สายลมเอื่อยโบกพักใบ้ไม้สีเขียวใบใหญ่ของต้นโพธิ์ให้พัดไปมาสร้างเสียงครืดคราดเป็นระยะระยะ สถานที่ที่มีไว้เก็บกระดูกธาตุของเหล่าคนที่ล่วงลับไปแล้วในวัดเล็กๆแห่งนี้กำลังมีผู้ชายสามคนนิ่งสงบอยู่ด้านหน้าของรูปภาพที่เป็นของคนที่ไม่เจอกันมานาน
อดุลย์ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังรถเข็นของรพีมองไปที่สองพ่อลูกศูรและรพีที่อยู่ตรงหน้าอย่างนึกเป็นห่วง เหตุการณ์ที่เป็นต้นเหตุให้พวกเขามายังที่แห่งนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวลสำหรับรพีเหลือเกิน
คนในรูปเป็นหญิงสาวที่ผมยาวเป็นลอนสวยงาม แม้ภาพจะซีดเซียวเพียงใดก็ไม่อาจลบเค้าหน้าที่สวยนั้นไปได้ ยิ่งดวงตาที่คมนั้นคงไม่ต้องบอกว่าคนตรงหน้าเกี่ยวข้องอะไรกับทั้งสองคนตรงนี้
เมื่อวานตอนเย็นหลังจากที่อดุลย์และรพีได้พูดคุยกับลูกชายของทั้งสองคนเรียบร้อย และตะวันเองก็ยอมใจอ่อนให้พ่อแท้ๆที่ขอร้องให้อดุลย์กลับมาคอยดูแลตัวเองใกล้ๆ สร้างความสุขสันต์ให้กับหลายๆคนในบ้านเมื่อรู้ว่าคุณหนูของบ้านและอดุลย์จะย้ายกลับเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เช่นเดิม
ด้วยสถานะที่เปลี่ยนไป...จากผู้อาศัย...กลายเป็นเจ้าของร่วม
แต่ความสุขสันต์ผ่านไปไม่นาน นายใหญ่ของบ้านก็เรียกรพีขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจัง และบอกเล่าเรื่องราวที่ทำเอายิ้มของความสุขหุบลงทันทีทันใด
...ลูกจันทร์...ลูกสาวคนโตของศูร...พี่สาวคนเดียวของรพี
...เสียชีวิตไปนานแล้ว...
เป็นสิ่งที่ทำให้วันนี้ทั้งสามคนถึงมาอยู่ตรงนี้ร่วมกันไว้อาลัยและนึกถึงพี่สาวที่รพีไม่เคยออกตามหาเพราะคิดว่าตอนนี้พี่ลูกจันทร์คงกำลงมีความสุขกับอิสระของตัวเองอยู่ที่ไหนซักแห่ง
ไม่เคยคิดเลยว่าพี่จะตาย...ตั้งแต่สิบปีก่อน
ศูรบอกเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวคนเดียวให้ทุกใบบ้านได้รับรู้
เริ่มจากเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนที่เขาทะเลาะครั้งรุนแรงจนทำให้ไล่ลูกจันทร์ออกจากบ้าน และลูกสาวที่ใจเด็ดไม่แพ้ผู้เป็นพ่อก็ออกไปตามที่ตัวเองออกปากจริงๆ ด้วยทิฐิศูรไม่เคยออกตามหาพยายามไม่สนใจว่าลูกจันทร์จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จนกระทั่งตอนที่รพีเกือบจะถึงแก่ความตายครั้งแรก
ครั้งที่ลูกชายที่เหลืออยู่คนเดียวเกิดอาการช็อกจากอาการเสพยาเกินขนาด อาการรุนแรงขนาดที่ว่ารพีนอนหลับไม่ตื่นไปสามวันพอตื่นมาก็เหมือนคนเสียสติตาลอยและพูดไม่รู้เรื่อง
เขาส่งตัวลูกชายเข้าบำบัดอาการและตอนนั้นเองก็เป็นช่วงที่ศูรอยากตามหาลูกสาวคนเดียวของเขากลับมา เพื่อจะเป็นกำลังให้น้องชายที่รักพี่สาวอย่างมาก
ศูรยอมที่จะลดทิฐิลงเพื่อที่จะให้ลูกชายกลับมาเป็นดั่งเดิม ใช้อำนาจเงินเพื่อหาข่าวคราวของลูกจันทร์ เพียงไม่กี่วันก็พบข่าวของลูกสาวตั้งแต่ที่ออกจากบ้านก็ไปเล่นดนตรีกลางคืนทางภาคเหนือ และแต่งงานกับชายหนุ่มพ่อลูกติดที่เป็นเจ้าของบาร์ที่ทำงานอยู่ ชีวิตของเธอมีความสุขได้ทำงานที่ตัวเองรัก สร้างเสียงเพลงเสียงดนตรีที่ชอบ มีครอบครัวที่อบอุ่น สามีรักและให้เกียรติเธอไม่ดูถูกว่าเธอเป็นคนที่ไม่มีอะไรติดตัว
เพียงแค่รู้ศูรก็อยากจะไปหาลูกจันทร์ด้วยตัวเอง
แต่...มันสายไป...เพียงนิดเดียว
และไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตา ในวันที่รพีช็อกจากการเสพยาเกินขนาดเข้าโรงพยาบาล เป็นวันเดียวกับที่ลูกจันทร์และสามีของเธอ...มีชีวิต...เป็นวันสุดท้าย
น้ำตาของนักธุรกิจใหญ่ที่ไม่เคยไหลรินมาตั้งแต่ตอนที่เสียคนที่เขารักมากที่สุด ที่เป็นคู่ชีวิตไปไหลลงมาอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่ศูรตัดสินใจเลือกจะเข้มแข็งขึ้นอีกเพื่อที่จะเป็นหลักให้ลูกชายที่ตอนนี้เขาเหลืออยู่แค่คนเดียว
เขาเลือกจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากทุกคนยกเว้นโชนที่เป็นเหมือนเพื่อนสนิท เลือกที่ให้รพีที่หายดีแล้วขึ้นมาเป็นประธานกรรมการแทนเขา โดยให้ลูกชายเรียนรู้งานทุกอย่างแม้จะเป็นการบังคับแต่ศูรก็คิดว่านี่คือสิ่งที่ดีสำหรับรพีที่สุด
แต่เหมือนทุกอย่างที่ชายแก่ๆคนนี้ทำมาตลอดมันผิด จนกระทั่งพึ่งจะมาคิดได้เมื่อไม่นานมานี้ ชีวิตตลอดเจ็ดสิบปีที่ผ่านมา
แค่ก่อนที่จะตาย...ขอแค่สักครั้งที่จะทำอะไรที่ถูกต้องบ้าง
“พ่อเก็บเรื่องนี้มานานเท่าไรแล้ว”เสียงเข้มของคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นเอ่ยถามผู้เป็นพ่อโดยที่สายตายังจดจ้องอยู่ที่รูปภาพของคนที่ไม่เคยลืมเลือน รอยยิ้มที่อ่อนโยนเขายังคงจำมันได้ดี
พี่ลูกจันทร์เป็นคนเดียวที่มอบความรักความอบอุ่นยามวัยเด็กให้เขา ทุกคืนที่ฝันร้ายรพีจะเดินออกจากห้องไปเคาะประตูของพ่อเพื่อขอนอนด้วยแต่ศูรก็ไม่เคยเปิดรับเพราะชีวิตของศูรในตอนนั้นอยู่แต่กับงาน ก็มีแต่พี่สาวคนนี้ที่เป็นคนปลอบคนกล่อมให้เขาได้หลับฝันดี
ความทรงจำในวัยเยาว์ย้อนกลับมาเป็นฉากๆจนตีตื้นขึ้นมาในอก พอคิดว่าพี่คนที่แสนดีคนนั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ็บในอกไปหมด
แต่ที่เจ็บมากกว่า...คือพอคิดว่าศูรที่ทนเก็บความเสียใจนั้นมายาวนานขนาดนี้จะรู้สึกอย่างไร...รพียิ่งเจ็บมากขึ้นไปอีก
หากเป็นแต่ก่อนก่อนที่เขาจะสำนึกและคิดมากกว่าที่อคติในตัวจะเป็นกรอบกำหนด เขาคงคิดโกรธเคืองผู้เป็นพ่อที่ปิดบังและเป็นหนึ่งในสาเหตุให้พี่ออกจากบ้านไปจนกระทั้งตาย
แต่เวลาเขาเปลี่ยนไป รพีมีความคิดว่าหากตะวัน...ลูกตาย...คนเป็นพ่ออย่างเขาคงจะปวดรวดร้าวเพียงใดกัน...ศูรเองก็คงไม่ต่าง
“ชั้นรู้ตั้งแต่ลูกจันทร์ตาย แต่ก็มาไม่ทันงานศพ”ศูรบอกเรียบๆ เขาโล่งใจที่รพีไม่มีอาการอะไรอย่างที่เคยกังวล เพราะคนที่อยู่ข้างๆของลูกตอนนี้แท้ๆที่ทำให้รพีกลายเป็นคนที่อ่อนโยนลงขนาดนี้
...แม้สถานะของทั้งคู่จะเป็นที่ยอมรับยาก...
ทว่าหากทำให้รพีดีขึ้นทั้งกายและใจ ศูรเองก็ไม่เคยจะขัดขวางความสุขที่เหลืออยู่ของลูกชาย
“พี่ลูกจันทร์เขาไปดีแล้วครับ ผม...ขอโทษ”คำขอโทษที่ทำให้ชายชราจ้องรู้สึกฉงนสงสัย มองที่ใบหน้ารพีที่มองเพียงแค่พี่สาวของตัวเอง
“ขอโทษที่ตลอดมาผมทำให้พ่อต้องเป็นกังวล ผมทำตัวแย่จริงๆ อายุก็จะสี่สิบแล้วพึ่งจะรู้สึกสำนึกตัว”คำปรามาสแก่ตัวเองของคนที่เคยยึดตัวเองเป็นที่ตั้งของรพีทำเอาคนฟังสะเทือนใจ
“ไม่หรอก แกไม่ใช่คนผิดแค่คนเดียว ชั้นเองก็ผิดถ้าชั้นเข้าใจพวกแกมากกว่านี้ เรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”ศูรบอกกลับ วางมือที่มีแต่รอบเหี่ยวย่นตามอายุบนไหล่กว้างของลูกชาย รพีหันกลับมามองพ่อก่อนจะหันไปมองผู้ชายคนสำคัญอีกคน
“ยังไงผมก็ขอโทษครับ...แล้วก็ขอบคุณครับที่พ่อยอมปลดภาระให้ผม”รพีพูดพร้อมยิ้มเรียบๆ พร้อมกับดึงมือบางของคนที่ยืนอยู่ซ้อนหลังมากุมอย่างขอกกำลังใจ
“เพราะชั้นอยากให้ต่อจากนี้แกมีแต่ความสุข ชั้นรู้ว่าแกไม่ได้รักหรืออยากจะทำธุรกิจ และอายุชั้นขนาดนี้แล้วก็คงดูแลไม่ไหว”ชายชราบอกด้วยรอยยิ้มจางๆที่ส่งคืนกลับให้ลูกชาย
“แล้วอย่างน้อย วัชรเองก็ไม่ใช่คนอื่นไกล ถึงไม่ได้สายเลือดเดียวกับเราแต่ถ้านับกันจริงๆเขาก็เป็น...”ศูรหยุดพูดแล้วมองกลับไปที่ลูกสาวคนเดียวพลางเหลือบมองไปที่ข้างๆกับรูปของลูกจันทร์ เป็นชายหนุ่มที่ดูมีอายุหน้าตาตี๋บอกสัญชาติของคนแผ่นดินใหญ่มาอย่างเต็มเปี่ยม
“....หลานอีกคนของชั้น”
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ที่สนามบินนานาชาติประจำประเทศ ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติกำลังเดินขวักไขว่กับเต็มไปหมด เสียงของผู้คนจอแจกันเสียงดังจนฟังใครแทบไม่ออกว่าใครพูดอะไรบ้าง กลุ่มคนที่เดินทางมาส่งชายหนุ่มตาตี๋ที่เต็มไปด้วยสัมภาระมากมายกำลังกล่าวคำลาชั่วคราว
วัชรมองคนตรงหน้าราวๆสิบกว่าคน มีทั้งเพื่อนสมัยเรียนกลุ่มหนึ่ง ผู้ช่วยที่ทำงานสองคน กับคนในครอบครัวใหม่ที่ตนเองก็พึ่งรู้ตัว
วัชรมองไปที่คนที่เคยเป็นเจ้านายของตัวเองแล้วก็รู้สึกแปลกๆออกมาอีกครั้ง เมื่อตอนนี้เป็นสถานะเป็นหลานของคนพวกนี้ เมื่อสมัยเด็กๆเขาจำได้แค่ว่าพ่อของเขาแต่งงานใหม่กับน้าจันทร์ จำได้ว่าน้าจันทร์เป็นนักดนตรีที่บาร์ของพ่อ จนสักพักพ่อเขาก็มาบอกว่าจะแต่งงานใหม่อีกครั้งกับน้าจันทร์ เขาเองไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้เรื่องราว ออกจะถูกชมบ่อยๆว่าฉลาดและทำตัวเกินเด็กบ่อยๆ วัชรเขาใจและยอมรับง่ายๆ
ชีวิตตอนนั้นดูจะราบเรียบ เขาได้แม่ใหม่ที่รักเขามากทำกับข้าวคอยรับส่งทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้นานเพราะสองปีหลังจากที่พ่อแต่งงานพ่อกับน้าจันทร์ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ เขาในตอนนั้นเหมือนถูกพรากสิ่งสำคัญออกจากชีวิตจนหมด
โชคยังดีที่แม้พ่อจะไม่ได้ทำพินัยกรรมอะไรไว้แต่เขาก็ถือเป็นทายาทเพียงคนเดียว ทรัพย์สินที่รวบมูลค่าเกือบล้านหลังหักหนี้สินถูกยกให้เขา โดยมีลุงที่เป็นญาติห่างๆรับเขาไปดูแล และดูแลต่อเป็นอย่างดี ไม่เคยเอาเปรียบกัน
หลังจากนั้นเขาก็ย้ายมาอยู่กับลุงที่กรุงเทพฯ ใช้ชีวิตใหม่จนลืมเลื่อนเรื่องในอดีตไปเกือบหมด ไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าน้าจันทร์คนนั้นคือคนเดียวกับที่เคยได้ยินข่าวลือในบริษัทว่าท่านประธานมีพี่สาวที่หนีออกไปจากบ้านตั้งแต่หลายสิบปีก่อน
“ตั้งใจเรียนนะวัชร”ศูรเอ่ยบอกยิ้มๆ พลางมองหลานชายคนใหม่ด้วยความรู้สึกดีที่มีคนมาสานต่อธุรกิจที่ตัวเองลงมือลงแรงไปตั้งแต่แรก คล้ายโชคชะตาที่คอยช่วยเหลือเขา เขารู้แต่แรกว่าวัชรเป็นใคร ตอนที่เด็กหนุ่มมาสมัครงานเขาก็แทบจะให้เข้ามาโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น
ยิ่งตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่ยอมเก็บวัชรเอาไว้ใกล้ตัว เพราะเด็กหนุ่มชอบที่รักเกี่ยวกับการบริหาร เขาจึงตัดสินใจยกธุรกิจให้วัชรดูแล จึงส่งไปเรียนต่อก่อนจะกลับมารับภาระที่ยิ่งใหญ่
“ครับ...คุณปู่”คำแทนตัวใหม่ที่ถูกบังคับเรียก ยิ่งทำให้คนที่ถูกเรียกยิ้มกว้างขึ้น มองไปที่หลานอีกคนยิ่งยิ้มหนักขึ้นไปอีก ตะวันเองก็ดูตื่นเต้นกับครอบครัวที่นับวันยิ่งใหญ่มากขึ้นมาเรื่อยๆ จนยังเคยเผลอถามศูรอีกว่า
...อีกหน่อยจะมีญาติ โผล่มาอีกหรือเปล่า?...เรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงได้ทั้งบ้าน
“ขอบคุณนะวัชร”รพีบอกต่อเป็นคนที่สอง วัชรยิ้มรับแต่ไม่ได้พูดรับคำ เขาทำงานกับรพีมานานกว่าห้าปี เห็นความไม่ทุกข์แต่ไม่มีความสุขของเจ้านายคนนี้มาตลอด ตอนนี้เพียงแค่บรรยากาศอบอุ่นรอบๆก็มองออกว่าคนคนนี้มีความสุขแค่ไหน เขาก็นึกดีใจด้วยจากใจจริง
“โชคดีนะพี่วัช เดี๋ยวตะวันจะอ้อนปู่ให้พาไปเที่ยวหาบ้างนะ”ตะวันบอกเสียงใส ยิ้มส่งพี่ชายหมาดๆด้วยความสุขและดีใจด้วย
“โชคดีนะครับคุณวัช”อดุลย์บอกปิดท้ายแต่ก็ต้องสะดุ้งตัวเมื่อถูกคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันกลับมาก่อนแกล้งดุเสียงเข้ม
“นายไม่ต้องเรียกวัชรว่าคุณ เรียกวัชเฉยๆก็พอ”คำบอกง่ายๆแต่แปลความหมายได้หลากหลายอย่าง ใบหน้าขาวมีริ้วสีขึ้นสีแดงอย่างห้ามไม่อยู่ ส่วนเด็กชายที่อายุน้อยที่สุดก็ส่งเสียงฮึดฮัดแสร้งว่าไม่ชอบใจ ไม่ใช่ไม่ชอบที่เห็นพ่อซันหยอกล้อพ่อปิงปองแต่เพราะเพียงแค่อยากขัดขาพ่อเท่านั้น หลังๆมาพ่อซันชอบแกล้งให้พ่อปิงปองต้องเขินบ่อยๆ
บอกตรงๆว่าตะวันเห็นแล้วมัน...หมั่นไส้
“ฮ่าๆ ตะวันทำหน้าบูดเป็นตูด ระวังเถอะของที่กินๆไปจะไม่ออกทางข้างล่างจะมาออกที่หน้าแทน”วัชรหัวเราะยิ้มพร้อมพูดล้อเลียนตะวัน รู้จักกันมาก็มีเรื่องกินเนี่ยแหละที่เอามาล้อเลียนได้เพราะตะวันชอบกินมากจริงๆ แถมของชอบของโปรดก็เยอะแยะไปหมด
“หู้ย พูดแบบนี้รีบไปเลยไปพี่วัช”
“ฮ่าๆ งั้นพี่ไปแล้วนะ ผมไปก่อนนะครับ”วัชรหัวเราะเสียงใส ความเป็นครอบครัวที่กลับมาอีกครั้งทำให้เขามีความสุขมากจริงๆ ถึงคุณลุงที่เลี้ยงดูมาจะรักเขาไม่ต่างจากพ่อที่ล่วงลับไป แต่ลุงไม่มีครอบครัวไม่มีลูกมีเมีย เลยเหมือนว่าจะเหงาๆไปซักหน่อย
ศูร รพี อดุลย์และตะวันบอกล่ำลาวัชรอีกครั้งก่อนจะเดินกลับออกมาทิ้งคนที่ต้องไปต่างแดนล่ำลาคนอื่นต่อพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ตะวันอยากจะไปเที่ยวไหนไหม ไหนๆก็ออกมาข้างนอกแล้ว ค่อยกลับบ้านดึกๆก็ได้...ไหวหรือเปล่าครับปิงปอง?”รพีถามความคิดของคนอื่นๆ เวลาที่ได้อยู่ครบหน้ากับแบบนี้แทบจะหาได้ยาก ก่อนจะหันไปถามอดุลย์ด้วยความห่วงใยเมื่อวันนี้อดุลย์เป็นคนขับรถพาทุกคนมา
“ตะวันไปไหนก็ได้”เด็กชายไม่มีความคิดเห็น รพีจึงหันไปมองศูรกับอดุลต่อ
“ชั้นขอตัวแล้วกัน อยากจะไปไหนก็ไปกันเถอะ”ศูรออกตัวเมื่อคิดว่าตัวเองไม่เหมาะจะไปกับลูกหลาน
“ไปด้วยกันเถอะครับพ่อ”รพีเอ่ยอีกครั้ง ศูรมองลูกชายยิ้มๆ รพีดูอ่อนโยนลง เขายังจำได้ดีสมัยเด็กๆว่าลูกชายของเขาอ่อนโยนและใจดีใส่ใจคนอื่นมากแค่ไหน เขาดีใจเหลือเกินที่ได้เจอลูกชายคนเดิมอีกครั้ง
“ผมไม่ได้ไปไหนมาไหนกับพ่อนานแล้ว”รพีพูดออกมาทำให้ศูรกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ทั้งอดุลย์และตะวันรวมถึงรพีเองก็ถึงกับตกใจเมื่อจู่ๆน้ำตาของชายชราก็ล่วงไหลออกมาอย่างง่ายดาย
“อืม...”คำตอบรับพร้อมใบหน้าที่เหี่ยวย่นแต่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างพยักหน้ารัวๆขึ้นลง
“...งั้นเราจะไปไหนกันดีครับ”อดุลย์เอ่ยถามขึ้นมา บรรยากาศตรงหน้าทำให้อบอุ่นอยู่ในหัวใจจนเผลออดคิดถึงแม่ผู้ล่วงลับไปไม่ได้ แม้แม่จะตายจากไปนานแสนนาน แต่อดุลย์ยังจำเรื่องราวทุกอย่างของแม่แดงได้ดี ยังจำคำสอนของแม่แดงได้ทุกคำ
ราวกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ที่ในใจของเขาเสมอ
“เลยไปหาอะไรกินแถวอยุธยาดีมั้ย ลำบากมากหรือเปล่าปิงปอง”
“ไม่เลยครับ แค่นี้สบายมาก”อดุลย์ส่ายหน้ายิ้มเหมือนกับคนที่พูดด้วย...รพีเองก็ยิ้มอยู่เช่นกัน
“ถ้าห่วงกันขนาดนั้นตะวันขับให้มั้ย? แล้วปู่มานั่งกับตะวันนะ ส่วนพ่อซันกับพ่อปิงปองไปนั่งหลังกันไปเลย ไม่ต้องห่วงเด็กกับคนแก่หรอกเนอะปู่เนอะ”ตะวันเอ่ยขัดบรรยากาศอุ่นๆตรงหน้า ทำให้ประชดประชันใส่พ่อทั้งสองคนจนทำเอาทุกคนหัวเราะลั่นสนามบินทำให้หลายคนที่เดินผ่านไปมามองด้วยความสงสัย
แต่ยิ่งหัวเราะตะวันยิ้งอมลมเข้าปากอย่างขัดใจ พลางนึกแค้นในใจพร้อมบอกกับตัวเองว่าจะสั่งให้พ่อปิงปองอย่กับแค่ตะวันซักอาทิตย์สองอาทิตย์ไม่ยอมให้ไปช่วยพ่อซันทำกายภาพซะเลย
ก็บอกแล้วว่าเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้จะขัดความสุขของใครหรืออะไร
ก็แค่หมั่นไส้!!