[fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]  (อ่าน 54317 ครั้ง)

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 





((Intro +  แรกพบ (อีกครั้ง)))


ร่างบอบบางภายใต้เสื้อผ้าบางเบาอย่างที่เจ้าตัวชอบ ทับด้วยเสื้อคลุมสไตล์เก๋บ่งบอกถึงความเป็นตัวเองอย่างที่สุด ย่างกายเข้าสู่พรมแดงออกสู่สายตาของสื่อมวลชน แสงแฟลชวิบวับสาดส่องไปยังร่างกายที่สุดแสนจะเฟอร์เฟ็คนี้ ใบหน้าที่ใครต่างก็ล่ำลือกันว่าสวยจนผู้หญิงบางคนยังอิจฉา แสงสปอร์ตไลท์ที่ส่องมา ขับให้ผิวขาวเปร่งประกายล้อแสงยิ่งขึ้น

“คุณซินคะ หันมาทางนี้หน่อยค่ะ”


“ด้านนี้ด้วยค่ะคุณซิน”


“คุณซินคะ”


คนตัวบางยืนนิ่งๆ แจกจ่ายรอยยิ้มให้กับบรรดาช่างภาพที่แย่งกันยิงแสงแฟลชเพื่อให้ได้ภาพที่สวยที่สุด โดยที่ไม่สนใจกันบ้างเลยว่ามันจะส่งผลต่อสายตาของผู้ถูกถ่ายแค่ไหน


เสียงกรี๊ดดังระงมเมื่อบรรดาแฟนคลับมองเห็นศิลปินที่ตนชื่นชอบมาถึงแล้ว ใบหน้าสวยหวานยังคงแจกจ่ายรอยยิ้มให้บรรดาผู้คนที่ตนเดินผ่าน พาให้ใจละลายกันไปเป็นแถบๆ


แต่ในขณะนั้นเอง ในขณะที่คนตัวบางไม่ทันระวังตัว ท่ามกลางบรรดาแฟนคลับที่พยายามชูไม้ชูมือเพื่อให้ได้จับมือกับศิลปินที่ตนรัก ร่างๆหนึ่งก็พุ่งถลารอดใต้เชือกกั้นออกมา พุ่งตรงเข้าหาคนที่อยู่กลางพรมแดงทันที เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดคิด บรรดาบอดี้การ์ดที่คอยป้องกันอยู่ไกลๆรีบวิ่งเข้ามาในพรมแดงทันที ผู้คนรอบด้านแตกตื่นไปหมด แต่คนที่ตกใจมากที่สุดก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่คนที่ถูกกระโจนเข้าใส่ บรรดาแฟนคลับคนอื่นเมื่อเห็นว่าคนหนึ่งสามารถเข้าไปได้ ก็พากันกรูเข้าหาในทันที เมื่อบอดี้การ์ดและผู้จัดการเข้ามาถึง ร่างบางก็หายไปกับบรรดาฝูงชนซะแล้ว

 

……………….


“ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้! ที่เราจ้างพวกคุณมาก็เพื่อความปลอดภัยของศิลปินไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ ถ้าศิลปินเป็นอะไรขึ้นมา พวกคุณทั้งหมดจะรับผิดชอบไหวมั้ย ผมถามจริงๆ พวกคุณมาเป็นบอดี้การ์ดได้ยังไง”

เสียงพี่โอ๊ต ผู้จัดการส่วนตัวของซินที่กำลังอารมณ์เสียเป็นอย่างมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนพรมแดง กำลังต่อว่าบรรดาบอดี้การ์ดที่เขามาจ้างมาเพื่อดูแลนักร้องของเขา


งานนี้เป็นงานประกาศผลรางวัล ซึ่งเป็นงานใหญ่ จึงไม่น่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น หลังจากคลี่คลายความวุ่นวายได้ ก็จับตัวก่อเหตุมาตักเตือน ได้ความว่า แค่อยากจะกอดศิลปินที่ชื่นชอบสักครั้ง ก็เป็นเพราะแบบนี้ไง เพราะคิดว่าเหตุการแบบนี้อาจจะเกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องจ้างบอดี้การ์ดให้คอยดูแล แต่จากงานนี้ เห็นชัดๆกันเลยว่ามันล้มเหลวไม่เป็นท่า!


“พอแล้วน่าพี่โอ๊ต ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว” เสียงจากร่างบางดังรั้งให้พี่โอ๊ตหันมามอง


“ช่างมันได้ยังไงล่ะซิน ยังดีนะที่ไม่ได้เป็นอะไร ถ้าเกิดล้มลงไปล่ะก็แย่แน่ๆ”


“ซินก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายนี่ แค่ตกใจนิดหน่อยเอง ไหนๆวันนี้ก็ได้รางวัลมาแล้ว ทำตัวร่าเริงกันดีกว่าน่า”


วันนี้ที่งานประกาศผลรางวัล ซินได้รับรางวัลศิลปินยอดเยี่ยมแห่งปี ยังความดีใจให้แก่เจ้าตัวเป็นอย่างมาก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ซินตั้งใจกับอัลบั้มที่ทำมากทีเดียว แทบจะทุกอย่างที่เขาทำเอง ทั้งออกแบบปกอัลบั้ม แต่งเนื้อร้อง และอะไรอีกหลายๆอย่าง เพื่อผลงานที่จะออกสู่สายตาของผู้คนที่รอคอย และวันนี้ก็เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่า ทั้งหมดที่ทุ่มเทมาคุ้มค่ามากจริงๆ


“เออจริงด้วย พี่ยินดีด้วยนะซิน ดีใจมากๆ ในที่สุดเราก็ได้รางวัลมาเชยชมกันแล้ว ฮิ้ววววว” เสียงโห่ร้องดีใจของบรรดาทีมงานทั้งหลาย พาให้บรรยากาศดีขึ้นมาบ้าง


“แต่เรื่องที่เกิดขึ้นต้องมีคนรับผิดชอบ พวกนายทุกคน ฉันไล่ออก!!”


“พี่โอ๊ต!” ซินร้องเสียงหลงก่อนจะเดินมาขนาบข้างพี่โอ๊ตด้วยความตกใจ บอดี้การ์ดสามคนที่ยืนเรียงหน้ากันอยู่ตรงหน้าพี่โอ๊ตหน้าถอดสีไปตามๆกัน


“ซินไม่ต้องห้าม เรื่องนี้เกินกว่าจะให้อภัยได้จริงๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ เป็นเพราะพวกนายไร้ประสิทธิภาพ”


“ไล่ออกแล้วแล้วซินจะทำยังไงล่ะพี่โอ๊ต เวลาไปไหนมาไหนก็ลำบากแย่สิ”


“บอร์ดี้การ์ดหาใหม่ได้ซิน แต่ถ้าซินเป็นอะไรขึ้นมา พี่จะหาใหม่ได้จากที่ไหน”


คนตัวบางได้แต่ยืนนิ่งเพราะเถียงไม่ออก เอาจริงๆแล้วเรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นจริงๆนั่นแหละ บอกตามตรงว่าตอนนั้นตกใจมากที่อยู่ๆใครก็ไม่รู้วิ่งเขามาคว้าตัวเข้าไปกอดแบบนั้น แล้วไหนจะคนอื่นๆที่กรูกันมาอีก ตกใจจนทำอะไรแทบจะไม่ถูก จะหันไปหาคนช่วยก็ไม่มี แต่เพราะว่าเป็นศิลปินจะให้ทำท่าทางไม่พอใจก็ไม่ได้ ได้แต่ต้องยืนฝืนยิ้มให้ทุกคน และรอความช่วยเหลืออยู่ตรงนั้น


เหตุการณ์ครั้งนี้ปรากฎตามเว็บต่างๆมากมายอย่างรวดเร็ว และเพราะเหตุนั้น บอดี้การ์ดทั้งเซ็ตจึงถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด...

 

.................


เสียงเอะอะโวยวายจากการฝึกซ้อมดังไปทั่วโรงฝึก นี่คือกิจการที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น จนมาถึงรุ่นนี้ ซึ่งก็คือรุ่นของพ่อผมเอง โรงฝึกหลังใหญ่ พรั่งพร้อมไปด้วยบุคลากรที่มีฝีมือ เราทั้งหมดถูกฝึกให้มีร่างกายแข็งแกร่ง เพื่อที่จะสามารถปกป้องคนอื่นได้

'บอดี้การ์ด' ผมโตมากับคำคำนี้

และเพราะตอนนี้พ่อไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนอารมณ์อย่างสบายอุรา(?)กับผู้หญิงที่รักยิ่งชีพ ซึ่งก็คือแม่ของผมเอง จึงเป็นหน้าที่ของลูกอย่างผมที่ต้องรับผิดชอบดูแลโรงฝึกแทน

เสียงฝีเท้าแผ่วๆวิ่งตามทางเดินในโรงฝึกตามหลังผมมา คงกะจะเล่นงานผมจากด้านหลังอีกตามเคย ผมอาศัยจังหวะที่เสียงฝีเท้ามาอยู่ที่ด้านหลังพอดิบพอดี ก้มหลบขาที่คงกะว่าจะเตะให้โดนก้านคอผม แต่ยังเร็วไปสิบปีไอ้เด็กน้อย เมื่อผมหลบไอ้คนที่กระโดดเตะมาแต่ไกลก็ลอยละลิ่วและตกลงพื้นอย่างสวยงาม

"โอ้ย! พี่นัทแม่งรู้ทุกที หยั่งกะมีตาหลัง" เสียงบ่นกระปอดกระแปดดังมาจากไอ้ตัวเล็กที่มาฝึกที่นี่ได้สามปีกว่าแล้ว และตลอดสามปีที่พยายามจะเล่นงานผมทีเผลอ - -

"วิ่งเสียงดังขนาดนั้น ใครไม่รู้ก็หูหนวกแล้ว"

"คนอื่นไม่เห็นจะได้ยิน มีแต่พี่เนี่ยแหละที่รู้ตัวก่อนทุกที" ไอ้ตัวแสบลุกขึ้นสะบัดแข้งขาไล่ฝุ่นที่ลงไปคลุกเมื่อครู่

"มีอะไร"

"คุณลุงโทรมา ให้พี่ไปรับสาย"

"อืม" ผมตอบรับคำแค่นั้นก่อนจะเดินผละออกมา แต่แล้ว

"ย๊ากกกกกก" หันหลังให้เป็นไม่ได้สินะไอ้เด็กนี่

โครมมม!!

ไม่ต้องบรรยายสินะครับว่าเกิดอะไรขึ้น...

"ครับพ่อ" ผมกรอกเสียงไปตามสายโทรศัพท์

(อีกสองวันฉันจะกลับนะ มีงานใหญ่ให้แกด้วย ฟิตร่างกายให้พร้อมนะไอ้ลูกชาย ตอนนี้ฉันกำลังมีความสุขมาก เสียดายต้องรีบกลับ ยังกอดเมียไม่สะใจเลย ให้ตายสิ!!! นานๆทีจะได้พักผ่อนแท้ๆแต่ต้องรีบกลับเพราะงานเข้าซะได้ ที่นั่นเรียบร้อยดีใช่มั้ย ไอ้แสบกัสมันก่อเรื่องให้ปวดหัวอะไรรึเปล่า แต่แกคงจัดการได้ ดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อยล่ะจนกว่าฉันจะกลับไป ฉันโทรมาบอกเท่านี้ล่ะ!)

"ครับ..."

โทรมาเพื่อจะพูดธุระของตัวเองอย่างเดียวจริงๆสินะ... -_- นี่ล่ะพ่อผม

ผมวางโทรศัพท์อย่างงงๆ อีกสองวันพ่อจะกลับ และมีงานเข้ามา งานที่ว่าคงเป็นของผมสินะ

งานทุกอย่างที่โรงฝึกจะเข้ามาทางพ่อ และพ่อจะเป็นคนคัดเลือกเองว่างานไหนเหมาะสมกับใคร ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นงานคุ้มกันพวกนักการเมือง หรือพวกคนใหญ่คนโต หรือไม่ก็พวกดารา แต่บอกไว้ก่อนว่าพวกผมไม่รับงานผิดกฏหมาย อะไรก็แล้วแต่ที่คิดว่ารับแล้วจะเดือดร้อน เราจะไม่รับ ฟังไว้นะ เผื่อใครอยากจะจ้างผมไปคอยคุ้มกันให้

และครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการอะไรก็แล้วแต่ พ่อคงคิดว่างานนี้เหมาะกับผม อาจจะเป็นนักการเมืองสักคนล่ะมั้ง...

 

เดินวนดูรอบโรงฝึกอีกครั้ง ค่อยฝึกละกัน...

 

.............................


“กลับมาแล้ว!!! เฮ้ย...บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าวิ่งตรงทางเดินน่ะฮะ มันลื่นเดี๋ยวก็ล้มหัวแตกกันพอดี เฮ้ย...ไอ้ตรงนั้นน่ะ ให้มันแข็งขันหน่อยซี่ ท่าทางอ่อนปวกเปียกแบบนั้นมันอะไรกัน!!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นมาแบบนี้ พ่อกลับมาแล้วชัวร์


“แหมพ่อนี่ก็ล่ะ เพิ่งจะกลับมาถึง ไปพักก่อนดีมั้ย” เสียงใจเย็นของแม่เปรียบเสมือนน้ำเย็นที่ราดลงบนแกงเผ็ด(?) ที่ร้อนแรงเสมอ


“ไม่ได้หรอกจ้ะที่รัก คุณกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะนะกลับมาเหนื่อยๆ ขอผมดูไอ้พวกตัวแสบพวกนี้ก่อนนะ” เป็นแบบนี้เสมอ แกงเผ็ดของผมเวลาอยู่ใกล้ๆแม่ทีไรกลายเป็นขนมหวานทุกที


“กลับมากันแล้วเหรอครับ”


“อ้าวตานัท พ่อกับแม่กลับมาแล้วจ้ะลูก เป็นไง เหนื่อยมั้ย” แม่เดินมาลูบหน้าลูบตาผมก่อนจะเข้ามากอด


“ไม่เหนื่อยหรอกครับ”


“แข็งขันกันหน่อย!!!”


“คร้าบบบบ/กลับมาแล้วเหรอครับคุณลุง”


เสียงพ่อกับบรรดาลูกศิษย์คุยกันโหวกเหวกดังมาถึงมาด้านนอก


“เฮ้อ ไม่ยอมพักบ้างเลยนะพ่อของลูกน่ะ”


“ตอนไปเที่ยวคงครึกครื้นกันน่าดูเลยสินะครับ”


“แหม ก็พ่อของลูกน่ะนะ.... =///=”

ท่าท่างเขินบิดตัวไปมาแบบนี้คืออะไรกัน - -


“แม่ไปพักเถอะครับ เดินทางมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวผมยกของไปให้เอง”


“ขอบใจจ้ะลูก”


ผมจึงต้องยกกระเป๋าเดินทางที่พ่อสลัดทิ้งตั้งแต่มาถึงก่อนจะเดินเข้าโรงฝึกไปอย่างไร้เยื่อใย พร้อมถุงของฝากอีกหลายถุงเดินตามแม่เข้าบ้านที่อยู่ข้างๆกับโรงฝึกไป


เมื่อยกของไปให้แม่เสร็จแล้วก็เดินตามพ่อเข้าไปในโรงฝึก ณ ตอนนี้ พ่อได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินตรวจโรงยิมด้วยตัวเองแล้ว แต่เมื่อเห็นผมก็ตรงดิ่งเข้ามาในทันที


“มาคุยเรื่องงานกันดีกว่า” พ่อลากคอผมตรงไปที่สำนักงานที่เราไว้ใช้คุยในเรื่องสำคัญๆ หรือเวลาตกลงเรื่องงานกับผู้ว่าจ้าง


“เอ้านี่” พ่อยื่นแฟ้มแฟ้มหนึ่งให้ผม


“คราวนี้เป็นนักร้อง เห็นว่าเพิ่งมีเรื่อง เลยไล่บอดี้การ์ดชุดเก่าออกทั้งหมด ชุดเก่ามีสามคน แต่คราวนี้จ้างแค่คนเดียว”


ผมเปิดดูรายละเอียดคราวๆของ ‘ผู้ว่าจ้างคนใหม่’ รูปที่ปรากฎอยู่ที่หน้าแรก สะกดสายตาผมให้ไม่สามารถเคลื่อนไปทางไหนได้อีก.... ผมยาวเป็นคลื่นสลวยเงางาม ดวงตาเป็นประกายหวานที่ใครต่อใครต่างหลงไหล ใบหน้านี้ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็จะต้องหลงรัก บุคคลิกภายนอกที่มองแล้วอาจจะดูเข้าถึงยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าใครใครต่างก็อยากเข้าถึงตัวตนของเขาทั้งนั้น



......‘ซิน’


“ผมไม่รับงานนี้” ทันทีที่ตั้งสติได้ ผมก็รีบคืนแฟ้มให้กลับพ่อทันที


“ทำไม” พ่อขมวดคิ้วถามเสียงนิ่ง เป็นเพราะว่าผมไม่เคยเลือกงานมาก่อน ไม่ว่างานไหนถ้าพ่อเห็นว่าสมควร ผมก็จะทำเสมอ แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป



.....แค่คนคนนี้ ที่ผมไม่อยากรับ


“ผมคงไม่เหมาะ อีกอย่าง ผมไม่เคยรับงานกับคนพวกนี้มาก่อน”


“นั่นไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่แกจะคัดค้าน” น้ำเสียงจริงจังของพ่อไม่มีแววล้อเล่นอีกต่อไป


“แต่ว่า...”


“ไม่มีคำว่าแต่ เริ่มงานวันจันทร์ แกมีเวลาเตรียมตัวอีกสองวัน เตรียมทุกอย่างให้พร้อม จัดการเรื่องส่วนตัวให้เรียบร้อย อย่าทำให้พ่อผิดหวัง แกก็รู้ว่าพ่อภูมิใจในตัวแกเสมอไอ้ลูกชาย” พ่อพูดแค่นั้นก่อนจะตบบ่าผมด้วยแรงที่อาจจะทำให้ไหล่บางคนทรุด ซึ่งผมที่โดนมาตั้งแต่เกิดชินซะยิ่งกว่าชินแล้วล่ะ


 

แต่ไม่ว่ายังไง ก็ ไม่อยากรับงานนี้เลย

 

.................


วันจันทร์ มาถึงจนได้สินะ


ในฐานะบอดี้การ์ด ชุดทำงานของเรามีแค่ชุดเดียวเท่านั้น เสื้อเชิตสีขาว เน็คไทสีดำ ชุดสูทสีดำ ...และตอนนี้ผมก็มาอยู่ที่นี่แล้ว หน้าค่ายเพลงดังที่ ‘เขา’ สังกัดอยู่


“ติดต่อเรื่องอะไรคะ” เสียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่เค้าท์เตอร์ด้านหน้าถามขึ้น


“ที่นัดไว้ครับ” ผมยื่นนามบัตรให้กับเธอ ก่อนที่เธอจะตรวจสอบอะไรนิดหน่อยก่อนจะยิ้มให้ผมนิดๆ


“เชิญทางนี้เลยค่ะ”


ผมตามหลังเธอไป ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 14 และตรงเข้าไปที่ห้องๆหนึ่ง เธอเคาะประตูสองสามครั้ง ก่อนที่เสียงจากภายในจะตอบกลับมา


“เข้ามา”


หันหลังกลับตอนนี้ไม่ทันแล้วใช่มั้ย...


ประตูเปิดออก เผยให้เห็นภายในห้อง มีชายคนหนึ่งยืนรอผมอยู่แล้ว


“ขอบคุณมากคุณดาวเรือง คุณลงไปทำงานต่อเถอะ” เขาหันไปขอบคุณหญิงสาวคนที่ขึ้นมาส่งผม


“ค่ะ” เธอโค้งให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมอีกครั้งและเดินออกจากห้องไป


“นายคงจะเป็นนัทสินะ” ชายคนนั้นหันมาพูดกับผม


“ครับ”


“โอเค อ่านเอกสารที่ส่งไปให้หมดแล้วใช่มั้ย หน้าที่ของนายไม่มีอะไรมากเลย แค่ดูแลความปลอดภัยของซินเท่านั้นเอง เข้าใจนะ รายละเอียดก็ตามที่ส่งไปให้แล้วนั่นแหละ ฉันชื่อโอ๊ต นายเรียกฉันว่าพี่โอ๊ตเหมือนคนอื่นๆก็ได้”


“ครับคุณโอ๊ต”


-_-

“เออ แล้วแต่นายจะเรียกแล้วกัน”


เป็นเพราะอะไรกันนะ แค่ชื่อของ ‘เขา’ ทำให้มือของผมเย็นเฉียบได้ขนาดนี้เชียวเหรอ อาจจะเป็นเพราะแอร์ที่เย็นเกินไปของห้องนี้มากกว่า ใช่สิ! ต้องเป็นเพราะแบบนั้นแน่ๆ


เพราะเรื่องนั้น มันก็ตั้งนานมาแล้ว...



“วันนี้มีงานแจกลายเซ็นตอนเที่ยงที่ห้างxxxจนถึงบ่ายสอง หลังจากนั้นก็ไปอัดรายการเพลงตอนหกโมง กว่าจะเสร็จก็คงสองสามทุ่ม นายต้องตามไปด้วยนะ โอเคมั้ย”


“ครับ”


“ตอนนี้ซินยังไม่มา อาจจะเข้ามาตอนสิบเอ็ดโมงกว่าๆ นายก็นั่งรอที่นี่ไปก่อน”


“ครับ”


“อ้อ! นี่ สิ่งที่ฉันอยากให้นายทำมากที่สุดก็คือ ดูแลความปลอดภัยของซินให้ดีที่สุด นายคงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นคราวที่แล้วนะ ฉันไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้นักร้องของฉันเป็นอันตราย เพราะเหตุนี้ฉันถึงจ้างนายมา เข้าใจใช่มั้ย”

“ครับ”


“เออ...นั่นแหละ นั่งรอไปก่อนแล้วกัน” คุณโอ๊ตพูดแค่นั้นก่อนจะทำท่าเดินออกจากห้องไป แต่ก็ยังไม่วายบ่นงึมงำไปด้วย “แม่ง คนหรือหุ่นยนต์วะ พูดเป็นแต่ ‘ครับ’ คำเดียว”


ผมนั่งอ่านตารางงานเดือนนี้ของ ‘เขา’ ที่คุณโอ๊ตเอามาให้อ่านฆ่าเวลาระหว่างที่รอ งานเยอะเหมือนกันนะ แล้วแบบนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปพักกัน เป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าถึงได้ตัวบางและดูเปราะบางขนาดนั้น ยิ่งเป็นคนที่หลับยากอยู่แล้ว เวลาที่ต้องเดินทางไปไหนไกลๆ ได้นอนหลับบ้างหรือเปล่านะ... แล้วไหนจะยัง...



แกร้ก!

เสียงเปิดประตูทำให้ผมวางแฟ้มลงและลุกขึ้นยืนในทันที อาจจะเป็นคุณโอ๊ตที่เข้ามาแจ้งเรื่องอะไรอีก....


แต่แล้วร่างตรงหน้าที่ก้าวเข้ามาในห้องทำให้ผมชาวาบไปทั้งตัว



....ซิน

ราวกับว่าลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าการหายใจมันทำยังไง ผิดกับหัวใจที่มันเต้นบ้าคลั่งจนแทบจะกระเด็นออกมาด้านนอก คนตัวบางหยุดชะงักลงทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่รออยู่คือผม ผมคนเดิม...ที่ต่างไปจากเดิม






TBC.
...

ฝากฟิคซิงกูล่าร์เรื่องนี้เอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ^^




 

 

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2013 16:33:45 โดย Eucalyp »

koikoy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
«ตอบ #1 เมื่อ22-08-2013 23:48:46 »

+เป็ด รอตอนต่อไปนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ toshika

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 819
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
«ตอบ #2 เมื่อ23-08-2013 02:56:42 »

+เป็ดค่า ชอบซกล.มากๆจะรอติดตามเรื่องนี้นะคะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
«ตอบ #3 เมื่อ23-08-2013 03:52:56 »

 :mc4:

ออฟไลน์ shijino

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
«ตอบ #4 เมื่อ23-08-2013 23:05:13 »

ชอบค่า รอติดตามตอนต่อไป  :pig4:

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
1/1

((ใกล้))


                “อ้าวซิน หยุดทำไม เข้าไปข้างในสิ”


                คุณโอ๊ตที่เดินตามหลังมาดันซินที่ยังคงยืนค้างอยู่ที่ประตูให้เดินเข้ามาในห้อง


                “นี่ไงนัท บอดี้การ์ดคนใหม่ คนเดียวเพราะจะได้ไม่วุ่นวายอย่างที่ซินขอไง”


                ซินหันไปมองหน้าคุณโอ๊ตอย่างตกตะลึงก่อนจะหันมาทางผมอีกครั้ง ยังคงเหมือนเดิม ทุกๆอย่างของเขายังคงเหมือนเดิม ยกเว้นเพียงแต่สายตาคู่นั้นที่มองมายังผม กับเกราะบางอย่างที่มองไม่เห็น ที่เขาสร้างมันขึ้นมาเพื่อปกป้องอีกตัวตนข้างใน


                “ทำความรู้จักกันไว้สิ” คุณโอ๊ตพูดขึ้นพลางเดินไปนั่งที่มุมห้องอย่างสบายอารมณ์


                ซินยังคงจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ยังคงมองมาทางผมด้วยสายตาที่สับสน มันทั้งตกใจ แปลกใจ และอะไรอีกหลายๆอย่าง แต่ตอนนี้ เวลานี้ ผมต้องตัดเรื่องส่วนตัวออกไปทั้งหมด เพราะนี่คือหน้าที่ที่ผมต้องทำ ดังนั้นจะไม่มีเรื่องอย่างอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง...


                “สวัสดีครับ ‘คุณซิน’ ผมนัท ตั้งแต่วันนี้ไปก็ขอฝากตัวด้วยครับ” ผมกล่าวคำทักทายพร้อมก้มหัวให้เขานิดๆในฐานะ ‘นายจ้าง’ ราวกับว่านี่คือครั้งแรกที่เราได้พบกันจริงๆ


                คนตัวบางนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมา


                “สวัสดี ฉันคิดว่าพี่โอ๊ตคงแนะนำนายเรื่องของฉันแล้ว หวังว่าเราจะร่วมงานกันได้นะ” สายตาสับสนเมื่อกี้แปรเปลี่ยนไป แทนที่ด้วยสายตาเย็นชาของคนที่ ‘ไม่รู้จักกัน’


                บรรยากาศภายในห้องเงียบกริบขึ้นมาทันทีเมื่อทั้งผมและซินต่างก็แผ่รังสีเย็นยะเยือกออกมา คุณโอ๊ตเองที่เริ่มสัมผัสบรรยากาศไม่ค่อยดีได้ เลยเร่งให้เรารีบไปขึ้นรถ เพราะเดี๋ยวจะไปถึงที่งานไม่ทันเมื่อเดินออกมาที่หน้าตึกก็พบว่ารถมาจอดรออยู่แล้ว


                “อ้าว รถตู้ล่ะพี่โอ๊ต” เสียงซินถามคุณโอ๊ตเมื่อเห็นว่ารถที่มารอคือรถวีออสสีดำธรรมดา


                “บริษัทเห็นว่าไหนๆบอดี้การ์ดก็เหลือคนเดียวแล้ว รถนี่ก็น่าจะพอ เล็กแล้วก็สะดวกดีด้วย” เสียงคุณโอ๊ตตอบ


                คนตัวบางพยักหน้าเข้าใจช้าๆก่อนจะเดินเข้ารถไป


                “นายนั่งข้างหน้านะ” คุณโอ๊ตหันมาพูดกับผมเมื่อซินเดินเข้าไปในรถเรียบร้อยแล้ว


                “อาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย เพราะปกติแล้วซินค่อนข้างที่จะมีโลกส่วนตัวสูง กว่าจะคุ้นชินกันคงต้องใช้เวลา อาจจะเอาแต่ใจไปบ้าง อดทนเอาหน่อยล่ะกัน”


                ผมพยักหน้ารับน้อยๆอย่างเข้าใจ


                เวลาเหรอ... นานเท่าไหร่ก็คงไม่พอ...


                เสียงคุณโอ๊ตอธิบายตารางงานให้ซินฟังเล็กน้อย ก่อนที่จะเงียบเสียงไป บรรยากาศในรถจึงเงียบอีกครั้ง


               เป็นเพราะว่าผมนั่งด้านหน้า จึงไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังตอนนี้กำลังนั่งท่าไหน หรือทำสีหน้าแบบไหนอยู่ จะกำลังคิดอะไรอยู่นะ จะคิดเรื่องเดียวกับที่ผมคิดอยู่ตอนนี้มั้ย สายตาคู่นั้น จะยังมองมาที่ผมบ้างมั้ย ยังมีบ้างมั้ยสักแว๊บหนึ่งที่คิดถึง...


                ไม่! นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดตอนนี้เลย เรื่องที่ควรจะทำตอนนี้คือทบทวนตารางงานที่ถูกบันทึกลงไปยังสมองเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง จะต้องไม่ให้มีอะไรผิดพลาด จะทำให้ ‘นายจ้าง’ เดือดร้อนไม่ได้เด็ดขาด นี่คือสิ่งที่ผมต้องทำ


                ไม่นานรถก็เข้ามาถึงพื้นที่จัดกิจกรรม ที่ลานจอดรถยังไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก อาจเป็นเพราะบรรดาแฟนคลับไม่ทราบว่าจะจอดรถที่ตรงไหน แต่ตอนขากลับคงต้องรับมือกันหนักหน่อย เพราะคงหนีไม่พ้นต้องวิ่งตามกันมาแน่ๆ


                ผมก้าวลงจากรถก่อนที่จะเปิดประตูให้คุณโอ๊ต ตามด้วยซิน... เขาเพียงแค่ก้าวลงจากรถและเดินตามหลังคุณโอ๊ตไปเท่านั้น ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบตามามองกันเลย แต่นั่นก็ถูกแล้ว เพราะผมเป็นแค่ ‘บอดี้การ์ด’ ทำได้เพียงแค่อยู่ใกล้ๆ และคอยดูแลให้ปลอดภัยเท่านั้น


                เป็นเพราะเดินเข้าทางประตูเล็กจากด้านหลัง คนจึงไม่มากนัก บวกกับมีเจ้าหน้าที่ของห้างมาช่วยคุ้มกันให้อีกสองคน ผมเปลี่ยนมาเดินด้านหน้า ตามด้วยคุณโอ๊ตที่เดินกับซิน ปิดท้ายด้วยเจ้าหน้าที่ของห้างอีกสองคน โดยมีคุณโอ๊ตเป็นคนบอกทาง


                “เดี๋ยวเลี้ยวขวาข้างหน้า งานจัดที่ลานน้ำพุ โผล่หัวมุมออกไปคงเจอแฟนคลับแล้ว” เสียงคุณโอ๊ตกำชับมาจากทางด้านหลัง ผมจึงต้อง เดินช้าลงเพื่อให้ซินเดินตามหลังมาติดๆ


                และก็เป็นไปตามที่คุณโอ๊ตคาดการณ์ ทันทีที่โผล่ออกจากหัวมุม บรรดาแฟนคลับที่หันมาเห็นกรูกันเข้ามาในทันที เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องกันพวกเขาเอาไว้ คนตัวบางถูกดันมาชิดด้านหลังผม ขนาบข้างด้วยเจ้าหน้าที่และคุณโอ๊ตกันหลังให้


                “ขอทางให้ซินด้วยครับ ของทางเดินหน่อย” เสียงคุณโอ๊ตดังมาจากทางด้านหลัง พร้อมกับผมที่ค่อยๆดันแฟนคลับเพื่อจะเดินไปข้างหน้า หลายคนพยายามที่จะถ่ายรูป และเบียดตัวกันเข้ามาใกล้ๆ ทำให้ค่อนข้างที่จะเดินลำบากสักหน่อย แต่ก็มาถึงที่ด้านข้างเวทีจนได้ ซึ่งที่ตรงนี้ถูกกั้นไว้ไม่ให้คนนอกเข้ามา บรรดาแฟนคลับจึงไปนั่งรอกันที่หน้าเวที


                ซินทักทายกับทุกคนอย่างสนิทสนม ก่อนคุณโอ๊ตจะดึงซินให้เข้าไปฟังรายละเอียดของงานอีกครั้ง ซึ่งผมก็ยืนฟังอยู่ใกล้ๆ คนตัวบางยืนห่างจากผมเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น ผมรอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา ซินพยักหน้าน้อยๆตอนที่ฟังคุณโอ๊ตอธิบาย นิ้วเรียวยกขึ้นเกลี่ยผมที่ตกลงมาปรกหน้าเป็นระยะ ยังคงเหมือนเดิมทุกๆอย่างจริงๆ


                ในขณะที่ผมมองเขาอยู่นั้นเอง ซินก็หันหลังมาเพื่อจะรับน้ำจากพี่ทีมงานด้านหลัง ร่างบางชะงักเมื่อพบว่าคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเขาคือผม ตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนไป


                โหยหา...


                ไม่ผิดใช่มั้ย ถ้าผมจะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ชั่ววินาทีที่ดวงตาคู่นั้นกลับมาเฉยชาดังเดิม ผมจึงเอี้ยวตัวไปรับแก้วน้ำมาส่งให้เขาแทน


                “ขอบใจ” เจ้าตัวเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแก้วน้ำไปจากผม เสี้ยววินาทีที่นิ้วมือเราแตะกัน ราวกับว่ามือไม้มันไร้ความรู้สึกไปซะเฉยๆ อีกฝ่ายคงจะรู้สึกเหมือนกันจึงรีบชักมือกลับไปทันที


                ซินเดินผ่านผมไปอีกด้านหนึ่งเพื่อที่จะนั่งรอด้านข้างเวทีและรอทำหน้าที่ของเขา โดยไม่หันมาทางผมอีกเลย ดังนั้นผมเองก็ต้องทำหน้าที่ของผมเหมือนกัน


                ยังคงใช้น้ำหอมกลิ่นเดิมสินะ... กลิ่นที่แสนจะคุ้นเคยเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว พาให้ภาพความทรงจำสีจางๆ สดใสขึ้นอีกครั้ง

 


..........................


                “กลิ่นนี้ดีมั้ย” เสียงใสที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็พาให้คนฟังยิ้มเสมอเอ่ยถาม


                “หอมดี แต่...ไม่เหมาะกับซินหรอก” น้ำเสียงอบอุ่นจากคนข้างกายตอบกลับไป


                “ทำไม ไม่เหมาะกับเราตรงไหน จะบอกว่าเราไม่มีคลาสไม่เหมาะกับน้ำหอมรึไง” ตากลมโตเปล่งประกายสดใสหันมาค้อนใส่คนข้างตัวเสียทีหนึ่ง


                “เปล่า น้ำหอมเนี่ย ตอนแรกก็หอมดี แต่พอได้กลิ่นไปนานๆแล้วมันเลี่ยน บาดจมูก”


                คนตัวสูงกว่าหยิบขวดน้ำหอมตัวทดลองขึ้นดมอีกสองสามขวด ก่อนที่จะถือขวดหนึ่งตรงมาที่ร่างบางที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ พลางยื่นขวดทดลองนั้นส่งให้


                “กลิ่นนี้ดีกว่า”


                คนตัวบางทำจมูกฟุดฟิดเหนือขวดน้ำหอม


                “หอมดี แต่กลิ่นอ่อนมากไปหน่อยรึเปล่า”


                “หอมอ่อนๆ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็หอมอยู่ดี ไม่มากไปไม่น้อยไป ได้กลิ่นนานแค่ไหนก็ไม่เบื่อ กำลังพอดี”


                “เรา...หรือว่าน้ำหอม” คนน่ารักยิ้มเล็กๆก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆคนข้างๆกัน หวังจะแกล้งแหย่เล่น แต่คนโตกว่ากลับไม่ยักถอยไป กลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีก


                “อยากจะรู้ตรงนี้ หรือว่าจะไปรู้กันแค่สองคน”


                “บ้า เยอะและ”


                มือเรียวยกขึ้นตะปบหน้าคนเจ้าเล่ห์ก่อนจะผลักออกไปเบาๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะใสๆที่พาให้คนตัวโตกว่าหัวเราะในลำคอตามไปด้วย

                “เอากลิ่นนี้ครับ”

 

……………….

……….

..

 

                งานแจกลายเซ็นผ่านไปได้ด้วยดี มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นของที่ระลึกไม่พอ หรือบางช่วงที่เกิดไฟตก แต่ก็สามารถแก้ปัญหากันได้ทัน ผมมีหน้าทีแค่ยืนอยู่เฉยๆ และคอยมองอยู่ห่างๆเท่านั้น ซินได้รับของขวัญจากบรรดาแฟนคลับมากพอๆกับจำนวนของแฟนคลับที่มาในวันนี้เลยก็ว่าได้ ยังคงได้รับความรักจากทุกคนเหมือนอย่างเคย


                บ่ายสองโมงกว่าแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับ แฟนคลับบางส่วนเดินกลับมาส่งถึงที่รถ สร้างความลำบากในการเดินกลับมาพอสมควร แต่ก็มาจนถึงรถได้สำเร็จ ซินยังคงต้องยืนถ่ายรูปกับแฟนคลับอยู่สักพัก ก่อนจะกล่าวลาขึ้นรถ โดยมีผมคอยเปิดประตูให้ ตามด้วยพี่โอ๊ต และเมื่อผมขึ้นรถ ตัวรถก็เคลื่อนออกในทันที


                “เหนื่อยมั้ย” คุณโอ๊ตถามขึ้นเมื่อรถออกมาได้สักพักแล้ว


                “เมื่อยมือมากกว่า ปวดนิ้วไปหมดเลย” เสียงซินตอบกลับมาอย่างเนือยๆ


                “ยังมีเวลาพัก เดี๋ยวกลับไปพักที่บริษัทก่อน”


                “อื้ม”   


                ภายในรถกลับมาเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงครางเบาๆจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้น


                และไม่นานก็มาถึงบริษัท


                “เดี๋ยวซินขึ้นไปพักที่ห้องแหละ ใกล้ๆเวลาพี่จะเข้าไปเรียก อยากกินอะไรรองท้องก่อนมั้ย” เสียงคุณโอ๊ตบอกซินในขณะที่ยืนรอลิฟต์กันอยู่


                “ไม่อ่ะพี่โอ๊ต ขอไปงีบสักหน่อยละกัน”


                “โอเค นัทไปกับซินนะ” ผมพยักหน้ารับนิ่งๆก่อนที่คุณโอ๊ตจะเดินผละออกไป เหลือเพียงผมกับซินเท่านั้น เมื่อลิฟต์มาถึง ผมก็เดินตามหลังซินเข้าไป ในลิฟต์ที่มีแค่เราสองคน


                บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาในทันที เมื่อต่างคนต่างเงียบและไม่คิดที่จะพูดคุยกัน


                “สบายดีมั้ย ...ซิน” เป็นผมเองที่ทำลายความเงียบนั้น


                ร่างบางตัวเกร็งขึ้นมาในทันที ซินสูดหายใจเข้าช้าๆโดยที่ไม่ได้พูดอะไร


                “นั่นสินะ นั่นไม่ใช่คำถามสำหรับคนที่เพิ่งเจอกัน ‘ครั้งแรก’ นี่นะ”


                “ไม่ว่านายกำลังจะทำอะไรอยู่ ขอให้รู้ไว้ว่าควรจะหยุดอยู่แค่นั้น” ซินตอบกลับมาเสียงเรียบนิ่งโดยที่ไม่หันมามองกันเลยสักนิด


                “แค่กล่าวทักทายตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานานก็ไม่ได้เหรอ”


                “ลืมไปแล้วรึไง ว่าเราเพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรก” ซินเอ่ยสวนขึ้นมาก่อนที่ผมจะได้ทันพูดอะไรต่อ


                “ซิน...”


                “นั่นคือชื่อที่นายควรจะเรียกฉันรึไง ในฐานะบอดี้การ์ด” เป็นซินอีกครั้ง ที่พูดตัดคำพูดผม


                “ควรจะรู้ตัว ว่าตอนนี้อยู่ในฐานะอะไร และถ้าเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้จักกันตั้งแต่แรก ก็ช่วยทำแบบนั้นต่อไปด้วย และมันก็จะดีมาก ถ้าจะให้เรื่องในอดีต มันกลายเป็นแค่อดีต”


                ผมที่กำลังจะอ้าปากตอบโต้กลับต้องชะงัก เพราะลิฟต์ที่เปิดออกรับคนภายนอกเข้ามา


                “อ้าวซิน ไม่ได้เจอกันนานเลย” คนมาใหม่กล่าวทักซิน อาจจะเป็นศิลปินหรือใครสักคนในบริษัทที่ผมไม่รู้จัก ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มแย้มทักตอบกลับไป ก่อนจะพูดคุยกันไปโดยที่ไม่ได้สนใจผมอีก


                และเมื่อถึงชั้นที่หมาย ผมก็เดินตามซินออกมา และเดินตามหลังเขาไปเงียบๆ


                “รอข้างนอกเนี่ยแหละ ไม่ต้องเข้าไป ฉันอยากพักผ่อน” เสียงเรียบพูดสั่งกันโดยที่ไม่ได้หันมามอง และก็เป็นหน้าที่ของผมเช่นกันที่ต้องทำตาม


                “...ครับ”


                นี่ใช่มั้ย คือสิ่งที่นายอยากให้เป็น


TBC.
...

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นมากๆนะคะ ><

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
«ตอบ #6 เมื่อ24-08-2013 00:54:00 »

อ่านแล้วหนึบๆ ในใจ

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
1/2

((ใกล้))
               


                ผมยืนเอนหลังพิงกำแพงอยู่ข้างๆบานประตูที่คนตัวบางเพิ่งจะเข้าไป คำพูดของซินยังคงวนเวียนสะท้อนอยู่ในหัว ไม่ว่ายังไง ปลายทางของเราก็ไม่มีทางที่จะบรรจบกันได้เลยเหรอ ไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้เลยเหรอ ซิน...


                “อ้าวนัท ทำไมยืนอยู่ตรงนี้”


                หลังจากที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองมาสักพัก คุณโอ๊ตก็เดินเข้ามา


                “ซินไม่ให้เข้าไปเหรอ”


                ผมไม่ได้ตอบ เพียงแค่ยิ้มนิดๆเท่านั้น


                “อ้าว ทำไมเป็นงั้นไป ปกติก็ไม่ได้ขนาดนี้นี่นา กับบอดี้การ์ดชุดที่แล้วก็พูดคุยกันดีนี่” คุณโอ๊ตบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะเปิดประตูและเดินเข้าไป และสักพักก็แง้มประตูและชะโงกหัวออกมา


                “เข้ามาข้างในเหอะ ยืนนานแล้ว”


                ผมถึงได้เดินเข้าไป


                ซินนั่งอยู่บนโซฟา ขนตาหนาเป็นแพเรียงตัวสวยเมื่อเจ้าตัวนั่งหลับตาพริ้มฟังเพลงจากหูฟังโทรศัพท์เครื่องโปรด อาจจะกำลังพักสายตาอยู่ เพราะปกติเป็นคนหลับยากยังกับอะไร ที่แบบนี้น่ะ หลับไม่ลงหรอก


                เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็ต้องหยุดความคิดตัวเองเอาไว้แค่นั้น เราไม่ได้รู้จักเขาดีขนาดนั้นสักหน่อย ลืมไปแล้วเหรอนัท ว่าวันนี้เราเพิ่งจะเจอเขาครั้งแรก... แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่ผมมองหาก็คือเขา


                ใช่สิ... เพราะเขาคือ ‘นายจ้าง’ ที่ผมต้องดูแลนี่นา ไม่ใช่เพราะอย่างอื่นหรอก...ใช่มั้ย?


                คุณโอ๊ตเดินมาจับนู่นหยิบนี่บนโต๊ะเอกสาร และทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง ก่อนที่จะชะงักและหันมาทางผม


                “เดี๋ยวอีกสักชั่วโมงก็ปลุกซินด้วยนะ ออกไปหาอะไรกินกันก่อน ถ่ายรายการคงจะยาว หาอะไรรองท้องก่อนจะดีกว่า”


                “ครับ”


                คุณโอ๊ตพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้องไป นี่สรุปว่าหลับไปแล้วจริงๆเหรอ หลับไปทั้งๆที่นั่งอยู่อย่างนั้นน่ะนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเหนื่อยมาก ก็เป็นเพราะเมื่อคืนโหมทำงานจนอดหลับอดนอนอีกน่ะสิ นิสัยเดิมๆไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ   


                ...!!


                อีกแล้วไอ้นัท! อย่าลืมตัวบ่อยนักสิวะ


                คนบนโซฟาขยับตัวน้อยๆเพื่อให้นั่งสบายตัวมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมา เสียงหายใจสม่ำเสมอทำให้แน่ใจได้ว่าเขาหลับไปแล้วจริงๆ ผมเลือกจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างโซฟาไปนิดหน่อย พอให้มีระยะห่างระหว่างเรา เพราะเกิดเขาตื่นขึ้นมาจะได้ไม่โวยวาย


                คอระหงพาดอยู่บนขอบโซฟา เส้นผมที่เจ้าตัวหวงนักหวงหนาสยายอยู่ด้านหลัง แขนบางๆนั่นยังกอดอกอยู่เลย แถมยังนั่งไขว่ห้างตามสไตล์เขาล่ะ แบบนั้นไม่เมื่อยแย่เหรอน่ะ ตื่นมาได้มีคอเคล็ดกันมั่งล่ะ ควรจะปลุกให้นอนเหยียดสบายๆดีมั้ย แต่ถ้าขืนตื่นมาเห็นว่าผมอยู่ในห้อง เจ้านี่คงไม่นอนต่อแน่ๆ


                ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร หัวซินก็เริ่มเอนไปด้านข้างนิดๆ ผมสวยไหลลงมาปรกหน้าหวาน ตัวบางๆนั่นก็เริ่มเอนมาด้านข้างอีกนิด ...อีกนิด ถ้ามากกว่านี้คงได้ล้มคว่ำลงมาแน่ๆ


                !!!


                ไวเท่าความคิด และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างกายเคลื่อนไหวได้ยังไง มารู้ตัวอีกที ตอนนี้ผมก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้าของซินแล้ว และมือข้างหนึ่งก็ประคองหัวทุยๆนี้อยู่ไม่ให้ล้มคว่ำไปซะก่อน... ซินขยับหัวเล็กน้อยเพื่อที่จะหนุนมือผมได้อย่างถนัดขึ้น


                ตึก


                ตึกตัก


                ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก


                เหมือนกับว่าหัวใจหยุดเต้นไปซะดื้อๆ ก่อนจะกลับมาเต้นอีกครั้ง และเร่งจังหวะขึ้นราวกับเสียงกลองจังหวะร็อค


                นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ใกล้มากขนาดนี้...


                ขนตาดกเป็นแพร จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางแดงสวย กลิ่นหอมจางๆจากคนตัวบางคนนี้ กลิ่นนี้ที่ผมบอกว่าเหมาะกับเขา กลิ่นที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็หอมเสมอ ซินที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็น่าหลงใหลเสมอ...


                คนคนนี้ที่มักจะอยู่ภายในสายตาของผู้อื่น เปล่งประกายได้แม้ภายในที่มืดมิด ประกายสายตาที่สดใสสะกดคนที่มองแทบหยุดหายใจ คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหนก็อยู่ในสายตาของผม


                เพลงของซิน น้ำเสียงของซิน สิ่งต่างๆของซิน ที่ผมยังไม่เคยลืม


                อยู่ใกล้เพียงแค่นี้ แต่แตะต้องไม่ได้ ขอแค่เวลานี้ได้มั้ย ขอให้ได้อยู่ไปแบบนี้สักพัก ให้ได้มองใบหน้าที่แสนคิดถึงนี้ใกล้ๆ อีกสักวินาทีเดียวก็ยังดี


                แต่ดูเหมือนว่าจะผมจะขอมากไป เพราะตอนนี้ซินเริ่มขยับตัวน้อยๆ


                คนตัวบางลืมตาขึ้นช้าๆโดยที่ยังไม่ได้ยกหัวขึ้นจากมือผม ใบหน้าที่เพิ่งตื่นสะลึมสะลือเล็กน้อยเพราะสมองยังปรับตัวไม่ทัน ตากลมมองมาทางผมอย่างงงๆ


                “นัท...” เสียงหวานกระซิบเรียกชื่อกัน น้ำเสียงที่แสนจะคุ้นเคยพาให้ใจผมกระตุกวูบ


                ยังไม่ได้ลืมกันจริงๆใช่มั้ยซิน...


                แต่เมื่อคนตัวบางเริ่มประมวลสถานการณ์ตรงหน้าได้แล้ว ก็เบิกตาโพลงก่อนจะเด้งตัวขึ้นจากฝ่ามือผมในทันที


                “นาย! เข้ามาได้ยังไง บอกให้รออยู่ข้างนอกไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม...!” ซินดึงหูฟังที่กำลังฟังเพลงออก ก่อนจะลุกยืนขึ้นชี้หน้าผม แต่สักพักก็ลดมือลง มือบางกำแน่นอย่างพยายามควบคุมตัวเอง ก่อนจะนิ่งเงียบไป


                “กี่โมงแล้ว” น้ำเสียงที่กลับมาเป็นปกติของซินถามขึ้น


                “สี่โมงครับ คุณโอ๊ตบอกเอาไว้ว่าควรจะออกไปหาอะไรทานรองท้องก่อน นี่ก็เกือบจะได้เวลาแล้ว” ผมที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวถอยออกมาเพื่อระยะห่างที่สมควรก่อนจะตอบ


                ซินไม่ได้พูดตอบว่าอะไร แต่จัดทรงผมให้เข้าที่ และขยับเสื้อผ้าที่ยู่ยี่จากการนอนเมื่อครู่ให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังประตู พอดีกับที่คุณโอ๊ตเปิดประตูเข้ามา


                “อ้าว กำลังจะมาตามพอดี แวะไปหาอะไรกินกันก่อนเข้าสตูดีกว่าเน้อะ จะได้ไม่หิว”


                “ครับ” ซินตอบสั้นๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป คุณโอ๊ตพยักหน้างงๆกับท่าทางแปลกๆของซิน ก่อนจะหันมาทางผม


                “มีอะไรรึเปล่า”


                “เปล่าครับ ...ไม่มีอะไร”


                “อืม เหนื่อยหน่อยนะ พยายามเข้าล่ะ” คุณโอ๊ตตบบ่าผมสองสามทีก่อนจะเดินตามซินออกไป


 

                คราวนี้ผมควบสองตำแหน่ง ทั้งบอดี้การ์ดและคนขับรถ เราแวะกินข้าวกันที่ทางผ่านไปสตูดิโอรายการ เป็นร้านอาหารเล็กๆแต่บรรยากาศดีใช้ได้ คนในร้านก็ยังไม่เยอะมากนัก จึงไม่มีใครสังเกตเห็นซินที่เข้ามาด้านใน


                ผมตั้งท่าจะรอที่ด้านนอก แต่คุณโอ๊ตกลับเรียกให้เข้าไปด้วยกัน เหตุผลเพราะว่าผมก็คน จำเป็นต้องหาอาหารใส่ท้องให้อิ่มและทำงานเหมือนกัน ตอนนี้ผมจึงอยู่บนโต๊ะอาหารร่วมกับทั้งสองคน โดยที่ผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของซิน และด้านข้างของซินคือคุณโอ๊ต อาหารสองสามอย่างถูกสั่ง และไม่นานก็ออกมาเสิร์ฟ


                ผมนั่งทานข้าวเงียบๆ ตอบรับเป็นบางครั้งเมื่อคุณโอ๊ตถามหรือหันมาพูดด้วย นอกจากนั้นก็นั่งฟังคุณโอ๊ตกับซินพูดคุยกัน โดยที่ซินไม่ได้หันมาทางผมเลยสักครั้ง เหมือนเคย


                “เออนี่ซิน อาทิตย์หน้างานที่ตรังน่ะ ต้องค้างคืนด้วยนะ เลยคิดว่าไหนๆก็ได้ไปไกลทั้งที หลังจากนั้นก็ว่างอีกสองสามวันด้วย เลยกะว่าจะไปเที่ยวกันต่อ ซินโอเคมั้ย”


                “ตรังเหรอ ทะเลสินะ ก็น่าสนใจเหมือนกัน เดี๋ยวซินถามป๊ากับม้าดูก่อนแล้วกัน”


                “โอเค เป็นอันว่าตกลง”


                “อ้าว ได้ไงพี่โอ๊ต ซินยังไม่ได้ถามป๊าม้าเลย เดินทางไกลๆ กลัวม้าจะเป็นห่วง เห็นบ่นๆว่าอยากจะไปบ้านคุณยาย ถ้าซินว่างก็จะให้ไปเป็นเพื่อน”


                “พี่โทรไปถามมาแล้ว ป๊ากับม้าบอกว่าแล้วแต่ซินเลย ถ้าซินตอบตกลงก็โอเค” เมื่อพูดจบคุณโอ๊ตก็ยักคิ้วตอบยิ้มๆ


                “หลอกถามกันนี่”


                “ก็อยากให้พักผ่อนบ้าง ทำงานเหนื่อยๆมานาน ไปพักผ่อนสมองมั่งดีกว่า”


                ซินทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ


                “ไปก็ไปสิ”


                เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจแล้วคุณโอ๊ตก็ยิ้มแป้น


                “นัทก็ต้องไปนะ ไปช่วยกันดูแล” คุณโอ๊ตหันมาพูดกับผม ซินชะงักไปทันทีที่ได้ยิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร


                ผมหันไปมองเขา เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจนแสดงออกมา ก็พยักหน้าตอบรับ


                “ครับ”


                “ค้างคืนได้ ไม่เป็นไรใช่มั้ย”


                “ครับ ถ้าพวกคุณต้องการให้ผมไปช่วยดูแล ก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องไป”


                “แหม ไม่ต้องเป็นงานเป็นการขนาดนั้นก็ได้นะ ไม่ต้องซีเรียสหรอก เป็นกันเองบ้างก็ได้”


                “ครับ”


                คุณโอ๊ตมองหน้าผมพลางถอนหายใจนิดๆก่อนจะหันไปคุยกับซินต่อ บทสนทนาหลังจากนั้นผมไม่ได้ตั้งใจฟังมากเท่าไหร่ เพราะจะออกไปทางคุยเล่นกันมากกว่า ทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ก็ออกเดินทางไปสตูดิโอ


                เมื่อมาถึงซินก็ถูกเชิญให้ไปที่ห้องแต่งตัวแขกรับเชิญ ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆเหลือเพียงผมกับซินอีกครั้ง เมื่อคุณโอ๊ตออกไปดูแลความเรียบร้อยส่วนอื่นด้านนอก


                คนตัวบางนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟา โดยที่ผมยืนอยู่ด้านข้างประตู มีเพียงเสียงกดโทรศัพท์ของซินเท่านั้นที่ดังอยู่ตอนนี้ ผมชักสงสัยซะแล้วสิว่า กับบอดี้การ์ดชุดก่อน ซินเฉยชาใส่พวกเขาแบบนี้หรือเปล่า


                บรรยากาศที่แสนจะอึดอัดภายในห้องถูกทำลายลงเมื่อทีมงานคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา


                “น้องซิน จะทานอะไรก่อนมั้ยคะ” หญิงสาวถามขึ้น


                “ไม่ครับ ไม่เป็นเป็นไร ซินทานมาแล้ว ขอน้ำเปล่าสักแก้วแล้วกันครับ” ซินหันมาตอบพลางยิ้มให้นิดๆก่อนจะหันกลับไปกดโทรศัพท์ต่อ


                “แล้วคุณบอดี้การ์ดสุดหล่อล่ะคะ จะรับน้ำด้วยมั้ย” หญิงสาวคนเดินจึงหันกลับมาถามพร้อม พร้อมส่งสายตาหวานมาให้


                “เอ่อ... ขอน้ำเปล่าแล้วกันครับ”


                “อย่างเดียวเหรอคะ จะรับขนมอย่างอื่นไว้ทานเล่นมั้ยคะ ถ่ายงานอาจจะเลิกดึก ทานอะไรลองท้องหน่อยมั้ยคะ”


                ลำเอียงกันอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ ถามคุณนักร้องแค่ประโยคเดียว แต่กลับมาถามบอดี้การ์ดอย่างผมซะยืดยาว นี่ผมกำลังถูกเกี้ยวพาราสีอยู่หรือเปล่านี่ ภาษาโบราณไปมั้ย ขอโทษด้วยครับ ._.


                “ไม่เป็นไรครับ ขอแค่น้ำเปล่าก็พอ” ผมตอบกลับไปด้วยท่าทางนิ่งๆตามนิสัย แต่ไม่รู้ว่าไอ้ท่าทางนิ่งๆของผมไปกระตุกต่อมอะไรของพี่เขาหรือเปล่าถึงได้หน้าแดง ยิ้มกว้างขนาดนั้น


                “ค่ะ งั้นรอสักครู่นะคะ”


                “ครับ เชิญครับ”


                ก่อนจะไปยังไม่วายหันมาส่งยิ้มหวานให้กันอีกรอบ


                เสียงประตูปิดลง ตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอจากคนตัวบางบนโซฟา แต่ก็เพียงแค่เสียงเบาๆเท่านั้น ผมมองไปที่ใบหน้าหวานที่ทำทีสนใจโทรศัพท์เครื่องบางนั้นซะเหลือเกิน


                แอบฟังอยู่ คิดว่าผมไม่รู้หรือไง


                “คุณซินอยากจะรับขนมไว้ทานเล่นด้วยมั้ยครับ” ผมจึงแกล้งลองถามเขาไป


                “...ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบกินอะไรเลี่ยนๆ” ซินเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับมาเสียงนิ่ง เน้นน้ำเสียงไปที่คำสุดท้ายสุดๆ


                “เมื่อก่อนชอบทานของหวานไม่ใช่เหรอครับ” ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ถามแบบนั้นออกไป เป็นเพราะคนตรงหน้าที่ทำท่าไม่สนใจกันมากขนาดนั้น หรือว่าเพราะอยากรู้อะไรบางอย่างกันแน่


                ซินวางโทรศัพท์ที่ถือลงทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันน้อยๆ ก่อนจะคลายออกและตีสีหน้าเรียบนิ่งแบบที่เจ้าตัวชอบทำ


                “เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน เมื่อก่อนอาจจะเคยชอบ แต่เพราะของหวานจะทำให้เสียงร้องของฉันมีปัญหา ฉันก็จำเป็นต้องเลิกกิน”


                หน้าเสียงเฉยชากับใบหน้าไร้ความรู้สึกนั้น เสียดแทงเข้าไปในหัวใจที่เคยคิดว่ามันชินชากับเรื่องแบบนี้ไปแล้วของผมให้เจ็บแบบแปลกๆขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งๆที่คิด และเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องตัดเรื่องส่วนตัวออกจากงานให้หมด แต่แล้วก็ทำไม่ได้


                ก็ที่พูดมานั่น ก็เหมือนกับฉัน ที่จะทำให้ชีวิตนักร้องของนายมีปัญหา จึงจำเป็นต้องตัดทิ้งกันไป ใช่มั้ยซิน...


                “คนบางคนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปตามเวลาหรอกนะ ถึงแม้ว่าการเล่นกีต้าร์จะเป็นการรบกวนเวลาฝึกซ้อมของผม ผมก็ยังเล่นมันทุกวัน ยังคงจำได้ ทุกเพลง ทุกท่วงทำนอง ทุกความรู้สึก


                ...ทุกๆเรื่องของเรา”


                ดวงตากลมโตไหววูบเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด ก่อนที่จะแสดงสีหน้าสับสนออกมา ผมควรที่จะดีใจใช่มั้ยที่ซินมีปฏิกิริยาแบบนี้ นั่นแปลว่าเขาเองก็หวั่นไหวอยู่เหมือนกัน ...ใช่มั้ย


                “พูดแบบนี้ ต้องการอะไร” ซินที่พยายามจะบังคับน้ำเสียงของตัวเองให้นิ่งอีกครั้งถามขึ้น แต่เสียงที่ดังออกมานั้นติดจะสั่นๆอยู่เล็กน้อย


                ผมยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น พยายามสื่อให้คนตรงหน้ารู้ถึงความรู้สึกของผมที่มีส่งผ่านสายตาออกไป นายจะเข้าใจมันบ้างมั้ยซิน งานนี้ถึงแม้ว่าพ่อจะบังคับ แต่ถ้าหากฉันไม่อยากทำจริงๆ ฉันก็สามารถปัดทิ้งไปได้ หรือไม่ก็ขอให้พ่อส่งคนอื่นมาแทน แต่เป็นเพราะนาย ที่ทำให้ฉันปฎิเสธพ่อได้ไม่เต็มปาก และก็เป็นเพราะนาย ที่ฉันอยากจะอยู่ใกล้ๆอีกสักครั้ง


                เพื่อให้ความใกล้นี้บอกฉันว่า ฉันควรจะยอมแพ้และถอยเหมือนก่อนหน้านี้


                ...หรือควรจะทวงหัวใจของนายคืน...


TBC.
....

เป็นยังไงกันบ้างคะ อยากติชมแนะนำตรงไหนบอกได้เลยนะ :)

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
«ตอบ #8 เมื่อ25-08-2013 02:03:02 »

ยิ่งอ่านยิ่งหน่วง สงสารคุณบอดี้การ์ด

ปล.ใส่ชื่อตอนที่หัวกระทู้หน่อยก็ดีน๊า
จะได้เห็นว่าอัพแล้ว

ออฟไลน์ toshika

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 819
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
«ตอบ #9 เมื่อ25-08-2013 03:02:36 »

อ่านแล้วหนึบๆหน่วงๆ มันอธิบายไม่ถูกอ่ะ เฮ้อเขาผิดใจเรื่องอะไรกันนะ รอติดตามค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
« ตอบ #9 เมื่อ: 25-08-2013 03:02:36 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
«ตอบ #10 เมื่อ25-08-2013 13:10:17 »

ตึบบบบบมากกก
หน่วงแทนคุณบอดี้การ์ด
แต่เชื่อเหอะ คุณศิลปินก้อคงหนึบ ไม่แพ้กัน
ใช่ไม๊หล่ะ??

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
2/1
((ตัดสินใจ))




                การถ่ายรายการดำเนินไปตามที่เตรียมการไว้อย่างราบรื่น มีการถามเรื่องงานเพลง อัลบั้ม และเรื่องทั่วๆไปของซิน รวมถึงเรื่องคอนเสิร์ต ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าขออุบเอาไว้ก่อน อาจจะเป็นเร็วๆนี้ หรืออาจจะเป็นปีหน้า ขอให้ทุกคนรอฟังข่าวกันอีกที ถ้าได้จัดจริงๆก็จะต้องมีเซอร์ไพรซ์พิเศษให้ทุกคนตกใจกันแน่นอน

                “เอาล่ะครับ มาถึงคำถามเรื่องหัวใจกันบ้างดีกว่า” เสียงพิธีกรรายการถามในขณะที่การถ่ายรายการกำลังดำเนินอยู่ โดยที่ผมยืนดูความเรียบร้อยอยู่ที่ด้านหลังจอมอนิเตอร์

                “ซินยังโสดอยู่หรือเปล่าครับ”

                “ครับ โสดอยู่ครับ” ซินหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

                “แล้วเคยมีใครบอกบ้างมั้ยครับว่าซินสวยมากเลย” ซินยิ้มนิดๆกับคำถามนี้ก่อนจะตอบ

                “...ครับ ก็มีบ้างนะ”

                “แล้วเคยมีผู้ชายมาจีบบ้างมั้ยครับ” คราวนี้ใบหน้าหวานหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

                “ไม่ครับ ไม่มี”

                “งั้นผมขอเป็นคนแรกได้มั้ยครับ” พิธีกรรายการถามด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มเรียกรอยยิ้มกว้างจากคนหน้าหวาน

                “จะดีเหรอ” ตอบได้เพียงเท่านั้น ก่อนที่ทั้งสองคนจะหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

                “แหมล้อเล่นครับ แต่ก็เพราะว่าซินเป็นคนสวยแบบนี้ก็เลยมีข่าวออกมาบ้างเหมือนกันว่าจริงๆแล้ว ซินไม่ใช่ผู้ชาย จริงรึเปล่าครับ

                ถ้าผมกระโดดเข้าไปต่อยหน้าไอ้พิธีกรรายการคนนั้น ผมจะผิดมั้ยครับ มันน่าโกรธมากจริงๆที่ถูกถามแบบนั้น

                แต่ซินทำเพียงยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบ

                “ถ้าซินไม่ใช่ผู้ชาย แล้วซินเป็นอะไรล่ะครับ”

                พิธีกรรายการอึ้งไปนิดๆที่ได้ยินซินถามกลับแบบนั้น เล่นเอาเงียบกันไปทั้งสตูเลยทีเดียว

                “ฉิบหายแล้ว” เสียงคุณโอ๊ตอุทานขึ้นเบาๆจากด้านข้างผม

                “เอ่อ... ฮ่าๆ นั่นสินะครับ ถ้าซินไม่ใช่ผู้ชายแล้วซินจะเป็นอะไร” เสียงพิธีกรหัวเราะกลบเกลื่อนบรรยากาศเมื่อครู่ ตามด้วยซินที่หัวเราะออกมาเบาๆ พาให้ทุกคนถอนหายใจเฮือกกันไป

                ผมมองใบหน้าหวานที่กำลังยิ้ม แต่นัยน์ตาไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย คงกำลังโกรธอยู่นั่นแหละ ขนาดผมที่ไม่ใช่เจ้าตัวได้ยินยังโกรธเลย ถึงแม้ว่าซินจะใช่หรือไม่ใช่ ก็ไม่จำเป็นต้องถามกันตรงๆอย่างนั้นเลยไม่ใช่หรือไง

                “สุดท้ายนี้ขอให้ซินได้ฝากฝังผลงานของซินกับท่านผู้ชมด้วยครับ”

                “ครับ ยังไงซินก็ฝากผลงานเพลงของซินทุกเพลงด้วยนะครับ ตอนนี้อัลบั้มก็วางแผงทั่วไปแล้ว ติดตามอุดหนุนกันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

                และรายการก็จบลงเพียงเท่านั้น เสียงพูดขอบคุณดังระงมไปทั่วทั้งสตูดิโอ ซินเดินขอบคุณทีมงาน ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพักตามด้วยคุณโอ๊ตและผม

                “คำถามนั่นนอกเหนือจากในสคริปต์นี่” ทันทีที่ประตูปิด ซินก็ถามขึ้นมาในทันที

                “ตอนที่เตี๊ยมกัน ไม่มีคำถามนั้นในสคริปต์เลย” คนตัวบางยืนหันหลังให้ และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

                “นั่นสิ พี่เองก็งง เดี๋ยวคงต้องออกไปคุยกันหน่อย ซินเองก็รออยู่ในนี้แล้วกัน ...ใจเย็นๆนะ” คุณโอ๊ตตอบ และเห็นว่าซินยังคงทำหน้าขมวดคิ้วนิดๆติดจะไม่พอใจ ก่อนจะเดินมาลูบหลังคนตัวบางก่อนจะเดินออกจากห้องไป

                เมื่อคุณโอ๊ตเดินออกไปซินก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา ก่อนจะถอนหายใจออกมา ผมมองอากัปกิริยาเหล่านั้นนิ่งๆก่อนจะถามออกไป

                “ไม่ชอบ ทำไมถึงไม่บอกออกไป ขืนไม่พูดก็คงมีคำถามแบบนี้อีกบ่อยๆ”

                คนตัวบางไม่ตอบอะไร แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียอย่างนั้น

                “ซิน”

                “ลืมตัวบ่อยไปรึเปล่า ‘คุณบอดี้การ์ด’” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่ได้มองหน้ากัน แถมยังเน้นฐานะของผมให้ได้ยินกันชัดๆอีกด้วย

                “อย่างน้อยก็ควรเคารพเรื่องความเป็นส่วนตัวกันบ้าง”

                “เมื่อมายืนอยู่ตรงนี้ เรื่องส่วนตัวน่ะไม่มีหรอก”

                “ทำไม...”

                “ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ ไม่มีวันเข้าใจ ทำหน้าที่ของนายไปก็พอ ฉันเหนื่อย ขออยู่เงียบๆสักพัก” น้ำเสียงปิดบทสนทนาขนาดนี้แล้วผมจะพูดอะไรต่อได้ ทำได้แค่ยืนมองซินหลับตาลง พิงหัวกับขอบโซฟาโดยที่คิ้วนั้นยังขมวดเข้าหากันอยู่เลย

                นั่นสินะ การกระทำของนาย ไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่มีวันเข้าใจสินะ...

                สักพักคุณโอ๊ตก็กลับเข้ามา

                “พิธีกรยอมขอโทษแล้ว บอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ไม่พอใจ แค่บรรยากาศมันพาไปเลยลองถามดู ฝากมาขอโทษซินด้วย ถ้ายังไงจะให้มาขอโทษด้วยตัวเองก็ได้ ซินว่าไง”

                “ไม่เป็นไรหรอกพี่โอ๊ต ช่างมันเถอะ”

                “แต่แหม ซินก็เล่นเอาตกใจกันไปทั้งสตูเหมือนกันนะ ตอบแบบนั้นอ่ะ”

                “ขอโทษ ทีหลังจะควบคุมตัวเองให้มากกว่านี้ แต่ซินไม่ชอบจริงๆนะที่เขาถามแบบนั้น”

                “โอเคๆ พี่เข้าใจ เอาเป็นว่าเราโอเคแล้วนะ”

                “ครับ”

                “งั้นเรากลับกัน สามทุ่มกว่าแล้ว”

                “อือ”

                คนตัวบางลุกขึ้นยืน บิดเนื้อบิดตัวนิดหน่อยก่อนจะเดินตามหลังคุณโอ๊ตไป
                “หิวมั้ย แวะกินอะไรก่อนรึเปล่า” คุณโอ๊ตถามขึ้น ตอนนี้เราอยู่บนรถระหว่างทางไปบริษัท

                “ไม่เอาอ่ะ อยากกลับบ้านแล้ว” ซินตอบ

                “งั้นเดี๋ยวนัทไปส่งพี่ที่บริษัทก่อน ซินวันนี้ป๊ามารับมั้ย”

                “วันนี้ป๊าไม่ว่าง ไปทำธุระ เดี๋ยวซินกลับเอง”

                “เดี๋ยวผมไปส่งเองครับ” ผมตอบขึ้นทันทีที่ได้ยินคำตอบจากซิน จะปล่อยให้กลับคนเดียวได้หรือไง มืดค่ำป่านนี้แล้ว ตัวเองก็หุ่นล่อเสือล่อตะเข้ขนาดนี้

                “ไม่ต้อง” ตามคาดครับ ซินปฏิเสธขึ้นมาทันควัน

                “ให้นัทไปส่งดีแล้วซิน กลับเองได้ไงเล่าอันตราย” คุณโอ๊ตพูดสนับสนุนผมอีกแรง

                “ดึกแล้ว บอดี้การ์ดเลิกงานได้แล้วมั้ง” ซินยังคงทำท่าจะไล่กันให้ได้อยู่ดี

                “หน้าที่ของผมคือดูแลคุณจนกว่าคุณจะถึงบ้าน ความปลอดภัยของคุณคืองานของผม ไม่มีเวลาเลิกงานหรอกครับ” ผมเหลือบตามองกระจกมองหลัง สบเข้ากับตากลมโตพอดี ตาหวานมองผมตาเขียวปั้ดก่อนจะหันหนีไปทางอื่น

                อย่างน้อยก็มองกันด้วยสายตาอื่นนอกจากเฉยชาแล้วนี่... แค่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว

             
                  “เดี๋ยวไปส่งซินดีๆนะ ซินก็คอยบอกทางนัทด้วย นัทไม่รู้ทาง ไปกันดีๆล่ะ” เมื่อถึงบริษัท คุณโอ๊ตก็หันมาพูดกับผมก่อนจะหันไปหาซิน และหันมาหาผมอีกที

                “ครับ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมส่งคุณซินเสร็จ จะเอารถมาคืนครับ”

                “ฝากด้วยนะ”

                พอคุณโอ๊ตลงจากรถไปในรถก็เหลือแค่ผมกับซินสองคน ผมขับรถออกมาเงียบๆ โดยที่แอบมองคนด้านหลังเป็นระยะๆ ซินยังคงนั่งนิ่งๆ มองออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่าด้านนอกนั่นมีสัตว์ประหลาดกำลังบินอยู่ข้างกระจกอย่างนั้นแหละ ผมเลื่อนสายตากลับมามองถนนอีกครั้ง เริ่มดึก ถนนก็เริ่มว่างแล้ว

                “เดี๋ยวกลับรถ ตรงไปที่ถนน...”

                “จำได้ ยังไม่ลืม”

                คนตัวบางชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด บ้านซิน...ทำไมผมจะจำไม่ได้

                “ไปส่งออกจะบ่อย ลืมได้ไง” ผมพูดพลางเหลือบมองคนด้านหลัง ซึ่งเขาเองก็กำลังจ้องมาที่ผมอยู่เหมือนกัน ผิดกันตรงที่สายตาที่เขามองมาแตกต่างจากผมนิดหน่อย

                ผมมองเขาด้วยรอยยิ้มนิดๆ

                แต่เขามองผมด้วยสายตารังเกียจหน่อยๆ - -

                แตกต่างกันนิดหน่อยจริงๆครับ...

                “ฉันย้ายบ้านแล้ว”

                “ฮะ?” คำตอบจากซินทำให้ผมชะลอความเร็วลงในทันที

                “ย้ายบ้าน...ตั้งแต่เมื่อไหร่”

                “มันใช่เรื่องที่นายจะต้องรู้รึเปล่าคุณบอดี้การ์ด”

                “....” ผมไม่ตอบ และยังคงขับรถต่อไปเรื่อยๆ ไปตามเส้นทางเดิมที่ผมรู้จักนั่นแหละ

                “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันย้ายบ้านแล้ว! นายขับผิดทางแล้วนะ!” ซินเริ่มขึ้นเสียงนิดๆอย่างไม่พอใจ ท่าทางแบบนี้ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร

                ผมไม่ได้ขับผิดทาง ซินยังคงอยู่ที่บ้านเดิม ไม่ได้ย้ายไปไหน หลายครั้งที่ผมไม่มีอะไรทำเวลาว่างๆ เลยออกมาขับรถเล่นเรื่อยเปื่อยแบบไม่มีจุดหมาย แค่อยากไปเรื่อยๆ ไปข้างหน้า ทิ้งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง แต่แล้วพอมารู้ตัวอีกที รถผมก็มาจอดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังหนึ่งทุกครั้ง

                บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยมีความสุขที่ได้มา บ้านที่เจ้าของต้อนรับผมด้วยรอยยิ้มเสมอ บ้าน...ของคนที่ผมรัก แค่มองอยู่ห่างๆ ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นเลย ขอแค่เพียงยังได้มองเห็นเขาอยู่ ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

                “ฉันบอกว่าผิดทางแล้วไง!!” เสียงซินตวาดลั่น ทำให้ผมจำเป็นต้องเลี้ยวเข้าข้างทางเพื่อจอดรถ

                “นายไม่มีทางจำได้ นายไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับฉันเลย นายลืมทุกๆอย่างไปหมดแล้ว นายลืมมันไปหมดแล้ว!”

                “นั่นคือสิ่งที่นายใช้ปลอบใจตัวเองหรือเปล่าซิน นายบอกตัวเองแบบนั้นเพื่อให้สบายใจ และลืมฉันได้ง่ายๆอย่างนั้นใช่มั้ย”   

                “นายไม่ได้สำคัญสำหรับฉันขนาดนั้นหรอกนะ เรื่องของนายฉันลืมไปหมดแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรเพื่อลืมนายอีก”

                เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมจึงเปิดประตูก้าวลงจากรถ ก่อนจะเดินวนไปเปิดประตูหลังฝั่งที่ว่างอยู่ก่อนจะเข้าไปนั่งด้านในและปิดประตูทันทีด้วยความเร็วเท่าที่เคยฝึกฝนมา และคว้าซินที่ทำท่าจะลงจากรถเอาไว้

                “แน่ใจนะว่าลืมกันไปหมดแล้ว” ขอมองหน้ากันให้ชัดๆหน่อย อย่างน้อยถ้าปากบางๆนั่นเลือกที่จะโกหก แต่ตาโตกลมสวยนี่ คงปิดความจริงเอาไว้ไม่มิด

                “ชะ...ใช่” คนตัวบางหลบสายตาผมในทันที

                “งั้นทำไมยังใช้น้ำหอมกลิ่นนี้อยู่”

                ซินนิ่งไปในทันที ร่างบางกลั้นหายใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะพรู่ลมหายใจออกมา

                “ไม่ใช่เรื่องของนาย”

                “เบี่ยงเบนประเด็นแบบนี้ยิ่งน่าสงสัยนะ” ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาใสแจ๋วนี้ ความจริงที่อยู่ภายใต้เกราะใสบางๆ ที่กำลังลดขนาดลงเรื่อยๆ พร้อมๆกับที่ผมกำลังลดระยะห่างจากคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันมากยิ่งขึ้น ซินไม่ได้พยายามที่จะขยับตัวหนีไปไหนอีกแล้ว

                เราทั้งสอง ต่างพยายามมองหาความจริงจากกันและกัน อยากจะใกล้กันให้มากกว่านี้ เพื่อให้แน่ใจ และเพื่อทดแทนความเหินห่างที่ผ่านมานานแสนนานแล้ว ไม่ใช่แค่ผมที่เคลื่อนกายมาด้านหน้า ซินเองก็เหมือนกัน
                ใกล้มากขึ้น...จนแทบลืมหายใจ

                ...ซินคนเดิม...



 
                ก๊อกก๊อก!!

                !!!

                เคยดูหนังตอนถึงจุดไคลแมกซ์ที่แบบพระเอกกกำลังจะตายแหล่มิตายแหล่แล้วดันมีคนมาปิดโทรทัศน์มั้ยครับ แทบอยากจะกระโดดถีบไอ้คนคนนั้นสักโครมนึงเลยใช่มั้ย แล้วถ้าผมจะขอกระโดดถีบตำรวจคนนี้จะได้มั้ยครับ ขอหลุดมาดบอดี้การ์ดสุดเท่แป๊บนึง

                ซินกระเด้งตัวออกจากผมในทันที พลางถอยกรูดไปจนชิดที่ประตูอีกฝั่ง ผมถอนหายใจช้าๆก่อนจะหันไปลดกระจกฝั่งผมลง

                “มีอะไรรึเปล่าครับ” เสียงคุณตำรวจที่หวังดีไม่ถูกเวล่ำเวลาถามขึ้น

                “เปล่าครับ พอดีมีเรื่องคุยกันนิดหน่อย”

                คุณตำรวจเลื่อนสายตาจากผมไปทางซิน อย่างไม่ค่อยมั่นใจ

                “คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ

                “ปะ...เปล่า เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร”

                “เขาทำอะไรคุณรึเปล่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”

                “เปล่าครับ ไม่มีอะไร เขาเป็นคนขับรถของผมเอง นายก็ไปขับรถต่อได้แล้ว แขนฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ...ไปสิ!” ซินหันไปพูดกับคุณตำรวจ ก่อนจะหันมาไล่ผมบ้าง

                กลายเป็นคนขับรถไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

                คุณตำรวจที่เข้าใจว่าผมมาดูแขนที่เจ็บให้เจ้านายเดินจากไป ผมจึงต้องเดินลงจากรถกลับมานั่งที่หลังพวงมาลัยอย่างเดิม

                แล้วสรุปว่าเมื่อกี้นี้ ยังไง...

                “เอ่อ...”

                “ฉันจะกลับบ้าน”

                ผมที่กำลังจะสานต่อจากเมื่อกี้ต้องหยุดลงทันที

                “บ้านไหนล่ะ บ้านเก่า หรือบ้านใหม่”

                “อย่ากวนโมโห ฉันไม่มีอารมณ์อยากจะเถียงด้วย”

                “...ครับ”

                ผมยิ้มพอใจให้กับตัวเอง ก่อนจะตอบออกไป แค่นี้ก็พอแล้วครับ มากพอแล้วกับการรับรู้ว่าเขาเองก็ยังไม่ได้ลืมเรื่องของผมเหมือนกัน

                เขาเองก็ยังคงเป็นเขาคนเดิมที่ผมรู้จัก ภายใต้เกราะบางๆภายนอก เกราะที่ตอนจากนี้คงไม่ยากแล้วถ้าจะทุบมันทิ้ง อยู่ที่ว่าเจ้าตัวจะให้ความร่วมมือมากแค่ไหน

                ผมว่า ผมตัดสินใจได้แล้ว...


TBC.
.....

มาแล้วจ้าาา หายหนึบกันบ้างยังเอ่ยย
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ
ยังไม่ค่อยชินกับเล้าเท่าไหร่ จะพยายามปรับปรุงน้าา

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ยังไม่ลืมกันสินะ
รุกเลยค่ะคุณบอดี้การ์ด
จัดไปอย่าให้เสีย อิอิ

ออฟไลน์ machan000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :z3:หน่วงๆนะ

อยากรู้สาเหตุอ่ะ สงสารคุณบอดี้การ์ด

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตอนนี้ซินหมือนเด็กดื้ออ้ะ
อยากรู้เหมือนกันว่าห่างกันเพราะอะไร

ออฟไลน์ toshika

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 819
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
สู้ๆค่าพี่บอดี้การ์ด รุกคุณศลป.เยอะๆเลย เอาใจช่วย

หายหน่วงไปนิด ตอนนี้รอคุณศลป.ใจอ่อนอย่างเดียว แฮะๆๆ

รอติดตามนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
2/2

((ตัดสินใจ))
             


                หลังจากที่ส่งซินที่บ้าน และช่วยขนของจากแฟนคลับจนเสร็จ ผมก็กลับมาที่บริษัท ไม่ต้องหวังหรอกครับว่าหลังจากนั้นผมกับซินจะได้ใกล้กันอีกมั้ย เพราะพอถึงบ้าน คุณซินมันก็ลงจากรถโดยที่ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า


                ‘ขนของเข้าไปให้ด้วย’


                เท่านั้นแหละครับ


                ผมยืนพิงรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันโปรดรับลมเย็นๆยามค่ำคืน เสื้อสูทถูกถอดออกพาดบ่าเอาไว้ สองแขนล้วงกระเป๋ากางเกงเงยหน้ารับอากาศสดชื่น ผมชอบนะ อากาศตอนกลางคืน เงียบสงบดี แถมเย็นสบายดีด้วย สายตามองทอดออกไปไร้จุดหมาย ก่อนที่ภาพบางอย่างจะแว๊บเข้ามาในหัว






                “จับแน่นๆนะ”


                “ไม่เอาๆ จะลงแล้ว ไม่เอาอ่ะ ให้เราลง”


                “เถอะน่า เกาะแน่นๆก็พอ ไม่ตกหรอกน่า กลัวทำไม”


                “มันสูง!”


                “คนอย่างซินกลัวอะไรเป็นด้วยรึไง”


                “เราไม่ชอบนั่งมอเตอร์ไซค์!”


                คนตัวกว่าสูงหัวเราะขำๆกับท่าทางของคนตัวบางด้านหลังที่กอดเอวเขาจนแน่น ทั้งๆที่ตอนนี้รถก็อยู่กับที่แท้ๆ ยังไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหนเลย แต่เจ้าตัวก็ทำท่าทางกลัวซะเต็มที่


                “นี่ใครกำลังขับอยู่ ไม่เชื่อใจฉันรึไง ซิน...”


                มือหนากุบมือบางที่กอดเอวเขาเอาไว้ พร้อมกับหันหน้าไปหาคนด้านหลัง เรียกชื่อให้เงยหน้ามองหน้ากัน ซึ่งคนถูกเรียกก็ยอมมองแต่โดยดี


                “เชื่อสิ ไม่ว่ายังไงฉันไม่ยอมให้นายเจ็บตัวหรอกน่า ขอแค่อยู่ใกล้ๆกัน ฉันดูแลนายแน่ๆ ...นะ”


                รอยยิ้มอ่อนโยนจากคนตัวสูงพาให้คนตัวบางค่อยๆยกรอยยิ้มน้อยๆตอบรับ ...ขอแค่อยู่ใกล้ๆกัน


                “เอาล่ะนะ”


                เสียงสตาร์ทรถดังกระหึ่มก่อนที่จะ...


                บรื้นนนนน


                “ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”


                เสียงร้องโวยวายจากคนตัวเล็กดังลั่นไปตลอดทาง พาให้คนขับหัวเราะเสียงดังไปด้วย จะเพราะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตั้งใจเร่งเครื่องเต็มที่เพื่อที่จะแกล้งกันน่ะสิ แขนเล็กที่กอดแน่นอยู่แล้วยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก พอรถเริ่มชะลอและคนซ้อนเริ่มชินกับการนั่งแล้ว คนตัวบางก็เงยหน้าขึ้นมาและได้ยินเสียงหัวเราะให้เต็มๆ


                “แกล้งเหรอ!” ไม่ว่าเปล่า มือเล็กยกขึ้นทุบกัน อั้กๆ


                “โอ้ยๆๆ เจ็บๆ พอแล้วว เดี๋ยวล้ม ฮะๆๆๆ”


                เสียงหัวเราะจากทั้งสองคนยังคงดังก้องไปตลอดทาง

 

 

                ณ สวนสาธารณะสักแห่งหนึ่งในเมืองหลวงนี้ ดึกป่านนี้แล้ว ที่แห่งนี้จึงไม่มีผู้คนหลงเหลืออยู่ คนสองคนนั่งเกยไหล่พิงกันอยู่บนที่นั่งในสวนสาธารณะ


                “ลมเย็นดีจัง” เสียงหวานเอ่ยขึ้น


                “อืม รู้ว่าจะชอบ เลยพามานี่ไง ถ้าไม่โวยวายก็คงมาถึงไม่ดึกขนาดนี้หรอก”


                “แล้วใครใช้ให้แกล้งกันล่ะ! เราบอกแล้วว่าไม่ชอบๆ” คนตัวบางกระเถิบออกห่างในทันที


                “ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร มาถึงนี่ปลอดภัยดีมั้ยล่ะ มีอะไรหล่นหายไปกลางทางบ้างมั้ย ไหนดูสิ” คนตัวใหญ่กว่าทำทีเป็นจับนู้นเปิดนี่เพื่อสำรวจตัวของอีกฝ่าย พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ


                “ฮะๆ อย่าๆ อย่าจับตรงนั้น ฮะๆๆ อย่าจั๊กจี้! อย่า!” คนตัวบางบิดเร่าๆไปมาเมื่อถูกจี้เอวทั้งสองข้าง อีกคนก็แรงเยอะเหลือเกิน จะสู้ไหวได้ไง


                “หึหึ ก็ยังอยู่ครบทุกส่วนนี่นา”


                คนตัวบางที่หอบจนพอใจหันมามองหน้ากันตาเขียว


                “หาย! หายไปอย่างนึง”


                “อะไรหาย”


                “ใจหายไงเล่า! ขับเร็วแบบนั้นตกใจแทบตาย หัวใจกระเด็นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้!!” พูดจบยังไม่วายยื่นมือมาเขกหัวกันอีกแหนะ


                “มั่วแล้ว จะหายได้ไง” มือหนายกขึ้นจับมือบางที่เขกหัวตัวเองมากุมไว้ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอะไร


                “ทำไมจะหายไม่ได้”


                “หัวใจนายอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ...” แขนแกร่งยกมือบางเรียวสวยมาทาบทับกับหัวใจเขาเอง ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่อไปทั่วแก้มใส


                “หัวใจเราจะไปอยู่ที่นายได้ไง หัวใจของเราก็ต้องอยู่ที่เราสิ” เสียงหวานอ้อมแอ้มตอบโดยที่ไม่ยอมมองหน้ากัน


                “ขโมยมานานแล้ว อย่าบอกนะว่ายังไม่รู้ตัวอีก”


                “....” คนตัวบางทำเพียงแค่มองหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มนิดๆ
 

                “เอางี้ละกัน ในฐานะที่ฉันขโมยหัวใจนายมา แทนที่จะให้หน้าอกตรงนี้ของนายมันว่างเปล่าๆ เอาหัวใจฉันไปใส่ไว้แทนละกัน”


                คนตัวบางหลุดเสียงหัวเราะออกมาในทันที


                “มั่วตลอด” มือบางยกขึ้นพลักหัวคนที่ยิ้มหน้าทะเล้นอยู่ตอนนี้


                “โห่ หมดมู้ดเลย”


                “เอาหัวใจเราไปอ่ะ แน่ใจเหรอว่าจะดูแลได้”


                “แน่ใจที่สุด”


                “มันค่อนข้างที่จะเรื่องมากหน่อยนะ”


                “ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”


                “เอาแต่ใจนิดหน่อยด้วย”


                “คิดว่าน่าจะรับมือไหว”


                “อืม...”


                “พอๆ ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่รับได้หมด ขอแค่อย่าผลักไสกันก็พอ” 
         

                คนตัวโตกว่าตัดบทก่อนจะเอื้อมมือมาโอบไหล่บางไว้โยกไปมาเบาๆ


                “ส่วนหัวใจฉัน เรื่องไม่มากหรอกนะ ไม่ต้องการอะไรมากมายเลย ขอแค่รัก แล้วก็ดูแลมันบ้างก็พอ”


                “อยากมาอยู่กับเรานัก ก็ดูแลตัวเองสิ”


                “ใจร้ายโคตร”


                “ไม่เคยใจดีอยู่แล้ว”


                เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นจากทั้งสองคน คนปากแข็ง ถ้าไม่คิดที่จะดูแลกันจริงๆคงไม่มาอยู่ด้วยกันตรงนี้หรอก คงกระโดดลงจากรถตั้งแต่แรกแล้ว แต่ที่ยอมนั่งซ้อนท้ายกันมาทั้งที่กลัวขนาดนั้น จะเพราะอะไรกันล่ะถ้าไม่อยากเอาใจกัน


                “ดาวตก!!” คนตัวเล็กที่แหงนหน้ามองท้องฟ้าเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ในทันที


                “อธิษฐานเร็ว!” เสียงหวานหันมาบอกอีกคนก่อนจะยกสองมือขึ้นประสานกันและหลับตาลง


                คนตัวโตกว่าทำเพียงแค่เดินมายืนข้างกันและมองหน้าคนที่เขารักเท่านั้น ใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มชวนมอง อธิษฐานเรื่องอะไรกันนะ จะคิดถึงกันบ้างหรือเปล่า


                ดวงตากลมโตลืมขึ้นก่อนจะหันมายิ้มให้กันอีกครั้ง


                “อธิษฐานว่าไร” คนตัวโตถาม


                “ขอให้เดินตามฝันได้สำเร็จ”


                “แล้วเรื่องฉันอ่ะ”


                “ทำไมอ่ะ” ไม่ขอถึงกันแล้วยังมีหน้ามาทำตาบ้องแบ๊วใส่กันอีก - -


                 “ไม่เห็นขอถึงกันบ้างเลย”


                “อยากได้อะไรก็อธิษฐานเอาเองสิ แล้วเมื่อกี้ขออะไรเหรอ”


                “ไม่บอก”


                “ได้ไง ทีเรายังบอกเลย”


                “ความลับ”


                คนตัวบางค้อนให้อีกฝ่ายเสียหนึ่งที ก่อนจะพูดออกมา


                “ไม่บอก ก็ไม่อยากรู้หรอก”


                คนตัวโตกว่าทำเพียงแค่หัวเราะเบาๆเท่านั้น

………



.

.

 

                    ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม รับลมเย็นๆยามค่ำคืนอยู่ที่ข้างรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ เพียงแต่ตอนนี้ มีแค่ผมคนเดียว กับคำอธิฐานในวันนั้น ไม่รู้ว่าไอ้อุกกาบาตที่ล่วงผ่านโลกไปในวันนั้นมันจะช่วยอะไรได้ไหม แต่ตอนนี้ผมคิดว่ามันอาจจะช่วยได้จริงๆ

 

                …‘ขอแค่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ได้อยู่ใกล้คนๆนี้ก็พอ’…


TBC.
...

แวะเอาตอนหวานๆมาหย่อนให้บ้างค่ะ
เห็นหลายคนบ่นๆว่าหน่วงงง
จะชอบกันมั้ยน้ออออ ><


ขอบคุณคอมเม้นจากทุกคนมากๆนะคะ
อยากฟังความเห็นของทุกๆคนเลยค่ะ อยากรู้ว่าทุกคนอยากจะให้เป็นยังไงต่อไป

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
อ่านเรื่องของ2คนนี้ทีไรมีความสุขทุกทีไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม
และไม่ว่าจะอ่านมากี่เรื่องราวสิ่งเดียวที่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆก็คือ เค้ารักกันจริงๆไม่ใช่ในนิยาย

ออฟไลน์ toshika

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 819
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
อ๊า~ ถึงจะเป็นตอนหวานๆของอดีต แต่ก็ยังดีใจที่ได้อ่าน

อยากให้ปัจจุบันหวานแบบนี้จัง รออีกนานไหมเนี่ย

ปล.อยากให้ชีวิตจริงเขารักกันจริงๆเนอะ  :mew2:

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
ชอบจัง
ลุ้นความรักของทั้งคู่จริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ machan000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อื้อหือออ คุณบอดีการ์ด
คุณจะรู้ไหม ว่าทำใจฉันสั่นไหว ~

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หวานแบบเหงาๆ

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
3

 ((กลัว))



                วันนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทตอนเช้า เพราะวันนี้ศิลปินของผมไม่มีงาน จะมีอีกทีก็ตอนเย็นที่ต้องไปเล่นไลฟ์ในผับ ตอนที่ได้ยินก็เล่นเอาตกใจเหมือนกัน รับงานในผับด้วยเหรอ แต่มีบอดี้การ์ดประกบตลอดอยู่แล้วก็คงไม่เป็นไร


                ผมเดินวนไปมาอยู่ในโรงฝึก ทุกคนก็ยังฝึกกันอย่างแข็งขันเหมือนเดิม


                “พี่นัทททททท” เสียงเรียกชื่อลากยาวพร้อมกับเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาใกล้ๆ


                วันนี้มาแปลก ไม่ได้ลอบทำร้ายกันเหมือนทุกที


                “ว่าไง”


                “ผมมีเรื่องจะถาม”


                รู้จักเจ้ากัสกันแล้วใช่มั้ยครับ ที่โผล่มาตอนแรกๆ ไอ้แสบนี่เรียนมอปลาย มาเข้าโรงฝึกเพราะชอบเรียนศิลปะการป้องกันตัว อยากจะเป็นบอดี้การ์ดเท่ๆแบบผมบ้าง เจ้านี่จะมาทุกวันหลังเลิกเรียน ส่วนเสาร์อาทิตย์นั้นแล้วแต่อารมณ์ ถ้าไม่มีที่ไปก็จะมา - -


                “มีอะไร”


                “ผมได้ยินมาว่าพี่นัทไปทำงานกับพี่ซิน!”


                “อืม”


                “จริงอ่ะ!!! ทำไมคุณลุงไม่ให้งานผมทำบ้างงง นี่ก็ปิดเทอม ผมว่างอยู่ๆๆ”


                ผมมองท่าทางสะดีดสะดิ้งอย่างเกินควรของไอ้เด็กนี่


                “หน้าตาก็ดี รูปร่างก็เท่ เสือกอยากเป็นตุ๊ด”


                “ผมไม่ได้เป็นตุ๊ด!!”


                “ถ้าเห็นท่าทางตัวเองเมื่อกี้จะรู้ว่าที่ฉันพูดมันจริง”


                “พี่นัทแม่ง...”


                มันบ่นงึมงำอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้สน ว่าจะไปซ้อมยิงปืนสักหน่อย ไม่ได้ฝึกมาหลายวันแล้ว


                “เฮ้ย เดี๋ยวๆ” ไอ้แสบวิ่งมาขวางหน้าผมอีกรอบ


                “อะไรอีกวะ”


                “ขอไปทำงานด้วยวันนึงดิ”


                ผมหันไปมองหน้ามันอย่างสงสัย ผมไปทำงานบ่อยนะ นักการเมืองสองสามเดือน พวกผู้บริหารระดับสูงๆอีก แต่ไม่เคยเห็นไอ้เด็กนี่มันร้องตามสักที คราวนี้มาแปลก แถมท่าทางมีพิรุธ


                “ฉันไปทำงาน ไม่ได้ไปเล่น”


                “รู้น่า ไม่ทำตัววุ่นวายให้เดือนร้อนแน่นอน” ผมมองท่าทางมาดมั่นอย่างจริงจังของไอ้กัส สงสัยจะเอาจริง


                “ไม่ได้”


                “ทำไมอ่ะ!!”


                “นะนะ ขอเห็นพี่ซินใกล้ๆสักครั้งก็ยังดี”


                นั่นไง มันเผยเรื่องแอบซ่อนออกมาแล้ว


                “อะไรนะ”


                “เฮ้ยไม่ใช่! ขอแค่ได้ไปฝึกในสถานการณ์จริงแค่สักครั้งก็ยังดี!”


                แก้ตัวไม่ทันแล้วจริงๆว่ะ - -


                “อยากเจอซินไปทำไม” ผมมองหน้ามัน ซึ่งก็จ้องกลับมาอย่างหวาดๆ


                “กะ..ก็...ชอบ”


                “ชอบ?”


                “อืม...”


                เหตุผลน่าโบกมาก แต่เสียใจด้วยว่ะเด็กน้อย คนที่เองชอบน่ะ ของข้า! หึหึ   


                “ยังไงก็ให้ไปไม่ได้ ฉันไปทำงาน อีกอย่างงานจ้างบอดี้การ์ดแค่คนเดียว ถ้าเอานายไป ฉันจะบอกนายจ้างว่ายังไง อยู่นี่ ฝึกฝนตัวเองให้ดี ถ้าเก่งแล้วพ่อคงหางานให้นายเอง เอาเวลาเล่นไปทำเรื่องมีสาระซะบ้าง โดนพ่อฉันบ่นยังไม่พอรึไง หรืออยากหาคนบ่นเพิ่ม”


                “โห พ่อลูกเหมือนกันเปี๊ยบ ...โอ๊ย!”


                ผมจัดการโบกหัวมันไปหนึ่งที ตอนแรกอุตส่าห์ปราณี แต่ปล่อยเอาไว้นานๆแล้วมันเหลิง


                “ลามปาม” 


                ผมผลักหัวมันไปอีกทีก่อนเดินออกมา ไม่สนใจเสียงกระเง้ากระงอดจากลูกหมาที่ไล่งับหางตัวเองอยู่ และตรงไปที่โรงฝึกซ้อมยิงปืน


 

 

                หกโมงครึ่งผมก็มาถึงที่บริษัท เอาลูกชายสุดที่รักไปจอดที่เดิมก่อนจะไปยืนรอลิฟต์ นึกไปถึงไอ้แสบที่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาก่อนที่เขาจะออกมาแล้วก็ตลก


                ‘ขอลายเซ็นให้หน่อย!’ เสียงแหลมสูงของไอ้กัสยังตามมาหลอกหลอนผมจนถึงที่นี่ มันวิ่งเพื่อที่จะเอาอัลบั้มของซินมาให้ผม เพื่อที่จะให้ผมมาขอลายเซ็นให้มัน ผมก็ดันบ้าจี้รับของมันมาซะด้วยสิ แล้วแบบนี้ซินจะยอมเซ็นให้มั้ยเนี่ย ไม่ใช่ว่าซินหยิ่งหรืออะไร แต่เพราะว่าผมเป็นคนขอเนี่ยแหละ


                ยืนรออยู่สักพักลิฟต์ก็เปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งเดินสวนผมออกมา ใบหน้าสวยหวาน พร้อมๆกับกลิ่นหอมที่ส่งมาจากตัวของเธอ พาให้ผมหันไปมองอย่างช้าๆ เธอส่งยิ้มหวานมาให้ ผมจึงต้องส่งยิ้มนิดๆคืนตอบกลับไป ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์


                สวย น่ารัก


                แต่ ซินของผมน่ารักกว่า...


                เมื่อเดินมาถึงก็เห็นคุณโอ๊ตเดินออกมาพอดี


                “อ้าวนัท เข้าไปก่อนสิ ซินอยู่ข้างใน”


                “ซินมาแล้ว ทำไมมาไว หรือว่าผมมาสาย”


                “เปล่าๆ พอดีคุณพ่อเขามาส่งเร็วน่ะ เห็นว่าจะไปทำธุระต่อ เข้าไปข้างในสิ”


                “ครับ”


                ผมเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับร่างบางที่นั่งอ่านเอกสารอะไรสักอย่างอยู่บนโซฟา เขาเงยหน้ามามองผมนิดๆก่อนจะก้มไปสนใจงานของเขาต่อ อย่างน้อยก็ไม่ได้ตวาดไล่กันล่ะนะ


                ผมเลยเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ ก่อนจะยื่นหน้าปกวีซีดีอัลบั้มเพลงของเขาไปตรงหน้า ซินจึงเงยหน้ามามองผม


                “เซ็นให้หน่อยครับ”


                ซินมองหน้าผมงงๆก่อนจะก้มลงมองสิ่งที่ผมยื่นให้ ก่อนจะเลิกคิ้วน้อยๆ


                “อะไร” เสียงหวานถามขึ้นห้วนๆ


                “อัลบั้มนายไง จำไม่ได้เหรอ”


                ตากลมสวยตวัดใส่กันในทันที


                “จำได้ แล้วยังไง”


                “เซ็นให้หน่อย ลายเซ็น” เมื่อได้คำตอบ คิ้วที่ขมวดกันจึงคลายออกในทันที


                “ของใคร พี่โอ๊ตให้เอามาให้เหรอ”


                ทำไมต้องคิดว่าเป็นของคนอื่น แต่มันก็ของคนอื่นจริงๆนั่นแหละ แล้วถ้ามันเป็นของผมล่ะจะเป็นยังไง


                “เปล่า ...ของฉัน”


                “ฮะ?” ซินร้องขึ้นเสียงสูงอย่างลืมตัว หลุดเก๊กกันเลยทีเดียว


                “ของฉันเอง เซ็นให้หน่อย”


                ซินมองผมด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ก่อนจะก้มลงอ่านงานของเขาต่อ และทำเป็นเมินใส่กันเฉยเลย ต่อหน้าต่อตา - -


                “หรือว่าดังแล้วหยิ่ง” ไม่ได้เจตนาจะว่านะครับ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะคิดว่าเป็นอย่างนั้น เลยเงยหน้ามามองกันด้วยท่าทางไม่พอใจ นั่นแปลว่าแผนผมสำเร็จ


                “ฮึ” ซินหัวเราะในลำคอก่อนจะก้มลงเขียนอะไรบางอย่างยุกยิกๆลงบนปกอัลบั้ม ก่อนจะยื่นมันให้ผม


                ทันทีที่ผมเห็นข้อความที่เขาเขียนให้ทำให้ผมเก็บอาการแทบไม่ทัน ต้องทำเป็นกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อนการขำแทน


                ‘ไปตายซะ’


                ไม่รู้ว่าไอ้กัสมันมาเห็นของของมันแล้วจะว่ายังไง แอบรู้สึกผิดนิดๆแล้วสิ   


                ผมไม่รู้นะ กับคนอื่นอาจจะคิดว่าคำพูดแบบนี้เอามาใช้ล้อเล่นกันมันแรงไปหรือเปล่า หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับผม การที่ซินเขียนแบบนี้นั่นแปลว่าเขาเองก็เริ่มที่จะโต้ตอบกับผมแล้วเหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะเผ็ดร้อนไปบ้างก็เถอะ ก็ยังดีกว่าเฉยชาใส่กันไปเลยไม่ใช่เหรอ


                “พอใจรึยัง” คนตัวบางถามกันเสียงห้วน


                “ครับ พอใจแล้ว ขอบคุณครับคุณศิลปินที่น่ารัก”


                ซินแค่เพียงมองหน้ากันด้วยสายตาไม่พอใจนิดๆก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารของเขาต่อ พอดีกับที่คุณโอ๊ตเดินเข้ามาในห้อง


                “ไปกันได้แล้ว” เสียงคุณโอ๊ตเรียกพาในคนตัวบางลุกขึ้นหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย ก่อนเราจะเดินออกมาจากห้องพร้อมกันทั้งสามคน

 


                ผับที่ซินมาเล่นไลฟ์ในวันนี้ค่อนข้างใหญ่ และมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก เมื่อมาถึงพวกเราก็ถูกเชิญเข้าไปในห้องรับรอง มีแฟนคลับจำนวนไม่น้อยที่ตามมาให้กำลังใจซินถึงที่นี่ ทำให้บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างที่จะวุ่นวายไปสักหน่อย


                ซินนั่งเล่นอยู่บนโต๊ะที่ทางร้านจัดให้กับคุณโอ๊ต โดยมีผมยืนประกบอยู่ข้างๆ และไม่นานทางร้านก็เอาอาหารเข้ามาเสิร์ฟ เพื่อเติมพลังกันก่อนขึ้นแสดงโชว์ บรรดาแบ็คอัพทั้งหลายก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมเครื่องมือของตัวเอง 
จ               
                “เดี๋ยวซินไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ” ซินพูดก่อนจะทำท่าลุกขึ้นยืน



                “ห้องน้ำในนี้ไม่มี ต้องออกไปเข้าข้างนอก นัทไปกับซินด้วย คนเยอะมากเลยดูดีๆด้วยล่ะ” คุณโอ๊ตหันมากำชับกับผม


                “ครับ”


                ซินหันมามองผมนิดๆ ผมจึงเดินออกนำหน้าเขาไป ห้องรับรองนี่อยู่ที่ด้านหลังของร้าน ซึ่งค่อนข้างที่จะลับตาคนพอสมควร แต่ก็มีบ้างบางคนที่หลบออกมาโทรศัพท์ หรือหาที่เงียบๆพูดคุยกัน


                ซินเดินตามหลังผมมาเงียบๆ จนกระทั่งที่มีผู้หญิงสามคนที่ยืนอยู่แถวนั้นหันมาเห็นซินพอดี และทำท่าจะตรงเข้ามาขอถ่ายรูป


                “พี่ซิน! พี่ซิน ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะๆๆ” พวกเธอวิ่งตรงเข้ามาในทันที ผมจึงต้องกางแขนออกเพื่อกันไม่ให้พวกเขาพุ่งเข้าหานักร้องของผม


                “เดี๋ยวขอซินเข้าห้องน้ำก่อนนะ แล้วค่อยมาถ่ายกัน” ซินตอบกลับไปไม่เชิงปฏิเสธเพื่อรักษาน้ำใจบรรดาแฟนคลับของเขา ซึ่งพวกเธอก็เข้าใจและยอมถอยให้เราได้เดินต่อ แต่ก็ยังไม่วายเดินตามมาเรื่อยๆ และกดชัตเตอร์กันแบบรัวเลยทีเดียว       
         

                บริเวณหน้าห้องน้ำที่ด้านหลังไม่มีใครเลย ผมที่ทำท่าจะเดินตามหลังซินเข้าไปด้านในถูกสายตาดุๆห้ามเอาไว้เสียก่อน


                “รอข้างนอกนี่แหละ”


                “เผื่อเป็นอะไรไปข้างในจะทำยังไง”


                “ก็เห็นๆอยู่ว่าไม่มีคนอื่น รออยู่ตรงนี้ก็พอ”     


                เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูที่ด้านในห้องน้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะออกมายืนที่ตรงประตูทางเข้า หลบทางให้ซินเดินเข้าไป


                แฟนคลับของซินทั้งสามคนก็ยังคงตามมายืนอยู่ใกล้ๆ แต่เมื่อเริ่มรู้สึกถึงรังสีอำมหิตของผมที่แผ่ออกไป และค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกเธอเลยถอยออกไป ที่ว่าเรื่องส่วนตัวน่ะไม่มีหรอก ท่าทางจะจริง แค่เวลาเข้าห้องน้ำยังอยากจะดูกันเลย


                สักพักคนตัวบางก็เดินออกมา มองซ้ายทีขวาที


                “ไปไหนกันแล้ว” ซินพึมพำขึ้นเบาๆ แต่ผมดันหูดีได้ยินเข้าเลยอยากจะตอบ


                “ไปแล้ว”


                คนตัวบางพยักหน้านิดๆก่อนจะเดินนำหน้าผมไป


                “ไม่อึดอัดบ้างเหรอ” ผมถามขึ้นในขณะที่เดินอยู่ด้านหลังเขา “ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องแคร์สายตาคนรอบข้าง ทำอะไรตามใจชอบไม่ได้ เวลาส่วนตัวก็ไม่มี”


                คนตัวบางทำเพียงเงียบและเดินต่อไปเท่านั้น ถึงแม้ว่าเมื่อวานผมจะสามารถกะเทาะเกราะบางๆนั่นได้บ้างแล้ว แต่ดูเหมือนว่าแค่นั้นยังไม่เพียงพอ เพราะซินยังคงมีท่าทีเหินห่างใส่กันอยู่


                ผมเอง ถึงจะตัดสินใจเดินหน้าต่อ แต่บางครั้งภาพในอดีตก็ยังคอยตามมาวนเวียนอยู่เรื่อยๆ เรื่องบางอย่างที่ทำให้ความสัมพันธ์ต้องยุติลง คนสองคนที่เดินทางแตกต่างกัน สุดท้าย จะบรรจบกันได้จริงๆหรือเปล่า ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ รู้เพียงแค่ว่า ตอนนี้ผมต้องการเขา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่ไม่มีกัน ผมอยู่ได้ ยังคงใช้ชีวิตของผมได้อย่างปกติ เพียงแต่ ...ไม่มีความสุข ราวกับว่าสีสันต่างๆที่เคยมองเห็นมันหายไป แล้วซินล่ะ เป็นเหมือนกันบ้างมั้ย...


                “ถ้าให้เลือกระหว่างงานกับหัวใจ นายจะเลือกอย่างไหนซิน”


                ซินหยุดเดินในทันทีก่อนจะหันมามองหน้าผม


                “ถามคำถามที่รู้อยู่แล้วทำไม”


                “แค่อยากได้ยินจากปากนาย อีกอย่างบางอย่างที่ฉันรู้ มันก็นานมากแล้ว เผื่อบางทีคำตอบนั้นมันอาจจะเปลี่ยนไป”


                ซินขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ


                “บางทีคนเราก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ถ้าเลือกที่จะคว้าบางอย่างเอาไว้ และสิ่งนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้ทั้งสองมือเพื่อรักษา เราก็จำเป็นที่จะต้องปล่อยบางอย่างไป เพื่อที่บางอย่างนั้นจะได้ไปคว้าสิ่งที่เขาเองต้องการเหมือนกัน”


                “แล้วเคยคิดที่จะถามกันบ้างมั้ยว่าต้องการอะไร”


                ซินไม่ตอบ ยังคงจ้องกันเงียบๆอยู่อย่างนั้น นาน...จนเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว


                “เคยถามฉันบ้างมั้ยว่าฉันอยากไปหรือเปล่า”


                “จะมาพูดอะไรตอนนี้! ในเมื่อตอนนั้นนายเองก็เลือกที่จะไป!”


                “หมายความว่ายังไงฉันเลือกที่จะไป นายเองต่างหากที่...”

                “พอที!!” ซินพูดเสียงดังก่อนจะยกสองมือขึ้นปิดหู ผมจึงเดินเข้าไปเพื่อที่จะดึงมือเรียวนั่นออก มาถึงขนาดนี้จะหนีอะไรอีก!


                “พูดกันให้รู้เรื่อง”


                “ไม่! อย่ายุ่งกับเรา!!” ซินสะบัดมือผมออกก่อนที่จะหันหลังและวิ่งออกไป ผมที่กำลังอึ้งกับสรรพนามเดิมที่ไม่ได้ยินมานานยืนนิ่งอยู่กับที่ มารู้ตัวอีกทีคนตัวบางก็หายไปแล้ว


                ฉิบหาย!

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
                ผมจึงรีบออกวิ่งกลับไปที่ห้องรับรองทันทีระหว่างทางผมไม่เจอซินที่ตรงไหนเลย ขอให้กลับไปที่ห้องแล้วทีเถอะ!


                ผมกระชากประตูห้องรับรองเปิดออกอย่างแรง ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วห้อง ..ไม่มี.. ผมปิดประตูห้องทันทีและย้อนกลับมาทางเดิม โดยที่ไม่ได้สนใจเสียงถามจากคุณโอ๊ต


                หายไปไหนซิน...


                ผมย้อนกลับมาทางเดิม ไม่ว่ายังไงซินก็ไม่มีทางเดินเข้าไปในร้านแน่ๆ เพราะคนเยอะมาก ขืนออกไปตัวคนเดียวโดนรุมแน่ๆ ทางเดียวที่จะไปได้จากทางนี้ก็คือหลังร้านเท่านั้น ที่แบบนั้นยิ่งอันตรายกว่าด้านในไม่ใช่รึไง!       
     

                ร้อนรนไปหมด ทางเดินนี่จะสร้างมาทำไมยาวนักหนาวะ! ขอที... ขออย่าให้เป็นอะไร ด้านหลังมีประตูเล็กเพื่อเปิดออกไปด้านหลังร้านที่เชื่อมกับลานจอดรถ ผมที่โผล่ออกไปก็แทบสำลักกับควันบุหรี่ที่หลายคนออกมาหลบมุมสูบอยู่แถวนี้ มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบวี่แววของซิน ผมรีบเดินตรงไปที่ลานจอดรถทันที เดินวนอยู่สองสามรอบก็ไม่เจอ ไปอยู่ตรงไหนนะ บ้าจริง! เพราะผมแท้ๆเลย


                หรือว่าจะกลับไปที่ห้องแล้ว ผมหันหลังกลับเตรียมที่จะวิ่งกลับไปที่ห้องเดิม แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงบางอย่างดังมาจากซอกตึกด้านข้าง ตามสัญชาตญาณผมตรงไปที่ตรงนั้นในทันที


                และ...ภาพตรงหน้าพาให้เลือดในกายผมเย็นเยียบในทันที ซินที่ถูกกดอยู่ติดกับกำแพง มือสกปรกนั่นที่จับสองแขนของซินเอาไว้ และมืออีกข้างปิดปากสวยๆที่พยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ ดวงตาหวานที่คลอหน่วยไปด้วยน้ำตาเหลือบมามองเห็นผมด้วยท่าทางหวาดผวา ร่างบางๆที่พยายามจะดิ้นให้หลุดจากไอ้ชายชั่วคนนั้น


                สมองแทบไม่ต้องสั่งการด้วยซ้ำว่าผมต้องทำอะไร รีบตรงเข้าไปคว้าไหล่มันกระชากออกจากซินในทันที ซึ่งมันเองก็กระเด็นไปตามแรงเหวี่ยงของผม ไอ้สารเลวหันมามองผมอย่างตกใจ


                “มึงมายุ่งอะไรด้วยวะ!” ไม่ต้องรอให้มันพูดซ้ำ ผมซัดหมัดลุ่นๆใส่มันในทันที และซ้ำมันครั้งที่สอง สาม สี่ และอีกหลายๆครั้งจนมันไปกองอยู่ที่พื้น ผมก็ตามไปเตะมันอีกหลายที จนเมื่อมือเรียวเอื้อมมาดึงชายเสื้อกันนั่นแหละ ผมถึงหยุด


                ผมหันไปมองซินในทันที มือบางที่กำชายเสื้อผมอยู่สั่นน้อยๆ ไม่ต้องพูดถึงตัวบางที่สั่นเป็นลูกนกนั่นเลย


                “พอแล้ว เดี๋ยวตาย” เสียงหวานที่เคยร้องเพลงอย่างลื่นไหลบนเวทีนั้นไม่เหลืออีกแล้ว เหลือเพียงเสียงสั่นไหวเบาหวิวเท่านั้น ผมดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดในทันที


                “ขอโทษ ซิน...นัทขอโทษ อย่าหายไปแบบนี้อีก อย่าหายไป” ถึงจะไม่รักกัน อยู่ใกล้กันไม่ได้ แต่อย่างน้อยอยู่ในสายตากันก็พอ เพราะถ้านายหายไป ฉันดูแลนายไม่ได้นะ     
 

                “อือ ไม่เอาแล้ว น่ากลัว” ซินตอบกลับมาเสียงเบาหวิวพร้อมกับกำชายเสื้อผมแน่นขึ้นอีก ลืมไปกองเน่าๆที่มันคงหมดสติไปแล้ว


                นานเแค่ไหนที่ไม่ได้กอดเลย ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ ยิ่งต้องการมากเท่านั้น นายเป็นยาเสพติดรึเปล่านะซิน


                ยืนอยู่อย่างนั้นสักพักจนคนตัวบางหายสั่น ผมจึงคลายอ้อมกอดออกก่อนจะถอยออกมาเพื่อมองหน้ากันให้ชัดๆ ดวงตาสวยช้ำเล็กน้อย ปลายจมูกโด่งรั้นนั้นก็แดงนิดๆ


                ...น่าฟัด


                ผิดสถานการณ์ไปมั้ยถ้าผมจะคิดแบบนี้


                “จ้องพอรึยัง” คนตัวบางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทำให้ยิ้มออก


                “ขออะไรหน่อยได้มั้ย”


                ซินเพียงแค่จ้องหน้าผมกลับมาไม่ได้ตอบว่าอะไร นั่นแปลว่าผมสามารถขอได้ใช่มั้ย


                “ไม่ต้องดีใส่กันเหมือนเดิมก็ได้ ขอแค่เปิดใจให้กันบ้าง อย่าเฉยชาใส่กัน ได้มั้ย”


                “....”


                “นัทขอได้มั้ยซิน”


                “แต่ว่า...” ผมเอื้อมมือไปหยุดคำพูดที่กำลังจะออกมานั่นเอาไว้ซะก่อน คำพูดบางอย่างที่ผมรู้ดี


                “ช่างเรื่องในอดีตไปก่อนได้มั้ย ตอนนี้มีแค่เรา แค่ตอนนี้”


                ซินที่มีท่าทีลังเล กับแววตาที่สับสนนั่น มองมายังผม เชื่อใจกันอีกสักครั้งได้มั้ย เรื่องในอดีตมันอาจจะทำให้เราเจ็บปวด แต่ครั้งนี้มันอาจจะไม่ได้จบแบบเดิมก็ได้ เริ่มต้นใหม่อีกสักครั้งจะได้มั้ยซิน....


                แต่แล้ว...


                “ซิน! นัท!” เสียงเรียกจากคุณโอ๊ตดังขึ้นที่ด้านนอก พาให้ซินก้าวถอยหลังออกจากผมในทันที


                อีกแล้วสิวะ!!! ทำไมต้องมีมารคอยมาขัดทุกที!!!


                ซินปล่อยมือจากชายเสื้อผม ก่อนจะหันหลังให้กันทำท่าจะเดินออกไป ผมจึงคว้าแขนเรียวเอาไว้ก่อน ร่างบางจึงหยุดนิ่ง แต่ไม่ได้หันกลับมา


                “ปล่อยก่อนได้มั้ย มันเร็วเกินไปสำหรับเราจริงๆ”


                “ฉันรู้ว่านายสับสน ฉันเองก็เหมือนกัน แต่ฉันรักนาย! เหตุผลแค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ”


                “แค่รักมันไม่พอ เรื่องนั้นนายก็รู้ดีไม่ใช่หรือไง...”


                แขนเรียวบิดออกจากมือผมช้าๆก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่ตรงนั้นกับอารมณ์ขุ่นมัว

 

                ผมเดินกลับไปที่ห้องรับรองซึ่งซินกับคุณโอ๊ตเดินกลับไปนานแล้ว ป่านนี้ซินอาจจะขึ้นโชว์แล้วก็ได้ แล้วผมมัวมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ บกพร่องในหน้าที่จริงๆเลยนัท แบบนี้จะเป็นบอดี้การ์ดที่ดีได้ยังไง ถ้าพ่อรู้พ่อด่าเปิงแน่ๆเลย เมื่อกลับมาที่ห้องรับรองก็ไม่เจอใครแล้ว คงออกไปที่หน้าเวทีกันหมด ผมจึงเดินตามออกไป ฝ่าฝูงชนจำนวนมากมายไปจนถึงข้างเวทีจนได้ เมื่อเห็นคุณโอ๊ตจึงเดินเข้าไปหาใกล้ๆ เตรียมใจโดนด่าเอาไว้แล้ว


                “อ้าว มาแล้วเหรอ จัดการเรียบร้อยมั้ย” คุณโอ๊ตถามขึ้นทันทีที่เห็นผม


                “จัดการ? เรื่องอะไรครับ” งงสิครับ นึกว่าจะโดนด่า กลับโดนถามแทน แต่ว่าจะให้ผมจัดการเรื่องอะไร


                “ก็ที่หายไปนาน ซินเล่าให้ฟังแล้ว ไอ้เลวนั่น จัดการแล้วใช่มั้ย” อ๋อ...


                “ครับ เรียบร้อยแล้ว”


                “มีใครเห็นมั้ย”


                “ไม่มีครับ”


                “มันเป็นยังไงบ้าง จะไม่ปากโป้งใช่มั้ย”


                “ไม่แน่นอนครับ” เพราะผมจัดการข่มขู่มันไปแล้วเรียบร้อย


                ‘อย่าให้ฉันเห็นแกเอามือสกปรกๆนั่นมาแตะต้องศิลปินของฉันอีก ไม่อย่างนั้นลมหายใจแผ่วๆแบบนี้ของแกก็จะไม่เหลือ’ ผมไม่รู้ว่ามันจะได้ยินมั้ย เพราะมันสลบไปแล้ว แต่คิดว่าตื่นมาคงความจำเสื่อมไปพักนึงนั่นแหละ - -


                เสียงหวานบนเวทีดึงสติผมให้หันไปสนใจ เสียงเพลงของซิน เพราะไม่มีใครเหมือนจริงๆ เสียงหวานๆนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยร้องคู่กับเสียงกีต้าร์ของผม แต่ตอนนี้กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว


                แต่คำพูดของซินยังทำให้ผมสงสัย ผมเนี่ยนะที่เลือกที่จะไป เป็นไปได้ยังไง มันก็จริงบางส่วน แต่เขาเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ และเพราะอะไร...


                “นัท” เสียงคุณโอ๊ตเรียกขึ้นทำให้ผมต้องรีบดึงสติกลับมา


                “ครับ”


                “ซินกำลังจะลงมาแล้ว ไปเร็ว”


                ผมหันไปมองบนเวทีเห็นซินกำลังจะเดินลงมาด้านล่างพอดี จึงรีบเดินเข้าไปหา เดี๋ยวหลังจากนี้ต้องไปถ่ายรูปกับแฟนคลับอีกนิดหน่อย ร่างบางตอนนี้หอบข้าวของเต็มสองมือ เพราะบรรดาแฟนคลับที่เอามามอบให้ ใบหน้าหวานแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม


                ผมพาคนตัวบางเดินมาในที่ที่ร้านจัดเอาไว้ให้ถ่ายรูปกับแฟนคลับ ตรงนี้มีที่กั้นเหล็กกั้นระหว่างซินกับแฟนคลับ ผมยืนอยู่ด้านข้างเขา คอยมองเขาแจกจ่ายรอยยื้มให้บรรดากล้องต่างๆทางนู้นทีทางนี้ที เสียงชื่นชม เสียงบอกรักดังระงมไปทั่ว ที่ตรงนี้เหมาะสมกับเขาแล้วจริงๆ


                และไม่นานก็ถึงเวลาที่ต้องกลับ ผมเดินไปแตะหลังคนตัวบางเบาๆเพื่อบอกให้เขารู้ว่าต้องไปแล้ว ซินจึงหันไปกล่าวลากับบรรดาแฟนคลับของเขา


                “ซินกลับก่อนนะ ขอบคุณมากๆ ขอบคุณมากจริงๆ เอาไว้เจอกันงานหน้านะครับ” หลังจากนั้นพวกเราก็กลับไปทางเดิม คราวนี้แฟนคลับตามมาไม่ได้แล้วเพราะทางร้านปิดทางออกหลังร้านเอาไว้ให้แค่พวกเรา


                “ซินกลับเลยมั้ย ป๊ามารับกี่โมง” คุณโอ๊ตถามขึ้น ในขณะที่กำลังเก็บของกันอยู่ที่ห้องรับรอง


                “ซินไม่ได้ให้ป๊ามารับ ไม่อยากกวนป๊าดึกๆ ...ไปส่งได้มั้ย” ผมที่กำลังจะเสนอตัวชะงักไปทันทีเมื่อคนตัวบางหันมาถามกัน สะอึกไปเลยสิครับ ไม่นึกว่าจะเป็นฝ่ายขอกันขึ้นมาซะก่อน ก็ไหนตะกี้...


                “ถ้าไม่ได้ งั้นพี่โอ๊ตไปส่งซินหน่อยนะ” เมื่อเห็นว่าผมยืนนิ่งไม่ตอบ ซินเลยหันไปหาคุณโอ๊ตแทน


                “ผมไปส่งเอง! ผมไปเองครับ” ผมรีบตอบในทันที


                คุณโอ๊ตหันมามองเราทั้งสองอย่างสงสัยนิดๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร


                “งั้นนัทไปส่งซินเลย เดี๋ยวพี่กลับบริษัทกับพวกแบล็คอัพก็ได้”


                “ครับ” ซินพยักหน้ารับและหันไปบอกลาทุกคน ก่อนจะเดินออกจากห้องโดยที่มีผมเดินตามมาติดๆ


                ตลอดทางที่เราทั้งสองเดินมาต่างคนต่างไม่ได้พูดอะไรกันเลย เพราะรู้ว่ายังมีเวลาอีกมากบนรถ ยังไม่จำเป็นต้องรีบก็ได้ และเมื่อมาถึง ผมก็เปิดประตูให้เขา และคนตัวบางก็ยอมขึ้นไปแต่โดยดี เมื่อผมปิดประตูเสร็จก็เดินไปขึ้นรถฝั่งของตัวเองหลังพวงมาลัย


                ผมเหลือบมองกระจกมองหลังทั้งที่ยังไม่ได้เคลื่อนรถไปไหน ก็พบว่าเขาเองก็กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน ผมมองเขาอยู่อย่างนั้นซึ่งซินเองก็ไม่ได้หลบสายตาไปไหน


                “อย่าเข้าใจผิด เราแค่ไม่อยากเจอเรื่องแบบนั้นอีก ไม่อยากกลับคนเดียว” เสียงหวานพูดขึ้นโดยที่หลบสายตาไปทางอื่น


                “ทีหลังอย่าหนีไปแบบนั้นอีกนะ อย่างน้อยถ้าอยากจะหนีกันจริงๆ กลับไปหาคุณโอ๊ต อย่าไปในที่อันตรายแบบนั้นอีก” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งคนด้านหลังก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร แต่ผมคิดว่าคงจะเข็ดไปอีกนาน


                “ซิน” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเรียบ ทำให้เขาหันมาสบตากับผมอีกครั้ง


                “รู้แล้วน่า”


                “กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย”


                ตากลมเบิกกว้างในทันที คงไม่คิดว่าผมจะพูดขอกันตรงๆแบบนี้


                “ไม่จำเป็นต้องรีบตอบกันตอนนี้ เพราะฉันรู้ว่าตอนนี้คำตอบของนายคืออะไร แต่ลองกลับเอาไปคิดดู ถามใจนายเองดูให้ดีๆ และลืมไปก่อนได้มั้ยว่าตอนนี้นายเป็นอะไรและฉันเป็นอะไร ให้ฉันเป็นแค่นัท และให้นายเป็นแค่ซิน แล้วเรามาแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดด้วยกันอีกสักครั้ง ...ได้มั้ย”


                มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบเท่านั้น ซินถอนสายตาจากผมก่อนจะหันมองออกไปนอกกระจก แต่ผมถือว่าผมได้พูดในสิ่งที่ต้องการออกไปหมดแล้ว ต่อจากนี้ก็เหลือเพียงแค่คำตอบจากซินเท่านั้น หลังจากนี้สองวันที่ซินไม่มีงาน หวังว่าหลังจากนั้นผมจะได้รับคำตอบที่ผมรอคอย คำตอบที่จะบอกได้ว่า ผมควรจะอยู่หรือไป...

 

TBC.
..................
เรื่องราวในอดีตค่อยๆเผยออกมาที่ละน้อยแล้วนะคะ
ไม่รู้ว่าจะเดากันได้หรือยัง

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นเหมือนเคยนะคะ
คุณบอดี้การ์ดของเราก็ต้องสู้ต่อไป!!!

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มีแนวโน้มจะไปด้วยดี เย้ๆๆๆๆๆ

Mauve

  • บุคคลทั่วไป
เอาใจช่วยคุณบอดี้การ์ดค่ะ o13

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อื้ออออ พี่นัทอ่ะ
ชูป้ายไฟเชียร์พี่นัทเต็มที่ !!

ออฟไลน์ toshika

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 819
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
อร๊ายยยย  คุณศลป.กำลังจะอ่อนลงแล้วใช่ไหม ดีใจจัง

เชียร์พี่บอดี้การ์ดนะ เอาชนะใจคุณศลป.ให้ได้ไวๆๆ

 :mew1: :mew1: :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด