บ้านตรงข้ามของบ้านหลังใหญ่ที่รู้กันว่าเป็นบ้านเรืองรัตนโยดมเป็นบ้านไม้ที่ปลูกต้นไม้ทั้งไม้ดอกและไม้ประดับดูร่มรื่นน่าอยู่เป็นที่สุดเมื่อเทียบกับบรรยากาศของเมืองหลวงในตอนนี้
ชายชราที่อายุเข้าหาเลขเจ็ดกำลังนั่งอยู่ระเบียงไม้ของตัวบ้านมองไปยังท้องฟ้าที่สดใสในยามบ่ายของวันหยุดของตัวเอง
ตอนนี้ศูรรับหน้าที่เป็นประธานกรรมการดั่งเช่นเมื่อสิบปีก่อน แม้จะมีประเด็นในสังคมธุรกิจกล่าวซุบซิบนินทาเรื่องที่รพีหายหน้าหายตาพร้อมๆกับที่ถูกถอดชื่อออกจากบอร์ดบริหาร แต่ก็ไม่ทำให้ความน่าเชื่อถือของบริษัทลดน้อยลง สิ่งหนึ่งคงมาจากศูรที่เข้ามาบริหารงานเป็นที่น่าวางใจสำหรับผู้ถือหุ้น
แต่ด้วยความที่อายุอานามก็มากกว่าเดิม จะให้เขาคล่องแคล้วแบบแต่ก่อนก็คงไม่ได้ เลขาคนเก่าก็เลิกทำงานไปนานแล้วจะหาคนใหม่ก็ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรตอนนี้เลยเหมือนว่าเขางานหนักด้วยเพราะยังไม่มีคนเข้ามาช่วยจัดการธุระต่างๆให้มันง่ายดายขึ้น
พอได้วันหยุดเลยอยากจะนั่งรับลมรับพลังงานจากธรรมชาติเข้ามาสู้ตัวบ้าง ตาคมที่ดูอ่อนแรงหันกลับลงมามองดอกไม้นานาพรรณที่อยู่รายล้อมตัวแล้วทำให้นึกถึงภรรยาที่เสียไปเมื่อหลายสิบปีก่อนขึ้นมา
คำสัญญาในใจของลูกผู้ชายที่ให้ไว้กับภรรยาตอนที่ภรรยาเสียไปเขาทำไม่ได้ซักอย่าง
เขาไม่ได้เลี้ยงลูกให้ดีได้ตามที่เคยคิดมั่นไว้ หากชีวิตนี้ดับสูญไปเขาก็ไม่รู้จะมีหน้าไปพบภรรยาที่คอยอยู่บนสวรรค์ได้อย่างไร
ติ๊งงง ติ๊งงง
เสียงกริ่งหน้าบ้านเรียกความสนใจจากชายชราให้หันกลับมามองรั่วไม้สีเดียวกับตัวบ้านที่มีลายฉลุเป็นลวดลายสวยงามทำให้มองเห็นว่าคนที่อยู่นอกรั่วนั้นคือใคร
คิ้วเข้มของศูรขมวดเข้าหาด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่มากดกริ่งหน้าบ้านของเขาคือ
...นายการัน...?
ประตูค่อยๆถูกเปิดออกด้วยระบบไฟฟ้า ชายหนุ่มที่ยืนมองลงที่พื้นด้วยความประหม่าเงยหน้ามองเข้ามาในตัวบ้าน ก่อนที่จะเห็นเจ้าของบ้านนั่งที่พื้นไม้บริเวณระเบียงบ้านเขาจึงตัดสินใจเดินเข้ามา
“มาทำไม?”ศูรถามเสียงเข้มตามนิสัย แต่แท้จริงไม่ได้ต้องการจะดุใคร การันสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเข้มของอีกฝ่าย
“เอ่อ...พอดีผม...”
“เรื่องงานหรือเปล่า...ลูกชายชั้นเคยบอกว่าเขาชวนนายกลับมาทำงานที่บริษัทอีกครั้ง”ศูรถามอย่างที่คนนึกรู้ด้วยประสบการณ์ต่างๆในชีวิต การันพยักหน้าเบาๆอย่างจำยอม เขาเข้ามาเพื่อจะของานทำจากคนบ้านเรืองรัตนโยดมอีกครั้ง
จริงว่าเงินที่รพีมอบให้เขาถือเป็นการชดใช้ก้อนนั้นมันมากโขจนที่ว่าถ้าไม่ใช้สุรุ่ยสุร่ายก็คงอยู่ได้ตลอดชีวิตแบบไม่ต้องทำอะไร แต่สามเดือนที่ผ่านมามันน่าเบื่อ ขนาดออกเดินทางไปเที่ยวตามต่างจังหวัดเขาก็ยังเบื่อหน่าย ไม่เหมือนตอนที่ทำงานที่รู้ว่าตื่นขึ้นมายังมีภารกิจที่รออยู่มากมาย
แต่จะให้สมัครงานเขาก็นึกถึงที่เรืองรัตนโยดมเป็นที่แรกก่อน ด้วยคำชวนของรพีและเขาก็อยากทำงานกับองค์กรนี้ต่อ...แม้ว่าเขาจะเคยคิดทำลายมันก็ตาม
“แล้วนายอยากจะทำอะไรล่ะ”ศูรถามเสียงเนื่อย มองดูชายตรงหน้าแล้วก็อดเสียดายความสามารถขึ้นมาไม่ได้ การันเป็นคนที่ไม่สูงไม่เตี้ย ไม่ได้ดูกำยำแบบสมัยนิยมแต่ไม่ได้ดูอ้วน เรียกว่ามีเนื้อมีหนังอย่างคนอยู่ดีกินดีและสุขภาพดี ผิวขาวออกซีดนิดๆอย่างคนไม่ค่อยได้ออกแดงบวกกับดวงตาเรียวรีแบบเดียวกับพี่สาวทำให้คนตรงหน้าไม่ใช่คนที่ขี้ริ้วขี้เหล่อะไร
แต่ก่อนการันเคยทำเป็นหัวหน้าฝ่ายจัดเลี้ยงให้กับโรงแรมของเขา ด้วยรูปร่างและชื่อเสียงระดับหนึ่งของการันก็เป็นตัวช่วยเพิ่มงานให้กับบริษัทส่วนหนึ่งเช่นกัน
จะให้ปล่อยไปก็คงน่าเสียดาย...
“เอาอย่างนี้ซิ นายมาเป็นเลขาฯของชั้นไปพลางๆ คอยดูเรื่องในส่วนของโรงแรมเท่านั้น”
“...ได้หรือครับ?”การันถามอย่างสงสัย ตอนที่รพีอนุญาตให้เขามาทำงานที่บริษัทได้ รพีบอกว่าเขาคงไม่ได้ตำแหน่งเดิม ก็คิดมาตั้งแต่แรกแล้วว่าคงไม่พนักงานทั่วไป
นี่ออกจะเกินความคาดหมายไปเสียหน่อย
“หรือนายทำไม่ได้?”ศูรถามกลับเสียงนิ่ง แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อจู่ๆสายตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เหมือนประหม่ามาตลอดแปรเปลี่ยนเอาความมั่นใจเข้ามาใส่แทนที่อย่างรวดเร็ว
“ได้ครับ ผมทำได้แน่นอน”ตอบกลับอย่างมั่นใจ
“จะเริ่มงานวันไหนล่ะ ชั้นจะได้เตรียมโต๊ะไว้ให้”
“วันไหนก็ได้ครับ วันจันทร์นี่เลยก็ได้ครับ”การันกระตื้อรือร้นที่จะทำงานจนคนที่ให้โอกาสคิดกับตัวเองว่าคิดไม่ผิดจริงๆที่ยอมให้โอกาสกับคนคนนี้
“โอเค...งั้นเจอกันวันจันทร์”ศูรบอกตัดบทสนทนา
“เอ่อ...คือว่า”หากแต่การันยังไม่ยอมจบ เสียงที่กลับมาดูประหม่าอีกครั้งพูดออกมาทำให้ชายสูงอายุมองด้วยความสงสัยกับท่าทีที่เปลี่ยนง่ายราวพลิกผ่ามือ จนอดสงสัยไม่ว่าแท้จริงคนตรงหน้า...เป็นคนแบบไหนกันแน่
“คุณรพีเขาเป็นยังไงบ้างครับ...ผมมาแต่ไม่เจอ ผมอยากจะขอโทษเขาแทนพี่อีกครั้งจริงๆ”การันบอกเสียงสั่น เมื่อไรก็ตามที่นึกถึงพี่สาวก็พาลให้คิดถึงฉากจบชีวิตของนลินจนอดสะเทือนใจขึ้นมาไม่ได้จริงๆ
“ลูกชั้นใกล้จะหายดีแล้วล่ะ แล้วนายไม่ต้องขอโทษอะไร คนผิดไม่ใช่พี่นาย แต่จริงๆแล้วเป็นชั้นเสียมากกว่า”
“...??”การันไม่เข้าใจสิ่งที่ชายชราตรงหน้าบอก ศูรถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ถ้าไม่ใช่เพราะชั้นทำให้รพีเป็นคนแบบนั้นเขาคงไม่ทำให้พี่นายทำสิ่งที่ทำลงไป ที่จริงเรื่องราวทุกอย่างมันอาจจะมาจากชั้นเป็นต้นเหตุทั้งหมดเลยก็ได้ล่ะมั้ง...”ศูรว่าเนื่อยๆ ยังไงเขาก็ยังคิดว่าความผิดทุกอย่างว่าเป็นของตัวเอง แม้จะมีคนมากมายจะบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาก็ตามที แต่ความรู้สึกผิดก็ไม่ออกไปจากหัวใจที่เริ่มจะอ่อนแรงดวงนี้เสียที
ดวงตาที่มีรอยเหี่ยวย่นมองไปบนฟ้าพลางคิดถึงคนที่ล่วงลับไปนานแสนนานอีกครั้ง ถ้าภรรยาของเขายังอยู่...นวลคงจะพูดคำๆหนึ่งที่ไม่ใช่คำปลอบประโลมไม่ใช่คำที่ทำให้ความรู้สึกผิดทั้งหมดหายไป
“ผมเข้าใจครับ”
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
เสียงครืดๆจากการขบกันของฟันบนและฟันล่างดังออกมาจากปากหนา ร่างสูงกำลังดูเหมือนคนทรมานเมื่อตอนนี้เขากำลังออกแรงค้ำตัวเองกำลังราวเหล็กเตี้ยระดับเอวด้วยมือทั้งสองข้าง และพยายามที่จะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยขาที่อ่อนแรง
อาการของรพีดีขึ้นกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว ตอนนี้รพีเริ่มมีความรู้สึกมากขึ้นกับประสาทของช่วงล่างที่เคยสูญเสียไป เขาสามารถขยับขาของตัวเองได้เล็กน้อยแม้จะยังไม่คล่องแคล้ว แต่แพทย์ที่ดูแลอาการกลับบอกว่านี่ถือว่าเส้นประสาทฟื้นฟูได้เร็วมากสำหรับเวลาเพียงแค่สามเดือน
นักกายภาพเริ่มบอกให้รพีเสริมกล้ามเนื้อที่ขาให้หนักขึ้นเรื่อยๆเพื่อกระตุ้นเส้นประสาท จากตอนแรกแค่ให้คนที่คอยช่วยทำกายภาพขยับขาและนวดให้บ่อยๆ ตอนนี้เริ่มให้ร่างสูงหัดเดินเล็กๆน้อยๆ ถึงว่ามันจะสร้างความเจ็บปวดให้คนไข้แต่ก็ไม่มีทางลัดสำหรับการรักษาแบบนี้อีกแล้ว
คนที่กำลังเจ็บปวดเหมือนถูกทุบกระดูกพยายามก้าวเท้าไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รพีรู้สึกตัวดีว่าตัวเองกำลังจะหายเป็นปรกติในไม่ช้า และเขาเองก็ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น เพราะแม้ว่าอายุจะผ่านมากว่าครึ่งชีวิตแต่กลับรู้สึกเหมือนว่าได้เกิดใหม่มาเมื่อไม่นานมานี่เอง
รพหันหน้าคมดุของตัวเองที่บิดเบี้ยวจากความเจ็บไปทางข้างซ้าย มองคนที่ทำสีหน้าลุ้นกับการเดินของตัวเองแล้วยิ้มจางๆออกมาจากหัวใจ ร่างบางของอดุลย์ที่เห็นว่ารพีมองมาแล้วยิ้มให้ก็ยิ้มตอบให้กำลังใจกลับไป
รพีมองยิ้มนั้นแล้วเก็บเข้ามาในใจก่อนจะหันหน้ากลับแล้วค่อยๆออกแรงไปที่ขา ตาคมมองไปข้างหน้าราวกับมีซุ้มของจุดหมายปลายทางสุดท้าย
และ...รพีก็ทำสำเร็จ
ถึงราวเหล็กจะมีขนาดไม่ยาวมากเท่าใด แต่ความดีใจที่หยุดไม่อยู่ที่เดินมาได้จนสุดทางก็ปรากฏขึ้นทางใบหน้า รพีฉีกยิ้มกว้างแบบที่ช่วงนี้เขาทำบ่อยเหลือเกิน ถ้านับดูแค่เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เขายิ้มมากกว่าทั้งชีวิตสี่สิบของเขาเสียอีก
ต้นเหตุไม่ใช่ใคร...ปิงปอง...
“เหนื่อยมั้ยครับ”คนที่เป็นสาเหตุของรอยยิ้มรีบเข็นรถประจำตัวของเขามารับร่างที่เริ่มอ่อนแรงลงนั่ง อดุลย์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง รพีส่ายหน้าปฏิเสธแม้ที่หน้าผากกว้างของตัวเองจะมีเหงื่อเม็ดโตผุดออกมาเต็มไปหมดบ่งบอกอาการ
“ชั้นเก่งมั้ยปิงปอง”คำถามที่ฟังเหมือนลูกชายเคยถามตอนที่อยากให้อดุลย์ออกปากชมทำเอาคนร่างบางหัวเราะสดใสออกมาแบบทันที
“เก่งมากเลยครับคุณรพี”ตอบเสียงใสให้คนที่ถามพร้อมยิ้มกว้างก่อนที่มือบางจะถูกฉุดไปกุมไว้แน่นทำให้ร่างบางต้องย่อตัวลงนั่งยองๆกับพื้น
“อีกหน่อยชั้นจะหายแล้วนะ”
“ครับ คุณต้องหายแน่ๆ”
“ถ้าชั้นหายแล้วเราสองคนไปเที่ยวกันนะ ไปที่ไหนก็ได้ที่ปิงปองอยากไป...ลูกของเราจะยอมมั้ยนะ”รพีเอ่ยถามพลางนึกถึงลูกชายที่เดี๋ยวนี้เริ่มจะยอมอ่อนข้อให้ผู้เป็นพ่อมากขึ้นแต่ก็ยังแสดงท่าทีหวงพ่อปิงปองของตัวเองอยู่บ้างตามโอกาส
“ทำไมไม่พาตะวันไปด้วยล่ะครับ ถ้าพาไปรายนั้นยอมแน่ๆ”เพราะลูกชายชื่นชอบการเที่ยวนอกบ้านเป็นที่สุด และคงน่าเสียดายหากตัวเองได้ไปเที่ยวโดยไม่มีตะวันไปด้วย
อย่างไรซะสิ่งแรกที่อดุลย์มักจะคิดถึงก็คือตะวันตลอด
“แต่ชั้นอยากไปกับนายแค่สองคน...”คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแสดงความไม่พอใจใส่ร่างบางตรงหน้า แต่กลับไม่ได้ดูน่าหวั่นเกรงเช่นแต่ก่อน หากเป็นแต่ก่อนเมื่อใดที่คิ้วเข้มคู่นั้นขมวดเข้าหากันอดุลย์เป็นอันต้องเกร็งไหล่บางของตัวเองด้วยความกลัวทุกที
“หรือนายไม่อยากจะไปกับชั้น?”เสียงที่แสร้งให้ดูเศร้าลงจนอดุลย์ต้องถอนหายใจยิ้มๆพร้อมกับส่ายหน้า ใครว่าตะวันสดใสและรพีมืดมนต่างกันราวไม่ใช่พ่อลูก...แท้จริงแล้วรพีกับตะวันคล้ายกันมากทั้งหน้าตาและนิสัย...ที่แท้จริง
“เราก็อายุมากกันแล้วนะครับ คุณจะอ้อนอะไรผมนักหนาแค่นี้หัวใจผมก็เต้นแรงเกินไปแล้ว”อดุลย์บอกแซวเชิงล้อเลียนทำเอาคนหน้าคมเบี่ยงสายตาหนีหน้าตาโตของอดุลย์ที่จ้องมองยิ้มๆ มองคนที่เริ่มหน้าแดงอย่างชอบใจ
“ทุกวันนี้เราก็อยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”ร่างบางว่ายิ้มแย้มสดใส ทุกวันนี้ตื่นเช้ามาพวกเขาก็เจอหน้ากันเป็นคนแรก และเจอกันเป็นคนสุดหลังก่อนจะนอนทุกวัน เพราะตอนนี้อดุลย์ย้ายเข้ามานอนห้องเดียวกับรพีด้วยเหตุผลของเจ้าของบ้านที่ว่าอยากให้คนเข้ามาดูแลเวลาจะเข้าห้องน้ำห้องท่าจะได้สะดวกสบาย
“แต่...ชั้นอยากไปเที่ยวกับปิงปองแค่สองคนนี่ ไม่ได้หรือไง”รพีถามกลับเสียงขัดเขิน เกิดมาก็มีแต่อดุลย์นี่แหละที่ทำให้เขาออกอาการไปไม่เป็นมากขนาดนี้
“ไว้หายดีก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องนี้กันดีกว่ามั้ยครับ...ตอนนี้เข้าไปรอคุณหมอเช็คอาการกันก่อนดีกว่านะ”อดุลย์ไม่มีคำจะพูดอะไรให้แย้งอีกฝ่าย เขาไม่ใช่คนที่ให้สัญญาถ้าไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า
ก็จริงว่าตะวันยอมรับกับเรื่องของเขาและรพีแล้วก็จริง...แต่ยังไงตะวันก็คือตะวัน...อดุลย์รู้ดีเลยล่ะว่าตะวันจะมีอาการยังไงถ้ารู้ว่าเขาจะหนีไปเที่ยวกับรพีแค่สองคน
อดุลย์ผุดตัวลุกขึ้นก่อนจะออกแรงเข็นรถไปตามทางที่ค่อนข้างคุ้นเคยเพื่อรอฟังอาการของวันนี้ ระหว่างทางก็แอบมองคนหน้าเข้มที่ตีขรึมไม่พูดไม่จาบอกความไม่พอใจของรพีอยู่เรื่อยๆ อมยิ้มให้กับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
กึก...
“หยุดทำไม?”คนที่แกล้งทำเข้มหันมาถามด้วยความสงสัย จู่ๆคนที่เข็นก็หยุดแรงเข็นเสียกลางทาง รพีมองหน้าคนที่เอาแต่อมยิ้มไม่พูดอะไรออกมางงๆ ก่อนที่ใบหน้านั้นจะยื่นเข้ามากดริมฝีปากตัวเองที่แก้มของเขาอย่างรวดเร็ว
“....?”ความเงียบที่เกิดจากสิ่งที่พึ่งเกิดทำเอาตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ต่างจากอีกคนที่หัวเราะคิกคักอยู่ในลำคออย่างอารมณ์ดี
“ไม่งอนผมนะครับ...นะ”พอเห็นว่ารพีไม่พูดอะไรก็กลายเป็นคนที่ทำการอุกอาจพูดขึ้นมาแทน เสียงเล็กเสียงน้อยทำดูน่ารักเล่นเอาแก้มที่ถูกขโมยจูบไปเมื่อครู่ขึ้นสีจนแดงเห่อไปทั้งใบหน้า ทำเอาจากเสียงหัวเราะเล็กๆดังขึ้นจนฉุดไม่อยู่
“ฮ่าๆๆๆ”
“หยุดเลยนะปิงปอง...หัวเราะอะไร...บอกให้หยุดไง”รพีห้ามพัลวัน ทั้งเขินทั้งอายที่ถูกหัวเราะแบบนี้
“ครับๆไม่หัวเราะ..คิก..ไม่แล้วครับ”อดุลย์สงบสติอารมณ์หยุดหัวเราะแม้จะมีรอบยิ้มอยู่ก็ตาม ที่เขาจูบลงแก้มของอีกฝ่ายเมื่อกี้มีนัยยะอยู่ หนึ่งคือเขาอยากจะอ้อนให้รพีที่แกล้งโกรธหายโกรธ ส่วนอีกข้อคือ...
“มาหอมแก้มชั้นทำไม...ใครอนุญาต”คนที่แสร้งโกรธยังคงแกล้งอยู่แบบนั้นแม้จะแดงไปทั้งหน้าด้วยความเขินอายแล้วก็ตามที
“ต้องขออนุญาตด้วยเหรอครับ ผมก็นึกว่าผมทำได้เสียอีก”คำล้อที่ทำเอาหน้าคนฟังแดงหนักข้อมากขึ้นไปอีก
“คิก..ผมว่าผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงต้องตกหลุมรักคุณอีกครั้ง”อดุลย์มองคนตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี จนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาให้รพีได้เขินมากนี้ขึ้นไปอีก
“คุณเหมือนตะวันไม่มีผิด...เวลาผมแกล้งหยอกตะวันก็จะแกล้งโกรธผม ผมจะแกล้งหอมแก้มแล้วตะวันก็จะทำโกรธโวยวายกลบเกลื่อนความอาย...เหมือนกันทุกอย่างเลยครับ”อดุลย์ว่าเสียงใสอย่างดีใจจนลืมมองคนข้างหน้าที่เริ่มหน้าตึงขึ้นมาทันทีตั้งแต่อดุลย์เริ่มพูดคำแรก
ในอกหนาคุกกรุ่นกับสิ่งที่คนที่รักบอกว่าตนเหมือนลูกชายของเขา...เหมือนตะวัน...เลยรัก...อย่างนั้นแล้วคืออดุลย์รักตะวันแบบไหนแล้วรักเขาแบบไหน?
มือหนาคว้าข้อมือขออดุลย์ก่อนจะฉุดให้ลงไปมาใกล้ๆกับตัวเอง หน้าสองหน้าประชันกัน อดุลย์ที่เมื่อครู่หัวเราะสดใสเงียบลงทันทีเมื่อเห็นไฟในแววตาของรพี
“แต่คงไม่ทำแบบนี้กับตะวันใช่มั้ย”ปากหนาพูดเสียงเข้มดุก่อนจะเคลื่อนประกบกับอีกปากของคนที่ตัวเองรั้งเหนี่ยวเอาไว้ตรงหน้า ท่ามกลางความตกใจของอดุลย์ที่ถูกรพีจูบแต่ไม่นานเท่าไรก็คล้อยตามและเอียงหน้าปรับองศาให้ได้ที่ด้วยตัวเอง
รสจูบที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้สัมผัสกันมานานทำให้เผลอตัวดูดกลื่นกันมากจนลืมเวลา นานหลายนาทีที่ปากทั้งสองแนบชิดกันแบบนั้นก่อนที่ความเมื่อยล้าของร่างบางที่ต้องนั่งยอๆกับพื้นจะเกิดทำให้ต้องผละออกจากกันอย่างเสียดาย
ใบหน้าขาวแดงขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นพลางมองไปรอบๆเมื่อรู้ตัวว่าตรงนี้เป็นที่สาธารณะ ดีหน่อยว่าห้องนี้คนใช้บริการน้อยเลยไม่มีคนซักคน ตาโตเลยหันมามองคนที่อมยิ้มถูกใจ พลางคิดในใจอย่างเหนื่อยหน่าย
คนลูกก็หวงตัวเขากับพ่อแท้ๆของตัวเอง
ส่วนคนพ่อก็มาหึงเขากับลูกชายแท้ๆของตัวเอง
...สายเลือดนี่มันแรงจริงๆ...