ตอนจบ
ควันสีเทาจากแท่งธูปที่ถูกจุดเพียงหนึ่งแท่งด้วยความเชื่อตามโบราณว่าลอยคลุ้งไปตามอากาศ กลิ่นหอมจากมันทำให้จิตใจรู้สึกสงบได้อย่างประหลาด ชายหนุ่มที่นั่งบนรถเข็นมองก้านธูปที่มีแสงไฟสีแดงเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะหลับตาเพื่อระลึกถึงเจ้าของสถานที่แห่งนี้
...ขออโหสิกรรมสำหรับทุกอย่างที่เคยทำร้ายซึ่งกันและกันเอาไว้...
ทันทีที่รพีและครอบครัวรวมถึงคนสนิทของคนในบ้านอย่างไตรเทพและทานตะวันเดินทางมาพักผ่อนกันที่พัทยาจังหวัดชลบุรี เขาก็บอกให้อดุลย์พาตัวเองมาที่นี่ทันทีโดยมากันแค่สองคน
คนตาคมสงบนิ่งพูดคุยและบอกสิ่งที่ตัวเองอยากพูดอยู่ในใจหวังให้กลิ่นธูปที่จุดนี้ช่วยส่งข้อความถึงคนที่เขาต้องการจะบอก
พอเรื่องราวต่างๆได้ผ่านพ้นไป แล้วมาย้อนคิดถึงคนที่จากไปคนนี้รพียิ่งนึกเสียใจและละลายใจแบบสุดๆ เพราะขนาดชื่อของรวิวรรณเขายังจำไม่ได้ หน้าตาเขาก็ลืมไปจนหมดจากหัวสมอง แล้วสีสิบปีที่ผ่านมามีคนที่โดนเขาทำร้ายไปกี่คนแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจจะจำเลย
“นิวเขารู้แล้วนะครับ เขารู้ว่าคุณสำนึกผิดแล้ว”เสียงพูดของชายที่เป็นที่พึ่งของชีวิตในยามนี้บอกพร้อมกุมไหล่หนานั้นอย่างให้กำลังใจ
“ชั้นก็หวังให้เขาได้รู้แบบนั้นนะ...”ตาคมลืมตาจองมองไปที่สถานที่ตรงหน้าก่อนจะยกมือส่งธูปในมือตัวเองให้คนด้านหลังช่วยนำไปปักในกระถางให้แทน
“อ้าว...โยมอดุลย์ใช่หรือเปล่านั่น”เสียงของชายที่ฟังดูแหบพร่าด้วยอายุที่มากเรียกชื่อของคนตัวเล็กทำให้ต้องหันไปมอง ก่อนจะคุกเข่ากราบสามครั้งตามประเพณี
“สวัสดีครับหลวงตา”อดุลย์เอ่ยพูดทักทายอย่างสนิทสนม เบื้องหน้าของพระวัยชราภาพที่ร่างกายเริ่มแห้งเหี่ยวไร้เนื้อหนังมังสา แต่ทว่าใบหน้ายังเปี่ยมด้วยความสุขสมดูไร้โรคภัยไข้เจ็บ
“นี่หลวงตานพครับคุณรพี เป็นพ่อของนิว...”คำบอกเล่าทำให้รพีตาโตขึ้นทันที หลวงตานพมองปฏิกิริยาของคนบนรถเข็นอย่างสงสัย เป็นอดุลย์ที่พูดต่อแต่ก็ไม่ได้ไขข้อข้องใจให้ซักนิด
“นี่คุณรพีครับ...”ร่างบางคิดหาคำพูดไม่ออกว่าจะแนะนำว่าอย่างไร เพราะพระรูปตรงหน้ารู้มาตลอดว่าเขาคือแฟนของนิวลูกของตัวเอง และเป็นพ่อของตะวันหลานชายของท่าน
“พ่อแท้ๆของตะวันซินะ”หลวงตานพเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย แค่หน้าตาก็บ่งบอกอะไรมากมาย ท่านเองก็อยู่มาจนอีกไม่กี่สิบปีจะครบศตวรรษอยู่แล้ว เห็นคนมามากผ่านเรื่องราวมามากเช่นกัน
“ก็สงสัยตั้งแต่แรกล่ะนะว่าโยมอดุลย์ดูไม่น่าเป็นที่ชื่นชอบชื่นชมของลูกอาตมาซักเท่าไร อาตมาจะไม่ถามที่มาที่ไปหรอกนะ...แล้วมานี่มาไหว้นิวกันหรอ แล้วโยมหลานล่ะมาด้วยกันหรือเปล่า”พระชราถามต่อยืดยาวอย่างเป็นกันเองจนสองคนตรงหน้าไม่ได้รู้สึกเกรงอะไร ทั้งยังโล่งใจที่อีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องราวก็ไม่ได้กล่าวโทษอะไรตนเอง
“ไม่ได้ครับหลวงตา เรามากันสองคน”
“อย่างนั้นเหรอ งั้นไปๆ ไปนั่งข้างในวัดเถอะ”หลวงตานพเอ่ยปากก่อนจะเดินนำเข้าไปในตัววัด อดุลย์หันมายิ้มน้อยๆให้รพีแล้วออกแรงเข็นรถตามไปห่างๆ
ใต้ต้นโพธิ์ต้นใหญ่ถูกประดิษฐ์ให้กลายเป็นแท่นไว้นั่งพักผ่อนหย่อนจิตใจ หลวงตานพสั่งเด็กในวัดให้ไปซื้อน้ำซื้อท่ามาเลี้ยงแขกแล้วนั่งลงที่ใกล้ๆกันกับคนทั้งสอง
“แล้วเป็นยังไงมายังไงกันล่ะ ปรกติโยมจะมาแค่วันครบรอบวันตายของนิวไม่ใช่หรอ”
“....”อดุลย์เงียบไม่ได้ตอบคำถามในทันที แต่หันไปมองคนข้างๆตัวเองก่อนเป็นการส่งคำถามว่ารพีอยากจะพูดเองหรือเปล่า เขารับรู้ได้ว่าคนตาคมคงอยากจะเอ่ยอะไรกับพระที่เป็นพ่อแท้ๆของคนที่ตนมาขออโหสิ
“ผมมาขออโหสิกับรวิวรรณครับหลวงตา”คำพูดของรพีไม่ได้ทำให้ท่าทีของพระชราเปลี่ยนไป ดวงตาที่เริ่มอ่อนแรงของท่านจ้องมองไปยังคนที่พูดเมื่อครู่ เห็นความรู้สึกผิดในนั้น...เท่านี้ท่านก็ไม่ได้ถือโทษอะไร แม้จะไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดก็ตามที
“ผมทำให้เธอท้อง แต่ผมปัดความรับผิดชอบทำให้เธอเจอเหตุการณ์ร้ายๆจนต้องคลอดก่อนกำหนดแล้วก็ตายครับ”เรื่องราวโดยย่อที่พูดมาทำให้หลวงตานพหลับตาลง ไม่ใช่เพราะโกรธเคืองแต่เพราะนึกถึงลูกสาวมากกว่า
“อาตมาเองไม่ใช่พ่อที่ดีอะไรหรอกนะ”หลวงตานพเอ่ยบอกด้วยเสียงที่สั่นและแหบพร่า
“สมัยก่อนอาตมาก็เป็นคนเกเร เป็นนักเลงคุมบ่อน เป็นแมงดาเกาะผู้หญิงกิน แม่ของนิวก็เหมือนกัน เรามีลูกคนแรกก็คือนิวตอนที่ยังไม่พร้อม แต่โชคดีที่พอมีลูกแม่ของนิวเขาก็เปลี่ยนไป มีแต่อาตมานี่แหละที่ถลำตัวจนฉุดไม่ขึ้น”
“ตอนนิวซักสิบขวบล่ะมั้งที่อาตมาโดนจับติดคุกอยู่ราวๆห้าปี พอออกมาได้ลูกสาวคนเดียวก็ตามกระแสสังคมไปแล้ว เขาอับอายที่มีพ่อขี้คุกเลยออกจากบ้านเข้าไปอยู่กับน้าตัวเองในกรุงเทพ อาตมาไม่มีที่ไปเลยหวังบวชกินนอนอยู่กับที่วัดนี่แหละ”
“หลังจากนั้นอาตมาก็ไม่ได้ข่าวอะไรของลูกเลย รู้อีกทีก็ตอนที่แม่เขาพาลูกมาไว้ที่นี่เสียแล้ว”
“ผมขอโทษครับ...เพราะผมปิดเอง”รพีกล่าวเสียงเศร้า เขาเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่ออย่างแท้จริงเพราะเขาเองก็มีตะวันเป็นแก้วตาดวงใจอยู่ในตอนนี้เช่นกัน
“ไม่หรอกโยมรพี...มันเป็นสิ่งที่เป็นไปตามเวรและกรรมของคนคนนั้น”
“แต่ถ้าผมไม่...”
“อย่าโทษตัวเองเลย เพราะถ้าเป็นแบบนั้นอาตมาคงต้องโทษตัวเองเสียมากกว่า”หลวงตานพบอกพร้อมแย้มยิ้มให้อย่างจริงใจ สิ่งที่หลวงตาพูดเองก็เหมือนคำให้อภัยกับตัวรพี หากแต่คนตาคมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี
“ผมเองก็ใช้ชีวิตมาแบบผิดๆเหมือนครับ เรียกร้องหาความรักจากคนอื่นตลอดเวลา แต่พอได้รับกลับไม่เคยเชื่อว่ามันคือความรักที่จริงๆเลยซักครั้ง ทำตัวแย่เสเพลติดยา...มั่วผู้หญิงไปทั่ว...”
“พอคนรอบตัวมองว่าผมเป็นตัวปัญหา ผมก็ยิ่งทำตัวเองให้หนักกว่าเดิม หนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดเรื่องแย่ๆตามมากมาย”
“แต่ตอนนี้มันผ่านไปหมดแล้วใช่หรือเปล่า?”พระชราเอ่ยถามอย่างกับคนที่รู้เห็น ใบหน้าคมที่ถูกถามยกยิ้มเล็กๆก่อนพยักหน้าตอบ
“เรื่องราวที่ผ่านมามันคือประสบการณ์ล่ะนะ...ก็ถือซะว่ามันเป็นบันทึกเล่มหนึ่งแล้วกันนะโยม”หลวงตานพพูดเสียงเอื่อยพลางมองเหงยขึ้นไปดูใบโพธิ์ที่พริ้วไสวตามแรงลมอ่อนๆ
“ชีวิตคนเราก็เหมือนบันทึกหนึ่งเล่ม เนื้อหาข้างในมาจากประสบการณ์ในชีวิตของคนคนนั้น แต่ส่วนใหญ่คนจะมองหนังสือจากปกหน้า ปกหน้าที่เราเป็นคนวาดและลงสีให้มันออกมาแบบไหนก็ตามแต่ที่เราจะแสดงออกมา อยากให้คนอื่นมองเราแย่ก็แค่ระบายสีดำ อยากให้คนชื่นชมก็ระบายปกเป็นสีขาว มันอยู่ที่เราจะใช้สีอะไร”
“ตลอดมาอาตมาใช้สีดำสีโคลน ทุกคนมองมาที่อาตมาเป็นแค่ไอ้โจรกระจอกธรรมดา พอได้มาบวช ได้กล่อมเกลาจิตใจอาตมาก็สร้างสีขาวขึ้นมาในใจตัวเอง และใช้สีขาวแปะทับ...ทุกคนเริ่มมองอาตมาดีขึ้น”
“แม้กระทั้งตัวอาตมาเอง”
สายลมอ่อนยังคงพัดวนอยู่รอบตัว คำสั่งสอนของพระแก่พรรษาที่ผ่านชีวิตมาหลายสิบปีทำให้จิตใจรู้สึกถูกขัดเกลา มือสองคู่ของคนที่นั่งอยู่พนมมือขึ้นแนบอกพร้อมกับเอ่ยคำในใจเบาๆ
...สาธุ...
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
แสงแดดจ้าจากดวงอาทิตย์กลมโตที่ประดับบนท้องฟ้าที่ขาวที่วันนี้เมฆแม้แต่เพียงนิดเดียวก็ไม่มีมาช่วยบดบังความร้อนแรง แต่เพราะบรรยากาศแบบนี้ทำให้ท้องน้ำมาหาสมุทรที่กว้างใหญ่แห่งนี้ดูสวยงามระยิบระยับราวอัญมณีล้ำค่า
กลางเดือนมีนาคมที่อากาศเริ่มจะร้อนแรงหลังปิดภาคเรียนของคุณหนูของบ้านไม่กี่วัน คนที่บ้านเรืองรัตนโยดมทั้งหมดก็ได้มีทริปท่องเที่ยวทันทีทันใด
ทั้งดาว ป่าน ลุงโชนต่างตื่นเต้นระคนดีใจที่ได้มาร่วมพักผ่อนกับเจ้านายของตัวเอง ถึงจะเหมือนมาทำงานไปในตัวก็ไม่มีใครปริปากบ่นอะไรซักคำเดียว
วันนี้เข้าวันที่สองแล้วที่ได้มาถึงเมืองพัทยาแห่งนี้ และดูเหมือนจะมีกิจกรรมจากคนคุ้นเคยเรื่องท่องเที่ยวมากที่สุดอย่างเจ้าของบริษัทนำทัวร์ในประเทศอย่างไตรเทพ
ไตรเทพเสนอที่ท่องเที่ยวในพัทยาต่างๆมากมายออกมาจนเหมือนว่าเพียงวันเดียวก็คงไปไม่ครบ แต่ทุกคนก็ยอมให้ไตรเทพนำไปเพราะวันนี้ไม่ใช่วันสุดท้ายที่ได้เที่ยวที่นี่ เจ้านายใจดีพามาพักถึงหนึ่งสัปดาห์คงได้เที่ยวจนไม่เหลือที่จะไปแน่ๆ
ไตรเทพที่ติดสอยถือโอกาสพักงานยาวพาลูกสองเมียหนึ่งมาเที่ยวด้วยก็รื่นเริงตามประสาครอบครัวสุขสันต์รับหน้าที่คอยเทคแคร์พวกลุงโชน ป่านและดาวรวมถึงตะวันและเพื่อนสนิทของหลานชายอย่างทานตะวันที่ไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวอะไรแบบนี้
แต่ไม่วายเอ่ยปากแซวเพื่อนรักก่อนที่จะพาทุกคนออกไปเที่ยวตามโปรแกรมที่วางไว้
“...เบาๆนะเว้ย แข้งขายิ่งไม่ค่อยดี ระวังจะพิการซ้ำพิการซ้อน...”
พอได้ยินคำแซวรพีแทบจะเอาไม้ช่วยพยุงด้ามเก่งที่ได้มาจากลูกชายฟาดเข้าให้ แต่กลัวว่าไม้ด้ามนี้จะหักแทนที่หัวของคนที่โดนจะแตกเสียมากกว่า
“พวกคุณเทพออกไปกันแล้วเหรอครับ”เสียงอดุลย์เอ่ยถามพร้อมกับยื่นจานที่มีส้มปอกเปลือกไว้มาตรงหน้าของรพี คนตัวสูงหยิบเสี้ยวหนึ่งเข้าปากเคี้ยวและพยักหน้าตอบคำถามของอดุลย์
“เสียดายหรือเปล่า มาเที่ยวทั้งทีแต่ก็ไปไหนได้ไม่มากเพราะต้องคอยอยู่กับชั้น”เป็นสาเหตุที่ทำให้อดุลย์ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนกับพวกคนอื่น นั้นเพราะโปรแกรมที่ราวกับจะแกล้งคนที่เดินเหินลำบากของไตรเทพทำให้รพีไปร่วมทริปกับคนอื่นๆไม่ได้ เขาเลยเสนอตัวอยู่กับรพี รวมถึงศูรย์ที่ส่ายหน้าทันทีที่เห็นโปรแกรมไม่เกรงใจอายุพวกนั้น ยังโอดว่าโชนที่ออกไปเที่ยวอยู่เลยว่ากลับมาคงได้กระดูกกระเดี้ยวหักซักท่อนสองท่อนแน่ๆ
“ไม่หรอกครับ...แค่ได้มาเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็พอแล้ว อีกอย่างเที่ยวขนาดนั้นถึงร่างกายปรกติก็เถอะผมไม่เอาด้วยล่ะ ปล่อยให้เด็กๆเขาสนุกกันดีกว่า”
“นั้นสินะ แต่ในนั้นมีไม่เด็กหลายคนเลยนะ ลุงโชน...ไอ้ไตร...”รพีพูดประชดเรียกเสียงหัวเราะจากคนตรงหน้าได้ทันที
“แล้วมายืนตากแดดแบบนี้ไม่ร้อนแย่เหรอครับเนี่ย”เพราะอากาศเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ แถมยังไม่มีอะไรช่วยลดทอนความแรงอีก
“ไม่หรอก ชั้นชอบนะอากาศแบบนี้...ชั้นชอบเที่ยว...รู้มั้ยว่าทำไม?”อดุลย์ส่ายหน้าหวือทันที เขาไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่ส่วนตัวของรพีซักเท่าไร ปรกติรพีไม่ค่อยพูดเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่คุยกันก็เรื่องตะวันเสียส่วนใหญ่กับเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน และอดุลย์ก็ไม่ใช่คนช่างถาม อาศัยว่าชอบสังเกต คอยมองคอยดูเอาเองมากกว่า
“เพราะชั้นเหงา...”อดุลย์มองคนตรงหน้าด้วยคิ้วที่เลิกขึ้นอย่างสงสัย ถ้าเหงาแล้วทำไมถึงชอบออกไปเที่ยวตั้งแคมป์แค่คนเดียว...แบบนั้นยิ่งไม่ทำให้เหงามากขึ้นหรือไง และเหมือนว่ารพีจะรู้ว่าอดุลย์สงสัยอะไรจึงยิ้มน้อยๆแล้วพูดต่อทันที
“เวลาทำงาน ชั้นไม่มีเวลากระทั้งจะหยุดพูดกับตัวเองเสียด้วยซ้ำ ถึงมีคนเข้ามาพูดคุยด้วยก็เหมือนว่าไม่ได้คุยกับใคร พอกลับบ้านยิ่งแล้วใหญ่...ชั้นเลยหาเวลาให้ตัวเอง ออกไปเที่ยวคนเดียว วาดรูปที่ตัวเองชอบ...ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ”อดุลย์รู้ว่ารพีหมายถึงอะไร
“จากนี้คุณก็ไม่เหงาแล้วนะ มีตะวันตัวป่วนทั้งคนรับรองได้เลยว่าคุณหัวปั่นแน่ๆ ใช้เวลาสิบห้าปีที่เลี้ยงตะวันมาเป็นประกัน ไม่มีวันไหนเลยที่ทำให้ผมรู้สึกเหงา”อดุลย์บอกเล่าเรื่องแถมพาดพิงไปถึงลูกชายที่ตอนนี้คงกำลังสนุกกับพวกคนอื่นอยู่
“ไม่ใช่แค่ตะวันหรอก...เธอเองก็ด้วย”สิ้นเสียงใบหน้ากลมที่มีริ้วรอยของวัยขึ้นประปรายก็อมสีแดงทันที
“ไม่ต้องมาทำหวานกับผมก็ได้ครับ...อายุเราไม่ใช่น้อยๆแล้ว”ถึงจะพูดแบบนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหัวใจมันพองโตอย่างทันทีทันใดที่ได้ฟังคำหวานพวกนั้น
“ไม่ใช่ว่าชั้นจะปากหวานอะไรหรอก...ชั้นแค่รู้สึกอยากพูดก็พูด เวลาเธอเขินก็น่ารักชั้นชอบ”มือหนาไล้ตามพ่วงแก้มแดงอย่างเบามือก่อนจะไล้ลงไปกอบกุมมือของอดุลย์ไว้ ทรุดตัวเองลงระเบียงของตัวบ้านใกล้ๆพร้อมกับดึงคนที่เล็กตามลงมาข้างๆ
“เมื่อวานชั้นไปขออโหสิกับแม่ของตะวัน ไม่มีรางวัลให้คนกล้าหาญคนนี้หน่อยเหรอ...”เสียงพูดออดอ้อนราวไม่ใช่รพีเอ่ยขึ้น อดุลย์ที่หน้าแดงหันหน้าไปด้านข้างหนีสัมผัสร้อนของฝ่ามือที่เลื้อยกลับมาที่พ่วงแก้มของตัวเองอีกครั้ง
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยครับ...นี่ทำไปหวังผลอย่างนั้นหรอ”พูดไปแก้มแดงไปทำเอารพียิ้มกริ่มด้วยความถูกใจในปฏิกิริยา
“เปล่านะ แต่ก็แค่ทวงของรางวัลเท่านั้นเอง ไม่ให้จริงๆเหรอ...ปิงปอง”ท้ายประโยคที่เรียกเสียงของเจ้าตัวด้วยที่อ่อนหวานแบบนั้นยิ่งทำให้ขัดเขินมากกว่าเดิม
“นี่...มองชั้นหน่อยสิ”ออกแรงเบาๆที่มือ จับหน้าของคนที่อ่อนวัยกว่าให้หันมามองดวงตาคมที่พยามยามสื่อความนัยทุกอย่างที่อยู่ภายในใจของตัวเองหวังให้คนตรงหน้าได้รับรู้มันทั้งหมด
“ชั้นรักเธอนะปิงปอง...”คำรักมาพร้อมกับริมฝีปากหนาที่เคลื่อนมาประทับเข้ากับกลีบปากบางของอดุลย์ก่อนที่ทั้งคู่จะแลกเปลี่ยนลมหายใจให้กันและกันอย่างคุ้นเคย
นานกว่าหลายนาทีที่ทั้งคู่แลกสัมผัสกันจนลมหายใจเริ่มจะติดขัดรพีจึงผละหน้าออกมาหากแต่ยังชิดหน้าผากตัวเองกับอีกฝ่ายเอาไว้ รอยยิ้มที่หลายเดือนมานี่ยิ้มบ่อยกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาเผยให้อดุลย์ได้เห็นจนอดยิ้มตามไม่ได้
“จำคำที่พระท่านพูดเมื่อวานได้มั้ยปิงปอง”อดุลย์พยักหน้าตอบ พระที่วัดที่แวะไปเมื่อวาน คำพูดของท่านยังคงก้องอยู่ในหัว เป็นคำพูดที่เขาชอบและชวนให้คิดตาม
...ชีวิตคนเราก็เหมือนบันทึกหนึ่งเล่ม เนื้อหาข้างในมาจากประสบการณ์ในชีวิตของคนคนนั้น แต่ส่วนใหญ่คนจะมองหนังสือจากปกหน้า ปกหน้าที่เราเป็นคนวาดและลงสีให้มันออกมาแบบไหนก็ตามแต่ที่เราจะแสดงออกมา อยากให้คนอื่นมองเราแย่ก็แค่ระบายสีดำ อยากให้คนชื่นชมก็ระบายปกเป็นสีขาว มันอยู่ที่เราจะใช้สีอะไร...
“รู้จักทฤษฎีสีกับความหมายของแต่ละสีหรือเปล่า”
“สีแดงชั้นเปรียบเป็นความรักที่ชั้นมีให้กับนาย ส่วนสีน้ำเงินชั้นเปรียบเป็นความมั่นคงความแน่นอน”
“....ปกบันทึกของชั้น...ชั้นจะทาสีมันด้วย...”
“...สีม่วง...”
# ขอบคุณทุกคนที่ร่วมเดินทางมากับคนเขียนและนิยายเรื่องนี้นะคะ
เริ่มเขียนตั้งแต่เรียนอยู่ปีสี มีเรื่องราวในชีวิตจริงทำให้ทิ้งนิยายไปเป็นปีแต่พอกลับมาก็ยังมีคนที่รออ่าน
ขอบคุณจริงๆค่ะ
หวังว่านิยายของพลีส(เคยบอกชื่อตัวเองมั้ยน้อ)จะให้อะไรบ้างอย่างสำหรับคนที่อ่านนะคะ #