๊าว่าผมแอบไปนั่งดื่มแอลกอฮอลมานิดหน่อย คุณป๊าฟังก็ไม่ได้พูดหรือว่าอะไรผมเพราะคุณป๊ารู้ว่ามันเป็นเรื่องของลูกผู้ชายกันเราคุยกันต่อไปอีกสักพักคุณป๊าก็วางโทรศัพท์เพราะทั้งคู่กำลังจะเข้านอนแล้ว


หลับจากวางโทรศัพท์จากคุณป๊ากับคุณม๊าคราวนี้ผมก็จะได้เข้าห้องตัวเองเสียที (ที่ไอคุณกันยาว ๆ ผมยืนคุยอยู่หน้าห้องผมนั่นละครับไม่ต้องอายหรอกครับเพราะว่าชั้นนี้มีคนน้อยมากและเวลาสี่ห้าทุ่มแบบนี้ไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมาแล้วละครับ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ต้องอาย)


ผมไขกุญแจเผื่อปลดล็อคประตูห้องก่อนจะเดินเข้าไปมือข้างนึงผมถือถุงเสื้อผ้าที่ผมซื้อไว้เมื่อกลางวันส่วนอีกมือนึงควานหาสวิตซ์ไฟเพื่อเปิดไฟในห้องให้สว่างผมควานหาสักพักมือผมก็ไปสัมผัสกับสวิตซ์ไฟ ผมกดเปิดลงไปพลันไฟทั้งห้องก็สว่างและในขณะที่ผมกำลังจะถอดรองเท้าและเดินเข้าห้องไปสายตาผมก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน๊ตแผ่นเล็ก ๆ สีฟ้าอ่อนที่สอดเข้ามาใต้ประตูห้องของผม


ผมก้มมองประดาษโน้ตแผ่นนั้นพร้อมกับอมยิ้มจาง ๆ ก่อนจะก้มลงไปหยิบกระดาษโน๊ตแผ่นนั้นขึ้นมาพร้อมกับอ่านตัวอักษรหวัด ๆ ที่เขียนไว้สั้น ๆ ว่า



‘ถ้าท้องพี่เสีย กรก็คงต้องเสียก่อนพี่แล้วล่ะครับ วันนี้พี่ขอโทษด้วยนะครับที่เพื่อน ๆ พี่แกล้งกรไปไว้คราวหน้าพี่จะเลี้ยงข้าวขอโทษอีกที เห็นว่าวันนี้ขับรถออกไปเองหวังว่าจะไม่ไปชนใครเขาเข้านะครับกร จากพี่ศิ’



ผมอมยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะพูดใส่กระดาษโน้ตแผ่นนั้นเบา ๆ “บ้าน่าพี่ศิคนอย่างท่านกรไม่ขับรถชนอะไรง่าย ๆ หรอก” เมื่อผมพูดจบผมก็เดินถือกระดาษโน้ตแผ่นนั้นพร้อมกับเอาเข้าไปติดที่กระดานแม่เหล็ก ติดไว้ข้าง ๆ กับกระดาษโน๊ตสีฟ้าแผ่นเมื่อเช้านี้





________________________________





ตอนนี้พลอยรู้สึกว่ากรเค้าเหมือนเด็ก ๆ มาก กรเป็นเด็กเอาแต่ใจและเป้นพวกที่ตรงไปตรงมากับความรู้สึกสุด ๆ ค่ะ ซึ่งในตอนหน้าทุกคนอาจจะมีความรู้สึกว่ากรโคตรงี่เง่า เลยก็เป็นได้นะคะ แต่อยากจะบอกว่ากรเขามีเหตุผลที่งี่เง่าและเพื่อน ๆ ของเขาก็มีเหตุผลของเขาค่ะ ดังนั้นบางความเห็นบางการระทำจะทำร้ายกันบ้างแต่ในความคิดของอีกฝ่ายเขาอาจจะหวังดีกับเรามากที่สุดก็ได้ค่ะ

ออฟไลน์ konishiki

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เม้นรวบ 2 ตอนนะป๊า 55555555
อ่านตอน 4 ยังไม่จบ ป๊าอัพตอน 5 ฟฟฟฟฟฟฟฟ

อยากกินทาร์ตไข่ฝีมือกรบ้างงงงงงงงงง //ดิ้น

อ่านตอน 5 แล้วอดยิ้มไปกับความน่ารักของกรไม่ได้ + จะละลายเพราะพี่ศิ
ชอบที่เขียนโน้ตคุยกันแบบนี้จัง มันมุ้งมิ้ง(?)น่ารักดี

ขำพี่วิแบบไม่เบา
พี่เป็นตัวแแทนสาววายใช่ไหม..

ออฟไลน์ full69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-2

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ชอบพี่วิแหะ ดูท่าน้องกรจะได้พี่สาวเพิ่มมาอีกคน

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


Chapter 6



ผมยันกายลุกขึ้นจากเตียงนอนหนานุ่มพร้อมกับยืนบิดขี้เกียจไปมาด้วยความปวดเมื่อยหลังจากที่ผมนอนมาตลอดทั้งคืน ผมก้าวเดินไปยังห้องน้ำที่ตั้งอยู่มุมห้องก่อนจะเดินเข้าไปชำระล้างร่างกายของตัวเองเพื่อเตรียมตัวไปเรียนวิชาแรกของวัน หลังจากผมแต่งตัวเสร็จ


กิจวัตรประจำวันทุกเช้าของผมก็คือการเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรกินซึ่งมื้อเช้าของผมวันนี้คือไส้กรอกชีสของ CP 1 ห่อพร้อมกับนมถั่วเหลืองไวตามิลล์ 1 กล่อง


หากแต่ช่วงระยะเวลาอาทิตย์กว่ามานี้มันดันมีกิจวัตรอีกอย่างที่เพิ่มขึ้นมาในชีวิตของผมนั่นก็คือการเดินไปที่หน้าประตูพร้อมกับเก็บกระดาษโน๊ตแผ่นเล็ก ๆ สีฟ้าอ่อน(ตามสีที่ผมชอบ) ที่มีคนสอดมาใต้ประตูของผมแทบจะทุกเช้า


ซึ่งคนสอดกระดาษโน้ตมาใต้ประตูของผมก็ไม่ใช่ใครอื่นเขาคนนั้นก็คือไอคุณพี่หมอ(ที่ผมมักจะเผลอเรียกเวลาที่พี่เขาแกล้งผม) หรือคุณพี่ศิรวิทย์ หรือพี่ศิผู้ที่เป็นเพื่อนบ้านของผมนั่นเอง


กระดาษโน้ตที่พี่เขาส่งมาให้พี่ศิจะเขียนข้อความน่ารัก ๆ ที่ทำให้ผมอมยิ้มออกมาได้เสมอ ๆ ซึ่งผมก็เก็บกระดาษโน๊ตพวกนั้นไว้เป็นอย่างดี โดยผมจะนำมันไปแปะไว้ที่กระดานไวท์บอร์ดที่แขวนไว้ที่ห้องนอนของผมครับ ตอนนี้ผมรู้สึกว่ากระดานแผ่นเล็ก ๆ ที่ผมแขวนไว้บนหัวนอนมันเริ่มจะไม่มีที่พอสำหรับจะรองรับกระดาษโน้ตสีฟ้าอ่อนพวกนี้อีกแล้ว


‘สงสัยต้องเก็บออกซะมั่งแล้วสินะ’ ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับวางกระดาษโน้ตแผ่นนั้นเอาไว้ที่ข้างหัวเตียงของผมแทน
แต่กิจวัตรประจำวันที่เพิ่มขึ้นของผมมันก็ไม่ได้หมดเพียงแค่นั้น


กิจวัตรประจำวันของผมที่เพิ่มขึ้นมาอีกนั่นก็คือการเขียนกระดาษโน้ตตอบพี่ศิเขาไปซึ่งกระดาษที่ผมใช้เขียนจะเป็นสีขาวบริสุทธิ์เพื่อให้เข้ากับห้องนอนที่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสีขาว


ผมนั่งนึกถ้อยคำที่จะเขียนตอบพี่เขาไปสักพักก่อนจะบรรจงเขียนตัวอักษรลงไปด้วยลายมือที่ผมพยายามจะทำให้มันดูสวยที่สุด (ความจริงแล้วไม่ใช่อะไรหรอกครับผมเคยโดนพี่ศิล้อว่าอ่านลายมือของผมไม่ออก ซึ่งผมก็ล้อพี่เขากลับไปเหมือนกันว่าผมก็อ่านลายมือของพี่ศิเขาไม่ออกเช่นกัน)


ผมจรดปากกาลงบนกระดาษแผ่นเล็กนั่นไปสักพักก่อนจะล่ะมือออกพร้อมกับก้มหน้าลงอ่านถ้อยคำที่ผมเขียนตอบพี่ศิซ้ำอีกครั้ง



‘ถ้าพี่ศิไม่ว่า งั้นพี่ศิวันเสาร์หน้าว่างไหม ถ้าว่างล่ะก็กรจะพาพี่ศิไปกินของอร่อยขั้นสุดยอด แต่ถ้าไม่ว่างไม่เป็นไรนะครับพี่ จาก กร’



ผมอมยิ้มเล็กน้อยทันทีที่อ่านถ้อยคำพวกนั้นจบผมหันไปมองดุนาฬิกาที่ตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนเลขตัวหน้าจาก 8 นาฬิกาเป็น 9 นาฬิกาแล้วผมผุดลุกขึ้นไปคว้ากระเป๋าคู่ใจและไม่ลืมที่จะหยิบกระดาษโน้ตแผ่นนั้นออกจากห้องไปด้วย ทุก ๆ เช้าผมจะต้องเดินเลยห้องของตัวเองไปหน้าห้อง 1404 เพื่อทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์เพื่อส่งจดหมายฉบับเล็กนี้ไปให้ผู้รับ เมื่อผมทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์เสร็จก็เดินตัวปลิวออกมาจากหน้าห้องนั้น พร้อมกันภายในสมองที่เริ่มคิดว่าพี่ศิจะตอบรับหรือตอบตกลงอะไรหรือเปล่า


การรอคอยจดหมายของพี่ศิที่ส่งมาให้ผมนั้นมันเป็นความเคยชินของผมไปซะแล้วซึ่งพี่ศิก็มักจะเขียนแล้วสอดมาใต้ประตูห้องนอนของผมไม่ขาดและแน่นอนผมก็ตอบพี่เขากลับไปด้วยทุกครั้ง


ทุกท่านก็คงคิดสินะครับว่าทำไมเราสองคนไม่โทรศัพท์ทุกกันผมอยากจะบอกพวกคุณทุกคนเลยว่า ตั้งแต่ผมรู้จักกับพี่ศิมา เราทั้งสองคนไม่เคยขอเบอร์โทรศัพท์กันเลยครับแม้แต่อีเมล ไลน์ ว๊อทแอป ทวิตเตอร์หรือเฟซบุคพวกเราทั้งสองก็ไม่เคยแลกกันเลย
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมหรือพี่เขาไม่ขอแลกอะไรสักอย่าง มันอาจจะเป็นเพราะพวกผมอยู่ใกล้กันก็ได้มั้งครับเพราะผมเดือดร้อนอะไรผมก็วิ่งแจ้นไปเคาะประตูห้องของพี่ศิ หรือถ้าพี่ศิเกิดอยากกินขนมที่ผมทำ(อันเนื่องจากพี่ศิได้กลิ่นหอม ๆ ของขนมที่ผมทำ โชยออกไปทางด้านระเบียบแล้วลอยเข้าไปในห้องพี่ศิเขา) พี่ศิก็จะวิ่งแจ้นมาเคาะประตูห้องของผมแล้วเข้ามาช่วยพวกไอเจมส์กับไอบาสป่วนผมพร้อมกับนั่งแย่งกินขนมกันอย่างสนุกสนาน
ผมเลยรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องขอเบอร์โทรศัพท์กันก็ได้มั้งเพราะว่าถ้าขอไป ผมก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรด้วยในเมื่อประตูห้องของเราห่างกันไม่ถึงสามเมตร ดังนั้นการใช้โทรศัพท์ติดต่อกันน่าจะเป็นเรื่องลำบากมากกว่าการเดินออกไปเคาะประตูห้องเพื่อเรียกพี่เขาครับ มันจึงทำให้ผมกับพี่เขาไม่ได้แลกอะไรที่ใช้ติดต่อกันได้เลย


ถ้านับจากวันแรกที่ผมรู้จักกับพี่เขาช่วงเวลานั้นก็ผ่านมาเดือนกว่า ๆ แล้วครับจากรุ่นพี่ที่ผมไม่เคยรู้จักกันและไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้ากันแปรเปลี่ยนเป็นพี่ชายข้างห้องไปแล้วล่ะครับ


ผมรีบสาวเท้าตนให้ไวขึ้นเพื่อจะเดินไปลานจอดรถที่จอดรถยนต์ของผม ตอนนี้สถานที่จอดรถของผมไม่มีมีรถของผมจอดเน่าอยู่เดียวดายอีกแล้วล่ะครับเพราะว่าพี่ศิตอนนี้เขาย้ายรถของเขามาจอดไว้ที่ข้าง ๆ รถของผมแล้วครับซึ่งผมก็บ่นพี่ศิไปยกใหญ่ว่าจะเอารถ BMW มาทำให้รถของกรดูเป็นรถกระป๋องเด็กเล่นหรือไง พอผมพูดจบพี่ศิก็หัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ไอผมก็ไม่ได้โกรธอะไรมากมายหรอกครับแค่พูดเล่น ๆ และก็งอนพี่ศิเขาเล่น ๆ ก็เท่านั้นเอง


ผมเดินควงกุญแจไปที่รถของผมพร้อมกับไขกุญแจเปิดประตูเพื่อแทรกตัวเข้าไปในรถ คราวนี้หลังจากที่ผมได้(หัด)ขับรถออกถนนใหญ่(ไปหลาย ๆ รอบและหวิดชนไปหลาย ๆ รอบเหมือนกัน)แล้ว ตอนนี้ไอบาสและไอเจมส์มันก็อนุญาตให้ผมขับรถของตัวเองไปม.ได้แล้วครับหลังจากที่ผมต้องโบกแท็กซี่เพื่อให้เข้าไปส่งผมที่คณะ ณ บัดนี้พวกแท็กซี่ก็จะไม่ได้แดร็กเงินจากผมอีกแล้ว แต่ก็นะจากเงินจ่ายค่าแท็กซี่ก็ต้องเปลี่ยนเงินพวกนั้นนำไปถวายให้เป็นค่าน้ำมันรถแทน


ผมวนรถออกมาจากคอนโดพร้อมกับเลี้ยวซ้ายเพื่อมุ่งตรงไปยันถนนใหญ่ที่สุดแสนจะติดบรมซึ่งผมจะไม่ผ่านมันก็ทำไม่ได้ก็เพราะว่ามันเป็นถนนสายหลักที่พาให้ผมเข้าม.นั่นล่ะครับไม่งั้นผมไม่มีทางมาขับรถในถนนที่ติดบรรลัยแบบนี้ได้หรอก


ผมใช้เวลาไม่นานเพราะระยะทางมันใกล้นิดเดียว(แต่รถมันดันติดบรม) ผมก็สามารขับรถเข้ามาข้างในของม.ได้สักที ผมใช้เวลาอีกสักพักเพื่อวนหาที่ ไม่นานนักผมก็ได้ที่จอดรถสมใจอยากแต่มันก็ไกลจากตึกคณะของผมน่าดู ผมเดินตากแดดไปอีกสักห้านาทีบัดนี้ตัวของผมก็มาถึงตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์สักที ผมยกนาฬิกาขึ้นมามองเวลาตอนนี้เข็มยาวของตัวนาฬิกากำลังจะวนไปบรรจบเลข 6 แล้วส่วนเข็มสั้นยังคงอยู่กึ่งกลางระหว่างเลข 9 กับเลข 10


‘ชิบล่ะ จะเก้าโมงครึ่งแล้วไอเจมส์กับไอบาสยังไม่มาอีกเหรอว่ะ’ ผมพึมพำในใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเลื่อนหาเบอร์ไอเพื่อนสองตัวนั่น เมื่อผมเจอชื่อของเพื่อนที่เป็นเป้าหมายผมก็บรรจงเอานิ้วจิ้มลงไปบนปุ่มสีเขียวเพื่อโทรออกไปหาพวกมันทันที
ผมยืนฟังเพลงเสียงรอสายของมือถือไอบาสสักพักไม่นานนักเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของคนเพิ่งตื่นนอนก็ถูกส่งผ่าน สัณญาณโทรศัพท์มาให้ผมได้ยิน


 “ไรว่ะ เชี่ยกร” ไอบาสพูดงึมงำตามประสาคนเพิ่งตื่นนอนจนผมแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์แต่ท่าทางมันจะถามว่าผมโทรหามันไปทำไมสินะ
“วันนี้มีเรียนชดฟิไม่ใช่เหรอว่ะ แล้วตอนนี้ก็เก้าโมงจะครึ่งแล้วด้วย ทำไมพวกมรึงยังไม่มากันอีกว่ะ” ผมกรอกเสียงที่บ่งบอกว่าอารมณ์ของผมกำลังหงุดหงิดลงไปในโทรศัพท์เพื่อให้ไอเพื่อนรักเพื่อนเลิฟของผมได้ฟัง ซึ่งในตอนแรกถ้ามันรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงตื่นตัวหรือน้ำเสียงเร่งรีบแล้วพูดว่าเออกรูจะไปถึงคณะแล้วนะรอกรูแปปผมก็จะไม่หงุดหงิดพวกมันหรอกครับแต่นี่มันเพิ่งตื่นครับ…มันเพิ่งตื่น!


ความจริงทุกท่านก็คงแอบคิดไว้ในใจทำไมครับว่าทำไมผมน่ะถึงต้องหงุดหงิดไอเพื่อนสองคนนี้ด้วย คือมันมีเหตุผลครับ…คือไอบาสกับไอเจมส์มันสองคนพร้อมใจกันโทรมาหาผมตอนเที่ยงคืนของเมื่อวานว่าวันพรุ่งนี้หรือบอกได้ว่าวันนี้ซึ่งเป็นวันเสาร์อาจารย์สอนฟิสิกส์ที่ประกาศแคนเซิลคลาสไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเขาจะสอนชดเชย จึงบอกให้พวกนิสิตวิศวะชั้นปีที่ 1 มาเรียนชดเชยในวันเสาร์เวลาเก้าโมงครึ่ง และตอนนี้นาฬิกาของผมเข็มยาวมันเริ่มที่จะเคลื่อนที่เข้าไปใกล้เลข 6 แล้ว พูดง่าย ๆ คือมันกำลังจะเก้าโมงครึ่งตามเวลาที่อาจารย์สอนฟิสิกส์นัดไว้แล้วนั่นเองครับ และดูไอคนที่บอกผมทั้งสองคนว่าวันนี้มีเรียนชดเชยมันกลับยังนอนอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์และตอนนี้ผมก็เชื่อว่ามันทั้งสองคนก็แม่มยังไม่ได้แงะตัวออกจากเตียงของมันแน่นอน ซึ่งต่างจากผมที่แหกขี้ตาตื่นมาในวันเสาร์(แห่งชาติ)เพื่อมาเรียนเพราะคำพูดของพวกมัน ผมจึงอยากลองให้พวกคุณคิดว่าผมควรใช้น้ำเสียงไหนเวลาคุยกับไอเพื่อนรักสองคนนี้ดี


“เรียนฟิ…เรียนอะไรว่ะไม่มีนะวันเสาร์ไม่มีเรียน” สิ่งที่พวกมันตอบทำให้ผมแทบจะปรี๊ดแตก แล้วไอเชี่ยหน้าไหนโทรมาหาผมตอนเที่ยงคืนว่ามีเรียนฟิสิกส์วันนี้ว่ะ


“ไอเชี่ยบาส! ไอเชี่ยเจมส์! พวกมรึงบอกกรูเองว่าวันนี้มีเรียนนะครับ พวกมรึงโทรมาบอกกรูตอนเที่ยงคืนซึ่งตอนนั้นกรูอาบน้ำปะแป้งเตรียมนอนแล้ว” ผมตะคอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ซึ่งแน่นอนทุกคนในบริเวณนั้นหันมามองผมเป็นตาเดียวซึ่งตอนนี้ผมเคืองไอเพื่อนสองตัวนั้นมาก มากจนไม่แคร์สายตาคนรอบข้างแล้วครับ


“แปปกรูขอนึกก่อนนะไอกร” เสียงของไอเชี่ยบาสเงียบลงไปสักแปป ก่อนที่มันจะร้องเสียงอ๋อออกมาเสียงดัง “อ๋อออเออใช้กรูโทรไปบอกมรึงว่ามีเรียนชดเชยฟิสิกส์ แต่กรูลืมโทรบอกมรึงว่ะว่า…มันเป็นเรียนชดเชยฟิสิกส์ 2 ไม่ใช่ฟิสิกส์ 1 ที่เราเรียนกัน โทษทีว่ะกรูเพิ่งอ่านเจอตอนตีสองแล้วกรูรู้ว่ามรึงคงหลับไปแล้วเลยไม่ได้โทรไปบอกว่ะ คิดว่าจะตื่นแล้วส่งเมสเสจหาเอา” มันพูดเสียงเจื่อน ๆ ผมรู้ครับว่ามันสำนึกผิด แต่ตอนนี้ผมยืนอยู่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์แล้วครับซึ่งตอนนี้ผมหงุดหงิดมากถึงมากที่สุดเลยครับ


“อ่อ…เหรอครับเชี่ยบาสไม่เมสเสจหากรูซะชาติหน้าเลยล่ะ ตอนนี้กรูยืนอยู่ที่คณะแล้วเว้ย” ผมกระแทกเสียงตัวเองลงไปในโทรศัพท์ซึ่งผมรู้ว่าไอบาสมันเปิดโฟนโทรศัพท์ไว้ผมจึงหันไปพูดกับไอเจมส์บ้าง “มรึงอีกตัวเชี่ยเจมส์พวกมรึงทำให้กรูต้องแหกขี้ตาตื่นมาในตอนเช้าทั้ง ๆ ที่มันเป็นวันเสาร์แห่งชาติ หลังจากวันนี้ไปจนสอบไฟนอลกรูไม่ให้พวกมรึงมาห้องของกรู” สิ้นเสียงของผมเสียงโห่ร้องของไอเจมส์และไอบาสก็ดังเข้ามาในโทรศัพท์พร้อมกับมันทั้งสองคนพยายามพูดขอโทษขอโพยผมเสียยกใหญ่


“กรกรูขอโทษคือแบบเมื่อคืนกรูนอนดึกแล้วคิดว่าจะตื่นเช้ามาส่งเมสเสจให้มรึงแต่กรูก็ไม่ตื่นว่ะโทษที” ผมยืนฟังคำแก้ตัวของไอบาสก่อนแล้วก็ตามด้วยคำแก้ตัวของไอเจมส์ “กรคือกรูตั้งนาฬิกาปลุกไปแล้วนะเฮ้ย แต่แบบเมื่อวานกรูนอนดึกไปนิดเลยแบบไม่ตื่นว่ะ” ผมยืนฟังคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นของเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียด


“เฮ้ออออออออออ...พวกมรึงรอกรูที่หอเดี๋ยวกรูไปหาพวกมรึงถึงที่” เมื่อผมพูดจบ เสียงกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ของพวกมันสองคนก็ดังขึ้น


คือไอพวกมันสองคนไม่ค่อยอยากให้ผมไปที่หอของมันสักเท่าไหร่ครับซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่อยากให้ผมไปที่ห้องของพวกมันนักหนา


“หรือมรึงจะไม่ให้กรูไป...กรูมีสองตัวเลือกให้ 1 ให้กรูไปห้องมรึง 2 พวกมรึงห้ามมาห้องกรู” ผมยื่นข้อเสนอให้พวกมันไปซึ่งแน่นอนครับมันเลือกข้อ 1 ครับ เพราะว่าพูดกันตรง ๆ เลยก็ได้ไอเพื่อนสองตัวของผมเนี่ย มันแทบจะย้ายสำมโนครัวมาอยู่ที่คอนโดผมแล้วครับ ซึ่งถ้าผมไม่ให้มันไปที่ห้องของผมมันก็ต้องนอนในหอซึ่งเป็นห้องแคบ ๆ ง่ายๆคือมันไม่สะดวกสบายเท่ากับคอนโดของผมนั่นเอง แถมบางห้องต้องนอนถึงสามคนซึ่งไอเพื่อนสองคนนี้มันไม่รู้สึกสะดวกสบายเท่าไหร่ บ่อยครั้งมันก็เก็บข้าวเก็บของมานอนที่ห้องผมเป็นอาทิตย์ ๆ เลยก็มี


“งั้นเดี๋ยวกรูไปหามรึงรอกรูอยู่ที่หอมรึงเลย ถ้ากรูไปถึงแล้วพวกมรึงไม่อยู่…กรูไล่เตะเรียงตัว” ผมพูดขู่พวกมันไปพร้อมกับรีบเดินออกจากใต้ตึกคณะเพื่อไปขึ้นรถที่ผมจอดไว้


ผมวนรถกลับเข้าไปในส่วนกลางของมหาลัยไม่นานนักผมก็ขับมาถึงหอของไอเชี่ยเจมส์และไอเชี่ยบาส ผมขับและพุ่งตรงเข้าไปจองหน้าหอของมันทันทีและแน่นอนไอเพื่อนสองคนนั้นมันก็ชะโงกหน้าออกมาทันทีที่มันได้ยินเสียงรถของผม

(ไอเจมส์กับไอบาสมันจำเสียงรถของผมได้ครับเพราะมันขับเป็นประจำมันเลยจำได้)


ผมเงยหน้ามองพวกมันสองตัวที่ทำหน้าซีดผมยกมือขึ้นไปชี้หน้าพวกมันพร้อมกับเดินเข้าหอไปพร้อมกับกดลิฟท์ของหอขึ้นไปชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นที่พวกมันสองคนอยู่


เสียงลิฟท์ประกาศบอกว่าตอนนี้ได้ถึงชั้นห้าแล้วผมก็รีบสาวเท้าออกจากประตูทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดและรีบเดินไปที่ห้อง 518 ซึ่งเป็นห้องที่เพื่อนทั้งสองคนของผมได้พักอาศัยอยู่


ผมไม่รู้หรอกครับว่าห้องของพวกมันมีคนอาศัยอยู่ในห้องนี้ด้วยกันกี่คนไม่รู้ว่าสองหรือสามแต่ที่แน่ ๆ เพื่อนรักเพื่อนเลิฟของผมตอนนี้มันนั่งรอในห้องเพื่อเตรียมขึ้นเขียงแล้วครับ
เมื่อขาทั้งสองข้างของผมก้าวเดินมาถึงประตูห้อง 518 ผมก็ไม่รีบร้อนครับ


ผมบรรจงใช้กุญแจไขห้องพวกมันอย่างเบามือซึ่งไม่ต้องถามว่าผมมีกุญแจห้องพวกมันได้ยังไง…ผมก็เอาไปปั้มมาสิครับถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ผมให้กุญแจคอนโดผมไปส่วนพวกมันก็ต้องให้กุญแจหอมันกับผม


และทันทีที่ประตูปลดล็อดผมก็แทบจะกระโดดถีบประตูเข้าไปทันทีซึ่งภาพ ๆ แรกที่ผมเห็นภายในห้องคือไอเพื่อนรักของผมที่นั่งขุกเข่าทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ และภาพที่สองที่ผมเห็นก็คือผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งซึ่งผมช่างคุ้นหน้าคุ้นตามันซะเหลือเกิน ผมยืนประมวลผลสักเล็กน้อยก่อนความทรงจำจะเริ่มปะติดปะต่อและเรียบเรียงเป็นภาพย้อนหลังในสมองของผม


“ไอ...ไฮซ์...” ผมครางเรียกชื่อของคน ๆ นั้นก่อนจะถลาเข้าไปหมายจะต่อยหน้าคน ๆ นั้นที่ผมเรียกชื่อมันออกมา


คราวนี้ผมรู้ถึงเหตุผลแล้วล่ะครับว่าทำไม…ไอสองตัวนี้มันถึงไม่อยากให้ผมมาที่หอของมัน และไม่เคยให้ผมเข้าห้องของมันเลยแม้ผมจะมีกุญแจ…ผมรู้เหตุผลหมดแล้วล่ะครับ….เพราะว่ามันมีไอไฮซ์เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผม…อยู่นั่นเอง…


ทุก ๆ ท่านเคยได้ยินคำพูดนี้ไหมครับ ‘แค่ผู้หญิงคนเดียวก็ทำให้เพื่อนแตกคอกันได้’ ในตอนแรกผมไม่เชื่อคำพูดนี้หรอกครับ ไม่เคยเชื่อเลยว่าผมจะต้องแตกกับเพื่อนเพราะผู้หญิงคนเดียว…


ครับ…ไอไฮซ์ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผม เป็นเพื่อนที่ผมไว้ใจเล่นกับมันตั้งแต่แบเบาะหรือเรียกง่าย ๆ ว่ามันเป็นเพื่อนตั้งแต่เกิดของผม (เพราะบ้านของผมกับมันอยู่ถัดกันไปแค่สองสามหลังครับ) แย่งแฟนคนแรกของผมไปครับ ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าแฟนคนแรกของผมกับไอไฮซ์แอบคบกัน


ผมยังคงยิ้มเฮฮาปาร์ตี้กับมันจนวันหนึ่งที่เป็นวันเกิดของไอไฮซ์ พวกผมก็ถูกชวนไปปาร์ตี้วันเกิดของไฮซ์มันครับช่วงนั้นผมอยู่ม. 6 กันแล้วครับ (แถมสอบตรงติดกันถ้วนหน้าโดยเหลือแค่ไอไฮซ์ครับที่มันรอผลคะแนนโอเน็ตให้เกิน 60 เปอเซนเพื่อที่จะเข้าเรียนคณะแพทย์มหาวิทยาลัยเดียวกับพวกผม)


ในวันนั้นที่เป็นวันเกิดไอไฮซ์พวกผมที่ถูกชวนไปปาร์ตี้บ้านมันก็ต่างกันโชว์พาวเวอร์ควงสาวไปด้วยซึ่งผมก็ควงแฟนสาวที่ผมคบกันมาตั้งแต่ม.5 ไปงานนี้ ผมก็เฮฮาตามนิสัยของผมส่วนแฟนของผมเธอชื่อน้ำฟ้า เธอเป็นคนน่ารักมากยิ้มเก่งคุยง่ายและเป็นกันเองครับ


ผมพาน้ำฟ้าไปรู้จักกับเพื่อนร่วมชั้นของผม (น้ำฟ้าเป็นเด็กคอนแวนครับเธอไม่ใช่เด็กเครือสาธิตแบบผม)และผมก็ปล่อยให้เธอคุยกันกลุ่มสาว ๆ ไปส่วนผมก็มาเสพอบายมุขกับเพื่อนผู้ชายที่เหลือผมดื่มเหล้าไปนิดหน่อยแต่ผมเป็นคนที่ออกจะคออ่อนสักเล็กน้อยผมเลยเมาอย่างรวดเร็วจนสภาพอาการผมไม่ค่อยจะดีแล้วจนไอบาสกับไอเจมส์ต้องแบกผมขึ้นไปนอนที่ห้องที่พ่อแม่ไอไฮซ์มันเตรียมไว้เพื่อรับแขก(เรียกง่าย ๆ ว่ารับไอพวกเมาง่ายคออ่อนแบบผม)


แต่พวกไอเจมส์มันเดินผิดครับมันพาผมไปที่ห้องนอนส่วนตัวของไอไฮซ์และทันทีที่เปิดประตูเข้าไปภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมแทบจะสร่างเมามันทีเพราะภาพที่ผมเห็นคือภาพของน้ำฟ้าแฟนสาวที่แสนน่ารักของผมกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับไอไฮซ์ทั้งสองเสื้อผ้าหลุดรุ่ยไอไฮซ์เหลือแต่กางเกงยีนคู่ใจ ส่วนน้ำฟ้าเหลือเพียงชุดชั้นในที่ปกปิดส่วนบนของตัวเองไว้ภาพ ๆ นั้นทำพวกผมและคนทั้งสองคนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่บนเตียงชะงักค้างไป


แต่เมื่อผมตั้งสติได้ผมก็ถลาเข้าไปต่อยหน้าไอไฮซ์เต็มแรงพร้อมกันใช้อีกมือหนึ่งต่อยท้องมันไปอีกหมัด ผมยืนโงนเงนเล็กน้อยเพราะฤทธิ์เหล้าที่ผมดื่มเข้าไปแต่ตอนนี้ผมสร่างเมาเรียบร้อยแล้วครับ สร่างเมาด้วยภาพเพื่อนรักของผมกับแฟนสาวของผมกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน ภาพๆนั้นทำให้ผมเจ็บแทบจะหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมาผมเดินออกจากบ้านไอไฮซ์ทันทีและเดินตรงกลับบ้านของตัวเองไปและหลังจากวันนั้น…ผมก็ไม่มองหน้าไอไฮซ์อีกเลยและมันก็ค่อย ๆ หายไปจากชีวิตผม ซึ่งผมก็ไมได้ตามข่าวสารของมันครับว่ามันติดที่ไหนยังไงแต่ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะครับว่ามันเรียนที่ไหน นี่คืออดีตของผมกับมันครับ



v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


เพื่อทั้งสองคนที่นั่งหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ในห้องพุ่งถลามารั้งตัวผมไว้แทบจะทันทีมันพยายามรั้งมือผมไว้ ส่วนไอไฮซ์ก็ยังคงนั่งหน้านิ่งแต่สายตามันมองมาที่ผมด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์อย่างแปลกประหลาด


“ไอเชี่ยเจมส์ ไอเชี่ยบาสเพราะแบบนี้ใช่ไหมมรึงถึงได้ไม่ให้กรูมาที่ห้อง ไอเพื่อนเชี่ยทำไมมรึงไม่บอกกรูว่ะถ้ามรึงบอกกรูกรุจะให้พวกมรึงมาอยู่ที่หอกรูแบบไม่อะไรเลย พวกมรึงจะได้ไม่มีเสนียดมาเกาะแบบนี้” ผมตะโกนใส่เพื่อนสองคนที่คอยรั้งร่างของผมอยู่ผมขัดขืนพวกมันสองคนเต็มแรง เพราะผมอยากจะถลาเข้าไปต่อยหน้านิ่ง ๆ นั่นของไอไฮซ์มัน
ผมมองหน้ามันและมันก็มองหน้าผมกลับ แววตาผมเต็มไปด้วยความเคียดแค้น


ส่วนไอไฮซ์แววตาของมันผมไม่สามารถระบุได้ว่ามันรู้สึกยังไง ผมดิ้นขัดขืนเพื่อนสองคนสุดแรงมือทั้งสองข้างผมฟาดไปฟาดมาที่หัวที่หลังของไอเจมส์กับไอบาสจนในที่สุดร่างของผมก็ถูกพาออกมานอกห้องและถูกเพื่อนสนิทสองคนหิ้วลงไปด้านล่าง


แล้วไอเจมส์ก็ยึดกุญแจรถของผมแล้วโยนผมเข้าไปนั่งในรถแล้วขับรถออกไปส่วนไอบาสก็ขับมอไซค์ตามกลับรถของผมที่ไอเจมส์ขับนำออกไป


ตั้งแต่ออกจากหอไอเจมส์ไอบาส ผมก็ยังคงโวยวายตลอดทางรถหวิดจะชนตั้งหลายรอบแต่ไอเจมส์มันก็ขับรถของผมพาผมกลับมาส่งที่คอนโดผมโดยสวัสดิภาพ เมื่อไอเจมส์รอไอบาสขับมอไซค์มาที่คอนโดของผมคนทั้งคู่ก็ลากผมขึ้นลิฟท์พร้อมกับโยนผมเข้าไปในห้อง


“…มรึงเคยคิดจะบอกกรูไหม” ผมถามเพื่อนรักทั้งสองคนของผมด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทและแววตาของผมที่จ้องมองพวกมันสองคนก็เต็มไปด้วยความก้าวร้าว
ผมยืนรอคำตอบที่จะออกมาจากปากพวกมันไปสักพัก


ซึ่งพวกมันทั้งสองคนก็ให้ความเงียบมาแทนคำตอบผมก็ได้แต่หัวเราะในลำคอพร้อมกับออกปากไล่ให้พวกมันทั้งสองคนออกจากห้องของผมไป แต่เพื่อนผมมันก็นิสัยไม่ต่างกันมันก็ยังดื้อดึงยืนนิ่งจ้องหน้าผมกันทั้งสองคน


“ถ้ามรึงไม่มีอะไรจะพูดก็ไสหัวไปจากห้องของกรู” ผมเอ่ยปากไล่ซ้ำอีกครั้งซึ่งมันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมที่พวกมันทั้งสองคนไม่ยอมออกจากห้องของผมไป คราวนี้ผมเริ่มมีน้ำโหกับพวกมันทั้งสองคนแทนไอไฮซ์แล้วล่ะครับ


“ไอเพื่อนเวรถ้ามรึงไม่คิดจะบอกอะไรกรูมรึงก็ไสหัวออกไปดิวะ แล้วที่พวกมรึงปกปิดไม่ให้กรูรู้เรื่องไอเชี่ยไฮซ์มัน พวกมรึงสนุกมากไหมว่ะเห็นกรูโง่มากใช่ไหมที่ปิดบังกรูมาถึงขนาดนี้ โหวว ตั้งหลายเดือน…พวกมรึงจูงจมูกกรูเก่งเนอะ”


ผมเริ่มใช่คำพูดกวนประสาทกับพวกมันและแน่นอนผมรู้นิสัยเพื่อนของผมดีว่าพวกมันไม่ใช่พวกที่มีความอดทนมากพอที่จะยอมทนให้คนอื่นพูดกวนประสาทหรือดูถูกมันได้หรอก


พวกมันทั้งสองคนเริ่มกำมือแน่นราวกับว่าพวกมันทั้งสองคนกำลังระงับความโกรธที่พุ่งสูงขึ้นอยู่แล้ว ส่วนผมน่ะเหรอก็ฉีกรอยยิ้มเหยียด ๆ ให้พวกมันไป
“พวกมรึงโกรธงั้นเหรอ…ตายแล้ว แค่นี้พวกมรึงก็โกรธกันแล้วอ่อนวะ พวกมรึงดูกรูสิกรูเข้าห้องนอนของเพื่อนสนิทสองคนไปเจอหน้าไอเชี่ยที่กรูไม่อยากเจออีกตลอดชีวิต แถมเพื่อนสนิททั้งสองคนของกรูก็ไม่คิดจะบอกกรูอีกว่าในห้องมันมีตัวเสนียดอยู่ โถ่วแค่นี้กรูยังไม่โกรธพวกมรึงเลย”


ถ้าทุกคนจะบอกว่าผมสติแตกไปแล้วผมยอมรับครับ ผมสติแตกไปแล้วจริง ๆ ตอนนี้ใครหน้าไหนก็หยุดผมไม่อยู่แล้วล่ะครับ
ตอนนี้ผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่พร้อมจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ยืนอยู่รอบ ๆ ตัวผมแล้วครับ


ผมเค้นรอยยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยคำพูดออกปากไล่ไอเจมส์กับไอบาสออกจากห้องของผมไป คราวนี้ผมพยายามคุมสติแล้วนะครับพยายามที่จะไม่ใช้คำพูดกวน ๆ หรือคำพูดกระทบกระทั่งพวกมัน “พวกมรึงไสหัวออกไปจากห้องกรูเดี๋ยวนี้” ผมพูดพลางชี้นิ้วไปที่ประตูซึ่งเป็นประตูทางออกไปจากห้องของผม “ไม่ได้ยินที่กรูพูดหรือไงครับ...หรือว่าพวกมรึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องจะให้กรูพูดภาษาอะไรดี ภาษาเชี่ยดีไหมครับพวกมรึงจะได้รู้เรื่อง”


สิ้นเสียงพูดของผมหมัดตรงของไอเจมส์ก็ประเคนเข้ามาที่แก้มขวาของผมหนึ่งหมัด และหมัดนั้นทำให้หน้าผมสะบัดไปตามแรงที่อีกฝ่ายต่อยทันทีผมเซไปเล็กน้อยจนเกือบจะล้มแต่ผมก็ใช้เท้ายันจนทรงตัวกลับมาได้


‘ต่อยซะปากกรูแตกเลยนะมรึง’ ผมพึมพำเบา ๆ และที่ผมรู้ว่าผิดปากแตกนั้นก็เป็นเพราะลิ้นของผมสัมผัสกับรสเลือดที่เจือจางในปากได้ 
ผมค่อย ๆ หันหน้าช้า ๆ ไปมองหน้าพวกมันริมฝีปากผมยิ้มเหยียด ภาพตรงหน้าของผมตอนนี้คือภาพที่ไอบาสพยายามรั้งแขนไอเจมส์สุดแรงเพื่อไม่ให้ไอเจมส์เผลอเดินเข้ามาต่อยผมอีกหมัด
ผมรู้นะครับไอบาสมันก็โกรธผมเหมือนกันแต่มันเป็นคนอารมณ์เย็นกว่าไอเจมส์เยอะและมันก็รู้ตัวว่าพวกมันเป็นคนผิด ความจริงผมก็ไม่ใช่คนโมโหร้ายและปากร้ายแบบนี้นะครับถ้าพวกมันบอกตั้งแต่ทีแรกว่ามันเป็นรูทเมทกับไอไฮซ์ผมก็จะไม่โกรธพวกมันมากขนาดนี้ แต่นี่มันไม่แม้แต่จะคิดบอกผมแล้วผมดันเจือกรู้เอง


ซึ่งแบบนี้ผมยอมไม่ได้หรอกครับผมไม่ชอบการปิดบังหรือการรู้ทีหลังชาวบ้านมากที่สุด
ผมมองพวกมันสองคนด้วยความเย็นชาพร้อมกับยกมือขึ้นปาดเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากมุมปากของผม “พอใจแล้วใช่ไหมพวกมรึง ถ้าแบบนั้นงั้นก็ไสหัวออกจากห้องกรูไปสักทีสิวะ พวกมรึงแม่มเกะกะลูกตาว่ะ” ผมละมือจากริมฝีปากของผมก่อนจะยกมือขึ้นมากอดอกเอาไว้


“ไอกร...มรึงน่าจะรู้ตัวนะทำไมกรูไม่บอกมรึงเรื่องไอไฮซ์” เสียงของไอบาสตอบผมกลับแต่ผมก็ทำหูทวนลมแสร้งเป็นไม่รับฟังในสิ่งที่ไอบาสพูด “ไอกรถึงมรึงจะทำเป็นไม่ได้ยินที่กรูพูดแต่มรึงก็ฟังกรูหน่อยเถอะ เรื่องไอไฮซ์พวกกรูรู้เรื่องวันนั้นจากไอไฮซ์หมดแล้ว” ไอบาสพูดไปพร้อมกับถอนหายใจไป ผมรู้ครับว่ามันระอากับท่าทางที่ผมแสดงออกมาแล้ว
แต่ทำได้ไงล่ะครับตอนนี้ผมโกรธพวกมันมากกว่า มากกว่าที่จะแคร์ความรู้สึกของพวกมันแล้วครับ


“เหรอ…พวกมรึงรู้ แต่บังเอิญกรูไม่รู้ว่ะครับ กรูไม่รู้อะไรสักอย่างเพราะพวกมรึงไม่คิดจะบอกกรู และตอนนี้ต่อให้พวกมรึงอยากจะบอกอะไรกรูหรืออยากจะอธิบายอะไรให้กรูฟัง กรูก็ไม่อยากจะรับรู้แล้ววะครับ พูดแค่นี่พวกมรึงคงรู้เรื่องนะ” ผมพูดบอกพวกมันพร้อมกับไหวไหล่เดินจากไป ขาทั้งสองข้างของผมนำพาร่างของผมไปยังห้องนอน ผมรีบปิดประตูห้องพร้อมกับล็อคกลอนแทบจะทันทีที่ร่างของผมเข้าไปในห้อง
ขาทั้งสองข้างที่เมื่อกี้เก้าเดินอย่างมั่นคงตอนนี้กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะยืดหยัดได้อีกต่อไปผมฝืนยืนต่อไปอีกสักพักก่อนที่ร่างของผมจะค่อย ๆ ทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้น ผมนั่งกอดเข่าของตัวเองไว้พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่เข่า


ดวงตาทั้งสองข้างของผมร้อนผ่าวก่อนผมพยายามกลั้นหยาดน้ำตาของผมเอาไวแต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลยตอนนี้น้ำตาของผมไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นที่ดังไปทั่วห้อง


ผมไม่สนใจไอเจมส์ไอบาสที่ยืนอยู่นอกห้องอีกแล้วแต่ก่อนที่ผมจะได้เสียงประตูคอนโดผมปิดลงผมก็ได้ยินเสียงของไอเจมส์ตะโกนแว่วดังเข้ามาให้โสตประสาทว่า “พวกรูรู้ไงถ้ามรึงรู้ว่าไอไฮซ์เป็นเมทพวกกรู มรึงก็จะทำตัวเชี่ย ๆ แบบตอนนี้ไง ไอกรมรึงมันเป็นพวกไม่ยอมรับฟังความจริง มรึงมันเป็นพวกปักใจเชื่ออะไรไปแล้วมรึงก็ยังจะเชื่อแบบนั้นต่อไป ต่อให้ความจริงมันจะเป็นแบบไหนก็ตาม” สิ้นเสียงพูดของไอเจมส์เสียงบานประตูก็ถูกปิดลงพร้อม ๆ กับพวกมันทั้งสองคนที่ก้าวเดินออกไปจากคอนโดของผม


ผมนั่งกอดเข่าซุกหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นไปอีกสักพักก่อนจะปาดน้ำตาของตัวเองออกพร้อมกับควานหาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผม ผมเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของใครสักคนที่ผมจะโทรไประบายใส่เขาได้ เพียงแต่ตอนนี้ผมกลับไม่รู้ว่าผมควรจะโทรหาใคร


เพราะว่าตอนนี้ผมไม่รู้ว่าใคร…จะสามารถรับฟังความเสียใจที่มากล้นของผมตอนนี้ได้…อีกครั้งหนึ่ง
ผมก้มหน้าซุกลงไปที่เข่าอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับหยาดน้ำตาระลอกใหม่ที่ไหลรินออกมาจากดวงตาของผมอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าผมอยู่ในสภาพนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ผมไม่รู้ว่าผมจะยังคงนั่งร้องไห้แบบนี้ไปอีกนานไหม ผมพยายามใช้มือทั้งสองข้างปาดน้ำตาของตัวเองออกไปจากดวงตาแต่ทำยังไงมันก็ไม่อาจหยุดไหลสักที
ผมรู้ว่าเรื่องนี้พวกไอบาสกับไอเจมส์มันไม่ได้ผิดไปทั้งหมดหรอกผมรู้ว่าผมก็มีส่วนผิดเหมือนกันแต่ในตอนนั้นผมไม่อาจจะควบคุมสติของตัวเองให้เย็นลงที่จะรับฟังสิ่งที่เพื่อนสนิททั้งสองคนของผมพูดได้


ผมถึงได้ทำตัวแบบนั้นพูดถ้อยคำดูถูกมิตรภาพของพวกเราทั้งสามคนออกไป และถ้าถามผมว่าผมเสียใจไหม…ครับผมเสียใจ…แต่ผมก็มีความโกรธมากพอ ๆ กับความเสียใจนั้นเช่นกัน


ผมนั่งซุกหน้าลงกับเข่าตัวเองต่อไปแผลที่เกิดจากหมัดตรงของไอเจมส์เริ่มระบมและตอนนี้ผมคิดว่ามันน่าจะขึ้นเป็นรอยช้ำแล้วล่ะ ผมพยายามยันร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อดูผลงานของเพื่อนสนิทที่ฝากไว้บนใบหน้าของผม


รอยช้ำที่มุมปากกับดวงตาที่แดงก่ำสภาพของผมมันช่างดูไม่ได้เสียจริงผมเปิดก๊อกน้ำที่อ่างล้างหน้าของผมพร้อมกับวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าของตัวเอง ผมมองใบหน้าของตัวเองผ่านหยาดน้ำที่เข้ามากระทบกับผิวหน้าพร้อมกับเบนหน้าหนีและก้าวออกไปจากห้อง
ผมทรุดตัวนั่งลงบนที่เตียงนอนของผมพร้อมกับซุกหน้าลงไปบนหมอนใบนุ่มที่ผมใช่ซักหัวนอนในทุก ๆ ฉับพลันสายตาผมก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ ที่เมื่อเช้าผมได้วางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง ผมเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับอ่านถ้อยคำที่พี่ศิเขียนไว้ในกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง



‘กรครับวันนี้พี่มีราวด์ตอนเช้าและเข้าเวรตอนเย็นจนถึง 3 ทุ่ม เรื่องที่กรจะเลี้ยงข้าวพี่เอาไว้วันหลังนะครับ ขอโทษด้วยนะกรแล้ววันนี้เห็นว่ามีเรียนชดเชยฟิสิกส์พยายามเข้านะครับ จากพี่ศิ’



ผมอ่านกระดาษโน้ตที่พี่ศิให้ผมหลายต่อหลายครั้งจนน้ำตาของผมไหลรินและหยดลงไปบนกระดาษโน้ตแผ่นนั้นอีกครั้ง ผมปาดน้ำตาออกจากดวงตาทั้งสองข้างพร้อมกับพาร่างของตัวเองเดินออกจากห้องของตัวเองไป


เมื่อผมยืนอยู่หน้าห้องผมก็เดินเลี้ยวซ้ายไปสักสองสามก้าวก่อนจะหยุดเท้าลงเบื้องหน้าประตูห้อง 1404 ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงบนหน้าประตูห้อง ๆ นั้น


ผมนั่งกอดเข่ารอคอยเจ้าของห้อง ๆ นั้นไปเรื่อย ๆ  จนไม่รู้ว่าเวลานั้นผ่านไปเท่าไหร่แล้ว ผมนั่งรอคอยพี่ศิเขาตั้งแต่แสงของพระอาทิตย์สาดส่องอยู่เหนือศรีษะจวบจนแสงนั้นได้หายไปจากท้องฟ้าเหลือทิ้งไว้แค่เพียงแสงจากดวงจันทร์พร้อมกับหมู่ดาวที่ต่างก็พราวแสงระยิบระยับ
ผมนั่งรอพี่ศิที่หน้าห้องของเขาต่อไปอีกเรื่อย ๆ


เวลาตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้วและผมก็ยังคงนั่งรอคอยพี่ศิต่อไปแม้ผมจะนั่งรอพี่เขามาเกือบ ๆ 5 ชั่วโมงแล้ว ผมซุกหน้าลงบนเข่าตัวเองอีกครั้งพร้อมกับหลับตาลง ผมนั่งอยู่แบบนั้นอีกไม่นานสักเท่าไหร่นัก เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับท่อนแขนแกร่งยื่นเข้ามาเพื่อฉุดรั้งร่างของผมให้ลุกยืนขึ้น


“กร…กรครับ กรเป็นอะไร ทำไมสภาพของกรเป็นแบบนี้” เสียงทุ่มที่แสนอ่อนโยนนั้นเอ่ยเรียกชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา ทว่าสภาพผมในตอนนี้ไม่อาจเอ่ยปากพูดตอบเจ้าของเสียงนั่นออกไปได้ ผมค่อย ๆ เงยหน้ามองเจ้าของต้นเสียงนั้นพร้อมกับมอบรอยยิ้มจาง ๆ ไปให้


“กรบอกพี่มาสิครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา” เจ้าของเสียงทุ้มที่แสนอ่อนโยนนั้นเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากพี่ศิคนที่ผมตั้งใจนั่งรอพี่เขามาตลอดทั้งวัน
ผมส่ายหัวไปมาเบา ๆ เชิงปฏิเสธหากแต่ดวงตาของผมมันกลับเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาอีกครั้งริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันพร้อมกับร่างกายของผมที่ถลาเข้าไปซุกอยู่อ้อมแขนของพี่ศิ


ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็ก ๆ ใบหน้าของผมซุกลงบนบ่าของพี่เขา น้ำตาที่ไหลรินออกมาจากดวงตาของผมทำให้บ่าของพี่ศิเปียกชื้นไปหมด พี่ศิได้แต่ลูบหัวของผมอย่างแผ่วเบา พร้อมกับพาเด็กขี้แยอย่างผมเข้าไปนั่งสงบสติอารมณ์ในห้องของพี่ศิ


ภายในห้องสีขาวตัดดำนั้นมีผมที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนโซฟายาวโดยผมนั้นได้ยืมบ่าของพี่ศิเป็นที่รองรับน้ำตาที่ไหลรินของผม ส่วนพี่ศิได้แต่นั่งปลอบผมอย่างเดียวและไม่คิดจะถามอะไรผมต่อ เพราะพี่เขาคงรู้ว่าถ้าผมพร้อมผมก็คงจะเล่าเรื่องทุกอย่างที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ให้พี่เขาฟังเอง
มือกร้านยังคงลูบหัวอย่างแผ่วเบาพร้อมกับมืออีกข้างที่โอบตัวผมไว้หลวม ๆ เพื่อเป็นบ่งบอกว่าตัวของผมนั้นไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
การกระทำแบบนั้นของพี่ศิทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเพียงเล็กน้อยแต่ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยลดทอนความเสียใจที่มันเอ่อล้นอยู่ในหัวใจของผมได้เลยสักนิดเดียว


พี่ศินั่งโอบตัวผมเบา ๆ อยู่แบบนี่ไปสักพักจนในที่สุดเสียงสะอื้นของผมก็ค่อย ๆ เบาลงจนเงียบไปในที่สุด ผมดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของพี่ศิซึ่งพี่ศิก็ปล่อยผมออกจากอ้อมกอดอย่างง่ายดาย เขาใช้มือข้างที่เมื่อสักครู่ลูบหัวของผมสักพักก่อนพี่เขาจะลุกจากโซฟาเดินตรงเข้าไปในครัว ผมไม่รู้หรอกครับว่าพี่ศิเข้าไปทำอะไรในนั้น แต่เวลาก็ผ่านไปชั่วอึดใจพี่ศิก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับกะลามังใส่น้ำอุ่นกับผ้าขนหนูผืนเล็กออกมา
ผมมองหน้าพี่เขาด้วยความสงสัยว่าคนตรงหน้าของผมนั้นเอาของพวกนั้นมาทำไมแต่ผมก็ได้คำตอบในทันทีผ้าขนหนูในมือของพี่ศิถูกจุ่มลงไปในกะลามังน้ำอุ่น พี่ศิยกผ้าขนหนูผืนนั้นขึ้นมาบิดหมาด ๆ พร้อมกับน้ำมันมาแนบกับหน้าของผมที่มีรอยช้ำจากการโดนไอเจมส์ต่อย


ผมพยักหน้าให้พี่ศิเขาน้อย ๆ เพื่อเป็นการขอบคุณแต่พี่ศิก็ได้แต่ยิ้มจาง ๆ และเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่ขอโทษที่วันนี้มาช้าจนทำให้กรรอนานทั้ง ๆ ที่กรมีเรื่องไม่สบายใจ” พี่เขาเงียบเสียงลงไปสักพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมรู้สึกเขินอายกับการกระทำของตัวเอง “แต่พี่ดีใจนะที่เป็นที่พึ่งให้กรได้และพี่ดีใจที่กรไว้ใจพี่ชายข้างห้องคนนี้”


เมื่อเสียงที่แสนจะอ่อนโยนพูดจนจบประโยคใบหน้าของผม(ที่แดงอยู่แล้ว) ก็ขึ้นสีขึ้นมา ผมเบนหน้าหนีไปอีกทางเพื่อแอบซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตน


ซึ่งในขณะเดียวกันผมก็ไม่ทราบเลยว่าฝ่ายที่พูดประโยคนั้นออกมาก็แสดงสีหน้าที่เขินอายออกมาด้วยเช่นกัน
แต่เหตุการณ์ที่เจอในวันนี้ทำให้ผมนึกอะไรขึ้นได้อีกอย่างแล้วล่ะครับ…คราวนี้ผมคงต้องขอเบอร์โทรศัพท์มือถือของพี่ศิไว้จริง ๆ จัง ๆ แล้ว



-_____________



พออัพแล้วหน้าจอมันแปลก ๆ แต่แบบว่าตอนนี้กรงี่เง่ามากค่ะ และที่เพื่อน ๆ ไม่ยอมบอกกรก็เป็นเพราะเค้าไม่อยากให้กรคิดมากและกรอาจจะใช้อำนาจมืดโวยวายอะไรก็ได้ค่า เค้าเลยตัดสินใจไม่บอกแต่ทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าการไม่บอกจะทำให้เรื่องมันเลวร้ายขึ้นหนักถึงจะรู้นิสัยเพื่อนดีก็เถอะแต่การเลือกบางทีมันก็อาจจะผิดพลาดได้ค่ะ

shokung13

  • บุคคลทั่วไป
ตอน6แล้วหรอ น้องกรรรรรรร แลดูงี่เง่าไปนิดนะ แต่ยังไงพี่ศิก็ยังเป็นคนที่น่ารักเสมออออออ ><

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
น้องกรยังเด็กนี่เนอะจะงี่เง่าบ้างเราก็ให้อภัย เห็นแก่ความน่ารักของน้อง  o18
พี่ศิจัดการอบรมน้องเป็นการด่วน  :katai2-1:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :pig4: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด