ตึกสีขาวสูงสองตึกตรงหน้าของร่างบางตอนนี้คือตึกของโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ ตราประจำโรงพยาบาลที่เป็นที่รู้จักกันมายาวนานแสดงความน่าเชื่อถือในการรักษามากยิ่งขึ้น
อดุลย์ยืนอยู่หน้าโรงพยาบาลแห่งนี้พร้อมกับถือกระเช้าของบำรุงอยู่ในมือ ผมสั้นที่เริ่มยาวขึ้นมานิดหน่อยบวกกับผิวพรรณที่ขาวนวลขึ้นกว่าตอนตรากตรำทำงานทำให้คนๆนี้ดูไม่เหมือนคนใกล้วัยสี่สิบแม้ซักนิด
รอยยิ้มบางยกแย้มขึ้นเมื่อได้รับกลิ่นหอมจากดอกไม้ที่โรงพยาบาลพยายามจัดทุกๆที่ว่างภายในให้มีสีเขียว พลางคิดถึงคนที่วันนี้เป็นวันแรกที่จะเริ่มทำกายภาพบำบัด
...รพี...
เกือบเดือนภายมาจากเหตุการณ์น่าระทึกนั้น กว่าสามอาทิตย์ที่ลูกชายเที่ยวไปมาระหว่างบ้านหลังเล็กของเขากับที่โรงพยาบาลแห่งนี้เพื่อมาเยี่ยมเยียนพ่อแท้ๆของตัวเอง แม้จะไม่ยอมให้พ่อไม่แท้อย่างเขามาเยี่ยมด้วยเลยก็ตาม แต่ตะวันก็จะเล่าอาการของรพีให้ได้ฟังอยู่ตลอด
หลายอาทิตย์ก่อนหลังจากตะวันมาเยี่ยมรพี ลูกชายไม่ได้เอ่ยบอกอะไรกับอดุลย์แม้ซักอย่างเดียว และเขาเองก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เข้าใจตะวันดีว่าคงยากที่จะรับรู้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อรพี แค่ลูกไม่ได้ผลักไสรังเกียจเขาก็ดีเท่าไรแล้ว
อดุลย์ที่ได้ฟังแต่ข่าวของคนที่ตัวเองเป็นห่วงผ่านทางลูกชายมาตลอดแต่ก็ไม่เคยบอกลูกว่าอยากมาหาซักครั้ง แต่เพราะวันนี้ตะวันเป็นคนบอกเองว่าพ่อซันของเขาจะเริ่มทำกายภาพบำบัดวันแรก แล้วตะวันก็บังเอิญติดเรียนพอดีอยากจะมาให้กำลังใจคนป่วยก็ทำไม่ได้
อดุลย์เลยได้มาเยี่ยมแทนตะวันด้วยความเต็มใจ
“ขอโทษนะครับ”เอ่ยสุภาพเมื่อเดินเข้ามาภายในโรงพยาบาล พนักงานทั่วไปของโรงพยาบาลหันมาสนใจก่อนจะเอ่ยถามสุภาพกลับเมื่อเห็นว่าเป็นลูกค้าของโรงพยาบาล
“ห้องกายภาพไปทางไหนครับ”เพราะเวลาที่ตะวันบอกว่ารพีเริ่มทำคือเวลาช่วงแปดโมงเช้า แต่ตอนนี้มันเวลาเกือบๆจะเก้าโมงด้วยเพราะการจราจรที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ซ้ำที่แห่งนี้ยังอยู่กลางใจเมืองเลยทำให้อดุลย์มาสายเกือบชั่วโมง
“อ้อค่ะ เดี๋ยวจะให้น้องพาไปนะคะ”พนักงานบอกก่อนจะเรียกเวรเปลผู้ชายที่รอให้บริการแถวนั้นให้มาเดินนำเขาไปขึ้นลิฟท์ด้วยความเต็มใจในการให้บริการสมกับเป็นโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
“ทางนี้ครับ ไม่ทราบว่าญาติคุณพี่ผู้ชายทำกายภาพอะไรครับ ผมจะได้พาไปถูก”อดุลย์ส่ายหน้าตอบอย่างไม่รู้ พลางมองตามกระจกที่กั้นระหว่างทางเดิน มีป้ายบอกชื่อห้องมากมาย เขาเองก็พึ่งจะรู้ว่าที่โรงพยาบาลแบบนี้มีห้องสำหรับนวดกล้ามเนื้อที่คล้ายสปาแบบนี้อยู่ด้วย
“ถ้าอย่างนั้นผมถามเจ้าหน้าที่ให้นะครับ ขอทราบชื่อด้วยนะครับ”
“...รพี เรืองรัตนโยดมครับ”พนักงานชายรับคำก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางเคาเตอร์ที่อยู่อีกฝั่งเพื่อถามข้อมูลที่เขาต้องการ ไม่นานนักก็เดินกลับมาพร้อมยิ้มให้เขา
“เชิญทางนี้ครับ คุณรพีกำลังทำกายภาพอยู่กับคุณหมอและนักกายภาพที่ห้องเล็กครับ”อดุลย์พยักหน้าและเดินตามคนนำทางไปเรื่อย ไม่รู้ด้วยหรอกว่าห้องเล็กหรือห้องใหญ่มันอยู่ตรงไหนของที่แห่งนี้
จนกระทั่งพนักงานข้างหน้าหยุดอยู่ที่ห้องที่มีประตูบานเลือนสีน้ำตาลเข้ม กั้นผนังด้วยกระจกสีขุ่นพร้อมกับผายมือบ่งบอกว่านี่คือห้องที่เป็นจุดหมายของอดุลย์ ร่างบางบอกขอบคุณสุภาพก้มหัวให้เล็กน้อยแต่ก็ยังหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องจนคนที่พามาเดินกลับไปแล้วเขาก็ยังยืนนิ่งอยู่แบบนั้น
ครืดดด....
ร่างบางสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆประตูบานใหญ่ตรงหน้าก็ถือเลื่อนออกมาโดยคนที่ตัวเองไม่รู้จัก เป็นผู้หญิงในชุดเดรสลายดอกไม้ทับด้วยชุดกราวสีขาว หญิงตรงหน้าเอียงคอมองคนตรงหน้าที่สูงกว่าตัวเองเล็กน้อย
“มาหาคุณรพีเหรอคะ?”
“ครับ เขาอยู่ข้างในใช่มั้ยครับ”อดุลย์ถามกลับพลางเอื้อมคอมอไปด้านในมองหาแต่ก็ไม่พบอะไร
“ตอนนี้นักกายภาพคงกำลังเสริมกล้ามเนื้อให้อยู่ น่าเสียดายนะคะที่มาไม่ทัน เมื่อครู่เราพึ่งอธิบายวิธีรักษาให้คุณรพีฟังเสร็จไป”คุณหมอสาวพูดอย่างเสียดาย ดูคนตรงหน้าน่าจะเป็นคนในครอบครัวของคนไข้ของเธอมากกว่าเป็นสาวใช้ที่อยู่กับคนไข้ในห้อง
“คุณหมอพอจะมีเวลามั้ยครับ...ถ้าไม่รบกวนเกินไปช่วยบอกกับผมอีกรอบได้หรือเปล่า”อดุลย์พูดอย่างกระตือรือร้นยิ่งทำให้เพิ่มความมั่นใจกับความคิดของหญิงสาวตรงหน้ามากยิ่งขึ้นจนเผลอหัวเราะขำๆออกมา
“พอดีหมอมีคนไข้คะ ยังไงลองเข้าไปคุยกับนก นักกายภาพที่ดูคุณรพีอยู่น่ะค่ะ เดี๋ยวเธอจะสอนคุณเองว่าต้องทำอะไรบ้าง ยังไงหมอขอตัวก่อนนะคะ”หมอหญิงบอกอ่อนโยนพร้อมยิ้มให้และเดินจากไป โดยไม่ได้ปิดประตูห้องเพราะยังไงผู้ชายคนนี้คงต้องเดินเข้าไปอยู่แล้ว
และก็เป็นอย่างที่คนเป็นหมอคิด อดุลย์เดินเข้าภายในห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำกายภาพเบื้องต้น หากแต่ร่างบางที่ส่ายหน้าหาคนที่ตัวเองมาหาไม่พบ ก่อนที่จะได้ยินเสียงร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดดังมาจากหลังผ้าม่านสีครีมทำให้ร่างบางต้องเดินไปตามเสียงนั้น
ยิ่งขาเดินเข้ามาใกล้เท่าไร เสียงเจ็บปวดทรมานยิ่งดังขึ้นมากเท่านั้น จนร่างบางเริ่มจะกระวนกระวายมากขึ้นไปเมื่อจำได้ว่าเสียงนั้นคือเสียงของร่างสูงที่ตนอยากมาหา แต่ก็ไม่กล้าจะเปิดม่านออกทำได้เพียงแต่ค่อยๆกระชับขอบผ้าม่านเพื่อแอบดูคนที่ร้องลั่นภายใน
ภาพที่เห็นคือรพีกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงของทางโรงพยาบาลข้างๆกันมีดาวที่ทำหน้าบิดเบี้ยวราวกับเจ็บปวดไปด้วยกับคนที่เป็นเจ้านาย ส่วนที่ปลายสุดของเตียงมีผู้ชายตัวอวบใหญ่กำลังดันขาข้างซ้ายของรพีจนแทบจะชิดกันกับลำตัว
“อดทนนะครับ นี่ถือว่าอาการไม่ได้แย่เท่าไร ยังมีความรู้สึก”ผู้ชายคนนั้นบอกให้กำลังใจผู้ป่วยที่หน้าตาราวกับคนที่โดนทรมานด้วย น้ำตาที่ไม่มีใครเคยได้เห็นจ่อคลออยู่ที่หางตา
“อีกแค่นิดเดียวครับ...สาม...สอง...หนึ่ง เก่งมากครับ”ชายคนนั้นยังคงพูดต่อแม่จะผ่อนแรงที่ดันขาของรพีแล้วก็ตาม
“ดูจากวันแรก...ผมว่าคุณรพีอีกไม่นานก็คงสามารถฝึกเดินได้แล้วครับ คุณดาวต้องหมั่นขยับขาออกกำลังเสริมกล้ามเนื้อขาให้คุณรพีบ่อยๆนะครับ อย่าให้กล้ามเนื้อมันลีบ”ดาวพยักหน้ารับคำด้วยสีหน้าที่ยังไม่สู้ดีนัก
“คุณรพีต้องอดทนนะครับ หนึ่งเดือนที่ผ่านมาระหว่างรอให้แผลหายสนิท ระบบประสาทที่เสียหายไปฟื้นฟูขึ้นมาได้เยอะแล้วครับ แน่นอนว่าอาการตอนนี้คงเรียกไม่เรียกว่าพิการแน่นอน ตอนนี้คุณสามารถบังคับระบบขับถ่ายได้ซึ่งถือว่ามันเป็นจุดที่ดีมากๆครับ แค่มีวินัย หมั่นนวดและทำกายภาพอีกไม่นานผมเชื่อว่าคุณจะกลับมาเดินได้อีกครั้งแน่ๆครับ”คำพูดให้กำลังใจที่ไม่ใช่แค่คนป่วยเท่านั้นที่ฟังแล้วมีแรงใจฮึดสู้ ร่วมถึงดาวที่รับหน้าที่เป็นคนดูแลและอีกคนที่แอบฟังอยู่ข้างนอก
รพีเอ่ยปากขอบคุณทั้งๆที่ยังคงสีหน้าเจ็บปวดพร้อมอาการหอบหายใจอย่างหนัก ความรู้สึกชาที่ปลายเท้าเสริมให้รู้สึกเชื่อมั่นกับคำพูดของนักกายภาพตรงหน้า เขาเองก็พอจะรู้ตัวของตัวเองมาตลอดว่าช่วงล่างของเขาดีขึ้นเรื่อยตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
กับกายภาพแบบนี้ถึงจะเจ็บแต่ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะทำให้เขากลับมาเดินได้เป็นปรกติอีกครั้งหนึ่ง เขาจะได้กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม จะได้ไปช่วยพ่อทำงาน ได้เดินทางไปวาดรูปธรรมชาติ ไปรับปริญญาลูกตามที่ตะวันสัญญามาว่าจะเรียนให้จบปริญญา
และไปหาอดุลย์...
“อ๊ะ!! คุณปิงปอง!!”เสียงดาวอุทานจนทำให้รพีหันขวับมองอย่างลืมตัว ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อคนตรงหน้าคือคนเดียวกับที่นึกถึงในใจเมื่อครู่ ใบหน้าขาวที่จำได้ติดตากับดวงตาโตคิ้วเรียวยาวและร่างอรชรนั่น
“เอ้อ...สวัสดีครับ”อดุลย์เอ่ยประหม่า เมื่อถูกจ้องด้วยดวงตาคมดุหากแต่ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่เคยเป็นมา เพราะในนัยน์ตาคู่นั้นมีแต่ความรู้สึกปิติเต็มเปี่ยมไปหมด
“มาได้ยังไงค่ะ ดาวคิดถึงคุณปิงปองจังเลย”เป็นหญิงสาวที่ร้องออกมาอย่างดีใจ นักกายภาพที่ทำหน้าที่เสร็จเห็นว่าคนไข้ไม่เสร็จธุระจึงขอตัวออกไปก่อนอย่างมีมารยาท
“มาเยี่ยมคุณรพีน่ะครับ พอดีตะวันอยากมาให้กำลังใจแต่เขาติดเรียนพอดี เห็นว่าวันนี้คุณรพีเริ่มกายภาพวันแรก”อดุลย์บอกเหตุผลทำเอาทั้งสาวใช้และเจ้านายยกยิ้มดีใจ
รพีนึกไปถึงครั้งสุดท้ายที่ลูกชายมาหา เป็นวันที่เขาบอกลูกว่าวันนี้เขาจะเริ่มทำกายภาพจริงจังหลังจากที่ทำกายภาพเบื้องต้นง่ายๆตามที่นักกายภาพเคยสอนมา และตะวันก็ยิ้มให้เขาพร้อมกับบอกกับเขาว่า
...ตะวันจะให้พ่อวันหนึ่ง...
แน่นอนว่าตอนนั้นเขาไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแจ่มแจ้งทั้งหมด
“จะนายหรือตะวัน...ก็เป็นกำลังใจของชั้นทั้งนั้น”เสียงเข้มเอ่ยบอกไม่ทันให้คนฟังได้ตั้งตัว ใบหน้าขาวแดงจัดอย่างห้ามไม่อยู่ ผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวก็แทบจะหลุดกรี๊ดออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้านายพูด
รพีมองจ้องใบหน้าที่แดงกับดวงตาโตที่กว้างกว่าเดิม ใบหน้าเหร่อหราตกใจกับสิ่งที่เขาพูดออกมา แต่รพีไม่สนใจ ในเมื่อเขาคิดได้ว่าอะไรคือความรู้สึกที่แท้จริง เขาก็จะไม่มีความลังเลอะไรอีกแล้ว
จะคว้ามาอยู่ในมือให้ได้...
...ความสุข...
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ภายในโรงพยาบาลที่เป็นพื้นที่ที่อยู่ระหว่างสองตึกสูงถูกจัดเป็นสวนเพื่อพักผ่อนหย่อนใจของคนในโรงพยาบาล ดอกไม้มากมายที่อยู่ในที่แห่งนี้ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ปรกติรพีไม่ได้สนใจกับบรรยากาศที่แห่งนี้ซักนิด จะมีดอกไม้สีอะไรหรือต้นไม้พรรณอะไรบ้างเขาก็ไม่เคยนึกสนใจ
หากแต่วันนี้ต่างไปจากทุกวัน
อดุลย์ยืนเข็นรถเข็นอย่างเบามือไปตามทางเรื่อยๆ ที่แห่งนี้ไม่ได้มีพื้นที่กว้างมากมายเท่าไร เดินแค่ไม่กี่สิบก้าวก็วนจนครบรอบ นี่ก็เป็นรอบที่สามแล้วที่เขาเดินเข็นรพีอยู่แบบนี้ แต่รพีก็ดูไม่มีท่าทีให้เขาหยุดซักที
สิ่งที่รพีพูดออกมาเมื่อครู่สร้างความฉงนให้อดุลย์ได้ไม่น้อย นึกตกใจกับสิ่งที่รพีเอ่ยออกมา แต่พอถามกลับว่าอีกฝ่ายพูดอะไรรพีกลับแค่ยิ้มอย่างถูกใจแล้วเงียบไม่พูดอะไร ก่อนจะเอ่ยออกคำสั่งอย่างที่ชอบทำกับเขาว่าอยากมานั่งเล่นที่สวนแห่งนี้
“เรื่องในจดหมายที่นายทิ้งไว้”ทันทีที่คำแรกจากคนป่วยพูดออกมา อดุลย์หยุดกึกทันทีจนรพีหันกลับมามอง
“ร...เรื่องไหนครับ”
“ที่ว่านายรักชั้น”ตาคมจ้องมองแบบที่ทำเป็นปรกติ แต่อดุลย์กลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง ตาโตเลี่ยงมองไปทางอื่นอย่างไม่กล้าสบกับตาคู่เว้าวอนตรงหน้า
“ทำไมถึงรักชั้นล่ะ...ชั้นทั้งทำร้ายนายสารพัด...บอกชั้นหน่อยได้หรือเปล่าอดุลย์”คำพูดที่คนพูดเองพูดออกมาด้วยแววตาสั่นไหว แค่นึกถึงเรื่องราวที่ตัวเองทำในอดีตก็เสียใจจนอยากย้อนกลับไปแก้ไข้ให้อะไรมันดีกว่านี้
“...ผมไม่รู้หรอกครับ”อดุลย์เลี่ยงจะตอบ
“อะไรล่ะ คนแบบไหนกันนะที่รักคนอื่นแบบไม่มีเหตุผลอะไรเลย”คำพูดติดประชดประชันแต่เอ่ยด้วยเสียงที่กลั้วหัวเราะทำให้ไม่รู้สึกว่าถูกว่าอยู่
“ก็...”
“ก็อะไร...บอกชั้นหน่อยไม่ได้เหรอ? ชั้นอยากรู้จริงๆนะว่าทำไมถึงรักคนอย่างชั้น”รพีเว้าวอนทั้งน้ำเสียงและสายตาจนร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ขับไล่ความอายออกไปจากตัวเอง
“ก็เพราะคุณเป็นคนใจดี”คำตอบทำเอาคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันตามนิสัย คำตอบของอดุลย์เป็นคำที่รพีไม่เคยได้ยินใครพูดกับเขามาก่อนในชีวิต
เขาเนี่ยเหรอ? ใจดี?
“คุณใจดีกับตะวัน พาตะวันไปเที่ยว ซื้อข้าวของให้ตะวัน เป็นห่วงตะวัน ร่วมถึงคนอื่นด้วย อย่างตอนที่คุณทำงานกลับดึกจนต้องนอนค้างข้างนอกคุณจะโทรมาบอกที่บ้านทุกครั้ง ในความคิดผม ถ้าคุณไม่ห่วงพวกดาวที่ต้องรอคุณกลับบ้านคงไม่โทรมาบอก...”อดุลย์บอกเหตุผลที่เขาเห็นในตัวของรพี ตากลมจ้องมองกลับคนที่มองมาด้วยความสงสัยในตัวเองว่าสิ่งที่ร่างบางพูดเป็นจริงแบบนั้นหรือ?
“คุณมักจะแสดงออกตลอดว่าเป็นห่วงคนอื่น แต่คุณคงไม่รู้ตัว...คุณเป็นคนใจดีนะครับคุณรพี ขนาดกับผมคุณยังช่วยชีวิตผมไว้เลย ช่วยไม่ได้จริงๆที่ผมจะตกหลุมรักคุณ”อดุลย์พูดออกมาอย่างหมดท่า นึกอายที่ต้องมาพูดเรื่องความรู้สึกตัวเองแบบนี้
“ไม่ใช่เสียหน่อย”คนที่นั่งรถเข็นขัดขึ้นมาเสียงเข้ม อดุลย์เอียงสงสัยกับคำพูดของรพี
“ที่ชั้นช่วยนายไม่ใช่เพราะชั้นใจดีอะไรแบบนั้นเสียหน่อย”เสียงดุเอ่ยขึ้นจริงจังจนอดุลย์นึกกังวลว่าเขาพูดอะไรไม่เข้าหูรพีหรือเปล่า แต่ก็กังวลได้ไม่นานเมื่อจู่ๆรอยยิ้มของรพีก็เผยให้เห็นจนหัวใจดวงน้อยๆสะดุดก่อนจะเต้นถี่ด้วยความเร็วจนแทบจะทะลุออกมาข้างนอก
“ไม่มีใครใจดีขนาดไปบังกระสุนให้คนอื่นกันหรอกนะ”รพีพูดด้วยยิ้มที่กว้างที่สุดเท่าที่ตัวเองเคยยิ้มมา ความปิติมากมายที่เอ่อล้นออกมาตั้งแต่ได้ยินคำว่ารักจากคนตรงหน้าทำให้เก็บอาการอะไรๆไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
“ที่ชั้นทำ...เพราะชั้นรักนาย...ปิงปอง”ราวกับโลกหยุดหมุน รอบข้างไม่มีเสียงอะไรดังไปกว่าเสียงบอกรักจากคนที่ตัวเองรักเช่นกัน รอยยิ้มจริงใจทำให้เชื่อว่าไม่ใช่คำโกหกหลอกลวง แต่ร่างบางก็ไม่รู้จะพูดอะไรตอบโต้เหมือนกัน
รพีมองคนตรงหน้าที่อ้าปาก ตาโตเหมือนคนเจอเรื่องช็อกที่สุกในชีวิตก็หัวเราะลั่นออกมาอย่างเสียงดัง ถูกใจกับปฏิกิริยาคนตรงหน้าที่สุด ถ้ารู้ว่าแค่คำว่ารักจากเขาทำให้อดุลย์...ไม่สิ ปิงปองน่ารักได้ขนาดนี้
คงไม่รอให้ถึงตอนนี้...เขาคงบอกรักปิงปองตั้งนานแล้ว
“เป็นอะไร...ไม่ดีใจเหรอ”เอ่ยถามขบขัน กับคนที่ดูยังเก็บสติมาไม่ครบเท่าไรนัก อดุลย์มองคนตรงหน้าเหว่อ คำบอกรักกับดังก้องอยู่ในหูไม่หยุด
“เอ้อ...”
“ชั้นขอโทษกับทุกอย่างที่ชั้นทำลงไป ชั้นรู้ว่ามันยากที่จะอภัย ชั้นทำร้ายนายมาเยอะมากจริงๆ...ชั้นอยากไปทำอะไรก็ตามที่ไถโทษให้นายได้ แต่ตอนนี้ชั้นก็เป็นแค่คนพิการคนหนึ่ง...ทำอะไรไม่ได้เลย”อดุลย์มองคนตรงหน้าที่พูดจาอ่อนโยนเป็นพิเศษ พอถึงตอนที่เหมือนรพีจะตัดพ้อตัวเองตาคมก็หรุบต่ำลงด้วยความละอาย
“ไม่หรอกครับ เดี๋ยวคุณก็หาย ผมเชื่อว่าคุณต้องหายครับ”รพีมองคนที่ให้กำลังใจและกลับมายิ้มอีกครั้ง ใบหน้าคมสันพยักหน้ารับคำพูดอย่างหนักแน่น
“ชั้นต้องหายแน่นอน แต่นายช่วยมาเป็นกำลังใจชั้นได้มั้ย...ชั้นต้องทำกายภาพทุกวัน นายมาหาชั้นทุกวันได้หรือเปล่า”คำพูดเว้าวอนรุกหนักจนแทบตั้งตัวไม่ติด อดุลย์ประหม่ากับท่าทีที่แปลกไปของคนตรงหน้าไม่น้อย
“ผมคงต้องถามตะวัน...ที่มาวันนี้เพราะตะวันให้ผมมาแทนเขา”อดุลย์ตอบเสียงอ่อนโยน อย่างไรเขาก็นึกถึงจิตใจลูกชายก่อนอันดับแรก แม้ในใจอยากจะมาช่วยรพีทุกวันอย่างที่อีกฝ่ายร้องขอ แต่ก็กังวลถึงความรู้สึกของตะวันเป็นสำคัญ
“...นั้นสินะ...เฮ้อ ชั้นก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีนะ ชั้นดีใจนะที่นายบอกว่ารักชั้น แต่ก็นึกกลัวว่าถ้าวันหนึ่งตะวันสั่งให้นายห้ามรักชั้นนายก็คงไม่รักชั้นจริงๆ”คำพูดตัดพ้อพร้อมสีหน้าเศร้าลงทำให้อดุลย์ต้องย่อตัวลงมาระดับเดียวกับคนที่นั่งรถเข็น มือบางกุมมืออีกฝ่ายไว้จนแน่นอย่างให้กำลังใจ
“เพราะตะวันเป็นทั้งชีวิตของผมและเป็นทั้งหัวใจของผม”
“แล้วชั้นล่ะปิงปอง...ชั้นเป็นอะไรสำหรับนาย”อดุลย์ยิ้มจางๆก่อนจะช้อนตามองคนที่ทำสายตาตัดพ้อใส่แบบนั้น
“คุณเป็นความสุขของผม”
เรื่องอื่น พ่อแม่เป็นอุปสรรค แต่เรื่องของเรามาแปลกค๊า