[fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]  (อ่าน 54347 ครั้ง)

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
25

((สุดท้าย))



            และด้วยความช่วยเหลือจากกัสและคุณโอ๊ตอีกนิดหน่อย ก็ทำให้วันนี้ผมมาอยู่ในงานของซินได้สำเร็จ แต่คุณโอ๊ตนี่กว่าจะช่วยก็หูชาอยู่เหมือนกันนะครับ เทศหนากันซะยาวเหยียดเรื่องการควบคุมตัวเอง และการระวังตัวให้มากกว่านี้และไม่ต้องงงว่าออกมาจากบ้านได้ยังไง เพราะผมสืบมาแล้วเรียบร้อยว่าพ่อจะออกไปทำธุระตอนไหน ก็อาศัยช่วงนั้นนั่นแหละรีบออกมา

            อย่าหาว่าผมไม่เข็ดหรืออย่างนู้นอน่างนี้เลยนะ แต่มันนานมากเกินไปแล้วจริงๆ นับรวมๆแล้วก็สี่วันที่ไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียงกันเลย หลายคนอาจจะมองว่ามันน้อย ทีเมื่อตอนเลิกกันคราวนั้นเป็นปีๆยังทนได้ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่ครับ อีกอย่างข่าวก็เริ่มซาไปบ้างแล้ว มันก็น่าจะไม่มีอะไร

            วันนี้ขอสวมบทบอดี้การ์ดที่เหมือนบอดี้การ์ดแบบสุดๆไปเลยสักหนึ่งวัน นึกภาพตามนะครับ ชายใส่ชุดดำทะมึนทึน มีทั้งหนวดทั้งเคราเฟิ้ม ใส่แว่นกันแดดสีดำมืดสนิท ปัดผมเป๋ๆไปด้านหลัง เอาน้ำมันลูบซะเงางับเลยล่ะ อย่างเท่! ไม่เคยสมเป็นบอดี้การ์ดเท่าวันนี้มาก่อนเลยครับ

            แอบอายตัวเองเหมือนกันตอนส่องกระจก - - แต่เอาวะ เพื่อซิน แค่นี้จิ๊บจ๊อยมาก

            ไม่มีนักข่าวในงานจริงๆนั่นแหละครับ ออกแนวเป็นงานปาร์ตี้เล็กๆที่จัดกันเฉพาะคนรู้จักซะมากกว่า จากที่มองๆดูน่าจะเป็นงานวันเกิดของใครสักคนที่คงจะมีเงินพอปิดผับหรูเผื่อจัดงาน แต่เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องสนใจเพราะไม่เกี่ยวกับอะไรกับผม คนที่เกี่ยวกับผมน่ะ เดินมานู่นแล้ว...

            ซินที่ไม่ได้เจอมาสี่วัน ผอมลงอีกแล้วหรือเปล่านะ แล้วดูแต่งตัวเข้าสิ ใส่เสื้อบางแบบนั้นไปเพื่อใครกันครับ จะเห็นไปถึงไหนถึงไหนแล้ว เสื้อคลุมน่ะหายไปไหน ทำไมไม่รู้จักใส่ แถมยังจะรวบผมขึ้นโชว์คอขาวระหงนั่นอีก มากไปแล้วนะซิน

            ผมเดินเข้าไปใกล้คนตัวบางที่เพิ่งจะเดินเข้ามาทางหลังร้าน หน้าที่ผมวันนี้ก็คือบอดี้การ์ดเหมือนอย่างทุกทีแหละครับ เพียงแค่เป็นบอดี้การ์ดที่นายจ้างเขาไม่ได้ได้จ้าง แต่จ้างตัวเองมาเอง งงมั้ยครับ ผมก็งง - -

            “เดี๋ยวเข้าไปนั่งรอในห้องก่อน อยากกินอะไรมั้ย” เสียงคุณโอ๊ตคุยกับซินระหว่างเดินดังมาให้ได้ยิน มองไปข้างหลังเห็นไอกัสเดินตามอยู่ต้อยๆ ผมจึงรีบเดินเข้าไปสมทบทันที ซินเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างแปลกใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไรพร้อมกับเดินตรงไปที่ห้องรับรองหลังร้าน ที่ทางร้านจัดเอาไว้ให้

            สงสัยจะจำไม่ได้

            หึหึ นั่นแหละ ที่ผมอยากให้เป็นล่ะ

            คนสวยของผมนั่งลงบนเก้าอี้ ขาเรียวยกขึ้นไขว่ห้าง ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น ผมยืนมองการกระทำเหล่านั้นอยู่นิ่งๆ โทรศัพท์ยังอยู่ที่ตัว ไม่ได้ไปไหน แต่ไม่ยอมรับสายผมมาสี่วัน ทำได้ยังไงนะซิน ใจร้ายมากนะ

            ด้วยความที่อยากรู้ว่าเขาทำยังไงเลยแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเข้าหาเขาซะเลย เพื่อรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่าจะทำอย่างไร

            ซินที่กำลังสไลด์โทรศัพท์เล่นอยู่ชะงักไปนิดเมื่อมีสายโทรเข้า แต่เพราะว่าเจ้าตัวปิดเสียงเอาไว้ จึงไม่ได้มีเสียงดังรบกวนออกมา ซินถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้อยู่อย่างนั้น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองซ้ายทีขวาที และก้มลงมองโทรศัพท์ตามเดิม ทำท่าเลื่อนนิ้วไปจะกดรับ แต่สุดท้ายก็ตัดใจกดตัดสายผมทิ้ง

            อื้อหือ... ต่อหน้าต่อตากันเลยทีเดียว

            ผมจึงเปลี่ยนเป็นพิมพ์ข้อความส่งไปหาเขาแทน

            ‘ถ้าไม่รับสาย จะฆ่าตัวตายแล้วนะซิน’ พิมพ์เสร็จก็ส่งออกไป ดูสิว่าจะทำหน้ายังไง

            ไม่นานโทรศัพท์ในมือเรียวก็สั่นเตือนข้อความเข้า ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมผมเห็นชัดขนาดนี้ ก็ยืนเฝ้าเขาอยู่ไม่ห่างเนี่ยแหละ โดยที่คุณโอ๊ตบอกซินไปว่า เพราะช่วงนี้มีข่าวไม่ค่อยดี เลยต้องจ้างบอดี้การ์ดเพิ่มอีกคน

            เมื่อเปิดอ่านข้อความของผมแล้ว ซินก็ขำพรืดออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากแล้วแกล้งทำเป็นกระแอมไอเพื่อปกปิดอาการขำอย่างไร้สาเหตุ

            มันน่าขำตรงไหน! นั่นผมจริงจังนะ!

            ‘จะเอาหัวหม่งเสาเดี๋ยวเนี้ยะ’ ส่งไปอีกรอบ ก็ยังคงขำคิกคักเหมือนเดิม

            ให้ตายสิ มันควรจะโกรธใช่มั้ยเนี่ย หายหน้าหายตาไปกี่วัน ขาดการติดต่ออีกต่างหาก แล้วยังจะมีหน้ามายิ้มหัวเราะอยู่ได้อีก มันน่าน้อยใจใช่มั้ย แล้วไอ้การมายืนยิ้มตามเขาอยู่แบบนี้มันใช่เรื่องหรือเปล่าเนี่ยไอ้นัท!

            ก็เป็นซะอย่างเนี้ย จะโกรธก็โกรธให้มันจริงจังสักหน่อยสิโว้ยยยย

            แต่ให้ตายเถอะ เจอรอยยิ้มน่ารักแบบนั้นเข้าไปใครจะโกรธลง

            แต่แล้วรอยยิ้มสดใสนั่นกลับค่อยๆเลือนหายไป เหมือนว่าเจ้าตัวจะนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ มือเรียวกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ ยัดมันลงในกระเป๋าสะพายที่ถือติดตัวมาด้วย เป็นอันรู้ว่า จะตัดขาดการติดต่อจากโทรศัพท์นับจากนี้ คนสวยของผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาและสบตาเข้ากับผมที่กำลังมองเขาอยู่พอดี แต่เขาอาจจะไม่เห็นว่าผมกำลังมองเขาอยู่ เพราะแว่นตาดำที่ใส่ปกปิดใบหน้าอยู่นี่แหละ

            คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากัน ในขณะนั่งจ้องผมอยู่นั่นเอง คุณโอ๊ตก็เดินเข้ามาคุยด้วยซะก่อน ซักซ้อมคิวตอนขึ้นเล่นนั่นแหละครับ และอีกสักพักก็มีคนมาตามซินไปขึ้นเวที ผมก็เดินตามเขาไป

            ไอ้กัสเดินมากระแทกไหล่ผมเบาๆ พูดกระซิบขึ้นให้ได้ยินกันแค่สอง

            “จ้องจนตาจะถลนขนาดนั้นเดี๋ยวเขาก็รู้ตัวกันพอดี”

            “ตาดีเหลือเกิน มองทะลุแว่นฉันได้หรือไง”

            “มีก็เหมือนไม่มี เล่นไม่หันหน้าไปทางไหนเลยนี่”

            “เงียบๆแล้วทำงานของแกไป ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”

            “จะไม่ยุ่งหรอก ถ้าไม่ทำงานวุ่นวาย”

            ผมเหล่ตามองมันใต้แว่นกันแดด ก่อนจะตบหัวมันไปอีกที พูดเหมือนกูเป็นเด็กหนีตามมึงมาเที่ยวเลยนะครับแหม...

            ซินก็ร้องเพลงตามคิวของเขาไป แขกในงานก็มีเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นพวกดารานักร้องที่เห็นตามโทรทัศน์ หรือสื่อต่างๆ มีคนที่เดินขึ้นมาร้องเพลงกับซินด้วยเหมือนกัน คงเป็นคนคุ้นเคยกันนั่นแหละครับ เห็นแตะหลัง โอบไหล่ทักทายกันอยู่

            ไอ้คนที่ยืนดูอยู่ข้างเวทีนี่ก็ตาร้อนเป็นไฟแว่นแทบจะละลายแล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นบอดีการ์ดแปลกหน้าอยู่นะ...

            ไม่นานนักร้องของผมก็เดินลงมาจากเวที... ได้เวลาของผมแล้วครับ ^^

            “เดี๋ยวเราจะไปเข้าห้องน้ำ ไปรอที่ห้องก่อนเลยก็ได้”

            ซินพูดขึ้นมาในขณะที่เรากำลังจะเดินกลับเข้าห้องเดิม แบบนี้ก็เข้าทางผมเลยสิครับ ผมนี่สะกิดไอ้กัสยิกๆเลย

            “ไม่ได้หรอกครับ ให้พี่ซินไปคนเดียวไม่ได้ อันตราย” ทำดีมากน้องรัก

            “ก็แค่ไปห้องน้ำ”

            “ให้บอดี้การ์ดไปด้วยดีกว่า ถ้าพี่ซินเป็นอะไรขึ้นมาไอ้พี่นัทมันฆ่าผมตายแน่”

            พาดพิงถึงผมนะครับ - -

            ซินหยุดเดินลงทันทีเมื่อกัสพูดถึงผมขึ้นมา ก่อนจะค่อยหันกลับมาหากัส ผมยืนเยื้องๆอยู่ด้านหลังกัสอีกทีครับ เพราะฉะนั้นปลอดภัย

            “นัทเป็นยังไงบ้าง”

            “ก็....”

            ตอบดีๆนะมึง กูฟังอยู่นะเว้ย!

            “ช่วงนี้ก็ย่ำแย่ ข้าวปลาไม่ค่อยกิน นอนก็ไม่ค่อยหลับ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกไหนเลยครับ วันๆเฝ้าอยู่แต่โทรศัพท์ นั่งโทรหาพี่ซินทั้งวันเลย”

            ทำดีมากไอ้แสบ! เรียกคะแนนสงสารเยอะๆเลย

            “ขนาดนั้นเลยเหรอ” เสียงหวานพึมพำขึ้นเบาๆ น้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงแบบนี้ยิ่งอยากจะดึงเข้ามากอดให้หายคิดถึง

            “พี่ซินไม่คิดถึงพี่นัทบ้างเหรอครับ ไม่อยากเจอพี่นัทบ้างเหรอ”

            โอ้โห เล่นบทนี้ได้ดีเกินคาดเลยว่ะไอ้กัสเอ๊ย

            “....” คนสวยไม่ตอบอะไร เพียงแค่ถอนหายใจออกมาแผ่วๆเท่านั้น

            “พี่นัทมันเป็นห่วงมีพี่ซินมากๆเลยนะ เห็นแล้วสงสารอ่ะ เหมือนหมาหงอยยังไงไม่รู้”

            อ้าว แอบหลอกด่ากูซะงั้นวะ

            “อืม ขอบใจนะที่คอยเอาเรื่องนัทมาเล่าให้ฟัง ถ้าไม่ได้กัสก็คงไม่รู้ว่านัทเป็นยังไงบ้าง เอาเป็นว่าตอนนี้พี่รับรู้แล้วว่านัทเป็นยังไง บอกเขาให้ทนอีกหน่อยแล้วกัน”

            “จะต้องให้ทนไปอีกถึงเมื่อไหร่ล่ะครับ แค่นี้พี่นัทก็จะแย่อยู่แล้วนะ”

            “เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะผ่านไปเอง”

            “พี่ก็เอาแค่คิดแบบนี้แหละ ไม่คิดบ้างล่ะว่าพี่นัทเขาจะรู้สึกยังไง เขารักเขาแคร์พี่มากนะ อย่าคิดแต่มุมของตัวเองสิ”

            เฮ้ย... ไหงกลายเป็นมันมายืนต่อว่าซินอยู่อย่างนี้ล่ะวะ ไม่ใช่แล้วนะ

            “เอ่อ... คุณซินอยากเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน เชิญทางนี้ดีกว่าครับ” ดัดเสียงพูดออกไปอย่างเต็มที่ พร้อมกับที่ดึงแขนเรียวลากไปทางห้องน้ำ

            และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะช็อคกับคำพูดของไอ้กัสอยู่ ถึงได้ไม่ยอมสะบัดมือผมทิ้ง ปกติคนแปลกหน้ามาแตะเนื้อต้องตัวแบบนี้ได้ที่ไหนกันครับ แปลว่าสติหลุดไปแล้วจริงๆ

            จนมาถึงหน้าห้องน้ำแล้วนั่นแหละ ซินถึงได้เงยหน้ามามองผมอย่างแปลกใจ ก่อนจะดึงแขนออกจากมือผม คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันทันที

            “เราเดินเองได้ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ” ซินพูดเสียงเรียบอย่างไม่พอใจ พร้อมกับที่ตากลมเหลือบมองขึ้นมาอย่างตำหนิ

            “รออยู่ตรงนี้” พูดจบซินก็เดินเข้าห้องน้ำไป แต่มีหรือที่ผมจะฟัง ก็รอจังหวะนี้อยู่นี่ครับ ในตอนที่ซินหันหลังให้นั้นเอง ผมก็รีบดันร่างบางเข้าไปในห้องน้ำชาย ตรงส่วนที่เป็นห้องชักโครกเบียดตัวตามเข้าไปก่อนจะปิดประตูล็อคกลอนเสร็จสรรพ

            คนตัวบางตั้งท่าจะโวยวายขึ้นมาทันที ดีที่เอามือปิดปากเขาเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นเกิดใครได้ยินขึ้นมา เรื่องใหญ่จริงๆแน่ครับงานนี้

            “อื้อ!! อ๋อยเอาอะ!! อำอ้าอะไอ!!!” ฤทธิ์เยอะจริงๆนะครับคนนี้

            “ชู่ว อย่าเสียงดังสิซิน” ผมที่กอดเขาจากทางด้านหลังกระซิบที่ข้างหูเขาเบาๆ ซินหยุดดิ้นลงไปทันที

            “ใครบอกให้ใส่เสื้อผ้าบางๆแบบนี้ หื้ม...” พูดไปพร้อมกับที่ลากมือไล้ผ่านชายเสื้อบางเบาไปตามเอวคอดนั่น สัมผัสแค่นี้ก็รู้สึกได้ถึงเนื้ออุ่นๆที่อยู่ภายใต้เสื้อตัวนี้แล้ว บางแค่ไหนก็คิดดูสิ

            “แล้วใครบอกให้ใส่เสื้อคอกว้างแล้วมัดผมขึ้นแบบนี้ฮะซิน” ไร้ริมฝีปากเลื่อนไปตามลำคอขาวก่อนจะกดฝึงจูบลงไปเต็มแรงอย่างหมันเขี้ยว คนตัวเล็กในอ้อมแขนดิ้นยุกยิกไปมา แต่ก็เลิกร้องเสียงดังไปแล้ว ผมจึงลดมือลง

            ซินรีบหันหน้ามาเผชิญกับผมทันที มือเล็กยกขึ้นคว้าแว่นผมถอดออก ก่อนที่ตากลมโตจะเบิกโพลงกว้างอย่างตกใจ

            “มาได้ยังไง!”

            “....” ไม่ตอบครับ ตีหน้าขรึมไว้ก่อน

            “แล้วดูติดหนวดเข้าสิ น่าเกลียดอ่ะ”

            “อ้าว...”

            “ฮะๆๆๆ”

            ยังจะมีหน้ามาขำอีกแหน่ะ! คนเขาโกรธอยู่นะเนี่ย

            “ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าจะลงทุนทำถึงขนาดนี้”

            “ถ้าไม่ทำแบบนี้จะได้เจอกันมั้ยล่ะ” ยังคงเก๊กเสียงขรึมอยู่ครับ

            “ไม่เชื่อใจเราหรือไง นี่ข่าวก็เริ่มซาลงไปแล้ว อีกเดี๋ยวคนก็ลืม เท่านั้นเรื่องก็จบ”

            “เมื่อไหร่ล่ะ หนึ่งอาทิตย์ หนึ่งเดือน หรือว่าหนึ่งปี”

            “นี่ก็เว่อร์ไป ไม่นานขนาดนั้นหรอก”

            “อย่างน้อยก็น่าจะติดต่อมาบ้างสิ”

            “คุยกันก็ยิ่งอยากเจอ สู้ไม่คุยไปเลยดีกว่า”

            “ความรู้สึกนายคนเดียวทั้งนั้น เคยถามฉันบ้างมั้ยว่ามันใช่อย่างนั้นหรือเปล่า”

            “เป็นอะไรเนี่ย”

            ซินขมวดคิ้วถามอย่างเริ่มจะไม่พอใจบ้างแล้ว ที่ทำไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อมาพบเขานะ มาเพื่อจะได้เห็นว่าเขาเองก็ดีใจที่ได้พบผมเหมือนกัน ตลอดระยะเวลาสี่วันที่ไม่ได้เจอไม่ได้คุยกันนี่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยหรือไง มีแต่ผมคนเดียวเหรอที่จะเป็นบ้าตายอยู่แบบนี้

            “นึกอยากจะไม่คุยก็ไม่ได้คุยได้ง่ายๆเลยเหรอซิน นึกอยากจะหายไปตอนไหนก็ทำได้ง่ายๆเลยสินะ”

            “นัท...”

            “ก็ไหนว่ามีอะไรจะบอกกันก่อน แล้วนี่อะไร อย่างน้อยก็บอกสิว่าผู้ใหญ่ห้ามเราเจอกัน โอเค แบบนั้นฉันไม่ไปเจอนายก็ได้ แต่อย่างน้อยพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์บ้างไม่ได้เหรอ”

            “ก็ทางผู้ใหญ่เขาไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้”

            “เขาบอกอะไรนายก็เชื่อทุกอย่างเลยเหรอ ถ้าเขาบอกให้นายเลิกกับฉันนายก็จะเลิกงั้นสิ”

            “นัท!! ทำไมพูดจาไม่รู้เรื่อง”

            “ใครกันแน่พูดจาไม่รู้เรื่อง”

            ทำไมกลายเป็นแบบนี้ ที่มานี่ก็เพราะว่าอยากจะกอดให้หายคิดถึงนะ อยากจะเห็นรอยยิ้มน่ารักของเขามากกว่า ไม่ได้ต้องการมาทะเลาะกันแบบนี้เลย ใบหน้าหวานบึ้งตึงก่อนจะยกมือทั้งสองข้างดันผมไปด้านหลังอย่างแรง ทำให้เซไปด้านหลังเล็กน้อย แต่เพราะความแคบของห้องน้ำทำให้เราห่างกันไม่ได้มากนัก

            “กลับไปเลยไป ถ้าจะมาแล้วเป็นแบบนี้ก็กลับไปเลย”

            “อยากให้กลับใช่มั้ย” สาบานได้ว่าไม่ได้อยากใช้น้ำเสียงใจร้ายแบบนี้เลย แต่การที่ผมทำแบบนี้ ทุกๆอย่างก็เพื่อเรา

            แค่เพราะผู้ชายคนหนึ่ง อยากเจอคนที่เขารัก อยากจะมองเห็นให้ชัดๆว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร ตื่นเช้าด้วยความตื่นเต้น นั่งเฝ้าว่าเมื่อไหร่พ่อกับแม่จะออกจากบ้าน ทำอะไรแปลกๆที่ไม่เคยทำ ลงทุนเอาน้ำมันรูปผมจนมันเยิ้ม ติดหนวดทำตัวทุเรศๆ แต่ถ้าการที่เขาทำแบบนั้น แล้วมันทำให้อีกคนรำคาญ เขาก็ควรจะไปใช่มั้ย

            ก็ไล่กันซะขนาดนั้นแล้ว จะอยู่ก็หน้าด้านเต็มที...

            ผมเดินเบียดซินเพื่อจะออกมาที่ประตู ทิ้งเขาเอาไว้เบื้องหลัง มือเอื้อมไปหวังจะปลดล็อกกลอนประตู แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น แขนกลับถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน โดยมือเล็กจากคนอีกคน มือเรียวที่เอื้อมมารั้งกันจับแขนผมเอาไว้แน่น

            มืออีกข้างที่กำลังจะเอื้อมไปเปิดประตูชะงักค้างกลางอากาศทันที

            เพราะเสียงแผ่วเบาที่ดังตามหลังมา

            “อยากให้กอด...”   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2013 16:59:15 โดย Eucalyp »

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป

            “ยังไม่อยากให้ไป”

            พอได้ยินเสียงหงอยๆของเด็กน้อยด้านหลังก็พาให้ขาก้าวไม่ออก ก็ไหนว่าไล่กันแล้วไง เมื่อกี้ยังบอกให้กลับไปอยู่เลยไม่ใช่เหรอ

            “เราก็แค่อยากจะให้รออีกนิด เรื่องทั้งหมดมันกำลังแย่เรารู้ เราเองก็ไม่สบายใจเหมือนกัน แต่เพราะว่าช่วงนี้ข่าวมันกำลังแรง...”

            เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังมาจากเบื้องหลังเมื่อคนพูดหยุดเงียบไป ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง

            “โอเค มันเป็นความผิดเราเอง เราคิดน้อยไป ไม่ทันคิดว่านัทจะกังวลใจมากแค่ไหน อันที่จริง... แค่รับโทรศัพท์ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ยังไงพวกผู้ใหญ่ที่ค่ายก็คงไม่รู้ว่าเราคุยกันหรือเปล่า...” เสียงพูดอ้อมแอ้มจากคนสำนึกผิดทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปหาเขา บิดแขนออกจากมือเล็กและยืนจ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น

            “ก็รู้นี่”

            “นัท...” ดวงตาสวยเริ่มรื้นขึ้นด้วยน้ำใสๆ พาเอาหัวใจผมกระตุกวูบ อดไม่ได้ต้องยื่นมือไปวางแหมะลงบนหัวกลมๆนั่นก่อนจะลูบไปมาเบาๆ

            “งอแงอีกแล้ว”

            “ไม่ได้งอแงสักหน่อย”

            “แล้วนี่อะไร” ปากบอกไม่ได้งอแง แล้วไอ้ที่มันไหลออกมาจากหางตาที่อะไร น้ำลายรึไง? เห็นอยู่ทนโท่แล้วจะยังมาปากแข็งอีก

            “เหงื่อ”

            “เหงื่อบ้าอะไรออกมาจากลูกกะตา”

            “นิสัยเสีย” ไม่พูดเปล่า ยังเอามือมาผลักกันจนหลังกระแทกประตูเข้าให้อีก

            “อะไรอีกอ่ะ”

            “ใครบอกให้หันหลังกลับไปง่ายๆแบบนั้นเล่า”

            “อ้าว แล้วผมทำอะไรผิดล่ะครับ ก็คุณซินไล่ ไอ้ผมมันเป็นแค่บอดี้การ์ด จะทำอะไรได้นอกจากทำตามคำสั่งล่ะครับ”

            คนสวยเบะปากทันที ก่อนน้ำตาจะเอ่อขึ้นมาอีกรอบ อ้าวเฮ้ย... ผมทำอะไรผิดอีกอ่ะ คนที่ควรนอยด์ควรน้อยใจมันต้องเป็นผมไม่ใช่เหรอครับ แล้วไหงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ

            “ทำไมชอบพูดแบบนี้นักวะ อยากเป็นนักใช่มั้ยไอ้บอดี้การ์ดน่ะ เออ! เป็นไปเลย! แฟนเฟินไม่ต้องเป็นมันแล้ว! อยากไปตายที่ไหนก็ไปเลยไป ไอ้บ้า!!”

            อ้าวเป็นงั้นไป เห็นซินโวยวาย ทุ้บผมอั๊กๆไป น้ำตาไหลไป เฮ้ย... จะว่าไงดีล่ะ มันจะสงสารก็สงสาร แต่ทำไมผมขำวะ อาจเป็นเพราะว่านานๆทีจะเห็นคุณซินขี้ซึนหลุดเก๊กแบบนี้นี่ครับ แมวน้อยของผมวันนี้อาละวาดเสียแล้ว

            ผมยกสองมือขึ้นรวบมือซินเอาไว้ด้วยกัน หยุดการประทุษร้ายร่างกายเอาไว้ก่อนที่จะพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง

            “อยากให้ไปตายจริงดิ” อารมณ์นี้ก็ยังอยากจะกวนตีนกันนะครับ

            “เออ!!”

            “งั้นขอตายในอกซินละกัน”

            “ไม่ต้องมาพูดดีเลย ไอ้คนนิสัยเสีย แม่ง... ปล่อยเลยนะ ปล่อยเราเลย!”

            “อย่าเสียดังสิซิน เดี๋ยวคนข้างนอกก็ได้ยินหรอก”

            คนเสียงดังเงียบลงไปทันที แต่ใบหน้านี่หงิกงอง้ำเชียวนะครับ ปากยื่นๆแบบนี้มันน่ากัดให้ขาดซะจริงๆ

            “ไหน เมื่อกี้ใครบอกว่าอยากให้กอดไง” คนโกรธหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที

            “....” ก้มหน้าหนีงุดๆไม่ยอมตอบ

            “ไม่เอาแล้ว ไม่ทะเลาะกันแล้วนะซิน ที่มาหานี่ไม่ได้อยากทะเลาะเลยนะ” พูดไปก็เช็ดคราบน้ำตาข้างแก้มใสไปด้วย ไม่ได้เห็นซินร้องไห้แบบนี้นานแล้ว คงเพราะว่าครั้งนี้รู้สึกแย่มากจริงๆ ไหนจะยังสถานการณ์ย่ำแย่ในตอนนี้อีก เขาเองก็คงกดดันมากเหมือนกัน

            “ก็นัทจะพูดแบบนั้นทำไม เราไม่ชอบเลยนะ งานก็ส่วนงานสิ แฟนก็ส่วนแฟน อย่าเอาเรื่องนี้มาประชดประชันกันได้มั้ย เราไม่ชอบเลย”

            “ขอโทษครับ”

            คนสวยยังคงเบะปากออกนิดๆ แต่น้ำตาก็หยุดไหลไปแล้ว ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี

            “เราเองก็ขอโทษเหมือนกัน ไม่ได้อยากให้นัทกลับ แล้วก็ไม่ได้อยากให้นัทตายด้วย...” น้ำเสียงแบบนี้ ทำหน้าแบบนี้ เหมือนเด็กน้อยจริงๆเลยครับ

            ผมยิ้มนิดๆก่อนจะคว้าร่างบางเข้ามากอด ไอ้ตัวดีก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามไม่ได้ว่าอะไร แถมยังเอาหัวทุยมาถูๆไถๆกันอีกต่างหาก อ้อนเกินไปแล้ว...

            “รู้แล้ว”

            “ขอโทษนะ ที่ไม่รับโทรศัพท์ แต่ไม่ได้ตั้งใจจะหนีเหมือนเมื่อตอนนั้นนะ” ซินเงยหน้าขึ้นมามองผมหน้าตาตื่น

            “ครับ เชื่อแล้ว ก็รู้แหละว่าไม่ได้จะหนีกันไปไหน แต่ก็ไม่อยากให้ทำแบบนี้ อยากให้คิดถึงใจกันบ้าง”

            “ขอโทษ”

            “โอเค พอแล้ว ไม่ต้องขอโทษแล้ว ไม่ทะเลาะแล้วนะ ไหน.. ไม่ได้เจอหน้าตั้งสี่วัน ขอมองหน้าแฟนให้ชัดๆหน่อยครับ”

            ตากลมสวยเงยมองหน้ากัน เห็นตาใสๆต้องมาปรอยไปด้วยน้ำตาแบบนี้แล้วมันใจไม่ดีเลย ชอบเห็นซินเวลายิ้มน่ารักมากกว่า หรือไม่ก็ตอนตีสีหน้าซึนๆ แบบนั้นก็น่ารักไปอีกแบบนะครับ แต่ไม่ชอบเวลาแบบนี้เลย ซินตอนนี้ที่ดูราวกับจะแตกหักออกซะง่ายๆ ซินคนเก่งของผมหายไปไหนแล้วนะ

            “น้ำลายไหลออกมาจากตาอีกแล้วเนี่ย ไม่เอาๆ พอแล้ว”

            “ไอ้นัทบ้า น้ำลายที่ไหนเล่า!”

            “อ้าว ก็ไหนบอกว่าไม่ได้ร้องไห้ไง”

            “ก็ไม่ได้ร้อง...มันไหลออกมาเอง”

            “ครับๆ ไม่ได้ร้องก็ไม่ได้ร้อง” ปากก็พูด มือก็เช็คคราบน้ำตาให้เขาไปด้วย ก่อนจะลากไล้นิ้วมือลงมาที่ริมฝีปากแดงเบาๆ ลูกแมวน้อยไล้ปากเขากับมือผมไปมา

            อย่าๆ... อย่ามาให้ท่ากันด้วยวิธีนี้ เดี๋ยวจะเสร็จในห้องน้ำโดยที่ไม่รู้ตัวครับซิน

            “นัท...”

            “ครับ”

            ดวงตากลมเลื่อนขึ้นมามองหน้าผม ก่อนจะก้มหลบลงไปด้วยท่าทางเขินๆ

            “...อยากให้จูบ”

            โอ้ยยยยยยย พลังทำลายล้างขั้นสุด! ไปเอาท่าทางเชิญชวนแบบนี้มากจากไหนนน ใคร! ใครมันสอนซินของผมให้พูดจาแบบนี้! มาเอารางวัล!!! มีแสนให้แสน มีล้านให้ล้านเลยครับ

            โอ้ยตาย... จะเป็นลม

            ในเมื่ออยากให้จูบแต่ก้มหน้างุดๆแบบนี้จะไปจูบได้ยังไงกันล่ะครับ หึหึ ในหัวเริ่มคิดเรื่องบรรเจิดได้อีกแล้ว

            ในเมื่ออยากให้จูบก็จะจูบครับ ผมเป็นคนตามใจแฟนอยู่แล้ว

            คิดได้แบบนั้นก็เชยคางคนขี้อายขึ้นมาให้มองหน้ากันให้ชัดๆ แก้มใสแดงแปร๊ดมากกว่าทุกที คงเป็นเพราะว่าครั้งนี้เป็นฝ่ายเอ่ยขอกันเองน่ะสิ

            ผมโน้มไปหน้าลงใกล้เขามากยิ่งขึ้น ลมหายใจอุ่นร้อนสัมผัสผะผาวยามเมื่อเราอยู่ห่างกันเพียงแค่นี้ ซินหลับตาลงพริ้ม รอรับสัมผัสจากผม ก่อนที่ผมจะแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากมนแผ่วเบา และถอนริมฝีปากออกมา

            ซินที่หลับตาออยู่สักพักแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นจึงลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงง ยิ่งเจอผมยืนยิ้มแป้นแล้นอยู่ตรงหน้า คิ้วเรียวก็เริ่มขมวดมุ่น จะอะไรซะอีกล่ะ นอกซะจากผมอยากจะแกล้งลูกแมวขี้ซึนตัวนี้น่ะสิ

            ทำไมล่ะ อยากให้จูบ ก็จูบไปแล้วนั่นไง...

            เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงทำหน้ายุ่ง ผมจึงแกล้งถามออกไปอย่างงุนงง

            “เป็นอะไรซิน ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ จูบของนัทไม่ลึกซึ้งพอเหรอ”

            “นี่คือจูบแล้วเหรอ” คนโดนขัดใจถามขึ้นมาอย่างงงๆ

            “อ้าว มันไม่ใช่จูบเหรอ”

            “มันก็ใช่... แต่ไม่เหมือนอย่างทุกทีนี่นา”

            “แล้วทุกทีมันเป็นยังไงครับ”

            “แกล้งเราป่ะเนี่ย”

            “ไม่ได้แกล๊งงง เปล่าเลยยย” เปล่าเลย แต่น้ำเสียงนี่ไปแล้วครับ ตอแหลนำหน้าไปแล้ว

            คนสวยขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจิ้ปากอย่างหงุดหงิด เอาแล้วครับ เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เป็นอารมณ์โมโหนะ ไม่ใช่อารมณ์โรแมนติกแต่อย่างใด ไอ้คนแกล้งอย่างผมก็ได้แต่ขำกึกๆอยู่ในใจเท่านั้น รอดูปฏิกิริยาต่อไป

            “แล้วทุกทีนัททำยังละซิน ทำให้ดูหน่อย....”

            ยังไม่ทันขาดคำที่จะให้เขาทำให้ดู มือบางก็เอื้อมมากระชากคอเสื้อกัน ดึงลงต่ำก่อนจะประกบปากจูบลงมาอย่างรวดเร็ว

            ช็อคซีนีม่า!!!

            เหวอแดกกันไปเลย บทจะแรงก็มาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยกันเลยครับคนคนนี้

            เรียวลิ้นเล็กสอดแทรกเข้ามาอย่าขัดๆเขินๆ เกี่ยวกระหวัดรัดรึงไล่ต้อนผมจนจนมุม แต่เด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อย ท่าทีกล้าๆกลัวๆแบบนี้คงต้องสอนกันชุดใหญ่ซะหน่อยแล้ว

            ผมค่อยๆขยับตัวเบาๆเพื่อดันซินให้เป็นฝ่ายหันหลังชนประตู บดเบียบดริมฝีปากเข้าหา ดูดเม้นปากแดงสวยย้ำๆเพื่อให้เขารู้ว่าผมคิดถึงเขามากแค่ไหน มือสองข้างลากไล้เอวบางภายใต้เสื้อเชิต ก่อนจะละมือข้างหนึ่งขึ้นประคองใบหน้าสวยให้แหงนรับจูบได้ถนัดขึ้น บดเบียดลำตัวเข้ากับหน้าขาซินเพื่อให้เขารับรู้ความต้องการทั้งหมดที่มี

            ลากไล้ริมฝีปากผ่านคางมนลงมายังลำคอขาวที่บัดนี้ไร้กลุ่มผมบดบังเมื่อเจ้าตัวมัดรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง ซุกไซร้ดอมดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวของซิน ไม่สนใจเสียงเล็กที่ดังคัดค้านกันอย่างไม่จริงจังนัก

            “นัท...นี่มันห้องน้ำนะ”

            ห้องน้ำแล้วยังไง กลางห้องคนป่วยในโรงพยาบาลยังเคยมาแล้ว...

            เสียงห้ามกลายเป็นเสียงครางแผ่นเบาอย่างพึงใจเมื่อผมหยอกล้อกับใบหูขาว เป่าลมรดรินเบาๆให้ขนกายคนในอ้อมกอดลุกซู่

            “อื้อ... นัท...”

            อากาศอบอ้าว พาเอาเหงื่อชื้นตามไรผม แต่ใครจะสนเช็ดมันตอนนี้กันล่ะ

            “นัท!”

            สองมือเล็กจับไหล่ผมดันออกก่อนจะเรียกขึ้นเสียงดัง ทำให้ผมจำต้องถอยออกมาจากซอกคอขาวที่ฝากฝังรอยแสดงความเป็นเจ้าของลงไปเรียบร้อยแล้ว ให้มันรู้ซะบ้างว่าตอขาวๆกับไหปลาร้าสวยๆนี่ผมเห็นได้แค่คนเดียว สติกระเจิดกระเจิงถูกรวบรวมกลับมาอีกครั้ง พาตัวเองมายืนจ้องหน้าคนห้ามที่เป็นคนเริ่มเอง

            “นี่มันห้องน้ำนะ แล้วเราก็อยู่ระหว่างทำงาน”

            “นายขึ้นร้องไปแล้วไม่ใช่หรือไง เสร็จงานนายแล้วนี่”

            “ร้องเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่ควรหายเงียบไปเลยอย่างนี้”

            “กลับเลยก็ได้นี่”

            “ก็ได้...”

            “แล้วจะกลัวอะไร”

            “ก็...ในนี้มันแคบ”

            “แปลว่าถ้าไม่แคบ ก็ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

            คนสวยก้มหน้างุดไม่ยอมสบตากัน ผมจึงต้องเอื้อมมือไปเชยคางคนขี้อายให้เงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าแดงซ่านเงยขึ้นแต่ไม่ยอมสบตามองผม มาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังคงจะเขินไม่เลิกลา น่าหมันเขี้ยวซะจริงๆ

            “วันนี้...” เสียงเบาพูดขึ้น แต่เพราะคนพูดงึมงำอยู่ในลำคอทำให้ผมได้ยินไม่ชัด

            “ว่าอะไรนะซิน พูดดังๆหน่อยไม่ได้.../วันนี้ป๊ากับม้าไม่อยู่ไปนอนบ้านเรามั้ย” ก่อนที่ผมจะได้พูดจนจบประโยคกลับต้องหยุดชะงักลงเพราะซินพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน แถมเป็นการแทรกที่พูดรวดเดียวจบอย่างรวดเร็วจนแทบจับใจความไม่ได้

            แต่บังเอิญว่าผมหูดีครับ ได้ยินชัดทุกถ้อยคำ ^^

            แก้มแทบแตกอยู่แล้วไอ้นัทเอ๊ยยยยย

            ใครก็ได้บอกทีวิธีการหุบยิ้มมันเป็นยังไง ก็ไหนใครบอกว่าผู้ใหญ่เขาสั่งห้ามเราเจอกันไงครับ แล้วมาชวนเค้าไปนอนบ้านแบบนี้ คิดไรกับเค้าป่ะเนี่ยตัวเองงง >.,<

            ผมหัวเราะออกมาสองสามที ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูเขา

            “เชิญชวนกันขนาดนี้ ปฏิเสธไหวเหรอ...”

            หูซินนี่แดงเถือกเลยครับ ^^

            “พอเลย ออกไปข้างนอกได้แล้ว” คนซึนพูดขึ้นพร้อมกับดึงผมด้านหลังท้ายทอยผมออก พาให้ใบหน้าผมต้องถอยตามไปด้วย

            “โอ๊ย... อะไรเนี่ย” ก่อนคนใจร้ายจะก้มลงมองมือตัวเอง มันแพล่บเลยครับ ฮ่าๆๆ น้ำมันใส่ผมออกฤทธิ์ซะแล้ว “โหยดูดิ คอเราคางเราเปื้อนไปหมดเลยอ่ะ อะไรของนัทเนี่ย”

            “ฮ่าๆๆ น้ำมันจัดทรงไง จะได้หล่อๆ”

            “หล่อบ้าอะไรเนี่ย เลอะเราหมดแล้ว” พูดไปก็เช็ดมือเช็ดคอตัวเองไปป้อยๆ โธ่ๆ สงสารเลย

            “ป่ะๆ ออกไปล้างข้างนอก” แต่ก่อนที่มือจะได้เปิดประตูห้องน้ำกลับต้องชะงักลงก่อน “เดี๋ยวๆ”

            “อะไรอีกอ่ะ”

            “เอาผมลงก่อน แกะยางมัดผมออก”

            “ทำไม มันร้อน”

            “ตามใจนะ อยากร้อน หรือว่าอยากโชว์” ผมยกมือขึ้นแตะคอตัวเองในตำแหน่งที่ผมทิ้งร่องรอยไว้กับซิน

            คนสวยรีบหันหลังส่องประตูที่เป็นสีเงินสะท้อนได้เหมือนกระจก ก่อนจะตาโตหันมาทุบผมดังอั้ก

            จุกสิครับ...

            “ใครบอกให้ทำรอยตรงนี้! ใครเห็นเข้าจะทำยังไง”

            “ไม่อยากให้ใครเห็นก็ปล่อยผมลงสิครับ”

            ซินจิ้ปากอย่างขัดใจก่อนจะยอมปล่อยผมลงในที่สุด เห็นมั้ย ง่ายดายเพียงแค่นี้ ไม่ต้องเสียเวลาเถียงกันให้เมื่อยเลย :)

            เมื่อปล่อยผมลงเสร็จแล้วมือเล็กก็ปลดล็อคกลอนห้องน้ำ และเดินออกไปตามด้วยผมที่ตามหลังมาติดๆ และในตอนนั้นเอง สิ่งที่รออยู่ด้านนอกห้องน้ำกลับทำให้ขาเรียวยาวชะงักลงทันที แสงแฟลชนับสิบสาดส่องมายังเราสองคนอย่างรวดเร็ว มากมายจนคนตรงหน้าหยีตาหนีแสงนั้น ผมที่ยืนอยู่ด้านหลังก้าวไปด้านหน้าและบังเขาเอาไว้เบื้องหลัง มองไปรอบๆอย่างตกใจ

            นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ก็ไหนว่าเป็นงานปิด แล้วกองทัพนักข่าวมากมายมหาศาลนี่มันอะไรกัน!!!

            หางตาเหลือบไปเห็นโอลีฟยืนกอดอกอยู่ด้านหลังบรรดานักข่าว บนใบหน้าแย้มรอยยิ้ม ก่อนจะยกมือโบกทักทายมาให้ และหันหลังถอยกลับออกจากห้องน้ำไป...

 

 TBC.
.....

นางมาอีกแล้ว...

**ใกล้จะจบไปทุกทีแล้วน้าา ใครอยากได้รูปเล่มบ้างมั้ยเอ่ย ถ้าเปิดจองจะมีคนสนใจมั้ยคะ
Eucalyp SN << แวะไปพูดคุยกันได้ที่เพจนี้นะคะ เพจของแยมเอง :)

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ :)
พบกันเร็วๆนี้!!

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ยัยโอลีฟฟฟฟฟฟ
ไม่สวยแล้วยังนิสัยเสียอีก
ชิ

ออฟไลน์ matilda.taon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: เอายัยนี่ไปเก็บบบบ

tw.choco

  • บุคคลทั่วไป
ตักตบนางด่วนๆ :m31:

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
งือออออออออข่าวดังแน่สู้ๆนะซิน ยัยโอลีฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
หลังจากสาดแสงกันเข้าไปแบบไม่ยั้ง เอ่อออออ


คนแต่งก็ยังไม่มาเลย :mew2: :mew2:

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
26

((เพราะฉันรักนาย))


            เพราะว่ารักมากจนยากจะยั้งใจ ทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก จนไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะทำร้ายใครไปบ้าง รั้งมือคู่นั้นเอาไว้จนสุดแขน ยื้อยุดเอาไว้จนสุดแรง และสุดท้ายเมื่อเชือกมันตึงจนเกินไป ในตอนที่มันขาด มันจึงสะท้อนแรงทั้งหมดที่มีกลับคืนมา กลับกลายเป็นว่า... ไกลยิ่งกว่าเดิม

            หลังจากที่โดนโอลีฟตลบหลังในวันนั้น ไม่นานนักคุณโอ๊ตก็บุกเข้ามาพาตัวซินหลบออกไป ส่วนผมก็โดนไอ้กัสลากออกมาอีกทาง แยกกันตั้งแต่ตอนนั้น จนตอนนี้แม้แต่เสียงผ่านโทรศัพท์ก็ยังไม่ได้ยิน

            เพราะครั้งนี้เป็นผมเองที่เลือกจะไม่โทรไป เลือกที่จะหยุดสักที กับความวุ่นวายทั้งหมดที่ผมเป็นคนทำ

            เช้าวันนี้ผมตื่นเร็วกว่าทุกที แต่งตัวด้วยชุดบอดี้การ์ดเหมือนอย่างทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องปลอมตัวอีกแล้ว คุณโอ๊ตโทรมาบอกว่าต้นสังกัดของซินตามตัวผมให้เข้าพบ และไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็แล้วแต่ คุณโอ๊ตก็กำชับนักหนาว่าให้ใจเย็นๆ เพราะครั้งนี้ ทั้งซินและคุณโอ๊ตไม่สามารถเข้าไปร่วมฟังด้วยได้

            หลังจากแต่งตัวจนเรียบร้อยแล้ว ยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกอยู่สักพักก็ต้องเดินออกมา เพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่นัดไว้แล้ว

            ลงมาชั้นล่างก็ไม่พบใครอยู่ในห้องนั่งเล่นเลย แต่ช่างเถอะ เพราะผมก็ยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับใครในตอนนี้เหมือนกัน แต่เมื่อเดินออกมาจากบ้านก็พบไอ้กัสยืนพิงรถรอผมอยู่ สีหน้าแสดงแววกังวลทันทีเมื่อเห็นผมเดินออกมา

            “ยังไม่เปิดเทอมอีกหรือไง”

            “ยัง”

            ผมพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะเปิดประตูรถออก แต่ก่อนที่จะได้ขึ้นรถ ไอ้กัสกลับยื่นมือมารั้งแขนผมเอาไว้เสียก่อน

            “พี่โอเคมั้ย”

            เมื่อได้ฟังคำถามก็อดที่จะถอนหายใจออกมาแรงๆไม่ได้ อารมณ์นี้ถ้าบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรก็คงจะตอแหลเกินไป แต่เพราะว่ามันเป็นเรื่องของผม ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนคิดมากตามไปด้วย

            “ฉันจัดการได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า” พูดไปก็เอื้อมมือไปตบบ่ามันเบาๆ แต่เฮ้ย... หน้าที่มันกลับกันไปหน่อยมั้ยเนี่ย ผมสิที่ควรจะเป็นคนถูกปลอบใจ มันจึงส่งยิ้มมาให้นิดๆเมื่อผมปิดประตูลง

            และไม่นานก็มาถึงหน้าตึกค่ายเพลงดังจนได้ ทำไมนะ เวลาไม่อยากมา เส้นทางกลับใกล้ เวลารีบแทบตาย เหยียบเท่าไหร่ๆก็ไม่ถึงสักที ...หึ

            รอลิฟต์อยู่ไม่นานก็ขึ้นมาจนถึงชั้นที่หมาย ก้าวแต่ละก้าวที่เดิน มันช่างหนักเหลือเกิน เป็นเพราะไม่อยากรู้ ไม่อยากรับฟังเรื่องที่คาดเดาเอาไว้แล้วในวันนี้ สิ่งที่คิดเอาไว้ กับสิ่งที่จะต้องเจอจริงๆมันคนละเรื่องกันนี่นา ถึงจะเตรียมใจมาแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับได้

            ยืนทำสมาธิอยู่หน้าห้องสักพัก เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่า มีคนนั่งรอผมอยู่แล้ว คนเดิมกับเมื่อตอนที่เข้ามาพร้อมกับซินตอนนั้น

            “อ้าว มาแล้วเหรอ นั่งลงสิ” เมื่อกล่าวทักทายทุกคนเสร็จ ผมจึงนั่งลงตามคำเชิญ

            “เข้าเรื่องเลยล่ะกันนะ ฉันขอให้นายเลิกยุ่งกับศิลปินของฉันจะได้มั้ย” ประโยคนี้กะเอาไว้อยู่แล้วว่าจะได้ยิน แต่ก็ไม่คิดว่าจะตรงไปตรงมาขนาดนี้

            “ผม...”

            “นายก็น่าจะเห็นแล้วว่าสถานการณ์มันแย่แค่ไหน เรื่องคราวนี้ไม่ใช่แค่ข่าวลอยๆหรือเรื่องจิ้นอย่างที่บรรดาแฟนคลับเขาชอบทำกันแล้วนะ เพราะนี่มันชัดเจน” คำว่าชัดเจนถูกเน้นย้ำให้ได้ยินตามความหมายของมัน ใช่...เพราะครั้งนี้ทั้งภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยิน มันอธิบายตัวมันเองได้ทั้งหมดแล้ว ชัดเจนจนไม่ต้องจิ้นกันอีกให้เสียเวลา

            “มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะทำใจยอมรับได้ยากสักหน่อยนะสำหรับทางค่าย อย่าหาว่าเราใจร้ายเลยนะ ยังไงเราก็ต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้ศิลปินของเราอยู่แล้ว แล้วการที่มีนายมาคอยวนเวียนใกล้ๆศิลปินของเราแบบนี้ มันไม่เป็นผลดีกับเขาสักเท่าไหร่ มันก็จริงที่เดี๋ยวนี้เขาออกมาเปิดเผยกันเยอะ แต่ทางเราก็ไม่ได้มีนโยบายให้นักร้องกลายเป็นเกย์หรอกนะ”

            “จะเรียกว่าเราเป็นอะไรก็แล้วแต่ ช่างหัวมัน แต่มันผิดมากนักเหรอครับที่เราจะรักกัน”

            “มันก็ไม่ผิดหรอกที่จะรักกัน แต่มันผิด ที่ตอนนี้ซินอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรทุกคนจะจับตามองเขาอยู่เสมอ ถ้ามันเป็นเรื่องดีก็ดีไป แต่ถ้ามันเป็นเรื่องร้ายๆ คนที่รอเหยียบซ้ำอยู่มันก็มีเยอะนะ นายเอง ถ้ารักซินจริง นายจะทนได้มั้ยเรื่องที่ใครต่อใครหาว่าซินแย่งนายมาจากคนอื่น เป็นผู้ชายแท้ๆแต่กลับไปแย่งนายมาจากผู้หญิง คนอื่นจะมองซินว่าเป็นยังไง”

            “ซินไม่ได้แย่ง! ทุกอย่างเป็นเพราะฝีมือของผู้หญิงคนนั้น ทุกๆอย่างเลย ทั้งเรื่องนักข่าว ทั้งคำสัมภาษณ์จอมปลอมนั่นด้วย ผมไม่เคยเป็นอะไรกับเธอ!”

            “อะไรที่พูดตอนนี้ ไม่ว่ามันจริงหรือไม่ ฟังยังไงมันก็คือคำแก้ตัว คนที่ดูเหมือนว่าอ่อนแอกว่ามักเป็นฝ่ายถูกเสมอ ยอมรับได้มั้ยล่ะถ้าซินของนายจะโดนสังคมประนาม คนรักก็มี แต่เขาจะกลายเป็นศิลปินที่มีกลุ่มแอนตี้ ไปไหนก็ต้องคอยระวังตัว”

            “มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง”

            “ที่คิดแบบนั้นเพราะนายยังไม่รู้จักวงการนี้ดีพอ ชื่อเสียงสร้างคนได้ มันก็ทำลายคนได้เหมือนกัน”

            “แล้วพวกคุณจะทำยังไง จะบอกว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นการเข้าใจผิด บังเอิญซินคิดว่าในห้องน้ำไม่มีคนเลยเข้าไป หรือว่าบังเอิญซินสายตาสั้นมองไม่เห็นผมที่อยู่ในห้องน้ำ หรือยังไง ผมเป็นพี่ชายที่พลัดหลงกันมาตั้งแต่ยังเด็กๆเหรอ หรือว่าผมเป็นตุ๊ด”

            “ก็แค่คืนนายให้ผู้หญิงคนนั้น ให้เขาแถลงข่าวว่าเขากับนายรักกันดี เรื่องทั้งหมดเป็นแค่การเข้าใจผิด”

            “ง่ายไปมั้งคุณ แล้วภาพเมื่อคืนนี้ล่ะ”

            “เวลาผ่านไป ผู้คนก็จะลืมภาพเหล่านั้นเอง”

            “เนี่ยเหรอทางออกที่ดี ฟังยังไงก็คือวิธีแก้ปัญหาแบบชุ่ยๆเท่านั้นเอง”

            “แล้วนายจะมาเข้าใจอะไร!! พวกเราทุ่มเทกับซินไปตั้งเท่าไหร่ ลงเงินลงแรงไปแค่ไหนกว่าจะมาได้จนถึงทุกวันนี้ แล้วอยู่ๆจะให้นายที่เป็นใครไม่รู้มาทำให้เรื่องราวทั้งหมดที่เราทุ่มเทกันมาสูญเปล่าเหรอ ทั้งชื่อเสียง ทั้งงานเพลง รางวัลทุกๆอย่างของซิน นายรู้มั้ยว่าความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวสามารถลบเลือนเรื่องราวพวกนั้นได้ทั้งหมด ชื่อเสียงที่สั่งสมมาต้องพังครืนภายในคืนเดียว!!!” คนที่เงียบนั่งฟังอยู่นานลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังใส่ผม ทำไมคนพวกนี้คิดถึงแต่ตัวเองวะ!!

            “ห่วงแต่ชื่อเสียงของตัวเองรึไง”

            “นาย!!!”

            “พอแล้ว คุณออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันคุยเอง” คนดูมีอายุที่พูดกับผมในทีแรกขัดขึ้น อีกคนจึงถอนหายใจฮึดฮัดและเดินออกจากห้องไปอย่างไม่เต็มใจ ตอนนี้ในห้องจึงเหลือแค่สองคน

            “ชื่อนัทใช่มั้ย”

            “ครับ”

            “รักซินมากสินะ”

            “ครับ รักมาก”

            “อืม ดูไม่ยากหรอก ทั้งท่าทางและแววตาแบบนี้” คำพูดใจดีกับรอยยิ้มที่ส่งมา พาให้อารมณ์ที่ร้อนเป็นไฟเริ่มเย็นลงมาบ้าง พูดกันแบบนี้แต่แรกก็ดีสิ

            “ถ้ารักมาก ก็น่าจะเข้าใจได้ง่ายๆนะนัท”

            !!!

            “ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะทำอย่างนี้ แต่เพราะว่าฉันทำงานในวงการนี้มานาน เรื่องพวกนี้ไม่ได้เป็นผลดีกับใครหรอกนะ ข่าวประปรายที่ผ่านๆมาฉันเองก็รับรู้ทั้งหมด แต่ก็เลือกที่จะปล่อยผ่านไปเพราะมันเป็นแค่คำพูดของฝ่ายนั้นฝ่ายเดียว แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ฉันนับถือในความพยายามของนายนะ ในแต่ละครั้งที่พยายามจะพบซิน ฉันเข้าใจ เพราะฉันเองก็เคยผ่านช่วงเวลาที่รักใครสักคนมากๆแบบนี้เหมือนกัน และก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเขา แต่...ในเมื่อมันมาถึงจุดที่ควรจะหยุดได้แล้ว นายก็ควรที่จะหยุด ถ้ามันไม่มีทางไปต่อ รั้นที่จะก้าวต่อไปก็มีแต่จะเจ็บทั้งคู่นะ”

            “จะเจ็บยังไง ในเมื่อเราสองคนรักกัน”

            “ฉันได้ยินเรื่องของพ่อนายมาบ้างแล้ว”

            รู้... รู้ได้ยังไง นั่นมันเรื่องในครอบครัวผมนะ!

            “อย่าหาว่าฉันก้าวก่ายเลยนะ แต่เพราะว่าเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับความเป็นไปของศิลปินฉัน ฉันจึงจำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง พ่อนายไม่ชอบซินใช่มั้ย ไม่ชอบที่จะให้นายกับซินรักกัน”

            “วันนี้ไม่ชอบ แต่สักวันผมจะทำให้ท่านยอมรับให้ได้”

            “ความมุ่งมั่นของนายมันน่ายกย่องมาก แต่นายกำลังจะใช้มันในทางที่ผิด ถึงแม้ว่าเรื่องในครั้งนี้มันจะจบไป แต่ยังไงสักวันเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอีก พ่อนายก็คงจะหาเรื่องอื่นมาทำให้นายกับซินแยกกัน เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบไม่สิ้น แล้วนายคิดว่าใครกันล่ะที่น่าสงสารที่สุด”

            “....”

            “ก็ซินไม่ใช่หรือไง”

            คำตอบนี้ยากจะยอมรับ แต่มันก็คือเรื่องจริง

            “นายควรที่จะพอได้แล้ว ปล่อยมือซินได้แล้วนะ แล้วกลับไปหาคนที่เป็นไปได้สำหรับนาย ในเมื่ออดีตมันเป็นไปไม่ได้ ปัจจุบันมันก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน...”

            !!!

            คนคนนี้รู้มากแค่ไหนกัน รู้เรื่องในอดีตของผมกับซินด้วยหรือไง

            “ถ้านายรักซินมากพอ นายก็ควรที่จะปล่อยมือเขาไป”

            ปล่อยมือเขาไป ปล่อยมือเขาไป ปล่อยมือเขาไป ปล่อยมือเขาไป ปล่อยมือเขาไป...

            ตั้งแต่ออกมาจากห้องนั้น คำๆนี้ก็วนเวียนอยู่ในหัว สลัดเท่าไหร่ก็ไม่ออกสักที ถ้านายรักซินมากพอ นายก็ควรที่จะปล่อยมือเขาไป ผมรักซิน เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัยเลย แต่ในเมื่อรัก แล้วทำไมถึงต้องปล่อยมือ... นี่มันวิธีการคิดแบบไหนกัน ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

            แต่เมื่อก้าวออกจากตึก ก็พบกับคุณโอ๊ตที่กำลังจะวิ่งเข้าตึกมาพอดี

            “อ้าวนัท!”

            “อ้าวคุณโอ๊ต สวัสดีครับ”

            “คุยกับพวกผู้ใหญ่เสร็จแล้วเหรอ”

            “...ครับ”

            คุณโอ๊ตถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตบลงมาบนไหล่ผมดังป๊าบ ก็เจ็บนะ แต่ไม่มีอารมณ์โวยวาย ร่างกายมันชินชาไม่ตอบสนองต่อสิ่งเล้าแล้วตอนนี้

            “ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย มากับฉันหน่อยสิ”

            สุดท้าย ผมกับคุณโอ๊ตก็มานั่งดื่มกาแฟกันอยู่ที่ร้านใกล้ๆตึก มาเพื่อนั่งถอนหายใจเฮือกๆใส่กัน - -

            “ผู้ใหญ่บอกให้เลิกคบกันล่ะสิ”

            “ครับ”

            บรรยากาศกลับมาเงียบอีกครั้ง เมื่อคุณโอ๊ตไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมเองก็ปล่อยใจลอยไปกับกลิ่นกาแฟหอมๆในร้าน สุดท้ายแล้วผมควรที่จะทำยังไงดีนะ ทำไมมันยากแบบนี้... กับอีแค่คนสองคนจะรักกัน มันผิดตรงที่เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่อย่างนั้นรึไง

            “ผมผิดเหรอที่รักซิน” สุดท้ายเมื่อหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ก็คงต้องถามคนอื่นแล้วล่ะ

            “เฮ้อ... มันก็ไม่ผิดหรอกที่รัก แต่ในสถานการณ์นี้ มันผิดคน”

            “ผมรักซินไม่ได้เหรอ”

            “ถ้าซินเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป เดินตามท้องถนนได้โดยที่ไม่มีใครรู้จัก นั่นก็อาจจะได้”

            “อย่าพูดถึงเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้สิ แค่นี้ก็หดหู่จะแย่แล้วนะ”

            “ก็แล้วจะให้พูดยังไงล่ะวะ ในเมื่อมันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วนี่ ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าซินออกไปไหนไม่ได้เลย แค่จะก้าวขาออกจากบ้านยังไม่ได้ ไม่ต้องหวังเรื่องงานเลย”

            “...เพราะผมใช่มั้ย”

            “แล้วจะเพราะใครล่ะ โอลีฟนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ถ้านายไม่ดันทุลัง ข่าวมันก็จะค่อยๆเงียบหายไปเอง ตอนนี้ก็คงจะยากแล้วแหละ”

            ไม่มีคำปลอบใจใดๆทั้งสิ้น แต่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะครับ มันทำให้ได้รู้ว่าผมควรที่จะทำยังไง

            “แค่ผมเลิกยุ่งกับซิน ทุกอย่างก็จบแล้วใช่มั้ย ซินไม่ต้องเดือนร้อน ไม่ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ”

            “ถ้าในสถานการณ์นี้ล่ะก็ ...ใช่”

            เป็นคำตอบที่ไม่อยากได้ยิน แต่มันก็คือเรื่องจริงที่ต้องยอมรับ

            อะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ รั้งไว้ก็ไม่มีประโยชน์...

            เข้าใจความรู้สึกซินเมื่อตอนนั้นก็ครั้งนี้นี่เอง ตอนนั้นซินจะทรมานเหมือนกับผมตอนนี้มั้ยนะ เจ็บมากจนเหมือนหัวใจมันหายไปแบบนี้รึเปล่า ตอนนั้นผมเองก็เจ็บนะ แต่มันคนละความรู้กัน เพราะคนที่ถูกทิ้ง กับคนที่เป็นฝ่ายทิ้ง ความรู้สึกมันต่างกัน เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้นี่เองว่าซินเจ็บมากแค่ไหน

            เพราะต้องทิ้ง ในขณะที่ยังรักหมดใจ ต้องปล่อยมือไป ทั้งๆที่คงจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีกัน

            ตอนนั้นซินทำได้ยังไงกันนะ ตัดใจได้ยังไง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องเป็นคนที่ทำแบบนี้ เป็นคนที่เป็นฝ่ายปล่อยมือ แบบนี้ใช่มั้ย เพราะรัก ถึงต้องปล่อย

            สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมรับ

            สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมแพ้

            ทั้งๆที่ปากดีมากตลอดเลยนี่นา

            ผมคงเก่งได้แค่นี้จริงๆ...

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
            หลังจากที่คุยกับคุณโอ๊ตเสร็จ เมื่อไม่รู้ว่าจะไปไหน สุดท้ายก็มาโผล่ที่นี่อีกเช่นเคย ที่ที่เมื่อสองปีที่แล้วผมมักจะมา เมื่อไม่มีที่จะไป ที่ที่แค่มองเห็นได้ก็มีความสุข ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นเขา แค่รู้ว่าเขาจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่นี่ก็ยังดี ที่ที่เขาน่าจะยิ้มอย่างสบายใจได้ทุกวัน ...โดยที่ไม่มีผม

            บ้านหลังนี้ ที่ต่อจากนี้ผมคงไม่ได้มาเหยียบมันอีก

            ผมจอดรถเอาไว้ซอยข้างๆ เพราะการมาครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะมาเจอ

            แค่มาเพื่อจะบอกลา...เท่านั้นเอง

            ในเมื่อทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นที่ผม เรื่องวุ่นวายต่างๆมากมายที่มันเกิดขึ้น เพราะผมคนเดียว ซินเอง เป็นแค่คนที่อยู่เฉยๆ มีแค่ผมที่วิ่งเข้าไป ลากคนนู้นคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เรื่องมันยิ่งวุ่นวาย แต่คนที่อยู่กับที่อย่างซิน กลับต้องเป็นฝ่ายรับผลกระทบแย่ๆไปทั้งหมด เพียงเพราะผมคนเดียว

            เท่านี้เพียงพอแล้วใช่มั้ย ที่จะต้องไป

            ตอนที่คุยกับคุณโอ๊ตทำไมมันไม่รู้สึกเหมือนตอนนี้นะ ตอนนั้นมันหน่วงๆ ชาๆ แต่ตอนนี้แค่หายใจยังเจ็บเลย ไม่ใช่เจ็บทางด้านร่างกาย แต่มันเจ็บจากข้างใน เจ็บที่ครั้งนี้ไม่รู้จะรักษาจากตรงไหนดี เลือดออกตรงไหนนะ ใครเห็นบ้างมั้ยครับ ช่วยผมหาแผลทีสิ ผมจะได้ทายาถูกที่ไง หาแผลไม่เจอแบบนี้ ผมคงรักษามันไม่ได้สักที

            คนในบ้านตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ เขาจะสบายดีมั้ย...?

            จะบ้าหรือไง เจอเรื่องแบบนี้เข้าไปจะสบายใจได้ยังไงล่ะ

            แล้วถ้าอย่างนั้น เขาจะมีแผลแบบผมมั้ย ... ถ้าผมไป

            ใครจะรักษาแผลให้ซิน

            แต่แล้วเมื่อเห็นว่าใครบางคนกำลังจะออกมาด้านนอก ขาผมมันก็รีบพาตัวเองหลบไปด้านข้างทันที หลบอยู่ตรงรั้วบ้านด้านข้างของซิน เสียงฝีเท้าแผ่วเบาของคนตัวบางเดินออกมาด้านนอก ทำให้ต้องยืนแนบสนิทกับรั้วมากยิ่งขึ้น โชคดีที่กำแพงปูนมันยื่นออกมาบังผมเอาไว้

            “นัท...”

            เสียงเรียกจากเขาทำให้ต้องหลับตาลงอย่างลำบากใจ อยากยกมือสองข้างขึ้นปิดหูตัวเอง ไม่อยากได้ยิน... ไม่อยากได้ยินเสียงนี้ที่คอยเรียกชื่อกัน ขาอยากก้าวออกไปหาเขาใจแทบขาด แต่กลับต้องห้ามใจตัวเองเอาไว้

            ไม่ได้... อย่าออกไปนะ

            ถ้านายออกไป เรื่องราวมันก็จะไม่จบไม่สิ้นสักที

            ได้แต่บอกตัวเองอยู่อย่างนั้น กล่อมตัวเองอยู่อย่างนั้น

            จนรับรู้ได้ถึงแรงสั่นจากโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงจึงหยิบมันขึ้นมา เป็นคนที่ยืนอยู่ห่างกันเพียงแค่รั้วกั้นคนนี้นี่เอง

            เขาเห็นผมเหรอ เลือกยืนในที่ที่คิดว่าจะมองไม่เห็นแล้วนะ เลือกที่จะหลบอยู่ในเงามืดท่ามกลางแสงสว่างแล้ว ทั้งๆที่กะว่าจะมาโดยที่ไม่ได้เห็นหน้า เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมคงถอยไปได้ง่ายกว่านี้

            ผมควรจะดีใจใช่มั้ยที่ซินโทรมา ทุกครั้งที่เห็นชื่อนี้เป็นสายโทรเข้า ผมไม่เคยปล่อยให้เขาต้องรอนานเลย รีบคว้ามารับจนโทรศัพท์แทบหลุดมือทุกครั้ง

            แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป ตลอดเวลาที่เครื่องสี่เหลี่ยมเล็กๆนี่มันสั่น ใจผมมันก็ไหวตามไปด้วย อยากรับสายแทบขาดใจ อยากได้ยินเสียงใสๆถามหาผม เรียกชื่อผม กัดกันด้วยคำพูดแรงๆ แต่ทั้งหมดนั้นมันก็แสดงว่าเขารักผมเหมือนกัน        อยากก้าวออกไปจากตรงนี้ บอกเขาว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี ไม่มีผมแล้วต้องอย่าร้องไห้ งอแงบ่อยๆไม่ได้แล้วนะ ได้บอดี้การ์ดคนใหม่ก็อย่าเอาแต่ใจให้มากนัก เดี๋ยวเขาจะเบื่อแล้วหนีหายไปซะก่อน อยากบอกกับเขาว่าอย่าไปไหนคนเดียว เวลากินข้าวก็อย่ากลัวอ้วน กอดแต่ละทีเจอแต่กระดูกแล้วนะ อย่าตากฝน เพราะแก้มใสๆนั่นไม่เหมาะจะซีดเป็นสีเทาหรอก มันควรจะแดงอมชมพูเพราะเขินผมมากกว่า

            อย่าป่วยบ่อยนะ อย่าหักโหม เพราะฉันคงไม่ได้โทรไปบอกให้นอนเร็วๆ

            อย่าร้องไห้เวลาอยู่คนเดียว เพราะฉันคงเช็ดน้ำตาให้ไม่ได้แล้ว

            อย่าเหงานะซิน

            อย่าเสียใจ

            ให้ฉันร้องไห้ ให้ฉันเสียใจแทนนายเอง

            ยิ้มให้มาก

            ยิ้มเผื่อในส่วนของฉันด้วย...

            หยดน้ำหยดเล็ก ล่วงหล่นลงบนหน้าจอโทรศัพท์ที่ผมกำลังก้มมองอยู่ตอนนี้ มาจากไหนกันนะ ฝนตกแล้วเหรอ ทำไมตัวผมไม่เปียกล่ะ ทำไมเสื้อผ้าผมมันไม่เปียก งั้นหยดน้ำพวกนี้มันมาจากไหนกัน ทำไมตาผมมันพร่าแบบนี้ ทำไมมองอะไรไม่ชัด แม้กระทั้งซินที่อยู่ห่างไปแค่นี้ ผมยังมองไม่เห็นเลย

            หายใจลำบากขึ้นทุกที เหมือนกับว่าร่างกายมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆเสียให้ได้ หัวใจผมกระเด็นหายไปไหนแล้ว ส่วนหัวใจของซิน ...ฉันคืนให้นาย

            เอาไว้มอบให้คนที่คู่ควรเถอะนะ หวังว่าใครคนนั้นเขาจะดูแลนายได้ดีมากกว่าที่ฉันเคยทำ

            แค่คิด ก็เจ็บแทบขาดใจ

            แรงสั่นจากโทรศัพท์หยุดไปแล้ว พร้อมกับที่เสียงฝีเท้าเดินเข้าบ้านไป แต่ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยืนอยู่ตรงนี้ จ้องมองโทรศัพท์ที่ดับไปด้วยความว่างเปล่า ในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว ก็ต้องทำให้ได้

            เพราะทุกๆอย่างที่ทำลงไปก็เพื่อซิน

            หวังว่านายจะเข้าใจมันนะ

            ครั้งนี้ ขอโทษด้วยที่ฉันเป็นคนผิดสัญญา เลือกที่จะไปทั้งๆที่เป็นคนพูดว่ามีอะไรต้องคุยกัน แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว เข้าใจสิ่งที่นายทำในตอนนั้น การหายไปแบบนี้มันอาจจะดีกว่า ให้ผู้ชายคนนี้หายไป เหมือนอย่างที่มันควรจะเป็นตั้งแต่แรก

            ลาก่อนนะซิน

            ลาก่อน ความรักของผม

 

            ผมกลับบ้านมาด้วยสภาพไหนก็ไม่รู้ รู้แต่แม่กับพ่อที่นั่งรออยู่มองตามมาตาไม่กระพริบ แต่ไม่มีใครพูดอะไร ผมลากสังขารตัวเองขึ้นมาบนห้องโดยที่ไม่ได้ทักทายใครสักคน ไม่อยากไปไหน ไม่อยากทำอะไรเลย อยากจะนอน หลับตาลงและหนีเรื่องนี้ไปให้พ้นๆ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาพบเจอกับมันอีกเลย

            ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ก่อนจะเหลือบตาไปเห็นลิ้นชักเล็กบนโต๊ะข้างเตียงที่ปิดเอาไว้ไม่สนิท อะไรบางอย่างที่วางอยู่บนนั้นมันสะดุดตา ทำให้ต้องเอื้อมหยิบมันมาดูใกล้ๆ พาลให้ฝนอยากจะตกลงมาในห้องนอนอีกครั้ง

            แหวนกะลามะพร้าวอันนั้น ที่ซื้อที่ตรัง กะไว้ว่าจะให้เขา แต่ยังไม่มีโอกาสเลย...

            นานจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำ

            ผมนี่ไม่เอาไหนจริงๆ ทั้งๆที่ตอนซื้อตั้งใจจะให้เขาแท้ๆ แต่กลับปล่อยปละละเลย แล้วเป็นยังไงล่ะ พระเจ้าเลยลงโทษให้ไม่มีโอกาสได้ให้เขาอีก

            ไม่มีอีกแล้ว ....ไม่มีซินอีกแล้ว

            มือที่ถือแหวนวงนี้อยู่สั่นไหว แรงจะประคองมันไว้แทบไม่มี แหวนวงแค่นี้ ทำไมหนักนักนะ...

            ตาผมมันพร่าอีกแล้วสิ

            ฝนตกอีกแล้วล่ะครับ...

            ไม่ ...ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่น้ำฝน

            แต่มันคือน้ำตาผมเอง น้ำตาของลูกผู้ชายคนนี้ที่กำลังจะเสียรักไปอีกครั้ง

            แต่ครั้งนี้กลับเจ็บปวดมากกว่าเดิม เพราะคนที่ปล่อยมือคือผมเอง

            ความทรงจำมากมายวิ่งวนเข้ามาในหัว ภาพรอยยิ้มสดใส เสียงหัวเราะ กลิ่นหอมจางๆที่จนตอนนี้ผมก็ยังจำมันได้ ไม่มีวันไหนที่จะลืมเลือน ผมจะเก็บทุกทุกอย่างไว้ จะไม่ลืมแม้สักอย่างเดียว ถึงแม้ว่ามันจะทรมาน ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ลืมไม่ได้

            ผมจะลืมได้ยังไง เพราะทั้งหมดนั่นคือความสุขเดียวที่ผมมี

            จะเก็บมันไว้ และค่อยๆดึงมันขึ้นมาในแต่ละวัน เพื่อที่จะยิ้มได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นยิ้มทั้งน้ำตาก็ดีกว่าไม่มีรอยยิ้มเลย

            มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพซิน ได้ยินแต่เสียงของซิน

            แล้วจะให้ลืมได้ยังไง

            แหวนร่วงหลุดมือไป พร้อมกับมือสองข้างที่ยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง กลั้นเสียงที่แสดงถึงความอ่อนแอที่ผมไม่อยากให้ใครได้ยิน

            เสียงเคาะประตูเบาๆทำให้ต้องลดมือลง หายใจเข้าลึกๆตั้งสติเพื่อตอบออกไป

            “ครับ”

            “แม่เองนะลูก ขอแม่เข้าไปได้มั้ย”

            แม่... จะให้แม่มาเห็นลูกชายในสภาพนี้ได้ยังไง เดี๋ยวจะพาลไม่สบายใจไปด้วยน่ะสิ ผมไม่อยากให้ใครต้องมาเสียใจกับผมอีกแล้วนะ แค่ผมคนเดียวก็พอ

            “นัทอยากพักผ่อนครับแม่ ขอนัทงีบหน่อย”

            เสียงจากด้านนอกเงียบไปพร้อมกับผมที่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง

            ทำให้แม่ไม่สบายใจอีกแล้ว...

            แรงสั่นบนเตียงทำให้เดาได้ว่ามีสายเข้า แต่พอหันไปมองกลับต้องชะงักมือไว้ เพราะคนที่โทรมา

            คงจะรู้เรื่องจากคุณโอ๊ตแล้ว และก็คงจะโทรมาบอกให้ผมใจเย็นๆอีกตามเคย ป่านนี้คงหงุดหงิดแย่แล้วล่ะที่ผมไม่รับโทรศัพท์ นึกหน้าแมวขี้โมโหออกเลย คิ้วคงขมวดกันยุ่งแล้วล่ะสิ ปากบางนั่นก็คงบ่นขมุบขมิบว่าผมอยู่แน่ๆ

            คุณป๊าเองก็คงจะดีใจ ที่สุดท้ายผมก็ไปพ้นๆได้สักที งานนี้ก็มีคนแฮปปี้เหมือนกันนี่ มีอีกคนนะ ก็พ่อผมไง สุดท้ายแผนพ่อก็สำเร็จแล้ว พ่อดีใจมั้ยครับ

            ดีใจมั้ยที่ลูกชายคนนี้หัวใจสลายไม่เหลือชิ้นดี

            แบบนี้ใช่มั้ยที่พ่อต้องการ

            ถอนหายใจออกมาเบาๆพร้อมกับทิ้งตัวลงบนที่นอน มองเพดานห้องสีขาวว่างเปล่าอย่างล่องลอย

            โทรศัพท์ยังคงสั่นอยู่เรื่อยๆ จนสักพักมันก็เงียบไป คงโมโหจนไม่อยากจะโทรต่อแล้วล่ะ ป่านนี้เควี่ยงโทรศัพท์ทิ้งไปหรือยังก็ไม่รู้

            ให้ตายสิ... คิดถึงอีกแล้ว

            ฉันคิดถึงนายได้ แต่นายอย่าคิดถึงฉันนะซิน เพราะเวลาคิดถึงใครแล้วเจอกันไม่ได้ มันทรมานมากเลย นายต้องลืมเรื่องฉันซะ เกลียดฉันไปเลยก็ยิ่งดีที่ฉันทำให้นายเสียใจ

            อย่าเจ็บมากนักนะ เพราะฉันคงทนไม่ได้

            เสียใจให้ฉันแค่วันสองวันก็พอ

            แล้วก็กลับไปยิ้มเหมือนเดิม ฉันจะรอดูนายผ่านโทรทัศน์ ฟังเสียงนายผ่านวิทยุ มันก็ไม่ได้แย่นักหรอก เมื่อก่อนตอนที่เราต้องห่างกันฉันก็ทำแบบนั้น เคยโทรไปขอเพลงนายที่คลื่นวิทยุด้วยนะ เคยโทรไปเพื่อจะคุยกับนายผ่ายรายการเพลง แต่ก็โทรไม่เคยทันคนอื่นเลย แต่ถึงจะโทรติดก็ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ดี

            แค่อยากได้ยินเสียง เสียงของนายที่พูดกับฉันแค่คนเดียว

            คิดแล้วก็ตลกตัวเองเหมือนกัน ติดอยู่ตรงตอนนี้ขำไม่ออกนี่สิ ก็เลยไม่รู้ว่าจะขำยังไง

            โทรศัพท์สั่นอีกแล้ว... อะไรกัน วันนี้นายตื้อฉันมากกว่าทุกทีนะ ปกติสามสายนี่ก็เกินพอแล้วจริงๆสำหรับความอดทนของคุณซิน แล้ววันนี้อะไรที่ทำให้คุณซินอดทนมากกว่าทุกทีนะ

            อย่าสิ...

            อย่าทำแบบนี้สิ ฉันกำลังตัดใจจากนายนะ แบบนี้ใจร้ายเกินไปแล้ว นายโทรหาฉันแบบนี้แล้วฉันจะตัดใจได้ยังไง

            จะปิดเครื่องหนีกันก็ไม่กล้า เพราะฉันมันขี้โกง มันอยากเห็น อยากรู้ว่านายเองก็รักฉันมากเหมือนกัน ความเห็นแก่ตัวในใจฉันมันยังอยากรับรู้ถึงความรักของนาย อยากรั้งความรู้สึกนี้ไปอีกสักพัก ความรู้สึกที่ยังมีนายอยู่ข้างกันแบบนี้ นายที่แคร์ฉันแบบนี้

            เห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนัท... คิดแบบนี้เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว

            ทุกสิ่งทุกอย่างตีรวนมั่วไปหมดในหัวสมอง คนคนเดียวคิดอะไรมากมายขนาดนี้ในคราวเดียวได้ด้วยหรือไง หรือว่ากำลังจะเป็นบ้า ผมกำลังจะเสียสติ?

            พอแล้ว เลิกโทรได้แล้วนะ ถ้านายยังขืนโทรมาแบบนี้ ฉันก็ต้องปิดเครื่องหนีนายแล้วนะ

            ในตอนนั้นที่คว้าโทรศัพท์มาด้วยมือที่แสนไร้เรี่ยวแรง หวังจะปิดเครื่องหนีเรื่องนี้ให้มันพ้นๆไปซะ สายโทรเข้ากลับวางไป กลายเป็นข้อความหนึ่งที่ถูกส่งมาแทน

            มือสั่นเทาเลื่อนเปิดอ่านข้อความนั้น กระพริบตาถี่ๆไล่น้ำใสที่มันบดบังตาออกไป อ่านข้อความที่มันบาดลึกลงไปในใจในทุกๆคำ

            ‘นัทอยู่ไหน มาหาเราหรือเปล่า’ ข้อความแรกผ่านไป พร้อมกับข้อความที่สองตามมาติดๆ

            ‘นัทกำลังจะทำอะไร อย่าไปไหนนะ ...อย่าไปจากเรา’

            และข้อความสุดท้าย ที่ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอีกครั้ง

            ‘...เรารักกันไม่ใช่เหรอ’


            ใช่... เพราะเรารักกัน ฉันถึงต้องทำแบบนี้ไง   


TBC.
....
ตอนนี้อาจจะไม่ยาวมาก เป็นยังไงกันบ้างคะ
คนแต่งชอบตอนนี้นะ ไม่รู้ทำไม :)
หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ

มาช้า ขอโทษด้วยนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นน่ารักๆที่อ่านแล้วมีกำลังใจเสมอ
ขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนมาอ่านกันทุกตอน
ใกล้จบเข้าไปทุกทีแบบนี้ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่ได้อ่านแล้วคงคิดถึงมากๆแน่เลย :)
ไม่เป็นไรเน้อะ ไว้พบกันใหม่

คืนนี้หลับฝันดีนะคะทุกคน ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2013 21:01:27 โดย Eucalyp »

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
โอ๊ยเจ็บปวด ฮื้อๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
เอ่ออ มันไม่มีคำผิดหรอกจ้า แต่เค้าใช้นักเขียนกับนักอ่านแบบไทยๆ  :mew1: :mew1:

นัทงอแงทำไม ไม่ร้องนะหนูน้อย  :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
นัทอย่าทำแบบนี้กับซินสงสารซินแก้ปัขหาไปด้วยกันให้ได้  นัทสู้ๆนะ

ออฟไลน์ Yร้าย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
ลูกนัทจ๋า...แม่ก็ฝนตกในบ้านเหมือนกันเลย...
ต้องไปเอาคืนยายโอลีฟเมียป๊อปอายซะ.......
คนแบบนี้อย่าปล่อยให้ลอยนวล....เพื่อหนูซิน.... :ling1: :ling1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ shijino

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
ฮืออออออออๆ อ่านไปน้ำตาไหลไป ฉันอินมาก  :hao5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ฮือออออ สงสารทั้งคู่
ใกล้จบแล้วหรอ หวังว่าจะแฮปปี้น๊าา

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
27

((...?))


            เสียงเอะอะโวยดังลั่นโรงฝึก เมื่อบรรดาบอดี้การ์ดฝึกหัดทั้งหลายกำลังฝึกซ้อมกันอย่างขะมักเขม้น ทั้งเสียงเตะ เสียงทุ่ม เสียงวิ่งดังครื้นเครง เสียงหัวเราะดังแว่วมาเป็นระยะ ไอ้แสบมันก็วิ่งป่วนทั่วโรงฝึกไปหมด ผมที่นั่งดูอยู่ก็อดยิ้มตามมันไม่ได้จริงๆ แต่ก็ยิ้มได้แค่แป๊บเดียวแหละครับ

            อิจฉามันนะ เห็นมันวิ่งร่าเริงได้แบบนั้น เอาแรงมาจากไหนนักหนา มันเก็บความสุขเอาไว้ที่ไหนเยอะแยะ ถึงได้มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะได้ทุกวัน

            "พี่นัทททท" ยังพูดไม่ทันขาดคำก็วิ่งหูตั้งมาทางนี้ซะแล้ว ด้วยความหมั่นไส้เลยคว้าผ้าเช็ดเหงื่อที่วางอยู่ข้างตัว เขวี้ยงใส่หน้ามันไปซะ เข้าเป้าเต็มๆ

            "แหยะ! เหม็น เหงื่อตัวเองมาเขวี้ยงใส่หน้าคนอื่นเขาทำไมวะ"

            "วิ่งหน้าตั้งมาอะ มีไร"

            "เปล่า จะชวนไปซ้อม"

            "ไม่เอา ขี้เกียจ" พูดจบก็เอนหลังพิงพนักเกาอี้ที่นั่งอยู่ในท่าที่สบายมากขึ้น

            "ไม่คิดจะออกกำลังกายบ้างเลยรึไง เห็นมาอยู่นี่ก็เอาแต่นั่งดูคนนู้นทีคนนี้ที งานการก็ไม่ทำ เอาแต่กินกับนอน เดี๋ยวก็อ้วนตายหรอก แล้วหนวดน่ะ โกนมั่งเหอะว่ะ ยาวจนจะเป็นโจรแล้ว"

            เสียงไอ้คนด้านข้างมันพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจจะฟัง อย่างที่มันพูดแหละครับ ตั้งแต่วันนั้น ผมก็ไม่ได้ไปทำงานกับใครอีกเลย แค่จะยกขาขึ้นเตะ หรือว่ายกมือขึ้นต่อยก็ไม่อยากทำทั้งนั้น ในเมื่อไม่มีใครให้ต้องดูแลอีกแล้ว เพราะฉะนั้นจะฝึกไปทำไมอีกล่ะ

            นี่ก็ผ่านมาจะครบอาทิตย์แล้ว ข่าวเริ่มซาลงไปบ้าง แต่ก็ยังมีหนังสือพิมพ์บางฉบับ หรือรายการบางรายการที่ยังคงกัดกันไม่เลิกรา เขียนเหน็บแนมกันอยู่เรื่อยๆ ส่วนซิน เขาเองก็ไม่ได้ออกงานที่ไหนเลยเหมือนกัน ทางค่ายเลิกจ้างบอดี้การ์ดจากโรงฝึกนี้ไปแล้ว ตอนนี้ไอ้กัสก็เลยว่างงาน มีเวลามาวิ่งเล่นป่วนผมได้ทั้งวัน

            โทรศัพท์เครื่องนั้น ผมไม่ได้เปิดมันอีกเลย หลังจากได้รับข้อความสุดท้ายจากซิน ในเมื่อตอนนี้ไม่จำเป็นต้องติดต่อใครแล้วนี่ครับ แบบนี้ดีออกจะตาย ไม่เปลืองค่าโทรศัพท์ด้วย

            หึ.. ก็ได้แต่หาเรื่องหลอกตัวเองไปวันๆ

            ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง

            ช่วงนี้ไม่เห็นซินออกงานที่ไหนเลย ผ่านโทรทัศน์ก็ไม่เห็น ผ่านวิทยุก็ไม่ได้ยิน แล้วแบบนี้จะรู้ข่าวคราวเขาได้ยังไง จะหายเศร้ารึยังนะ คิดถึงเสียงใสๆของเขาจังเลย

            "พี่นัท" ผมหันไปตามเสียงเรียกของไอ้แสบด้านข้าง เห็นมันทำท่าพยักพเยิดไปหน้าโรงฝึกจึงต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ

            คนของค่ายเพลงซิน...

            มาทำไม?

            ทำท่าทางชะเง้อชะแง้เข้ามาโรงฝึก เมื่อหันมาเห็นผมเข้าก็รีบกวักมือเรียก มาหาผม? อะไรอีกล่ะ ผมก็เลือกที่จะถอยออกมาแล้วนี่ไง แล้วยังจะต้องการอะไรอีก

            "ใครอ่ะ"

            ผมไม่ได้ตอบคำถามไอ้กัส แต่ลุกขึ้นเดินออกไปนอกโรงฝึกแทน ซึ่งมันก็รู้กาลเทศะดีจึงไม่ได้เดินตามออกมา

            "มาหาใครครับ"

            "มาหาคุณนั่นแหละ ทางค่ายพยายามติดต่อมาหาคุณหลายครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้สักที ก็เลยส่งผมมาแทน"

            ผมมองท่าทางของอีกฝ่ายที่คงมีเรื่องพูดมากมายเกินกว่าจะยืนคุยกันตรงนี้ได้ เลยตัดสินใจเดินนำพาเขาเข้ามานั่งคุยในบ้าน เจอเข้ากับแม่ที่นั่งเล่นอยู่ที่ห้องรับแขกพอดี

            "อ้าวนัท เพื่อนมาเหรอจ้ะ"

            "ไม่ใช่ครับแม่ คนจากค่ายเพลง..."

            แม่ที่กำลังจะยิ้มทักทายชะงักไปนิด มองหน้าแขกอย่างไม่รู้จะทำหน้ายังไง แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา

            "งั้นตามสบายนะจ้ะ เดี๋ยวแม่ไปยกน้ำกับขนมมาให้"

            "ไม่เป็นไรครับแม่ เขาคงรีบมารีบไป" ไม่ได้ตั้งใจจะไล่กันทางอ้อมนะครับ เพียงแค่อยากให้เขารู้เฉยๆว่าผมเองก็ไม่ได้อยากให้เขาอยู่ที่นี่นานนักหรอก

            "จ้ะ..." แม่พยักหน้าเข้าใจ และเดินออกไปที่หลังบ้าน วันนี้พ่อออกไปทำธุระข้างนอก ไม่อย่างนั้นพ่อก็คงได้นั่งฟังอยู่ด้วยกันนี่แหละ เพราะสิ่งที่คนคนนี้พูด น่าจะเป็นสิ่งที่พ่ออยากได้ยิน

            "บ้านน่าอยู่นะครับ" เมื่อแม่เดินออกไป อีกฝ่ายก็พูดขึ้นอย่างชวนคุย แต่ผมไม่ได้อยากคุยเล่นกับเขาตอนนี้ มีอะไรก็พูดออกมาเลยดีกว่า ไม่ต้องอ้อมค้อม       

            "มีธุระอะไรครับ"

            "เอ่อ...." เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้มีท่าทีอยากจะคุยเรื่องบ้าน ท่าทางเป็นการเป็นงานจึงถูกแสดงออกมาทันที "ค่ายจะจัดงานแถลงข่าวครับ ทางเราได้เจรจากับคุณโอลีฟแล้ว ฝ่ายนั้นยินยอมมาร่วมงานแถลงข่าวด้วย ถ้าคุณยอมรับว่าคุณกับเธอคบกัน แล้วเธอจะช่วยแก้ต่างเรื่องคุณซินให้ ว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเฉยๆ"

            อะไรนะ... จะให้บอกว่าผมคบกับโอลีฟจริงๆเหรอ ผมถอยออกมาให้แล้วไง อยากจะทำอะไรกันต่อก็ทำไปสิ มายุ่งกับผมอีกทำไมวะ แล้วแค่พูดแค่นั้นเรื่องมันก็จะจบง่ายๆเลยหรือไง

            "ง่ายเน้อะ"

            "ค...ครับ? อะไรนะ"

            "ไม่มีอะไร ว่าต่อไปสิ"

            วงการนี้มันมีแค่นี้สินะ โกหกกันไปโกหกกันมา อะไรดีก็พูดไป อะไรร้ายก็โยนให้คนอื่นเขาไปซะ เอะอะอะไรก็เข้าใจผิด เข้าใจผิดทั้งปีทั้งชาติ คลิปหลุดออกมาก็ว่าคนหน้าเหมือน นี่เขาคิดว่าประชาชนที่เสพข่าวเป็นเด็กอายุสามขวบหรือไง

            "เอ่อ... ตอนนี้คุณก็น่าจะรู้ว่าคุณซินค่อนข้างเงียบ เพราะมีข่าวทำให้งานหลายๆงานถูกยกเลิกไป ถ้าคุณอยากจะช่วย คุณก็ควรเข้าร่วมงานแถลงข่าวครั้งนี้"

            "แค่นั้นแล้วทุกอย่างจะจบเหรอ หนังสือพิมพ์จะเลิกเขียนข่าวกัดซินมั้ย ใครๆจะเลิกหาว่าซินเป็นคนไม่ดีรึเปล่า แล้วผู้หญิงคนนั้นจะยอมเลิกราไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับซินอีกใช่มั้ย"

            "อย่างน้อย คุณซินก็จะกลับมาเริ่มงานได้อีกครั้ง เมื่อทุกอย่างกลายเป็นแค่การเข้าใจผิด การตอบคำถามในครั้งต่อๆไปก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนเรื่องคุณโอลีฟ คุณนัทกับเธอต้องเป็นฝ่ายไปพูดคุยกันเอง"

            "ปัดความรับผิดชอบกันซึ่งๆหน้าเลยสินะ"

            "ผมมีหน้าที่แค่ถ่ายทอดคำพูดของทางผู้ใหญ่เท่านั้น"

            "แล้วหมดคำพูดของคุณรึยัง"

            "ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ท่านฝากเน้นย้ำมา"

            "...." ผมนิ่งเพื่อที่จะรอฟังคำพูดนั้น

            "ขอบคุณมากที่ยอมถอยออกมา หวังว่าซินเองก็จะ 'รับรู้' ว่านาย 'รักเขามากพอ' และฉันก็หวังว่านายจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด อันนี้คือคำพูดที่เขาอยากจะให้คุณรับรู้ ผมไม่รู้ความหมายมันหรอก แต่คุณน่าจะรู้ดี และเพื่อผลดีของทุกๆฝ่าย ผมคิดว่าคุณควรจะทำตามคำแนะนำของเรา หมดธุระของผมแล้ว ขอบคุณมากครับที่อยู่ฟังจนจบ ผมคงต้องขอตัวก่อน" แขกลุกขึ้นและเดินออกไป โดยที่ผมไม่ได้ไปส่ง มาเองถึงนี่ได้ ก็คงจะกลับเองได้เหมือนกัน

            หึ หัวหมอจริงนะครับค่ายนี้ ไม่ได้มาเอง แต่ก็ยังอุตส่าห์ส่งคนอื่นมาขู่ผมจนถึงนี่ 

            หวังว่าซินเองก็จะ 'รับรู้' ว่านาย 'รักเขามากพอ' นี่ก็คงจะหมายความว่า ซินคงจะยอมรับในสิ่งที่ผมตัดสินใจอย่างนั้นสิ เอาความรู้สึกของคนอื่นมาเป็นเครื่องประกันความมั่นคงของตัวเองแบบนี้ ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือไง

            ซินต้องทนอยู่ในสังคมแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน แต่ก็เพื่อความฝันของเขานี่นะ ความฝันของซินที่ผมกำลังจะทำมันพัง ถ้าการแถลงข่าวจะเป็นสิ่งที่รักษาความฝันของซินไว้

            ผมก็ยินดี

            มีเพียงแค่นี้ที่ผมจะทำให้เขาได้ เพราะยื่นมือเข้าไปใกล้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

            เฮ้อ...

            เงยหน้าพาดลงบนขอบโซฟา หลับตาลงช้าๆ นึกถึงใบหน้าสวยที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมที่คอยมองค้อนกัน ภาพที่มองเห็นในหัว พาให้หัวใจอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มที่หายไปเริ่มกลับมาทีละนิด

            มีแต่วิธีนี้แหละ ที่ฉันจะได้พบนาย

            เพียงแค่หลับตา...

            แต่สุดท้ายเมื่อลืมตาขึ้นมา ภาพนายก็หายไป พร้อมกันรอยยิ้มของฉันด้วย

            ให้ตายสิซิน ...คิดถึงนายอีกแล้ว

            เสียงฝีเท้าแผ่วๆเดินเข้ามาใกล้ แต่ผมเลือกที่จะหลับตาอยู่อย่างนั้น ยังไม่อยากให้ภาพของซินหายไป ไม่อยากให้ใครเห็นแววตาอ่อนแรงของผมตอนนี้

            แรงยวบลงบนโซฟาด้านข้าง พร้อมกับสัมผัสอุ่นบนฝ่ามือ

            แม่...

            "หัวใจลูกชายแม่ หายไปไหนแล้วนะ"

            "...."

            "แม่ขอโทษนะลูก สำหรับทุกๆอย่าง ขอโทษแทนพ่อเขาด้วย นัทรู้ใช่มั้ย...ว่าพ่อเขาไม่ได้ตั้งใจ พ่อก็แค่อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าเอง โดยที่ลืมไปว่าจริงๆแล้ว...ลูกต้องการอะไร"

            แรงบีบเบาๆที่ฝ่ามือ ทำให้ต้องข่มตาหลับเอาไว้

            "แม่ไม่อยากเห็นลูกเป็นแบบนี้เลย ถ้าเป็นไปได้ แม่ก็อยากเห็นรอยยิ้มของลูกอย่างเดิม ไม่ใช่รอยยิ้มที่ไม่มีความสุขแบบนี้ รอยยิ้มที่แค่ฝืนยิ้มไปวันๆ แม่อยู่ข้างลูกเสมอ รู้ใช่มั้ย... นัท กลับมาเป็นลูกชายคนเดิมของแม่ไวๆนะ"

            ความอบอุ่นจางหายไป เมื่อแม่ลุกขึ้นและเดินออกไป แม่รู้ว่าผมไม่ได้หลับ เช่นเดียวกันกับผมที่รู้เหมือนกันว่าแม่กำลังร้องไห้

            ร้องไห้เพราะลูกคนนี้อีกแล้ว

            แม่จะรู้มั้ย ว่าลูกชายคนนี้ก็อยากจะยิ้มให้แม่เหมือนกัน แต่มันยากเหลือเกิน

            ทำไมมันยากจังครับแม่กับการที่จะตัดใจจากใครสักคน แค่มองเขาจากที่ไกลๆโดยที่ไม่เจ็บไม่ได้เหรอ แค่เห็นเขามีความสุข เห็นรอยยิ้มของเขา ผมก็ควรจะมีความสุขแล้วใช่มั้ย งั้นแม่บอกผมทีว่าผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ผมจะได้กลับไปเป็นลูกชายของแม่คนเดิม

            เสียงฝีเท้าหนักๆเดินเข้ามาในบ้าน ทำให้ผมลุกขึ้นมานั่งอย่างปกติอีกครั้ง เพราะรู้ว่าใครเป็นคนเดินเข้ามา

            "เมื่อกี้ฉันเดินสวนกับผู้ชายคนนึง เดินผ่านไปไม่มองหน้าฉันสักนิด เพื่อนแกเหรอ"

            "คนจากค่ายเพลง" ผมตอบพ่อออกไปโดยที่ไม่ได้หันไปมอง

            "มาทำอะไร" เดี๋ยวนี้เรากลับมาพูดคุยกันเหมือนเดิมแล้วล่ะครับ เพียงแต่การคุยกันในแต่ละครั้ง ไร้อารมณ์สิ้นดี

            "เอารายละเอียดงานแถลงข่าวมาให้"

            "แถลงข่าว? ข่าวอะไร"

            "ข่าวผมกับโอลีฟ...กับซิน"

            พ่อนั่งนิ่งคิดอะไรเงียบๆไปสักพัก ผมจึงลุกขึ้นยืน

            "ทุกๆอย่างกำลังจะเป็นไปอย่างที่พ่อต้องการแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมกับซินเราคงไม่ได้เจอกันอีก แต่กับโอลีฟ ผมคบกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้จริงๆ เรื่องนี้ผมคงทำให้พ่อไม่ได้ แต่อย่าห่วงเลย ผมจะไม่ไปเจอซินอีก เพราะฉะนั้นพ่อก็เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นเถอะครับ พ่อก็น่าจะเห็นแล้วว่าเธอเป็นยังไง"

            "แล้วแกจะแถลงข่าวว่ายังไง"

            "ก็แค่บอกว่าผมคบกับโอลีฟ หลังจากนั้นก็ให้โอลีฟจัดการต่อ ไม่อยากหรอกครับ น่าจะงานถนัดของเธอ"

            "...ซินล่ะ"

            "ซินไม่ได้มาแถลงข่าวด้วย มีแค่ผมกับโอลีฟ"

            ในเมื่อพ่อเงียบ และไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมก็เลยตั้งท่าจะเดินออกมาจากที่ตรงนั้น กลับขึ้นไปอยู่บนห้อง อยู่กับตัวเองเงียบๆคนเดียว

            "ไอ้กัสบอกว่าแกไม่ยอมฝึกเลย" แต่ก้าวขาออกมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุดลงอีกครั้ง "แก...เป็นยังไงบ้าง"

            แล้วผมควรจะตอบว่าอย่างไรดีครับ...?

            ผมสบายดี มีความสุขมากครับ ...อย่างนี้เหรอ

            หึ ขอยิ้มให้กับความมืดมนให้ชีวิตเสียหน่อย

            "ไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อว่าผมจะเป็นยังไง ตอนนี้ทุกๆอย่างเป็นอย่างที่พ่อต้องการแล้ว ลูกชายคนนี้ของพ่อ ...ยอมทุกอย่างแล้วครับ" ผมหันไปมองหน้าพ่อช้าๆ ท่านเองก็กำลังมองมาเหมือนกัน

            "เพราะว่าผมรักเขามาก ผมถึงต้องปล่อยเขาไป เจ็บให้ตายยังไงผมก็จะทน แต่ผมก็อยากให้พ่อรู้...ว่าผมรักเขามากแค่ไหน ถ้าวันไหนที่พ่อต้องเสียแม่ไป พ่อก็คงจะเข้าใจ ...เข้าใจผมบ้างสักนิดก็ยังดี"

            ผมถอนสายตาหันกลับมามองด้านหน้า เห็นแม่ยืนกลั้นน้ำตาอยู่ตรงนั้น ในมือถือโทรศัพท์เอาไว้ แม่เดินตรงมาช้าๆ หยุดลงตรงหน้าผม และคว้าผมเข้าไปกอด อ้อมกอดของแม่ทำให้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่อดทนอดกลั้นอยู่มันพังทลายลง

            ทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ผมทำอะไรผิด ชาติที่แล้วผมทำบาปทำกรรมอะไรเอาไว้ ผมยินดีชดใช้ให้ทุกอย่างเลย ยกเว้นแบบนี้ ไม่เอาแบบนี้ได้มั้ย ผมไม่ได้อยากปล่อยซินไป ไม่อยากเลย

            "ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไร" เสียงปลอบโยนของแม่ ยิ่งทำให้ความอ่อนแอที่มีมากมายหลั่งไหลออกมา

            "ผมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขากลับมา อดทนทำทุกวิถีทาง ค่อยๆกะเทาะกำแพงหนาที่เขาสร้างไว้ จนสุดท้ายมันก็พังทลายไปจนหมด ผมได้เขาคืนมาแล้ว แต่ตอนนี้ผมกำลังจะเสียเขาไปอีกแล้ว เพราะผมเอง เพราะผมทุกอย่างเลย อันที่จริง เฝ้ามองเขาใกล้ๆตั้งแต่แรกก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวกลับไปหาเขาอีกเลย ไม่น่าต้องทำร้ายเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้"

            ฝ่ามือที่ลูบหัวผมอยู่สั่นเทา ผมไม่ได้ร้องไห้ เพียงแต่ลูกชายคนนี้อยากกลับไปเป็นเด็กน้อยของแม่อีกครั้ง อยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วมีใครอยู่ข้างๆผมบ้าง และสุดท้ายแล้วอ้อมกอดนี้ก็ยังมีให้ผมเสมอ เพราะฉะนั้นแม่เข้าใจผมได้มั้ย แค่แม่คนเดียวก็พอ

            แม่ถอนหายใจออกมาช้าๆ ผมจึงคล้ายอ้อมกอดออกและถอยออกมายืนที่เดิม เห็นแม่กำลังหันไปมองพ่ออยู่ พ่อที่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แม่จึงหันกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง มือนุ่มนิ่มของแม่ยกขึ้นลูบแก้มผมเบาๆ

            "นัทขึ้นไปบนห้องก่อนนะลูก แม่มีเรื่องจะคุยกับพ่อเขาหน่อย"

            ผมหันไปมองพ่อที่ไม่ได้มองมาทางเรา ก่อนจะหันหลังเดินกลับขึ้นห้องมา ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ตัดขาดจากโลกภายนอก ปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อจมอยู่กับภาพความทรงจำสีจาง ที่มีแค่ผมกับซิน

                     

พบกันอีก 50%
.............................................................................
:) เอามาเสิร์ฟแล้วววว
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ และทุกคนที่แวะเวียนมาอ่านกัน
พบกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
มันเป็นหน่วงๆขอให้พ่อนัทเข้าใจนัทด้วย

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น้ำตาไหลเลย
ฮืออออ

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
27

((เข้าใจ))


-แม่-

            เพราะว่าเฝ้ามองเขามาตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่ารักเขามาก และมีเขาแค่คนเดียว ความฝันความหวังทุกสิ่งทุกอย่างจึงฝากฝังเอาไว้ที่เขา อยากให้เขาพบเจอแต่สิ่งดีๆ มีชีวิตที่ดี อยากกอดเขาไว้ ประคองเขา ส่งไปจนถึงฝั่ง ฝั่งที่วาดฝันว่าเขาจะได้พบเจอ จนบางทีก็ลืมไปว่า ลูกเองก็มีชีวิตของเขาเหมือนกัน

            ไม่เคยเห็นลูกเป็นแบบนี้มาก่อนเลย 'เมื่อตอนนั้น' ก็คล้ายๆจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม

            คนเป็นแม่ ลูกผมยาวขึ้นแม้จะนิดเดียวก็มองออก อะไรที่มันเปลี่ยนแปลงไป แม้จะเล็กน้อยแค่ไหน ทำไมจะไม่รู้ เพราะว่าสายตาคู่นี้ไม่เคยมองไปที่ไหนเลย

            แล้วตอนนี้ ต้องมาเห็นลูกชายเป็นแบบนี้ เพราะเรา... เพราะความคาดหวังของเราที่ทำร้ายเขาตรงๆ

            อยากเห็นเขามีคนรักที่ดี อุ้มชูค้ำจุนกันไปจนกลายเป็นครอบครัวที่มีความสุข มีหลานตัวเล็กๆวิ่งเล่นรอบบ้าน อยากเป็นคุณย่าอุ้มหลานพาออกไปเดินเที่ยวเล่น อวดกับคนนู้นคนนี้ว่าหลานน่ารักแค่ไหน พูดคุยกับคนข้างบ้านว่าลูกสะใภ้น่ารักทำงานเก่ง คงจะมีความสุขไม่น้อยเมื่อถึงวันนั้น

            คิดอย่างนั้นจนมองข้ามความสุขของลูกไป เผลอทำร้ายเขาโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้งๆที่ประคบประหงมเขามา แต่กลับเป็นฝ่ายทำร้ายเขาด้วยมือตัวเอง

            ตกใจมากจริงๆในตอนแรก นี่เราพลาดอะไรไปตอนไหน เราดูแลเขาไม่ดีเหรอ ทำไมเขาเป็นแบบนี้ ทำไมเขารักผู้ชาย... ทำไมเขาไม่เหมือนคนอื่น แล้วหลานล่ะ ความรักแบบนี้จะยืดยาวไปได้แค่ไหน มันจะเป็นไปได้เหรอ แล้วแบบนั้นลูกจะมีความสุขมั้ย ผู้คนรอบข้างอีกล่ะ เขาจะมองลูกเรายังไง

            กลุ้มใจไปมากมาย ทั้งๆที่มันก็แค่ ลูกเรามีความรัก

            ความรักธรรมดาทั่วไปที่ใครๆก็มี เพียงแต่รักครั้งนี้ของเขาเกิดขึ้นกับผู้ชายด้วยกัน

            แล้วมันผิดที่ตรงไหน ในเมื่อเขารักกันจริงๆ

            "พ่อ" เอ่ยเรียกคนรักของตัวเองที่มีสภาพไม่ได้แตกต่างกัน แต่ดูเหมือนว่าพ่อจะเป็นเอามากกว่า เพราะนัทเป็นลูกชายของพ่อเพียงคนเดียว ลูกชายที่เลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ชายที่ดีเองกับมือ

            "ครั้งนี้ ปล่อยลูกไปได้มั้ย..."

            เห็นพ่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ จึงเดินเข้าไปนั่งข้างๆ คว้ามือหนานั่นมากุมไว้

            "แม่รู้ว่าพ่อไม่สบายใจ แม่เองก็เหมือนกัน แต่พ่อดูลูกสิ ลูกเป็นแบบนี้ พ่อไม่สงสารลูกเหรอ" เมื่ออีกคนไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่มองไปทางอื่นเท่านั้น ทำให้ต้องบีบฝ่ามือที่จับอยู่เบาๆ

            "ลูกเสียใจ เราเองก็เสียใจ แม่ไม่อยากเห็นลูกเป็นแบบนี้ ปกติแล้วลูกไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ง่ายๆนะพ่อ ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆแบบนี้เลย วันๆหมกตัวอยู่แต่ในห้อง เดินไปโรงฝึกแป๊บๆเดี๋ยวก็กลับขึ้นห้องไปอีกแล้ว หลายวันมานี้ก็ไม่เห็นลูกออกไปไหนเลย พ่อเห็นรอยยิ้มที่ลูกยิ้มมั้ย..."

            "พ่อรู้...แม่พ่อรู้"

            "พ่อรู้ แล้วทำไมพ่อยังห้ามลูก ยังบังคับลูกล่ะ"

            "ก็...มันผู้ชายด้วยกันทั้งคู่! จะรักกันได้ยังไง เป็นไปไม่ได้หรอก"

            "ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะพ่อ ทีเรายังรักกันได้เลย"

            "มันเหมือนกันที่ไหนล่ะแม่ แม่เป็นกระเทยรึไง"

            "แล้วถ้าแม่เป็นกระเทยพ่อจะไม่รักเหรอ" เริ่มยั้วแล้วนะ

            "ก็แม่ไม่ใช่กระเทย... ถึงใช่พ่อก็รักแม่อยู่แล้ว โธ่..."

            "เห็นมั้ย เพราะฉะนั้นลูกจะรักผู้ชายแล้วมันผิดตรงไหน"

            "...."

            หึหึ เถียงไม่ออกเลยทีนี้ ไม้แข็งก็ต้องเจอไม้แข็งเนี่ยแหละ ดูซิว่าใครจะแข็งกว่ากัน

            "ตอนแรกแม่ก็ไม่ชอบไม่ใช่เหรอ แล้วไหงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ แม่ทำใจยอมรับได้ยังไง ที่ต้องเห็นมันเป็นเกย์!"

            "เป็นเกย์แล้วนัทเป็นลูกเรามั้ยพ่อ! ยังไงลูกก็เป็นลูกเรา แม่ทำใจไม่ได้ หัวใจลูกแม่หายไปไหน ความสุขของลูกแม่หายไปไหน เห็นลูกใช้ชีวิตอมทุกข์ไปวันๆ แม่ทำใจไม่ได้! พ่อรักลูกแม่เองก็รู้ เพราะแม่ก็รัก แม่ถึงอยากให้พ่อเข้าใจ"

            แววตาเจ็บปวดของพ่อแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะพ่อเองก็ไม่ได้อยากให้ลูกเป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้พ่อกำลังรักลูกผิดทาง

            "ใช่ ตอนแรกแม่ก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่แม่ทนเห็นลูกเป็นแบบนี้ไม่ไหว แม่ไม่อยากเห็นลูกร้องไห้ ใช้ชีวิตไปวันๆ เห็นลูกไม่มีความสุขแล้วแม่จะมีความสุขได้ยังไง แม่ไม่อยากมีหลานก็ได้ ไม่ต้องมีลูกสะใภ้น่ารักก็ได้ แม่ขอแค่ลูกมีความสุข ลูกยิ้ม ลูกหัวเราะได้ในทุกๆวัน แค่นั้นแม่ก็มีความสุขแล้ว หรือว่าพ่ออยากเห็นลูกเสียใจ"

            "...." ไร้ซึ่งคำตอบ เมื่อพ่อกำลังตีรวนกับความคิดของตัวเอง

            "พ่อเองก็รักแม่มากไม่ใช่เหรอ น่าจะเข้าใจลูกสิ หรือว่าไม่ได้รัก!?"

            "รักสิแม่ พ่อจะไม่รักแม่ได้ยังไง" สุดท้ายเสียงก็อ่อนลงจนได้นะพ่อ ให้มันรู้ไปสิว่าจะมาแข็งกว่าแม่!

            "ถ้าพ่อต้องปล่อยมือแม่ไปในสักวัน พ่อจะทนได้มั้ย สมมติว่าถ้าแม่ตาย จะไม่มีวันได้เจอกันอีก ไม่มีวันได้ยินเสียงแม่อีกแล้ว คิดถึงให้ตายยังไงก็ไม่มีทางได้เจอ พ่อจะเสียใจมั้ย"

            "แม่! อย่าพูดแบบนี้ ตายเตยอะไรกัน พ่ออยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีแม่อยู่ข้างๆ" ไม่พูดเปล่า เมื่อพ่อวาดแขนมากอดแม่เอาไว้ทั้งตัว

            "เห็นมั้ย ลูกเราก็เหมือนกัน ถึงซินไม่ตาย แต่ก็ไม่มีทางได้เจอ มันแย่ยิ่งกว่าอีกไม่ใช่เหรอ ทั้งๆที่อยู่ใกล้กันแค่นี้ ยืนอยู่บนผืนดินเดียวกัน มองทองฟ้าเดียวกัน วันไหนสักวันอาจจะเดินสวนกันบ้างก็ได้ แต่... ทักทายกันไม่ได้ พูดคุยกันไม่ได้ถึงแม้ว่าจะเจอ ก็ต้องฝืนใจเดินผ่านไป ทำเหมือนว่าไม่เห็น ทำเป็นไม่รู้จักกัน ทั้งๆที่ความจริงแล้วรู้จักกันดี แบบไหนเจ็บกว่ากันพ่อ"

            "ความรักแบบนี้มันไม่ถาวร"

            "พ่อรู้ได้ยังไง พ่อเห็นอนาคตลูกเหรอ เขาก็รักกันดีไม่ใช่หรือไง ถ้าเราไม่ได้เข้าไปยุ่ง..."

            "แต่ที่เราทำก็เพราะว่าเราหวังดีกับมันนะ"

            "เราหวังดีมากเกินไปหรือเปล่า ความหวังดีของเราทำร้ายลูกหรือเปล่าพ่อ ดูลูกเราตอนนี้สิ ลูกมีความสุขกับความหวังดีของเรามั้ย ลูกยอมทิ้งดนตรีก็เพื่อเรา พ่อเองก็รู้ว่าลูกเรารักกีต้าร์มากแค่ไหน แต่เขายอมทิ้งมันเพื่อโรงฝึก ลูกยอมทิ้งความฝันของลูก ทิ้งทุกอย่างของเขาในตอนนั้นก็เพื่อเรา แล้วเราตอนนี้จะทิ้งทิฐิเพื่อลูกไม่ได้เลยเหรอ ลองเปิดโอกาสให้ลูกสักครั้ง เปิดใจยอมรับในตัวลูก ให้เขาได้ลองทำตามใจของตัวเองบ้าง เราเป็นพ่อแม่ เราเลี้ยงตัวเขาได้ แต่เราเลี้ยงใจเขาไม่ได้นะพ่อ เราบังคับเขาให้เป็นทุกอย่างที่เราอยากให้เขาเป็นไม่ได้นะ เพราะเมื่อวันนึงที่เขาไม่มีเรา เขาก็ต้องใช้ชีวิตของเขาเอง"

            "...."

            "นัทไม่ใช่น้องนัทที่วิ่งเล่นรถเข็นรอบบ้านเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ไม่ใช่น้องนัทที่หกล้มเมื่อไหร่ก็วิ่งร้องไห้มาหาเรา ลูกโตแล้ว โตพอที่จะตัดสินชีวิตตัวเองได้แล้ว เราแค่ถอยออกมา เฝ้าดูเขาอยู่ห่างๆก็พอ ถ้าเขาพลาดเราค่อยเข้าไปปลอบเขา เฝ้ามองเขาลุกขึ้น พ่อเข้าใจที่แม่พูดมั้ย"

            "...."

            "ถ้าเรารักเขา เราก็ต้องปล่อยเขาไป.... ไม่ว่าเขาจะรักใคร เราก็จะรักคนที่เขารัก อีกอย่างน้องซินก็น่ารักดี"

            "อะไร... น้องซินไหน"

            "ก็แฟนตานัทไง น้องซินน่ะ เขาน่ารักดีนะ พ่อเคยเห็นเขาใกล้ๆหรือยัง"

            "ก็เคยแล้ว แต่แม่เคยเห็นเขารึไง" ใบหน้าสงสัยหันมามองทันที

            "ไม่เคยเห็น แต่เอาเป็นว่าเขาน่ารักแล้วกัน แล้วว่ายังไงเรื่องลูก เลิกทำตัวเป็นพ่อใจร้ายได้รึยัง"

            "ก็ไม่ได้อยากเป็นพ่อใจร้าย...."

            "แล้วไอ้ที่ทำไปทั้งหมดนั่นเขาเรียกว่าอะไร"

            "ก็เป็นห่วงมัน..."

            "ไม่ต้องมาทำอ้อมแอ้มเลยนะ เป็นลูกผู้ชายจะพูดอะไรก็พูดให้มันดังๆ"

            "รู้แล้วน่าแม่นี่... อย่าดุนักสิ เห็นใจดีนักหนาไม่ใช่หรือไงตอนอยู่ต่อหน้าลูกน่ะ"

            "ลูกน่ารักก็ต้องใจดีสิ แต่เวลาอยู่กับพ่อไม่ดุแล้วจะกำราบได้หรือไง"

            "พูดไปนั่น ปลอบหน่อยสิ เสียใจอยู่นะเนี่ย" อื้อหือ แก่ปูนนี้แล้วจะอ้อนอีกนะ แต่เอาเถอะ เห็นใจเขาอยู่เหมือนกัน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อเองก็เสียใจไม่แพ้กัน พ่อเป็นคนหยิบยื่นโอลีฟเข้ามา ทำให้เรื่องราวมันบานปลายไปจนถึงขั้นนี้ พ่อไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายลูก แต่เพราะความผิดหวังทำให้มองไม่เห็น ปิดใจที่จะยอมรับ จนสุดท้ายกลายเป็นไม่ยอมมองหน้ากัน

            ทุกครั้งที่เห็นว่าพ่อไปยืนอยู่หน้าห้องนัท ยืนมองบานประตูสีขาวอย่างเงียบงัน ไร้คำพูดใด ในเวลาที่นัทเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้อง ความรู้สึกผิดเกาะกุมใจ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี เพราะทุกอย่างมันมาถึงจุดหนึ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ลูกเสียทุกอย่างไปแล้ว ด้วยมือของพ่อเอง

            "พ่อเองก็เสียใจ ถ้าเป็นไปได้ก็จะไม่ลากโอลีฟเข้ามายุ่งเลย เห็นว่าสวยน่ารัก อีกอย่างพ่อมันก็ซี้กันอยู่ ไม่นึกว่าจะทำถึงขั้นนี้ ไม่นึกว่าจะกลายเป็นข่าวใหญ่โต"

            ทำเพียงนิ่งและรับฟังสิ่งที่อัดอั้นตันใจพ่ออยู่เท่านั้น

            "ไม่นึกว่าความรักแบบนี้จะเป็นเรื่องจริงจัง นึกว่าเวลาผ่านไปมันจะลืมไปเอง นึกว่ามันจะถอดใจไปง่ายๆ แต่ยิ่งเห็นมันในสภาพนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไง ทุกอย่างเพราะพ่อเป็นคนทำ พ่อยื่นซินให้นัท แล้วพ่อก็พรากเขาไป ทุกอย่างทำลงไปเพราะความคิดเห็นของตัวเองล้วนๆ ไม่ได้สนใจความรู้สึกลูกเลย ...พ่อผิดไปจริงๆ"

            "ในเมื่อรู้ตัวว่าผิด แล้วพร้อมจะขอโทษหรือยัง" พ่อคล้ายอ้อมกอดออก ก่อนจะถอยออกไปเพื่อมองหน้าแม่ได้ถนัด

            "แต่ตอนนี้มันก็กำลังจะแถลงข่าวแล้ว ลูกเลือกที่จะถอยออกมาแล้ว มันแก้ไขอะไรไม่ทันแล้วแม่"

            "ทุกอย่างแก้ไขได้เสมอ ถ้าเราไม่เลือกที่จะปิดกั้นหนทางนั้นเอง"

            "แล้วพ่อควรที่จะทำยังไง"

            "แค่เคารพ และยอมรับในการตัดสินใจของลูกก็พอแล้ว ส่งยิ้มให้เขาในวันที่เขาดีใจ โอบกอดเขาไว้ในยามที่เขาทุกข์ อยู่เคียงข้างเขาในวันที่ไม่มีใคร เพราะถ้าเราปฏิเสธเขาไปอีกคน ชีวิตนี้เขาจะไม่เหลือใครเลย มันคงรู้สึกแย่นะพ่อ ที่โลกนี้ไม่มีใครเข้าใจเราเลยสักคน แม้กระทั่งพ่อแม่ของตัวเอง"

             "นั่นสินะ..."

            ความเงียบแผ่ปกคลุมห้องนั่งเล่นอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้แตกต่างไปจากทุกที เพราะมันเต็มไปด้วยความเข้าใจ...


            ปัญหาทางนี้ ผ่านไปได้ด้วยดีแล้วนะลูก ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทั้งสองคนว่าจะให้เรื่องนี้มันเป็นยังไงต่อไป อยากจะให้มันจบแบบไหน ขึ้นอยู่กับใจของลูกทั้งสองคนแล้วนะ 

                     

TBC
...
ตอนนี้สั้นไปสักหน่อย เพราะแต่งยากมากจริงๆ
ไม่รู้ว่าจะออกมาดีมั้ย แต่พยายามทุกตัวอักษรแล้วค่ะ
ฝากด้วยน้า ติชมกันได้เลย

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ และทุกคนที่แวะเวียนมาอ่านกัน
พบกันตอนหน้าค่า
คืนนี้หลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ถึงพ่อจะเข้าใจแต่มันจะสายไปรึป่าวอ้ะ
เห้ออออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
พ่อกับแม่เข้าใจนัทแล้วววว
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ค่ายเพลงกับยัยโอลีฟที่จะแถลงข่าว!!!

ออฟไลน์ Yร้าย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
ขึ้นอยู่กับคน 2 คนจริง ๆ ที่จะจับมือกันไว้
เพื่อจะก้าวไปด้วยกัน  หรือจะปล่อยมือที่
เคยจับกันให้ห่างออกไป...... :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
คุณแม่คะ  ถ้าจะวีนใส่คุณพ่อแล้วผลมันออกมาแบบนี้

ทำไมไม่รีบเข้าใจลูกกกกกกกกก

นัทงอแงเลย ตะสิโตนนนนนนนน  :sad2: :sad2: :sad2:

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
28

((แถลงข่าว))



            และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ผมไม่อยากให้มันมาถึงมากที่สุด วันที่ตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำลงไป วันที่จะทำให้ผมกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว วันที่ผมจะปล่อยมือจากซิน วันแถลงข่าวของผมกับโอลีฟ

            หลังจากตื่นมาแต่งตัวจนเรียบร้อย ผมก็นั่งอยู่บนปลายเตียงอย่างนี้มาได้สักพักแล้ว ไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะไปเลย ไม่มีความตื่นเต้นสักนิด ในใจลึกๆมันแอบอดคิดไม่ได้ว่าถ้าวันนี้ผมได้ไปแถลงข่าวกับซิน ป่านนี้ผมคงบินไปรับเขาที่บ้านแล้ว คงดี๊ด๊าอารมณ์ดีไม่ต้องมานั่งอมทุกข์แบบนี้ แต่ก็คิดได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ก่อนจะสลัดความคิดนั้นทิ้งไป

            อะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ยังคงเป็นไปไม่ได้ คิดไปก็ไม่มีประโยชน์

            หลังจากถอนหายใจอย่างถอนรากถอนโคนจนเสร็จ เหลือบไปมองนาฬิกาเมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงจำต้องลุกขึ้น

            ทำทุกๆอย่างให้มันเสร็จซะ แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม กลับมาเป็นไอ้นัทคนเดิมที่ไม่มีใคร ดูแลโรงฝึกแทนพ่อ ไร้ความฝัน...ไร้ความรัก

            วันนี้บ้านเงียบผิดปกติ พ่อกับแม่ไปไหนกันนะ หรือว่าจะหลบหน้าผม?

            ช่างเถอะ ไม่ได้อยากรับรู้อะไรแล้วตอนนี้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีขอให้ฟ้ามืดแล้วไม่ได้หรือไง อยากให้เวลาผ่านไปไวๆจัง

            ตลอดระยะทางที่ขับรถผ่านมา ทำไมอะไรมันก็เชื่องช้าไปหมด หรือใครกดปุ่มสโลว์เอาไว้ ไฟแดงนานกว่าทุกที คันเร่งนี่มันก็ช่างหนักเหลือเกิน หรือว่ามันรู้ว่าผมไม่อยากให้มันไปถึงเลย คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่แล้วภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้ผมมองตามไปตาไม่กระพริบ

            แผ่นหลังบางกับเส้นผมเป็นลอนยาวสลวยนั่นที่เดินอยู่ข้างถนนตอนนี้ ซินหรือเปล่า ใช่ซินมั้ย มาทำอะไรตรงนี้! แล้วนั่นกำลังจะไปไหน

            และเพราะความสงสัยทำให้มองตามเขาไปเหลียวหลัง จนลืมไปตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไร มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงแตรดังลั่น หันกลับมาก็พบว่าตัวเองฝ่าไฟแดงออกมาเรียบร้อยแล้ว รถทางด้านขวากำลังพุ่งมาด้วยความเร็ว หูสองข้างอื้ออึงไปหมด สติกระจัดกระจาย มือไม้เกร็งแข็ง

            ฉิบหาย... คำนี้เท่านั้นที่นึกออก         

            เมื่อมองยังไงก็คงไปไม่พ้น จึงตัดสินใจเหยียบเบรกในวินาทีสุดท้าย เสียงล้อบดกับถนนดังลั่น พร้อมกับเสียงแตรจากทั่วทุกสารทิศ ผมกำพวงมาลัยแน่น หลับตาปี๋ นาทีนี้หน้าพ่อหน้าแม่ลอยขึ้นมาทันที แล้วโรงฝึกจะทำยังไง ใครจะดูแลต่อจากพ่อ พ่อแม่มีเราแค่คนเดียว พวกท่านจะทำยังไง ใครจะดูแลแม่

            ...ซิน

            'ซินรักนัทนะ' เสียงหวานล่องลอยมากับสายลม จากที่ไหนสักแห่งในห้วงนึกคิด เพียงแค่นั้น ความกลัวต่างๆก็พลันหมดสิ้นไป รอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง

            'ฉันเองก็รักนายเหมือนกัน ...ซิน'

            หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดนิ่งลง เงียบเชียบไร้ซึ่งเสียงใด

            เขาว่ากันว่า ความตายบางเบาราวกับขนนก... แล้วนี่ ผมตายหรือไง?

            แต่แล้วเสียงเคาะกระจกทางด้านฝั่งคนขับก็เรียกให้สติผมคืนกลับมา ก่อนจะค่อยๆหรี่ตาขึ้นมาทีละนิด มองเห็นผู้คนมากมายกำลังมุงรถผมอยู่

            ยัง... ผมยังไม่ตาย?

            รถยังไม่ได้ชน เพราะทั้งผมและเขาเบรกทัน

            อกไอ้นัทจะแตกกกกกกกกกกกกกกก!!! ไม่เคยตกใจเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต! ชีวิตนี้ไม่เคยเข้าใกล้นาทีเฉียดตายเท่านี้มาก่อนเลยโว้ยยย

            มือที่กำพวงมาลัยอยู่สั่นเครือ นี่ผมทำบ้าอะไรอยู่วะ เกือบตายไปแล้วไง

            ....ซิน! เมื่อกี้ผมเห็นซิน! คิดได้ดังนั้นก็รีบเปิดประตูลงมาจากรถทันที หันมองไปทางที่ผมเห็นเขาในครั้งแรก พบคนที่ผมคิดว่าเป็นซินยืนอยู่ริมขอบถนน กำลังมองมาทางนี้อย่างสนใจ

            ไม่.... ไม่ใช่ซิน ก็แค่ผู้หญิงคนนึงที่มองดูเหมือนซินเท่านั้นเอง ไม่ใช่...

            หึ... นี่ผมกำลังจะบ้าไปแล้วจริงๆใช่มั้ยวะ หน้ามืดตามัวขนาดจำซินไม่ได้เลยหรือไง

            "คุณ.. คุณ" แรงเขย่าแขนทำให้ผมหันกลับมามองข้างตัว พบคู่กรณีที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กน่าตาน่ารักคนหนึ่งยืนอยู่

            "ครับ?"

            "คุณเป็นอะไรมั้ย อยู่ดีๆฝ่าไฟแดงออกมาทำไม" เมื่อตั้งสติได้จึงหันมองสภาพแวดล้อมรอบตัว หลายคนลงมาจากรถเพื่อมองดูเหตุการณ์ และเพราะรถผมขวางทางอยู่ ทำให้การจราจรไปต่อไม่ได้ กลิ่นไหม้จากการที่ล้อบดกับถนนตลบอบอวลไปหมด หลายคนเริ่มก่นด่าสาปแช่งผมแล้วครับ

            "เอ่อ ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรมากมั้ย รถคุณเป็นอะไรหรือเปล่า ผมผิดเอง ...พอดีกำลังคิดอะไรเพลินๆ"

            "ทำแบบนี้ไม่ดีนะคุณ กำลังขับรถอยู่ก็ต้องมองถนนสิ ไม่มีสติแบบนี้ชนคนอื่นเขาจะทำยังไง ตายคนเดียวไม่ว่า จะพาคนอื่นข้าตายไปด้วย ยังดีนะที่ฉันเหยียบเบรกทัน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ตายทั้งคู่"

            "ขอโทษครับ แล้วคุณต้องการค่าเสียหายเท่าไหร่ ผมจะจ่ายให้ ตอนนี้ผมรีบ" ก้มมองนาฬิกา เวลาเริ่มกระชั้นเข้ามาแล้ว

            "ค่าเสียหายน่ะฉันไม่ได้อยากได้หรอก ฉันกับรถไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากจะมาตักเตือนสักหน่อยเท่านั้นแหละ โตแล้วนะคุณ"

            อื้อหือ หน้าตาน่ารักมากนะครับ ท่าทางเมื่อสาวหัวนอกซะด้วย แต่นิสัยเหมือนแม่ผมเลย จะว่าเธอก็ไม่ได้หรอกครับ เพราะครั้งนี้ผมผิดเต็มๆ ไม่นานหลังจากนั้นตำรวจก็เข้ามาเคลียร์ คู่กรณีผมไม่เอาเรื่อง เพราะเขาเองก็รีบไปทำงานเหมือนกัน แต่ผมนี่ต้องไปจ่ายค่าปรับที่สน. เนื่องในข้อหาขับรถโดยประมาท ฝ่าไฟแดง หลังจากเคลียร์ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ต้องรีบไปบริษัททันที คราวนี้สติมาเต็ม ไม่วอกแวกข้างทางแล้วครับ

            วันนี้ผมเกือบตาย แล้ววันต่อๆไป ผมจะตายมั้ยนะ

            ผมจะตายมั้ยถ้าไม่มีซินอยู่ข้างๆ....

            จอดรถยังไม่ทันไร โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา ผมจึงกดรับก่อนที่จะก้าวลงจากรถ ตอนนี้ต้องเปิดโทรศัพท์แล้วล่ะครับสำหรับงานนี้ แต่มันก็ไม่มีข้อความจากซินส่งมาอีกเลย โทรศัพท์เองก็ไม่มี

            "ครับ"

            (คุณนัทมาถึงบริษัทรึยังคะ นี่ก็ใกล้เวลามากแล้วด้วย)

            "ครับถึงแล้ว ผมกำลังจอดรถ"

            (รบกวนรีบมานิดนึงนะคะ เพราะคุณโอลีพมาถึงแล้ว)

            "ครับ กำลังรีบไป" ปลายสายวางไป ผมจึงหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อเรียกแรงฮึดให้ตัวเอง

            เอาวะ! เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะผ่านไปเอง แล้วมันก็จะจบ

            วันนี้ผมเข้าบริษัทจากทางด้านหลัง เพราะด้านหน้านักข่าวต้องดักอยู่อย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ ผมไม่อยากที่จะต้องพบเจอพวกเขาตอนนี้ ขอตอบคำถามแค่ในที่แถลงข่าวก็พอ เพราะยังไงคำตอบที่ผมต้องตอบก็มีอยู่แค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น นอกนั้นเป็นหน้าที่ของโอลีฟ

            "นัท!" ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องเตรียมตัว โอลีฟก็รีบถลาเข้ามาหาผมทันที มีผู้ใหญ่ของทางค่ายสองสามคนอยู่ในนี้ด้วย ผมจึงบิดมือโอลีฟออกจากแขน ก่อนจะกล่าวทักทายทุกคน

            "ทำไมมาช้าจังเลย ทุกคนรออยู่นะ"

            "พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อย"

            "อุบัติเหตุอะไรเหรอคะ!" ผมดึงแขนตัวกลับมา หลังจากโอลีฟคว้าเอาไปควงรอบสอง

            "ขับรถฝ่าไฟแดงน่ะ คิดอะไรเพลินๆ"

            "อุ้ยตายจริง! แล้วเป็นอะไรมากมั้ยคะ!" แอบลอบถอนหายใจกับท่าทางตกใจจนเว่อของคุณเธอ ก่อนจะบิดแขนออกรอบที่สาม และเดินห่างออกมาจากเธอ

            "เป็นอะไรมากหรือเปล่าน่ะ" ผู้ใหญ่จากทางค่ายที่พูดคุยกับผมเรื่องซินในครั้งนั้นถามขึ้น

            "ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เหยียบเบรกได้ทัน พอดีต้องแวะไปจ่ายค่าปรับที่สน.เลยทำให้มาช้า ขอโทษที่ต้องให้ทุกคนรอครับ"

            "อืม ไม่เป็นไรหรอก ไม่เจ็บตรงไหนก็ดีแล้ว นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาดี นั่งพักผ่อนสักหน่อยก็แล้วกัน"

            "ครับ"

            ผมนั่งลงตามคำเชิญ โดยมีโอลีฟเดินมานั่งข้างๆด้วย โอ๊ย! อะไรของผู้หญิงคนนี้วะ ต้องการอะไรจากสังคม! ต้องการอะไรจากผู้ชายคนนี้นักหนาวะครับ!

            "เป็นอะไรตรงไหนมั่งมั้ยคะ โอลีฟใจหายหมดเลย"

            "ก็ยังไม่ได้ตายหรอกครับ" ตอบออกไปด้วยความรำคาญ ทำเอาสาวเจ้าหน้าเสียไปนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่วายมาเกาะแกะผมอีก เพียงแต่ครั้งนี้พูดกระซิบรอดไรฟันให้ได้ยินกันแค่สองคน

            "พูดดีๆกับโอลีฟหน่อยนะคะ เพราะครั้งนี้ ซินจะรอด...หรือไม่รอด ขึ้นอยู่กับโอลีฟนะคะ"

            ผมหันหน้ามองผู้หญิงคนนี้อย่างทึ่งจนสุดจะทึ่งทันที ไม่อยากจะเชื่อ! นี่คือคนที่ผมจะต้องบอกคนอื่นว่าเขาคือคนที่ผมรักเหรอวะครับ ใครก็แล้วแต่นะที่ได้ผู้หญิงคนนี้ไปเป็นแฟนจริงๆ ผมว่าไอ้คนนั้นแม่งโคตรโชคร้ายที่สุดในโลกอ่ะ

            ผมสลัดแขนเธอออกอีกครั้งอย่างไร้เยื่อใย และหันหน้าหนีมาอีกทาง

            "นัทคะ!" คราวนี้เสียงดังอย่างไม่สนใจใครเลยครับ ผมว่าผู้หญิงคนนี้เป็นโรคจิตว่ะ หรือว่าทางบ้านเลี้ยงมาให้เป็นแบบนี้ ขาดความอบอุ่นหรือไง

            ทุกคนในห้องหันมามองตามเสียงของโอลีฟ ทุกคนในที่นี้รู้ว่าเรื่องที่เรากำลังจะทำมันจอมปลอม เพราะฉะนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นแฟนเธอตอนนี้ ทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินไปแล้วกัน

            "หึ! อย่านึกว่าที่ฉันยอมทำแบบนี้แล้วจะมาเมินใส่ฉันได้นะ อย่าลืมสิว่าทุกๆอย่างขึ้นอยู่กับคำให้สัมภาษณ์ของฉัน หรืออยากจะให้ฉันใส่ร้ายป้ายสีซินของนายมากกว่านี้" นางมารร้ายออกโรงเต็มที่แล้วครับ หลายคนมองอ้าปากค้าง คงเป็นเพราะไม่คิดว่ารูปร่างหน้าตาแบบนี้ จะมียักษ์ร้ายซ่อนอยู่ภายใน

            "เอ่อ... คุณโอลีฟใจเย็นๆนะคะ คือ..." ทีมงานพยายามเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย แต่โอลีฟกลับเมินเขาไป และเดินมายืนตรงหน้าผมแทน

            "ต้องการแบบไหนคะนัท"

            เล่นเอาผู้ชายคนนี้ไปไม่เป็นเลยครับ ไม่เคยเจอคนประเภทนี้มาก่อนเลยในชีวิต ผมว่าผมเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิงมากนะ และไม่เคยว่าร้ายผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นจึงจำต้องกดอารมณ์ตัวเองเอาไว้ ไม่ได้ๆ ชกหน้าผู้หญิงไม่ได้นะนัท....

            "ว่าไงคะ หรือจะให้โอลีฟออกไปบอกนักข่าวด้านนอกว่าซินแย่งนัทไปจากโอลีฟ แย่งไปหน้าด้านๆ" คำว่าหน้าด้านๆนี่กระชากความอดทนของผมจนขาดสะบั้น คาดว่าทุกคนในห้องนี้เองก็คงจะช็อกเหมือนกัน แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร พวกผู้ใหญ่นี่กุมขมับกันไปแล้ว

            "แค่บีบน้ำตาเรียกคะแนนสงสารนิดหน่อย คิดว่านักข่าวเขาจะเชื่อใครล่ะคะ ผู้หญิงบอบบางที่น่าสงสาร กับผู้ชายที่ไม่เคยออกมาให้ข่าวอะไรเลย"

            ผมจำเป็นต้องกำมือจิกนิ้วลงไปเพื่อระงับอารมณ์ แต่นั่นก็ไม่ช่วยอะไรเลยครับ เมื่ออีกฝ่ายจงใจราดน้ำมันลงบนกองไฟซะขนาดนั้นแล้ว

            "ทีนี้จะทำยังไงดีคะ"

            "ผมไม่รู้นะว่าคุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรโอลีฟ ไม่ว่าคุณจะอยากเอาชนะซินหรือว่าใคร ผมขอบอกเลยว่าไม่มีทาง ที่ผมยอมทำทุกอย่างนี้ไม่ใช่ว่าผมยอมแพ้คุณ แต่ผมทำทุกอย่างเพื่อซิน ผมไม่อยากให้เขาต้องมาเดือนร้อนเพราะความอยากเอาชนะเหมือนเด็กนิสัยเสียของคุณ อยากให้รู้เอาไว้ว่าผมไม่ได้นึกพิศวาสคุณแม้แต่น้อย ถ้าไม่มีเรื่องนี้เข้ามาผมไม่มีทางอยากเข้าใกล้คุณเด็ดขาด ผู้หญิงที่สวยแต่หน้าแต่จิตใจกลับมืดบอดแบบคุณ ไม่มีใครเขาอยากเข้ามาพัวพันด้วยหรอกนะ"

            ในห้องเงียบกริบเมื่อผมพูดประโยคยาวแสนยาวนั่นจบลง พยายามเลือกใช้คำที่สุภาพที่สุดแล้ว เพราะอย่างน้อยเธอก็เป็นลูกเพื่อนพ่อผม และเธอเป็นผู้หญิง ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายในโลกที่ผมอยากจะทำดีด้วยก็เถอะ

            โอลีฟกำมือทั้งสองข้างแน่น เตรียมจะกรี๊ดเต็มที่ ผมจึงชิงพูดกับเธอซะก่อน

            "แล้วถ้าคุณอยากจะกรี๊ดก็เชิญเลย ถ้าอยากให้นักข้าวด้านนอกนั่นแตกตื่นเพราะเสียงกรี๊ดของคุณ ที่นี้จะได้รู้กันไปว่านางเอกแสนสวยในจอโทรทัศน์ ความจริงแล้วเป็นคนยังไง"

            ปากสวยเม้มเข้าหากันแน่นอย่างพยายามห้ามตัวเอง ก่อนที่เธอจะกระทืบเท้าลงพื้นอย่างขัดใจ

            "แล้วอยากจะให้สัมภาษณ์ยังไงก็แล้วแต่เลย ถ้าคุณอยากให้งานนี้พังก็แล้วแต่คุณ เพราะไม่ใช่ผมกับซินหรอกที่จะมีข่าวเสียๆหายๆ คุณเองก็เหมือนกัน แล้วที่นี้มาดูกันว่าใครจะดับก่อนใคร"

            ผู้หญิงใจร้ายอ้าปากหวออย่างตกตะลึง คงไม่คิดว่าผมจะพูดกับเธอแบบนี้ เพราะผมเองก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน

            ครั้งแรกครับ กับการด่าผู้หญิงแล้วซะใจมากเท่านี้ โคตรแมนเลยกู....

            "พอได้รึยัง นี่ก็เลยเวลามานิดหน่อยแล้ว ออกไปกันได้แล้วล่ะ" เสียงผู้ใหญ่คนเดิมพูดขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายใจเต็มที เป็นไงล่ะครับ รู้ฤทธิ์ของผู้หญิงคนนี้กันแล้วหรือยัง คิดผิดแล้วล่ะที่คิดจะเล่นกับเธอ

            พวกผู้ใหญ่เดินออกไปกันก่อน ส่วนผมกับโอลีฟจะตามออกไปทีหลัง รู้สึกดีใจมากครับที่พูดแบบนั้นออกไป เพราะเธอไม่เข้ามาเกาะแกะผมอีกเลย ผมจัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนที่ทีมงานจะพาผมกับโอลีฟเดินออกไป

            ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องแถลงข่าว เสียงชัตเตอร์และแสงแฟลชมากมายต้องกระทบตาทันที แต่ด้วยความที่ทำงานกับสิ่งเหล่านี้มานานสายตาจึงเริ่มชิน ไม่จำเป็นต้องกระพริบตาหลบเหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว หลังจากที่ได้ระเบิดอารมณ์ออกไปบ้างก็ช่วยให้ดีขึ้นมาอีกนิด แต่ตอนนี้ ความรู้สึกหนักอึ้งเริ่มกลับมาอีกแล้วครับ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผมจะต้องตอบออกไป

            ตอนนี้ซินจะอยู่ที่ไหนนะ กำลังทำอะไรอยู่ รู้เรื่องที่ผมจะทำในวันนี้แล้วใช่มั้ย เขาจะเห็นด้วยและเข้าใจในสิ่งที่ผมทำใช่มั้ย เขาจะรู้ใช่มั้ยว่าที่ทำลงไปก็เพื่อเขา

            เพื่อให้เขาได้มีที่บนทางแห่งความฝันของเขาต่อไป

            นายต้องมีความสุขให้มากนะซิน...

            นักข่าวที่มาวันนี้มากมายมหาศาลครับ มากกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก ที่นั่งผมกับโอลีฟอยู่บนเวทีด้านหน้าห้อง เวทีเป็นพื้นที่ยกสูงขึ้นจากพื้นไม่มากนัก ส่วนบรรดานักข่าวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านล่าง ด้านหน้าเป็นส่วนของนักข่าวที่จะถามคำถาม ส่วนด้านหลังเป็นที่ยืนของตากล้อง ผมจะดังก็งานนี้ล่ะครับ ขนกันมาหมดทุกสำนักจริงๆ

            ส่วนบรรดาผู้ใหญ่นั่งอยู่บนโซฟาด้านข้างติดพนังหันหน้าออกมาทางพวกเรา ผมกับโอลีฟนั่งอยู่ด้านข้างกัน โดยมีทีมงานอีกคนนั่งอยู่ด้วย

            "เอาล่ะครับพี่น้องนักข่าวทุกคน ในเมื่อได้เวลาแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า ขอบอกกฏิกาในการแถลงข่าวก่อนนะครับ คนไหนอยากจะถามยกมือขึ้น และขอให้ผมได้เชิญท่านก่อน ค่อยถามคำถามนะครับ และคำถามที่จะถาม ขอให้อยู่ในขอบเขตการสัมภาษณ์ครั้งนี้ด้วยนะครับ เริ่มได้เลยครับ"

            จบคำพูดทีมงาน นักข่าวก็ยกมือกันให้พรึบพรับทันที

            "เชิญคุณนักข่าวเสื้อฟ้าครับ"

            "เรื่องที่ว่าคุณซินแย่งคุณนัทมาจากคุณโอลีฟ จริงหรือเปล่าค่ะ"

            คำถามแรกก็เข้าเป้าเลยครับ โอลีฟหันมามองหน้าผมยิ้มๆตามบท ผมจึงจำต้องยิ้มฝืนๆตอบกลับไป

            "คือเรื่องนี้โอลีฟอยากจะอธิบายให้พี่ๆนักข่าวทุกคนเข้าใจนะคะ ว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเฉยๆค่ะ จริงๆแล้วพี่ซินไม่ได้แย่งพี่นัทไปจากโอลีฟหรอกนะคะ" ผมกลายเป็นพี่นัทไปแล้วครับ หึ... ไหลลื่นเก่งมากจริงๆ

            "คำถามต่อไปครับ" นี่ก็ไวมาก ไม่ต้องรอให้อธิบายเพิ่มเลย "เชิญคุณเสื้อขาวครับ"

            "แล้วที่มีข่าวออกมาว่าคุณโอลีฟจงใจโจมตีคุณซินล่ะคะ ก็ไหนว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด"

            "จริงๆแล้วโอลีฟไม่ได้โจมตีพี่ซินเลยนะคะ ทุกคนตีความหมายกันแรงไปนิดนึง คำว่าโจมตีนี่รุนแรงมากนะคะสำหรับโอลีฟ โอลีฟเองก็เป็นแฟนเพลงพี่เขาคนนึง ติดตามผลงานพี่เขามานานมากแล้วค่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโจมตีพี่เขาเลย โอลีฟเคยเจอพี่ซินครั้งสองครั้งนะคะ ก็ทักทายกันปกติ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลยค่ะ พี่ซินน่ารักเป็นกันเองมาก สามารถร่วมงานกันได้ปกติค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรเลย"

            "เชิญคุณเสื้อขาวด้านซ้ายครับ"

            "ขอถามคุณนัทบ้างนะคะ" ทันทีที่มือชื่อผมอยู่ในบทสนทนา ทำเอามือที่วางอยู่ใต้โต๊ะกำเข้าหากันแน่น ถึงตาผมแล้วล่ะครับ ถึงคำตอบที่เตรียมไว้จะจำได้ขึ้นใจแล้วก็จริง แต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะต้องตอบออกไป ไม่รู้ว่าเขาจะถามผมว่าอะไรนะ "คุณนัทกับคุณซินมีความสัมพันธ์แบบไหนกันอยู่คะ"

            คำถามนี้...มาจนได้สินะ คำตอบสวยหรูมีอยู่ในหัวแล้วครับ แต่มันยากตรงที่ต้องเปล่งปากพูดนี่แหละ ไม่อยากพูดว่าไม่รัก ไม่อยากพูดว่าไม่ได้คิดอะไร ไม่อยากพูดว่าผมกับซินเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่อยากพูดเลย... แต่เพราะว่าทุกคนกำลังรอคำตอบจากผมอยู่ คำตอบที่จะทำให้ทุกเรื่องมันจบไป ต่อให้ไม่อยากพูดแค่ไหนก็ต้องพูด 

            กลั้นใจอ้าปากเตรียมจะตอบ แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไปนั้น กลับมีเสียงของใครอีกคนตอบแทรกขึ้นมาเสียก่อน

            "เราคบกันอยู่...."   



พบกันอีก 50%
.....
โครม!! เสียงคนอ่านล้มโต๊ะ
ก่นด่าสาปแช่งได้แต่อย่าตามมาเผาบ้านเค้านะ ><
โอลีฟนางออกโรงอีกแล้ว แต่เฮียช่วยจัดการไปหน่อยนึง คงช่วยให้สะใจได้บ้างไม่มากก็น้อยน้า

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นน่ารักๆนะคะ
พบกันตอนหน้าค่า           

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
โอลีฟเป็นตัวร้ายที่มันส์มาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ถ้าไม่มีนาง เรื่องจะไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ :hao7: :hao7:

แอร๊ยยย เปิดตัวซินแล้ววว

คำผิด
สะใจ ไม่ใช่ ซะใจ จ้าา

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เสียงนางฟ้ารึปล่าวววววววว

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
โอลีฟเป็นตัวร้ายที่มันส์มาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ถ้าไม่มีนาง เรื่องจะไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ :hao7: :hao7:

แอร๊ยยย เปิดตัวซินแล้ววว

คำผิด
สะใจ ไม่ใช่ ซะใจ จ้าา


ขอบคุณมากค่าา><

ออฟไลน์ matilda.taon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ค้างงงงงงงงงงงงงง
ซินใช่มั๊ยเสียงซินใช่มั๊ย!!!!!!!
รอตอนต่อไป!!

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
โอยยยยยยยยย ค้าง พี่ซินจ๋า พี่ซินมาแล้วใช่มั๊ย?

รักคู่นี้จริงๆ โอยยลุ้น :a5: :katai1: :serius2:

 :call: :call: :call: :call: :call:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด