[fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]  (อ่าน 54319 ครั้ง)

Mauve

  • บุคคลทั่วไป
จัดไปค่ะคุณบอดี้การ์ด  :z2:

น่ารักที่สุด  :katai2-1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ๊ย น่ารัก
เขิลแก้มจะแตกแล้ว

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
เหมือนมีเค้าโครงเรื่องจริง น่ะ


 :hao3: แสตมป์ คิคิ

ออฟไลน์ machan000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
น่ารักมากมาย เขินเลยอ่ะ :-[ :impress2:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
พี่ซินซึนๆนี่โครตน่ารักอ่ะ
คนอะไรเนี่ย ฮึ่ย อิจฉาพี่นัทเวอร์ๆ
ปล ของสิ่งนั้น พี่นัทกะจะเก็บไว้ถึงเมื่อไหร่อ่ะ
งี้อออ หวานนนน ชอบอ่าาา

ออฟไลน์ matilda.taon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:
สิ่งนั้นคืออะไรหว่า?? แลพี่ซินจะรัดกมันมากเลยนะ  :hao3: :hao3:

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
7

((จูบเย้ยพระอาทิตย์))


                วันนี้เราตื่นมาเช็คเอาท์กันแต่เช้า เพราะจะเดินทางไปที่อื่นต่อ ดังนั้นเราจะพักที่นี่แค่คืนเดียว และสถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันก็คือเกาะไหง เกาะขึ้นชื่อของจังหวัดตรัง แบ็คอัพและทีมงานบางส่วนเดินทางกลับพร้อมรถตู้บริษัทเลย มีแค่สี่คนที่จะเดินทางไปกับเรา คือ ป้อง แบ็คอัพมือกีต้าร์ ส้มกับนาว ฝ่ายเสื้อผ้า และจิ๋วผู้ช่วยคุณโอ๊ต ตอนนี้ทุกคนกำลังขนของขึ้นรถตู้ของทางโรงแรมที่จะไปส่ง ซินกับคุณโอ๊ตขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อทุกคนขึ้นรถเรียบร้อย ผมก็ขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับ


                หลังหายปวดไปแล้วเรียบร้อย เพราะยาแก้ปวดเมื่อคืนช่วยไว้ครับ และอยากจะบอกว่า เมื่อคืนผมไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันด้วย ฮ่าๆๆ เพราะอะไรคุณผู้อ่านน่าจะรู้ดี


                “ทะเลๆๆ อยากไปเที่ยวทะเล”


                “แล้วตอนนี้ที่เอ็งอยู่มันไม่ใช่ทะเลหรือไงไอ้ป้อง” คุณโอ๊ตที่นั่งอยู่เบาะหน้ากับซินหันไปพูดกับป้องที่นั่งอยู่ด้านหลัง


                “มันเทียบกันได้ที่ไหนพี่โอ๊ต นั่นน่ะเกาะไหงนะ สวยแบบโคตรๆอ่ะ”


                “เคยไปเหรอวะ” ส้มที่อยู่ด้านหลังถาม


                “เคยเห็นในรูปว่ะ” พอได้ยินคำตอบจากป้องทุกคนก็โห่กันไป


                เรานั่งรถกันไม่นานก็มาถึงท่าเรือปากเมง รถเข้ามาส่งได้แค่นี้ครับ ท่าเรือนี้รถใหญ่เข้าไปไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องขนกระเป๋าสัมภาระเดินไปที่ท่าเรือกันเอง


                “มา เดี๋ยวถือให้” ผมยื่นมือไปรับกระเป๋าของซิน แต่เจ้าตัวก็เอามันขึ้นสะพายไหล่ไปแล้วเรียบร้อย


                “ไม่ต้อง เดี๋ยวถือเอง”


                “เถอะน่า อย่าดื้อสิ”


                “ก็บอกว่าเดี๋ยวถือเอง มันเบา เราถือเองได้น่า” พูดจบซินก็เดินตามหลังคุณโอ๊ตที่เดินนำล่วงหน้าไปแล้ว ผมจึงต้องถอนหายใจและเดินตามเขาไป


                วันนี้แดดค่อนข้างร้อนครับ ท้องฟ้าสวยมากๆเลย แต่จะกรุณากว่านี้มากถ้าคุณพระอาทิตย์จะลดแสงลงหน่อย ผมมองร่างบางตรงหน้าที่ใส่เสื้อเชิ้ตซะบางจนเห็นแทบจะทะลุปรุโปร่ง ยังดีที่มีเสื้อกล้ามอยู่ด้านใน วันนี้ซินใส่หมวกด้วย ก็คงเพราะว่าแดดแรงนั่นแหละ ผมยาวเป็นลอนของเขาก็ถูกมัดรวบเอาไว้ด้วยกัน


                เดินมาไม่นานก็เจอกับสะพานยาวที่ทอดไปยังทะเลครับ โชคดีหน่อยที่วันนี้เรามาเช้า คนเลยยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ในระหว่างที่รอเรือมารับ ก็เดินเล่นกันไปตามอัธยาศัยครับ


                “ซินหิวมั้ย หาอะไรรองท้องก่อนรึเปล่า” คุณโอ๊ตเดินเข้ามาถามซิน ซึ่งคนตัวบางก็ส่ายหัวน้อยๆ


                “ไม่เอา ซินไม่หิว อยากไปเดินเล่นถ่ายรูป” คุณโอ๊ตพยักหน้าน้อยๆก่อนจะหันมาหาผม


                “ดูซินด้วยนะ ฉันจะไปนั่งจิบกาแฟสักหน่อย”


                “ครับ”


                หันกลับมาอีกทีซินก็เดินออกไปนู่นแล้ว ไวจริงๆ ผมเดินตามไป ซินกำลังเกาะราวสะพานยกกล้องโพลารอยด์ขึ้นถ่ายนู่นถ่ายนี่ ผมก็มองตามเขาก่อนจะยิ้มน้อยๆ ที่นี่มีชาวต่างชาติซะส่วนใหญ่ครับ คนไทยก็มีนะ แต่ไม่มากเท่าไหร่ ซินที่ถ่ายไปถ่ายมาก็หันมาทางผม ผมก็เก๊กหล่อชูมือส่องนิ้วให้เขา แต่เขากลับลดกล้องลง


                “อ้าว ไม่ถ่ายเหรอ”


                “เปลืองฟิล์ม”


                เจ็บปวด...


                ซินก้มลงดูรูปสองสามใบที่เขาถ่ายได้ และยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเก็บใส่ซองเข้ากระเป๋า ก่อนจะเดินเลยผมไปอีกทาง ผมก็มีหน้าที่เดินตามเขาไปนั่นแหละครับ ซินเดินถ่ายรูปตรงนู้นทีตรงนี้ทีจนพอใจ ก็เดินกลับไปหาคุณโอ๊ตที่ร้านกาแฟ


                “สวยมั้ยซิน”


                “สวยดี แต่ร้อนไปหน่อย”


                “เกาะไหงสวยกว่านี้สิบเท่า”


                ซินหัวเราะน้อยๆกับคำพูดคุณโอ๊ต นั่งรอกันได้ไม่นานเรือก็มาเทียบท่าครับ เราทุกคนก็ขึ้นไปบนเรือ หาที่นั่งและวางของ เรือที่มารับคือเรือสปีดโบ๊ทของทางรีสอร์ทที่จองไว้ จึงมีแค่เรา กับฝรั่งอีกสามคนเท่านั้น นั่งเรือแค่ยี่สิบห้านาทีก็มาถึงท่าเรือของทางรีสอร์ทแล้วครับ เราทั้งหมดเดินขึ้นท่าเรือเพื่อตรงไปที่ห้องพัก มีพนักงานต้อนรับเดินมารับถึงที่ น้ำตรงท่าเรือนี่ใสมากจริงๆ มองเห็นปลาทะเลตัวน้อยๆว่ายกันเต็มไปหมด


                ห้องพักที่นี่เป็นบังกะโลหลังเล็กๆเรียงรายกันไป ต้นไม้เยอะมากๆ ถ้าชอบธรรมชาติคุณก็น่าจะชอบที่นี่ครับ แต่หลังที่เราจองกันไว้เป็นแบบหลังใหญ่ มีสี่ห้องนอน และห้องน้ำภายในห้องครับ ซินก็ได้นอนคนเดียวไปตามระเบียบ ผู้หญิงสามคนอยู่ด้วยกัน ผมอยู่กับแบ็คอัพชื่อป้อง และคุณโอ๊ตนอนคนเดียว


                “เก็บของแล้วออกไปเดินชายหาดกันนน” เสียงคุณโอ๊ตพูดขึ้นอย่างร่าเริงก่อนที่ทุกคนขานรับ


                “แต่ซินขออยู่นี่ก่อนนะ ยังไม่อยากออกไป ร้อนอ่ะ”


                “ทำไมล่ะซิน เล่นน้ำกัน”


                “เดี๋ยวซินตามออกไปทีหลัง”


                “โอเค แล้วตามมานะ”


                ซินพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าห้องไป คุณโอ๊ตก็เลยหันมาหาผม ตามเคยแหละครับ


                “อยู่กับซินได้มั้ยนัท” นั่นล่ะครับ คำที่อยากได้ยิน ^^


                “ครับ”


                ต่างคนต่างก็เอากระเป๋าเข้าไปเก็บที่ห้อง ผมพยักหน้าให้ป้องนิดๆตอนที่วางกระเป๋าไว้ข้างเตียง


                “อดเที่ยวเลยดิ” ป้องหันมาพูดขำๆกับผม


                “ไม่หรอก ไม่ค่อยชอบอากาศร้อนๆเหมือนกัน” ผมตอบพร้อมกับทิ้งตัวลงบนเตียง


                “งั้นฉันไปละ จะเล่นน้ำให้ชุ่มปอดไปเลย” ป้องพูดยิ้มๆก่อนจะเดินออกไป ได้ยินเสียงคุณโอ๊ตคุยหัวเราะกับพวกสาวๆและป้องก่อนจะหายเงียบไป คงออกไปกันแล้ว ทีนี้บ้านหลังนี้ก็เหลือแค่... ^^


                ผมเดินออกมาจากห้องพร้อมๆกับที่คนตัวบางก็เดินออกมาเหมือนกัน ซินหันมามองผมนิดๆอย่างสงสัยว่าทำไมผมไม่ไปกับพวกคุณโอ๊ต แต่เขาก็หันไปมองทางอื่นอย่างไม่ใส่ใจ


                ทำไมชอบเมินกันซะเหลือเกิน ผมถอนหายใจและเดินตามเขาไปนอกบ้าน หน้าบ้านนี่โผล่ออกมาก็เจอทะเลเลยครับ มีชุดม้านั่งเอาไว้นั่งเล่นใต้เงาไม้ ถัดไปหน่อยก็เป็นทรายสีขาวสะอาดแล้ว คนตัวบางก็ทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งหน้าบ้านนั่นแหละครับ แถมยังถือหนังสือติดมือมานั่งอ่านซะด้วย ผมก็เลยเดินไปนั่งที่ม้านั่งด้านข้างเขา


                “มาเที่ยวทั้งที พกหนังสือมาอ่านด้วยเหรอ” ผมถาม ซึ่งเขาก็เหลือบตามามองนิดๆก่อนจะก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ


                “เฮ้อ พูดกับคนที่อยากพูดด้วย แต่เขาไม่พูดด้วยนี่มันก็น่าน้อยใจเหมือนกันนะ”


                “....”


                เงียบครับ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก


                “เฮ้อ...”


                “ถ้าอยากถอนหายใจมากนักไปถอนหายใจที่อื่น อย่ามากวนสมาธิเรา”


                “มาเที่ยวทั้งที อย่าใจร้ายนักสิซิน อุตส่าได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองนะ” ผมพูดพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ซินเลยส่งสายตาเขียวปั้ดมาให้


                “อย่าแม้แต่จะคิด”


                “คิดอะไรครับ ยังไม่ได้คิดอะไรเลย”


                ซินจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดก่อนจะปิดหนังสือลงดังฉับ วางหนังสือลงและเงยหน้ามามองผม ยิ้มก็ยิ้มกว้างให้เขา


                “อย่ากวนประสาทได้มั้ย สนุกนักรึไง”


                “ก็อยากอยู่ด้วย”


                “ก็อยู่เงียบๆไปสิ”


                “ก็อยากพูดด้วยนี่”


                “อยากเยอะเน้อะ”


                “อยากมากกว่านี้อีก” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆเขา ซินก็รีบยกมือขึ้นดันหน้าผมออกทันที


                “เดี๋ยวใครมาเห็น” ซินกัดฟันพูดลอดไรฟันบอกผม ผมก็ยอมถอยออกมาแต่โดยดี

                “ไปเดินเล่นกันมั้ย” ผมชวน


                “ไม่ ร้อน” ซินปฏิเสธ


                “ไปหาอะไรกินกันมั้ย” ผมชวน


                “ไม่หิว” ซินปฏิเสธ


                “ไปเดินถ่ายรูปเล่นกัน” ผมชวน


                “ไม่มีอารมณ์” ซินปฏิเสธ


                โอเค พอกันที งั้นก็นั่งมันอยู่ตรงนี้แหละครับ ซินยกหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง ผมเลยยื่นมือไปแย่งมันมา ซินหันมามองผมตาโตก่อนจะเอื้อมมือมาจะขว้าคืน ผมก็โยกหลบหนีสิครับ


                “เอามานี่นะนัท!”


                “ไม่เอา เลิกสนใจหนังสือก่อนสิ”


                “เอาของเราคืนมา!”


                “ไม่ให้!”


                ซินลุกขึ้นหมายจะขย้ำคอผม ผมก็ลุกสิครับ จะอยู่เฉยๆให้โดนทำร้ายร่างกายทำไม ตั้งท่าได้ผมก็วิ่งหนีทันที มีซินโวยวายวิ่งตามหลังมา แถวนี้ไม่มีคนครับเพราะว่าเป็นหาดส่วนตัว แถมพวกคุณโอ๊ตก็ไม่อยู่แล้วด้วย คงไปเล่นกันที่โซนอื่น ทางสะดวก...


                “ไอ้นัท! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! เอาของเราคืนมา!!”


                ผมก็วิ่งไปหัวเราะไป ซินก็บ้าจี้วิ่งตามผมมานะ ฮ่าๆ ตลกว่ะ บางทีก็หลอกง่ายเกินไปจริงๆ วิ่งมาสักแป๊บก็เห็นคนตัวบางเริ่มหอบแล้วก็เลยหยุดรอ ไอ้ผมน่ะ จะให้วิ่งรอบเกาะก็ยังไหว แต่ดูท่าคนด้านหลังจะไม่ใช่นะครับ เคยออกกำลังกายบ้างหรือเปล่าเหอะ


                “เหนื่อยแล้วเหรอ” ผมเดินเข้าไปถามใกล้ๆ พลางจับแขนเขามาพยุงไว้ ซึ่งซินก็บิดออกทันที


                “เล่นบ้าอะไร เหนื่อยนะเว้ย” เริ่มขึ้นวะขี้นเว้ยแล้วครับ หึหึ


                “ก็อยากให้ออกมาสูดอากาศสดชื่น อยู่กรุงเทพดมแต่กลิ่นควัน มาพักผ่อนทั้งทีก็ต้องเอาให้เต็มที่สิ”


                ซินถอนหายใจนิดๆก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นทราย ผมก็ยิ้มนั่งตามเขาลงไป ดีที่ตรงนี้มีต้นไม้เป็นร่มเงาให้ครับ ลมจากทะเลก็พัดมาเย็นดี เหมาะกับการจู๋จี๋กันมาก ฮ่าๆ อย่าบอกซินนะครับ เดี๋ยวผมโดนทำร้ายร่างกายอีก


                คนตัวบางยืดขาทั้งสองข้างออกไป แขนสองข้างท้าวเอาไว้ด้านหลัง มุมปากบางยกขึ้นน้อยๆเมื่อมองออกไปที่ท้องทะเล มองจากตรงนี้น้ำทะเลสวยมากครับ เป็นสีเขียวเลย


                “บรรยากาศดีโน้ะ”


                “อือ แต่จะดีกว่านี้ถ้าได้มากับแฟน” ผมหันไปมองคนหน้าหวานที่พูดคำนั้น ก็เลยได้รับการยักคิ้วแบบกวนๆกลับคืนมา ท้าทาย ท้าทายมากเลยครับ


                “แล้วที่มาด้วยนี่ใคร”


                “ถ้านายไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แล้วใครเขาจะไปรู้ด้วยล่ะ”


                ผมขำน้อยๆกับคำพูดเขา ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวทุยเบาๆ ซินก็ปัดมือออกมองผมตาเขียวสิครับ


                “จำตอนที่เราไปหัวหินได้ป่ะ” บรรยากาศมันพาไป อยู่ดีๆก็นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาซะเฉยๆครับ


                ซินหันมาขมวดคิ้วมองผมนิดๆ


                “ตอนนั้นสนุกดี เหมือนหนีตามกันเลย” ไม่ต้องรอซึ้งนาน ซินเอื้อมมือมาตบหัวผมทันทีครับ รุนแรงขึ้นทุกวันละนะ
 

                “ปากไม่ดี”


                “ปากไม่ดี แต่ก็มีคนเสียจูบให้ไปแล้ว” ชอบนักล่ะครับเรื่องที่ทำให้เจ็บตัวเนี่ย ก็โดนไปอีกหนึ่งป้าบตามระเบียบแหละครับ


                ตอนนั้นได้แหกปากร้องเพลงริมชายหาดด้วย สนุกดีครับ ตอนนั้นผมยังเล่นกีต้าร์ให้ซินอยู่เลย ได้ทำอะไรบ้าๆบอๆด้วยกันหลายอย่าง เห็นซินนิ่งๆอย่างนี้ใช่ย่อยนะครับ ผมยิ้มให้กับความทรงจำเก่าๆนิดๆ ก่อนจะหันไปมองซิน ซึ่งเขาเองก็มองผมอยู่เหมือนกัน


                เอ๊ะๆๆ แอบมองกันนี่หว่า


                “ปากหายแล้วนี่”


                ผมก็ยกมือขึ้นจับมุมปากงงๆ


                “หายแล้วดิ ได้ยาดีขนาดนั้น” ซินหัวเราะในลำคอน้อยๆก่อนจะหันหน้าไปรับลมทะเล


                ผมที่นึกอะไรได้ รีบลุกขึ้นปัดเศษทรายที่ติดอยู่กับกางเกง ซินหันมามองผมอย่างงงๆ


                “รอนี่แป๊บนะ อย่าไปไหน รอแป๊บเดียว”


                ซินเลิกคิ้วมองหน้าผม


                “เข้าใจเปล่าเนี่ย รอตรงนี้ อย่าไปไหน” ผมกำชับเขาเสียงเรียบอีกรอบ


                “รู้แล้วน่า ดูแลตัวเองได้ ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ” ซินพูดเสียงเหวี่ยงๆก่อนจะสะบัดหน้าหนีไป 


                ผมเองก็รีบวิ่งกลับมาที่บ้าน จำได้ว่าป้องถืออะไรบางอย่างติดมือมาด้วย


                “ขอยืมก่อนละกันนะ” ผมพูดขึ้นลอยๆ ถือว่าขอแล้วนะ ยืมแป๊บเดียว เดี๋ยวเอามาคืน พูดจบผมก็คว้ามันวิ่งออกมาจากบ้านเลย นานแล้วครับที่ไม่ได้แตะมันอย่างจริงๆจังๆ


                ผมรีบวิ่งเท้าเปล่ากลับมาที่เก่า แต่ก็ไม่พบวี่แววของร่างบาง หายไปไหน.. ผมมองซ้ายมองขวาอย่างร้อนรน หายไปไหนอีกแล้วซิน แค่ให้นั่งรออยู่เฉยๆแป๊บเดียวนี่ไม่ฟังกันเลยหรือไง มองไปทางนู้นทางนี้ก็ไร้วี่แวว ผมวางของที่ถืออยู่ลงบนพื้น ใจก็กระวนกระวายไปหมด หรือว่าจะเกิดเรื่องอย่างคราวที่แล้ว โธ่เว้ย!!


                ผมที่กำลังจะออกตัววิ่งก็ต้องหยุดลงเมื่อใครบางคนโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้


                “จะไปไหนอีกล่ะ”


                “โธ่เอ๊ยยยซิน!” แทบจะเข่าอ่อนกันขึ้นมาในทันที แค่เพราะคนคนนี้แหละ ทำเอามาดบอดี้การ์ดหายหมดทุกที ความเยือกเย็นที่เคยมีหายไปหมดเลย!


                “อะไร เสียงดังใส่เราทำไม”


                “อย่าทำแบบนี้ได้มั้ย คนมันเป็นห่วง”


                “ทำอะไร บอกให้รอก็รอนี่ไง ไม่ได้ไปไหนซะหน่อย แต่จะให้นั่งอยู่ตรงนั้นที่เดียวตลอดมันก็เบื่อเหมือนกันนะ!”


                “โอเคๆ ขอโทษที่เสียงดัง แต่ทีหลังอยู่ในที่ที่ฉันมองเห็นนะ อย่าหายไปแบบนี้ ไม่ชอบเลยจริงๆ”


                “แล้วใครจะไปรู้ตรงไหนมองเห็น ตรงไหนมองไม่เห็น!” เริ่มแล้วครับ ถ้าต่ออีกหน่อยนี่ทะเลาะกันชัวร์


                “ครับๆขอโทษ มานี่มา มานั่งตรงนี้ก่อนเร็ว”


                ซินหันหน้าไปทางอื่น แถมยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนอีกต่างหาก เอาแล้วไง งานเข้าผมละ


                “ซินครับ มาตรงนี้เถอะนะ ยืนตรงนั้นนานๆเดี๋ยวตัวบุ้งก็หล่นใส่หัวหรอก”


                ซินเงยหน้าขึ้นมองไปบนต้นไม้ทันที ก่อนจะยอมเดินมานั่งข้างๆกัน ซินหันมามองสิ่งที่ผมหยิบติดมือมาก่อนจะเลื่อนสายตามาหาผมช้าๆ ผมก็ส่งยิ้มให้เขา เขาคงแปลกใจที่ผมหยิบมันมาด้วย ผมจัดการเอากีต้าร์ออกจากกระเป๋า และเอามันมาวางไว้บนตัก


                “ร้องเพลงกันมั้ยซิน” ซินยังคงนิ่งและไม่ตอบ สายตาเหม่ออยู่ที่กีต้าร์ที่ผมถืออยู่เท่านั้น ไม่ใช่แค่เขาที่ตกใจ ผมเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน นานมากๆแล้วครับ ที่ไม่ได้จับกีต้าร์ต่อหน้าคนคนนี้ คนที่ผมมองกีต้าร์เมื่อไหร่ก็นึกถึงแต่เขา


                “ซิน ...ซิน หลับแล้วเหรอ” พูดแค่นั้นซินก็เงยหน้าขึ้นมามองกันด้วยสายตาเหวี่ยงๆทันที


                “หลับบ้าอะไร แล้วเอามาทำไมไอ้นั่นน่ะ เล่นเป็นด้วยเหรอ”


                “เล่นเป็นสิ แล้วก็เล่นเก่งด้วย คนบางคนรู้ดี”


                “หน้าด้านว่ะ ชมตัวเอง”


                ผมหัวเราะออกมาทันทีกับคำพูดเขา อย่างน้อยซินก็ไม่ได้ไล่ให้ผมเอามันไปเก็บหนิครับ


                “เนี่ยเก็บปิ๊กได้อันนึง ไม่รู้ใครทำตกไว้” ผมหยิบปิ๊กกีต้าร์ในกระเป๋ากางขึ้นมาดู หึหึ ซินหันมามองตาวาวทันที


                “เฮ้ย! อันนั้นมัน...”


                “อะไรเหรอ...” ผมหันไปถามเขายิ้มๆ


                “อันนั้นมันของเรา!!” ซินพุ่งเข้ามาจะคว้ามันคืนไป ผมเอี๊ยวตัวหลบ เรื่องอะไรจะคืนให้ง่ายๆล่ะครับ


                “ของนายที่ไหน นี่มันของฉันไม่ใช่เหรอ”


                “ก็ ... ไม่ใช่ นั่นมันของเรา เอามานี่!!” ผมก็หลบซ้ายหลบขาวทั้งๆที่มีกีต้าร์อยู่บนตักนั่นแหละครับ ผมมองหน้าหวานๆที่ขึ้นสีแดง เพราะโกรธหรือเพราะอายอันนี้ไม่ทราบครับ ฮ่าๆ


                “ยังเก็บเอาไว้อีกเหรอซิน” นิ่งครับ ซินดึงตัวกลับไปนั่งที่เดิมทันที แถมหันหน้าหนีกันอีกต่างหาก เห็นแต่หูแดงๆที่ด้านข้างเท่านั้น น่ารักซะไม่มี


                ปิ๊กเนี่ย ของผมเอง ปิ๊กอันแรกของผมตั้งแต่ที่เริ่มเล่นกีต้าร์กับซิน ลายแบบนี้ สีแบบนี้อาจจะมีอันอื่นที่ซ้ำกัน แต่มันเป็นของผม แค่มองแว๊บเดียวก็รู้แล้ว ก็ผมเอาคัดเตอร์ขูดๆให้เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กๆว่า NS รู้ใช่มั้ยครับว่ามันคืออะไร ปิ๊กอันนี้ผมรักมันมากเลยนะ ผมใช้มันประจำ แล้วก็รักษามันอย่างดีเลยด้วย เพราะมันคือสิ่งเริ่มต้นความทรงจำของผมกับซิน แต่อยู่ดีๆวันนึงมันก็หายไป หายไปซะเฉยๆ หาแทบตายก็หาไม่เจอ ทุกทีผมจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าตัง แต่นี่ไม่มี รื้อห้องทุกซอกทุกมุมก็หาไม่เจอ จะเป็นบ้าเอาครับตอนนั้น เพราะมันสำคัญกับผมจริงๆ แทบจะเผาห้องกันเลยทีเดียว แต่พอวันต่อมาเห็นมันห้อยอยู่ที่โทรศัพท์ซินเฉยเลย เจาะรูทำเป็นพวงกุญแจซะเรียบร้อยเลยด้วย ผมนี่แทบจะเป็นลม ไม่ใช่ว่าโกรธหรืออะไร แต่มันโล่งใจครับ นึกว่าหายไปจริงๆซะแล้ว แต่มันก็น่าตีก้นซะให้ลายจริงๆ ขอกันสักคำก็ไม่มี อยู่ดีๆหยิบไปเฉยเลย ผมงี้แทบจะจับซินกดลงเตียงแทบไม่ทัน ...ไม่ใช่ละ ผิดเรื่อง ฮ่าๆ


                “ของของเรา จะเก็บไว้หรือทิ้งก็เรื่องของเรา”


                “น่ารักนะเนี่ย” ผมกระเถิบเข้าไปกระซิบใกล้ๆหูซิน แดงเถือกเลยครับงานนี้ แล้วผมก็ได้รับลูกมะตุ้บมาอีกหนึ่งดอกเป็นการตอบแทน เขินรุนแรงจริงๆ


                “ซินครับ หันมานี่หน่อยเร็ว”


                นิ่ง...


                “ซินจ๋า หันมาหานัทหน่อยนะ”


                นิ่ง...


                “ไม่หันมาจูบจริงๆนะ จะจูบเย้ยพระอาทิตย์เลย” ได้ผลครับ คำขู่นี้ใช้ได้ผลตลอดกาล ซินหันมาหาผมทันที


                “จะบ้ารึไง เขามีแต่จูบเย้ยจันทร์” ซินพึมพำเบาๆ แต่ผมได้ยิน


                “ก็พระจันทร์ยังไม่ขึ้น เย้ยพระอาทิตย์ไปก่อนละกันเน้อะ”


                “เน้อะบ้าอะไรล่ะ หันมาแล้วเนี่ย มีไร” พูดไปหน้าแดงไป โอ้ย เดี๋ยวก็อดใจไม่ไหวจริงๆหรอก


                “ฟังนี่หน่อย มีเพลงจะร้องไห้ฟัง”


                “เดี๋ยว” ซินเอ่ยห้ามผมขึ้นมาซะก่อน


                “หือ”


                “ยังไม่ฟังตอนนี้ได้มั้ย”


                “ทำไมอ้ะ” นี่ลงทุนวิ่งกลับไปเอามาเลยนะเนี่ย ไม่ฟังตอนนี้จะฟังตอนไหนล่ะครับ อยู่ด้วยได้สองคนทั้งที


                “เดี๋ยวเขิน”


                .... ป๊าดดดดดด จะน่ารักไปไหนครับ!!! เดี๋ยวก็จับกดมันซะตรงนี้จริงๆหรอกซินเอ๊ยยย ขอทีเถอะ แค่นี้ก็รักจะตายแล้วครับ! อย่ามาทำแบบนี้ นัทสำลักความน่ารักตายไปจริงๆซินจะทำยังไง!!


                ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวคนตรงหน้าอย่างหมั่นเขี้ยว ซินก็นั่งนิ่งหน้าแดงตัวแดงไปครับ


                “ฟังนะซิน ตั้งใจเล่นให้ฟังจริงๆ ...นะ”


                ซินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมยิ้มให้เขานิดๆ ก่อนจะเริ่มเล่นกีต้าร์ ความจริงแล้วไอ้นัทคนนี้ร้องเพลงไม่เก่งหรอกครับ อยากให้เสียงหวานๆของซินเป็นคนร้องให้มากกว่า แต่เพลงนี้มันเป็นเพลงพิเศษ ที่ผมอยากร้องให้เขาฟัง


                “...เวลาที่ล่วงเลยนั้นทำให้คนเปลี่ยนไป
                สิ่งหนึ่งในใจยังไงก็ไม่เปลี่ยน
                ก็คือความรักที่มีต่อเธอ
                จะมั่นคงอย่างนี้เหนือกาลเวลา มากยิ่งกว่าอะไร”


                ไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยเลยสักครั้งที่ฉันจะหันไปมองคนอื่น ไม่ว่าจะนานแค่ไหน นัทคนนี้ก็ยังมองแค่ซิน รอแค่ซิน


                “ต่อให้นานเพียงใด รักแท้ก็ยังคงเป็นรักแท้
                ไม่มีวันจะแปรหรือน้อยลงไปตามเวลา
                ถึงแม้บางครั้งชีวิตต้องเจออะไรกระหน่ำ
                แต่ก็ไม่เคยทำให้รักเราเปลี่ยนแปลงไป”


                ถึงแม้ว่าเราจะต้องห่างกัน ถึงแม้ว่าฉันจะอยู่ข้างนายไม่ได้ ถึงแม้นายจะบอกว่านายไม่รัก แต่ฉันก็ยังคงรักนาย ไม่เคยเลยสักครั้งที่มันจะน้อยลง ถึงแม้ว่าฉันจะเคยหลอกตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่เลย มันยังคงอยู่ ไม่เคยหายไปไหน


                “คนเราถ้าคู่กันไม่ว่าอะไรเปลี่ยนไป
                สิ่งหนึ่งในใจยังไงก็ไม่เปลี่ยน
                ก็คือความรักที่มีต่อเธอ
                จะมั่นคงอย่างนี้เหนือกาลเวลา มากยิ่งกว่าอะไร

                ต่อให้นานเพียงใด รักแท้ก็ยังคงเป็นรักแท้
                ไม่มีวันจะแปรหรือน้อยลงไปตามเวลา
                ถึงแม้บางครั้งชีวิตต้องเจออะไรกระหน่ำ
                แต่ก็ไม่เคยทำให้รักเราเปลี่ยนแปลงไป”


                ซินยังคงมองหน้าผมอยู่อย่างนั้น ผมเองก็ร้องไปยิ้มไป หวังว่านายจะเข้าใจมันนะ เข้าใจความหมายของเพลง รวมถึงเข้าใจในตัวฉันด้วย


                “แม้จะต้องรอ ไม่รู้ว่านานเพียงใดก็จะไม่ท้อ
                เพียงมีเธอก็พร้อมสู้ต่อไป
                ทางจะไกลแค่ไหนก็อดทน
                เพื่อให้ถึงในวันหนึ่งที่มันเป็นของเรา”


                ฉันจะรอ ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ รอวันนั้นที่นายเปิดใจทั้งหมดให้กับฉัน วันนั้นที่นายจะบอกรักฉันได้อย่างเต็มใจ วันที่เราจะเดินข้างกันอย่างสมบูรณ์


                “ต่อให้นานเพียงใด รักแท้ก็ยังคงเป็นรักแท้
                ไม่มีวันจะแปรหรือน้อยลงไปถ้ารักกันจริง
                ถึงแม้บางครั้งชีวิตต้องเจออะไรกระหน่ำ
                แต่ก็ไม่เคยทำให้รักเราเปลี่ยนแปลงไป

                ฉันรักเธออย่างไร ก็รักไม่เปลี่ยนใจเลย
                จะหยุดใจลงเอยที่เธอคนเดียวจนตาย”


                เพลงจบลงแล้ว เสียงกีตาร์ก็หยุดลงแล้ว แต่เรายังคงมองหน้ากันอยู่อย่างนี้ นานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ รู้แค่ว่าตอนนี้ผมรักซินมากจริงๆ ดวงตากลมโตคลอหน่วยไปด้วยน้ำใสน้อยๆ ซินไม่ได้ร้องไห้ครับ ผมรู้ดี เพราะไม่นานมันก็ซึมหายไป เหลือไว้เพียงดวงตาใสๆ กับแก้มสีชมพู ริมฝีปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบของผมสดใส รอยยิ้มที่ไม่ว่าจะให้มองอีกสักกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ


                “ฉันรักนายได้ยินมั้ย ...ซิน”


                ผมโน้มใบหน้าเข้าหาเขาช้าๆ ซินเองก็ค่อยๆปิดเปลือกตาลง ริมฝีปากเราแตะกันอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนที่จะเริ่มขยับเข้าหากัน...


                ในที่สุด ผมก็ได้จูบเย้ยพระอาทิตย์แล้วครับ หาดส่วนตัวนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง...


TBC.
...........
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ ดีใจจัง ><
ไรท์ชอบตอนนี้อ่ะ ไม่รู้ทำไม คนอ่านชอบมั้ยไม่รู้แต่ไรท์ชอบ 5555
แต่ก็อยากให้ทุกคนชอบด้วยน้าาา

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันค่าา
น่ารักจัง
เจอกันตอนหน้าค่ะ นักอ่านที่รักทุกคน!!!

ออฟไลน์ machan000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 o13 ตุณบอดี้การ์ดนี่สุดยอดอ่ะ

 :z1: :z1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :hao6:

เอ้าดอร์ ท้าแสงแดดที่แผดเผา ยังไม่ร้อนแรงเท่ากับไฟที่มอดไหม้ในใจคน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ซินน่ารักอ้ะ
ชอบจัง 'เดี๋ยวเขิล' 5555

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อื้อออออ ฟินเย้ยพระอาทิย์เว้ยยยยย
เพลงนี้แม่ม โครตเข้ากันสุดๆ
คิดได้ไงอ่ะ มันใช่เลยนะ
โฮๆๆๆๆ เขิลวุ้ย พี่ซินแม่มน่ารักจัดๆ
ปล มโนว่าตัวเองเป็นบุ้งบนต้นไม้ อร๊ายยยย จุ๊ปกัน จุ๊บกัน

ออฟไลน์ moodyfairy

  • สวย อร่อย ย่อยง่าย :)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 693
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
หวานนน เกินไปแล้ววววววววววว :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เอ๊ยจูบเย้ยพระอาทิตย์ อ่านเรื่องนี้ น้ำตาลในเลือดคงพุ่งพิลึกหวานอ่ะ :mew1:

ออฟไลน์ shijino

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
8

((Ending of Trang))

 

                หลังจากที่บทเพลงรักบันลือโลก (?) จบลง ผมกับซินก็นั่งอยู่ตรงนั้นสักพักก่อนจะกลับมาที่บ้านพัก เพราะอากาศเริ่มร้อนมากๆแล้วครับ เรากลับมาทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปดพอดี เพราะหลังจากนั้นไม่นานพวกคุณโอ๊ตก็กลับมาแบบตัวเปียกโชก ผมพึ่งจะเอากีต้าร์ไปเก็บแบบอยู่ที่เดิมเรียบร้อย พอออกมาจากห้องพวกคุณโอ๊ตก็เข้ามาพอดี บอกแล้วครับ ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ


                “น้ำใสมากกก โอ๊ย สวยสุดๆ แทบไม่อยากจะขึ้นจากน้ำเลย เสียดายแดดแรงไปหน่อย เย็นๆไปต่ออีกรอบนะ” เสียงสาวๆเขาคุยกันครับ แต่ละคนนี่ไม่ยอมใครจริงๆ บิกินี่หลายสี สวมทับด้วยเสื้อยืดสีขาวบางๆ เวลาโดนน้ำนี่เสื้อยืดแทบละลายหายไปกับทะเลเลย ผมก็ไม่เข้าใจนะว่าแบบนี้แล้วจะใส่กันไปทำไม


                ก่อนที่ผมจะถอนสายตากลับมา นาวก็หันมาทางผม ขยิบตาให้ทีหนึ่งก่อนเดินเข้าห้องไป...


                ตาเจ็บเหรอครับ หึหึ


                ผมยิ้มกับตัวเองน้อยๆก่อนจะหันหลังกลับ


                อุ่ย!! ...เจอะกับสายตาคมๆเข้าให้ทันที ซินที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องเขามองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนที่จะเอี้ยวตัวหันกลับเข้าห้องไป ไม่ได้โกรธกันใช่มั้ยน่ะ งานเข้าไอ้นัทอีกแล้วครับ


                ผมที่ยืนขย้ำหัวอยู่ตรงนั้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเพราะมันเตือนข้อความเข้า ใครส่งข้อความหาผมตอนนี้ หวังว่าคงไม่ใช่พี่ทรูมูฟนะ ผมก้มลงมองเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งที่ผมคิดว่ามันถูกยกเลิกไปแล้ว กับข้อความสองประโยค


                ‘เรายังไม่ได้ปิ๊กคืน หวังว่าคงไม่ได้ทำหล่นไปตอนส่องบิกินี่ใครนะ’ ครับ นั่นแหละ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร ถ้าใครมาเห็นผมตอนนี้อาจจะว่าผมบ้า ที่ยิ้มแก้มแทบแตกกับข้อความแค่นี้ ซินยังจำเบอร์ผมได้ ไม่อยากจะเชื่อเลย!


                แทบอยากจะวิ่งไปเคาะประตูห้องคนซึนซะเดี๋ยวนั้น แต่ไม่ได้ครับ ข่มจิตข่มใจไว้ก่อนไอ้นัท


                ผมเดินกลับเข้ามาในห้องตัวเอง ก็เห็นป้องกำลังนั่งเช็ดผมอยู่ที่ปลายเตียง


                “หาดฝั่งนู้นโคตรสวย เห็นเขาว่าที่ปลายเกาะมีจุดดำน้ำตื้นด้วย โอ๊ยยยย ไม่ไหวแล้ว อยากไปๆ” ป้องชวนคุยทันทีที่ผมนั่งลงบนปลายเตียง


                “แล้วเป็นไง เจอสาวๆมั่งมั้ย” ผมก็ถามไปเรื่อบเปื่อยแหละครับ


                “เจอดิ ฝรั่งทั้งนั้น แก้ผ้าได้นี่แก้ไปแล้ว แทบอยากจะไปนั่งทาครีมให้อ่ะ”


                “ฮ่าๆๆ คุณโอ๊ตเป็นไง”


                “อย่าไปบอกแกล่ะ แทบไม่เป็นอันเล่นน้ำ ฮ่าๆๆ”


                เรื่อยเปื่อยแหละครับ ผู้ชายคุยกัน ถึงจะไม่รู้จัก แต่เดี๋ยวก็รู้จักกันไปเอง


                “ซินเป็นไง ทำงานมาได้สักพักนึงแล้วนี่ เข้ากันได้ป่ะ” ป้องที่พาดผ้าขนหนูผืนเล็กไว้บนไหล่หันมาถาม


                ผมก็ยิ้มตอบกลับไป อยากจะบอกเหลือเกินว่า ยิ่งกว่าเข้ากันได้อีกว่ะ แต่พูดไม่ได้ครับ งานใหญ่แน่


                “ก็ดีนะ”


                “อืมมม ดีละ ปกติซินเข้าถึงยาก แต่ถ้าเข้าถึงได้ก็ไม่มีอะไร”


                “เล่นกีต้าร์ให้ซินมานานแล้วเหรอ” อยากรู้ครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร


                “นานแล้ว ปีกว่าได้แล้วมั้ง แต่ก็เล่นให้คนอื่นด้วยนะ เวียนๆกันไป”


                ผมพยักหน้าเข้าใจ คนคนนี้ยืนแทนที่ผม ที่ที่ผมควรจะยืนตรงนี้ แล้วเขากับซิน จะเหมือนผมกับซินมั้ย คิดมาถึงตรงนี้ คิ้วขมวดเข้าหากันทันทีครับ


                “แล้วสนิทกับซินมั้ย” เผลอถามเสียงห้วนออกไปซะแล้วสิ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สังเกต


                “ก็ คุยเล่นกันได้ แต่ไม่ถึงกับสนิท ถึงจะซ้อมดนตรีด้วยกันบ่อยๆ แต่ก็เข้าไม่ถึงจริงๆซะที ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ก็นะ เรามันก็แค่แบ็คอัพ จะให้เขามาสนิทกับเราสักแค่ไหนกันล่ะ”


                โล่งอกไปที ผมเอนตัวลงนอนเหยียดบนเตียงอย่างสบายอารมณ์ ผมเองก็ไม่ได้พักผ่อนๆนานแล้วเหมือนกันครับ มีเวลาพักบ้างก็ดีเหมือนกัน


                “ยังไม่ได้จะออกไปไหนกันใช่มั้ย” ผมหันไปถามป้อง


                “อืม ยังหรอก กะว่าจะพักกันก่อน ค่อยไปต่อตอนเย็น” ผมพยักหน้าก่อนจะปิดเปลือกตาลง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้ส่งข้อความตอบซินเลยนี่นา ส่งกลับไปหน่อยดีกว่า


                ‘บิกินี่ไม่น่ามองหรอก เก็บตาไว้ส่องศิลปินใส่กางเกงว่ายน้ำดีกว่า’


                ผมยิ้มเมื่อนึกไปถึงใบหน้าหวานตอนอ่านข้อความนี้อยู่ คงไม่ได้กำโทรศัพท์แตกไปแล้วใช่มั้ย ผมหัวเราะน้อยๆก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ขอพักผ่อนบ้างนะครับ


 

                “....”


                “....น...”


                “....นัท”


                “นัท”


                ได้ยินเหมือนเสียงใครเรียกมาไกลๆ แต่เดี๋ยวก่อนได้มั้ย กำลังหลับสบายๆเลย ผมเลือกที่จะพลิกตัวหนีเสียงรบกวนนั้น ก่อนจะรู้สึกได้ว่าอะไรบางอย่างฟาดลงมาที่ใบหน้าเต็มๆ ตาสว่างเลยครับผมปัดหมอนใบใหญ่ออกจากหน้า ก่อนจะหันไปหาบุคคลที่ทำร้ายร่างกายผมตอนหลับ


                “เรียกตั้งนานแล้ว เคาะประตูก็ไม่เปิด! ประตูห้องไม่ได้ล็อกก็เลยเข้ามา นึกว่าตายแล้วนะน่ะ” ซินยืนกอดอกมองผมอยู่ที่ข้างเตียง โอ๊ะโอ ผมโดนจู่โจมหรือเปล่าเนี่ย


                “ทีหลังใช้มอนิ่งคิสสิจ๊ะ จะได้ตื่น” ผมลุกขึ้นนั่งส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะสะบัดหัวไปมา มึนนิดๆแฮะ สงสัยนอนนานไปหน่อย


                “มอนิ่งบ้าอะไร แดดหุบแล้วมั่งเหอะ นอนอะไรกันนักกันหนา คนอื่นเขาออกกันไปหมดแล้ว” ซินบ่นงุ๊งงิ๊งๆก่อนจะเดินออกไปจากห้อง


                ผมก็เลยเข้าไปล้างหน้าล้างตาและเดินตามเขาออกมา ในบ้านโล่งเลยครับ ไม่มีใครอยู่เลยสักคน นอกจากซินที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่บนโซฟา


                “เขาไปไหนกันหมดอ่ะ” ผมถามขณะที่หย่อนตัวลงข้างๆเขา แต่ซินก็ลุกขึ้นทันที ...ซะงั้น


                “ไปเล่นน้ำ แล้วเรากำลังจะตามไป รู้งี้ไม่ปลุกซะก็ดี” ผมมองตามซินที่เดินออกจากบ้านไป


                อะไรนะ...? ซินบอกว่าจะไปเล่นน้ำเหรอ!! จริงดิ่!!! นี่ไอ้นัทจะได้ส่องศิลปินใส่กางเกงว่ายน้ำจริงดิ...


                ผมรีบวิ่งตามออกไปขาแทบขวิด พวกคุณโอ๊ตไปเล่นน้ำกันไม่ไกลครับ ช่วงนี้ไม่มีแดดแล้วด้วย เล่นน้ำกันสนุกเลย ซินที่เดินไปถึงทิ้งตัวลงบนผ้าที่ปูเอาไว้บนพื้นทราย


                “ซิน!! เล่นน้ำกัน” เสียงคุณโอ๊ตดังมาจากในทะเล ซินก็โบกมือตอบกลับไปสองสามที


                “ไม่เล่นน้ำเหรอซิน” ผมหันไปถามเขา ก็ผมเตรียมมาเต็มที่แล้วนี่ครับ กางเกงสามส่วนกับเสื้อกล้ามสีขาว อยากโดดน้ำแล้วเหมือนกันน


                “ไม่อ่ะ”


                เอี๊ยดดดดดดดดดด รถที่กำลังเร่งเครื่องดังฮึ่มๆอยู่เมื่อกี้โดนเหยียบเบรกฝุ่นตลบ


                “อ้าว ก็ไหนบอกว่าจะตามมาไง”


                “ก็บอกว่าจะตามมา ไม่ได้บอกว่าจะเล่นน้ำสักคำ” ซินตอบพลางเหยียดขาออกไปจนสุด


                โหยยย ห่อเหี่ยว


                “แล้วถึงเราจะเล่น เราก็ไม่บ้าใส่กางเกงว่ายน้ำหรอกนะ ใครที่ไหนเขาใส่กางเกงว่ายน้ำลงทะเล” ซินเหลือบมามองผมนิดๆก่อนจะหันไปโบกมือให้คุณโอ๊ตที่ส่งเสียงโหวกเหวกในทะเล


                “งั้นไปเล่นสระว่ายน้ำก็ได้ ป่ะ คนที่รีสอร์ทบอกว่ามีสระว่ายน้ำอยู่ตรง...”


                “ไม่เอาอ่ะ”


                “โธ่ซิน มาทะเลทั้งทีนะ”


                “นายอยากเล่นก็ไปเล่นสิ เราอยู่คนเดียวได้ นู่นไง บิกินี่ลอยอยู่เต็มเลยน่ะ” ผมมองตามสายตาซินไปเห็นสาวๆกำลังมองมาทางนี้อยู่พอดี แถมโบกไม้โบกมือเรียกกันอีกต่างหาก ผมยิ้มกริ่มหันไปมองหน้าซินทันที


                “หึงเหรอ”


                “หึงบ้าสิ!! ใครหึง สำคัญตัวเองผิดไปแล้ว” ซินหันมาแหวใส่ผมก่อนจะลุกขึ้นปัดทรายออกจากกางเกง ลมพัดมานี่เข้าหน้าผมเต็มๆครับ


                “พี่โอ๊ต ซินไปเดินเล่นนะ” ซินตะโกนบอกคุณโอ๊ตที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเล ก่อนจะโผล่ขึ้นมาชูนิ้วโอเคให้ และหันมาทางผมพยักหน้าให้น้อยๆ ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบกลับไป อย่างเคยครับ ดูแลซินให้ดี


                ซินเดินเท้าเปล่าย่ำชายหาดให้น้ำซัดผ่านเท่าไปเรื่อยๆ โดยมีผมเดินตามไป มันรู้สึกดีนะครับเวลาทำแบบนี้ ทรายอะเอียดอยู่ใต้ฝ่าเท้า ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มดี น้ำทะเลใสๆเย็นๆไล้ปลายเท้าไปมา เดินมาได้สักพักซินก็หยุด และหันหน้ามาหาผม แบมือยื่นมาตรงหน้า


                “ปิ๊กของเรา คืนมาด้วย”


                “ของนายหรือของฉัน พูดใหม่อีกที” ผมยืนล้วงกระเป๋ามองหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม


                “ของเรา!”


                “ของเรานี่หมายถึง ของฉันกับของนาย รวมกันเป็นของเราใช่มั้ย”


                “ตลกละ อย่ามามั่ว”


                “เอ้า แล้วมันของใคร”


                “ของเรา...เอ๊ะ ของ...ซิน”


                ผมมองคนตัวบางที่พูดไปเตะทรายไปไม่ยอมมองหน้ากัน ผมงี้ยิ้มปากแทบฉีก เวลาซินเรียกแทนตัวเองว่าซินมันน่ารักดีครับ ผมชอบ แถมไม่ได้ยินมานานแล้วด้วย


                “แทนตัวเองว่าซินแบบนี้บ่อยๆสิ น่ารักดี”


                ซินไม่ได้พูดอะไร แต่เตะน้ำใส่ผมแทน อ้าว แบบนี้มันเปิดศึกกันนี่ครับ จากเตะกลายเป็นเอามือวักน้ำสาดใส่กัน จากแค่ชายหาดเริ่มเดินลึกลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าตอนนี้เราทั้งสองคนเปียกไปทั้งตัวแล้วครับ โชคดีที่วันนี้ซินใส่กางเกงขาสั้นแค่เข่าสีฟ้ากับเสื้อยืดสีโอรส


                “โอ๊ย เราเปียกหมดแล้วอ่ะ” ซินเริ่มโวยวาย มองตัวเองที่เปียกมะล่อกมะแล่ก


                “เปียกแล้วก็ให้มันเปียกไปเลยย” พูดจบผมก็กระโดดเข้าหาซิน กะเอาให้ล้มไปในน้ำด้วยกันทั้งคู่เลย แล้วก็เป็นผลครับ


                “เฮ้ยยยย”


                ตู้มมมมม ทันทีที่เราจมลงไปในน้ำด้วยกัน ผมก็กอดคนตัวบางเอาไว้ทั้งตัว เขาเองก็ดิ้นยุกยิกๆ และก็หยุดไปเพราะสัมผัสเบาๆที่ริมฝีเขา ที่ผมมอบให้เขา แล้วเราก็โผล่ขึ้นจากน้ำพร้อมกัน


                “ไอ้นัท! ไอ้บ้า!!! เราสำลักน้ำตายขึ้นมาจะทำยังไง”


                “ไม่ตายหรอกน่า ใครจะปล่อยให้คนรักของตัวเองตาย”


                “เน่ามาก บอกเลย” ซินพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ ก่อนที่เราจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน น้ำใสมากครับ ใสมากจริงๆ มองเห็นก้อนหินใต้น้ำได้เลย


                ผมยกมือขึ้นจับแก้มบางของซินเอาไว้ นิ้วโป้งลากไล้ไปที่ริมฝีปากแดงๆของเขา เย้ยพระอาทิตย์อีกสักรอบดีมั้ยนะ


                “พอเลย” ซินยื่นมือมาบีบจมูกผมไว้ จะโรแมนติกกว่านี้มากครับ ถ้ามันไม่ได้แรงขนาดนี้


                “เดี๋ยวฉันหายใจไม่ออกตายขึ้นมาแล้วนายจะเสียใจ” ผมพูดทั้งๆที่โดนบีบจมูกอยู่อย่างนั้น เสียงที่ออกมามันเลยแปลกๆ ซินยิ้มกว้างออกมาทันที


                “อายบ้างอะไรบ้างนัท เดี๋ยวใครมาเห็น”


                “ใครจะเห็นเล่า ก็ดูแล้วว่าไม่มีใคร” ผมเป็นคนรอบคอบครับ


                “ทีเมื่อตอนเช้าไม่เห็นอาย” พูดจบก็โดนผลักหน้าหงายจมน้ำไปอีกรอบ


                เราเล่นน้ำกันสักพักก็ขึ้น กลับมายังเห็นพวกคุณโอ๊ตเล่นน้ำกันอยู่เลย เราสองคนเลยรีบวิ่งกลับเข้าบ้านในตอนที่ไม่มีใครสนใจ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อย ก็กลับมานั่งเล่นที่หน้าบ้านรอพวกที่ยังเล่นน้ำกันอยู่ ซินก็นั่งอ่านนั่งสือไป ผมก็นั่งมองเขา แหย่เขาเป็นพักๆ


                “หิวอ่ะ หิวๆๆๆ รีบอาบน้ำเลยนะ แล้วไปหาไรกิน” เสียงคุณโอ๊ตดังมาแต่ไกล ผมที่นั่งตัวติดซินอยู่ เด้งมานั่งที่เก้าอี้อีกตัวแทบไม่ทัน


                “อ้าว ซิน นัท มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นเลย” คุณโอ๊ตที่หันมาเห็นเราทักขึ้น


                “แหม พี่โอ๊ตจะเห็นได้ไง เล่นดำน้ำเป็นนางเงือก” เสียงป้องตามหลังมา


                “กูต้องเป็นนายเงือกสิวะไอ้ห่า จะเป็นนางเงือกได้ไง”


                “อ้าวเหรอ ฮ่าๆๆ”


                แล้วก็พากันไปอาบน้ำครับ ผมกับซินก็นั่งรอกันอยู่ที่เดิมสักพักทุกคนก็ออกมา เราก็พากันไปกินข้าวกัน เช่ารถตู้ของโรงแรมขับรถหาร้านอาหารไปเรื่อย ในที่สุดก็ได้ร้านอาหารทะเลร้านนึง อยู่ติดชายหาด บรรยากาศดีครับ มาทะเลทั้งทีก็ต้องอาหารทะเล งานนี้เต็มที่ครับ คุณโอ๊ตเป็นเจ้ามือ ทุกคนก็สั่งไม่ยั้งเลย


                “ทะเลเผาชุดใหญ่ หมึกนึ่งมะนาว กุ้งผัดซอสมะขาม ต้มยำทะเล ปลากระพงทอดน้ำปลา หอยเชลล์อบเนย...”


                “เฮ้ย พอๆ ไอ้จิ๋วพอ กระเป๋ากูฉีกหมดพอดี ที่สั่งไปนั่นกินกี่วันวะ” พวกเราพากันขำพรืดเมื่อคุณโอ๊ตเริ่มหน้าซีด ซินก็ขำไปกับเขาด้วย


                “แหม เป็นถึงผู้จัดการนักร้อง แบบนี้จิ๊บๆพี่ อย่าไปกลัว” ป้องแซว


                “แหมพวกมึง ได้ทีเอาใหญ่ พอแล้วครับ เอาเท่าที่สั่งไปนั่นแหละ” คุณโอ๊ตรีบหันไปบอกกับพนักงานร้าน ซึ่งเธอก็พยักหน้าและเดินกลับไป


                อาหารมื้อนี้อร่อยสุดยอดครับ ต่อให้สั่งมามากแค่ไหนก็หมดเรียบ ซินที่กินน้อยวันนี้ยังกินได้เยอะเลย แต่พอโดนคุณโอ๊ตแซวว่าเดี๋ยวอ้วนนี่วางช้อนทันที แต่เป็นตอนที่อาหารหมดแล้วนะครับ เมื่อนั่งคุยเล่นกันจนย่อยก็กลับ พอถึงบ้านพักก็ต่างคนต่างเข้าห้องตัวเอง ทันทีที่หัวถึงหมอน ป้องก็ส่งเสียงกรนขึ้นมาในทันที จนแล้วจนลอดก็ยังไม่ได้คืนปิ๊กให้ซินเลยครับ เอาไว้พรุ่งนี้ละกัน คืนนี้ขอนอนเอาแรงให้เต็มที่เลย


 

                เช้าวันนี้เรานั่งเรือมาเกาะมุกกันครับ ที่เกาะมุกส่วนใหญ่จะเป็นโขดผาหินสูง พวกนักท่องเที่ยวนิยมมาดำน้ำดูประการัง และที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือถ้ำมรกต ซึ่งวันนี้น้ำค่อยข้างสูง เรือเข้าไปไม่ได้ แต่สามารถว่ายน้ำเข้าไปได้ครับ มีไกด์จากทางรีสอร์ทเดินทางมาด้วย พร้อมกับนักท้องเที่ยวชาวต่างชาติอีกสามสี่คน


                ส่วนคุณซินเธอก็ไม่ได้ลงน้ำหรอกครับ นั่งกินลมชมวิวอยู่บนเรือนั่นแหละ พวกคุณโอ๊ตก็ลั้ลลาเข้าถ้ำไปกับไกด์แล้ว


                “ซินไม่อยากดำน้ำดูประการังมั่งเหรอ ที่นี่ตรังเลยนะ สวยสุดๆเลย ไม่อยากเห็นเหรอ”


                “เคยเห็นแล้ว”


                โอเค ยอมครับ เคยเห็นแล้วก็โอเคครับ ...เฮ้อ เราก็ทำอะไรกันไม่ได้มากนักหรอกครับ เพราะคนขับเรือก็อยู่ ผมก็เลยนั่งมองซินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย ก่อนที่จะลงน้ำคุณโอ๊ตก็ชวนผมอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าซินไม่ลง ผมก็ไม่อยากลงหรอก จิตใจมันก็คงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดี๋ยวจะเผลอจมน้ำตาย ...ก็พูดไปนั่น ฮ่าๆๆ 


                พวกคุณโอ๊ตเข้าไปในถ้ำกันก็นานแล้ว แต่ก็ไม่ยอมออกมาสักที คุณลุงคนขับเรือบอกว่าสงสัยไปเล่นน้ำกันอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของถ้ำ อ่า...ตาจะปิดครับ


                “มาแล้วววว” ผมที่กำลังปรือตาหลับ สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเสียงของคุณโอ๊ต บทจะเป็นคนขี้โวยวายขึ้นมานี่ก็หนวกหูจริงๆ


                “สวยมากจริงๆซิน ข้างในถ้ำเป็นสีเขียวมรกตสมชื่อเลย สวยโครตๆ โอ๊ย สวยจริงๆ อีกฝั่งน้ำใสมากเลย เห็นแบบนี้แล้วไม่อยากกลับกรุงเทพเลยให้ตาย” คุณโอ๊ตที่ขึ้นมาก็พูดๆๆ แล้วก็ทิ้งตัวลงด้านข้างซิน คนสวยของผมก็หัวเราะอย่างเดียวครับ


                เรานั่งเรือออกมากันนานมาก กว่าจะกลับรีสอร์ทก็บ่ายกว่าๆแล้ว ทุกคนดำน้ำกันจนเหนื่อย อาบน้ำเสร็จก็สลบไสลไปตามๆกัน เหลือแต่ผมกับซินเนี่ยแหละที่ยังมีชีวิตอยู่รอด


                ผมเดินออกมาจากห้องก็เจอซินนั่งอยู่ที่โซฟาในบ้าน เขาหันมามองหน้าผมนิดๆ ก่อนจะก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ


                “หลับกันหมดเลย” ผมพูดพร้อมกับนั่งลงข้างๆเขา


                “อืม”


                “อ่านหนังสืออีกละ”


                “ขอร้องนัท อย่าพึ่งกวน” ซินหันมาส่งตาเขียวใส่กัน


                โอเคๆ คราวนี้ยอมก็ได้ เชิญอ่านตามสบายเลยครับ ผมเอื้อมมือไปหยิบรีโมทมาเปิดทีวีที่มีอยู่ในห้องนั่งเล่น ดูหนังไปเรื่อยเปื่อย เปิดเสียงเบาหน่อยเกรงใจคนอ่านหนังสือ ดูไปดูมา เปลือกตาก็เริ่มจะหนักอีกแล้ว ผมเลยเอนหัวไปหาไหล่นิ่มๆของซิน ก่อนจะวางแหมะลงไป


                “เยอะและนัท เดี๋ยวใครมาเห็น” ซินเอื้อมมือมาดันหัวผมออกทันที


                “น่านะ แป๊บเดียว คนอื่นเขาหลับกันหมดแล้ว ไม่มีใครตื่นมาตอนนี้หรอก” ซินส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอน้อยๆ ก่อนจะยอมให้ผมพิงแต่โดยดี


                “นอนตักได้ป้ะ” ได้คืบจะเอาศอกครับ


                “มากไปนัท เดี๋ยวจะไม่ได้ซบ”


                “โอเคครับ แค่ซบก็แค่ซบ” ผมหยิบหมอนอิงมากอดไว้ ก่อนจะค่อยๆหลับไป


                อิจฉาผมมั้ย มีไหล่นุ่มๆให้ซบด้วยนะ ถึงจะยังไม่ได้นอนหนุนตักก็เถอะ แต่ไม่เป็นไรครับ ได้มากกว่านั้นมาแล้ว ^^







                 เสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กในบ้านทำให้ผมปรือตาตื่นขึ้นมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหนุนไหล่ซินอยู่ แต่พอลุกพรวดขึ้นมาก็ไม่เจอซินแล้ว เห็นแต่คุณโอ๊ตที่เดินไปเดินมากับพวกสาวๆที่นั่งเมาท์กันอยู่


                “ตื่นแล้วเหรอนัท พอดีเลย เรียกซินให้หน่อยสิ เดี๋ยวเราจะไปถนนคนเดินกัน” ผมที่งัวเงียลุกขึ้นมารับคำเบาๆ


                “นอนได้น่าลักหลับมากเลยพ่อบอดี้การ์ด นี่ถ้าไม่มีคนนายเสร็จฉันไปแล้วเนี่ย” ผมหันไปมองนาวที่แซวก่อนจะยิ้มให้นิดๆ


                “แหมเสียดายจัง” ผมก็เล่นตามน้ำไปเรื่อยครับ สาวๆนี่ขำกันกิ๊กเลย


                ผมเดินไปเคาะประตูเรียกซิน สักพักคนสวยของผมก็เดินออกมา


                “เดี๋ยวจะไปถนนคนเดิน ทำไรอยู่อ่ะ” ประโยคแรกพูดเสียงปกติ แต่ประโยคหลังนี่แอบกระซิบครับ


                “เปล่า ไปกี่โมงพี่โอ๊ต” ซินตอบผมเบาๆ ก่อนจะเดินสวนผมออกมาไปถามคุณโอ๊ต


                “เนี่ยเดี๋ยวไปเลย เช่ารถกับเรือของรีสอร์ท ซินไปมั้ย”


                “อืม ไป”


                “งั้นเดี๋ยวทุกคนไปเตรียมตัวเลย หกโมงตรงเจอกัน” หลังจากที่คุณโอ๊ตบอก ทุกคนก็แยกย้ายไปแต่งตัว ซินเองก็เดินเข้าห้องไป ผมเองก็เดินเข้าห้องตัวเอง ล้างหน้าล้างตา ไปชุดนี้แหละครับ กางเกงยืน เสื้อยืด พอผมออกมาจากห้องน้ำ ป้องก็เดินเข้าไปต่อ


                ผมออกมาข้างนอก ก็ยังไม่เจอใคร เลยถือโอกาสเดินไปเคาะประตูห้องซิน ซินเปิดประตูออกมาเลิกคิ้วถามงงๆ


                “มีอะไร” ผมไม่ตอบแต่มุดลอดแขนเขาเข้าห้องมาเลย โดดลงนั่งบนเตียงทันที ซินที่ตกใจห้ามไม่ทันหันกลับมามองผมงงๆ


                “อะไรเนี่ยนัท เดี๋ยวใครก็มาเห็นหรอก”


                “ซินก็ปิดประตูสิจ๊ะ จะได้ไม่มีใครเห็น” พูดไปยิ้มไป ดีที่ตอนนี้ซินไม่ได้ถืออะไรไว้ในมือครับ ไม่งั้นคงได้เจ็บตัว


                “เพิ่งจะห้าโมงครึ่งเอง ไม่มีไรทำ มานี่มา” ผมกวักมือเรียกเขาให้มานั่งข้างๆกัน แต่มีเหรอครับที่ซินจะยอมง่ายๆ


                “จะคืนปิ๊กให้ ไม่เอาเหรอ” ซินยืนชั่งใจอยู่แป๊บนึง ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆกัน


                “เอามาสิ” ซินยื่นมือมาตรงหน้าผม ผมก็วางปิ๊กลงบนมือเขา แต่ในขณะที่เขากำลังจะชักมือกลับ ผมก็คว้ามือเขาไว้ก่อน มือเราจับกันเอาไว้โดยที่มีปิ๊กอยู่ตรงกลาง


                “เก็บปิ๊กเค้าไว้ตั้งนานอ่ะ คิดไรกับเค้าป่ะเนี่ย” ผมแกล้งถามล้อเลียนเขาเล่น ซินงี้หน้าแดงเลยครับ แต่ผมว่าไม่ใช่เพราะอายนะ น่าจะเพราะโกรธมากกว่าอ่ะ


                “โอ๋ๆ ล้อเล่นๆ” ผมพูดก่อนจะจับมือซินมาประครองไว้ทั้งสองมือ


                “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว คงไม่ได้ทำแบบนี้อีกนานเลย เพราะงั้นขอเก็บเกี่ยวเอาไว้ก่อน”


                “พูดยังกับว่าจะไปไหนไกล ก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่ดี”


                “อยู่ใกล้ แต่ทำแบบนี้ไม่ได้...” ผมยื่นหน้าเข้าหาเขา แต่ซินกลับถอยหลังหนีไป


                “พอเลย” ซินที่ดึงมือกลับไปสำเร็จยกสองมือขึ้นปิดหน้าผมเอาไว้


                โธ่ นิดหน่อยก็ไม่ได้นะ


                “ไอ้นัท อย่าเลีย” ซินดุขึ้นเสียงดังทันทีที่ผมเอาลิ้นแตะมือเขา ฮ่าๆ ก็มันอยากแกล้งอ่ะ เอะอะก็ปิดหน้าลูกเดียวเลย พูดจบก็ผลักหัวผมออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะเดินเอาปิ๊กไปเก็บที่กระเป๋าที่โต๊ะ ผมก็ตามไปกอดเขาจากด้านหลัง ซินนี่ถองผมกลับมาในทันที ปฏิกิริยาอัตโนมัติทันทีทันใดจริงๆครับ


                จุก... แต่ไม่ปล่อยหรอก ^^


                “นัท ปล่อย อึดอัด” ซินบ่น แต่ก็เก็บนู่นเก็บนี่ไป ผมที่เกยคางอยู่บนไหล่เขาก็เริ่มอยู่ไม่สุกครับ ก็ซินตัวหอม ขอซุกขอไซ้หน่อยจะเป็นไรไป ผมไล้ปลายจมูกลงไปบนซอกคอขาว ซึ่งซินก็ย่นคอหนีในทันที ผมก็เปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นติ่งหูขาวๆแทน มันหมั่นเขี้ยวจนเผลองับไปเบาๆ

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
                “อย่านัท!” ซินสะบัดหัวหลบไปอีกด้านก่อนจะหยิบผ้าพันคอของเขาออกมาจากกระเป๋า ในเมื่อด้านบนไม่ได้ ก็ขอด้านล่างแล้วกัน ผมค่อยๆสอดมือเขาไปใต้เสื้อยืดบางที่ซินใส่อยู่ ลากปลายนิ้วลงไปบนหน้าท้องแบนราบเบาๆ แรกๆซินก็ยังเฉยอยู่ครับ แต่พอผมเริ่มเลื่อนมือสูงขึ้นเรื่อยๆ...


                “นัท!! มากไปละๆ เฉยหน่อยไม่ได้เลยนะ” ซินรีบพลิกตัวหันหน้ามาหาผมทันที พร้อมกับเอื้อมมือมาดึงเส้นผมของผมไปหนึ่งปอย


                “โอ๊ย เจ็บนะ”


                “เจ็บก็ดี จะได้จำซะมั่ง ไป ออกไปกันได้แล้ว เดี๋ยวมีใครมาเห็นตอนออกไปพร้อมกันแล้วจะซวย” ซินเดินหนีผมไปที่ประตู


                แต่ไอ้นัทจะปล่อยไปง่ายๆเหรอครับ ผมรีบเดินไปดักหน้าเขาเอาไว้ ซินหันมามองหน้าผมด้วยสายตาเตรียมเหวี่ยงเต็มที่ แต่ผมไม่รอให้เขาเหวี่ยง ประกบปิดเรียวปากสวยนั่นทันที ซินยกมือขึ้นดันผมออก ผมจึงจับมือเขาทั้งสองข้างเอาไว้ และเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า ส่งผลให้ซินเดินถอยหลังไปทันที ผมก้าวเร็วขึ้นตามจังหวะการจูบของเราที่เริ่มร้อนแรง เมื่อขาซินชนเข้ากับเตียง ผมก็ดันคนตัวบางลงไปและตามไปประกบกลีบปากหวานต่อ ซินดูจะมีท่าทางตระหนกนิดๆ แต่ก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม มือเรียวยกขึ้นคล้องคอผมช้าๆ ผมเริ่มรุกไร้ลิ้นเรียวที่ตอบกลับมาอย่างเผ็ดร้อน ลากลิ้นสำรวจไปตามไรฟัน ก่อนจะกลับมาเกี่ยวกระหวัดกันอีกครั้ง


                “อือ” เสียงหวานถูกส่งออกมาอย่างพอใจ


                ผมผละออกจากริมฝีปากสวยๆตรงหน้า เลื่อนไปยังลำคอขาวเป็นระหง ก่อนจะฝังจูบลงไป พยายามไม่ให้เป็นรอย เพราะคนตัวบางใส่เพียงเสื้อยืดเท่านั้น และลากไล้ปลายจมูกต่ำลงเรื่อยๆ... 


                “ซิน เสร็จยัง” เสียงเรียกจากคุณโอ๊ต ทำเอาผมหยุดชะงักในทันที ซินนี่เอามือออกจากคอผมแทบไม่ทัน


                ซินดันผมให้ลุกขึ้น ซึ่งผมก็ยอมลุกแต่โดยดี


                “เดี๋ยวเราจะออกไปก่อน สักพักค่อยตามออกไปนะ เดี๋ยวเราบอกพี่โอ๊ตว่านายออกไปแล้ว” ซินพูดรวดเดียวจบพร้อมกับจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ และเดินออกไปเลยโดยไม่หันมามองหน้ากัน แต่ผมเห็นนะว่าเขาหน้าแดงเถือกเลย หึหึ


                ซินปิดประตูไปแล้ว ผมถึงได้ยกมือขึ้นลูบหน้าอกตัวเอง โอ๊ยย ไอ้นัทเอ๊ย เกือบไปแล้วจริงๆ ตอนแรกกะว่าจะแค่แกล้งจูบเฉยๆ แต่ไปๆมาๆกลับหยุดไม่ได้ อยู่ใกล้ๆซินแล้วมันอันตรายจริงๆถ้าเมื่อกี้คุณโอ๊ตไม่เรียก ป่านนี้ก็คง...


                ผมขยุ้มหัวตัวเองไปมา พยายามข่มอารมณ์พลุ่งพล่านภายในให้มันสงบ โอ๊ยยย


                ...เสียดายโว้ยยยยยยย (- - เป็นงั้นไง)


 

                ถนนคนเดินที่เราจะไปอยู่ในเมืองครับ ต้องนั่งเรือออกไป ต่อด้วยรถ ถนนคนเดินนี้ตั้งอยู่ที่หลังสถานนีรถไฟตรัง พอเรามาถึงก็มืดแล้ว แต่ละร้านเปิดไฟไล่กันไป บรรยากาศดีมากๆเลยครับ ของที่ขายก็มีทั้ง ของกิน ของใช้ ของเก่า ของแฮนด์เมด มากมายหลายอย่างครับ พวกสาวๆเขาก็วี๊ดว้ายกันไป เดินลิ่วไปนู้นแล้ว


                “เอาเป็นว่า สามทุ่มครึ่งไปเจอกันที่รถแล้วกัน เพราะนัดคนขับรถไว้ตอนสี่ทุ่ม โอเคนะ” พูดจบคุณโอ๊ตก็ล็อกคอป้องลากไปทันที เป็นใจเกินไปแล้วครับ ทิ้งผมกับซินเอาไว้สองคนแบบนี้


                ผมหันไปมองซินอย่างจะถามว่าเอาไงดี เขาก็ยักไหล่ใส่ผม ก่อนจะเดินนำไป ผมก็มีหน้าที่เดินตามคุณเขาแหละครับ โซนนี้เป็นโซนของเก่ากับของแฮนเมด ซินก็เดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ไปเรื่อยครับ โชคดีหน่อยที่ไม่ค่อยมีใครจำได้ อาจจะเป็นเพราะซินใส่หมวกสานใบเล็กๆปิดหน้าเอาไว้


                ผมเดินไปเห็นร้ายขายแหวนที่หัวทำจากกะลาแกะสลัก สวยดีครับ เงยหน้ามาก็เห็นซินดูสร้อยข้อมืออยู่ที่ร้านข้างๆ ผมเลยแอบซื้อแหวนวงนั้นมา ใครบางคนเขาชอบใส่แหวนครับ ราคาก็สมเหตุสมผล เพราะมันสวยดี ผมรับแหวนมาเก็บใส่กระเป๋า ก่อนจะเดินไปหาซิน เห็นลังเลอยู่สองเส้น ท่าทางจะเลือกไม่ได้


                อันนึงเป็นแบบหนังถักมือ อีกอันน่าจะเป็นสร้อยเงิน ผมเลยเดินไปซ้อนด้านหลังเขา


                “อันนี้สวยกว่า” ผมเอื้อมมือไปหยิบเส้นที่เป็นหนังสือดำจากมือเขา และสวมใส่ข้อมือให้ ซินขาว ใส่สีเข้มแล้วขึ้นครับ ซินหันมามองหน้าผม ผมจึงยิ้มให้เขานิดๆ แล้วหันไปจ่ายเงินให้แม่ค้า ที่ยิ้มกรุ้มกริ่มมองพวกผมแปลกๆ


                ทำไมครับ ก็คนเขารักกัน ^^


                เราก็เดินกันมาเรื่อยๆ ซินได้ของติดไม้ติดมือมาสองสามอย่าง ซึ่งคนถือก็คือผมเองครับ สักพักคนตัวบางก็บ่นหิวน้ำ ผมก็ต้องพาไปซื้อ ได้มะพร้าวน้ำหอมมาครับ ยกมาทั้งลูกเลยทีเดียว แถมได้ช้อนมาไว้ขูดเนื้อมันด้วย รอบคอบดีครับ


                “ไปไหนต่อครับ” ผมถามซินที่ยืนดูดน้ำอยู่กับที่ ซึ่งเจ้าตัวก็ส่ายหัวไม่รู้ ผมก็เลยพาเขาเดินไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดตาเข้ากันร้านแฮนเมดร้านหนึ่ง


                ผมหยุด ซินก็เลยหยุดตาม ผมก้มลงมองสมุดทำมือที่หน้าปกเป็นรูปวาดสีของคนคนหนึ่งครับ ผมเห็นซินเองก็ก้มลงมองเหมือนกัน ซินยิ้มนิดๆก่อนจะหยิบขึ้นมาดู ก็รูปเขาเองนั่นแหละครับ


                “เล่มเท่าไหร่ครับ” ผมยกขึ้นถามเจ้าของร้าน


                “ยี่สิบห้าบาทค่ะ”


                “เหมาหมดนี่ ลดมั้ยครับ” มือเล็กเอื้อมมาหยิกแขนกันทันที ผมหันไปมองซิน ยักคิ้วให้เขานิดๆ มันมีอยู่ห้าหกเล่มครับ แต่เป็นรูปเดียวกันนั่นแหละ แต่ก็แอบกลัวเจ้าของร้านจำซินได้เหมือนกันแฮะ ผมเลยเดินไปยืนบังซินเอาไว้ก่อน กันพลาดครับ


                “แหม ถ้าเหมาหมดจริงๆก็จะลดให้ค่ะ” เจ้าของร้านพูด ก่อนจะส่งตาหวานให้ผม อะไรครับ ออกหน้าออกตาไปแล้ว ยังไม่ทันไรผมก็รู้สึกเสียวแปล๊บที่เอวเพราะมือบางๆที่บิดเนื้อกัน


                “เอาหมดเนี่ยครับ” ผมยื่นสมุดรูปซินทั้งหมดที่มีให้เจ้าของร้าน ก็รูปซินนี่ครับ ไม่อยากให้ใครซื้อไปหรอก หวง  ...แต่ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าตอนที่คนขายรับไปมือเธอแอบลูบมือผมนิดๆด้วย


                แล้วเธอก็คิดราคาให้ผม ลดให้จริงๆอย่างที่บอกครับ ผมก็จ่ายเงินไป ระหว่างที่รอเงินทอนก็หันมามองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ซินก็มองตาเขียวกลับมา อะไรอ่ะ ผมทำอะไรผิ๊ดด


                “นี่ค่ะเงินทอน ยังไงถ้าชอบ สั่งลายได้นะคะ ยินดีรับทำพิเศษ นี่ค่ะ เบอร์ติดต่อ” นั่นแหละครับ ถือโอกาสแจกเบอร์แบบเนียนๆ ผมก็รับมาพร้อมกับรอยยิ้มและขอบคุณเธอไป หันมาอีกที ซินก็เดินไปนู่นแล้วครับ ผมก็เลยรีบวิ่งตามไป


                “เป็นไรซิน ไม่รอกันเลย”


                “เปล่า” เปล่าแต่เสียงนิ่งมากครับ ผมก็ยิ้มยกนิ้วจิ้มแก้มยุ้ยเบาๆ


                “หึงเค้าอ่ะดิ้” ซินหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ทันทีครับ


                หัวใจมันกระชุ่มกระชวยทุกทีเวลาซินเป็นแบบนี้ อยากจะแกล้งให้หึงมากๆเหมือนกันนะ จะได้เลิกปากแข็งซะที แต่ก็กลัวว่ามันจะลามกลายเป็นทะเลาะกันไปซะก่อน 


                “รอไปสิบชาติเถอะ ถ้าอยากให้หึงอ่ะ” พูดจบก็เดินลิ่วๆไปเลยครับ ผมหัวเราะน้อยๆกับท่าทางของเขา แบบนี้ถ้าไม่เรียกหึงแล้วเขาเรียกว่าอะไรล่ะครับ


                “ซิน รอก่อนน”


 

                เดินมาเรื่อยๆก็ถึงโซนของกิน มีปลาหมึกย่างตัวโตๆ กุ้งย่าง ปลาเผา เต็มไปหมด เห็นแล้วน้ำลายสอเลย ผมซื้อนู่นซื้อนี่จนของกินเต็มมือไปหมด ไม่รู้จะอย่างไหนก่อนเลยครับ ผิดกับซินที่ยังขูดเนื้อมะพร้าวกินอยู่เลย


                “กินมั้ยซิน” ผมจิ้มปลาหมึกย่างยื่นให้ แต่ซินกลับถอยหน้าหลบ


                “บ้าเหรอนัท คนเยอะแยะ”


                “ไม่มีใครจำได้หรอก”


                “จำได้หรือจำไม่ได้ก็ไม่เอา คนเยอะ” ผมก็เลยจำต้องเอาปลาหมึกชิ้นนั้นเข้าปากตัวเอง


                เดินไปกินไปจนมันเริ่มหมดทีละถุงๆ จนถุงสุดท้ายหมดไป ผมก็มองหาเหยื่อยรายใหม่ครับ


                “ซิน กินแพนเค้กมั้ย น่ากินๆ” ผมตรงรี่เข้าไปเลย แต่ก็โดนซินเบรกเอาไว้ก่อน


                “พอแล้วนัท กินเยอะเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก” ซินหันมาดุกันทันที ก็คนมันอยากกินอ่ะ ._.


                “ไม่ต้องมาทำหน้าหมาหงอย พอเลย กี่โมงแล้วเนี่ย”


                “สามทุ่มยี่สิบ”


                “ป่ะ กลับเหอะ ไปรอที่รถ เราเมื่อยแล้ว” ถ้าซินเมื่อย นัทก็ยอมครับ


                แต่จะกลับแล้วอ่ะ พรุ่งนี้ก็ต้องกลับกรุงเทพแล้วด้วย คิดมาถึงตรงนี้มันก็หวิวๆนะครับ สองสามวันที่ผ่านมาใช้ชีวิตด้วยกัน ตื่นมาก็เจอ ก่อนนอนก็เจอ ไปไหนมาไหนอยู่ด้วยกันตลอด แต่ถ้ากลับกรุงเทพไปทุกอย่างก็เหมือนเดิม เข้าใกล้มากไม่ได้ ทำอะไรออกหน้าออกตานักก็ไม่ได้ จะจับมือ จะกอด จะจูบ นี่คงไม่ต้องคิดถึงเลย


                ผมมองคนตัวบางที่เดินอยู่ตรงหน้า มองมือเรียวที่แกว่งไปมา ถ้าจะเดินจับมือกันตอนนี้ ซินจะยอมมั้ย ในที่ที่คนเยอะแบบนี้ ซินจะยอมให้ผมเดินจูงมือเขามั้ย ซินที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟ กับผมที่ต้องอยู่ในเงามืดของแสงไฟนั้น ปัดป้องสิ่งต่างๆที่จะมาทำให้แสงไฟแสนสวยนี่หม่นลง


                ผมเดินไปด้านข้างเขา ค่อยๆสอดมือผมเข้าไปในมือบาง แล้วก็กุมมือนุ่มนิ่มนี้เอาไว้ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เห็นสายตาของซินที่มองมา ขอหน่อยนะซิน ขอให้ผู้ชายคนนี้ได้มีความสุข เพื่อทดแทนเวลาสีหม่นที่ต้องทนมานานแสนนาน นายเองก็ต้องอดทนเหมือนกันใช่มั้ย งั้นตอนนี้ขอเวลาให้เราเถอะนะ ให้เราได้มีความสุขหลังจากที่เราทุกข์กันมามากมายพอแล้ว


                ผมหันไปยิ้มให้ซิน ซึ่งเขาก็ยิ้มนิดๆตอบกลับมา มือเรายังคงจับกันอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินสวนกันไปมา


                มาตรังคราวนี้ ผมมีความสุขที่สุดเลย ^^ 




TBC.
...
 
ทริปตรังจบแล้วค่าาาาาาาาาาาาาาาา

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยค่าาาา

เจอกันตอนหน้านะคะ รักนะ จุ้บๆ

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อื้อออ
ทริปที่ตรังนี่ พาฟินไปสามปีเลยทีเดียว
#ทำไมต้องสามปี ช่างมันเหอะ
เราว่านะ แม่ค้าคนแรกต้องเป็นสาววายชัวร์
ไอ้ที่มองแปลกๆนั่นนะ กรี๊ดอยู่ในใจไง
แล้วก้อ ช่วงนี้คุณบอดี้การ์ดเค้ารุกหนักเหลือเกิน
โฮกกกก วาบหวามมากๆอ่ะ
เขิลเกิ๊นนน ชั้น ฟิน บ่องตง !!

ออฟไลน์ machan000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่ารักมากอ่ะคุณนักร้อง


อร๊ายยยยย :pighaun:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai5:

เกาะสวาท หาดสววรค์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ matilda.taon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หวานเว่อร์มากทริปนี้
ซินน่ารักสุดๆเหมือนซ้อมฮันนีมูนเลย 5555

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
9

((บุกบ้าน))


               
                หลังจากที่กลับกรุงเทพมาสามวันแล้ว ศิลปินของผมยังไม่มีงานเลยครับ ดังนั้นผมกับซินจึงไม่ได้เจอกันเลย บอกตรงๆไอ้นัทคนนี้กำลังจะเป็นบ้าตายเพราะคิดถึงซิน แต่เราก็โทรคุยกันนะครับ ผมว่างก็โทรหาเขา คิดถึงก็โทรหาเขา หิวข้าวก็โทรหาเขา ก่อนเข้าห้องน้ำก็โทรหาเขา จนตอนนี้ซินปิดเครื่องหนีผมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ


                ใจร้ายที่สุดเลย...


                ก็คนมันคิดถึง ต่อให้ได้ยินเสียงมันก็ไม่หายอ่ะ มันอยากเจอมากกว่า


                ตอนนี้ผมกำลังนั่งมองไอ้แสบมันซ้อมยูโดกับพวกในโรงฝึกอยู่ เห็นตัวเล็กๆแต่แรงมันเยอะนะครับ ปีนี้มันก็จะจบมอหกแล้วด้วย ไม่รู้ว่าพ่อจะป้อนงานให้ตอนไหน พอมันคว่ำรุ่นพี่มันได้สำเร็จก็วิ่งส่ายหางดุ้กดิกๆมาหาผม เหมือนหมาเลยมั้ยครับ


                “พี่นัทๆๆๆๆ” มันเรียกชื่อผมตั้งแต่วิ่งก้าวขาก้าวแรกจนมาถึงผมนั่นแหละครับ


                “เรียกคำเดียวพอมั้ง ไม่ต้องกลัวลืมชื่อหรอก”


                “กัสเก่งป้ะ” มันยื่นหน้ามาถามผมอย่างอวดๆ


                “เออๆ เก่ง”


                “งั้นบอกลุงให้ผมหน่อยสิว่าผมพร้อมทำงานแล้ว”


                “เรียนให้จบมอหกก่อนเหอะ ค่อยมาร้องของาน” ผมผลักหัวมันที่ยื่นมาใกล้ๆไปที


                “ไรวะ แล้วไม่มีงานทำรึไง เห็นอยู่โรงฝึกมาหลายวันละเนี่ย โดนนายจ้างเขาทิ้งแล้วล่ะซี้”


                ผมเลยเอื้อมมือไปโบกหัวมันหนึ่งที โทษฐานพูดจาน่าเตะมาก ดีนะที่นั่งอยู่ เอ็งเลยรอดลูกเตะพิฆาตของข้า มันก็ยกมือลูบหัวป้อยๆบ่นไรงึมงำของมันไป


                “ปากแบบนี้เดี๋ยวรายชื่อหลุดได้งานหรอก”


                “โห ใช้เส้นสายในทางที่มิชอบ”


                ผมก็ยักคิ้วให้มันไปสองที


                “เออ พี่นัท แผ่นซีดีวันนั้นอ่ะ กัสโครตเพ้ออ่ะ เก็บไว้ใต้หมอนเลยนะเว้ย เอาไว้อ่านก่อนนอน โอ๊ยย โครตมีความสุขอ่ะ ขอบคุณพี่นัทมากๆนะ ไว้จะซื้อขนมมาเซ่น เชื่อได้เลยว่าใครก็ไม่มีทางได้ลายเซ็นเหมือนผมแน่นอน” ผมฟังมันพลางประมวลผลในหัวไปด้วย เหมือนเรื่องมันผ่านมานานแล้ว แต่เอ๊ะ มันแอบด่าว่าผมเป็นศาลพระภูมิป่ะวะ เอาของมาเส้น แต่เดี๋ยวก่อน ลายเซ็น....


                พอนึกขึ้นมาได้ผมนี่หัวเราะแทบหงายหลัง ฮ่าๆ จำได้มั้ยครับ ว่าไอ้กัสมันได้ลายเซ็นอะไรมา...


                แต่ดูท่าว่ามันจะดีใจมากกว่าเสียใจนะครับ ผมก็มองท่าทางเพ้อๆของมันยิ้มๆ
                “พี่นัทพาพี่ซินมาที่โรงฝึกมั่งดิ” ผมที่ท้าวแขนอยู่กับพื้น แขนอ่อนขึ้นมาทันที


                “จะพามาได้ไงวะ เขาเป็นเจ้านาย ไม่ใช่เพื่อนเล่น”


                “โธ่ ก็ลองชวนดูดิ”


                ผมส่ายหัวช้าๆก่อนจะลุกขึ้นยืน


                “ไม่เอาละ ไม่คุยกับเอ็งและ เข้าบ้านหาอะไรเย็นๆกินดีกว่า ที่นี่ร้อนว่ะ”


                “ไปด้วยๆๆๆ” ไอ้เจ้ากัสก็ลุกขึ้นโดดเหยงๆตามหลังผมมา ผมก็เดินไปถอนใจไป ปล่อยเลยตามเลยแล้วกันครับ ขี้เกียจห้ามแล้ว มันเองก็ซ้อมมาเยอะแล้วด้วย


                “แม่ครับบบ” ผมเดินเข้าไปนั่งด้านข้างแม่บนโซฟา


                “ป้าครับบบบบ” ไอ้กัสที่ลากเสียงเรียกแม่ผมยาวกว่าผมอีก แถมแสล๋นมานั่งกอดแขนแม่ผมอีกต่างหาก


                แม่ผมก็หัวเราะนิดๆก่อนจะวางไหมพรมที่แม่กำลังถักลงบนตัก ยกมือขึ้นลูบหัวผมทั้งสองคน ทำยังกับมันก็เป็นลูกแม่เลยนะน่ะ


                “ว่าไงจ๊ะ ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ” ผมที่กำลังจะอ้าปากพูดต้องหุบลงทันทีเพราะไอ้กัสมันชิงตอบไปก่อนแล้ว


                “ซ้อมเสร็จแล้วครับ เหนื๊อยเหนื่อย หิ๊วหิว คิดถึงขนมอร่อยๆฝีมือคุณป้าจังเลย” สตอเบอรี่มากครับ ทำท่าทางออดอ้อนได้น่าถีบมาก ผมหันไปมองมันอย่างหมั่นไส้


                “แหม ปากหวานจริงนะจ๊ะเราเนี่ย งั้นไป ไปช่วยป้ายกขนมหน่อย” แม่ก็เออออไปกับมันด้วย ไอ้กัสลุกขึ้นประคองแม่ผมเดินเข้าครัวไป แต่ยังไม่วายหันมาแลบลิ้มปลิ้นตาใส่ผมอีกต่างหาก นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่กับแม่นี่ผมกระโดดถีบมันไปแล้วนะครับเนี่ย แม่นี่ก็ไม่สนใจลูกชายเลย! แต่ไม่ครับ แม่ผมน่ารัก ผมไม่โกรธหรอก


                พูดถึงเรื่องน่ารัก โทรหาซินดีกว่า...


                ตรู๊ด...


                เสียงรอสายดังขึ้นผมนี่แทบอยากจะตะโกนโห่ร้อง ซินเปิดเครื่องแล้วครับ รออยู่นานมาก นานแบบนานมากๆ แทบจะกดวางแล้วโทรใหม่ แต่ปลายสายก็รับพอดี


                (....) ไม่พูดครับ


                “ซินครับ...”


                (ถ้าไม่ได้มีธุระอะไร เราจะปิดเครื่อง แล้วก็จะไม่เปิดอีกเลยจนกว่าจะมีงานอีกที)


                เสียงหวานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด บ่งบอกว่าเริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะ แล้วก็จะทำจริงๆด้วยๆ


                “ซินปิดเครื่องไม่ได้หรอก เดี๋ยวคุณโอ๊ตติดต่อไม่ได้” นี่ครับ ไอ้นัทไม่โง่นะครับซิน


                (เดี๋ยวเราจะโทรไปบอกพี่โอ๊ตว่าโทรศัพท์เสีย ให้โทรมาเบอร์บ้านแทน) โง่ไปเลยครับไอ้นัท


                “ทำไมอ่ะซิน ก็คนมันคิดถึงนี่” เริ่มแล้วครับ แผนรู้ทันใช้ไม่ได้ ต้องใช้วิธีออดอ้อนแทน


                (เราก็มีเรื่องต้องทำนะนัท จะให้เรามานั่งรับโทรศัพท์ทุกสิบนาทีรึไง ไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดีสิ!)


                “ก็ไม่ได้โทรบ่อยขนาดนั้นสักหน่อย” ผมบ่น พลางมองไปเห็นแม่กับไอ้กัสที่เดินถือจานขนมตามมา ผมก็ลุกขึ้นหลบไปหามุมคุยโทรศัพท์


                “คุณป้าดูสิครับ พี่นัทแอบคุยโทรศัพท์กับสาว” ไอ้กัสชี้ชวนแม่หันมามองผม ซึ่งแม่ก็มองมายิ้มๆ ผมเลยด่ามันแบบไม่ออกเสียงไปเสียงหนึ่งคำ ก่อนจะหันไปยิ้มให้แม่ และเดินออกมา


                (เราจะวางแล้วนะ) ซินที่เงียบไปนานพูดขึ้น


                “ไม่เอาอ่ะ คุยกันก่อนสิ”


                (แค่นี้นะ)


                “ถ้าวางสายจะไปหาที่บ้านจริงๆด้วย”


                (กล้าก็มา) พูดจบก็วางสายไปเลยครับ ท้าทาย ท้าทายมากครับ มันน่านัก ถ้าเจอกันคราวนี้ไม่รอดแน่ๆซิน ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าอย่างเซ็งๆ ความจริงผมก็ไม่ได้กลัวนะเว่ย แต่แค่เสียวสันหลังเฉยๆถ้าเจอป๊าซิน ถ้าเจอม้าก็ดีไป แต่ถ้าเจอป๊าก็คงไม่รอด...


                ผมเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น เห็นไอ้กัสนั่งขัดสมาธิกอดหมอนอยู่บนโซฟา เคี้ยวคุ้กกี้ตุ้ยๆอยู่ข้างๆแม่ แม่งโครตน่าหมั่นไส้ ผมเลยเดินเข้าไปดันมันออกแล้วก็นั่งแทรกตัวลงไปตรงกลาง พาลครับ! อารมณ์ไม่ดี


                “เอ้า ตานัท เบียดแม่ทำไมเนี่ย”


                “เออ พี่นัทแม่งนิสัยไม่ดีว่ะ แย่งที่ผม”


                เอาเข้าไป รุมด่าผมกันเข้าไป ใช่สิ! ผมมันเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ! งอนเว้ย!!


                “เป็นอะไรลูก” แม่หันมาเลิกคิ้วถามผม


                “เปล่าครับ ไม่ได้เป็นไร”


                “แม่ว่าลูกดูท่าทางหงุดหงิดๆนะ อารมณ์เสียเรื่องอะไรลูก”


                “โดนสาวหักอกล่ะซิ๊ สมน้ำหน้าว่ะ” ไอ้กัสครับ ไอ้ลูกหมา ผมทำท่าจะเขกมะเหงกใส่หัวมันแต่แม่กลับห้ามเอาไว้ซะก่อน


                “ไม่เอานัท อย่าแกล้งน้อง” ไอ้กัสนี่หัวเราะก๊ากเลยครับ น้องเนิ้งที่ไหนเล่า ผมลูกคนเดียวนะแม่ แต่ไม่เอาครับไม่พูด เดี๋ยวแม่โกรธ ผมเลยต้องถอนหายใจอย่างเซ็ง เดี๋ยวเข้าโรงฝึกก่อนเถอะ ข้าจะทุ่มเอ็งให้หายอารมณ์เสียเลย


                แต่คิดไป คิดมา...


                “แม่ นัทออกไปข้างนอกนะครับ” พูดจบผมก็ลุกขึ้นวิ่งขึ้นห้องมาเลย เปลี่ยนเสื้อผ้า คว้ากุญแจไอ้ลูกชายคู่ใจออกมาจากบ้านทันที


                “ไปไหนลูก นัท” เสียงแม่ถามตามหลังมา


                “ไปง้อสาวล่ะม้างงง” เสียงไอ้กัสเห่าตามมาอีกคน


                “เดี๋ยวมาครับแม่” ผมตะโกนตอบแม่ก่อนจะออกจากบ้าน


                ไม่ทนแล้วครับ คิดถึงก็จะไปหา โดนท้าซะขนาดนั้น เดี๋ยวจะเอาให้เก่งไม่ออกเลยครับ หึหึ แต่เดี๋ยว ผมควรจะใส่เสื้อกันกระสุนเซฟตัวเองเอาไว้ก่อนดีมั้ย เพราะถ้าตายตั้งแต่ประตูหน้าบ้านมันจะน่าอนาถเกินไป เอาน่า... คิดซะว่าป๊าซินไม่อยู่บ้านละกันนะ


                ปลอบใจตัวเองทั้งนั้น


                ไอ้ลูกชายคู่ใจก็แรงซะจริง ขับไม่นานก็มาถึงหน้าบ้านที่แสนจะคุ้นเคยแล้ว พึ่งจะมากลัวตายเอาจริงๆก็ตอนเห็นรั้วหน้าบ้านนี่แหละครับ


                เอาไงดี โทรหาซิน ซินคงไม่รับสายแน่ๆ จะให้กดกริ่งก็ไม่กล้าอีก กลัวคนที่มาเปิดจะไม่ใช่คนที่ต้องการ แหะๆ กลัวจะเป็นคุณป๊านั่นแหละครับ หรือจะปีนรั้วเข้าไปเลยดี แล้วค่อยปีนขึ้นระเบียงห้องซินอีกที ใครก็ได้บอกผมทีครับ บุกลุกบ้านนักร้องนี่ติดคุกกี่วัน


                แต่ในระหว่างที่ผมเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้านนั่นเอง ก็มีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากสวนหลังบ้าน เห็นผมเข้าพอดี


                “อ้าว นั่นนัทใช่มั้ยลูก” ผมหันไปตามเสียงเรียกทันที ม่าม้าของซินครับ ค่อยยังชั่ว....


                “สวัสดีครับม้า” ผมยกมือขึ้นไหว้ม้าทันที ม้าเองก็เดินมาเปิดประตูให้ผม


                “มาหาซินเหรอลูก”


                “ครับ”


                “มาๆ เข้ามาก่อน เอารถมาจอดข้างใน” ม้าซินยังน่ารักเหมือนเคยครับ แต่ผมนี่สิ จะเข้าไปดีมั้ย จะเข้าดีหรือไม่เข้าดี เอาไงดีวะ


                ม้าที่ยืนรออยู่หันมามองผมงงๆ ก่อนจะยิ้ม


                “กลัวอะไรจ๊ะ”


                ผมเลยเงยหน้ามองม้ายิ้มๆ เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ยังไงวันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่แล้ว ไม่กล้าวันนี้แล้วจะกล้าวันไหน อย่าให้ใครเขามาดูถูกเอาได้ว่าเป็นบอดี้การ์ดขี้ขลาด! ก็แค่ป๊าซินเอ๊ง! ป๊าซินที่หน้ากลัวยิ่งกว่ากระสุนปืน!!!


                “เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ผมก็เข็นรถเข้ามาในรั้วบ้าน และเอาไปจอดแอบไว้ข้างๆรถซิน แล้วก็เดินตามม้าเข้าไปในบ้าน เตรียมใจแล้วครับ แต่ในห้องรับแขกกลับไม่มีใครเลยสักคน มีแต่โทรทัศน์ที่เปิดเอาไว้


                “ซินอยู่บนห้องแหนะ นัทขึ้นไปหาสิ” ผมรีบหันไปมองหน้าม้าทันทีที่ได้ยิน


                ให้ผมขึ้นไปหาซินบนห้องเหรอ ได้เหรอครับ ได้แน่ๆนะ


                ม้าคงเห็นท่าทางผมเลยหัวเราะออกมา


                “ไปเถอะลูก เดี๋ยวม้าเอาของว่างขึ้นไปให้”


                “ไม่เป็นไรครับม้า ลำบากม้าเปล่าๆ”


                “ไม่เป็นไรหรอก ขึ้นไปเถอะ” พูดจบม้าก็เดินหายเข้าไปในครัว แล้วมีหรือครับที่ไอ้นัทจะรอช้า วิ่งสี่คูณร้อยเมตรขึ้นไปชั้นบนทันที ผมเดินไปที่ประตูบานสีขาว เคาะลงไปเบาๆ


                “เข้ามาเลยครับม้า ซินไม่ได้ล็อค” เสียงหวานตอบออกมาจากภายใน ไม่ได้ล็อคเหรอ รู้งี้เปิดเข้าไปเลยดีกว่า


                ผมค่อยๆแง้มประตูออกน้อยๆ เห็นคนที่แสนจะคิดถึงนั่งพิงหัวเตียงอยู่ บนตักมีหนังสือเล่มหนาที่กำลังเปิดอ่าน


                “มีอะไร... นัท!!!” ซินที่กำลังจะถามอะไรสักอย่าง เงยหน้ามาเจอผมแทนที่จะเป็นม้าของเขาตะโกนขึ้นอย่างตกใจ


                “ไง” ผมทักเขายิ้มแป้นก่อนจะเดินเข้าไปหา


                “มาได้ไง แล้วขึ้นมาบนนี้ได้ไง ใครเปิดประตูให้ อย่าบอกนะว่าปีนรั้วเข้ามา” คนตัวบางปิดหนังสือลงทันที อะไรน่ะ เห็นผมเป็นคนแบบไหนกัน ถึงแม้ว่าคิดจะปีนจริงๆก็เถอะ


                “ไม่ได้ปีนซะหน่อย” ผมตอบเขาพลางเดินไปนั่งที่ปลายเตียง


                “แล้วเข้ามาได้ไง”


                “ม้าเปิดประตูให้” ซินหน้ายุ่งไปในทันที หึหึ


                “มีคนท้า บอกว่าถ้ากล้าก็มา นี่ก็มาแล้วไง เอาไงต่อดี” ผมถามเขายิ้มๆ ก่อนจะกระเถิบเข้าไปหาเขา ซินก็เอาหมอนปาใส่หน้าผมทันที หึหึ


                “ถอยไปเลยนัท อย่ามาทำรุ่มร่ามในบ้านเรานะ ม้าก็อยู่”


                “ม้าอยู่ข้างล่างไม่ใช่เหรอ...” ผมทำเสียงแหบๆ แกล้งเขาไปครับ แต่ดูท่าไอ้คนตรงหน้ามันจะคิดจริง เพราะซินคว้าหนังสือเล่มหนาๆขึ้นมาเตรียมปาทันที สลบนะครับน่ะ ถ้าโดนจริงๆ


                “ล้อเล่นน่าซิน ฉันก็ไม่ได้หน้ามืดขนาดนั้นนะ”


                “ใครจะไปรู้ ก็เห็นหน้ามืดได้ตลอด” ซินพึมพำเบาๆก่อนจะวางหนังสือลง หึหึ คนเก่งในโทรศัพท์หายไปไหนแล้วนะครับ


                “ซิน เปิดประตูให้ม้าหน่อยลูก” เสียงม้าดังขึ้นที่หน้าประตู ซินเลยรีบลงจากเตียงและเดินไปเปิดประตู ผมเองก็กระเถิบมานั่งที่ปลายเตียงตามเดิม


                “ขอบคุณฮะ ม้าเปิดประตูให้เขาทำไมอ่ะ” ซินรับถาดขนมกับน้ำมาถือ ก่อนจะพยักพเยิดหน้ามาทางผม


                “อ้าว ลูกคนนี้ นัทมาหาซิน แล้วม้าจะไม่เปิดให้ได้ไง” ซินทำท่าไม่พอใจนิดๆก่อนจะเอาถาดไปวางที่โต๊ะ


                “งั้นเดี๋ยวม้าลงไปดูกับข้าวก่อนนะลูก คุยเล่นกันไปเถอะ” พูดจบม้าก็เดินออกไป พร้อมกับปิดประตูให้เสร็จสรรพ ผมก็เลยหันไปยิ้มหวานให้ซิน


                “ไม่ต้องมายิ้ม เจอป๊าแล้วจะยิ้มไม่ออก สมน้ำหน้า หาเรื่องเอง” ซินพูดพลางเบะหน้าใส่ผม


                ไหน ใครกลัว ไม่มี้ วันนี้เตรียมใจมากพร้อมแล้วครับบบ


                “ตั้งแต่เข้ามายังไม่เจอป๊าเลย” วันนี้โชคดีของผมครับ วันนี้ป๊าน่าจะไม่อยู่บ้านแน่ๆ


                “ป๊าไปทำธุระ แต่ตอนนี้น่าจะกำลังกลับแล้ว หึหึ” ซินหันมาแสยะยิ้มให้ผม ผมไม่ค่อยชอบรอยยิ้มแบบนี้ของซินเลยครับ ขนลุกแปลกๆ แถมยังมาหัวเราะปิดท้ายแบบนั้นอีกแหนะ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะขำไม่ออก


                ผมลุกขึ้นเดินย่างสามขุมไปทางเขา ซินหุบยิ้มลงทันที ก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าผม


                “จะทำอะไรไอ้นัท” ผมไม่ตอบแต่เดินเลยผ่านเขาไปที่ประตู ซินถอนหายใจเฮือกใหญ่เลยครับ แต่หนูน้อย โล่งใจไวไปแล้วครับ เพราะที่ผมเดินมาทางนี้ไม่ได้จะไปไหน แต่จะมา ...ล็อกประตู...ตีแมว


                กริ๊ก


                เสียงกริ๊กจากลูกบิดประตู ทำให้ซินหันมามองหน้าอย่างตกใจ


                “ไหนบอกจะไม่หน้ามืดไง” ทำเสียงแข็งสู้ครับ แต่จะก้าวถอยหลังไปไหนจ๊ะ ผมก้าวเข้าหาเขา เขาก็ถอยไปอีกก้าว ผมก็ก้าวต่อไปอีก แต่ซินไม่ถอยแล้วครับ ยืนตีหน้านิ่งอยู่กับที่


                “เราไม่หลงกลอีกรอบหรอกนะ! คราวนี้ผลักเราลงเตียงอีกไม่ได้แล้ว!” ผมแอบขำซินในใจ ท่าทางจะคิดเรื่องนั้นจริงจังนะนั่นน่ะ ได้ทีก็อยากแกล้งอีกสิครับ


                “ไม่ต้องบนเตียงหรอก บนพื้นห้องก็ได้” ซินหน้าซีดไปแล้วครับ ผมแสยะยิ้มโชว์ฟันขาว ทีใครทีมันครับที่รัก...


                “ย๊ากกกก”


                “เฮ้ย!!!!!!!!!!”


                ผมพุ่งเข้าใส่ร่างบาง เอามือจี๋เอวบางๆนั่นพร้อมกันทั้งสองมือ ซินถอยกรูดไปล้มลงบนเตียงพอดี ผมก็ตามไปจี้เอวเล็กนั่นต่อ ซินร้องโวยวายลั่นเลยครับ ทั้งหัวเราะทั้งข่วนผมทั้งบอกให้หยุดไปพร้อมๆกัน ตัวบางตอนนี้ขดเป็นกุ้งเลยครับ ผมเป็นลอนสวยของเขาแผ่ออกเต็มเตียงไปหมด


                “นัท! อย่า... หยุด! ฮ่าๆๆ พอแล้ว ไอ้บ้าาา”


                “สรุปว่าจะให้อย่าหรือจะให้หยุดครับ เอาอย่างไหนดี” ปากก็ถามไป มือก็จิ้มพุงนิ่มๆไปด้วย


                “พอแล้วว ยอมแล้วว” ซินที่ดิ้นพราดๆ หอบแฮ่กๆเลยครับ ผมที่กลัวว่าเขาจะขาดอากาศหายใจไปซะก่อน ก็เลยหยุด


                ฮ่าๆๆ แมวตัวน้อยๆของผม หมดครับ หมดสภาพเลย เสื้อยืดตัวบางเลิกขึ้นมา เผยให้เห็นหน้าท้องขาวๆของซิน เลิกสูงขึ้นมาจนแทบจะเห็น...


                ชิบเป๋ง หันหน้าหนีแทบไม่ทัน เดี๋ยวจะเกิดหน้ามืดขึ้นมาจริงๆ


                “ไอ้นัทบ้า... พยุงเราขึ้นเลย” ซินพูดขึ้นด้วยเสียงหอบๆ พร้อมกับพยายามดันตัวเองขึ้น ผมเลยหันไปช่วยประคอง ใบหน้าหวานแดงซ่านเพราะออกแรง...เยอะ ...แหน่ะ คิดอะไรกันครับ รู้นะ


                ซินลุกขึ้นมานั่งได้เพราะแรงพยุงจากผม หอบใหญ่เลย แถมหน้าก็แดงมากด้วย เหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมาตามไรผม ไหลย้อยลงมาถึงคางมน กลีบปากสวยสีแสงสด หอบหายใจเข้าออกช้าๆ


                แย่แล้วครับ ผมกำลังจะหน้ามืดซะแล้ว...


                “ซิน เสียงดังอะไรกันลูก” ราวกับมีฟ้าฝ่าลงมากลางร่าง บรรยากาศเย็นเยียบเลยครับ ผมมองหน้าซินที่ยิ้มแสยะออกมาอีกครั้ง คราวนี้ถึงตาผมเสียวสันหลังมั่งแล้ว


                ชัดเลย...คราวนี้เป็นเสียงป๊าซินครับ


               “เอาไง” ซินถามผมพลางยักคิ้วให้ ซินเวอร์ชั่นนี้ไม่ได้เห็นกันบ่อยนักนะครับ แต่ผมไม่ชอบเลย


                “ซิน” เสียงป๊าเรียกขึ้นอีกครั้ง


                “ฮะ” ซินขานรับก่อนจะเดินลงจากเตียงไปที่ประตู ก่อนจะเปิดประตูยังไม่วายหันมามองผมยิ้มๆอีกต่างหาก


                ผมก็ลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยเท่าที่จะเป็นไปได้ ซวยแล้วไอ้นัท อุตส่าคิดว่าโชคดีที่ป๊าไม่อยู่บ้าน แต่ป๊าดันกลับมาเร็วซะนี่ ที่นี้ควรจะทำหน้ายังไงดี ควรจะวางตัวยังไงดีวะ เอาไงดี ทำยังไงดี


                แต่ยังไม่ทันให้ผมได้คิดอะไรออก ซินก็เปิดประตูผัวะออกไปซะแล้ว...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2013 23:11:20 โดย Eucalyp »

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป

                ป๊ายืนหน้านิ่วอยู่ที่หน้าประตูครับ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ซินที่เดินเข้าไปหา ไอ้ลูกแมวขี้อ้อนเดินไปกอดป๊าตัวเอง ผมก็เลยเดินตามออกมาจากห้อง รับสายตาอำมหิตเข้าให้เต็มๆ     


                “สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ ป๊าก็เมินหันไปหาซินแทน


                “ไง เสียงดังอะไรไปถึงข้างล่างลูก” เอาแล้วไง... ผมส่งสายตาปิ๊งๆไปให้ซิน ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มสะใจส่งมาให้ผม ไม่นะซิน อย่าทำร้ายฉันด้วยวิธีนี้


                “นัททำร้ายซินฮะป๊า นัทแกล้งซิน”


                ตู้ม... ระเบิดลงไอ้นัทเต็มๆ ยืนตายไปแล้วเรียบร้อยครับ


                ป๊าเหลือบสายตาโหดๆมายังผม ผมเองก็ทำได้แค่ส่งยิ้มหวานๆไปให้เท่านั้นครับ ทำไมขนมันลุกแปลกๆก็ไม่รู้สิ


                “ลงไปข้างล่างดีกว่า ม้าจัดโต๊ะกินข้าวแล้วลูก” แล้วสองคนพ่อลูกเขาก็พากันลงข้างล่างไป ตามด้วยส่วนเกินอย่างผม


                ลงมาก็เห็นม้าจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ผมก็ยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะเอาตัวเองไปวางไว้ตรงไหนดี ค่อนข้างที่จะทำตัวไม่ถูก บรรยากาศมันอึมครึมชอบกล ซินตอนนี้ก็ไม่สนใจผมเลยครับ ไปนั่งคุยกับป๊าที่โต๊ะกินข้าวนู่นแล้ว


                “กลับบ้านกลับช่องไปได้แล้วมั้ง” เสียงป๊าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพูดขึ้น ไล่กันแบบไม่ต้องอ้อมค้อมเลยทีเดียว


                “เอ๊ะ ป๊านี่ล่ะก็ มานัท มานั่งนี่ลูก ม้าทำกับข้าวไว้เผื่อเพียบเลย อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ” โชคยังดีที่บ้านนี้ยังมีคนรักผมอยู่ครับ ผมรีบหันไปยิ้มประจบม้าทันที


                “กลับไปกินข้าวบ้านไม่ดีกว่าเหรอ คนบ้านนี้เขาจะได้หายใจสะดวกขึ้นหน่อย” อิ้อหือ ป๊าครับ ผมไม่ได้หายใจเป็นพิษนะครับป๊า


                “ป๊า!!” ม้าเดินไปทีแขนป๊าทีหนึ่งก่อนจะทำหน้าดุใส่


                “มาตานัท มานั่งตรงนี้ลูก” ม้ากวักมือเรียกผมให้ไปนั่ง เอ่อ ตรงนั้นจะดีเหรอครับ ข้างๆป๊าเลยเหรอ...


                ตอนนี้เราทั้งหมดนั่งกันอยู่บนโต๊ะกินข้าว โดยที่มีป๊านั่งหัวโต๊ะ ฝั่งซ้ายของป๊าคือซินแล้วก็ม้า ส่วนฝั่งขวาของป๊าคือผมเอง ผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของซินครับ สามคนพ่อแม่ลูกเขาก็กินกันไปคุยกันไป แต่ตอนนี้ผมกำลังเผชิญปัญหา เพราะไม่ว่าผมจะเอื้อมมือไปตักอะไร ป๊าก็บังเอิญจะกินอย่างนั้นเหมือนกัน และมันก็บังเอิญเป็นอย่างนั้นทุกครั้ง เพราะงั้นตอนนี้ผมก็กำลังพยายามเคี้ยวข้าวเปล่าอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ครับ...


                ฟังดูแย่ใช่มั้ยครับ แต่...มันมีที่แย่กว่านั้นอีก


                “อ่ะนัท กินเยอะนะๆ” ป๊าที่แสนจะใจดี (?) ตักกับข้าวให้ผมครับ คุณพ่อตาตักอะไรให้คุณลูกเขยรู้มั้ยครับ


                กระเทียมเม็ดโตๆที่อยู่ในผัดผัก...ไม่กินได้มั้ยครับ...ไม่ได้ครับ เพราะพ่อตาตักให้ ต้องกินให้อร่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันที่จริงผมควรจะกลับไปกินข้าวที่บ้านจริงๆ ผมมานั่งทำอะไรตรงนี้!!


                ผมมองกระเทียมในจานตัวเองตาปริบๆ ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังมากจากไอ้คนฝั่งตรงข้าม หึ..หึ สะใจมากสินะซิน


                หม่าม้าครับ ทำไมไม่หันมามองที่จานผมบ้างครับ ผมกำลังโดนรังแก ._.


                “ไม่กินเหรอนัท” ป๊าหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง (?) แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ นอกจากกินมันเข้าไป


                “ครับ กินครับกิน” เอาเข้าปากปุ๊บ ผมก็กลืนมันลงไปเลยครับ ไม่ต้องถามถึงรสชาตินะ เพราะผมไม่ได้เคี้ยว แอวะ ผมเกลียดกระเทียม!!!


                ไอ้ตัวดีนี่ขำคิกคักเลย และแล้วมื้ออาหารที่แสนจะหรรษาก็จบลง อาหารที่ม้าทำอร่อยนะครับ เพียงแต่ไอ้ที่ผมกินอ่ะ มันเป็นของที่คุณป๊าตักให้เท่านั้นเอง


                “ไม่ได้เจอกันนานนะ” หลังจากมื้ออาหารก็เข้าสู่ห้องสอบสวนครับ ผม ซินและก็ป๊าอยู่กันที่ห้องนั่งเล่น ม้าอยู่ที่ห้องครัวครับ ดังนั้นนัทคนนี้จึงถูกทิ้งอย่างสมบูรณ์


                “เอ่อ ครับ”


                “แล้วตอนนี้มีงานเป็นหลักเป็นแหล่งรึยังล่ะ” เอ่อ แล้วเมื่อก่อนผมไม่เป็นหลักเป็นแหล่งเหรอครับ


                “ครับ ผมทำงาน...” แต่ก่อนที่ผมจะตอบ ซินก็ชิ่งตอบแทนผมซะก่อน


                “นัททำงานกับที่บ้านป๊า” หือ ผมหันไปมองหน้าซิน เขาส่ายหน้าให้ผมช้าๆ อะไร ไม่ให้ผมพูดเรื่องบอดี้การ์ดเหรอ


                “ทำงานกับที่บ้าน ทำอะไรเหรอ”


                “ทำ...”


                “ผมเป็นบอดี้การ์ดครับ” ผมรีบพูดสวนขึ้นทันทีก่อนที่ซินจะตอบแทนอีกครั้ง ซินสะบัดหน้าตาโตมามองผมทันที


                “เป็นบอดี้การ์ด” ป๊าทวนเสียงสูง ก่อนจะหันไปมองซิน


                “ซินก็เพิ่งเปลี่ยนบอดี้การ์ดไม่ใช่เหรอ”


                “ฮะ แต่ว่าไม่ใช่นัทหรอก นัทเขาเป็นบอดี้การ์ดนักการเมือง ใช่มั้ย!” ซินหันไปตอบป๊าก่อนจะหันมากัดฟันถามผม


                ผมมองซินงงๆ ทำไมต้องโกหก มาถึงขั้นนี้แล้วนี่นา แต่เอาเถอะ เพราะซินดูท่าทางจะเครียดกับเรื่องนี้ สีหน้าเขาไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่เลย ไม่แกล้งเขาดีกว่า


                ป๊าที่ได้ยินซิน หันมาเลิกคิ้วถามผม


                “ครับ เป็นนักการเมือง” ท่านก็พยักหน้าเป็นอันรับรู้ ผมก็แอบเหลือบไปมองซินที่ถอนหายใจเบาๆ ถือว่านายติดหนี้ฉันเรื่องนึงแล้วนะซิน หึหึ


                “ว่าแต่กลับมาอีกทำไม” ผมที่แอบยิ้มย่องอยู่ในใจแทบสำลัก ตรงไปมั้ยครับป๊า อ้อมหน่อยมั้ย


                “คิดถึงก็เลยกลับมาครับ” ปากไวเท่าใจคิด ตอบออกไปแบบไม่กลัวตายเลยทีเดียว ป๊านี่หางคิ้วกระตุกเลยครับ


                “ซิน ไปช่วยม้าในครัวไป” ป๊าหันไปหาซิน พลางลูบหัวเจ้าตัวเบาๆ ซินหันมามองหน้าผมนิดๆ ผมจึงยิ้มและพยักหน้าให้เขา ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันรับมือไหว...มั้ง ซินเลยลุกขึ้นเดินเข้าครัวไป เพราะฉะนั้นตอนนี้ ห้องนั่งเล่นจึงเหลือแค่ป๊ากับผมสองคน


                “มาคุยกันตรงๆเลยดีกว่า ไม่ต้องอ้อมค้อม ไม่ต้องลองเชิงกันแล้ว” ผมไปลองเชิงป๊าตอนไหนครับ! มีแต่ป๊าแหละครับรังแกผม!!


                “เรื่องตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น” ป๊าถามขึ้นเสียงเรียบ หมดเวลาล้อเล่นแล้วล่ะครับ บรรยากาศเริ่มเคร่งเครียดขึ้นแล้ว


                “เป็นเรื่องเข้าใจผิดที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นครับ”


                “เรื่องเข้าใจผิด? เรื่องเข้าใจผิดแบบไหนที่ทำให้ลูกชายคนเดียวของฉันต้องเสียใจไปเป็นปีๆ”


                “ตอนนั้นช่วงเวลาเราไม่ตรงกันเท่าไหร่ ผมยุ่ง ซินก็ไม่ว่าง เราก็เลยไม่ค่อยเข้าใจกัน”


                “ก็แค่คำพูดของคนที่ไม่มีอะไรจะแก้ตัว”


                “ผมไม่ได้แก้ตัว ถ้าป๊าบอกว่าผมผิด ผมก็จะยอมรับ ผมผิดเองที่ทำให้ซินเสียใจในตอนนั้น ผมยอมรับความผิดเองทั้งหมด ผมถึงได้กลับมา มาขอโทษในสิ่งที่มันพลาดไป มาขอโอกาสใหม่อีกครั้ง”


                “มาขอทำให้ลูกฉันเจ็บอีกครั้งน่ะเหรอ”


                “เปล่าครับ มาขอสร้างความสุขให้ซิน เพื่อทดแทนเวลาที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ครับ”


                “หึ พูดง่ายจริงนะ แล้วเอาความเสียใจของลูกฉันไปทิ้งไว้ไหนซะล่ะ”


                ผมรู้ครับ ว่าป๊าซินเป็นคนมีเหตุผลพอ เพียงแต่ตอนนี้ป๊าแค่เป็นห่วงซินเท่านั้น ไม่แปลกถ้าท่านจะปิดกั้นผม เพราะคนที่ต้องทนเห็นซินเสียใจและเปลี่ยนไปก็คือพวกท่านทั้งสองคน ดีหน่อยที่ม้าเข้าใจ แต่สำหรับป๊าอาจจะต้องใช้เวลา


                “ผมไม่ได้เอาไปทิ้งไว้ที่ไหน ผมยังเก็บมันไว้ เอาไว้คอยเตือนตัวเอง เอาสิ่งเหล่านั้นบอกตัวเองว่าต่อไปนี้ผมจะไม่ทำให้ซินเสียใจอีก”


                “คำพูดดีๆ ใครก็สรรหามาพูดได้ทั้งนั้น”


                “งั้นป๊าก็รอดูการกระทำของผมสิครับ อย่าพึ่งปิดกั้นผมกับซิน ให้โอกาสผมได้แสดงให้ป๊ารู้ ว่าต่อไปนี้ซินจะมีความสุข”


                “ตอนนี้ซินก็มีความสุข”


                “ถ้าอย่างนั้นผมจะทำให้ซินมีความสุขมากกว่านี้”


                “จะมีความสุขมากกว่านี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างก็ลงตัวดีอยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องมีนายเข้ามาวุ่นวาย”


                “งั้นลองถามซินตอนนี้มั้ยครับ ว่าเขาต้องการให้ผมไปหรือเปล่า ถ้าเขาต้องการให้ผมไป ผมก็จะไป แต่ถ้าไม่ ต่อให้ป๊าไล่ผมยังไง ผมก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น”


                ผมมองหน้าป๊าของซินด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว ผมมั่นใจว่าตอนนี้ ยังไงซินก็ไม่ไล่ผมไปไหนแน่ๆ ซินยอมเปิดใจให้ผมมากขนาดนี้แล้ว เรื่องอะไรที่ผมจะต้องถอยเพียงเพราะป๊าซินไม่ยอมรับล่ะครับ ทุกอย่างที่ผมพยายามทุ่มเททำมา ความรู้สึกแย่ๆของการไม่มีกัน ผมไม่มีทางให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแน่ เราสองคนทรมานมามากพอแล้ว พอกันทีครับ


                “อวดดีจริงนะ” ป๊าเองก็จ้องผมกลับมาด้วยสายตาแบบเดียวกัน


                “ผมอวดดีได้มากกว่านี้อีก ถ้าเพื่อซิน”


                “หึหึ” ผมมองป๊าที่หัวเราะออกมานิดๆ แต่ไม่ใช่หัวเราะแบบที่มีเรื่องน่ายินดีนะครับ หัวเราะรอวันที่ผมพลาด


                “ในระหว่างที่นายไม่อยู่ ซินอาจจะปันใจไปให้คนอื่นแล้วก็ได้”


                ใจผมแกว่งไปในทันที เคยคิดนะครับ ไม่ใช่ว่าไม่เคย แค่ลองคิดว่าถ้าซินมีคนอื่นไปแล้ว ผมจะทำยังไงดี แต่ตอนนั้นมันก็ไม่มีสิทธิ์อะไรนี่ครับ ได้เห็นแค่ผ่านโทรศัพท์ ได้ยินเสียงผ่านวิทยุ ไม่ได้มาอยู่ใกล้ๆซินเหมือนอย่างตอนนี้


                “ไม่มีทาง”


                “เอาเหตุผลอะไรมามั่นใจขนาดนั้น”


                “ซินรักผม เรื่องนั้นผมรู้ดี และผมคิดว่าป๊าเองก็รู้” ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ยอมรับก็เถอะ


                เท่กว่านี้ได้อีกมั้ยครับผมเนี่ย จะโดนป๊าฆ่าตายแล้วยังไม่รู้ตัว


                นิ่งครับ ป๊านั่งนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา ไม่รู้ว่ามันจะเป็นสัญญาณที่ดีหรือร้าย เพราะป๊าเพียงแค่นั่งมองหน้าผมนิ่งๆเท่านั้น นับว่าผมใจกล้ามากนะครับที่พูดกับท่านแบบนี้ เพราะถ้าท่านห้ามคำเดียว ผมคงเข้าบ้านหลังนี้ไม่ได้อีก (ยกเว้นแอบนะ ^^) และการจะเข้าหาซินหลังจากนี้ก็คงยากขึ้น แต่ทำยังไงได้ล่ะครับ ตอนนี้ใจแลกใจแล้ว ตรงมาผมก็ตรงกลับ หวังว่าป๊าเองจะเข้าใจ


                ป๊าอยู่กับซินตลอด ย่อมรู้ความรู้สึกซินดีอยู่แล้ว ถ้าไม่สนิทจริงๆ ถ้าไม่ใช่คนที่ซินยอมรับ ซินไม่ยอมให้เข้าห้องนอนหรอกครับ ไม่มีทางได้เข้าถึงตัวตนเขาได้มากขนาดนี้หรอก ผมไม่รู้ว่าซินร่าเริงขึ้นมากแค่ไหนหลังจากที่เจอผม แต่ป๊าน่าจะรู้ดี


                นานมากครับ กับความอึดอัดที่เกิดขึ้น เมื่อป๊าไม่ยอมพูดอะไรเลย เอาแต่จ้องผมอยู่อย่างนี้ เราเล่นจ้องตากันมาสักพักแล้วครับ จนผมเองก็เริ่มจะกลัวคำตอบของป๊าแล้วเหมือนกัน   


                “หึหึ ...ก็ลองดู อวดดีให้ถึงที่สุดแล้วกัน แต่...ถ้าวันไหนซินเกิดเสียใจเพราะนายขึ้นมา นายต้องหายไปจากชีวิตของลูกฉันซะ อย่าให้ฉันเห็นแม้แต่เศษเส้นผมของนายอีก” พูดจบป๊าก็ลุกขึ้น


                “เดี๋ยวครับ มีเรื่องนึงที่ป๊ายังไม่รู้” ผมรั้งท่านเอาไว้ก่อน ท่านจึงหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม


                “ผมเป็นบอดี้การ์ดของซินตอนนี้” มาถึงขั้นนี้ ไม่ต้องโกหกแล้วล่ะครับ แต่ผิดคาดที่ป๊าไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร


                “ก็พอจะรู้อยู่แล้ว นายมาได้จังหวะเกินไป โผล่มาตอนที่ซินเปลี่ยนบอดี้การ์ดพอดี แถมยังเป็นบอดี้การ์ด ก็เดาได้ไม่ยาก” รู้ แต่ไม่โกรธเหรอครับ


                “ซินเป็นคนบอกให้โกหก ไม่ใช่ความผิดนาย ยังดีที่นายพูดความจริงตอนนี้ เพราะไม่งั้นประตูด่านนี้จะยากกว่านี้มากนัก” พูดจบป๊าก็เดินเข้าครัวไปอีกคน


                .....แบบนี้คือ.....


                ไอ้นัทลุกขึ้นตะโกนโห่ร้องแบบไรเสียงทันทีครับ ย๊ากกกกก ดีใจโว้ยยยยยย น้ำตาแทบจะไหล เพราะไม่ได้กระพริบตา โชคดีที่ความกล้าของผมได้ผล โชคดีที่ป๊าไม่ใจร้ายจนเกินไป โชคดีที่วันนี้ป๊าซินกลับมาทันเจอผม โชคดีที่วันนี้ผมมาหาซิน โชคดีที่พ่อยื่นงานนี้ให้ผม โชคดีที่เรายังรักกัน โชคดีจริงๆครับ


                ผมที่กำลังกระโดดโลดเต้นหันมาเจอซินที่เดินออกมาพอดี ผมก็วิ่งเข้าไปกอดเขาเลย กอดมันกลางบ้านนี่แหละ ไม่กลัวแล้ววว ซินช็อคค้างกลางอากาศทันที เพราะคงไม่คิดว่าผมจะกล้า ก่อนที่จะ...


                เข่าใส่ดวงใจของผม.....ไม่มีกั๊กแรงเลยครับ


                ผมก็...ร่วงสิครับ ยืนไหวเหรอ


                “โหยยยซิน... ใช้การไม่ได้ทำไงเนี่ยยย” พูดแทบไม่เป็นภาษาคนกันเลย เคยกันมั้ยครับ ถ้าไม่เคยก็ลองซะนะ แล้วจะเข้าใจ


                “ทำบ้าอะไร! เดี๋ยวป๊าก็เห็นหรอก!!”


                “เห็นแล้วไง ไม่กลัวตายแล้ว” เก่งแล้วตอนนี้ ฮ่าๆ ...อูยยย จุกอ่ะ น้องนัทน้อย อย่าตายนะลูก เดี๋ยวซินเสียใจ


                “กลัวหน่อยก็ดี” อุ่ย ป๊าครับ เดินออกมาหน้าโหดเลย ไม่เห็นฉากเมื่อกี้ใช่มั้ยครับ เห็นตอนผมร่วงแล้วใช่มั้ย


                “กลับบ้านไปได้แล้ว รบกวนบ้านคนอื่นอยู่ได้”


                ยอมรับแล้ว ใช่ว่าจะญาติดีกันนะครับ เปล่าเลย... ผมค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ พยายามไม่ให้กระทบกระเทือนนัทน้อย กลับก็ได้ครับ มืดแล้วจริงๆ


                “งั้นผมกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับป๊า” ผมหันไปกล่าวลาท่าน ซึ่งก็โดนเมินอีกตามเคย แล้วก็หันไปไหว้ม้าที่เดินออกมาพอดี


                “กลับดีๆลูก ซิน ไปส่งนัทหน่อยไป”


                “เดินไปเองได้ไม่หลงหรอกมั้ง”


                “เอ๊ะ ป๊านี่เอาอีกแล้วนะ ไปลูกซิน”


                สรุปซินก็เดินออกมาส่งผมครับ มีคนเข้าข้างนี่มันดีจริงๆ ฮ่าๆ


                ผมเข็นไอ้ลูกชายออกมานอกรั้วโดยที่มีซินเดินตามหลังมา ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน อากาศเริ่มเย็นแล้วครับ แถมชื้นๆเหมือนฝนจะตกซะด้วยสิ ขอให้กลับถึงบ้านก่อนทีเถอะ


                “กลับแล้วนะ”


                “อือ” แฟนจะกลับพูดแค่เนี้ย (ขี้ตู่ไปแล้วไอ้นัท)


                “จะกลับจริงๆแล้วนะ”


                “ก็กลับไปสิ” ก็ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม


                “ไม่หอมแก้มหน่อยเหรอ”


                “เมื่อกี้คุยไรกับป๊า” เปลี่ยนเรื่องแบบไร้ทิศทางจริงๆครับคนนี้


                “ไม่บอก”


                “บอกมา”


                “จุ๊บก่อน แล้วจะบอก”


                “เออ กลับบ้านไปเลยไป เราจะเข้าบ้านแล้ว”


                ฮะ? ซินอ้ะ อยากรู้หน่อยดิวะ โห่... ไร้เยื่อใยเกินไปแล้ว


                “ไม่อยากรู้จริงดิ”


                “เดี๋ยวถามป๊าก็ได้”


                “ป๊าไม่บอกหรอก”


                “กลับบ้านไปนัทไป รีบๆไปเลย”


                “ไล่ใหญ่เลยนะ ถ้ารถคว่ำตายไปอ่ะ จำไว้ว่านี่คือคำสุดท้ายที่ได้คุยกัน”


                “เออ แช่งเข้าไปตัวเองอ่ะ จะได้ตายจริงๆ”


                โธ่เอ๊ย ถ้าไอ้นัทคนนี้ตายขึ้นมาจริงๆแล้วจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง ไม่อยากจะพูด


                ผมก้าวขาขึ้นนั่งคร่อมรถ กอดหมวกกันน็อคเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองหน้าซิน นักร้องของผม ปากแข็งก็เท่านั้น ขี้โมโหก็เท่านั้น แถมบทจะดื้อขึ้นมาก็ไม่ฟังใคร นิสัยเก่าๆยังเหมือนเดิม ปากบางที่ชอบยื่นออกมาเวลาไม่พอใจ ตาโตๆที่ชอบหรี่มองกันเวลาจับผิด แถมยังมือหนักอีกต่างหาก แต่ทั้งหมดที่พูดมานี่รวมกันแล้วยังไม่เท่าความน่ารักที่เขามีเลย


                “มองบ้าอะไร ยิ้มอยู่ได้ ประสาท” ด่าไปเขินไปคืออะไรครับ ^^


                “ซิน มานี่หน่อย” ผมกวักมือเรียกเขาให้เข้ามาใกล้ๆ แต่ซินกลับไม่ยอมขยับตัว


                “มาหานัทหน่อยนะครับ นะครับคนดี” เห็นมั้ยครับ พอพูดดีๆเข้าหน่อยก็ว่าง่ายแล้ว ผมมองซินเดินกอดอกเข้ามาหาผมช้าๆด้วยรอยยิ้ม


                “อะไรติดขนตาซินก็ไม่รู้ ขอนัทดูใกล้ๆหน่อย” ซินมองหน้าผมนิดๆ แต่ก็ยอมยื่นหน้าเข้ามา


                “หลับตาลงสิ เดี๋ยวเอาออกให้” ทันทีที่ซินหลับตา คนเจ้าเล่ห์ก็ประกบจูบลงไปเบาๆ สัมผัสนุ่มนวลราวกับขนนก...ซินยังหวานเสมอครับ


                ผมรู้ว่าซินรู้ ที่ผมจะทำแบบนี้ แต่เขาแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้ต่างหาก เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่านักร้องของผมน่ารัก


                อย่าอิจฉาสิครับ ไม่ดีนะ ^^   
   

TBC.
....
ใครจำได้บ้างว่าไอ้น้องกัสได้รายเซ็นอะไรไปปป
ใครจำได้ ขอให้ได้พี่ซินไปนอนกอดหนึ่งคืนนนน
เถียงสู้กับพี่นัทเอานะคะ ฮ่าๆ (ไม่มีคนตอบคำถามไรท์เลย T^T)
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่าาา
รักคนอ่านทุกคนค่า
เจอกันตอนหน้า คืนนี้นอนหลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
เราจำได้นะ
นี่น้องกัสเค้าฟินกับคำนั้นจริงๆหรอ
เป็นเรานี่ อาจช็อคไปสองนาทีนะ
หึหึ
ยินดีด้วยค่ะพี่นัท ผ่านด่านที่1 ได้อย่างสวยงาม
ขอบคุณความโชคดี 55+
 ปล. พี่ซินน่ารักมากกกก จริงๆ
อิจฉาพี่นัท มากๆ
#อย่ามาห้ามให้อิจฉานะ #ทำไม่ได้ #55+

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ toshika

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 819
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
ชอบคุณป๊า โหดได้ใจ

พี่ศลป.ก็น่ารักเกินจะทนไหว พี่บอดี้การ์ดสู้ๆนะ  :mew1:

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
10

((โฟโต้บุ๊ค))

 

                เช้าวันนี้ตื่นมาพร้อมกับสายฝนโปรยปราย อากาศเย็นกำลังดีเลยครับ แต่เพราะว่าฝนตกเลยไม่ได้ขับไอ้ลูกชายคู่ใจออกมา ต้องเปลี่ยนเป็นรถยนต์ที่มีหลังคาคุ้มกะลาหัวแทน ฝนตกนิดหน่อยก็ทำให้เมืองกรุงรถติดได้ครับ เป็นความสามารถเล็กๆน้อยที่น่าภูมิใจ (?) ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่ติดไฟแดงอยู่ เห็นคนสองคนเดินกุมมือกันข้ามถนน ใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม มันจะไม่แปลกเลยถ้าเขาทั้งสองคนไม่ใช่ผู้ชาย


                ผมมองเห็นสายตาจากคนรอบข้างพวกเขา บางคนมองแปลกๆ บางคนมองแล้วก็ผ่านเลยไป บางคนมองแล้วก็ยิ้มตามเหมือนผมตอนนี้ ความรัก ทำให้โลกมีความสุขเสมอครับ เพียงแต่คุณจะเก็บเอาสิ่งรอบด้านมาเป็นทุกข์แค่ไหนเท่านั้นเอง ดูอย่างเขาสองคนสิ เดินจับมือกันไม่เห็นจะอายใคร จะอายทำไมกับคนที่เจอกันแค่ครั้งเดียว


                สักพักสัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว ผมก็เคลื่อนตัวรถออก เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ทำให้ผมต้องละสายตาจากท้องถนนไปคว้ามันขึ้นมาดู คุณโอ๊ตครับ


                “ครับ”


                (แวะรับซินด้วยนะ)


                “ครับ”


                โทรมาบอกแค่นั้นแหละ อันที่จริงผมก็จะแวะไปรับซินอยู่แล้ว เพราะเมื่อเช้าเขาโทรมาบอกว่าป๊าติดธุระ ไปส่งไม่ได้ สักพักก็มาถึงบ้านซิน เจ้าตัวคงเห็นเลยเดินกางร่มออกมาพอดี ผมก็เอื้อมมือไปเปิดประตูข้างคนขับให้เขา ซินจึงหุบร่มและก้าวเข้ามา             


                “นึกว่าจะได้แว้นมอเตอร์ไซค์ซะอีกนะเนี่ย”


                “ใครจะยอมให้ศิลปินที่รักตากฝนล่ะครับ ไม่สบายขึ้นมารายได้หดหมดพอดี”


                “อ้อ คิดแค่นั้น”


                ผมยิ้มก่อนจะหันไปมองคนตัวบาง วันนี้ก็น่ารักอีกแล้วครับ เสื้อเชิตสีฟ้ากับกางเกงยีนสีซีด


                “วันนี้อย่ายิ้มบ่อยนะ” ผมบอกเขาด้วยหน้านิ่งๆ ซึ่งซินก็หันมามองงงๆ


                “อะไร”


                “บอกว่าอย่ายิ้มบ่อย”


                “ทำไมอ่ะ”


                “เดี๋ยวน่ารักเกิน หวง” ฮ่าๆ พูดมันหน้าด้านๆแบบนี้แหละครับ


                “ไอ้บ้า” ด่าแต่ก็ยิ้มนะครับ ชอบล่ะซี่


                เช้าที่เริ่มต้นด้วยรอยยิ้มจะทำให้วันนี้สดใสไปทั้งวัน เพราะฉะนั้นยิ้มกันเยอะๆนะครับ โลกจะได้สดใส โดยโชติวุฒิ พรีเซ็นเตอร์ยาสีฟันครับ         


                พอเรามาถึงบริษัทฝนก็หยุดตกแล้วครับ ขึ้นไปที่ห้องก็เจอคุณโอ๊ตรออยู่ กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ครับ เรื่องงานวันนี้แหละ


                คุณโอ๊ตหันมาพยักหน้าให้นิดหนึ่งก่อนจะหันไปคุยโทรศัพท์ต่อ ซินก็เดินไปนั่งที่โซฟาที่ประจำของเขาแหละครับ ผมก็ตามไปยืนอยู่ใกล้ๆ ดูท่าทางจะมีปัญหานิดหน่อยครับ จากที่ฟังๆ ดูเหมือนช่างภาพที่นัดกันไว้จะเบี้ยว งานวันนี้คือการถ่ายโฟโต้บุ๊คโครงการอนุรักษ์สัตว์ รายได้จากการขายโฟโตบุ๊คเล่มนี้จะบริจาคให้กับโครงการอนุรักษ์สัตว์ทั้งหมดครับ เป็นโครงการการกุศลที่ซินยินดีถ่ายเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทางเราต้องเดินทางไปที่สตูดิโอที่เตรียมไว้ แต่ดูเหมือนว่าช่างภาพจะมาถ่ายไม่ได้ ทีนี้ก็ต้องหาคนมาแทนแหละครับ


                ผมหันหน้าไปมองซินเมื่อเห็นทางหางตาว่าเขากำลังมองผมอยู่ ซินทำท่าจับเนคไททั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ใส่ หือ...


                เนคไทเบี้ยว ผมอ่านปากซินที่พูดแบบไร้เสียง ได้ความว่าแบบนั้น ก็เลยก้มมองเนคไทตัวเอง แต่มันมองไม่เห็นนี่ครับ แถวนี้ไม่มีกระจกให้มองซะด้วย เลยไม่รู้ว่าเบี้ยวยังไง ซินเลยกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปใกล้ๆ ผมก็เดินเข้าไปหาเขา และก้มลงให้สายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน ก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมมาจัดเนคไทให้


                ยิ้มหน้าบานเลยครับผม


                “อะแฮ่ม” แต่แล้วเสียงกระแอมไอจากคุณโอ๊ต ก็ทำให้ผมยืดตัวตรงในทันที ซินเองก็ถอยหลังไปพิงโซฟาแทบไม่ทัน


                “ไปกันได้แล้ว” คุณโอ๊ตหันมามองพวกผมสักพัก ก่อนจะเดินออกจากห้องไปก่อน ผมคิดไปเองหรือเปล่านะว่า สายตาคุณโอ๊ตที่มองมามันแปลกๆไป


                ...ไม่หรอก... ผมอาจจะคิดไปเอง


                ไม่นานก็มาถึงสตูดิโอครับ ทีมงานเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งฉาก และสถานที่ ซินกำลังไปแต่งตัวครับ และช่างภาพที่จะมาแทนก็กำลังเดินทางมา ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไร และทุกอย่างน่าจะผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย


                แต่ ผมกำลังมีปัญหาครับ... การถ่ายครั้งนี้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์ ก็จำเป็นต้องมีสัตว์ในภาพด้วยใช่มั้ยครับ และนายแบบนางแบบที่จะมาถ่ายร่วมกับซินวันนี้คือ


                ...สุนัข หรือหมานั่นเอง


                ทุกคนอาจจะงงว่าแล้วมันเป็นปัญหายังไง คือว่าอย่างนี้ครับ บังเอิญว่าผมพูดภาษาหมาได้ ...ห้ะ? ไม่ใช่ๆ จะว่ายังไงดี ผมค่อนข้างสนิทกับหมามากครับ แต่ผมก็ไม่เข้าใจนะว่าเพราะอะไร เวลาไปไหน ถ้าเจอ พวกมันก็จะชอบเข้าหา ผมก็เคยเลี้ยงหมานะ แต่ตอนนี้ไม่แล้วครับ มันป่วยตายไปแล้ว ผมก็เลยสงสัยว่าคนที่เลี้ยงหมาทุกคนเป็นแบบนี้หรือเปล่า 


                เพราะฉะนั้นตอนนี้ ไม่ว่าผมจะเดินไปทางไหน ผมมีลูกสมุนเดินตามเป็นขบวนเลยครับ มีทั้งไซบีเรียนฮัสกี้ ปอมเมอเรเนียน โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ เชาเชา บางแก้ว และอีกสารพัด หลายตัวมากครับ เรียกได้ว่าเป็นฝูง พวกมันก็มีคนดูแลนะ ดูเหมือนว่าจะมาจากฟาร์มเดียวกัน แต่มันกลับมาล้อมหน้าล้อมหลังอยู่กับผมเนี่ย อย่างสงบเงียบด้วย ไม่มีการเห่าเสียงดังหรือทะเลาะกันให้หนวกหู แปลกมั้ยครับ


                ไอ้คนกำลังจะยืนเก๊กมาทบอดี้การ์ดอยู่ดีๆ กระโดดมาเลียมือกันซะงั้น และเมื่อตัวหนึ่งนำอีกหลายตัวก็ตาม กลายเป็นว่าผมกำลังโดนรุม โอ้ววว เสียงเห่าเริ่มดังเอะอะไปหมด ทุกสายตาหันมาทางผมทันที


                “เฮ้ยๆ นัท เป็นไรเปล่า ฮะๆ ดูท่าหมาจะชอบนายนะ เห็นเดินตามไม่ปล่อยเลย” ผมที่กำลังพยายามฝ่าฝูงหมาออกมาอย่างทุลักทุเลมองหน้าคุณโอ๊ต 


                “เอามันไปเก็บได้มั้ย ผมทำงานไม่สะดวกเลย”


                “เห็นคนดูแลเขาว่าไม่อยากขังมัน เดี๋ยวมันจะเครียดก่อนถ่าย เอาเป็นว่านายก็ดูๆพวกมันไปก่อนนะ” พูดจบคุณโอ๊ตก็เดินผ่านไป เฮ้ย ผมเป็นบอดี้การ์ดนะ ไม่ใช่คนดูแลหมา - -


                ผมหันลงมาดุพวกมันที่พยายามจะงับมือผมให้ได้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกที ซินเดินออกมาจากห้องแต่งตัวพอดีครับ...ผมยาวลอนถูกจัดให้เป็นทรงสวย ดันใบหน้าหวานให้ยิ่งโดดเด่น ชุดที่ใส่วันนี้ก็เหมาะกับเขามากครับ น่ารักมากจนแถบไม่อยากจะถอนสายตาเลย ซินเดินออกมาก่อนจะเจอกับใครคนหนึ่งที่เพิ่งจะเข้าสตูดิโอมาพอดี เขาสองคนมองหน้ากันอย่างตกใจ ก่อนที่อีกคนจะรีบเดินเข้าไปใกล้ซิน


                ผมอยู่ไกลมากครับ เลยไม่ได้ยินว่าเขาสองคนพูดคุยอะไรกัน แต่ดูท่าทางว่าจะสนิทกันมากครับ เพราะใครคนนั้นคว้าซินเข้าไปกอดหลวมๆ และซินเองก็ยิ้มตอบรับ มือผมเผลอกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ก็บอกแล้วไงว่าอย่ายิ้มบ่อยน่ะซิน


                ผมเบือนหน้าออกจากภายนั้นทันที ก่อนที่ใครสักคนตะโกนบอกทีมงาน


                “ช่างภาพมาแล้ว เตรียมทุกอย่างให้พร้อมเลย ซินเชิญทางนี้เลยครับ”


                ช่างภาพ... ไอ้หมอนั่นน่ะเหรอ ผมมองตามคนตัวสูงที่เดินเคียงคู่กับซินไปหาเจ้าของโครงการ พูดคุยกันเรื่องคอนเซ็ปต์ของงานนี้ ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนสนิทกันมากขนาดนั้นด้วยนะ ไม่เห็นต้องยิ้มให้กันขนาดนั้นเลย


                “เอ่อ ขอโทษนะครับ” ผมถอนสายตากลับมาที่ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาทักผม เขาดูท่าทางลำบากใจนิดหน่อยนะ ดูจากสีหน้าแล้ว


                “ครับ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”


                “คือเราจะพาพวกมันไปที่ฉากครับ แต่มันไม่ขยับเลย ยังไงคุณช่วยหน่อยสิ” ผมมองมือเขาที่พยายามจะจูงพวกหมาๆให้ไปด้วย แต่พวกมันก็ไม่ขยับจริงๆนั่นแหละ ยังคงยืนมองหน้าผมกันตาแป๋ว


                เอ่อ... แล้วผมควรทำไงวะครับ


                “แล้วจะให้ผมช่วยยังไงครับ” ผมเองก็มองพวกมันอย่างงงๆ


                “ลองขยับตัวสักนิด” งงสิครับ จะให้ผมขยับตัวไปไหนล่ะ


                ผมก็เลยลองขยับตัวไปทางซ้าย พวกมันก็เดินตาม ไปทางขาว พวกมันก็เดินตามมาอีก ชักจะไม่ค่อยดีแล้วครับแบบนี้ ผมเลยต้องมองคุณผู้ดูแลหมาอย่างขอความช่วยเหลือ พวกมันต้องการอะไรจากผมครับ! ผมไม่มีเนื้อนะ ไม่ได้ขายอาหารหมาด้วย ตามผมทำไม!!


                “เอ้า พาหมาเข้าฉากได้แล้ว เซ็ตฉากพร้อมแล้วครับ” เราสองคนมันหน้ากันสบตาปิ๊งๆ เอาไงล่ะครับ


                “พามันไปสิครับ” ผมเองก็เร่งผู้ดูแลที่ยืนเกาหัวแกรกๆ เอามันไปทีครับ เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆพิกล


                “มีอะไรรึเปล่า พาพวกมันมาสิครับ” ทีมงานหันมาเร่งเราอีกรอบ ซินเลยหันมามองทางนี้ ใบหน้าหวานเลิกคิ้วทันทีที่เห็นว่าผมก็อยู่ตรงนี้ด้วย ผมก็ยิ้มนิดๆให้เขาก่อนที่จะหุบยิ้มลงเมื่ออีกคนด้านข้างซินหันมาเหมือนกัน เราสบตากันแป๊บนึง ก่อนที่เขาจะเมินผมไป หึ


                “คุณพามันเดินไปได้มั้ยครับ เดินไปด้วยกัน”


                ผมเลยจำเป็นต้องพาพวกสมุนไปส่งที่หน้าฉาก ซึ่งพวกมันก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี เอากับพวกมันสิ ยังกับว่าผมเป็นคนคลอดพวกมันออกมาอย่างนั้นแหละ คุณผู้ดูแลก็จับมันมารวมกัน ซินก็เดินมายืนตรงกลางพวกมัน ก่อนจะมองผมขำๆ ผมจึงแกล้งทำเมินเขาหันหน้าหนีไปอีกทาง ซินเหวอไปเลยครับ หึหึ สมน้ำหน้า


                แต่พอผมหันหลังกลับไอ้พวกหมาเจ้ากรรมมันก็จะวิ่งตามผมมาด้วย ดีที่คุณผู้ดูแลสองสามคนดึงปลอดคอพวกมันไว้ก่อน ทีนี้การประสานเสียงก็เริ่มขึ้นครับ ทุกตัวพากันเห่าเสียงดังไปหมด สองสามตัวที่หลุดมือคนดูแลวิ่งเข้าใส่ผม วุ่นวายสิครับงานนี้ เอะอะโวยวายกันไปหมดทีเดียว


                ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลงเมื่อผมรีบเดินเข้าไปใกล้ๆพวกมัน ทุกคนพากันมองมาที่ผมเป็นตาเดียว อย่ามองผมแบบนี้สิครับ ผมไม่ได้อยากทำตัววุ่ยวายเลยนะ ไม่ได้ต้องการขัดขวางการทำงานเลยด้วย ._.


                ไอ้หมาบ้าพวกนี้แหละ! ยังมีหน้ามามองอีก เดี๊ยะ จับทำเนื้อแดดเดียวให้หมด


                “ดูท่าไอ้เจ้าพวกนี้จะหลงเสน่ห์พ่อหนุ่มคนนี้ซะแล้วสินะ” คุณวิรัตน์เจ้าของโครงการเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะจ้องหน้าผม ผมก็พยายามถอยออกนิดหนึ่งแบบไม่ให้น่าเกลียด เพราะใกล้ๆขนาดนี้จูบกันได้เลยครับ ผมจะไม่อะไรเลยถ้าเขาไม่ใช่ผู้ฉิง หรือก็คือผู้ชายที่ไม่ใช่ผู้ชาย เข้าใจใช่มั้ยครับ แบบนั้นอ่ะ... แต่ไม่ใช่แบบซินนะ บอกไม่ถูก ไม่ใช่รังเกียจนะครับ แต่กลัวอ่ะ…


                “เอ่อ ขอโทษครับ ถ้างั้น เดี๋ยวผมออกไปข้างนอกดีกว่า จะได้ไม่รบกวนการถ่าย” ผมก้มหัวขอโทษก่อนจะเดินออกมา แต่มีมือปริศนาจับเอวผมเอาไว้ก่อน


                โอ้ มาย ก็อด.. จับได้ครับ แต่กรุณาอย่าลูบ ขนมันลุก อย่างอื่นมันจะลุกตาม เฮ้ย! ไม่ใช่และ ผมค่อยๆหันกลับมาแบบสโลโมชั่น ค่อยๆเอี้ยวตัวหลบมือนั้นแบบมีมรรยาท ก่อนที่มือนั้นจะเลื่อนมาเชยคางผมขึ้นแทน โอ้...


                “หล่อ มีเสน่ห์ อืม... มีแววนะ เอางี้ดีกว่า ฉันมีความคิดดีๆแล้ว แวว มานี่หน่อยสิ” คุณวิรัตน์หันไปเรียกผู้ช่วยก่อนจะยืนซุบซิบกันอยู่สองคน


                ทุกคนมองหน้ากันอย่างงงๆ แต่คงที่งงที่สุดคือไอ้นัทคนนี้ครับ ไม่ได้งงอย่างเดียว แต่เสียวสันหลังแปลกๆอีกต่างหาก


                “เดี๋ยวเราเพิ่มนายแบบอีกคนนะคะ น้องนัทใช่มั้ยคะ สะดวกมั้ยเอ่ย” แวว ผู้ช่วยคุณวิรัตน์เดินมาบอกกับทุกคน ไปรู้ชื่อผมตอนไหนวะ


                ฉิบหายอย่างจริงจังแล้วครับ ผมรีบหันไปหาคุณโอ๊ตอย่างขอตัวช่วยทันที


                “เอ่อคืองี้ครับ นัทเนี่ยเป็นบอดี้การ์ดให้ซินอยู่ครับ ไม่เคยถ่ายแบบมาก่อนเลยในชีวิต ผมคิดว่า...”


                “ไม่เป็นไรค่ะ ในเมื่อเจ้าหมาพวกนี้ติดเขาขนาดนี้ ก็น่าจะร่วมมือในการถ่ายมากขึ้น ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเสียเวลาค่ะ เดี๋ยวฉันต้องจ่ายให้แน่นอนอยู่แล้ว” คุณวิรัตน์เริ่มชี้แจง เอ่อ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นครับ ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่...


                “นะจ๊ะ พ่อสุดหล่อ อย่าปฏิเสธเลย ถือว่าช่วยงานบุญเถอะนะจ๊ะ อีกอย่าง เราจะได้เริ่มถ่ายกันสักที”


                “เอ่อ” ปฏิเสธไม่ออกเลยทีเดียวครับ คุณโอ๊ตเลยเดินเข้ามาหาผม


                “ไหวป่ะ”


                “ไม่ค่อยครับ”


                “ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ะ อีกอย่างนี่งานบุญด้วย เดี๋ยวเขาจะหาว่าบริษัทเราเรื่องมากอีก ถือว่าช่วยหน่อยแล้วกันวะ นะ” ไอ้ผมก็ต้องพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้นี่ล่ะครับ


                “โอเค งั้นพาน้องนัทไปแต่งตัวเลยแวว น้องซินไม่ว่าอะไรนะคะ ถ้าจะมีนายแบบเพิ่มอีกคน” คุณวิรัตน์หันไปหาซิน ซึ่งผมก็ถูกพาเดินออกมาแล้วครับ แต่ก็ได้ยินเสียงซินตอบตามมาแว่วๆ


                “ครับ ซินไม่มีปัญหา ยังไงก็ได้ ขอให้งานออกมาโอเคก็พอแล้วครับ”


                และผมก็โดนพาไปเชือดครับ...


                ในที่สุดผมที่โดนจับแต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อยครับ ไอ้ผมมองตัวเองก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างจากเดิมตรงไหนเลยวะ ต่างก็แค่เสื้อผ้าที่ใส่เท่านั้นเอง ชุดสูทสีดำถูกถอดออกไปหมดแล้วครับ แทนที่ด้วยเสื้อยืด ที่มีลายเดียวกับซินเปี๊ยบคลุมทับด้วยเสื้อแจ็คแก็ตหนังสีดำ กับกางเกงยีดขาเดฟสีน้ำเงินเข้ม เท่มั้ยไม่รู้ รู้แต่ประหม่ามากครับ เดินเซแล้วนะ คิดดูเถอะ


                “น้องนัทมาทางนี้ค่ะ” คุณวิรัตน์เรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้ๆ ที่ด้านข้างก็มีซินกับไอ้คนนั้นก็อยู่ด้วยครับ ซินหันมาผมมองก่อนจะนิ่งไปสามวิ ไม่รู้ว่าตะลึงในความหล่อหรือกำลังกลั้นหัวเราะกันแน่ หึหึ ไม่ห่างเลยนะ ยืนชิดกันตลอดเลยนะครับ...


                ผมมองหน้าซินที่กำลังยิ้มให้นิ่งๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะหุบยิ้มไปเพราะผมไม่ยิ้มตอบ ให้มันรู้ซะมั้งว่าไอ้นัทก็หยิ่งเป็นครับ


                “เดี๋ยวน้องนัทไปยืนกับซินตรงนั้นนะคะ แล้วก็...” แล้วทีมงานเขาก็อธิบายนู่นนี่นั่นไปครับ ผมก็ฟังมั่งไม่ฟังมั่ง เพราะกำลังมองซินอยู่ ไม่รู้ว่ามีเรื่องคุยอะไรกันนักกันหนา เห็นคุยกันไม่จบไม่สิ้นสักทีกับไอ้ตากล้องนั่นน่ะ


                “น้องนัท น้องนัทคะ ฟังอยู่รึเปล่าคะ” หืม ฟังอะไรคะ เอ้ยไม่ใช่ ฟังอะไรนะครับ ไปหมดละสมงสมอง


                ผมถอนสายตาจากซินมาหาพี่ทีมงานแทน


                “ว่าไงนะครับ”


                “เดี๋ยวเข้าเฟรมได้เลยค่ะ”


                “ครับๆ”


                ผมก็เดินเข้าไปยืนตรงที่เขาทำเครื่องหมายไว้นั่นแหละครับ


                “เอ้า จะเริ่มถ่ายแล้วครับ เงียบหน่อยครับ”

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
                ไอ้ตากล้องก็เดินไปประจำที่ ซินก็เดินเข้ามาหาผม พวกหมาๆก็ลายล้อมอยู่รอบๆเรานี่แหละครับ เราก็ถ่ายกันไปเรื่อยๆ ไม่ยากอย่างที่คิดครับ เพราะแลดูหมาพวกนี้จะเชื่อฟังผมซะเหลือเกิน ผมขยับมันก็ขยับ น่ารักดี แต่ไอ้คนข้างๆนี่เริ่มจะไม่น่ารักแล้ว เพราะไม่ยอมคุยกันผมสักคำเดียว


                ไอ้ตากล้องก็สั่งนู่นสั่งนี่จังวะ เริ่มหงุดหงิดแล้วนะ ไหนใครบอกถ้ายิ้มตอนเช้าแล้วจะยิ้มทั้งวันไงวะ แม่งมั่วนี่หว่า


                “นัทครับ ยิ้มหน่อยสิครับ ถ่ายรูปงานบุญนะครับ ไม่ใช่งานศพ” ดูความกวนตีนของมันนะครับ ผมนี่อยากมีเรื่องขึ้นมาทันที


                โอเค ได้ ถ้าอยากให้ยิ้มเดี๋ยวจัดให้เลย ผมรีบเดินเข้าไปใกล้ๆซินก่อนจะกอดคอเขาในทันที ซินตัวแข็งไปเลยครับ


                “นัท ทำอะไรเนี่ย” ปากบางกัดฟันถามผม


                “ถ่ายรูปไงครับ ยิ้มหน่อยเร็ว” ผมหันไปยิ้มให้เขาซึ่งซินก็มองตาเขียวกลับมา


                “นัท กลับไปยืนที่เดิมดีกว่ามั้ย” ไอ้ตากล้องนั่นตะโกนมาครับ ผมเองก็เลยต้องปล่อยออก เพราะคนมองอยู่เยอะ ไม่ดีถ้าจะออกนอกหน้ามากนัก


                “ลองหันหน้าคุยกัน อะไรก็ได้ คุยเรื่องยิ้มๆหัวเราะๆด้วยจะดีมากเลย” สั่งเป็นขี้มูกเลยครับ แต่ผมชอบคำสั่งนี้นะ


                ผมเลยรีบเดินเข้าไปใกล้ซินทันที พูดค่อยๆให้ได้ยินกันแค่สองคน


                “น่ารักจังครับ มีแฟนรึยัง จีบได้มั้ยเอ่ย” ผมพูดไปยิ้มไป แต่ซินนี่หน้าหงิกแล้ว


                “ยิ้มหน่อยสิคะ อย่าทำหน้าบูด ไม่น่ารักเลย” ผมก็แหย่เขาต่อไป ซินเลยยื่นมือมาหยิกผมจากด้านหลัง ก่อนจะยิ้มมาอย่างฝืนๆ เจ็บจี๊ดเลยครับ


                “น้องซินครับ ยิ้มหน่อยครับ ทำหน้าบูดไม่น่ารักเลย ดีครับ สวยมากเลย ยิ้มอีกนิดนะครับ น่ารักมากครับ” แม่งก็ชมแต่น้องซินแหละครับ ดูจากที่มันโฟกัสแล้ว ผมน่าจะเป็นหมาประกอบฉากอีกตัว ไอ้น้องซินนี่ก็ยิ้มจัง ทีผมบอกให้ยิ้มกลับทำหน้าบูดนะ ใช่สิ คำพูดผมมันไม่มีความหมาย


                “เซตนี้โอเคครับ” เสร็จสักที เฮ้อ! ผมเดินออกมาจากตรงนั้นทันที


                “โอเคค่ะ นายแบบเปลี่ยนชุด”


                นั่นแหละครับ เราก็ทำแบบนี้อยู่ไปมาสามสี่รอบ เปลี่ยนชุดโน้นเป็นชุดนี้ ถ่ายตรงนู้นทีตรงนี้ที ฉากสวยนะครับ น้องหมาก็น่ารัก พี่ทีมงานก็โอเคเลย คุณโอ๊ตก็เดินมาให้กำลังใจผมบ่อยๆ ส่วนผมก็โดนคุณวิรัตน์แทะโลมไปบ้างเล็กน้อย เดี๋ยวจับเดี๋ยวลูบ จนถ่ายเสร็จนั่นแหละ เข็ดไปจนวันตายครับงานนี้


                ส่วนไอ้ตากล้องก็ น้องซินอย่างนู้น น้องซินอย่างนี้จนหน้าหมั่นไส้ ตอนนี้ซินไม่เข้าใกล้ผมเลยครับ ไม่แม้แต่จะเดินเฉียดมาเลย


                “ขอบคุณมากนะคะสำหรับงานนี้ เยี่ยมมากๆเลยค่ะ ขอบคุณคุณดิวด้วยนะคะที่มาเป็นช่างภาพให้วันนี้ ถ้าไม่ได้คุณดิวนี่พวกเราคงแย่มากๆแน่เลย ขอบคุณน้องซินด้วยนะคะ ประทับใจมากเลย โดยเฉพาะน้องนัท ไม่สนใจอาชีพนายแบบจริงๆเหรอคะ พี่แนะนำให้ได้นะ” คุณวิรัตน์เธอก็ขอบคุณคนนู้นคนนี้ก่อนจะมาจบที่ผม เอ่อ...


                “ไม่ครับ ไม่เป็นไร เป็นบอดี้การ์ดน่าจะดีกว่า”


                “แหมเสียดายจัง เอาเป็นว่า วันนี้ขอบคุณมากๆค่า”


                หลังจากนี้ก็มีเสียงขอบคุณตอบรับกันจากคนนู้นคนนี้ครับ ผมเองก็เดินกลับมายืนที่มุมสตูดิโอตามเดิม บอกตรงๆว่าตอนนี้อารมณ์ไม่มีดีแบบสุดๆ ปั้นหน้ายิ้มได้นี่ก็เก่งมากๆแล้วครับ ผมมองซินเดินเข้าไปปหาไอ้ตากล้องที่ชื่อดิวนั่นอีกรอบ คุณโอ๊ตก็เดินมาหาผมพอดี


                “เฮ้ย เป็นไง เห็นแล้วเสียวตูดแทนเลยว่ะ” คุณโอ๊ตเดินมาตบไหล่ผมเบาๆก่อนจะหัวเราะ


                “ขอบใจมากๆ อ่ะนี่ ค่าเหนื่อย” ผมรับซองสีขาวมาจากคุณโอ๊ตก่อนจะเปิดออกดู เงินครับ


                “จะดีเหรอพี่ อันที่จริงผมก็ไม่ได้ทำไรเลยนะ ไม่ใช่คนดังด้วย เดี๋ยวจะทำให้โฟโต้บุ๊คเขาขายไม่ออกซะเปล่าๆ ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างผมก็ได้มั้ง”


                “เฮ้ย ไม่ได้ เขาจ่ายให้นาย รับไปเหอะ ถือว่ารับจ็อบ”


                “โห มันจะเป็นจ็อบที่ชาตินี้ไม่ขอรับอีกเลย เข็ดยันตาย” คุณโอ๊ตก็หัวเราะกับคำพูดผมเบาๆ


                “ไป กลับกัน” ว่าแล้วแกก็กอดคอผมลากเดินตามแกไป


                ผมคิดไปเองจริงๆเรื่องสายตาแปลกๆของคุณโอ๊ต เพราะแกก็ยังเป็นกันเองกับผมเหมือนเดิมครับ เราสามคนเดินกลับมาที่รถซิน โดยที่มีอีกคนเดินตามมาด้วย...


                “ซิน ซิน” เสียงเรียกตามหลังมาทำให้คนตัวบางหยุดและหันไปมอง ผมจึงต้องหยุดด้วย ส่วนคุณโอ๊ตเดินคุยโทรศัพท์ไปนู่นแล้วครับ


                “นี่เบอร์ติดต่อพี่ พี่ขอเบอร์ซินหน่อยสิ เอาไว้ติดต่อกัน เพื่อจะชวนไปกินข้าว”


                ปึ้ด!


                ได้ยินเสียงเส้นเลือดในสมองผมแตกมั้ยครับ ตัวนี่เกร็งแบบไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ผมมองซินที่เดินเข้าไปรับกระดาษใบเล็กๆนั้นมา ก่อนจะกดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงบนมือถือของดิว ไม่พอใจมากๆครับ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะฐานะผมตอนนี้เป็นแค่บอดี้การ์ด ทำอะไรมากไปกว่าการยืนรอไม่ได้จริงๆครับ


                “ไว้เดี๋ยวพี่จะโทรไป”


                “ครับ ไว้เจอกันครับ”


                เออ ไปได้สักที จะดีมากถ้าขากลับมันรถคว่ำตาย พร้อมมองตามหลังไอ้พี่ดิวนั่นไป พร้อมกับสาปแช่งในใจไปด้วย หึหึ 


                “นัท” ก่อนจะดึงสายตากลับมาที่ซิน


                “เป็นอะไร วันนี้แปลกๆนะ”


                “เปล่า”


                “ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร เพราะเราเองก็ไม่อยากรู้เหมือนกัน” พูดจบนักร้องของผมก็เดินผ่านผมไปเลย


                หึ หวังอะไรจากซินล่ะครับ พูดแค่สิ่งที่อยากพูดเท่านั้นแหละ อะไรไม่จำเป็นหรือคิดว่าไม่ต้องพูดก็จะไม่พูด แล้วผมมีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องล่ะครับ


                โอเค ยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่าตอนนี้ผมกำลังงี่เง่า มากด้วยครับ แค่เพราะซินคุยกับไอ้หมอนั่นนั่นแหละ ผมไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อน ตั้งแต่สมัยก่อน ผมไม่เคยเห็นซินสนิมกับคนไหนมากเท่านี้ นอกจากเพื่อนที่มหาลัย หรือเพื่อนสนิทจริงๆซึ่งนั่นก็มีไม่มาก และผมคิดว่าผมรู้จักหมด แต่คนนี้ไม่เลยครับ


                หรือว่าเขาจะเข้ามาตอนที่เราห่างกัน...


                คำพูดของป๊าซินแว๊บเข้ามาในหัวผมทันที


                ‘ในระหว่างที่นายไม่อยู่ ซินอาจจะปันใจไปให้คนอื่นแล้วก็ได้’


                หรือว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองหลังบางๆของคนที่เดินห่างออกไปไกลแล้ว


                ไม่มีทาง... ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก


                ผมสะบัดหัวตัวเองเบาๆก่อนจะเดินตามซินไป


                เรากลับมาบริษัทอีกรอบ เพราะผมต้องมาส่งคุณโอ๊ตก่อน และไปส่งซินที่บ้าน ซึ่งเจ้าตัวเขาก็บอกว่าจะมาเอาของเหมือนกัน ผมก็ไปเอารถมารอที่หน้าบริษัท เอารถผมไปส่งเลยครับ จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา รออยู่สักพักคนตัวบางก็เดินออกมา ผมเลยลงไปเปิดประตูให้เขา ซินก็เดินเข้ามานั่งแต่โดยดี


                “เดี๋ยวไปส่งที่ห้าง...นะ” ผมส่องกระจกมองหลัง มองหน้าเขาทันที


                “ไปทำอะไร ไปเป็นเพื่อนมั้ย”


                “ไม่ต้อง เรามีนัด”


                “นัดอะไร กับใคร” เผลอถามเสียงแข็งออกไปซะแล้วครับ ซินหันมามองผมตาขวางทันที


                “เรื่องของเราหรือเปล่า ว่าจะไปกับใคร”


                ผมนี่ตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทางแทบไม่ทัน ขับต่อไปอาจจะฝ่าไฟแดงตายได้ครับ


                “ซิน โอเค...ขอโทษ วันนี้ฉันหงุดหงิด คุยกันดีๆก่อน นายจะไปไหน” ผมยอมลงให้เขาก็ได้ ยอมทำใจให้สงบ โอเคครับ ยอมแล้ว ผมงี่เง่าเองจริงๆ


                “เมื่อตะกี้พี่ดิวโทรมาชวนไปกินข้าว”


                !!! ทำไมต้องไอ้พี่ดิวนี่อีกแล้ววะ อุตส่าใจเย็นลงแล้วนะ อุตส่าพยายามไม่คิดอะไรมากมายแล้วด้วย แต่ทำไมจะต้องไปไหนด้วยกันด้วยล่ะ...


                ใจเย็นๆ ไอ้นัท เชื่อใจซินสิวะ อย่าพึ่งให้อารมณ์มาบังเหตุผลไปจนหมดสิ คุยกันดีๆ พูดกันให้รู้เรื่องก่อน


                ผมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง ก่อนจะผ่อนออกมาแรงๆ แม่งไม่ได้ช่วยอะไรเลย


                “ทำไมต้องไปด้วยกันด้วยล่ะ” พยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุดครับ


                “เขาเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัย สนิทกัน”


                “สนิทกันตอนไหน”


                “ถ้าจะใช้เสียงแบบนี้ก็ไม่ต้องคุยกัน” ซินหันมาสะบัดเสียงใส่ผมก่อนจะตีหน้ายุ่ง


                อ๊ากกก ไอ้นัทอยากตายยยยย โกรธก็ไม่ได้เหรอครับ ก็คนมันหวง ไม่อยากให้ไป ไม่ชอบแบบนี้จริงๆนะ แต่ผมไม่อยากทะเลาะ ไม่อยากมีปัญหากับซิน เราเจอเรื่องแย่ๆกันมามากแล้ว ขอมีความสุขมั่งเถอะครับ


                “ซินครับ นัทจะพูดกับซินดีๆนะ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครครับ ทำไมนัทไม่เคยเห็นมาก่อนเลย สนิทกันตอนไหน สนิทกันมากมั้ย แล้วทำไมต้องไปด้วยกันสองคนด้วยครับ”


                “ก็บอกแล้วว่าเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัย พี่เขาเรียนถ่ายรูป เคยให้เราไปเป็นนายแบบทำโปรเจคบ่อยๆ เลยสนิทกัน ตอนเรียนก็เคยได้พี่เขาช่วยไว้ด้วย ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ก็เลยนัดกินข้าวกันปกติ”


                โอเค เหตุผลไม่ได้แย่เกินรับฟัง คนของผมอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่อีกฝ่ายผมไม่รู้ ไม่ชอบขี้หน้ามันเลยจริงๆ


                “โอเค งั้นฉันไปด้วย”


                “จะไปทำไม บ้าเหรอ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก พี่เขารู้แค่ว่านัทเป็นบอดี้การ์ดเรานะ” ก็จริง ถูกของซินครับ


                “โอเคๆ ยอมแล้ว แต่สัญญาอะไรก่อนได้มั้ย...”


                “อะไรอีกล่ะ”


                “ห้ามยิ้ม”


                “ฮะ?”


                “ห้ามยิ้ม”


                “บ้าไปแล้วจริงๆใช่มั้ยนัท”


                “ก็ยิ้มแล้วน่ารัก ไม่อยากให้ไปน่ารักต่อหน้าคนอื่น”


                ซินหน้าเหวอไปเลยทันที กระพริบตาปริบๆอีกต่างหาก เนี่ย! ชอบทำท่าทางแบบเนี๊ยะ! ชอบทำแบบนี้ให้คนอื่นเขาเห็น ชอบปล่อยฟีโรโมนแบบไม่รู้ตัวอย่างนี้ไง ใครๆถึงไว้แวะมาหยอดกันนักน่ะ


                ผมหวงนะ ผมหวง


                “ไอ้นัทบ้า!!” ด่าอย่างเดียวได้มั้ยครับ มือขยุ้มหัวแบบนี้ไม่เอาได้มั้ย เจ็บอ่ะ...


                “ไปเร็วๆเลย เดี๋ยวสาย”


                “เฮ้อ ไปจริงๆใช่ป่ะ”


                “ใช่! เร็วๆ” ไปก็ไปครับ ผมก็ขับรถออกมาทันที ห้างอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่ คงนัดกันเอาไว้พอเหมาะพอดีกันเลยล่ะสิ คิดเสร็จแล้วก็หงุดหงิดเองครับ เลิกคิดดีกว่า เดี๋ยวจะเผลอพูดไม่ดีกับซินอีก เดินทางไม่นานก็ถึงแล้วครับ แต่ก่อนที่ซินจะลงก็หันมาหันผมซะก่อน


                “แล้วก็รอรับกลับด้วย จะกลับแล้วจะโทรบอก”


                ...ฮะ? รับกลับด้วยเหรอ ไม่ได้อยากอยู่เที่ยวด้วยกันนานๆหรือไง


                “ได้ยินป่ะเนี่ย”


                “ได้ยิน แล้วทำไมไม่ให้ไอ้พี่ดิวไปส่งล่ะ” ขอเล่นตัวนิดหนึ่งได้มั้ยครับ


                “จะรอหรือไม่รอ” นี่ก็ขู่ตลอด


                “รอๆๆๆ เดี๋ยวรอรับ โอเคเลยครับ ตามนั้นเลย”


                ฮ่าๆ อารมณ์ดีไปแล้วครับ เลิกคิดมากเลยด้วย เพราะยังมีคนแคร์ความรู้สึกกันอยู่ตรงนี้ด้วยนี่นา ถ้าไม่แคร์กันคงไล่กลับบ้านไปแล้ว และผมก็คงต้องไปนอนคิดมากว่าป่านเขาจะทำอะไรกันอยู่ จะกลับหรือยัง หรืออะไรอีกมากมายล้านแปดที่คนคนนึงสามารถคิดไปเองได้ แค่คิดก็แย่แล้วครับ


                “แล้วไปเดินห้างรอไกลๆเลยนะ ไม่ต้องมาเดินตามเรา”


                รู้ทันอีกแหนะ ผมยิ้มพยักหน้าให้เขา ก่อนที่เขาจะลงจากรถไป ผมก็วนรถเข้าไปจอดรถ เดินเล่นรอมันแถวนี้แหละ ก็คนน่ารักของผมเขาบอกให้รอ... ^^ 


TBC.
...
ช่วงนี้คุณบอดี้การ์ดของเราเขาออกตัวแรงนะคะ
อย่าหมั่นไส้เขาเลย ให้เขาได้หวานกันไปเถอะ ฮ่าๆๆ
เอ๊ะ ว่าแต่พี่ดิวเป็นใครนะ จะมีผลอะไรกับสองคนนี้รึเปล่า...? อย่าลืมติดตามกันน้า

ตอนนี้อาจจะป่วงๆไปนิด
ไม่รู้ว่าทุกคนจะชอบมั้ย ไรท์พยายามเต็มที่เลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยนะคะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อ่าน 2 ตอนรวดเลย
น่ารักอ้ะ นึกว่านัทจะไม่รอดจากคุณป๊าซะแล้ว
แล้วอิพี่ดิวนี่คืออะรายยยยยย ไม่เอานะๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด